วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 93

บทที่ 93 – ผืนทรายสะเทือน (2)


สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเศษเนื้อที่กระจุยจากแรงระเบิด

จากนั้น เกราะผีของเขาก็ทำงานป้องกันคลื่นกระแทก แรงผลักทำให้ร่างวูจินกระเด็นไปข้างหลังจนจมกับผนังโรงแรม

ระเบิดต้องแรงน่าดู รถสามคันที่วิ่งผ่านถูกลูกหลงจากระเบิด รถที่พลิกคว่ำทำให้เกิดระเบิดรอบสอง
เศษผงจากผนังที่ถูกกระแทกร่วงลงมาบนหน้าวูจิน

เขาไม่ได้รับความเสียหายจากระเบิด ไม่บาดเจ็บจากที่ถูกโยนอัดกำแพงเช่นกัน เกราะผีป้องกันทุกอย่าง ส่วนเศษฝุ่นจากซากกำแพงไม่นับเป็นการโจมตี เกราะผีจึงไม่ทำงาน

ร่างกายเขาปลอดภัย แต่แรงช็อกทำให้วูจินนอนมึนบนพื้น

‘เฮ้อ’

เขาเพิ่งกลับมาที่โลกได้ไม่กี่เดือนก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว

เขายินดีรับมัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ด้วย

วิญญาณบริสุทธิ์ลอยตรงหน้าวูจิน

ก่อนหน้านี้เองเธอยังมีชีวิตอยู่... ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่ศพของเด็กหญิงที่มีวิญญาณใสสะอาด

[คุณผู้ชาย หนูเจ็บ]

ต้องเจ็บมากแน่

[คุณผู้ชาย หนูกลัวจัง]

สีเริ่มย้อมวิญญาณสะอาดของเด็กหญิงทีละน้อย เหมือนหมึกดำหยดลงมา มันกลายเป็นสีเทา ดำ และดำยิ่งขึ้น...

[ช่วยด้วย]

เขาทรมานที่ทำอะไรให้เธอไม่ได้เลย

ใครจะอยากเห็นวิญญาณบริสุทธิ์แบบนี้กลายเป็นวิญญาณร้าย?

วูจินไม่ใช่คนเดียวที่ถูกระเบิด มีคนตายมากมาย เด็กหญิงกลายเป็นฆาตกรไปโดยไม่รู้ตัว

[คุณ...]

วิญญาณของเด็กหญิงกลายเป็นสีดำแล้วร่วงลง มันเปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายแล้วลอยวนรอบๆตัววูจิน

[ช่วยด้วย]

วิญญาณร้ายมาอยู่รอบตัวเขา วูจินได้แต่ปล่อยไว้เฉยๆ

เขาไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยไว้เฉยๆเพราะสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือทำลายมัน ไม่อาจทำให้มันคืนสภาพเดิมได้

‘วิญญาณร้ายดวงแรกของฉันบนโลกนี้’

วิญญาณร้ายที่มาเข้าฝันเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่สนใจนัก

เขาโกรธเพราะนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาที่โลกที่ได้เจอกับเรื่องแย่ๆเหมือนตอนอยู่บนอัลเฟน

“เขาอยู่ตรงนั้น เอาเปลมาเร็วเข้า”

ทหารนอกเครื่องแบบวิ่งมาช่วยวูจิน แต่วูจินยืนขึ้นพลางปัดๆฝุ่นบนตัวออก

“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“คนทำล่ะ?”

“ฆ่าตัวตายไปแล้ว”

ยึดมั่นจริงๆ ไม่สิ ต้องพูดว่ามันบ้า

“ไปที่รถกันเถอะ”

“ฮะ?อ้อ”

ระเบิดเกิดตรงหน้า แต่เขาสบายดี พวกทหารรู้สึกเกรงเราส์แรงค์ AA คนนี้ขึ้นมาเมื่อเห็นเขามีท่าทีสงบนิ่ง

วูจินขึ้นไปบนรถตู้ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายคำสั่ง ไม่นานราเชลก็เข้ามาในรถด้วยสีหน้าแปลกใจ ราเชลสำรวจวูจินพลางถาม

“คุณสบายดีหรือเปล่า?”

“พวกมันมุ่งเป้ามาที่ฉันเหรอ?”

วูจินท่าทางอารมณ์ไม่ดี ราเชลจึงตอบคำถามของเขาทันที

“ไม่ รอบๆยังมีระเบิดติดต่อกัน 7 ครั้ง”

“แปลว่าเด็กตายไป 7 คน”

“...”

นอกจากเด็กที่ถูกเอาระเบิดติดตัว ยังมีคนตายอีกมาก วูจินไม่สนเรื่องมนุษย์ฆ่ามนุษย์คนอื่น ความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ และเมื่อเกิดการต่อสู้ย่อมมีคนบาดเจ็บล้มตาย

แต่ พวกมันใช้เด็กที่ไม่รู้อะไรด้วย...

เขาอารมณ์เสีย มนุษย์กับตัวหมากของทราห์เน็ตต่างกันตรงไหน?

“กลับ”

“คุณไม่เป็นอะไรนะ?”

“เป็น”

“เจ็บตรงไหน...”

“เปล่า”

เขาไม่ได้บาดเจ็บ เขาสงบนิ่งแต่ราเชลรู้สึกถึงอารมณ์พลุกพล่านจากตัวเขา

เขาดูไม่เป็นอะไรเกินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจะมีแผลตรงไหนที่มองไม่เห็น?

“ไม่ต้องคุยกับฉัน”

“...”

“ฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี”

“...”

วูจินกอดหน้าอกมองไปข้างนอก

นานแล้ว ไม่สิ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับโลกที่เขารู้สึกอย่างนี้

ความรู้สึกหนืดๆทำให้เขาอารมณ์เสีย ความโกรธเริ่มปะทุขึ้นในตัวเขา

***

วันถัดมา พวกเขากลับมาที่ฐานทัพอากาศ ทุกคนมารวมตัวกันในห้องประชุม

“เป็นไปไม่ได้”

“เหรอ? งั้นผมไปเอง”

นายทหารพูดไม่ออก

วูจินจะหยุดสงครามด้วยตัวเอง? นี่เป็นสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยกำลังรบ

“สู้ตรงๆไม่ได้ผลหรอก พวกหัวหน้ามันจะหลบไปซ่อนตัว”

“เฮ้อ”

วูจินขมวดคิ้ว

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหงุดหงิดกับพวกผู้ก่อการร้าย

ไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างพลเมืองกับผู้ก่อการร้าย คนที่ดูเหมือนเป็นประชาชนธรรมดาจะลุกขึ้นมาสาดกระสุนเมื่อไหร่ก็ได้

เหมือนการตัดแขนที่เต็มไปด้วยฝีหนองออก ถ้าอยากจะจับพวกก่อการร้ายที่ซ่อนตัวก็ต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ทั้งหมด

“คิดแผนขึ้นมาสิ”

“คิดอะไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้”

ชายชื่อโรเจอร์พูดขึ้น

ถ้ามีวิธีหยุดสงครามพวกเขาก็ทำไปแล้ว ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้คือหยุดไม่ให้พวกผู้ก่อการร้ายขยายอิทธิพลออกไป แต่การที่พวกเขาถอนกำลังทหารมาเรื่อยๆกลายเป็นว่า 30% ของอัฟกานิสถานถูกกลุ่มกบฎยึดไว้อีกแล้ว

“รัฐบาลกำลังคุยเรื่องส่งกำลังเสริมมาให้ คุณรอก่อนดีกว่าไหม? ผมเข้าใจว่าคุณโกรธแต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณคนเดียวจะจัดการได้”

คำพูดของนายพลเดวิดผ่านหูวูจิน

“ผมไม่สนใจว่าพวกคุณจะร่วมมือด้วยหรือเปล่า ผมจะไปคนเดียว”

“พอเข้าไปในเขตของพวกต่อต้านแล้วคุณจะทำยังไง? จะฆ่าพวกมันทั้งหมดเลยเหรอ อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดหรือไง?”

“ชิ”

หมอนี่ชื่อโรเจอร์สินะ? ทำไมถึงหาเรื่องเขานัก?

“ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาขวาง”

วูจินเดินออกไป

เขาจะรอสี่วันจนกาเกบิรวบรวมข้อมูลเพียงพอ เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนสั่งการลอบสังหารเขา เขาจะฆ่ามันคนนั้น จากนั้นกวาดล้างกลุ่มกบฏ

เขาไม่มีแผน แต่ผลไม่เปลี่ยน

เมื่อวูจินออกจากห้อง คนในห้องประชุมก็เริ่มลนลาน

“จะปล่อยเขาไปแบบนั้นหรือครับ? เราส์ที่จะสังหารหมู่พลเมือง”

อะไรคือผู้ก่อการร้าย?

ผู้ก่อการร้ายคือคนที่ฆ่าคนไร้ทางสู้อย่างไม่มีเหตุผล วูจินจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่โด่งดังที่สุดในพริบตาเดียว

“ตามไป หยุดเขาให้ได้”

โรเจอร์ถอนหายใจแล้วออกไปตามคำสั่ง พวกเขาขอให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ช่วยแล้ว แต่เธอบอกว่าฐานทัพแห่งนี้จะถูกถล่มถ้าไปขวางทางวูจิน

“เฮ้”

วูจินหยุดแล้วหันกลับมา

หมอนี่คือหัวหน้าทีมเราส์ของฐานทัพนี้ใช่ไหม?

“คุณอยากตายเหรอ? ทำไมถึงหาเรื่องผมอยู่เรื่อย?”

“ผมจะช่วยคุณ”

“ว่าไงนะ?”

“ไม่ใช่สู้ตรงๆนะ ถ้าคุณอยากลอบสังหารพวกระดับหัวหน้ากลุ่มกบฏ ผมจะช่วยคุณเข้าใกล้พวกมัน”

วูจินยิ้ม ในที่สุดก็ได้ฟังเรื่องดีๆ

“พูดสิ”

“ผมจะวางแผนให้พวกมันลักพาตัวคุณ”

โฮ่ ไอเดียบรรเจิดดี?

วูจินเลิกคิ้ว

***

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์

กึงๆ

วูจินถูกมัดแขน มีกระสอบเหม็นๆคลุมหน้า เขากำลังถูกพาไปที่ไหนสักแห่ง

“ฮือๆ”

ไม่ใช่แค่วูจิน ยังมีคนอีกสี่คนถูกลักพาตัวมากับเขา

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย”

คนที่พูดชื่อโรมัน

เขาเคยลักลอบนำอาวุธเข้าประเทศ แต่เพราะไปล้ำเส้นของรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านจึงถูกเขี่ยทิ้ง ตอนนั้นวูจินอยู่กับโรมันจึงถูกลักพาตัวมาด้วย

‘กาเกบิ’

วูจินเรียกกาเกบิที่สิงเงาเขาอยู่ เมื่อถูกกระตุ้น สติของกาเกบิก็ตื่นขึ้น

วูจินใช้แต้มเพิ่มเลเวลให้กาเกบิเป็นเลเวล 50 เขาตั้งใจจะประหยัดแต้มเอาไว้เพราะเลเวลของอสูรจะเพิ่มขึ้นเองในตอนต่อสู้ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะเขาต้องการความสามารถของกาเกบิเดี๋ยวนี้

[เลเวล 50 ปีศาจเงา][อสูรรับใช้:กาเกบิ]

เรียกปีศาจเงาขึ้นมาจากเงาของเป้าหมายแล้วแฝงกับร่างนั้น สามารถอ่านอารมณ์ความรู้สึกและข้อมูลรอบๆตัวเป้าหมายที่ถูกแฝงร่าง ถ้าเจ้าของร่างเป็นศพ มันจะสามารถควบคุมร่างนั้นได้ ถ้าศพนั้นถูกใช้ทักษะปลุกผี ปีศาจเงาจะสามารถใช้ความสามารถเดิมของเจ้าของร่างได้เล็กน้อย

ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่ต้องควบคุมอาจกลายเป็นสหายที่ไว้ใจได้

จำนวนเงา : 6

ทักษะที่ครอบครอง : เพิ่มเงา ขยายประสาทสัมผัส สลับวิญญาณ เคลื่อนย้ายเงา

เพิ่มประสิทธิภาพทักษะบงการศพ : +50%

ต้องการค่าบงการ 1 (-99 จากความซื่อสัตย์ -99 จากความเชื่อใจ)

ทุก 10 เลเวลจะเพิ่มจำนวนเงา ตอนนี้กาเกาบิสามารถเข้าไปสิงในเงา 6 เงา เขาสิงอยู่ในเงาของนาสเซอร์ สาตจิแล้วหนึ่ง เหลืออีก 5 เงา

ขยายประสาทสัมผัสทำให้กาเกบิรวบรวมข้อมูลขณะซ่อนในเงาของอาคาร สลับวิญญาณก็ตามชื่อ ทำให้วูจินสลับวิญญาณกับกาเกบิ เคลื่อนย้ายเงาทำให้วูจินกลายเป็นเงาแล้วเคลื่อนที่ระหว่างเงาคนกับเงาของสิ่งต่างๆ

‘อย่าก่อเรื่องล่ะ อยู่นิ่งๆ’

‘คึๆ ได้ เจ้านาย’

กาเกบิรู้สึกดีที่ได้ครอบครองร่างเจ้านาย ฟังเสียงแล้ววูจินรู้สึกกังวลขึ้นมา วูจินเปลี่ยนเป็นเงา เขาลืมตา เห็นคน 5 คนที่ถูกโยนใส่ด้านหลังรถบรรทุกเก่าๆเหมือนเป็นสัมภาระ

มีผู้ต่อต้าน 4 คน คนหนึ่งขับรถ อีกคนนั่งข้างคนขับ สองคนนั่งด้านหลังคอยเฝ้าข้างหลัง มีรถ 3 คันขับตามรถบรรทุกมา

‘พวกลูกน้องก็ช่างมันแล้วกัน’

เขาไม่ได้ถูกจับมาเพื่อระเบิดอารมณ์ใส่พวกนี้ วูจินวางแผนจะถอนรากถอนโคนกลุ่มกบฏ มีแต่วิธีนี้ถึงจะบรรเทาความโกรธของเขาลงได้บ้าง

รถบรรทุกหยุดและเงาของวูจินเคลื่อนเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่ง

ถ้าได้เจอพวกระดับผู้จัดการก็ดี หรือเจอระดับหัวหน้ายิ่งดีใหญ่...

วูจินแยกเงาออกไปติดกับคนที่ดูท่าทางเป็นคนสำคัญ

ใช้เวลาไม่เกิน 20 ชั่วโมงวูจินก็ไปถึงกลุ่มผู้นำของกลุ่มต่อต้าน

‘พวกมันนี่เอง’

ถ้าเขาฆ่าพวกนี้ได้หมด กลุ่มกบฏจะแตกกระจาย ที่เหลือก็เป็นงานของกองทัพสหรัฐ

วูจินแฝงในเงาของผู้นำกลุ่มแล้วรวบรวมข้อมูลอย่างขยันขันแข็ง

เขาจำหน้าของคนพวกนี้ไว้เป็นรายชื่อเป้าสังหารอย่างเยือกเย็น

[เจ้านาย ข้าขอทำตามใจได้ไหม?]

‘หา?ทำไม?’

กาเกบิเงียบมาตลอดจนตอนนี้ วูจินถามอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบที่ร่างกายถูกคนอื่นควบคุม เมื่อก่อนกาเกบิใช้ร่างเขาทำการสังหารหมู่เป็นพักๆ

[พวกมันกำลังจะยิงคน หัวเจ้านายใกล้จะเป็นรูแล้วขอรับ]

‘…’

ได้ยินว่ากลุ่มต่อต้านไม่ฆ่าตัวประกันทันทีที่จับมาได้แต่ดูเหมือนคราวนี้จะไม่ใช่

‘เปลี่ยนกัน’

“คึๆ ได้ เจ้านาย”

กาเกบิรวบรวมข้อมูลต่อได้ กาเกบิใช้เคลื่อนย้ายเงาไม่ได้เหมือนวูจิน แต่เงาสิงอยู่กับหัวหน้ากลุ่มกบฏแล้ว อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะคลาดจากเจ้านี่

เนื่องจากเงาของกาเกบิกับร่างของวูจินห่างกันมาก สลับวิญญาณทำให้วูจินงงไปชั่วครู่

กระสอบถูกดึงออกไปแล้วทำให้เขาเห็นรอบๆ

พวกต่อต้านยืนเรียงกันในทะเลทรายร้อนระอุ วูจินกับตัวประกันคนอื่นถูกมัดคุกเข่าลง

“ข้าลงโทษพวกแกในนามของพระเจ้า จงยำเกรงพระเจ้าของเรา”

หนึ่งในนั้นถือกล้องกำลังบันทึกการประหาร วูจินทำความเข้าใจกับเหตุการณ์รอบๆเสร็จแล้ว

‘กลุ่มกบฏมี 25 คน คนถูกจับมี 18 คน’

เขายังเห็นฐานของพวกมันในทะเลทราย นี่เป็นที่เก็บคนที่ถูกจับมาและเป็นที่ฝึกด้วย

มันเป็นที่คนใหม่ฝึกฆ่าคน

เขามองพวกตัวประกัน โรมันหายไป คนที่ถูกจับมากับโรมันถูกมองว่าไร้ประโยชน์เลยต้องถูกฆ่า

วูจินยืนขึ้น

“พระเจ้ากับผีสิ”

มือเท้าวูจินถูกมัดด้วยสายเคเบิล เขาเดินไม่ได้และใช้อาวุธไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกต่อต้านจึงมองวูจินโดยไม่กังวล

“พวกแกฆ่าไปกี่คนแล้วล่ะ?”

กบฏคนหนึ่งที่พูดกับกล้องตอบ

“โฮ่ แกพูดภาษาเราได้คล่องดีนี่”

ภาษาอาหรับมีสำเนียงท้องถิ่นอีกมาก วูจินต้องดื่มยาแปลภาษาไปเยอะ

“หลายพันถูกพระเจ้าของเราลงโทษ ข้าฆ่าไปหลายร้อยคน”

มันอวดเรื่องฆ่าคนต่อหน้าผู้ไม่ตาย ตลก ไม่สิ น่ารักดี

“อ้อ ฉันรู้สึกได้”

เขารู้สึกได้ วิญญาณที่ยังไม่ไปสู่สุคติถูกฝังไว้ใต้ทะเลทราย

คนเหล่านั้นถูกจับเป็นตัวประกัน เมื่อข้อเรียกร้องถูกปฏิเสธพวกเขาก็ถูกฆ่าเป็นตัวอย่างหรือเพื่อความสนุก เขารู้สึกถึงวิญญาณแค้น

“มีแต่เทพที่ลงทัณฑ์ได้”

“ข้าคือตัวแทนของพระเจ้า”

วูจินฟังแล้วรู้สึกตลก

“ตัวแทนของพระเจ้า...”

“แกควรดีใจที่ถูกข้าฆ่า”

ผู้ต่อต้านเหนี่ยวไกไม่ลังเลแม้แต่น้อย

กิ๊ง!

กระสุนชนเกราะผีตรงหน้าวูจินแล้วกระเด้งออก วิญญาณลดไปหนึ่ง

“อะ...อะไรวะ?”

กิ๊ง กิ๊ง!

ผู้ต่อต้านยิงไม่หยุด แต่เกราะกั้นไว้ เขาผงะเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล

“ม...มันเป็นเราส์! ยิงมัน!”

กระสุนหลายลูกยิงใส่วูจินแต่ไม่อาจทำอะไรเขาได้

“พวกแกไม่สมควรได้รับแม้แต่โทษทัณฑ์จากพระเจ้า”

นี่ไม่ใช่การลงโทษ นี่เป็นการแก้แค้น

วิญญาณอาฆาตจะแก้แค้นพวกมันเอง

วูจินเกร็งตัวสายเคเบิลก็ขาดออกอย่างง่ายดาย

เขาใช้เวทย์มนตร์ทันที

ทรายปะทุขึ้นเหมือนทะเลทรายถูกทิ้งระเบิด ทหารโครงกระดูกลุกขึ้นช้าๆ

ชาวอเมริกันที่ถูกจับ นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว ประชาชนคนเดินดิน พวกเขาถูกจับถูกฆ่าแล้วโยนทิ้งในทะเลทราย...

พวกเขาลุกขึ้น ไม่ต่ำกว่า 500 และเพิ่มขึ้นๆ วูจินเติมพลังเวทย์แล้วเรียกทหารโครงกระดูกเพิ่มอีก พร้อมกันนั้นเขาเรียกอัศวินมรณะออกมา

อัศวินมรณะยังมีเลเวลต่ำ

เลเวลเฉลี่ยของพวกมันคือ 8 แต่ละเลเวลจะทำให้อัศวินมรณะควบคุมทหารได้ 10 ร่าง ดังนั้นเขาต้องการทหารโครงกระดูก 4,240 ร่าง แต่วูจินไม่กังวล ศพศัตรูจะมาเสริมกองทัพเขาเอง

ทหารโครงกระดูกย้ายไปอยู่ใต้บัญชาของอัศวินมรณะ 53 ตนโดยอัตโนมัติ

เมื่อตัวประกันที่ถูกจับมัดเห็นโครงกระดูกจำนวนมหาศาลโผล่ออกมา พวกเขาก็พยายามคลานหนี พวกกบฏไม่แม้แต่ยิงปืน พวกมันวิ่งหนีไปทางฐานทัพอย่างรวดเร็ว

วูจินมองอย่างไม่แยแส

“ฆ่าให้หมด”

[ตามเจ้านายบัญชา!]

คิบะกับอัศวินมรณะเรียกม้าปีศาจออกมา ควบขี่ออกไปโดยมีทหารโครงกระดูกวิ่งตามแม่ทัพของพวกตน

เทศกาลละเลงเลือดเริ่มขึ้นแล้ว


สารบัญ                                             บทที่ 94

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 92

บทที่ 92 – ผืนทรายสะเทือน


ฐานทัพอากาศบากราม อัฟกานิสถาน

ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก เดวิด เกทส์ สิ้นสุดการสนทนาทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจากนั้นเรียกประชุมเจ้าหน้าที่

เรื่องที่จะคุยมีข้อเดียว

“ตอนนี้ เราส์ชาวเกาหลีนายหนึ่งกำลังอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททัน เขามีข้อมูลของผู้ก่อการร้ายที่ยิงจรวดในแผ่นดินอเมริกา”

“ต้องเป็นคนเกาหลีที่หยุดการโจมตีครั้งนั้นแน่ๆ”

“ใช่ เขาต้องการตามหาและแก้แค้นตัวการ เขาขอให้พวกเราช่วย”

เสนาธิการถามขึ้น

“ผมรู้ว่าเขาเป็นเราส์ แต่เรื่องสงครามมันอันตราย ถ้าทำไม่ดี การร่วมมือกับพลเมืองจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตรายกว่าเดิม”

สหายโง่เง่าอันตรายกว่าศัตรูเสียอีก ถ้าเราส์คนนี้มั่นใจในความสามารถพิเศษห่วยๆของตัวเองก็มีแต่อันตราย

เราส์ถูกยิงก็ตาย และสนามรบก็เป็นที่ๆกระสุนปืนสามารถฆ่าคนได้จากที่ไกล

“อืม นี่กิลด์ไททันส่งมา”

ผู้ช่วยเปิดวิดีโอเมื่อได้ยินคำพูดของผู้บัญชาการ

“เชี่ย”

***

เมื่อวูจินและคนของกิลด์ไททันลงจากเครื่องบินก็ถูกนำทางไปยังห้องผู้บัญชาการทันที นายพลเดวิดทักทายสั้นๆ จากนั้นทั้งหมดก็เริ่มวางแผนปฏิบัติการตามคำขอของวูจิน

“คุณได้ข้อมูลนี้มายังไง?”

พวกเขาสงสัยเรื่องนี้ที่สุด หน่วยข่าวกรองของสหรัฐยังพยายามหาข้อมูลของตัวการยิงจรวด แต่วูจินรู้แล้ว?

“อ้อ เรื่องนั้น”

วูจินเรียกอัล อัสสาดที่กลายเป็นอัศวินมรณะออกมา ความจงรักภักดีกับความเชื่อใจยังเบาบาง วูจินยังต้องใช้ค่าบงการจำนวนพอสมควร แต่ก็ลดลงมาเหลือ 80 แล้ว วูจินถามอัล อัสสาด

“เอ้า บอกพวกเขาสิ”

[ข้ารับงานมาจากนายหน้าที่ติดต่อกันบ่อยๆ เป็นงานลอบสังหารเราส์ชาวเกาหลีคนหนึ่ง...]

อสูรของวูจินเป็นนักลอบสังหารที่เคยพยายามฆ่าเขา ทุกคนในห้องวางแผนมองวูจินแปลกๆ แต่เขาไม่สนใจ

“มันเป็นใคร?”

[นักธุรกิจชายอิหร่าน ข้าไม่รู้จักชื่อมันแต่ถ้าได้เห็นรูป...]

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้บัญชาการหยิบรายชื่อหนึ่งขึ้นมา ในนั้นมีรูปถ่ายของนักธุรกิจที่มาจากอิหร่าน อัล อัสสาดชี้ไปที่คนหนึ่งในนั้น

“อืม คนนี้ชื่อ นาสเซอร์ สัตจิ ชายคนนี้ขายอาวุธให้กับทั้งรัฐบาลและพวกกบฏ อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของเรา”

[มันทำหน้าที่เชื่อมต่อกับองค์กรหลายๆแห่งที่น่าจะทำประโยชน์ได้]

วูจินมองรูป ถ้าจับชายคนนี้ เขาจะรู้ได้ว่าใครเป็นคนบงการลอบสังหารเขา

“ผมจะไปหาเขาได้ที่ไหน?”

“ว้าว ไม่ต้องรีบขนาดนั้น”

วูจินทำท่าจะออกไปหาชายคนที่ว่าทันที แต่เดวิดรั้งไว้ก่อน

“ตอนนี้ยืนยันเป้าหมายแล้ว เราจะบอกคุณหลังจากตั้งคนทำหน้าที่ประสานงาน”

ตอนนี้พวกเขาอยากให้วูจินรออีกหน่อย เป้าหมายอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวัง แต่ฉากหน้าเขาเป็นนักธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย

ถึงอย่างนั้น ชายคนนี้เป็นผู้ทำให้เกิดเหตุก่อการร้ายในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาสามารถจับตัวชายคนนี้โดยใช้อำนาจของกองทัพ แต่ถ้าต้องการจะจับเขาโดยไม่ให้ไหวตัวทันก็ต้องวางแผนดีๆ

“ผมมีวิธีจับตาดูเจ้านั่นโดยไม่ให้มันรู้ตัว คุณแค่ต้องพาผมไปที่ๆผมเห็นมันกับตาตัวเอง”

พวกเขาไม่ต้องวางแผนล่อชายคนนี้ออกมาเลย วูจินแค่ต้องเห็นชายคนนี้เขาก็สั่งให้กาเกบิตามไปได้ ไม่กี่วันหลังจากนั้นวูจินก็จะรู้ว่าชายคนนั้นไปไหนบ้าง เขาจะเห็นที่ๆชายคนนั้นทำงานรวมถึงสถานที่ๆชายคนนั้นเก็บข้อมูลงานที่ทำมา

“ถ้าทำตามวิธีของผมเราจะได้ข้อมูลมากกว่า ว่าไหม?”

“...”

ข้อเสนอของวูจินน่าทึ่ง

ถ้าพวกเขาจับนาสเซอร์เพราะคำให้การของอัศวินโครงกระดูกพิลึก สหรัฐอเมริกาอาจถูกต่อว่าเพราะไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงชายคนนี้กับการก่อการร้าย

วูจินสามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าได้

ด้านวูจิน ถ้าเขาหาคำตอบจากนาสเซอร์ไม่ได้ว่าใครเป็นคนบงการ เขาก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน เพราะเหตุนี้เขาจึงใส่ใจกับแผนการนี้

‘ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่ง แต่ระวังไว้เถอะ’

เดวิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตอบ

“เข้าใจแล้ว มากำหนดแผนด้วยกันเถอะ”

แผนนี้ชื่อ [เอากระพรวนคล้องคอแมว] วูจินถูกใส่ในส่วนหนึ่งของแผนชื่อ [ผ่านเงา]

***

เปชวาร์ ปากีสถาน

วูจินในสภาพปลอมตัวกำลังนั่งในรถแท็กซี่ ถัดจากเขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองชาวอเมริกัน ราเชล ปาร์ค ชื่อเกาหลีของเธอคือ ปาร์คอูจี ทั้งสองเหมือนคู่รักนักท่องเที่ยวชาวเอเชียทั่วไปที่กำลังหาโรงแรมที่พัก

“ทำไมเธอเครียดนัก?”

“ฮู้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาทำงานแบบนี้ค่ะ”

หน้าที่ของราเชลอยู่ห่างจากสนามรบ แต่เธอถูกใส่เข้ามาในแผนนี้เพราะเป็นลูกครึ่ง เกาหลี-อเมริกัน รูปร่างหน้าตาของเธอไม่ขัดกับวูจิน จึงแสดงเป็นคู่รักได้ไม่สะดุดตา

ทีมสนับสนุนอีกหนึ่งปลอมตัวตามมาเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“ถือว่าพักร้อนสิ ดูสินั่นสวย... ก็ไม่สวยเท่าไหร่แฮะ”

วูจินชี้ไปนอกหน้าต่างแล้วก็เห็นซากตึก มีทหารจำนวนหนึ่งยืนป้องกันโดยมีเด็กกลุ่มหนึ่งอยู่ใกล้ๆ

“ตรงนั้นเพิ่งเกิดเหตุระเบิดพลีชีพไปเมื่อไม่นานน่ะค่ะ”

เธอเป็นเจ้าหน้าที่ในแผนกข่าวกรองดังนั้นจึงรู้เรื่องการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานกับปากีสถานดี

“ที่นี่มีแบบนี้บ่อยเหรอ?”

“พอสมควรค่ะ ที่ประเทศของเราแค่เหตุก่อการร้ายครั้งเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว แต่ที่นี่มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน”

“หืม”

เห็นภาพบนท้องถนนแล้ววูจินอดยิ้มไม่ได้ เขารู้สึกถึงพลังของสนามรบ แปลก เขาแทบจะคิดไปว่าตัวเองอยู่ที่อัลเฟน

‘เขาดูใจเย็นจัง นั่นสินะ’

ราเชลกลืนน้ำลายเมื่อมองวูจินที่กำลังยิ้ม เธอศึกษาข้อมูลของคังวูจินทั้งหมดที่มี แรงค์ของวูจินสูงเกินกว่าจะเป็นเราส์ธรรมดา การตัดสินใจอย่างรวดเร็วเด็ดขาดของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

หน้าที่ของเธอคือพาวูจินไปที่ภัตตาคารในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งนาสเซอร์ สัตจิจะมา เธอยังมีหน้าที่อีกอย่างคือคอยรั้งวูจินที่รู้กันว่าเป็นคนใจร้อนไม่ให้ทำอะไรตามอารมณ์

“ใกล้จะถึงแล้วค่ะ กรุณาอย่าทำอะไรสะดุดตาหรือน่าสงสัยนะคะ”

“อย่าห่วงน่า”

วูจินกับราเชลเข้าไปในโรงแรมแล้วเช็คอินเข้าไปในห้องที่จองไว้ ราเชลเปิดกระเป๋าแล้วเตรียมอุปกรณ์สื่อสารจากนั้นก็ติดหูฟังอันเล็กไว้ที่หู

เธอติดต่อกับรถปฏิบัติการของทีมสนับสนุน เสร็จแล้วก็รอให้เป้าหมายปรากฏตัว

ไม่นาน

[ซ่า... เป้าหมายกำลังมุ่งหน้าไปภัตตาคาร]

“มาแล้วค่ะ”

“ไปกันเถอะ”

วูจินกับราเชลลงไปทางภัตตาคาร หลังจากสั่งอาหาร ราเชลกระซิบบอกวูจิน

“เขานั่งตรงโต๊ะที่ 3 จากด้านหลังใกล้หน้าต่าง ใส่เชิ๊ตสีน้ำเงินสว่าง”

วูจินเหลือบมองและเห็นใบหน้าเดียวกับในรูปถ่าย

‘สิงมัน กาเกบิ’

[ขอรับ]

กาเกบิเคลื่อนไปที่เงาของนาสเซอร์ สัตจิ ไม่นานอาหารที่สั่งก็มาถึง วูจินใช้ส้อมจิ้มเข้าปากเคี้ยว มันเป็นอาหารทำจากกุ้งและไก่ รสค่อนข้างเผ็ดแต่เขาชอบ

“อร่อยแฮะ”

ราเชลพูดอย่างใจร้อนนิดๆ

“เมื่อถึงเวลา กรุณาเปิดการทำงานสะกดรอยด้วยนะคะ”

“ฉันทำไปแล้ว”

เมื่อไหร่กัน? เธอไม่รู้ตัวเลย

“กินเสร็จแล้วออกกันเถอะ”

“...เข้าใจแล้วค่ะ”

ขนาดราเชลนั่งตรงหน้าวูจินยังไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เธอเชื่อว่านาสเซอร์ที่กำลังกินอาหารเรื่อยๆต้องไม่รู้ตัวแน่

พวกเขาไม่มองเป้าหมายอีก วูจินกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนมาเที่ยวจริงๆ ทำให้ความเครียดจากงานภาคสนามครั้งแรกของราเชลลดลง

เมื่อรู้ว่าท่าทางเรื่อยเฉื่อยของวูจินไม่ได้เสแสร้ง เธอรู้สึกแปลกๆ

“ไปเก็บของ ผมจะรอข้างล่าง”

“ไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอคะ?”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องขึ้นไปทั้งคู่นี่”

“แต่มีบางอย่างที่คนสองคนทำได้นะคะ”

วูจินแสยะยิ้มเมื่อถูกราเชลยั่วยุ

“ต่อให้เธอต้องสละชีวิตเหรอ?”

ราเชลมองว่าวูจินปฏิเสธเธอจึงยักไหล่ นี่เป็นการปฏิเสธที่เด็ดขาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา

“แย่จัง”

“ไปทำเรื่องที่ต้องทำแล้วลงมา”

“ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”

ราเชลกลับไปที่ห้องส่วนวูจินเดินเข้ามาในล็อบบี้

โรงแรมได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี ถนนหน้าโรงแรมสะอาด คนไม่ถึงขั้นหวาดกลัวสุดขีดในสงครามผู้ก่อการร้าย

“เทียบกับอัลเฟนแล้วที่นี่ดีกว่ามาก”

ที่นั่นคือนรก เขาต้องกังวลทุกวันเรื่องเอาชีวิตให้รอด

วูจินยืนเฉยๆจนถึงตอนที่เด็กกำพร้าตัวมอมแมมมารุมล้อมเขา

พวกเด็กๆพูดอะไรบางอย่างออกมา วูจินไม่ต้องดื่มยาภาษาก็เข้าใจ จากภาษากายบอกว่าพวกเขากำลังขอเงิน

‘จะไม่ว่าที่ไหนเด็กๆก็โชคร้ายกว่าคนอื่นทุกที’

มันเป็นเรื่องลำบากมากที่เด็กจะเอาตัวรอดหลังจากสูญเสียพ่อแม่คนคอยคุ้มครอง วูจินหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นเงินให้ทุกคนระหว่างมองดวงตาใสกระจ่างของพวกเขา

เด็กๆพูดขอบคุณด้วยคำที่เขาไม่เข้าใจแล้วจากไป วูจินเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งในตรอก เธอวิ่งมาหาเขา

“โฮ่”

วิญญาณของเด็กหญิงบริสุทธิ์ไม่มีรอยหม่นแม้แต่น้อย

บางทีอาจเพราะเป็นเด็ก วิญญาณของเธอสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าของโดจีวอนเสียอีก แม้แต่ในดงหนามที่ชื่อสนามรบ วิญญาณบริสุทธิ์ยังเบ่งบาน

วูจินรู้สึกดีขึ้นทันที เขายิ้ม

เด็กหญิงสูงแค่เอววูจิน เธอยิ้มให้อย่างน่ารักมาก

“สวัสดีค่ะ”

เด็กหญิงก้มหัวยื่นทั้งสองมือออกมาอย่างเคารพ วูจินหัวเราะพลางเปิดกระเป๋าสตางค์ จากนั้นเสียงติ๊กก็ดังเข้าหู

ติ๊ก

ขณะวูจินจะขมวดคิ้ว ระเบิดที่ซ่อนในชุดของเด็กหญิงก็ระเบิดขึ้น



สารบัญ                                      บทที่ 93


----
ใครทำโลลิได้ลงคอ ; ^;

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 91

บทที่ 91 – มุ่งหน้าสู่จุดจบ (4)


‘ฉันทำอะไรไป’

ลีซังโฮประหลาดใจเมื่อเข้าดันเจี้ยนมา

เขาเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปและรู้สึกเสียใจทีหลัง แต่จะถอยกลับก็สายไปแล้ว เมื่อบาเรียก่อตัวขึ้นเขาก็ออกไปไม่ได้จนกว่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนและได้หินรีเทิร์นสโตนมา

[ไม่ใช่ ถ้าเจ้ารับข้อเสนอของข้า เจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย]

“น...นายเป็นใคร?”

[คึๆๆ]

เสียงหัวเราะดังในหัวทำให้ลีซังโฮตัวสั่น

[ถ้าเจ้าอยากได้พลัง มาหาข้า]

ชิ้ง

อุโมงค์สีแดงก่อตัวขึ้นต่อหน้าลีซังโฮ

‘ขึ้นมาทั้งๆที่ฉันยังไม่ได้ฆ่ามอนสเตอร์เลยเหรอ?’

อุโมงค์ที่พาไปยังดันเจี้ยนจริงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมอนสเตอร์ในสถานีใต้ดินตายหมดแล้ว คราวนี้มันกลับก่อตัวขึ้นทันทีที่ลีซังโฮเข้ามา

พูดให้ถูกคือ เจ้าของเสียงประหลาดเป็นคนสร้างขึ้น

ถ้าลีซังโฮไม่โง่ก็สังเกตได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น

‘สิ่งนั้นควบคุมดันเจี้ยนได้’

เขาไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ไม่รู้ว่าเป็นเทพ ปีศาจหรือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก แต่เขารู้ว่ามันสามารถควบคุมดันเจี้ยนได้ และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกมาที่นี่

ที่แน่ๆคือเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าอุโมงค์นี้

ลีซังโฮขจัดความคิดเรื่องเคลียร์ดันเจี้ยนออกไป มี'บางสิ่ง'เชิญชวนเขามาด้วยสัญญาจะให้'พลัง' ที่เขาต้องทำคือตกลงแลกเปลี่ยนกับสิ่งนั้น

วิ้ง

ลีซังโฮผ่านอุโมงค์ เขาได้ยินเสียงวิ้ง จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีน้ำหนัก เหมือนกำลังถูกส่งไปมิติอื่น

เขาเป็นเราส์แรงค์ B เคยเคลียร์ดันเจี้ยนแรงค์สูงมาบ้างจึงไม่รู้สึกประหลาดกับความรู้สึกนี้

แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นทั้งประหลาดทั้งไม่คุ้นเคย

ปราสาทน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่มีลมเย็นโชยพัด

พื้นดินรกร้างปกคลุมไปด้วยหิมะขาว ถนนทอดไปยังเนินเขาที่ปราสาทตั้งอยู่

ลีซังโฮตัวสั่นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นภาพข่มขวัญเบื้องหน้า

ขณะกำลังกลืนน้ำลาย บางอย่างที่ไม่รู้จักออกมาจากปราสาทแล้ววิ่งมาทางลีซังโฮ

กึงๆๆ

แต่ละย่างก้าวของสัตว์ประหลาดทำให้พื้นสะเทือน หัวใจลีซังโฮเต้นแรงขึ้น

ความสามารถพิเศษลีซังโฮคือพลังจิต เขาอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นเราส์สายกายภาพ

“อา...”

เขารู้ว่าสิ่งที่เขารับมือไม่ได้กำลังมุ่งหน้ามาจึงคราง

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มีหลังโค้งปกคลุมไปด้วยขนสีขาวหนา มันคืนโทรลน้ำแข็ง มันหยุดตรงหน้าลีซังโฮ ยืนด้วยความสูงกว่าคนปกติสามเท่า

มันสูดจมูกเพื่อดมกลิ่นเขา กลิ่นเหม็นเกินทนออกมาจากปากของมันแต่ลีซังโฮไม่ขยับตัว สิ่งนั้นคงไม่เรียกเขามาที่นี่เพื่อเป็นอาหารของโทรลน้ำแข็งหรอก

เมื่อมันหันหลัง ลีซังโฮจึงได้เห็นสิ่งที่โทรลน้ำแข็งลากมา มันดูเหมือนรถลากผสมเลื่อน

ลีซังโฮเข้าใจความหมาย เขาสูดลมหายใจลึกแล้วขึ้นไปนั่งบนเลื่อน

ไอร้อนลอยออกมาจากจมูกของมันขณะมันวิ่งลากเลื่อนไปยังปราสาท ปราสาทมีขนาดใหญ่จนให้ความรู้สึกเหมือนมันอยู่ใกล้ แต่กลับต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึง แม้เลื่อนจะเคลื่อนที่ไปอย่างเร็วมากแล้ว

เมื่อลีซังโฮมายืนหน้าประตูปราสาท มันสูงประมาณ 10 เมตร ทำให้เดาไปถึงเจ้าของที่ใช้ประตูนี้บ่อยๆ

เมื่อประตูเปิดออก เขาตามโทรลน้ำแข็งเข้าไป

มองไปรอบตัวเห็นโทรลน้ำแข็งจำนวนไม่น้อย เขายังเห็นมอนสเตอร์ที่เหมือนแมมมอธ

หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน เขามาถึงใจกลางปราสาท

มันเหมือนที่อยู่ของพระราชา ที่แห่งนี้เป็นประกายเนื่องจากแกะจากน้ำแข็ง เป็นปราสาทในนิทานอย่างล้นเหลือ

ใจกลางโถงกว้าง มีบันไดทอดขึ้นไปข้างบน ที่จุดสูงสุดมีสิ่งที่เรียกเขามากำลังนั่งบนบัลลังก์

“เจ้ามาจริงๆ”

สิ่งนั้นทำจากน้ำแข็งทั้งหมด

มันเหมือนโกเลมน้ำแข็ง แต่มีขนาดรูปร่างเหมือนมนุษย์ ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่มนุษย์

ลีซังโฮคุกเข่าลงก้มหัวให้

เมื่อสิ่งนั้นเห็น มันลุกขึ้นจากบัลลังก์

“หัวไวดีนี่”

เหมือนมันจะชอบใจ มันเดินลงบันไดมาทีละขั้นแล้วยืนตรงหน้าลีซังโฮ

“เงยหน้าขึ้น”

“ครับ”

ลีซังโฮเงยหน้าขึ้น บังคับตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้ เขารู้สึกชัดเจน รูปปั้นน้ำแข็งตรงหน้าสามารถใช้เพียงปลายนิ้วฆ่าเขา...

คังวูจินที่ต่อยเขาต่อหน้ากล้องยังเทียบกับสิ่งนี้ไม่ได้

“ยินดีต้อนรับสู่อาณาเขตมิติของข้า”

“...”

“คึๆ ไม่ต้องตัวสั่นไป ข้าอยากมอบข้อเสนอให้ จึงส่งข้อความไปหาเจ้า”

เงาขาวเงาหนึ่งปรากฏตัวแล้วหายไปยังข้างกายร่างน้ำแข็ง

“ข้าจะมอบพลังที่เจ้าต้องการให้...”

มอบพลังให้... เขาชอบคำนี้ นี่เป็นคำที่เขาต้องการ แต่เขารู้ว่าของฟรีไม่มีในโลก ความต้องการพลังของเขาถูกใช้เป็นตัวล่อพาเขามาที่นี่

“คุณต้องการอะไร?”

“คึๆๆ”

สิ่งนั้นหัวเราะ

“เพราะอย่างนี้ข้าถึงชอบพวกมนุษย์”

มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เข้าใจ-ว่าถ้าอยากได้อะไรเกินตัวก็ต้องมีอย่างอื่นตอบแทน เพราะอย่างนี้พวกมันจึงเป็นเหยื่อ เป็นแหล่งพลังงานชั้นดี

“ข้าอยากยึดโลก แต่โลกยังไม่ยอมรับข้า มันเร็วเกินไป”

“...”

ลีซังโฮฟังเงียบๆ เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้กำลังพูดถึงอะไร แต่เขารู้สึกเหมือนได้ฟังความลับบางอย่างที่ไม่มีใครบนโลกรู้

“ข้าไม่ยอมเสียที่ล่าดีๆให้พวกที่ต่ำต้อยกว่าข้า”

สิ่งนั้นหันหลังให้ลีซังโฮ มันมองบังลังก์ที่เพิ่งลุกจากมา

มีบันได 25 ขั้น

เขาคือเกรทลอร์ดขั้นที่ 25 ของทราห์เน็ต

อิเอลโล

“ข้าไม่ใช่เจ้าโง่รัชโมด ข้าไม่ใช้ทางเชื่อมไม่เสถียรแบบนั้นหรอก”

แม่ทัพทั้ง 72 ของทราห์เน็ต เกรทลอร์ดที่มีบัลลังก์ของตัวเอง

แต่ละบัลลังก์มีตัวเลขตามขั้นบันไดจาก 1 ถึง 72 และเหนือเหล่าแม่ทัพขึ้นไปเป็นราชา... ทุกตนต้องมีพื้นที่ล่าของตัวเอง

โลกกำลังถูกประสาน พลังงานจึงเพิ่มขึ้นและเกิดการเชื่อมต่อโดยเริ่มจากขั้น 1 เมื่อพลังงานเพิ่มขึ้นอีก แม่ทัพจากขั้นสูงขึ้นไปจะสามารถเข้ามาที่โลก

อิเอลโลไม่ชอบเลย

มันไม่อาจเชื่อมต่อกับโลกเร็วเท่าเกรทลอร์ดตนอื่นที่อยู่ในขั้นต่ำกว่า มันต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงบนโลก

“เจ้าแค่ต้องก่อปัญหาตามใจเจ้าต้องการ”

อิเอลโลหันกลับมาใหม่ ยกมือเหนือหัวลีซังโฮที่กำลังคุกเข่าอยู่ ความรู้ใหม่ไหลเข้ามาในหัวลีซังโฮเหมือนเรียนทักษะจากตำราทักษะ

‘นี่...นี่คือ...’

ดันเจี้ยนเบรก

อิเอลโลต้องการเวลา 30 วันกว่าจะสามารถใช้หินรีเทิร์นสโตนได้ แต่มันสามารถเร่งเวลาได้ถ้าใช้คนจากบนโลก ลีซังโฮจะเป็นตัวนำให้มัน เปิดทางให้บรรดามอนสเตอร์เข้ามาในโลกได้

“อ้อ ข้าจะมอบพลังให้เจ้า ดูเจ้าจะมีความแค้นกับผู้ไม่ตายน่ารำคาญนั่น”

อิเอลโลหักเศษน้ำแข็งจากไหล่แล้วยื่นให้ลีซังโฮ เขารับมาอย่างยำเกรง เศษน้ำแข็งที่เหมือนดอกไม้ซึมเข้าไปในร่างเขาทันที

‘ป...เป็นไปได้ยังไง!’

เขารู้สึก พลังล้นเหลือลุกฮือขึ้นในร่างเหมือนมังกรตัวหนึ่ง เขาปลุกความสามารถใหม่ขึ้นมาและความรู้ของเขาขยายกว้างขึ้น

‘เทพ สิ่งนี้คือหนึ่งในมวลเทพ’

ถ้าแอสการ์ดมีจริงคงจะเป็นแบบนี้? ที่นี่คงเป็นโลกของเผ่าเทพ? (TN-Asgard-ภพของเหล่าเทพตามตำนานนอร์ส แอบสงสัยทำไมลีซังโฮเห็นปราสาทน้ำแข็งแล้วนึกเจาะจงไปถึงแอสการ์ด เล่นเกมมาก?)

เหล่าเทพพยายามจะลงมายังโลก

พวกมนุษย์โง่เขลาพยายามต่อต้านเทพอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ว่าอย่างไรเหล่าเทพก็จะลงมาอยู่ดี

ลีซังโฮรู้ดี ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรมนุษย์ก็หยุดไม่ได้

เขาจะเป็นตัวแทนของเทพ

เขาจะแก้แค้น เขาจะทำลาย

[คุณกลายเป็นข้ารับใช้ของอิเอลโล เกรทลอร์ดขั้นที่ 25]

อิเอลโลยิ้ม

คงไม่ได้มีแต่มันที่ส่งข้อความไป

การประสานของโลกจะเร่งเร็วขึ้น อิเอลโลจะก่อตัวบนโลกก่อนพวกต่ำต้อยกว่ามันได้พลังมากไปกว่านี้ มันจะป้องกันบัลลังก์ของมันและท้าทายบัลลังก์ที่เหนือกว่า

“ทำตามที่เจ้าต้องการ ทาสของข้า”

แสงสีน้ำเงินวาบผ่านดวงตาลีซังโฮ

***

วูจินเคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททันมาแล้ว เขาจึงทักทายคนบนเครื่องบินที่คุ้นหน้า แต่เมื่อเห็นหญิงสาวเขาขมวดคิ้ว

“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?”

“...”

ไม่ทันสตรีศักดิ์สิทธิ์จะตอบ ควันดำก่อตัวขึ้นข้างวูจิน คิบะโผล่ออกมา

[นังปีศาจ!]

คิบะคำรามก้องเครื่องบิน เขากำลังจะพุ่งไปใช้ขวานสับหญิงสาวเป็นสองส่วน แต่วูจินห้ามไว้

“ถ้าไม่ได้เรียกอย่าออกมา”

ลมหายใจของคิบะพ่นใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้หน้าซีดแต่ไม่ถอย สติของวูจินเชื่อมต่อกับห้องรออัญเชิญ เขาถอนหายใจเมื่อรู้ว่าบรรดาอัศวินมรณะกำลังคัดค้าน

“กลับไป”

บัญชาของผู้ไม่ตายต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

คิบะไม่เก็บซ่อนความคิดสังหารขณะจ้องเมโลดี้ เขาเปลี่ยนกลับเป็นควันดำแล้วกลับเข้าไปในตัววูจิน

“...”

สิ่งที่น่ากลัว ไม่มีใครรู้จักปรากฏตัวขึ้น พนักงานบนเครื่องบินต่างตกตะลึง ถอยไปยืนติดผนังเครื่องบิน

อัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตามเมโลดี้ต่างตัวแข็งเพราะจิตสังหารกับแรงกดดันของคิบะ

“เธอก็จะไปตะวันออกกลางด้วย?”

“ค่ะ...”

“อสูรของฉันไม่ชอบเธอ เธอจะตามมาทำไม?”

“...เทพีบอกให้ผู้น้อยสนับสนุนผู้ไม่ตาย...”

“เฮ้อ ทำไมเจ๊คนนั้นบอกแบบนั้นล่ะ?”

วูจินขมวดคิ้ว

สตรีศักดิ์สิทธิ์แบบไหนกันต้องมาช่วยเนโครแมนเซอร์?

“ขะ...ขออภัยค่ะ”

เมโลดี้ก้มหัว

คนๆนี้เคยเจอกับเหล่าเทพมาแล้ว เมโลดี้ได้แต่สำรวมต่อหน้าผู้ไม่ตาย เธอเป็นแค่ทาสที่ได้ยินเสียงของเทพี

“เฮ้อ ไม่เป็นไร ขอโทษทำไม?”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องทำตามคำสั่งของเทพี

ที่ผิดคือเทพีอาเรีย เมโลดี้ไม่ได้ทำผิดอะไร

“อย่าเข้ามาใกล้ฉันมากแล้วกัน”

“ค่ะ”

“แล้วก็อย่าใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ใกล้ๆฉันด้วย”

“ค่ะ...”

วูจินย้ำอีกครั้ง

“ฉันเอาจริงนะ อย่าใช้ ถ้าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอพลาดไปโดนพวกนี้มันจะตายเอา”

“ค่ะ ผู้น้อยจะระวัง”

เหล่าอัศวินมรณะยังตะโกนคัดค้านอยู่ในห้องอัญเชิญ วูจินขมวดคิ้ว

เขาไม่ว่าอะไรที่เธอมาอยู่ด้วย

บิบิกับโดลเซก็ไม่เป็นไร เพราะหนึ่งเป็นปีศาจอีกหนึ่งเป็นโกเลม แต่อสูรผีดิบของเขาเกลียดสตรี
ศักดิ์สิทธิ์

“เฮ้อ ช่างมัน”

วูจินนั่งคาดเข็มขัด

สตรีศักดิ์สิทธิ์ถอยไปนั่งไกลๆ เธอภาวนาต่อเทพีของเธอ

‘องค์เทพี ถ้าเห็นใจข้าได้โปรดปกป้องข้าด้วย’

เธอดีใจที่อัลเฟนจะได้รับการช่วยเหลือ

แต่เธอต้องติดตามวูจินทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ยินดีต้อนรับนัก อนาคตของเธอดูมืดมัว หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความกังวล

เมื่อเมโลดี้ถอยห่างจากวูจิน อัศวินศักดิ์สิทธิ์ก็มองเขาอย่างระแวงด้วย

“อ๊ะ ฉันน่าจะเอาหนังมาดูด้วย”

วูจินรู้สึกเสียดาย แต่สายไปแล้ว

เครื่องบินลอยจากรันเวย์แล้วมุ่งหน้าไปยังตะวันออกกลาง




สารบัญ                            บทที่ 92


วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 90

บทที่ 90 – มุ่งหน้าสู่จุดจบ (3)


สตรีศักดิ์สิทธิ์ยืนต่อหน้ารูปปั้นเทพี

“เทพีของข้า ข้าต้องไปจริงๆหรือ?”

เธอย้ำกับตัวเองว่าต้องไป แต่ก็ผัดผ่อนจนหลายวันผ่านไป

ดูเหมือนเธอมีชะตาต้องบินไปหาเขา ผู้ไม่ตายขอความร่วมมือจากกิลด์ไททัน พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกกลางเพื่อปราบปรามองค์กรก่อการร้าย

เหมือนเขากำลังโบกมือเรียกเธอ เมโลดี้รู้สึกไม่สบายใจ

“เฮ้อ”

เธอจะปฏิเสธไม่ไปก็ไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ เมโลดี้ยังรู้สึกเหมือนถูกรูปปั้นเทพีจ้องมอง ตั้งแต่แรกก็เป็นองค์เทพีที่นำทางเธอมายังมาโลก

หากพระนางประสงค์จะให้เธอมาหาผู้ไม่ตายย่อมต้องมีเหตุผล

เขาอาจเป็นคนที่สามารถช่วยอัลเฟนได้จริงๆ

“ข้าจะไป”

เมื่อตัดสินใจแบบนั้น เมโลดี้รู้สึกเหมือนเห็นรูปปั้นองค์เทพียิ้ม เธอคิดไปเองหรือเปล่านะ?

พอตัดสินใจได้แล้ว เมโลดี้ประกาศไปยังหัวหน้ากิดล์ไททันทันที ทำให้เดคอนต้องมาหาเธออย่างเร่งด่วน

“คุณไปไม่ได้”

กิลด์ไททันลงทุนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปมาก เธอคิดจะออกไป? เรื่องแบบนี้ยอมรับได้อย่างไร?

“นี่เป็นบัญชาจากเทพี ฉันก็ไม่ต้องการเช่นนี้แต่ไม่มีทางเลือก”

“คุณทำให้ผมลำบากใจนะ”

เดคอนตกที่นั่งลำบากจริงๆ

เขาไม่ได้ส่งเราส์แรงค์สูงไปเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเมโลดี้เพราะหวังดี ไม่ได้อยากช่วยปลดปล่อยอัลเฟน

เขาทำไปเพื่อประโยชน์ของกิลด์ไททัน

ปาฏิหาริย์ที่เมโลดี้สร้างขึ้นเป็นข่าวในโทรทัศน์ กิลด์ไททันได้รับความสนใจจากทั่วโลก เธอรักษาคนหลายคน กิลด์ไททันรู้สึกขอบคุณโบสถ์อาเรีย ยิ่งกว่านั้น ความสามารถในการพยากรณ์ของเธอก็ช่วยได้มาก

พวกเขาได้ครอบครองดันเจี้ยนมากกว่าก่อนถึงสามเท่า เป็นเหตุให้เราส์จำนวนมากมาเข้าร่วมกิลด์ไททัน แน่นอน เราส์ย่อมอยากเข้ากิลด์ที่เก่งด้านการยึดดันเจี้ยน

เราส์แรงค์สูงหลายคนถูกส่งไปเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ แต่กำลังโดยรวมของกิลด์ไททันเพิ่มกว่าเดิม การลงทุนครั้งนี้ทำให้กิลด์ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า

แต่เขาจะพอใจเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?

ผลประโยชน์ไม่ควรจะจบเท่านี้ ต่อไปเมโลดี้จะเป็นกุญแจสำคัญเมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรกทั่วโลกกับการยึดอัลเฟน

เหมือนคนร้องหาพระเจ้าเมื่อสิ้นหวัง เมื่อหายนะของการถูกมอนสเตอร์บุกเกิดขึ้น คนย่อมมองหาเทพและองค์กรที่จะปกป้องตนเป็นธรรมดา

ถ้าเขามีสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือจะทำให้กิลด์มีฐานะดีขึ้นในภายภาคหน้า

โชคไม่ดี เขาไม่สามารถขวางทางเธอได้

“ฉันขอบคุณสำหรับความใส่ใจของกิลด์ไททันที่มีให้มาตลอด หลังจากคืนทุกอย่างที่ฉันได้รับแล้วฉันจะไป”

สีหน้าเดคอนเครียดขึ้นเมื่อได้ฟัง

เขายอมไม่ได้

“ในเมื่อเป็นเทพยากรณ์ผมคงได้แต่ส่งคุณไป แต่อัศวินศักดิ์สิทธิ์จะตามคุณ สตรีศักดิ์สิทธิ์ต่อไป และกิลด์ของเราจะสนับสนุนคุณกับโบสถ์อาเรียเช่นเดิม”

“จริงหรือ?”

เมโลดี้ที่ไม่เคยแสดงอารมณ์มาก่อน แสดงความขอบคุณ

เดคอนพยักหน้าพลางพูด

“ทั้งโบสถ์อาเรียและสตรีศักดิ์สิทธิ์สามารถกลับมาที่นี่ได้เสมอ”

โบสถ์หลักของอาเรียอยู่ที่โลกอัลเฟน ที่นี่เป็นเพียงโบสถ์ชั่วคราว

เมโลดี้รู้ว่าเดคอนต้องการอะไร

“คุณฮามิลตันได้รับเมตตาจากเทพี เธอสามารถใช้พลังพรจากเทพีได้ เธอจะเป็นบาทหลวงของโบสถ์นี้”

“ขอบคุณครับ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์”

เดคอนหัวเราะ อย่างน้อยนี่ก็เป็นผลดีที่สุดแล้ว

เขาพยายามชักจูงให้เมโลดี้อยู่ที่กิลด์ไททันแต่เมื่อเป็นไปไม่ได้ ได้เท่านี้เขาก็พอใจ โบสถ์อาเรียยังอยู่กับกิลด์ไททัน และอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่สนับสนุนสตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็มาจากกิลด์ไททัน

“ตกลงว่าคุณจะไปตะวันออกกลางเหรอ? หรือจะไปเกาหลี?”

เมโลดี้คิดอยู่ครู่แล้วตัดสินใจ

เทพีบอกให้เธอไปหาเขา

“ฉันต้องไปตะวันออกกลาง”

“เตรียมตัวให้พร้อมนะครับ”

เดคอนสั่งให้เตรียมเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ทันที

วูจินไม่ได้ขออะไรจากกิลด์ไททันมาก

เขาขอยานพาหนะสำหรับเดินทางไปตะวันออกกลางและให้พวกเขาเก็บกวาดพื้นที่หลังจากเขาทำลายสถานที่นั้นไป

กิดล์ไททันเป็นคนเตรียมยานพาหนะ ส่วนงานเก็บกวาดเป็นกองทัพสหรัฐอเมริการับผิดชอบ

เดคอนไม่ต้องไปเองด้วยซ้ำ

รถที่เมโลดี้และอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั่งมุ่งหน้าไปยังสนามบิน

***

ในดันเจี้ยน

“คิบะ หยุด”

[รับบัญชา!]

คิบะรับคำอย่างองอาจ เรามองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น การต่อสู้หรือประมือ แต่ซุงกูกับฮีซอลกำลังนอนอย่างหมดแรง

“โอย”

“ประธาน...ช่วยด้วย”

ซุงกูมีรอยโหว่ตรงช่องท้อง ส่วนฮีซอลไหล่แหลกละเอียด ขาข้างหนึ่งของเธอทำมุมแปลกๆ ทั้งสองมีสติเลือนรางเต็มที นอนบนพื้นอย่างเจ็บปวดขยับตัวไม่ได้

“เชด”

วูจินส่งวิญญาณรักษาทั้งคู่

“อึก”

กระดูกบิดเบี้ยวบิดกลับสร้างความเจ็บปวดมหาศาล แต่ร่างกายของทั้งสองฟื้นสภาพอย่างรวดเร็ว ไม่นานสีหน้าของทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติแม้จะว่างเปล่าอยู่บ้างเหมือนยังไม่หายช็อค

แต่ซุงกูทำใจได้เร็วกว่าหน่อยเพราะโดนแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

“ฮู้ว คุณคิบะแข็งแกร่งจริงๆ”

“แน่อยู่แล้ว เขาเป็นออร์คลอร์ด”

คิบะเคยเป็นหัวหน้าเผ่า และแม้แต่ในหมู่หัวหน้าเผ่าเขาก็ยังเป็นหัวหน้าเผ่าสูงสุดเป็นตัวแทนเผ่าอื่นทั้งหมด เผ่าปีกเทาของคิบะเป็นที่รู้จักดีแม้แต่ลูกน้องของทราห์เน็ตยังยอมรับ

แรงค์ A กับแรงค์ C

ถ้าจัดระดับตามอัลเฟน ซุงกูกับฮีซอลอยู่ในวงแหวนที่ 6 กับวงแหวนที่ 4

ยังห่างไกลนักหากจะรับมือกับระดับคิบะ

“ฮีซอล ตั้งสติไว้”

“เอ๊ะ? คะ... ค่ะ!”

เธอกลัว เธอนึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว สติของฮีซอลกลับมาเมื่อถูกวูจินตะโกนใส่ ภาพของวูจินที่ก้มมองพวกเธอประทับในความคิด

“พวกนายเคลียร์ดันเจี้ยน 5 ดาวได้แน่ ถ้าพยายามมากๆ ดันเจี้ยน 6 ดาวก็น่าจะเคลียร์ได้”

“เฮะๆ ทั้งหมดนี่เพราะลูกพี่สั่งสอนครับ”

ฮีซอลประทับใจในความสามารถประจบของซุงกู ทำไมเขาถึงตั้งสติได้เร็วขนาดนี้ ซุงกูที่เจอแบบนี้มาบ่อยเป็นคนน่าทึ่งมากสำหรับฮีซอล

“งั้นเริ่มกันต่อ”

“ครับผม”

“...”

สายตาซุงกูเปล่งประกายจ้า แต่ฮีซอลทำหน้าหวาดกลัว

‘ชิ ยังอีกไกลเลย’

แน่นอน ใครๆก็ต้องกลัวทั้งนั้นเมื่อถูกต้อนจนใกล้ตาย

แต่ ถ้าประสบกับเรื่องเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า คนๆนั้นจะผ่านมันมาได้ ถ้าไม่ตาย คนๆนั้นจะเข้มแข็งขึ้นเหมือนซุงกู ฮีซอลต้องทำตามเขา

ความสามารถของซุงกูกับฮีซอลทำให้เวลาในการเคลียร์ดันเจี้ยนลดลงมาก วูจินใช้เวลาที่เหลือเรียกอัศวินมรณะเช่นคิบะออกมาฝึกคนทั้งสอง

เวลาในดันเจี้ยนช้ากว่าข้างนอกสี่เท่า ผลที่ได้จากการฝึกจึงมากกว่าข้างนอก 4 เท่า

อัศวินมรณะใช้อาวุธไม่เหมือนกันและมีวิธีสู้ในแบบตัวเอง เมื่อทั้งสองสู้กับอัศวินมรณะต่างกัน พวกเขาจะได้สัมผัสกับการต่อสู้หลากหลาย

“รัคโต”

วูจินเรียกอัศวินมรณะออกมาทีละตน ซุงกูกับฮีซอลรั้งอยู่ตรงขอบความตายจนถึงเวลาที่วูจินไป
ตะวันออกกลาง

***

รถซีดานคันหนึ่งจอดใกล้สถานีจูคจุน

หัวหน้ากิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ ขับรถอย่างบ้าคลั่งมาที่นี่ เขาพ่นคำสบถยาวเหยียด

“แม่งกูมาทำอะไรที่นี่วะ”

แม้ตอนลงจากรถเขายังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาที่นี่ เขาเชื่อสิ่งที่เหมือนภาพหลอนนั่นจริงๆเหรอ?
เขาไม่อยากเชื่อ แต่จะไม่เชื่อได้อย่างไรในเมื่อดาบของยุนฮีอยู่ต่อหน้า?

“ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”

เมื่อดันเจี้ยนถูกเคลียร์ หลังจากกลุ่มที่เคลียร์ออกไปแล้วมีคนเข้าใหม่ดันเจี้ยนนั้นจะคืนสภาพเป็นแบบเดิม มอนสเตอร์ทั่วไปถูกเรียกออกมาใหม่ ทุกสิ่งก่อนการคืนสภาพจะหายไป

มีใครบางคนทำสิ่งที่ฝืนกฎนี้

อาจเป็นพระเจ้า อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโครงสร้างของดันเจี้ยนหรือสามารถเข้าดันเจี้ยนจากที่ๆมันมา

“เฮ้อ”

ไม่สำคัญว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ เขาถูกชักชวนด้วยข้อเสนอนั้นจึงมาที่เดกู

เขาลงจากรถ มองทางเข้าสถานีจูกจุนที่ยุนฮีตาย

“ชิ”

มาคิดดู ทุกอย่างเริ่มผิดเพี้ยนไปตั้งแต่จุดนี้ ถ้าเขาไม่ส่งยุนฮีมาที่เดกูเพื่อตรวจสอบคังวูจิน

หน้าทางเข้าสถานี มีรูปปั้นคังวูจินขนาดเล็ก

[เพื่อยกย่องวีรชนผู้หยุดหายนะ]

นี่ไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาลท้องถิ่น คนจากพื้นที่ใกล้เคียงช่วยกันออกเงินสร้าง เมื่อลีซังโฮเห็นเขารู้สึกว่าคำด่าขึ้นมาจุกที่คอ

วูจินเป็นวีรบุรุษของคนในท้องที่ แต่เป็นศัตรูตัวฉกาจของลีซังโฮ

วูจินทำลายธุรกิจของเขา ฆ่าน้องสาวเขา เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กิลด์ของเขาตกต่ำ

ลีซังโฮยืนหน้าทางเข้าดันเจี้ยน

คนจากหน่วยจัดการมองเขาแปลกๆ มีบาเรียกั้นไว้เพราะมีคนใช้ดันเจี้ยนอยู่

“ตรงนั้นอันตรายนะครับ ถ้าไม่ได้จองไว้ก่อนช่วยถอยไปด้วย”

ขนาดคนจากหน่วยจัดการยังจำเขาไม่ได้เหรอ? เขาเป็นหัวหน้ากิลด์ใหญ่ของเกาหลีนะ

ความรำคาญ ความโกรธพลุ่งขึ้นในอก

“อ๋า?”

คนที่เฝ้าทางเข้าดันเจี้ยนรวมถึงพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนข้างๆลอยขึ้น พลังเหนือธรรมชาติจับพวกเขาลอยขึ้นโดยไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองได้ พวกเขามองลีซังโฮซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวการ

“พวกนายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร?”

เหมือนจมใต้น้ำลึกโดยไม่มีได้สวมเครื่องป้องกัน แรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปวดศีรษะ ร่างกายบิดตามสัญชาติญาณป้องกันตัวเองเมื่อในที่สุดก็จำคนตรงหน้าได้

“หัว...หัวหน้ากิลด์ฮวาราง”

ลีซังโฮปล่อยพลังที่จับคนทั้งสามไว้

หลังจากหล่นพื้น พวกเขาสูดลมหายใจลึก สุดท้ายเมื่อคืนสติได้ก็ถามคำถาม

“คุณ...มีธุระอะไรที่นี่”

“...”

นั่นสิ เขามาทำอะไร

เพื่อพลังหรือ? เพราะเขาไม่มีพลังพอจะแก้แค้นเอง?

ตลก เขาต้องมาที่นี่เพราะถูกภาพลวงตาประหลาดล่อลวงมาแน่ เขาอยากเชื่อคำของภาพลวงตา เรื่องแบบนี้ทำให้เขาอยากหัวเราะ

“ไม่มีอะไร”

ลีซังโฮหันหลัง

ถึงจะตกที่นั่งลำบาก เขาจะทำตัวเหมือนคนบ้าได้เหรอ? ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนพวกคลั่งเรื่องไสยศาสตร์ไม่รู้ผิดถูก

มันเกิดขึ้นตอนลีซังโฮกำลังจะเดินจากไป

[คุๆ ข้าถูกใจเจ้า]

ภาพลวงตาปรากฏตรงหน้าเขาอีกครั้ง

[ถ้าเจ้าตามข้า ข้าจะให้พลัง]

ภาพลวงตาเปลี่ยนเป็นควันขาว ผ่านหูของลีซังโฮเข้าไปในดันเจี้ยน

ภาพลวงตาหายไปเหมือนถูกดูดเข้าไปในดันเจี้ยน ลีซังโฮขยี้ตา

‘อะไรวะ?’

เขาถูกผีล่อลวง?

ลีซังโฮส่ายหน้า แต่แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นกับดันเจี้ยน

แสงพุ่งจากดันเจี้ยนขึ้นฟ้า

“ดันเจี้ยนรีเซ็ท!”

“ฮะ จริงด้วย”

นี่เป็นดันเจี้ยนที่ตั้งตรงสี่แยก คนจำนวนไม่น้อยเดินผ่านไปมา เราส์ที่อยู่ใกล้ๆเข้ามามอง

มันเกิดขึ้นพอดีเกินกว่าจะเรียกว่าบังเอิญ ดวงตาลีซังโฮสั่นไหว

“ฮัลโหล? ที่นี่สถานีจูคจุน...”

เมื่อเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด จากนี้ไปมีเวลาอีก 30 วันสำหรับเคลียร์ดันเจี้ยน พนักงานยุ่งอยู่กับการรายงานทางโทรศัพท์แต่แล้วโทรศัพท์ก็ระเบิด เขาไม่อาจรายงานจบ

“ทำอะไรของคุณ!”

พนักงานยังไม่ทันหันไปมองรอบตัว ตัวเขากับพนักงานรักษาความปลอดภัยถูกดึงขึ้นฟ้า หัวกระแทกกับกำแพง

เสียงเหมือนแตงโมถูกทุบ เลือดไหลตามกำแพงลงมาเป็นทางยาว จากนั้นร่างสามร่างก็ร่วงลงพื้น

“พลัง”

เหมือนถูกแม่เหล็กดูด ลีซังโฮมุ่งหน้าไปทางดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ท

เขาไม่สนใจว่าดันเจี้ยนนี้เป็นแรงค์อะไร เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าแรงค์ B อย่างตัวเองจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้หรือไม่

“แก้แค้น”

บางอย่างในนั้นจะมอบพลังให้

เขาไม่สนใจถ้ามันจะเปลี่ยนเขาเป็นพวกคลั่งนิกายประหลาด เขาต้องการพลัง

มนุษย์โลกคนหนึ่งโยนสำนึกผิดถูกทิ้งแล้วผ่านทางเข้าดันเจี้ยนไป



สารบัญ                                   บทที่ 91