วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 175

บทที่ 175 – วิหารอาเรีย (1)


มินชานมองสำรวจนักข่าวทุกคน

“ไฟบนภูเขากำลังลุกไหม้ คุณจะทำอย่างไร?”

เมื่อมินชานถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นักข่าวแถวหน้าที่ไม่ทันตั้งตัวตอบ

“เราต้องดับไฟ”

“แล้วถ้ามันไม่ใช่ไฟแต่เป็นลาวาล่ะ?”

มินชานสบตากับนักข่าวอายุน้อย

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องหนี”

“แล้วถ้าหนีจนไม่มีที่ให้หนีแล้วล่ะ?”

“...คุณกำลังพยายามจะบอกว่าอะไร?”

“ผมกำลังบอกว่าพวกเรามีหน้าที่ต่างกัน”

มินชานตอบอย่างมั่นใจ

“เมื่ออยู่ในที่ๆเกิดไฟไหม้ เราจะแบ่งหน้าที่เป็นทีมช่วยเหลือ กับทีมดับไฟ”

“...”

“พระราชาของอลันดาลกำลังหาวิธีหยุดการเกิดดันเจี้ยนอย่างถาวร ซึ่งมันเกิดบ่อยกว่าภูเขาไฟระเบิดอีก เราควรพยายามป้องกันและอดทนกับการโจมตีจนกว่าเขาจะหยุดมันได้ไม่ใช่เหรอ?”

นักข่าวมีสีหน้าเย็นชา

“คุณจะบอกอะไร?”

“คุณไม่เข้าใจเหรอ? เดี๋ยวนี้เขาให้คนเรียนไม่จบป.6เป็นนักข่าวได้แล้วเหรอ?”

นักข่าวเมื่อได้ยินคำพูดชวนทะเลาะของมินชานก็หน้าแดง

“แค่นี้ทำไมผมจะไม่เข้าใจ? ผมถามถึงท่าทีของอลันดาล คุณยินดีจะหาวิธีที่ว่าทั้งๆที่เกาหลีกำลังจะถูกทำลายหมดเหรอ?”

มินชานยืนขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดโมโหของนักข่าว

ไม่มีอะไรน่าเกลียดไปกว่านักข่าวที่คุมสติตัวเองไม่อยู่ คนแบบนี้ไม่คู่ควรจะคุยด้วย

“ผม...คือผม...”

นักข่าวยืนขึ้นและพยายามจะแก้ตัว มินชานจ้องเขาเขม็ง

พระราชาของเขาจะพูดอย่างไรในสถานการณ์นี้ จะยอมรับคำโวยวายเห็นแก่ตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆหรือเปล่า?

ดูเหมือนการเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาลไม่ใช่งานดีนัก

“ถ้าพูดแบบนี้ยังไม่เข้าใจ ผมจะลดตัวลงพูดอย่างคุณก็ได้”

คำพูดของมินชานกระด้างจนเขาแปลกใจ และนักข่าวก็มองอย่างแปลกใจเช่นกัน

“จะคร่ำครวญก็อย่าให้มันมากนัก ชีวิตตัวเองก็หัดรับผิดชอบเอง ต่อให้พวกคุณไม่ร่ำร้องอลันดาลก็ทุ่มเททั้งหมดเพื่อช่วยโลกอยู่แล้ว”

“...!”

มินชานหันหลังแล้วเดินออกจากห้องแถลงข่าว วูซุงฮุนรีบเดินมาทางเขาแล้วกระซิบถาม

“ไปแบบนี้จะดีเหรอครับ?”

“เฮ้อ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ”

“...”

ดูเหมือนท่านนายกรัฐมนตรีจะเครียดมากแล้ว

วูซุงฮุนพยักหน้าแรงๆ ที่จะพูดก็พูดไปแล้วนี่นะ...

อีกอย่าง พวกเขามีสองสัญชาติก็จริง แต่ก็เป็นคนของอลันดาลมากกว่า

“จบการแถลงข่าวเท่านี้ครับ”

งานแถลงข่าวจบท่ามกลางเสียงดังของเหล่านักข่าว ตอนจบยิ่งวุ่นวายกว่าก่อนเปิดงาน

- อลันดาลเลือกเป็นอิสระ? แล้วความร่วมมือระหว่างเกาหลีกับอลันดาลล่ะ?

- คำขอร้องจากชาวเกาหลีถูกเมินเฉย สภาคิดถอนสัญชาติพลเมืองเกาหลีของอลันดาล

- นายกรัฐมนตรีของอลันดาลประกาศ! เขาทำงานเพื่อโลก ไม่ใช่เพื่อเกาหลี

ถึงไม่นับรวมบทความซ้ำๆที่สร้างขึ้นทุกนาทีก็ยังมีบทความใหม่เกี่ยวกับอลันดาลขึ้นมาเป็นสิบ

จุงมินชานเลิกมองหน้าจอแล้วนั่งพิงเก้าอี้

“เฮ้อ”

“คุณโอเคไหมครับ?”

มินชานกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินวูซุงฮุนถาม

“ผมหงุดหงิดที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรากำลังพยายามจะทำอะไร”

เขาอยากช่วยโลก เกาหลีสำคัญสำหรับเขา

แต่ป่ากำลังไหม้ จะต่างอะไรถ้าต้นไม้ต้นเดียวไม่ถูกเผา? ที่สุดแล้วสิ่งสำคัญกว่าคือการดับไฟ
คังวูจินทำงานหนักกว่าใครเพื่อดับไฟนี้...

“เอ่อ สำหรับพวกเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนนี่ครับ”

“หือ?”

“ลืมที่พระราชาพูดแล้วเหรอ? ต่อไปจะไม่มีประเทศแล้ว โลกกำลังจะเป็นที่ๆศีลธรรมล่มสลาย...”

“อืม”

เขาจำได้ แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าวูจินพูดเพื่อทำให้รู้สึกถึงความคับขัน ถ้าคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คำพูดของคังวูจินไม่เหมือนคำขู่ลอยๆแล้ว

มันอาจเป็นจริง ถ้าคนหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาลของพวกเขาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ อาจจะไม่มีรัฐบาลต่างๆแล้วจริงๆ

ที่น่ากลัวคือเรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องในอนาคตห่างไกล

“ผมโอเคกับสภาพนิ่งแบบนี้นะ”

“คุณหมายความว่ายังไง?”

วูซุงฮุนยักไหล่

“ผมมีสิทธิ์อะไรไปพูดถึงการปกป้องมนุษยชาติ? ผมแค่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีถ้าพระราชาทำงานของท่านสำเร็จ ไม่เห็นผมจะต้องทำงานเกินความสามารถตัวเองเลย”

เขาจากคนขายโทรศัพท์มาเป็นสมาชิกแรกก่อตั้งกิลด์ ตอนนี้กลายเป็นเลขานุการส่วนตัวของพระราชาผู้มีอิทธิพลไปทั่วโลก

เขาพอใจกับสถานะของตัวเองตอนนี้ ไม่รู้สึกต้องก้าวหน้าไปกว่านี้

ไม่ใช่สิ เขาถูกวางในตำแหน่งที่ตัวเองมีความสามารถไม่ถึง

เขาไม่คิดโลภมากจึงไม่กดดันอะไร เขาจะทำงานที่ทำเสมอมา ทำงานที่คังวูจินสั่งให้ดีก็พอ

วูซุงฮุนคิดแบบนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้

“คุณนี่ช่าง...”

จุงมินชานส่ายหน้า

เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาล เขาไม่ปฎิเสธความรับผิดชอบและความกดดัน

“ใช่ เราแค่ต้องตามพระราชา”

“แน่นอน”

พวกเขาเป็นคนสะสางที่คังวูจินก่อเรื่องไว้เสมอ แต่คราวนี้จุงมินชานเป็นคนก่อเรื่อง...

“คุณด่าได้ถูกแล้ว ผมยังรู้สึกดีเลย”

“โฮ่ๆ”

เขารู้สึกเสียใจทีหลังที่เปลี่ยนสื่อมวลชนเป็นศัตรูโดยการพูดสิ่งไม่จำเป็นออกไป แต่เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

“ผมรับรองเลย คุณอดทนกับนักข่าวได้ดีกว่าพระราชาของเราเป็นร้อยเท่า”

“ซุงฮุน คุณนี่... ฮะๆ”

มินชานหัวเราะ

เพราะอย่างนี้เองพระราชาจึงให้วูซุงฮุนอยู่ข้างๆ

มินชานรู้สึกเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

***

เขากำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปยังวิหารอาเรีย

วูจินขี่ชิงชิงและกำลังเขี่ยหูตัวเอง

“เอ หูฉันคันแปลกๆ”

“พักกันก่อนไหมคะ”

เมโลดี้นั่งด้านหลัง เธอจับเขาแน่นเหมือนกลัวตก

“ไม่เป็นไร”

“...”

วูจินเหลือบมองข้างหลังเมื่อไม่มีคำตอบ เมโลดี้หน้าซีด ดูเหมือนเธอจะไม่ได้พูดเพราะเป็นห่วงเขา เธออยากพัก

“...พักกันเถอะ”

วูจินหยุดชิงชิงแล้วมองรอบตัว มีเนินเล็กแห่งหนึ่งมีลำธารเล็กไหลผ่าน แต่น้ำมีกลิ่นเหม็นเหมือนมีอะไรบางอย่างตายตรงต้นน้ำจึงไม่เหมาะกับการดื่ม

“กาเกบิ ไปดูว่ามีดันเจี้ยนหรืออาณานิคมใกล้ๆไหม”

[รับทราบ]

กาเกบิปลีกตัวออกจากเงาของวูจินและเริ่มสำรวจพื้นที่รอบๆ

วูจินไม่คิดจะหลบหลีกศัตรู ถ้ามีเขาก็จะเก็บกวาดพวกมันให้หมด

วูจินเปิดคลังหวังจะเอาน้ำออกมาต้ม รวมถึงวัตถุดิบง่ายๆสำหรับทำอาหาร...

“พวกนั้นกินหมดเลย”

เจมินเป็นคนเดียวที่เขามอบสิทธิ์ดึงของออกจากคลังส่วนตัวของเขาผ่านทางคลังของมิติ ผู้รอดชีวิตจำนวนมากรวมตัวกันที่อาณานิคมของเขาและดูเหมือนอาหารและน้ำจะถูกมอบให้คนเหล่านั้น

แต่ตอนนี้เมืองอาณานิคมตั้งเสร็จแล้ว พวกเขาจะมีวิธีซื้อไอเทมจากร้านของเมืองโดยใช้บลัดสโตน ไม่จำเป็นต้องปล้นจากคลังของเขาแล้ว

“ไหน”

วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ ซื้ออาหาร,น้ำ,เก้าอี้และโต๊ะมาวาง

“...”

เมโลดี้มองอยู่ข้างๆ วูจินพยักหน้าให้

“นั่งสิ”

“ค่ะ”

เมโลดี้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ชื่อพรจากอาเรีย

อสูรของวูจินเป็นปฏิปักษ์กับพลังของอาเรียอย่างมาก เธอจึงไม่สามารถใช้พลังได้เมื่ออยู่บนหลังม้าปีศาจ จึงมีอาการวิงเวียนจากการขี่ม้าที่ไม่คุ้นเคย

เมื่อลงจากหลังม้า เธอใช้พรจากเอเรียทันที

เมโลดี้นั่งลง

“คุณไม่ได้ใช้พลังของอาณานิคม คุณใช้พลังแห่งการสร้าง”

“อืม มันไม่ต่างกันเท่าไหร่”

ร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จคล้ายกับร้านค้ามิติแต่ต่างกันเล็กน้อย

“...เหมือนเทพ”

“หา? ฉันไม่ได้สร้างอะไรนะ ฉันแค่ซื้อมัน”

“ฉันก็เคยใช้ร้านค้าของมิติค่ะ”

“...”

เมโลดี้รู้จักร้านค้าของมิติ แม้จะสูญเสียมันไปแล้วแต่เธอเคยเป็นลอร์ดมิติ

“มันประหลาดมาก มันสามารถเลียนแบบปาฏิหาริย์ของเทพได้”

อย่างนั้นเหรอ? วูจินแค่คิดว่ามันคือไอเทมช็อป แต่ระบบที่ๆเกมไหนก็มีนี้ถูกเมโลดี้เรียกว่าปาฏิหาริย์ของเทพ

“คุณปลูกต้นไม้โลก สร้างปราสาทและบ้านเรือน สร้างขนมปังและอาหาร...”

“เธอกำลังจะบอกอะไร?”

วูจินขมวดคิ้ว

เมโลดี้ถามอย่างระวัง

“ฉันสงสัยว่าผู้ไม่ตายเป็นเทพไปแล้วหรือไม่คะ?”

“เทพ...”

วูจินดื่มน้ำหมดแก้วแล้วกัดขนมปัง

ทุกอย่างที่เขาซื้อจากร้านมิติหรือร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จจะกลายเป็นจริง จะมองมันเป็นศาสตร์แห่งการสร้างก็ได้ เขาจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้อย่างไรดี? ไม่ใช่สิ มันเป็นความเข้าใจผิดจริงๆเหรอ?

“สำหรับเธอ เทพคืออะไร?”

“...”

เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือเทพีองค์หนึ่ง คำถามนี้ง่ายเกินไป หรือมันซับซ้อนเกินไปสำหรับเธอนะ?

เมโลดี้ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ง่ายๆ ความเงียบดำเนินต่อไป

[ทางเหนือมีดันเจี้ยนแห่งหนึ่ง]

กาเกบิกลับมา วูจินลุกขึ้น

“เอาล่ะ ฉันไปเคลียร์ดันเจี้ยนก่อน เธอรอตรงนี้”

“ค่ะ”

วูจินขี่ชิงชิงจากไป เมโลดี้นั่งคิดหนักเป็นเวลานาน

คำถามที่วูจินถามไม่อาจตอบได้ง่าย สีหน้าของเมโลดี้เปลี่ยนเป็นซับซ้อน

***

เมืองอาณานิคมเซารุส

ลานฝึกที่เป็นลานจัตุรัสด้วยสร้างขึ้นตรงพื้นที่สำคัญ คนรวมกันที่ลานมองเปลวไฟ

ไฟกองใหญ่หดตัวสลับกับโหมไหม้ เหมือนไฟในเตาหลอมที่เต้นไปตามแรงเป่า

คนๆหนึ่งกำลังยืนอยู่ในเปลวไฟ

“ฮู้ว ควบคุมเจ้านี่ไม่ค่อยอยู่เลย”

ซุงกูเอียงศีรษะแล้วสร้างไฟขึ้นมาใหม่

ใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีร่างเขาก็ลุกไหม้ ซุงกูเปลี่ยนร่างกายเป็นไฟ มองเหมือนร่างเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหดตัวกลับมาเป็นขนาดเดิมเรื่อยๆ เขาทำแบบนี้ไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆมองอย่างสนุกสนาน บางคนพนมมือเข้าหากันเหมือนกำลังสวดภาวนา

“ทำอะไรอยู่เหรอ?”

โดเจมินผ่านมาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกุมมือภาวนาจึงถาม เด็กหญิงตกใจแล้วค้อมศีรษะลง

“ท่านเคาท์เจมิน”

เขาเป็นขุนนางแห่งราตรี โดเจมินรับสืบสายเลือดมาจากเคาท์และเป็นลอร์ดแห่งแวมไพร์ เขาโด่งดังในสหพันธ์เพราะพลังต่อสู้

โดเจมินและฮงซุงกูเป็นที่รู้จักในฐานะคนรับใช้ของผู้ไม่ตาย นอกจากนั้นยังมีบลังกา,เชฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อม ผู้คนมองพวกเขาอย่างเลื่อมใส

“หนูภาวนากับดวงวิญญาณแห่งธาตุค่ะ”

“...ดวงวิญญาณแห่งธาตุเหรอ?”

“ค่ะ”

เด็กหญิงพยักหน้าเหมือนมันของแน่อยู่แล้ว เจมินเหลือบมองฮงซุงกู

“อ้อ...”

เขาก็เหมือนดวงวิญญาณแห่งธาตุจริงๆ...

“หนูเคยคิดว่าผู้ไม่ตายน่ากลัว แต่เขาเป็นคนพิเศษมากเลย เขามีราชาภูติไฟกับท่านเคาท์คอยรับใช้ คนที่รับใช้เขาเก่งๆทั้งนั้น”

“อ้อ...นั่นน่ะ...”

พวกเขาไม่ได้เก่งมาตั้งแต่แรก แต่เจมินไม่อยากเถียง เขาแค่หัวเราะ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนบนโลกนี้คิดกับเขาอย่างไร

“อืม ดูต่อไปเถอะ”

“ค่ะ”

เจมินมองซุงกูอย่างนับถือ ซุงกูไม่สนใจที่ถูกมอง เขามีสมาธิฝึกต่อ

‘ถ้าเป็นฉันคงอายมาก’

สมาธิเขาดีมาก? หรือไม่รู้ตัวกันแน่?

โดเจมินส่ายศีรษะ

‘พี่วูจินจะไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยไหมนะ?’

วูจินวางแผนจะให้เมโลดี้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรียอย่างเป็นทางการ จะได้เอาไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของเธอ

เขาเดินทางไปวิหารอาเรีย นี่ก็สองวันแล้ว

มันตั้งอยู่กลางเขตของศัตรู แต่เจมินไม่รู้สึกเป็นห่วงเพราะเป็นวูจิน

‘ถ้าได้ไอเทมของเทพีอาเรียมาแล้วก็เหลืออีกอันเดียว’

นี่คือคำพูดของวูจิน

ถ้าเขาได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งเวลาเฮเรส วูจินจะได้ไอเทมสำหรับสร้างชุดเซ็ทของเขาครบ

คำใบ้สำหรับทำลายดันเจี้ยนอยู่ในชุดเซ็ทนี้ เจมินจึงอยากให้มันสร้างเสร็จให้เร็วที่สุด

อยู่ที่อัลเฟนก็ไม่แย่นัก แต่เจมินคิดถึงบ้านแล้ว

เขาสงสัยว่าพี่วูจินทนกับความเหงาได้อย่างไร ตั้ง 20 ปี...



สารบัญ                                    บทที่ 176


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น