บทที่ 92 – ผืนทรายสะเทือน
ฐานทัพอากาศบากราม อัฟกานิสถาน
ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก เดวิด เกทส์ สิ้นสุดการสนทนาทางโทรศัพท์กับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจากนั้นเรียกประชุมเจ้าหน้าที่
เรื่องที่จะคุยมีข้อเดียว
“ตอนนี้ เราส์ชาวเกาหลีนายหนึ่งกำลังอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททัน เขามีข้อมูลของผู้ก่อการร้ายที่ยิงจรวดในแผ่นดินอเมริกา”
“ต้องเป็นคนเกาหลีที่หยุดการโจมตีครั้งนั้นแน่ๆ”
“ใช่ เขาต้องการตามหาและแก้แค้นตัวการ เขาขอให้พวกเราช่วย”
เสนาธิการถามขึ้น
“ผมรู้ว่าเขาเป็นเราส์ แต่เรื่องสงครามมันอันตราย ถ้าทำไม่ดี การร่วมมือกับพลเมืองจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตรายกว่าเดิม”
สหายโง่เง่าอันตรายกว่าศัตรูเสียอีก ถ้าเราส์คนนี้มั่นใจในความสามารถพิเศษห่วยๆของตัวเองก็มีแต่อันตราย
เราส์ถูกยิงก็ตาย และสนามรบก็เป็นที่ๆกระสุนปืนสามารถฆ่าคนได้จากที่ไกล
“อืม นี่กิลด์ไททันส่งมา”
ผู้ช่วยเปิดวิดีโอเมื่อได้ยินคำพูดของผู้บัญชาการ
“เชี่ย”
***
เมื่อวูจินและคนของกิลด์ไททันลงจากเครื่องบินก็ถูกนำทางไปยังห้องผู้บัญชาการทันที นายพลเดวิดทักทายสั้นๆ จากนั้นทั้งหมดก็เริ่มวางแผนปฏิบัติการตามคำขอของวูจิน
“คุณได้ข้อมูลนี้มายังไง?”
พวกเขาสงสัยเรื่องนี้ที่สุด หน่วยข่าวกรองของสหรัฐยังพยายามหาข้อมูลของตัวการยิงจรวด แต่วูจินรู้แล้ว?
“อ้อ เรื่องนั้น”
วูจินเรียกอัล อัสสาดที่กลายเป็นอัศวินมรณะออกมา ความจงรักภักดีกับความเชื่อใจยังเบาบาง วูจินยังต้องใช้ค่าบงการจำนวนพอสมควร แต่ก็ลดลงมาเหลือ 80 แล้ว วูจินถามอัล อัสสาด
“เอ้า บอกพวกเขาสิ”
[ข้ารับงานมาจากนายหน้าที่ติดต่อกันบ่อยๆ เป็นงานลอบสังหารเราส์ชาวเกาหลีคนหนึ่ง...]
อสูรของวูจินเป็นนักลอบสังหารที่เคยพยายามฆ่าเขา ทุกคนในห้องวางแผนมองวูจินแปลกๆ แต่เขาไม่สนใจ
“มันเป็นใคร?”
[นักธุรกิจชายอิหร่าน ข้าไม่รู้จักชื่อมันแต่ถ้าได้เห็นรูป...]
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้บัญชาการหยิบรายชื่อหนึ่งขึ้นมา ในนั้นมีรูปถ่ายของนักธุรกิจที่มาจากอิหร่าน อัล อัสสาดชี้ไปที่คนหนึ่งในนั้น
“อืม คนนี้ชื่อ นาสเซอร์ สัตจิ ชายคนนี้ขายอาวุธให้กับทั้งรัฐบาลและพวกกบฏ อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของเรา”
[มันทำหน้าที่เชื่อมต่อกับองค์กรหลายๆแห่งที่น่าจะทำประโยชน์ได้]
วูจินมองรูป ถ้าจับชายคนนี้ เขาจะรู้ได้ว่าใครเป็นคนบงการลอบสังหารเขา
“ผมจะไปหาเขาได้ที่ไหน?”
“ว้าว ไม่ต้องรีบขนาดนั้น”
วูจินทำท่าจะออกไปหาชายคนที่ว่าทันที แต่เดวิดรั้งไว้ก่อน
“ตอนนี้ยืนยันเป้าหมายแล้ว เราจะบอกคุณหลังจากตั้งคนทำหน้าที่ประสานงาน”
ตอนนี้พวกเขาอยากให้วูจินรออีกหน่อย เป้าหมายอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวัง แต่ฉากหน้าเขาเป็นนักธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย
ถึงอย่างนั้น ชายคนนี้เป็นผู้ทำให้เกิดเหตุก่อการร้ายในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาสามารถจับตัวชายคนนี้โดยใช้อำนาจของกองทัพ แต่ถ้าต้องการจะจับเขาโดยไม่ให้ไหวตัวทันก็ต้องวางแผนดีๆ
“ผมมีวิธีจับตาดูเจ้านั่นโดยไม่ให้มันรู้ตัว คุณแค่ต้องพาผมไปที่ๆผมเห็นมันกับตาตัวเอง”
พวกเขาไม่ต้องวางแผนล่อชายคนนี้ออกมาเลย วูจินแค่ต้องเห็นชายคนนี้เขาก็สั่งให้กาเกบิตามไปได้ ไม่กี่วันหลังจากนั้นวูจินก็จะรู้ว่าชายคนนั้นไปไหนบ้าง เขาจะเห็นที่ๆชายคนนั้นทำงานรวมถึงสถานที่ๆชายคนนั้นเก็บข้อมูลงานที่ทำมา
“ถ้าทำตามวิธีของผมเราจะได้ข้อมูลมากกว่า ว่าไหม?”
“...”
ข้อเสนอของวูจินน่าทึ่ง
ถ้าพวกเขาจับนาสเซอร์เพราะคำให้การของอัศวินโครงกระดูกพิลึก สหรัฐอเมริกาอาจถูกต่อว่าเพราะไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงชายคนนี้กับการก่อการร้าย
วูจินสามารถให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าได้
ด้านวูจิน ถ้าเขาหาคำตอบจากนาสเซอร์ไม่ได้ว่าใครเป็นคนบงการ เขาก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน เพราะเหตุนี้เขาจึงใส่ใจกับแผนการนี้
‘ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่ง แต่ระวังไว้เถอะ’
เดวิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตอบ
“เข้าใจแล้ว มากำหนดแผนด้วยกันเถอะ”
แผนนี้ชื่อ [เอากระพรวนคล้องคอแมว] วูจินถูกใส่ในส่วนหนึ่งของแผนชื่อ [ผ่านเงา]
***
เปชวาร์ ปากีสถาน
วูจินในสภาพปลอมตัวกำลังนั่งในรถแท็กซี่ ถัดจากเขาเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองชาวอเมริกัน ราเชล ปาร์ค ชื่อเกาหลีของเธอคือ ปาร์คอูจี ทั้งสองเหมือนคู่รักนักท่องเที่ยวชาวเอเชียทั่วไปที่กำลังหาโรงแรมที่พัก
“ทำไมเธอเครียดนัก?”
“ฮู้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาทำงานแบบนี้ค่ะ”
หน้าที่ของราเชลอยู่ห่างจากสนามรบ แต่เธอถูกใส่เข้ามาในแผนนี้เพราะเป็นลูกครึ่ง เกาหลี-อเมริกัน รูปร่างหน้าตาของเธอไม่ขัดกับวูจิน จึงแสดงเป็นคู่รักได้ไม่สะดุดตา
ทีมสนับสนุนอีกหนึ่งปลอมตัวตามมาเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
“ถือว่าพักร้อนสิ ดูสินั่นสวย... ก็ไม่สวยเท่าไหร่แฮะ”
วูจินชี้ไปนอกหน้าต่างแล้วก็เห็นซากตึก มีทหารจำนวนหนึ่งยืนป้องกันโดยมีเด็กกลุ่มหนึ่งอยู่ใกล้ๆ
“ตรงนั้นเพิ่งเกิดเหตุระเบิดพลีชีพไปเมื่อไม่นานน่ะค่ะ”
เธอเป็นเจ้าหน้าที่ในแผนกข่าวกรองดังนั้นจึงรู้เรื่องการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานกับปากีสถานดี
“ที่นี่มีแบบนี้บ่อยเหรอ?”
“พอสมควรค่ะ ที่ประเทศของเราแค่เหตุก่อการร้ายครั้งเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว แต่ที่นี่มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน”
“หืม”
เห็นภาพบนท้องถนนแล้ววูจินอดยิ้มไม่ได้ เขารู้สึกถึงพลังของสนามรบ แปลก เขาแทบจะคิดไปว่าตัวเองอยู่ที่อัลเฟน
‘เขาดูใจเย็นจัง นั่นสินะ’
ราเชลกลืนน้ำลายเมื่อมองวูจินที่กำลังยิ้ม เธอศึกษาข้อมูลของคังวูจินทั้งหมดที่มี แรงค์ของวูจินสูงเกินกว่าจะเป็นเราส์ธรรมดา การตัดสินใจอย่างรวดเร็วเด็ดขาดของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
หน้าที่ของเธอคือพาวูจินไปที่ภัตตาคารในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งนาสเซอร์ สัตจิจะมา เธอยังมีหน้าที่อีกอย่างคือคอยรั้งวูจินที่รู้กันว่าเป็นคนใจร้อนไม่ให้ทำอะไรตามอารมณ์
“ใกล้จะถึงแล้วค่ะ กรุณาอย่าทำอะไรสะดุดตาหรือน่าสงสัยนะคะ”
“อย่าห่วงน่า”
วูจินกับราเชลเข้าไปในโรงแรมแล้วเช็คอินเข้าไปในห้องที่จองไว้ ราเชลเปิดกระเป๋าแล้วเตรียมอุปกรณ์สื่อสารจากนั้นก็ติดหูฟังอันเล็กไว้ที่หู
เธอติดต่อกับรถปฏิบัติการของทีมสนับสนุน เสร็จแล้วก็รอให้เป้าหมายปรากฏตัว
ไม่นาน
[ซ่า... เป้าหมายกำลังมุ่งหน้าไปภัตตาคาร]
“มาแล้วค่ะ”
“ไปกันเถอะ”
วูจินกับราเชลลงไปทางภัตตาคาร หลังจากสั่งอาหาร ราเชลกระซิบบอกวูจิน
“เขานั่งตรงโต๊ะที่ 3 จากด้านหลังใกล้หน้าต่าง ใส่เชิ๊ตสีน้ำเงินสว่าง”
วูจินเหลือบมองและเห็นใบหน้าเดียวกับในรูปถ่าย
‘สิงมัน กาเกบิ’
[ขอรับ]
กาเกบิเคลื่อนไปที่เงาของนาสเซอร์ สัตจิ ไม่นานอาหารที่สั่งก็มาถึง วูจินใช้ส้อมจิ้มเข้าปากเคี้ยว มันเป็นอาหารทำจากกุ้งและไก่ รสค่อนข้างเผ็ดแต่เขาชอบ
“อร่อยแฮะ”
ราเชลพูดอย่างใจร้อนนิดๆ
“เมื่อถึงเวลา กรุณาเปิดการทำงานสะกดรอยด้วยนะคะ”
“ฉันทำไปแล้ว”
เมื่อไหร่กัน? เธอไม่รู้ตัวเลย
“กินเสร็จแล้วออกกันเถอะ”
“...เข้าใจแล้วค่ะ”
ขนาดราเชลนั่งตรงหน้าวูจินยังไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เธอเชื่อว่านาสเซอร์ที่กำลังกินอาหารเรื่อยๆต้องไม่รู้ตัวแน่
พวกเขาไม่มองเป้าหมายอีก วูจินกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนมาเที่ยวจริงๆ ทำให้ความเครียดจากงานภาคสนามครั้งแรกของราเชลลดลง
เมื่อรู้ว่าท่าทางเรื่อยเฉื่อยของวูจินไม่ได้เสแสร้ง เธอรู้สึกแปลกๆ
“ไปเก็บของ ผมจะรอข้างล่าง”
“ไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอคะ?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องขึ้นไปทั้งคู่นี่”
“แต่มีบางอย่างที่คนสองคนทำได้นะคะ”
วูจินแสยะยิ้มเมื่อถูกราเชลยั่วยุ
“ต่อให้เธอต้องสละชีวิตเหรอ?”
ราเชลมองว่าวูจินปฏิเสธเธอจึงยักไหล่ นี่เป็นการปฏิเสธที่เด็ดขาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา
“แย่จัง”
“ไปทำเรื่องที่ต้องทำแล้วลงมา”
“ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
ราเชลกลับไปที่ห้องส่วนวูจินเดินเข้ามาในล็อบบี้
โรงแรมได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี ถนนหน้าโรงแรมสะอาด คนไม่ถึงขั้นหวาดกลัวสุดขีดในสงครามผู้ก่อการร้าย
“เทียบกับอัลเฟนแล้วที่นี่ดีกว่ามาก”
ที่นั่นคือนรก เขาต้องกังวลทุกวันเรื่องเอาชีวิตให้รอด
วูจินยืนเฉยๆจนถึงตอนที่เด็กกำพร้าตัวมอมแมมมารุมล้อมเขา
พวกเด็กๆพูดอะไรบางอย่างออกมา วูจินไม่ต้องดื่มยาภาษาก็เข้าใจ จากภาษากายบอกว่าพวกเขากำลังขอเงิน
‘จะไม่ว่าที่ไหนเด็กๆก็โชคร้ายกว่าคนอื่นทุกที’
มันเป็นเรื่องลำบากมากที่เด็กจะเอาตัวรอดหลังจากสูญเสียพ่อแม่คนคอยคุ้มครอง วูจินหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นเงินให้ทุกคนระหว่างมองดวงตาใสกระจ่างของพวกเขา
เด็กๆพูดขอบคุณด้วยคำที่เขาไม่เข้าใจแล้วจากไป วูจินเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งในตรอก เธอวิ่งมาหาเขา
“โฮ่”
วิญญาณของเด็กหญิงบริสุทธิ์ไม่มีรอยหม่นแม้แต่น้อย
บางทีอาจเพราะเป็นเด็ก วิญญาณของเธอสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าของโดจีวอนเสียอีก แม้แต่ในดงหนามที่ชื่อสนามรบ วิญญาณบริสุทธิ์ยังเบ่งบาน
วูจินรู้สึกดีขึ้นทันที เขายิ้ม
เด็กหญิงสูงแค่เอววูจิน เธอยิ้มให้อย่างน่ารักมาก
“สวัสดีค่ะ”
เด็กหญิงก้มหัวยื่นทั้งสองมือออกมาอย่างเคารพ วูจินหัวเราะพลางเปิดกระเป๋าสตางค์ จากนั้นเสียงติ๊กก็ดังเข้าหู
ติ๊ก
ขณะวูจินจะขมวดคิ้ว ระเบิดที่ซ่อนในชุดของเด็กหญิงก็ระเบิดขึ้น
----
ใครทำโลลิได้ลงคอ ; ^;
เชี่ย ! ตอนจบนี่อุทานเหมือนต้นเรื่องเลย เจอของขึ้นชื่อของตะวันออกกลางไปแล้วสินะวูจิน
ตอบลบ