บทที่ 109 – ล่าแวมไพร์
ในตรอกมืดแห่งหนึ่ง
ชายคนหนึ่งกำลังกอดเกี่ยวผู้หญิงสวมมินิสเกิร์ต
“อ๊า”
เสียงครางดังลอดจากริมฝีปากผู้หญิงเหมือนเรี่ยวแรงเธอถูกดูดไป ผ่านไปครู่หนึ่งชายหญิงก็ผละจากกัน ผู้หญิงล้มลงบนพื้น ผู้ชายปาดเลือดออกจากปากพลางหัวเราะ
“คึๆ ที่นี่คือสวรรค์เหรอ?”
ที่นี่มีมนุษย์เลือดสดๆล้นเหลือ
เขาไม่เคยเห็นมิติที่มีมนุษย์มากมายขนาดนี้ วันนี้เขาลิ้มรสเลือดมนุษย์ไป 24 คนแล้ว ในอดีต เขาต้องดื่มเลือดสัตว์หรือมอนสเตอร์ประทังชีวิต เลือดพวกมันต่างจากของมนุษย์เหมือนหญ้ากับคุกกี้หวาน
เขาอยากได้เลือดมากกว่านี้ แต่ได้เวลาต้องไปแล้ว
“ฮึ ข้ายังมีเวลาอีกมาก”
เขาเป็นทาสของเรลเลอร์ ลอร์ด 7 ขั้น ครอบครอง 7 บัลลังก์ ชื่อของเขาคือเวมอร์ทและเป็นหน่วยลาดตระเวนที่เก่งที่สุดของเรลเลอร์ เขาถูกส่งมาที่โลกเพื่อหาดันเจี้ยนที่เหมาะที่สุดเพื่อให้เจ้านายของเขาเชื่อมต่อ
“ข้าจะค่อยๆสนุกกับมัน”
เขายังมีเวลาอีกมาก เขาจะท่องไปตามที่ต่างๆค่อยๆรวบรวมข้อมูล เขาต้องหาที่นอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
ขณะที่เขาคิดจะเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
“เฮ้อ เจอจนได้”
เวมอร์ทหันหน้าไปทางต้นเสียงช้าๆ
ชายสองคนยืนตรงนั้น คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นตัวซีดขาว อีกคนเป็นชายร่างสันทัดมีบรรยากาศอันตรายห้อมล้อม สัญชาติญาณทำให้เวมอร์ทถอยหลัง
“เฮอะ คิดจะไปไหน?”
“แกเป็นใคร?”
“นายไม่ต้องรู้หรอก”
เมื่อวูจินยิ้ม เวมอร์ทก็รู้สึกถึงอันตรายจึงรีบหันหลังกระโดดหนีไป แต่ข้อเท้าเขาถูกคว้าเอาไว้จนบินหนีไปไม่ได้
กึง!
ทันทีที่วูจินคว้าขาเวมอร์ท เขาเหวี่ยงแวมไพร์กระแทกพื้น ไม่หยุดเท่านั้น เขายกเวมอร์ทขึ้นมาแล้วทุ่มลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พริบตาเดียวใบหน้าของเวมอร์ทก็ยับเยินส่งเสียงครวญคราง
วูจินเหยียบคอเวมอร์ท
เวมอร์ทส่งเสียงอึกอักเหมือนหายใจลำบาก เมื่อใช้เท้ายึดไว้ดีแล้ว วูจินเรียกเจมินที่ยังยืนตรงปากตรอก
“มานี่”
“...”
เจมินได้ยินมาเยอะ อ่านข่าวมาก็มาก กระทั่งเคยเห็นในวิดีโอ
แต่พอได้เห็นกับตาแล้วช่างไม่น่าเชื่อ คังวูจินเก่งจริงๆ แวมไพร์ที่กัดเขาถูกวูจินควบคุมโดยไม่มีทางโต้ตอบเลย
เจมินนับถือวูจินแต่ในใจก็กลัว
วูจินหยิบดาบสั้นออกมาจากคลังส่งให้เจมินที่กำลังเดินทื่อเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“จับไว้”
เมื่อเจมินจับด้ามดาบอย่างกระอักกระอ่วน วูจินชี้ลงไปข้างล่าง
“แทงมันที่หัวใจ”
“ครับ?”
เจมินประหลาดใจ แต่วูจินพูดเรียบๆ
“แทงมัน เร็วเข้า”
“...”
มือที่ถือดาบของเจมินสั่น
“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเหรอ?”
“อะ...เปล่า ผมอยาก”
เขาไม่อยากตาย แต่เขากลัว เจมินสะอื้น
“เอ่อ ผมต้องแทงยังไง...”
“เฮ้อ”
วูจินกุมมือเจมินที่ถือดาบไว้ แล้วแทงลงไปตรงหัวใจเวมอร์ท
“เอ๋?”
เมื่อปลายดาบแตะเสื้อของแวมไพร์ วูจินปล่อยมือ
เจมินงอตัวอย่างเก้ๆกังๆพยายามจับดาบไม่ให้หลุดมือ วูจินมองเจมินพลางพูด
“แทง”
“พ...พี่”
ถ้าจะช่วยก็น่าจะช่วยให้ถึงที่สุดสิ...
เหมือนบันจี้จัมป์ เขาไม่มีความกล้าจึงต้องการคนช่วยผลัก เขาลังเลแต่ไม่ฝืนเมื่อถูกผลัก
ตอนนี้เจมินไม่มีความกล้าอะไรทั้งนั้น
“นายต้องทำเอง”
“ฮึก”
วูจินตอบเสียงเรียบ
เจมินหลั่งน้ำตาน้ำมูก และวูจินได้แต่ถอนหายใจ
“พอพระอาทิตย์ขึ้น นายจะตายและไอ้นี่ก็ตายเหมือนกัน แต่มันน่าจะไปคืนชีพที่อาณาเขตของมัน”
ข้ารับใช้สามารถคืนชีพได้ถ้าเจ้านายช่วยเหลือ วูจินอ่านคู่มือจัดการอาณาเขตมิติจึงรู้เรื่องนี้
“เลือก ตายหรือชิงชีวิตของมันแล้วกลายเป็นแวมไพร์ นายเลือกเอง”
วูจินไม่ได้ช่วย เขาแค่ให้ทางเลือกเจมิน เขาต้องตัดสินใจเองว่าจะตายหรืออยู่ต่อ
วูจินมองท่าทีของเจมินเงียบๆ
เจมินร้องไห้
หลังจากกระอักเลือด เวมอร์ทมองมาที่เขาอย่างหวาดกลัว นี่เป็นแวมไพร์ไม่ใช่มนุษย์ ความคิดมากมายเข้ามาในหัวเจมิน ทำให้เขาลังเล
“จะหมดวันแล้ว”
“ฮึกๆ”
เจมินยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
เขาอยากมีชีวิต เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่ไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อพี่สาวที่ร้องไห้ให้เขาด้วยซ้ำ
เขาอยากมีชีวิต ดังนั้นเขาต้องฆ่า
ดวงตาของเจมินมัวลง ไอ้นี่ดูดเลือดเขา มันคิดจะฆ่าเขา
“อ๊าก!”
เจมินแทงสุดแรง
จึก
“เอ๋?”
ผิวแวมไพร์หนากว่าที่คิด ดาบสั้นแทงไม่เข้า วูจินส่ายหน้า
“เฮ้อ จะอ่อนไปไหน? รีบๆแทงเร็วเข้า พระอาทิตย์จะขึ้นจริงๆแล้วนะ”
“ครับพี่”
ปึก ปึก!
ครั้งแรกยากที่สุด แต่เมื่อเขาทำใจแข็งได้เขาก็แทงใหม่ด้วยแรงมากกว่าเดิม
“ท...ทำได้แล้ว!”
เจมินดีใจได้ไม่นาน เลือดพุ่งออกมาจากหัวใจที่ถูกแทงจนเปื้อนตัววูจินกับเจมิน เลือดที่ฉีดกระจายผิดกฎแรงโน้มถ่วง มันรวมเป็นหยดเลือดแล้วลอยเข้าปากเจมิน
สืบสายเลือด
ทาสรับสืบทอดเลือดจากเจ้านายและกลายเป็นแวมไพร์
“อ๊าก”
เลือดถูกดูดเข้าไปในปากเขาไม่หมดสิ้น เจมินตัวสั่นเหมือนกำลังจะหมดสติ เมื่อดื่มเลือดทั้งหมดแล้วเขาทรุดลงบนพื้น
“แหวะ”
แค่คิดก็ทำให้เจมินคลื่นไส้ สองมือกุมปาก เขาอาเจียนโดยไม่มีอะไรออกมาหลายครั้ง แล้วน้ำตาก็เริ่มไหล
“ฮือๆ”
“นายเป็นผู้ชายนะ ทำไมร้องไห้บ่อยนัก?”
“ฮือ พี่...”
“อะไร”
“เลือด...มันอร่อยมาก ฮึก”
มันหวานอร่อย ดีกว่าเครื่องดื่มชนิดไหนที่เขาเคยดื่มมา ความรู้สึกแปลกๆกับความชื่นใจทำให้เจมินร้องไห้
เหมือนความเป็นมนุษย์เขาถูกลอกออกไป ทำให้เขารู้สึกเศร้า
“เฮ้อ ฉันก็นึกว่า... จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ”
ร่างเวมอร์ทกลายเป็นแสงสีเทาดังนั้นจึงไม่ต้องจัดการอะไรอีก วูจินเรียกอาวุธออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นหอก เจมินตาโตเมื่อเห็นวูจินเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิง
“พี่! พี่จะทำอะไร?”
“หืม? เราต้องจัดการเธอก่อนไป”
“ค... คนนะ?”
“จะหมดวันแล้ว ยังไงเธอก็จะกลายเป็นผีดูดเลือดอยู่ดี เราถึงต้องจัดการเธอ”
“...”
วูจินพูดเสียงเรียบว่าจะชิงชีวิตคนอื่นไป เจมินสงสัยว่าเขารู้จักคนๆนี้จริงเหรอ เขารู้สึกอึดอัด
“อะไร? หรือนายอยากบอกลาหัวใจตัวเอง? ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเธอได้นะ”
“...”
วูจินยิ้มเมื่อเห็นเจมินเงียบ
“นายเห็นชีวิตผู้หญิงที่เหลือเวลาอีกแค่ 30 นาทีมีค่าจริงน่ะ? ถ้าเธอเปลี่ยนเป็นผีดูดเลือดแล้วฆ่าคน ชีวิตคนๆนั้นไม่มีค่าเหรอ?”
“นั่น...”
ไม่จำเป็นต้องถามเลย คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทำไมเขาถึงสงบเย็นชานัก?
“นายอยากทำไหม?”
“ม...ไม่ครับ”
“นายต้องชินกับมันนะ”
หมายความว่ายังไง?
เขาจะต้องเห็นวูจินฆ่าคนอีกมาก? หรือพูดถึงโลกบ้าๆนี้ที่เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน?
ปึก!
วูจินแทงหัวใจของผู้หญิงหน้าซีดเซียว
เจมินปิดตาแน่น วูจินเห็นแล้วยิ้ม
เขายังอ่อนโยนและไร้เดียงสาเหมือนเดิม
เจมินเหมือนเขาเมื่อ 5 ปีก่อนที่มาอัลเฟนครั้งแรก
“ทำใจให้สงบ”
“ครับพี่”
เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เจมินจะเปลี่ยนเป็นดื้อรั้นเหมือนเขาหรืออ่อนโยนไปเรื่อยๆแล้วตาย เขาต้องเลือกเอง ถ้าเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง
“หาที่หลบก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น”
“ที่ไหนครับ?”
“อืม นายตอนนี้น่าจะไปที่นั่นได้”
วูจินมองเลเวลของเจมิน
<เลเวล 15 แวมไพร์ โดเจมิน>
เจมินเคยเลเวล 5 เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เราส์ แต่พิธีโลหิตเพิ่มเลเวลเขาขึ้นมา 10 เลเวล ตอนนี้เขาอยู่เหนือวงแหวนที่ 1
ตอนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นเราส์ ตรงกับเงื่อนไขการเข้าดันเจี้ยน
วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมไปยังอาณาเขตมิติของเขา อลันดาล
“ฉันจะบอกทางโน้นไว้ นายเข้าไปแล้วหาบิบิ”
“...ครับพี่”
“เข้าไปแล้วตั้งสติให้ดี เดี๋ยวฉันจะไปหา”
“ครับพี่ ขอโทษนะครับ”
เจมินรู้สึกละอาย
เขารู้ว่าวูจินไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เขาก็ยังกลัว
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่ทำลงไปนั่นเพื่อเขาหรือ? วูจินช่วยชีวิตเขา เจมินจะไม่ตัดสินว่าวูจินดีหรือเลว
วูจินยิ้มแล้วผลักหลังเจมิน
“เข้าไปเถอะน่า นายจะถูกเผาจนตายถ้าเห็นแสงแดดนะ”
“เหวอ ครับ”
เมื่อเจมินผ่านอุโมงค์ไปแล้ววูจินก็ปิดมันทันที ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็สาดเหนือวูจิน เขาหัวเราะขื่น
***
ดันเจี้ยนเบรกที่เดกูเกิดขึ้นโดยขัดแย้งกับกฎดันเจี้ยน จากนั้นไม่นานในโซลก็เกิดดันเจี้ยนเบรกหลายแห่งติดต่อกัน ทำให้โลกตกตะลึง
กฎที่บอกว่าดันเจี้ยนเบรกจะเกิดเมื่อผ่านไป 30 วันแล้วยังพิชิตดันเจี้ยนไม่สำเร็จถูกหักล้าง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะเกาหลี ทุกประเทศที่มีดันเจี้ยนต่างตื่นตัวถึงขีดสุดและพยายามหาหนทางรับมือ
แต่ประเทศเหล่านั้นยังมีกรณีตัวอย่างให้ศึกษา
ดันเจี้ยนเบรกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำลายล้างโซล
ถ้าโลกตกตะลึง โซลก็อยู่ในสภาพเลวร้ายยิ่งกว่า
เกิดการอพยพครั้งใหญ่ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ดันเจี้ยนที่จะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้
ทุกคนอพยพกันวุ่นวาย รัฐบาลพยายามหยุดความโกลาหลนี้ด้วยการบอกว่าสามารถหยุดไม่ให้เกิดดันเจี้ยนเบรกรายวันได้ แต่ไม่มีใครเชื่อนัก
รัฐบาลพยายามกู้การสนับสนุนจากมวลชนคืนมาจึงกดดันกิลด์อลันดาลให้ทำการรบในดันเจี้ยนเบรกที่จะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้
แหล่งข่าวทุกแห่งยกหัวหน้ากิลด์อลันดาลคังวูจินเป็นฮีโร่ ที่จะช่วยเกาหลีผ่านช่วงวิกฤตินี้ไป พวกเขาหวังให้คังวูจินปกป้องเกาหลี
นี่ทำให้คนตั้งความหวังไว้ที่คังวูจิน แต่เขากลับหายตัวไปไร้ร่องรอย และท่าทีของอลันดาลก็น่าสงสัย
ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำติดดิน ขณะทุกคนย้ายออกจากโซล กิลด์อลันดาลกลับซื้อที่ดินรอบสถานีโซลแล้วเตรียมย้ายเข้าไปอยู่
ผ่านไปสองวัน ถนนในโซลซ่อมเสร็จ ผ่านไปสี่วันความสงบก็กลับคืนมาบ้าง ในวันที่สี่ ฝูงชนรวมตัวกันที่ลานแห่งหนึ่งเรียกร้องให้มีวิธีรับมือกับดันเจี้ยนเบรก
การชุมนุมมีโอกาสเปลี่ยนเป็นความรุนแรง รัฐบาลจึงกังวล สิ่งเดียวที่บรรเทาความโกรธและความรู้สึกไม่มั่นคงของคนได้คือคังวูจิน รัฐบาลจึงพยายามผลักคังวูจินออกมา
แต่เมื่อพวกเขาหาในกิลด์อลันดาล คังวูจินไม่อยู่ที่นั่น ดูเหมือนเขากำลังเคลียร์ดันเจี้ยนอยู่ พวกเขาจึงไม่มีทางตามตัวเขา
วันที่ห้า สภาตัดสินใจระงับแผนย้ายเมืองไปยังเซจอง ข่าวรั่วไหลออกไปและกลุ่มประท้วงก็ขยายใหญ่ขึ้น การชุมนุมเปลี่ยนเป็นความวุ่นวาย
ในวันนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์มาถึงสนามบินอินชอน
“ดูนั่นสิ”
เมโลดี้ลงจากเครื่องบิน ผ่านการตรวจเข้ามาโดยมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ 7 นายคอยคุ้มครอง
“ว้าว...โชคดีชะมัด”
ความงามของเธอมีอำนาจดึงดูดสายตาคนรอบๆ
“นั่นเมโลดี้ไม่ใช่เหรอ?”
“นายรู้จักเหรอ?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ไง ฉันว่าเคยเห็นเธอในยูทูบ...”
“จริงเหรอ?”
มีบางคนรู้จักเธอ บางคนไม่ แต่เธอก็ได้รับความสนใจจากทุกคน เมโลดี้ออกเดินอย่างสงบและหยุดตรงหน้าชายคนหนึ่งที่กำลังยกป้ายต้อนรับ
“ไม่เจอกันนาน มินชาน”
จุงมินชานประหลาดใจที่เธอพูดภาษาเกาหลีได้คล่อง จากนั้นเขายิ้มแล้วก้มหน้าทักทายช้าๆ
“คุณเดินทางมาไกลเลย ท่านประธานกำลังรออยู่ครับ”
จุงมินชานนำทางเมโลดี้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ไปที่สำนักงานแห่งใหม่ของกิลด์อลันดาล
“ทางนี้ครับ อันนั้นให้ผมถือให้”
“ไม่เป็นไร”
เมโลดี้ปฏิเสธยิ้มๆ เธอกอดกระเป๋าใบเล็กไว้เหมือนภายในมีของสำคัญ ผู้ไม่ตายเป็นคนต้องการ ‘เอกสาร’ ที่อยู่ในกระเป๋านี้
อยากดูสตอรี่ช่วงวูจินเพิ่งไปอัลเฟนจัง นึกสภาพช่วงเฮียแกใสๆไม่ออกเลย น่าจะแต่งเป็นภาคแยก ในที่สุดเมโลดี้ก็มีบทละเราชิบคู่นี้ 555
ตอบลบดีนะครับเนื้อเรื่องเเยกได้หลายตอนเลยอะ เริ่มจากไปต่างโลกเเละได้กลับจากต่างโลก+ได้ลูกน้องเก่าๆมาทำให้ไม่ปวดตับอีก เเบบที่ทหารที่สู้เคียงบ่ามาเพื่อเเม่กับน้อง ค่อนข้างปวดใจเลย เเต่พอรู้ว่ามีลูกน้องตามมาด้วยนี่จบดีเลยนะ
ลบไม่รู้เลยว่ารักกับอลิสตัวรออัญเชิญรึป่าวเห็นบิบิบอกว่ารอเรียกอัญเชิญนี่พี่เเกเล่นนึกถึงอลิสก่อนเลยทั้งๆที่เจนิสโหดสุด
ลบวูจินตอนนี้ก็ยังใสๆนะคะ ตอนอยู่กับแม่กับน้องเงี้ย :3
ตอบลบได้ข่าวก่อนหน้านั้นเฮียเชือดผู้ก่อการร้ายเป็นว่าเล่น แถมขี่ขีปณาวุธกลับอีก ครับใสจริงๆ //โดนหอกกระดูกแทงตาย
ลบ