บทที่ 107 – หน้าที่ (2)
ห้องประธานกิลด์แฮมเมอร์
บุคคลสี่คนกำลังนั่งมองหน้ากัน
ประธานกิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คซังโอ รองประธาน ปาร์คจินวู ทั้งสองเป็นเราส์แรงค์ A ตัวแทนของเกาหลี ฮงซุงกูกับจุงมินชานกำลังนั่งตรงข้ามพวกเขา
หนึ่งคืออดีตพนักงานที่กลายเป็นรองประธานกิลด์อลันดาล อีกหนึ่งเป็นเราส์ธรรมดาที่พวกเขาไม่สนใจนักแต่กลับกลายมาเป็นเราส์แรงค์ A ปาร์คซังโอกระสับกระส่ายเมื่อมองฮงซุงกู
‘น่าเสียดาย’
ถ้าเขารวมทั้งสองเข้ามา กิลด์แฮมเมอร์ก็จะมีเราส์แรงค์ A สามคนกับเราส์แรงค์ AA อีกหนึ่งคน ไม่ใช่สิ ไม่สามารถเรียกวูจินว่าแรงค์ AA ได้อีกต่อไปแล้ว
ความเงียบชวนอึดอัดในห้องคงอยู่ไปกระทั่งเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น
เมื่อปาร์คซังโอกดปุ่มเสียงของเลขานุการก็ดังขึ้น
[คุณคังวูจินมาถึงลิฟต์แล้ว อีกไม่นานจะไปถึง]
“เข้าใจแล้ว”
ปาร์คซังโอยกนิ้วออกจากปุ่มอินเตอร์คอมแล้วมองมินชาน
“คุณคังวูจินรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจครับ คุณควรถามเขาดู”
เขาจะไปรู้ได้ยังไง? มีเรื่องที่วูจินบอกว่าเป็นเรื่องจริงและเคยเตือนเขาไว้ว่าระเบียบของโลกและศีลธรรมจะพังทลาย มินชานสงสัยว่าการเกิดดันเจี้ยนระเบิดติดต่อกันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นหรือเปล่า
แอ๊ด
เสียงประตูดังกว่าเคยในห้องเงียบ วูจินมาถึง
“เป็นอะไร? ทำไมดูซึมๆกันหมด?”
ได้ยินเสียงของวูจิน ซุงกูยืนขึ้นเป็นคนแรก
“ลูกพี่!”
มินชานมองวูจินอย่างนับถือ ปาร์คซังโอกับปาร์คจินวูยืนขึ้นเนือยๆ ปาร์คซังโอเดินไปหาวูจินแล้วยื่นมือให้
“เพิ่งได้มาทักทายกันในเวลาแบบนี้นะครับ”
“นั่นสิ”
วูจินยังห้าวตามปกติ ปาร์คซังโอหน้าตึงทันทีแต่ปาร์คจินวูยื่นมือออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมปาร์คจินวู”
“ผมคังวูจิน”
หลังจับมือ วูจินนั่งตรงเก้าอี้ว่าง
“ไม่นั่งเหรอ?”
วูจินนั่งตามสบายเหมือนเป็นที่ของตัวเอง ทำให้อารมณ์ปาร์คซังโอเดือดขึ้นแต่เขาพยายามควบคุมสีหน้าตัวเอง
“คุณมีอะไรจะพูดกับผมเหรอ?”
วูจินถามตรงๆ ปาร์คซังโอยกความรู้สึกส่วนตัวไปไว้ที่อื่น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องมารยาทที่คนเกาหลีควรมี และวูจินไม่ใช่คนแบบที่จะรับฟังเรื่องพวกนี้
“คุณรู้สาเหตุของเหตุการณ์นี้หรือเปล่า?”
“ลีซังโฮเป็นคนทำ มันกลายเป็นข้ารับใช้ของอิเอลโล แม่ทัพของทราห์เน็ต พอลีซังโฮกลายเป็นข้ารับใช้ก็ทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกได้”
“...?”
ปาร์คซังโอคนถามและคนอื่นๆในห้องได้แต่กระพริบตาปริบๆ พวกเขาคิดว่าวูจินน่าจะพอรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้
“อิเอลโลของทราห์เน็ตนี่คือใคร ไม่สิ ทราห์เน็ตคืออะไร?”
“พวกมันเป็นเจ้าของที่ครอบครองดันเจี้ยน มันเป็นหนึ่งในไอ้พวกเวรที่จะทำโลกให้กลายเป็นที่ล่าของพวกมัน”
เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป ปาร์คซังโอกลืนน้ำลาย
“ท...ทำไมคุณรู้ถึงขนาดนี้?”
วูจินมองปาร์คซังโอ
“คุณเป็นนักข่าวเหรอ?”
“...ผมเป็นหัวหน้ากิลด์แฮมเมอร์”
“ผมพูดเล่นน่ะ พูดเล่น”
วูจินยิ้ม
“ผมกลับมาจากโลกที่พวกมันบุก”
“...”
พวกเขาไม่เข้าใจที่วูจินพูด มันเหลือเชื่อเกินไป
“ถ้าต้นเหตุเป็นลีซังโฮ เราต้องจับกุมเขาใช่ไหม?”
“ผมฆ่าไปแล้ว”
“เฮือก”
วูจินมองสีหน้าประหลาดใจของคนอื่นพลางเอนหลังจมไปในโซฟา
“รับแขกกันแบบนี้เหรอ? ไม่มีกาแฟ?”
ทำไมมาถามหากาแฟในเวลาแบบนี้... ปาร์คซังโฮทำใจให้สงบแล้วให้เลขานุการเอากาแฟมา
เขามองคังวูจินด้วยสายตาสั่นไหว
‘ฉันไม่เคยเข้าใจเขา แต่...’
เขาควรเชื่อเรื่องนี้ถึงขั้นไหน เขาควรเตรียมตัวอย่างไร... ปาร์คซังโอเหลือบไปทางจุงมินชานกับฮงซุงกู พวกเขาดูประหลาดใจแต่มีท่าทางบ่งบอกว่าเชื่อทุกอย่างที่วูจินพูด
ในเมื่อวูจินรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เขาน่าจะมีแผนรับมือ
“คุณคิดจะทำอะไรต่อ?”
วูจินยิ้มพลางดื่มกาแฟที่เลขานุการนำมา
“ทำอะไร? ก็เหมือนเดิม”
เขายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาไม่รู้ว่าลอร์ดของทราห์เน็ตจะมาในอีกไม่นานหรือยังต้องใช้เวลาอีก
สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจคือสงครามใกล้เข้ามาทุกที
“ผมหยุดดันเจี้ยน ฝึกเราส์ เพิ่มพลังให้ตัวเอง... เตรียมตัวสำหรับสงคราม”
เราส์เติบโตตามธุรกิจดันเจี้ยน เห็นได้ชัดว่าแต่ประเทศมีกิลด์ตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อย
โลกกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารวมตัวกันภายใต้กิลด์และแข็งแกร่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาต้องรวมพวกเราส์เข้ามา
ถ้าเป็นวูจินคนก่อน พวกเขาคงไม่ฟังความเห็นของวูจินแต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างระหว่างเราส์คังวูจินที่ไม่มีที่มาชัดเจน กับคังวูจินตอนนี้นั้นต่างกันมาก
คังวูจินมองจุงมินชานที่คอยจัดการเรื่องของเขาให้เสมอ
“มาเริ่มเตรียมตัวพร้อมกันในทีเดียวเถอะ”
“อืม”
ปาร์คซังโอที่ฟังอยู่ข้างๆคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
ทำอย่างไรกิลด์แฮมเมอร์ถึงจะได้ประโยชน์? เขาต้องทำอย่างไรถึงจะมีบทบาทสำคัญ?
“เราวางแผนจะให้กิลด์ทุกกิลด์ของเกาหลีมารวมกันในหนึ่งเดือน คิดว่าเรียกมาที่นี่ได้ไหม?”
“อืม ผมคิดว่าน่าจะทำได้”
ปาร์คซังโอกู่ร้องยินดีในใจ นี่เป็นโอกาสของเขา
ถ้ากิลด์แฮมเมอร์ได้คังวูจินมาไว้ในมือย่อมดีที่สุด แต่คังวูจินยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าแผนหนึ่งไม่สำเร็จก็ต้องใช้แผนสอง
เขาโอหังอวดดี แต่กลับไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนี้จะนำความเสียหายมาขนาดไหน
หากว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้...
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นที่สอง’
ปาร์คซังโอยอมแพ้เรื่องตำแหน่งที่หนึ่งของเกาหลีและพุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่เป็นไปได้มากกว่า
กิลด์อลันดาลเป็นที่หนึ่งของเกาหลีและเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก เขาได้แต่ยอมถอย
“เอาล่ะ งั้นไว้เจอกันใหม่”
กิลด์ของเกาหลีจะมารวมตัวในที่เดียวกันในอีกหนึ่งเดือนอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องรวมเราส์ทั้งหมดของเกาหลี? คงมีบางส่วนที่ร่วมมือและบางส่วนที่ขัดแย้ง แต่ถ้าสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจความหนักหนาของอันตรายนี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาอยู่ในทีมเดียวกัน
‘ทุกคนต้องสู้เพื่อตัวเอง’
สุดท้ายแล้วนี่คือการต่อสู้เอาตัวรอด
วูจินก็จะสู้เพื่อคนที่เขาอยากปกป้อง แต่ถ้ามีคนที่ต้องดูแลน้อยลงเขาก็ไม่ว่าอะไร
ตัวอย่างที่ดีคือปาร์คซังโอ
‘หมอนั่นไม่เชื่อใจฉัน’
ชายคนนี้ยังเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์เป็นของไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าความต้องการเอาชีวิตรอด
คนแบบนี้ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเพราะคนที่เขาต้องเป็นห่วงน้อยลง
“พวกเราไป”
“ครับท่านประธาน”
เมื่อคนของอลันดาลลุกขึ้น ปาร์คซังโอออกไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง การจำกัดเขตยังไม่ถูกปลด พลเมืองจึงต้องอยู่ในที่หลบภัย แต่คนของอลันดาลออกจากตึกไป
ถนนยังเต็มไปด้วยทหาร บรรยากาศยังดูวุ่นวาย
“รอทุกอย่างเรียบร้อยกว่านี้ผมจะมารับแม่กับน้อง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาครับ เราจะคุ้มครองอย่างดี”
มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่โอกาสที่พวกมันเหลือซ่อนอยู่ยังมี อยู่กับกิลด์แฮมเมอร์ยังดีกว่าอยู่บ้าน
‘มีองค์กรใหญ่ๆแบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ’
อลันดาลมีเราส์เพียง 3 คน น้อยเกินไปสำหรับการแบ่งงาน นี่ไม่ใช่เรื่องดีถ้าเขาอยากปกป้องครอบครัวและคนสำคัญของเขาและต่อสู้ไปด้วย
ที่อัลเฟนเขาเสียคนสำคัญไปมากมายก็เพราะสาเหตุนี้
“คนกิลด์เราที่เหลือเป็นยังไงบ้าง?”
“กรรมการคิมหลบภัยไปกับพนักงานคนอื่นครับ ที่เหลือก็หลบภัยอยู่ที่ตึกนี้”
พวกเขาอยู่ที่กิลด์อลันดาลตอนเกิดเรื่องและโชคดีหนีมาได้ ครอบครัวของซุงกูกับครอบครัวของพนักงานคนอื่นๆต่างหลบมาอยู่ที่สำนักงานใหญ่กิลด์แฮมเมอร์
“ทุกคนอยู่ที่นี่?”
“ตอนนี้เราติดต่อกับหัวหน้าฝ่ายเลขานุการกับพนักงานในฝ่ายนั้นไม่ได้”
“คุณฮีซอลปลอดภัยครับ เธอเพิ่งแยกกับผมเมื่อไม่นาน”
ฮงซุงกูกับฮีซอลออกจากดันเจี้ยนมาด้วยกัน มีแจ็คสันปกป้องคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
ปัญหาคือลีซูงฮุนกับพนักงานแผนกเลขานุการที่ติดต่อไม่ได้
มินชานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบและเห็นว่าเน็ตเวอร์คยังล่มอยู่แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อ
“ระบบสื่อสารยังไม่กลับมา”
เมืองถูกทำลายเพราะดันเจี้ยนเบรกหลายๆครั้ง การฟื้นฟูระบบสื่อสารเป็นขั้นตอนดำเนินการพื้นฐานแต่มันช้ามาก พวกเขาหยุดดันเจี้ยนเบรกได้สำเร็จ ได้ความสงบคืนมาชั่วครู่ แต่ความเสียหายคงมากเกินไป
“ไปที่ออฟฟิศกัน”
“ครับท่านประธาน”
พลเมืองถูกห้ามออกจากที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย ในเมื่อกลุ่มเขามีเราส์ 2 คน ทหารจึงมองข้ามมินชานที่เป็นพลเมือง พูดให้ถูกเขาไม่ใช่พลเมืองแต่เป็นพนักงานกิลด์
“เชด เละหมด”
ราวกับความโกลาหลของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง สำนักงานเลอะเทอะ พนักงานตกอยู่ในความหวาดกลัวแต่พวกเขาหนีไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมินชานผู้มากประสบการณ์ เขาเป็นคนที่อยู่ในธุรกิจดันเจี้ยนมาตั้งแต่ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก กระดูกเขาแข็ง
วูจินตั้งเก้าอี้ขึ้นพลางมองรอบสำนักงาน ระหว่างเดินขึ้นมาเขาเห็นห้องเก็บของถูกใครบางคนยกเค้าไปหมด
ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคนหรือมอนสเตอร์
“ย้ายกันเถอะ”
“ครับ?”
เขาต้องมีฐานที่มั่น ควรเป็นที่ๆปกป้องคนจากมอนสเตอร์ที่จะบุกมา เขาต้องการที่ๆสามารถรั้งศัตรูไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกำลังคนจำนวนน้อย... ป้อมปราการเหมือนสำนักงานใหญ่ของกิลด์แฮมเมอร์
“หาที่ใกล้สถานีโซล หาตึกเหมาะๆได้แล้วก็บอกฉัน ถ้าซื้อได้ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ เราก็เอามาเลย”
“...”
เขาอยากชินกับวิธีคิดของท่านประธานแต่ทำยังไงก็ตามไม่ทันสักที แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือถ้าวูจินบอกจะทำอะไรเขาก็ทำแน่ งานของเขาคือดูแลให้เรื่องเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
“ผมจะหาให้ ที่จริงผมเป็นห่วงคุณซุงฮุนกับคนของแผนกเลขานะ”
“ไม่ตายก็กลับมาเอง”
“...”
พูดอีกก็ถูกอีก มินชานเลยไม่รู้จะตอบยังไง ขณะมินชานกำลังมองวูจินอย่างอึดอัด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“อา ดูเหมือนระบบสื่อสารจะกลับมาแล้ว”
มินชานรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิดว่าคนของแผนกเลขานุการโทรมาแต่กลับเป็นเบอร์อื่น
“เอ๊ะ...จากกระทรวงกลาโหม?”
“หืม?จะเอาอะไรอีกล่ะ?”
ซุงกูที่นั่งข้างวูจินเป็นคนตอบ
“ลูกพี่ พี่ขี่จรวดมา”
“อ้อ นั่น... เอ่อ บอกพวกเขาว่าสหรัฐเป็นคนยิง พูดแค่นั้นพอ”
มินชานถอนหายใจเบาๆแล้วรับสาย
“...รองประธานกิลด์อลันดาล จุงมินชานพูด”
เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังคุยจบ เขามองวูจินแล้วพูด
“พวกเขาถามไปทางเพนตาก้อนแล้ว เขาบอกว่าระยะทางไกลเกินกว่าท่านจะมาถึงที่นี่ได้”
“ฉันถึงได้ผูกเครื่องบินเจ็ทมาสองลำไง”
“...”
โดลเซเป็นคนทำให้เครื่องบินเจ็ทติดมากับขีปนาวุธ วูจินเพิ่มพลังเวทย์ลงไปเพิ่มพลังของเครื่องยนต์ แล้วเขาก็มาถึงโซลภายในเวลาสั้นๆ
“เพนตาก้อนบอกว่าท่านขอยืมจรวดกับเครื่องบินเจ็ท... ยืนยันได้แล้วว่าท่านขี่มันมาที่นี่”
วูจินขมวดคิ้ว
“แล้วไง?”
“คราวนี้ท่านต้องไปหาพวกเขา”
“หาที่ไหน? กระทรวงกลาโหม? ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรเหลือให้ต้องอธิบายสักหน่อย...”
“ไม่ครับ ชองวาแดเรียกท่าน” (ชองวาแด-ทำเนียบขาว-เอาจริงๆคือทำเนียบน้ำเงิน)
“...”
“คราวนี้ต้องไปจริงๆแล้วล่ะครับ”
วูจินยักไหล่
“ก็คงงั้น บอกไปว่าฉันจะไปหาอาทิตย์หน้า”
เอกสารหลักฐานต่างๆน่าจะมาถึงตอนนั้น มินชานเพิ่งคุยจบไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
เสียงมาจากข้างในห้องประธาน
“หือ? โทรศัพท์ฉันนี่”
วูจินทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่นี่ก่อนไปตะวันออกกลาง
“ผมไปเอาเอง...”
ซุงกูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ลูกพี่ พี่จีวอนโทรมา”
“...”
วูจินขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงโดจีวอน
เขานึกถึงเด็กวิญญาณบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายต่อหน้าเขา ในอัฟกานิสถาน
“ฮัลโหล”
วูจินกดรับ เสียงเล็กๆลอดมา
[ฮึก วูจิน... ช่วยด้วย]
ใบหน้าวูจินเย็นเยียบ
“ตอนนี้เธออยู่ไหน?”
[อยู่ที่...]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น