วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 86

บทที่ 86 – ขยายกิลด์ (4)

วูจินกับซุงกูมุ่งหน้าไปทางป่าส่วนที่ยังไม่ถูกทำลาย ซุงกูทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ

“ลูกพี่”

“อะไร?”

“ทำไมไม่สอนเวทย์ผมเลย?”

วูจินแค่นยิ้มเมื่อเห็นซุงกูทำหน้างอน

“นายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียน”

“...ให้ผมรับใช้ลูกพี่ไปตลอดชีวิตก็ได้ ผมยอมขุดบลัดสโตนกับทำงานจิปาถะทุกอย่าง”

“แต่?”

“สอนเวทย์ไฟให้ผมหน่อยเถอะครับ ลูกพี่ก็รู้ความฝันผม”

จอมเวทย์ไฟ

เมื่อซุงกูกลายเป็นเราส์ จอมเวทย์ไฟกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา เขาเรียนเวทย์ไฟมาบ้างแล้วแต่ยังไม่ได้เรียนเวทย์ที่ถือเป็นเวทย์ระดับสูง

“นายก็ไปซื้อตำราเวทย์มาเรียนเองไม่ได้เหรอ?”

“อ้า!”

ทำไมเขาคิดไม่ได้นะ?

ซุงกูกลายเป็นชินกับใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เอาแต่ทำตามที่ถูกสั่ง เมื่อซุงกูตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาทั้งประหลาดใจทั้งหดหู่

วูจินตบบ่าซุงกู

“ฮงซุงกู นายเป็นกรรมการฝ่ายเบ็ดเตล็ดของพวกเรา”

“...ครับ”

“นายคิดว่ากรรมการฝ่ายเบ็ดเตล็ดมีหน้าที่อะไร?”

จะอะไรล่ะ? เขาก็เป็นเด็กวิ่งงานที่ได้เงินเดือนสูงดีๆนี่เอง

“ผมรับหน้าที่ทำงานจุกจิกทั่วไปครับ”

“คิดงั้นจริงๆเหรอ?”

“ครับ?”

“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น?”

ก็...ปกติคนอายุน้อยที่สุดในบริษัทจะทำงานพวกนี้

“ถ้าฉันไม่อยู่ ฉันอยากให้มีคนมาทำหน้าที่แทนฉัน นายคิดว่าใครจะทำได้?”

“ห...หรือว่า”

วูจินมองซุงกูตรงๆ

“นายเป็นเบอร์ 2 ของกิลด์เรา”

“ล...ลูกพี่”

เขาไม่รู้เลย แล้วยังมาบ่นอีก...

“ฉันเตรียมเวทย์ไว้ให้นายบ้างแล้ว แต่นายยังเรียนไม่ได้”

ตอนนี้ซุงกูเลเวล 61

ถ้าไปวัดระดับพลัง เขาจะกลายเป็นแรงค์ A อย่างง่ายดาย นี่เป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างตั้งใจขณะที่วูจินไปอเมริกา

วูจินดึงตำราเวทย์ 3 ม้วนออกมาจากคลัง

“ตอนนี้นายเรียนได้แล้ว”

“ลูกพี่...”

ซุงกูน้ำตาคลอเมื่อเห็นตำราเวทย์

ลูกพี่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่เขายังมาบ่นอีก...

ก่อนนี้ที่เขารู้สึกไม่พอใจ เหมือนตัวเองทำบาปเลย

“ลูกพี่ให้ผมทำงานจุกจิกเพื่อผมจะได้มีความสามารถหลายๆอย่างสินะครับ?”

“เปล่า มันก็แค่งานจุกจิกน่ะ”

“...”

อ่า น้ำตาแห้งเหือดไปเลย

“นายเป็นเบอร์สอง ส่วนเรื่องความสามารถหลายๆอย่าง...”

วูจินยิ้ม จะให้ซุงกูมีความสามารถหลากหลายไปทำไม ถ้าเขาอยากได้คนแบบนั้นก็ต้องเอาคนที่มีความสามารถแบบนั้นอยู่แล้วสิ

“เรามีมินชานอยู่แล้ว นายอยากได้หน้าที่นั้นไปทำไม? นายเป็นเบอร์สอง”

วูจินยิ้มมองซุงกู

“นายแค่ต้องแข็งแกร่งที่สุด รองจากฉัน”

“...”

“ฉันจะทำให้นายกลายเป็นมนุษย์เพลิงเลย”

“โอ้!”

ซุงกูตะโกนอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วเริ่มเรียนเวทย์ที่วูจินส่งให้

***

ซุงกูเรียนเวทย์ไปสามบท เขายิ้มกว้าง

เวทย์แต่ละบทมีพลังรุนแรง หลังจากใช้ไปหลายๆครั้ง ซุงกูก็เริ่มใช้มันได้อย่างเต็มที่

ในการเรียนทักษะระดับสูง เขาต้องเรียนทักษะระดับต่ำมาก่อน นี่คือสกิลทรี (skill tree) ทักษะที่ซุงกูเรียนมาก่อนแล้วทำให้เขาเรียนเวทย์ระดับสูงเหล่านี้ได้

“เอาล่ะ มาลองใช้ตอนสู้จริงกัน!”

“ครับลูกพี่”

ซุงกูทำสีหน้าจริงจัง

เขาใช้กายเหล็กเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผิวหนัง จากนั้นร่ายบาเรียเวทย์ห่อหุ้มร่างตัวเอง จากนั้นใช้เวทย์เร่งความเร็วกับเวทย์ไฟที่เพิ่งเรียนมา

“เบลซ!”

ร่างซุงกูลุกเป็นไฟ

ซุงกูออกวิ่ง ไฟลุกเป็นสายตามเขาไป

เปรี๊ยะๆ

ทุกก้าวจุดไฟให้ลุกโพลง ขณะวิ่งฝ่าป่า ซุงกูหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งลงมา

เขาคลุมกิ่งไม้ด้วยบาเรียอย่างช่ำชองเพื่อไม่ให้มันถูกไฟเผา จากนั้นใช้เวทย์ใหม่อีกบทที่เพิ่งเรียนมา

“เอ็นชานท์ ไฟร์!”

เปลวเพลิงพุ่งไปรอบๆกิ่งไม้เปลี่ยนมันเป็นดาบไฟ

ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบ ต้นไม้ติดไฟและไฟป่าก็ยิ่งขยายกว้าง มอนสเตอร์ในป่าหงุดหงิดและหันมาตอบโต้อย่างรุนแรง

“ท่านประธาน ดิฉันเก็บบลัดสโตนมาหมดแล้วค่ะ”

เชฮีซอลกับเสือเขี้ยวดาบสนิทกันแล้ว เธอขี่หลังมันมาหาวูจิน ตาโตเมื่อเห็นสภาพของซุงกู

“ขะ...เขาเป็นนักเวทย์จริงๆด้วย”

“ฮะๆ”

วูจินหัวเราะ ชี้ซุงกูที่วิ่งวุ่น

“นั่นน่ะนะนักเวทย์? มันก็แค่นักสู้ถือไม้เท้าไฟ”

“...”

แต่เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักเวทย์...

“ถอยไปหน่อย ต่อให้ดูเป็นแบบนี้แต่เศษไฟจากเขาก็ฆ่าเธอได้”

“ค่ะ”

ฮีซอลแตะคอเสือเขี้ยวดาบเบาๆ

“แจ็คสัน ไปกันเถอะ!”

“...เธอตั้งชื่อมันว่าแจ็คสันเหรอ?”

“ค่ะ ที่ฐานทัพของเรามีแมวตัวผู้ชื่อแจ็คสัน ดิฉันเลยนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา...”

วูจินส่ายหน้าแล้วทำมือให้เธอถอยไป

“เฮ้ยซุงกู! ลากพวกมันมา!”

“ครับลูกพี่!”

เสียงซุงกูดังสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ไม่นานแผ่นดินก็เริ่มสะเทือน

ตึงๆๆ

จากนั้น มอนสเตอร์ตัวเท่ารถ หน้าตาเหมือนหมูป่า เสือและหมีก็เริ่มออกมาจากป่า พวกมันกำลังไล่ตามสิ่งหนึ่ง

“เฮะๆๆ ผมกำลังไปทางลูกพี่แล้วนะครับ”

ซุงกูที่ถูกสัตว์ป่าไล่ตามกำลังวิ่งโดยที่มีไฟลุกท่วมตัว ความร้อนจากไฟยิ่งทำให้พวกสัตว์ป่าโมโหและวิ่ง
ไล่ตามซุงกู

วูจินยิ้มเมื่อเห็นซุงกูรวบรวมสัตว์ป่าทั้งหมดมา

เป็นไปตามแผน

วิธีนำทัพผีดิบเข้าป่าไปล่ามอนสเตอร์นั้นไม่มีประสิทธิภาพเลย มอนสเตอร์สัตว์ป่ามีสัญชาติญาณเอาตัวรอดสูง หลายชนิดจะหลบไปเมื่อเจอกองทัพที่แข็งแกร่ง การไล่ฆ่าทีละตัวๆมันใช้เวลานานเกินไป

เขาต้องการเหยื่อล่อดีๆ และซุงกูก็เหมาะสมมาก

ซุงกูวิ่งมาเหมือนจะชนวูจิน แต่เขาหยุดอยู่ข้างๆได้พอดี

“ทำได้ดี”

“เฮะๆ”

ซุงกูทำหน้าที่ได้ดีมาก วูจินสั่งให้นักเวทย์โครงกระดูกหลบอยู่รอบๆ ในทันใดนั้น นักเวทย์โครงกระดูกก็โผล่มาพร้อมกันแล้วยิงเวทย์ใส่พวกมอนสเตอร์

เมื่อค่าประสบการณ์ของเขาพุ่งขึ้น วูจินยิ้มนิดๆ

เขาอาจเคลียร์ดันเจี้ยนเร็วกว่าที่คาดไว้ก็ได้

***

เฮมินโทรมาบอกว่าพวกเขาใกล้ถึงที่ทำงานแล้ว มินชานรออย่างกระวนกระวาย

‘ฉันต้องปลอบเขาให้ได้’

มินชานต้องหว่านล้อมเขาให้ได้ก่อนวูจินจะทำอะไร มินชานท่องบทที่เตรียมไว้ซ้ำๆในหัว

ประตูออฟฟิศเปิดออก วูจินเข้ามา ฮีซอนกับซุงกูเดินโซเซตามมา

“มินชาน มานี่เดี๋ยว”

เมื่อวูจินเข้าห้องประธานไป เฮมินเดินมาหามินชานแล้วกระซิบ

“นักข่าวมาอยู่กันข้างล่าง ตอนนี้ท่านประธานเลยอารมณ์ไม่ดีครับ”

ทุกอย่างเงียบสงบมาสักพักแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกนักข่าวมาเพื่ออยากได้ความเห็นจากพวกเขาสักคำก็ยังดี

“อ๊าก”

มินชานกลืนเสียงครามขณะเปิดประตูห้องประธาน

“นั่งลง”

มินชานนั่งตรงข้ามวูจิน เขาหย่อนก้นบนโซฟาจากนั้นสำรวจสีหน้าวูจิน วูจินขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงว่าเขาอารมณ์ไม่ดีนัก

มินชานรู้สึกในหัวว่างเปล่า

“ข่าวนั่นมันยังไง?”

“มันเป็นเรื่องผิดพลาดครับ คลิปนั่นถ่ายเตรียมไว้และจะเผยแพร่ออกมาถ้าท่านประธานตอบตกลง”

“แปลว่าพวกนั้นออกข่าวตามอำเภอใจเอง?”

“ผมว่าคงจะไปสับสนกับงานถ่ายทอดสด”

วูจินยิ้ม

“พวกนั้นอาจจะเป็นคนสั่งให้พลาดก็ได้”

“...”

มินชานก็คิดเหมือนกัน แต่เขาไม่พูดออกมา

“ข้อตกลงไม่แย่ ที่จริงมันดีมากๆ ตอนนี้รัฐบาลทำทุกอย่างไม่ให้ท่านประธานอพยพไปต่างประเทศ ดูเหมือนมีหลายๆประเทศกำลังกดดันรัฐบาลเกาหลีอยู่”

สหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะอย่างนั้นไม่ใช่เหรอรัฐบาลเกาหลีถึงทำเรื่องไร้เหตุผลลงไป เป็นการบอกว่าคังวูจินไม่ไปไหนแน่ เลิกยุ่งกับพวกเขาได้แล้ว

“มินชาน”

“ครับ”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อตกลงดีไม่ดี”

“แล้ว...”

“นายลืมแล้วเหรอ ทำไมฉันสร้างกิลด์นี้?”

“...”

เขาสร้างกิลด์นี้เพราะไม่อยากเข้ากองทัพ มันเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบอ้อมๆไม่ให้เขาถูกเกณฑ์ทหาร

มินชานทำหน้าแบบ “แล้วมันยังไง?” วูจินเลยถามอีก

“ทำไมฉันสร้างกิลด์นี้ ไม่เข้ากิลด์แฮมเมอร์”

“เพราะ...อ้า!”

มินชานหน้าแข็งทื่อ

มินชานพยายามเต็มที่เพื่อดึงวูจินเข้ากิลด์แฮมเมอร์ แต่เขากลับตัดสินใจสร้างกิลด์ใหม่เพราะไม่อยากฟังคำสั่งใคร

หรือกับประเทศก็เหมือนกัน?

แต่ เขาเป็นพลเมืองเกาหลีมาตลอดนี่นา ทำไมถึง...

“พวกนั้นพยายามใส่ปลอกคอให้ฉัน ทำไมฉันต้องอยู่นิ่งๆด้วย?”

ผลประโยชน์มันก็แค่คำหวานหลอกล่อ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

เขาไม่อยากเป็นหมาที่ถูกล่ามโซ่แม้จะได้กินอาหารอร่อยก็ตาม

วูจินพูดด้วยเสียงสงบ ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปใหญ่

“ประ...โปรดใจเย็นๆ”

วูจินมองมินชานขวัญเสียด้วยสีหน้าสงสัย

“อะไร?”

“อย่าก่อกบฏนะครับ!”

ถ้าวูจินโจมตีชองวาเดจะกลายเป็นจลาจล มินชานหน้าซีด

“หา? นายคิดว่าฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยเรอะ?”

“...”

จะตอบว่าเปล่าก็...

เห็นมินชานลังเล วูจินเอนหลังกลับไปพิงโซฟา

“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

“...”

“เราโดนมาเท่าไหร่ก็คืนไปให้หมดกันดีกว่า”

“ยังไง...?”

“เรียกนักข่าวข้างนอกเข้ามาให้หมด”

“...”

แย่แล้ว

มินชานไม่มีเวลาหยุดวูจินที่กำลังจะก่อเรื่องใหญ่อีกแล้ว เขาไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร มินชานจึงหดหู่เมื่อนึกถึงตอนต้องตามเคลียร์ปัญหาทีหลัง

***

พวกนักข่าววิ่งเข้าไปในออฟฟิศของกิลด์อลันดาลที่เต็มไปด้วยความลับ กดชัตเตอร์กล้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะค้นความลับทุกซอกทุกมุม

นักข่าวจากแต่ละสำนักข่าวเข้ามาได้ไม่เกิน 2 คน และที่นักข่าวถูกเรียกมาก็เพื่องานแถลงข่าวธรรมดา

พวกนักข่าวได้รับโอกาสหายากจึงมีท่าทางตื่นเต้น พวกเขาเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและเตรียมสมุดจด เครื่องบันทึกเสียงหลายเครื่องถูกวางบนโต๊ะ

วูจินเดินออกมาพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นในมือ เขานั่งตรงโต๊ะที่เตรียมไว้

วูจินอ่านบทพูดที่มินชานเขียนให้แล้วขมวดคิ้ว

[ก่อนอื่น ข่าวที่สื่อมวลชนปล่อยออกมาเป็นเรื่องไม่จริง การเจรจาเรื่องกิลด์ป้องกันประเทศยังไม่บรรลุข้อตกลง ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า...]

วูจินขยำกระดาษเป็นก้อนจากนั้นมองนักข่าวที่นั่งอยู่ เมื่อสบตากัน นักข่าวหลายคนยกมือขึ้น วูจินหัวเราะพลางพูด

“ไว้ผมจะตอบคำถามพวกคุณทีหลัง ในฐานะประธานกิลด์อลันดาล ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่อแสดงจุดยืน”

บรรดานักข่าวกลั้นหายใจรอฟัง

“ผมเชื่อว่ารัฐบาลร่วมมือกับสื่อมวลชนต่างๆและปล่อยข้อมูลออกมาโดยที่ยังไม่มีการตกลง”

เสียงพูด ‘นี่ล่ะสกู๊ป!’ เบาๆดังขึ้นพร้อมกันเสียงเคาะคีย์บอร์ดรัวๆ

“วิธีที่พวกเขาทำมันแย่มาก ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ กรุณาบอกพวกเขาด้วยว่าจะไม่มีการตกลงอะไรอีก และอย่าพยายามติดต่อผม”

“เฮือก”

นักข่าวพ่นลมหายใจที่กลั้นไว้ แล้วจดคำแถลงการณ์ของกิลด์อลันดาล

“พวกเขากลัวผมจะออกจากประเทศมากเกินไป ถ้าพวกเขายังคิดจะวางแผนอะไรอีก ผมจะออกจากประเทศทันที จบ”

มีสักกี่คนที่ข่มขู่รัฐบาลตรงๆแบบนี้?

นักข่าวคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างว่องไว วูจินชี้ไปทางเขา

“เรารู้มาว่าคุณได้รับคำชวนจากหลายประเทศ คุณกำลังคิดจะอพยพหรือเปล่าครับ?”

วูจินยักไหล่

“ผมไม่ไปประเทศที่มากวนใจผม ผมตอบเท่านี้”

วูจินหันไปมองจุงมินชาน

วูจินหัวเราะเมื่อเห็นมินชานทำหน้า ‘จบสิ้นแล้ว’ แค่ให้ไปกินข้าว แทนที่จะกลับมาดีๆ ดันไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องซะงั้น...

“ถ้ามีคำถามอื่น กรุณาถามรองประธานของเรา”

“ด...เดี๋ยวครับ...”

วูจินลุกไปโดยไม่สนคำขอของนักข่าว พวกเขาจึงหันไปทางมินชานแทน

“มีคำถามถามรองประธานครับ”

“ผมมาจาก JS ครับ ต่อไปอลันดาล...”

ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกวูจินกดดัน เลยมีผู้กล้าไม่กี่คนยกมือถาม ตอนนี้นักข่าวเริ่มโยนคำถามโดยไม่รออนุญาต และมินชานก็รำคาญพวกเขามากแล้ว

มินชานมองหลังวูจินที่ออกจากห้องไป

‘เขาใช้ข่าวสู้กับข่าว’

ค่อยยังชั่ว ถ้าวูจินเลือกไปเอาเรื่องกับชองวาเดแทน แค่คิดก็ไม่กล้าคิดแล้ว




สารบัญ                                 บทที่ 87

1 ความคิดเห็น: