วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 89

บทที่ 89 – มุ่งหน้าสู่จุดจบ (2)


สมาชิกหลักของอลันดาลนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่งในห้องประธาน พวกเขากำลังทะเลาะกันว่าควรจะซอสเปรี้ยวหวานใส่หมูผัดเลยดีหรือไม่

ในฐานะประธาน คังวูจินมีสิทธิ์เป็นคนตัดสินใจ แต่สถานการณ์เลวร้ายมาถึงขั้นนี้เพราะเขาพูดว่า ‘ฉันไม่สน’

เพราะซุงฮุนยืนกราน พวกเขาจึงตัดสินด้วยเป่ายิ้งฉุบ ฝ่ายเทเลยได้ชัย วูจินที่มองผลเป็นเช่นนี้จึงกระตุ้น ‘เทไปเลย’ ดังนั้นซอสจึงถูกเทใส่จานหมูผัด เรียกเสียงกู่ร้องแห่งชัยชนะจากฝ่ายเทเลยแล้วกิน

วูจินกำลังคนจาจังเมียนตอนที่เห็นมินชานนั่งเฉย เขาพยักหน้าไปทางจานจาจังเมียนของมินชาน

“ทำอะไรอยู่? เส้นจะอืดหมดแล้วนะ”

มินชานแทนที่จะหยิบตะเกียบเขากลับถามเสียงเศร้า

“ท่านประธาน ทำไมถึงทำแบบนี้กับผมเรื่อยเลย?”

“ทำอะไร?”

“ท่านรู้เรื่องข่าวด่วนบน CCB หรือเปล่า?”

“ข่าวอะไร?”

วูจินคนจาจังเมียนเสร็จก็กินคำโต

“เขาว่ารัฐบาลสหรัฐ ไททัน กับอลันดาลกำลังร่วมมือกันชั่วคราวตั้งกลุ่มตอบโต้การก่อการร้าย”

“เหรอ?”

วูจินคีบเนื้อหมูที่ชุ่มไปด้วยซอสเปรี้ยวหวาน เอามาจุ่มซอสถั่วเหลืองแล้วกิน

อืม ร้านนี้ทำอร่อยแฮะ

“คนที่นั่นก็ปากเบาเหมือนกันแฮะ ยังไม่ทันไรก็เป็นข่าว”

“ท่านประธานจะมาทำใจเย็นแบบนี้ไม่ได้นะ”

“อ้าว?มีปัญหาอะไรล่ะ?”

“พวกนักข่าวโทรมาขอสัมภาษณ์จนพวกเราทำงานไม่ได้แล้ว”

ตอนนี้จะบอกว่าพนักงานที่อยู่นอกห้องทุกคนกำลังรับโทรศัพท์อยู่ก็ไม่เกินไปเลย

“ก็ถอดสายโทรศัพท์ออกเลย”

“นั่นมัน...”

ตอบอะไรได้ไร้สาระมาก

“ยังไงก็จะตอบปฏิเสธไปอยู่ดีนี่ จะต้องรับโทรศัพท์ไปทำไม?”

“แล้วงานล่ะ...”

“นายบอกไม่ใช่เหรอว่างานไม่เดินแล้ว”

ทำไมท่านประธานเป็นแบบนี้ล่ะ? ได้เข้าเรียนตรรกศาสตร์อะไรมาบ้างไหมเนี่ย?

มินชานอยากเถียง แต่นึกคำเถียงไม่ออก

“แต่...”

“นายรับงานทางโทรศัพท์เหรอ?”

“เปล่า แต่...”

“งั้นก็หยุดใช้โทรศัพท์”

นั่น... แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็...

ถ้าปัญหาคือโทรศัพท์ ไม่รับโทรศัพท์ก็หมดเรื่อง มันใช่เหรอ? มินชานทำใจให้สงบแล้วพูด

“เฮ้อ ท่านประธาน ถ้าเราทำแบบนั้นภาพลักษณ์ของเรา กับความเชื่อถือของกิลด์อื่นๆที่เราติดต่อด้วย...”

วูจินยิ้มเยาะ

“ชื่อเสียงเรายังเลวร้ายไปได้ยิ่งกว่านี้อีกเหรอ?”

“นั่น...”

อ่าฮะ!

ภาพลักษณ์ของบริษัทเรามันก็แย่มาตั้งแต่แรกแล้ว

วูจินเป็นนายของตัวเองตลอดเหนือฟ้าใต้หล้า

เราเป็นกิลด์ที่เก่งที่สุดของเกาหลี เอาแต่ใจที่สุดในเกาหลี

เราเป็นกิลด์ที่จะล่มทันทีถ้าหัวหน้ากิลด์ ที่สามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวคนเดียว ไม่อยู่

มินชานมีสีหน้าว่างเปล่า

วูจินพยักหน้าให้ซุงฮุน

“ไปดึงสายโทรศัพท์ออกให้หมด”

“ครับผม”

หลังจากกลายมาเป็นหัวหน้าเลขานุการ ซุงฮุนทำตามคำสั่งของวูจินว่องไวเหมือนถูกไฟไล่จี้ เขาออกจากห้องประธานทันทีแล้วดึงปลั๊กโทรศัพท์ออก

“คราวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว นายทำงานได้ตามสบาย”

“...”

“นายไม่จำเป็นต้องตอบสนองทุกอย่างหรอก”

บางครั้ง เมินคนอื่นก็เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

วูจินกินหมูผัดเปรี้ยวหวานต่อ

“เฮ้ อาหารร้านนี้อร่อยดี ชื่อร้านอะไรนะ”

“โซมุนกัคครับ”

“ต่อไปก็สั่งจากที่นี่ล่ะ”

“ครับ”

วูซุงฮุนเข้ามาประจบ

“ความสามารถในการจัดการงานของท่านประธานนี่ระดับขงเบ้งเลยนะครับ”

วูจินยิ้มพลางมองซุงฮุนประจบเขา

เดี๋ยวนี้เจ้านี่ทำตัวน่ารักดี เขาบังเอิญได้ยินมาว่าฐานะทางบ้านของซุงฮุนไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงพยายามอย่างหนัก วูจินรู้สึกสงสารขึ้นมาหน่อยๆ

“นาย...ตั้งแต่วันนี้ไปนายได้เงินเดือนเพิ่ม”

“ความเมตตาของท่านประธานกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเหมือนท้องฟ้าเลยครับ”

ช่างเป็นบริษัทที่เสี่ยงเจ๊งจริงๆ

มินชานถอนหายใจอยู่ในใจ

ขนาดเป็นคำสั่งประหลาดซุงฮุนยังเอ่ยปากชื่นชมได้ อย่างน้อยมินชานก็ตอบสนองแบบคนปกติ

ตู๊ดๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือของมินชาน และของพนักงานอีกหลายๆคนดังขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

กระทั่งฮีซอลที่เพิ่งเข้ากิลด์ไม่นานก็ยังมีคนโทรเข้ามือถือของเธอ

สื่อมวลชนทำทุกทางเพื่อจะได้ติดต่อกับคนในกิลด์อลันดาล

“ปิดเครื่องซะ”

“ครับ”

ทุกคนเริ่มปิดโทรศัพท์มือถือ มินชานก็เช่นกัน

“ฮะๆ”

มินชานคิดขึ้นมาได้ตอนปิดเครื่อง

เขายอมแพ้ มาคิดดูดีๆแล้วไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเลย พวกเขาไม่ใช่หน่วยงานของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องอธิบายการตัดสินใจของบริษัท

รัฐบาลจะเป็นคนจัดการเอง

เอาล่ะ...

เมื่อจอมือถือดับลง เขารู้สึกว่าความเครียดลดลงไปอย่างรวดเร็ว

แต่ยังมีปัญหาอีกข้อที่ต้องแก้

“ท่านประธาน ท่านจะไปตะวันออกกลางแล้วจะสัมภาษณ์พนักงานใหม่ยังไงล่ะ?”

“ทำไมล่ะ?”

ทำไม...

มินชานจะเป็นคนเลือกพนักงานเข้าหน่วยสนับสนุน แต่วูจินต้องมีส่วนในการเลือกเราส์

“เราไม่รู้ว่าท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่เป็นไปตามกำหนดการจะไม่มีปัญหาเหรอ”

“ไม่น่าจะนานเท่าไหร่หรอก”

ถ้าสามารถปราบปรามการก่อการร้ายได้ในเวลาไม่กี่วัน โลกคงขจัดมันหมดไปแล้ว

“เลือกทีเดียวเลยแล้วกัน”

“อะไร? ทำได้ด้วยเหรอ?”

“ได้ ไปเช่าโรงยิมใหญ่ๆมาสักที่”

วูจินแค่ต้องคัดไอ้พวกที่มีวิญญาณร้ายออก จากนั้นก็เลือกคนที่มีศักยภาพสูง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถอ่านจากเอกสารได้  เขาต้องสัมภาษณ์โดยใช้ทักษะของตัวเอง

“แล้วเราจะสัมภาษณ์วันไหนครับ?”

“อืม”

วูจินกินจาจังเมียนอีกคำ แล้วหันไปมองฮีซอล เขาวางแผนจะให้ฮีซอลเป็นคนสั่งการ เธอจึงต้องแข็งแกร่งให้ได้ถึงจุดหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องให้ได้แรงค์ B…

“ภายใน 3 อาทิตย์แล้วกัน ก่อนหน้านั้น ฉันอยากให้นายจ้างคนเข้าหน่วยสนับสนุน แล้วก็หาสถานที่สัมภาษณ์เราส์”

“อืม เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อได้วิธีจัดการปัญหาใหญ่ มินชานเปิดจาจังเมียนแล้วคน เส้นอืดหมดแล้วจึงผสมกับซอสได้ไม่ดี เห็นอย่างนั้นแล้ววูจินเดาะลิ้น

“เห็นไหม นายน่าจะคนก่อนเส้นอืด”

“ไม่เป็นไร”

ตอนนี้จาจังเมียนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

มินชานคนจาจังเมียนพลางถาม

“ไม่ร่วมมือกับไททันหลังจาก 3 อาทิตย์หน้าเลยล่ะ?”

“พูดอะไรของนาย?”

“อ้าว?”

วูจินยิ้ม

“ฉันจะกลับมาก่อนหน้านั้น”

“ท่านหมายถึง...หลังจาก 3 อาทิตย์?”

“ไม่ถึง 3 อาทิตย์หรอก อาทิตย์เดียวก็พอ”

“...”

วูจินไม่ได้หมายถึงจะไปในอีก 3 สัปดาห์ เขาวางแผนจะกลับมาภายใน 3 สัปดาห์...

“แล้วจะไปเมื่อไหร่ครับ?”

“โทรหากิลด์ไททันให้หน่อย บอกให้มารับตอนพวกเขาไปตะวันออกกลาง”

“...”

ใครมาฟังคงนึกว่าวูจินจะเรียกแท็กซี่

แต่มินชานยอมรับ พวกเขาสมควรมารับวูจินจริงๆ

“เข้าใจแล้วครับ”

“งั้นฉันกลับบ้านก่อน”

“ผมไปส่งครับ”

วูซุงฮุน เลขาส่วนตัวของวูจินเสนอตัวทันที

เขาต้องปกป้องวูจินจากนักข่าว

“นายจองดัน 6 ดาวเหมาะๆสำหรับลงพรุ่งนี้ ก่อนเครื่องบินมาฉันอยากสอนพวกนายให้ได้มากที่สุด”

อีกนานกว่าเขาจะกลับจากตะวันออกกลาง วูจินต้องวางพื้นฐานให้ซุงกูกับฮีซอนเพื่อพวกเขาจะได้เคลียร์ดันเจี้ยนกันเอง

“ครับผม”

วูจินกินจาจังเมียนจนหมดแล้วกลับไปเตรียมแผนการฝึกพรุ่งนี้ มินชานเริ่มเขียนอีเมล์ส่งกิลด์ไททัน

***

สำนักงานใหญ่กิลด์ไททัน

หัวหน้ากิลด์เดคอนอดทึ่งกับข้อเสนออันเหลือเชื่อนี้ไม่ได้

‘เขาจะหาและทำลายพวกก่อการร้าย’

การโจมตีด้วยจรวดครั้งก่อนเป็นฝันร้ายของชาวอเมริกา เป็นหายนะจากฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง บางคนอาจคิดว่าตลก แต่เขาเกลียดพวกก่อการร้ายยิ่งกว่าดันเจี้ยนเบรกที่คาดเดาไม่ได้เสียอีก...

วูจินรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอัล อัสสาด

ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นฝ่ายชวนเดคอนก่อน เขากำลังจะล้างแค้น เดคอนจะเอาด้วยไหม?

เดคอนเกลียดองค์กรก่อการร้าย แต่มีปัญหาบางข้อที่ทำให้เขาลังเล

‘ธุรกิจของชาวอเมริกาหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้’

นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่พบระหว่างการตรวจสอบ

เรื่องดันเจี้ยนประดิษฐ์กับรัชโมด พวกเขารู้จากสมาชิกแก๊งที่ถูกจับว่าได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแห่งหนึ่ง... ตัวตนของบริษัทนั้นมีแต่หัวหน้าแก๊งที่รู้ น่าเสียดาย เขาถูกฆ่าระหว่างเกิดเหตุ

และพวกนักวิทยาศาสตร์ที่พบในที่เกิดเหตุก็ยืนยันแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับบริษัทหลายแห่ง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เพิ่งอยู่ในขั้นแรกของการประเมินหลักฐาน

การตรวจสอบยังไม่จบ พวกเขาทำไปอย่างเงียบๆ...

แล้วข้อเสนอของวูจินก็มาถึง

ถ้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ระวัง ศัตรูจะตัดหางตัวเองแล้วปฏิเสธทุกอย่าง อย่างนั้นพวกเขาจะเอาผิดคนร้ายไม่ได้ ถูกต้องแล้วหรือที่จะสู้กับพวกนั้นซึ่งๆหน้า?

และยังมีอีกเรื่องที่ต้องกังวล

‘รัฐบาลจะเคลื่อนไหวหรือเปล่า’

แน่นอน บริษัทมีสายสัมพันธ์กับบางคนในรัฐบาล บางทีรัฐบาลอาจจะไม่ต้องการตอบโต้พวกก่อการร้ายและสิ่งที่พวกเขาทำจะเสียเปล่า และนี่ยังหมายความว่ากิลด์อลันดาลของเกาหลีจะตรงไปตะวันออกกลางไม่ว่าจะมีใครร่วมมือด้วยหรือไม่

‘แย่ล่ะ’

ถ้ากิลด์ไททันไม่ร่วมด้วย ทางการเงินพวกเขาไม่เสียหาย  แต่พวกเขาจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่ประเมินไม่ได้ไป

มันคือชื่อเสียงของกิลด์ และจุดยืนของพวกเขา

ภาพลักษณ์ของพวกเขาคือกิลด์อันดับหนึ่งของอเมริกา เป็นกิลด์ที่ปกป้องอเมริกา และภาพลักษณ์นี้จะเสียหาย

ตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคำทำนายของสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นจริง ตอนหายนะมาถึงโลกจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรง

กิลด์ไททันต้องมีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์

เมื่อหายนะมาถึง คนจะเสียสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ กิลด์ไททันต้องเป็นความหวังและเกราะให้คนเหล่านั้น ดังนั้นเขาต้องยอมรับข้อเสนอของวูจิน

พวกเขาต้องยอมเสี่ยงทำในสิ่งที่รัฐบาลอาจไม่เห็นด้วย และต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว...

เดคอนกดปุ่มอินเตอร์คอมหาเลขานุการของเขา

“ติดต่อ CCB”

[ทราบแล้วค่ะ]

เขาจะปล่อยข่าวแล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ทำตอนนี้ พวกเขาจะไม่อาจนำทางทั้งโลกในตอนเกิดหายนะ

พวกเขามีเหตุผลสมควรที่จะร่วมมือกับวูจิน ชาวอเมริกันต้องการอย่างนี้

รัฐบาลก็ห้ามไม่ได้

เขาไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่อีกไม่นานพวกมันไม่ได้สบายใจแน่

***

หัวหน้ากิลด์ฮวาราง

ช่วงนี้ลีซังโฮอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้เขาก็อารมณ์ไม่ดี แต่ตอนนี้ยิ่งเป็นหนัก

เมื่อไหร่ที่เปิดโทรทัศน์ ฟังวิทยุหรือเข้าอินเตอร์เน็ต มันจะเต็มไปด้วยเรื่องของอลันดาล

คังวูจินๆๆ

ทุกอย่างมีแต่เรื่องของเขา แม้แต่ในข่าวซุบซิบนินทา

[สวัสดีค่ะ ดิฉันจุงซูยุนจาก MBS และเรากำลังอยู่ในร้านอาหารจีน ที่นี่เป็นที่เดียวที่ได้คุยกับอลันดาลกิลด์ทางโทรศัพท์ เราจะสัมภาษณ์เจ้าของร้าน]

[อ๋า –ตี๊ด- แบบนี้ลูกค้าก็หนีหมดสิ –ตี๊ด- ไปให้พ้นเลย –ตี๊ด- ]

[ค่ะ สมกับที่เป็นร้านที่ได้คุยกับอลันดาล พวกเขาดูดุร้าย พวกเขา...]

เจ้าของร้านอาหารจีนโกรธที่พวกนักข่าวมารุมรอบร้าน ลีซังโฮปิดโทรทัศน์

“เรื่องไม่เป็นเรื่อง...เฮ้อ...”

ลีซังโฮถอนหายใจ

ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนจะเป็นโรคประสาท

โลกนี้บ้าไปแล้ว ทุกคนพูดถึงแต่คังวูจิน

“ที่หนึ่งในธุรกิจด้านนี้ พูดบ้าๆ”

องค์กรในตะวันออกกลางที่รับงานสังหารครั้งนั้นไม่ติดต่อเขามานานแล้ว พวกมันเป็นฝ่ายติดต่อเขาและใช้เบอร์ที่ตามรอยไม่ได้ ดังนั้นนอกจากพวกนั้นจะติดต่อมาเองลีซังโฮไม่มีทางติดต่อพวกมันได้เลย

ประธานคิมไม่รับโทรศัพท์จากเขา สมาชิกรัฐสภาเชก็ไม่ยอมพบกับเขา

หลังจากเสียเราส์แรงค์ A หนึ่งเดียว ลียุนฮี อำนาจของกิลด์ฮวารางก็ร่วงลง อิทธิพลของกิลด์อลันดาลกลับพุ่งขึ้นฟ้า

สูงจนเขาไม่กล้าทำอะไรพวกมันลับหลังอีก

เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังบีบล้อมเขา

ในตอนนั้นเอง ควันสีขาวก็มารวมตรงหน้าลีซังโฮกลายเป็นภาพของอะไรอย่างหนึ่ง

“คะ...ใคร นายคือตัวอะไร?”

เขาคือเราส์แรงค์ B แม้จะตกใจแต่ลีซังโฮจ้องศัตรูเขม็ง เขาพอเห็นร่างในควันเลือนราง แต่บอกเพศไม่ถูก ตัวตนอันไม่รู้ที่มาหัวเราะ

[เจ้าอยากล้างแค้นหรือไม่?]

เขาไม่เคยได้ยินคำที่ดังในหัวอยู่นี้มาก่อน แต่เขากลับเข้าใจความหมาย

“นายเป็นใคร?”

[เจ้าไม่อยากแก้แค้นไอ้คนที่ฆ่าลียุนฮีหรือ?]

ไอ้คนที่ฆ่าลียุนฮี...

คนๆนี้รู้อะไร?

“คังวูจิน?”

[คึๆๆ ข้าจะมอบพลังที่จะทำให้เจ้าได้แก้แค้น จงไปยังดันเจี้ยนที่น้องสาวของเจ้าตาย]

“อะไร?”

ทำไมเขาต้องทำตามคำสั่งของใครก็ไม่รู้? ไม่ใช่ มันคืออะไรก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

ลีซังโฮตะโกน ลืมตาขึ้นทันที

“อะไรวะ? ฉันสลบไปเหรอ?”

เขาหมดสติไปเพราะความเครียดเหรอ? ภาพนั้นชัดเจนจนไม่เหมือนฝัน ลีซังโฮงง

ตอนนั้นเอง เขาลืมตาโตเมื่อเห็นดาบวางตรงจุดที่ตัวตนไม่รู้ที่มาปรากฏ

มันคือดาบที่ลียุนฮี น้องของเขาใช้

เขาสำรวจด้ามดาบทันที มันมีตัวย่อของยุนฮีสลักอยู่ทำให้เขาแน่ใจ

“ดะ...ได้ไง?”

น้องสาวของเขาเสียชีวิตในดันเจี้ยน แล้วดาบนี้ยังอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นคังวูจินออกมาคนเดียวไม่ได้เอาของๆน้องสาวเขาออกมาด้วย

หลังจากดันเจี้ยนถูกเคลียร์ ภายในดันเจี้ยนจะถูกรีเซ็ทใหม่

การคงอยู่ของดาบนี้ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีเกี่ยวกับดันเจี้ยน

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำที่สิ่งลึกลับนั้นพูด

“แก้แค้น พลัง...”

แสงมันเลื่อมวาบขึ้นในดวงตาลีซังโฮ



สารบัญ                                       บทที่ 90

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 88

บทที่ 88 – มุ่งหน้าสู่จุดจบ

ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้

วูจินไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป เขามีสหายร่วมสู้

แต่จะวางใจตอนนี้ก็เร็วเกินไป

เวลาแห่งสันติสุขยังห่างไปไกล

แม่ทัพ 72 ตน และทราห์เน็ตที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ถ้าเขาล้มมันได้ สันติสุขจะมาถึงไหมนะ?

“ทีนี้ก็ได้ล่าง่ายๆแล้ว”

อัศวินมรณะแต่ละตนมีอำนาจบงการทหารโครงกระดูก ดังนั้นต่อให้วูจินอยู่ห่างไป ทหารโครงกระดูกก็จะฟังคำสั่งของอัศวินมรณะแทน

เมื่อนึกถึงว่าต่อไปจะล่าได้ง่ายขึ้น เขารู้สึกว่าเพิ่มเลเวลเป็น 80 ไม่ยากนัก

เมื่อลิช เจนิส ถูกปลดผนึก เขาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเพิ่มเลเวลแล้ว ลิชเชี่ยวชาญเรื่องการล่าพร้อมๆกันทีเดียวเป็นจำนวนมาก

“ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงเรื่อยๆเลยแฮะ”

ค่าบงการที่ใช้ควบคุมอัล อัสสาดลดลงอย่างรวดเร็ว ดูท่าคิบะกับอัศวินมรณะตนอื่นจะกำลังตั้งใจสั่งสอนทหารใหม่น่าดู

นึกถึงพวกนั้นกำลังทะเลาะกันในห้องรออัญเชิญ วูจินหัวเราะ

ซุงกูล่าเกือบเสร็จแล้ว วูจินเอาอุปกรณ์ทำอาหารออกมาแล้วเริ่มเตรียมปรุงอาหารด้วยอารมณ์ดี เขาตั้งหม้อจุดไฟ

ขณะวูจินกำลังแล่เนื้อควาย จู่ๆบิบิก็โผล่ออกมา

เธอทำแก้มป่องพลางบ่น

“เฮ้อ ห้องรออัญเชิญหนวกหูมากเลยเมี้ยว”

เข้าใจได้ พวกอัศวินกำลังอยู่ในช่วงจัดอันดับผู้นำ

“ไว้เงียบแล้วค่อยกลับไปสิ”

“ฮื้อ เดี๋ยวก็มีพวกโครงกระดูกอยู่กันเต็ม เราล่ะสงสัยว่าต่อไปจะมีวันเงียบๆหรือเปล่า”

“นั่นสินะ...”

อสูรของวูจินทุกตนต้องอยู่ในห้องรออัญเชิญ

เขาต้องเรียกทหารโครงกระดูกตัวใหม่ออกมาทุกครั้งที่จะใช้ แต่ถ้าทหารโครงกระดูกไปอยู่ใต้บัญชาของอัศวินมรณะ พวกมันก็ต้องอยู่ในห้องอัญเชิญรอผู้บัญชาการของมันเรียกออกมา

งานของวูจินคือเติมทหารใหม่เข้าไป การจัดการกองทัพทั้งหมดเป็นหน้าที่ของพวกอัศวินมรณะ จากนี้ไปเขาจะได้ทำตัวเป็นราชาผู้ไม่ตายเสียที

เมื่ออัศวินมรณะเลเวลสูงขึ้น ทหารโครงกระดูกที่อยู่ใต้บัญชาการก็จะเพิ่มด้วย อีกไม่นานห้องอัญเชิญคงมีพวกมันอยู่เต็ม...

“เธอจะเอายังไง? ต่อไปคงยิ่งหนวกหูกว่านี้”

“เฮ้อ ไม่เป็นไร จากนี้ไปเราจะออกล่าแล้วเมี้ยว”

วูจินฟังคำตอบของบิบิแล้วดีใจ วันนี้เธอดูสดชื่นขึ้น

“รู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอ?”

“ฮึ ดีขึ้นหรือเปล่าไม่เห็นเกี่ยวเลย เราต้องรีบๆเก่งขึ้นกว่านี้ จะได้ใช้ไนท์แมร์กับไอ้บ้านั่นเมี้ยว”

นึกถึงรัชโมดที่ทำให้เธอเจอกับความตาย ใจสู้ของบิบิก็ลุกพรึ่บ วูจินหัวเราะ เขาจะบังคับอสูรของตนให้ทำตามคำสั่งก็ได้ แต่วูจินไม่อยากทำแบบนั้น

“ไว้ดันเจี้ยนหน้ามาเอาจริงกัน”

“ได้เลยเมี้ยว”

ดูเหมือนซุงกูจะจัดการมอนสเตอร์หมดแล้ว มีคำกล่าวว่าครูพักลักจำ ซุงกูเห็นวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนคนเดียวหลายต่อหลายครั้ง อีกไม่นานเขาคงเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ด้วยตัวเอง

‘อืม ก็ยังอันตรายไป ถ้าฮีซอลเก่งจนช่วยหมอนี่ได้ก็อาจเป็นไปได้...’

ทั้งสองได้เรียนรู้หลายๆเรื่องจากวูจิน วูจินยังให้พวกเขากินหินเพิ่มพลังโดยไม่หวง ค่าสถานะของพวกเขาจึงเหนือกว่าเราส์ในแรงค์เดียวกัน

ตอนนี้วูจินได้กองทัพผีดิบมาเกือบครึ่งแล้ว แต่เขาต้องการทัพอื่นอีก

กองทัพที่สร้างจากเราส์ของกิลด์อลันดาล

ซุงกูจะเป็นแนวหน้า ฮีซอลเป็นผู้บัญชาการ

ยังมีเรื่องที่ต้องสอนพวกเขาอีกมาก

[ท่านประธาน ดิฉันเก็บบลัดสโตนหมดแล้วค่ะ]

เทเลพาธีของฮีซอลดังขึ้นในหัววูจิน เขาถามกลับ

[เสร็จแล้วเหรอ?]

[ค่ะ เสร็จแล้ว]

[งั้นก็มาที่นี่ก่อน]

ได้ซุงกูช่วย การล่าจึงเร็วมาก แต่ฮีซอลต้องเก็บของคนเดียว วูจินแค่อยากให้เธอเก็บบลัดสโตนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ที่เหลือก็ทิ้งไป แต่เธอบอกว่าเก็บบลัดสโตนมาหมดแล้ว วูจินจึงแปลกใจ

“เฮะๆ ผมจัดการพวกมันหมดแล้วครับลูกพี่”

ซุงกูเดินมาหาวูจิน น้ำลายไหลพลางมองอาหารที่กำลังถูกปรุง เจ้าหมอนี่... ยิ่งนานยิ่งดูง่าย

“รอฮีซอลมาแล้วค่อยกิน”

“ครับ เฮะๆ”

ไม่นานก็เห็นฮีซอลกำลังเข้ามาใกล้ เบื้องหลังเธอมีแจ็คสันแบกถุงบลัลสโตนไว้บนหลัง กับฝูงกาปากมีด 14 ตัว

“อ้าว? ยังมีมอนเหลืออีกเหรอ?”

ซุงกูเตรียมจะจัดการพวกกา แต่วูจินหยุดไว้

“เหมือนพวกมันจะถูกจับนะ?”

“เอ๋? จริงด้วยลูกพี่”

ฝูงกาปากมีดไม่ได้ไล่ตามฮีซอล พวกมันแค่บินตาม

ตามชื่อ พวกมันเป็นนกสีดำที่ใช้จงอยปากที่คมเหมือนมีดโจมตีศัตรู

“พวกนั้นมันอะไร?”

วูจินถาม ฮีซอลจึงเล่าอย่างอวดๆ

“ฮะๆ ดิฉันฝึกพวกมันค่ะ”

“ยังไง?”

ฮีซอลเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่กาปากมีดเลเวล 32

ไม่น่าเชื่อว่าฮีซอลจะจับมอนสเตอร์ 3 ดาวได้ ที่เธอไม่ถูกพวกมันโจมตีก็เพราะมีเสือเขี้ยวดาบปกป้องอยู่...

“ตอนดิฉันกำลังแล่ศพเก็บหิน พวกมันก็โผล่มา พวกมันกลัวแจ็คสันเลยไม่เข้ามาใกล้ แต่ดิฉันยกศพมอนสเตอร์ให้พวกมันกินค่ะ”

ฮีซอลไม่ได้กำราบพวกมัน แต่ใช้วิธีทำตัวสนิทสนมกับพวกมันจนจับได้สำเร็จ

“ดิฉันแสดงละครนิดหน่อย”

“...”

คิดไม่ถึง พวกมอนสเตอร์ท่าทางจะหลอกง่าย...

“แล้วทำไมเธอขุดหินได้เร็วนัก?”

“พวกนี้ช่วยค่ะ”

“หา?”

วูจินอึ้ง ทำตาโต ไม่เหมือนวูจินคนเดิมเลย

“ทำได้ด้วยเหรอ”

“ค่ะ ดิฉันสื่อสารกับพวกนี้ได้บ้าง”

ดูเหมือนฮีซอลจะได้ทักษะ ‘สื่อสาร’ กับ ‘สื่อสารกับวิญญาณ’ มาเอง ทักษะพวกนี้สำคัญต่อนักฝึกสัตว์มาก

วูจินลูบคาง นึกถึงนิสัยของกาปากมีด

อาหารที่พวกมันชอบคือเครื่องในสัตว์ จงอยปากของพวกมันเหมาะกับการดึงเครื่องในออกมา และกาก็มีนิสัยชอบสะสมของแวววาว

พอพวกมันเชื่องกับนักฝึกสัตว์ ไม่แปลกถ้าพวกมันจะทำตามคำสั่งของนักฝึกสัตว์

“ไม่เลว”

วูจินผงกหัวชมเชย

เนโครแมนเซอร์เรียกได้แต่ผีดิบ ซึ่งเคียดแค้นสิ่งมีชีวิต

กองทัพผีดิบโจมตีไม่มีความกลัว พวกมันจึงเหมาะกับการสู้ แต่ห่างไกลจากการเก็บไอเทมหรือหินบลัดส
โตนมาก

วูจินสั่งให้พวกมันเก็บได้ แต่เขาต้องบงการพวกมันอย่างใกล้ชิดเหมือนชักหุ่น แบบนั้นเขาทำเองจะง่ายและเร็วกว่า

“แสดงให้ดูหน่อยสิ”

“ค่ะ”

ฮีซอลหลับตาตั้งสมาธิ

ฝูงกาที่เกาะอยู่รอบๆกางปีกออกบิน พวกมันมุ่งหน้าไปยังศพมอนสเตอร์ที่ซุงกูล่า

ไม่นานจงอยปากคมของพวกมันก็ฉีกศพออก ดึงบลัดสโตนออกมาแล้วเอาไปกองไว้ที่เดียวกัน วูจินถามอย่างทึ่ง

“พวกมันรู้ว่าศพไหนมีบลัดสโตนด้วยเหรอ?”

“เอ่อ ดิฉันรู้สึกได้น่ะค่ะ”

“หา?”

“ตอนส่งเทเลพาธีน่ะค่ะ ดิฉันพยายามสัมผัสพลังงานรอบๆไปด้วย พอรู้ตัวก็รู้สึกถึงมันได้แล้ว...”

มอนสเตอร์ มนุษย์และไอเทม เปล่งพลังงานที่แตกต่างกัน

มันคือเวทย์ หรือจะเรียกว่าพลังชีวิตก็ได้

มอนสเตอร์ที่ตายไปส่งพลังงานด้านร้าย แต่ศพที่มีบลัดสโตนจะส่งพลังงานด้านร้ายกับพลังเวทย์ปนกัน ฮีซอลเข้าใจเรื่องนี้โดยสัญชาติญาณ

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สัญชาติญาณ เธอคงปลุกพลังด้านจิตสัมผัสขึ้นมา

นี่เป็นผลอีกอย่างของการเรียนเทเลพาธี

“โฮ่”

วูจินลูบคาง

เขารู้ว่าฮีซอลมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ เธอยังมีพรสวรรค์อีกด้วย

วูจินมองซุงกู

‘ลากอัตโนมัติ’

วูจินมองฮีซอล

‘ฟาร์มอัตโนมัติ’

วูจินยิ้ม

เขาพาเราส์คนใหม่เพื่อมาทำงานตามสั่ง แต่ความสามารถใหม่ของเธอได้เปิดหูเปิดตาเขา

ก่อนหน้านี้เขายังแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ตอนนี้มันสมบูรณ์แล้ว

วิธีเก็บเลเวลอัตโนมัติสมบูรณ์แบบ

***

ที่ทางเข้าดันเจี้ยน

“เหนื่อยหน่อยนะครับท่านประธาน”

วูซุงฮุนยืนรออยู่ ยกถ้วยใส่ชาเขียวอุ่นๆให้วูจิน เขายกมาจิบแล้วถาม

“ยังมีเวลาเหลือหรือเปล่า?”

“ครับ ท่านเคลียร์เร็วมาก ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 ชั่วโมง 12 นาที”

“เหลือเฟือ นายโทรหากองจัดการเราส์บอกให้เขาส่งฝ่ายจัดการมอนสเตอร์มาที่นี่เถอะ”

“ทราบแล้วครับ”

สาเหตุมาจากฝูงกาขนาดใหญ่ที่ออกมาพร้อมเชฮีซอล ฮีซอลไม่ใช่เราส์นักฝึกสัตว์คนแรก ก่อนหน้าเธอมีเราส์ประเภทนี้นับไม่ถ้วน

มอนสเตอร์ที่นักฝึกสัตว์จับต้องลงทะเบียนกับกองจัดการเราส์ นอกจากนั้นพวกมันยังไม่สามารถไปไหนมาไหนนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต

หลังดื่มชาเขียวอีกหน่อย วูจินมองไปทางซุงกูกับฮีซอล

“ลงดันกันอีกรอบเถอะ”

“ครับลูกพี่”

“ทราบแล้วค่ะท่านประธาน”

หนึ่งชั่วโมง

แม้ในดันเจี้ยนเวลาจะผ่านไปนานกว่า 4 ชั่วโมงสำหรับเคลียร์ดันเจี้ยน 5 ดาวก็ยังถือว่าสั้นมาก แต่วูจินมั่นใจว่าทำได้ถ้ามีออโต้บอทของเขา

***

ในรถตู้ขากลับที่ทำงาน

โร้ดเมเนเจอร์คนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถแทนซุงฮุน หัวหน้าเลขานุการซุงฮุนนั่งข้างคนขับ คังวูจินกับฮงซุงกูนั่งด้านหลัง

ฮีซอลตามมาในรถคอนเทนเนอร์กับมอนสเตอร์ของเธอ

“อา แย่ชะมัด ถ้าจับพวกมันได้มากกว่านี้ก็ดีสิ”

“เฮะๆ แต่ก็ได้มา 20 ตัวนะครับ แบบนี้พวกเราไม่ต้องห่วงเรื่องเก็บหินเลย”

ค่าความสนิทสนมของฮีซอลมีจำกัด หลังได้แจ็คสันกับกาอีก 20 ตัว ฮีซอลก็จับเพิ่มไม่ได้แล้ว

“ต่อไปฮีซอลต้องทำงานหนักล่ะ”

“ฮะๆ ต่อไปฮีซอลก็จะเก่งขึ้นพรวดๆเลยนะครับ”

ฮีซอลเลเวล 31 แล้ว

สมัยก่อน วูจินติดอยู่กับแรงค์ F มากกว่า 2 ปี เมื่อเห็นลูกน้องขึ้นเป็นแรงค์ D หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยน 3 ครั้ง เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ยังต้องฝึกอีกเยอะกว่าจะได้อย่างที่วูจินต้องการ

อย่างไรเสีย พลังเวทย์ ค่าสถานะ ทักษะต่างๆของเธอก็มาจากหินเพิ่มพลัง

ไม่ใช่ว่าประสบการณ์ต่อสู้ ประสบการณ์เคลียร์ดันเจี้ยนของเธอจะดีขึ้น ฮีซอลยังเป็นแค่มือสมัครเล่น

“อ้อ นายว่ามินชานยุ่งอยู่หรือเปล่า?”

“คงยังยุ่งอยู่นะครับ”

“นายมีเบอร์ของกิลด์ไททันหรือเปล่า?”

“เอ่อ ผมจะลองถามดูครับ”

ซุงฮุนโทรเข้าที่ทำงาน จากนั้นส่งโทรศัพท์มือถือให้วูจิน

“ท่านประธาน รองประธานจุงขอคุยด้วยครับ”

“ง่ะ คงห่วงอีกแล้วสิ”

วูจินรับโทรศัพท์

“แค่เบอร์โทร ส่งข้อความมาก็ได้”

[ท่านประธานมีธุระอะไรกับพวกเขา?]

“อ้า แค่มีเรื่องจะถาม”

[ผมถามให้เอง ได้คำตอบแล้วผมจะบอกท่านประธาน]

“ไม่ ฉันรู้ว่านายยุ่งอยู่ ส่งเบอร์มาก็พอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”

[แน่ใจนะครับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่?]

“เฮ้อ”

วูจินทำเสียงแข็งขึ้น ทำให้มินชานหงอทันที

[เข้าใจแล้ว ผมจะส่งเบอร์ไปที่โทรศัพท์ท่านประธานนะ]

“ได้ ทำงานดีๆล่ะ ฉันใกล้จะถึงออฟฟิศแล้ว เพราะงั้นมากินมื้อเย็นด้วยกัน นายคงไม่มีเวลาออกจากออฟฟิศใช่ไหม? ฉันเอาจาจังเมียน”

“ผมก็เอาจาจังเมียนด้วยครับ”

“ผมเอาจัมปง”

วูจินยิ้มเมื่อซุงกูกับซุงฮุนพูดแทรก

“ได้ยินนะ? นายสั่งจาจัง 2 ที่ กับจัมปง 1 ที่ โทรหาฮีซอลด้วยว่าจะกินอะไร”

[เข้าใจแล้วครับ]

มินชานภาวนาอย่าให้วูจินก่อเรื่องมากไปกว่านี้ เขาตัดสายโดยไม่รู้ว่าวูจินได้รับคำภาวนาแรงกล้าของเขาหรือเปล่า

วูจินคืนโทรศัพท์ให้ซุงฮุน

ตริ๊ง

เสียงข้อความเข้า วูจินดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา

[สายตรง แผนกเลขานุการกิลด์ไททัน xxxx]

“โทรไปต่างประเทศนี่ทำยังไงนะ?”

“ผมทำให้ครับ”

ซุงฮุนช่วยโทรให้ ซุงฮุนมองอย่างสงสัย

“เอ๋? เรามีล่ามเหรอครับ? คุณซุงฮุนพูดภาษาอังกฤษเป็นเหรอ?”

“อ๊ะ ไม่เป็นครับ”

ซุงฮุนตอบแล้วมองโร้ดเมเนเจอร์ เขาส่ายหน้าอายๆ วูจินมองพวกเขาลนลานกันแล้วยิ้ม

[ฮัลโหล]

[ผมคังวูจินจากกิลด์อลันดาล]

วูจินพูดภาษาอังกฤษแจ่มชัด ซุงกูกับซุงฮุนมองตาโต

[ผมจะต่อสายคุณไปทางหัวหน้ากิลด์เดี๋ยวนี้ครับ]

เลขานุการคงได้รับคำสั่งมาก่อน สายถูกส่งไปที่หัวหน้ากิลด์ทันที

[คุณคังหัวหน้ากิลด์อลันดาล มีอะไรให้ผมช่วยครับ?]

[คุณจำหัวที่ผมให้ดูตอนนั้นได้หรือเปล่า?]

[อัลอัสสาดใช่ไหมครับ?]

[โอ้ คุณรู้ชื่อเขา รวบรวมข้อมูลเสร็จแล้วเหรอ?]

[ไม่เชิงครับ เขาเป็นนักลอบสังหารชื่อดัง ก็เลย... เขาไม่ได้อยู่ในองค์กรไหนจริงๆ ทำตัวเหมือนทหารรับจ้าง เขาทำงานให้กลุ่มกบฏในอัฟกานิสถานเป็นส่วนมาก และมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาทำงานในอิรักกับซีเรียด้วย เรากำลังพยายามอย่างหนักหาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...]

[ผมรู้ว่าใคร]

[จริงเหรอครับ?]

วูจินยิ้ม แน่ล่ะ เขารู้ เขาถามอัล อัสสาดเอง วูจินรู้ว่าใครเป็นคนสั่งและสามารถสาวกลับไปที่คนบงการเบื้องหลัง

วูจินแค่อยากได้ความช่วยเหลือจากกิลด์ไททันเล็กน้อย

[คุณอยากจับคนบงการการก่อการร้ายครั้งนี้หรือเปล่า?]

กล้าส่งมือสังหารมาฆ่าเขา...

ได้เวลาล้างแค้นแล้ว


สารบัญ                                  บทที่ 89

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 87


บทที่ 87 – ขยายกิลด์ (5)


ช่วงนี้มินชานยุ่งมาก

ราวกับว่าวูจินรู้สึกเหนื่อยแทน เขาเลื่อนตำแหน่งเฮมินเป็นกรรมการและให้เฮมินช่วยงานมินชาน
อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์กำลังลงข่าวครึกโครม

การเจรจาไม่บรรลุผลไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่เป็นเรื่องคือรัฐบาลชี้นำให้เผยแพร่เนื้อหาการเจรจาก่อนเวลา และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง อลันดาลก็ปฏิเสธข้อตกลง

[คังวูจินกำลังต่อรองเรื่องอพยพไปสหรัฐอเมริกา?]

[รัฐบาลเกาหลีถูกปฏิเสธ]

[เกาหลีสูญเสียเราส์แรงค์ AA]

[ประธานกิลด์ฮวารางเผย กิลด์ใหญ่ทั้ง 3 เพียงพอกับการปกป้องเกาหลี]

[ญี่ปุ่น จีน ติดตามสถานการณ์ จำเป็นต้องหาเราส์ AA คนใหม่]

บทความส่งออกมาเรื่อยๆ และเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะอ่านมันทั้งหมด มินชานไม่สนใจบทความพวกนี้ เขาเพียงรับการติดต่อจากรัฐบาล

“ไม่ครับ ท่านประธานของเราตัดสินใจชัดเจนแล้ว ไม่มีอะไรต้องทบทวนอีก”

พวกเขาคิดว่านี่เป็นแผนเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ แต่การตัดสินใจของอลันดาลแน่นอนแล้ว วูจินไม่มีทางตอบรับข้อตกลงป้องกันประเทศ สิ่งเดียวที่มินชานทำได้คือตอบปฏิเสธ

ถ้ารัฐบาลเข้าใจก็ดี แต่พอเขาปฏิเสธข้อเสนอ พวกเขาก็กลับมาใหม่พร้อมข้อเสนอที่ดีกว่า

“เฮ้อ บ้าชะมัด”

ผลประโยชน์นั้นดีมากจนเขาอยากจะตอบรับเสียเดี๋ยวนั้นเลย แต่เขาจะทำอะไรได้ในเมื่อประธานบอกว่าไม่

มินชานยุ่งมาก แต่ไม่เกี่ยวกับที่ต้องตอบรัฐบาล คำขอสัมภาษณ์กิลด์อลันดาลที่ขอมาไม่หยุดหย่อนก็ไม่

“วันนี้ก็ปาไป 1,200 คนแล้วนะครับ”

“เฮ้อ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปฉันคงไม่ได้พัก”

นี่เป็นจำนวนจดหมายสมัครงานที่พวกเขาได้รับหลังจากประกาศรับสมัครงาน ถ้าวูจินให้คุณสมบัติที่ต้องการมาสักหน่อยคงง่าย แต่นี่ใครๆก็สามารถสมัครได้ กระทั่งเราส์แรงค์ F

ตามความเป็นจริงแล้ว คนที่มีความสามารถโดดเด่นแม้จะมีแรงค์ต่ำก็ถูกกิลด์อื่นชวนไปแล้ว เราส์ที่ยังไม่ถูกชวนคือแรงค์ E กับ F

แรงค์ C ขึ้นไปที่ไม่มีกิลด์ก็คือไม่ต้องการเข้ากิลด์ ดังนั้นจึงไม่มีจดหมายสมัครงานจากเราส์แรงค์สูงพวกนี้ จดหมายสมัครงานส่วนมากมาจากเราส์แรงค์ F

คิมเฮมินที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการอดอึ้งไม่ได้

“ตอนจัดเวลาสัมภาษณ์คงเหนื่อยน่าดู”

“ก็ต้องทำอยู่ดี มีคนสมัครเข้าหน่วยสนับสนุนกี่คน”

“แย่กว่านี้อีกครับ 3,200 คน”

“...อืม”

มินชานอึ้ง

วูจินเป็นคนเลือกเราส์เอง มินชานแค่ต้องจัดตารางและเตรียมห้องสำหรับสัมภาษณ์ก็จบ แต่กับหน่วยสนับสนุนไม่ง่ายอย่างนั้น เขาต้องเลือกคนอย่างระมัดระวังเริ่มจากขั้นอ่านจดหมายสมัครงาน

งานของจริงมันเริ่มตรงนี้

“เฮ้อ ยังไงก็ต้องเลือกล่ะนะ”

อลันดาลมีพนักงานมากกว่า 100 แต่คิดถึงจำนวนเราส์ที่จะเพิ่มเข้ามา ต่อให้มีคนมากกว่านี้ 10 เท่าก็ยังไม่พอ เราส์ธรรมดาหนึ่งคนต้องการทีมสนับสนุนอย่างน้อย 10 คน

เฮมินหัวเราะแม้จะมีกองเอกสารท่วมหัว

“ฮะๆ แต่เห็นยังสดใสอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ รองประธานจุง”

“จริง กรรมการคิม”

“ฮ่าๆๆ”

พวกเขาออกจากกิลด์แฮมเมอร์มาเดือนเดียวก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานกับกรรมการ

ช่วงนี้เพื่อนเก่าในกิลด์แฮมเมอร์โทรหาเขาบ่อยๆ บอกว่าถ้ามินชานให้งานพวกเขาจะเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่...

กิลด์แฮมเมอร์ใหญ่กว่าอลันดาลมาก แต่อลันดาลร่ำรวยกว่า

“ถ้าดูจากความสามารถด้านฝึกของท่านประธาน พวกเราเหนือกว่าทุกคนเรื่องคุณภาพ”

“โฮ่ แน่อยู่แล้ว”

ซุงกูเป็นเราส์แรงค์ F มาก่อน ฮีซอลก็เช่นกัน

ก่อนพวกเขาไปอเมริกา ซุงกูก็กลายเป็นแรงค์ B แล้ว ฮีซอลยังไม่ถูกวัดระดับ แต่เมื่อเห็นเสือเขี้ยวดาบขนาดเท่ารถที่เธอพาออกมามินชานก็คลายใจ

ท่านประธานเลือกแต่เราส์ที่มีศักยภาพสูง

นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านประธานจึงต้องการสัมภาษณ์คนมาสมัครงานทั้งหมดเอง

“แต่ ผมเป็นห่วงคุณซุงฮุนนิดหน่อยแฮะ”

“เขาเป็นคนหัวไว ไม่เป็นไรหรอก”

ถ้ามองอีกด้าน ซุงฮุนจะรับหน้าที่สำคัญ สุดท้ายแล้วเราส์คนใหม่หรือหน่วยสนับสนุนไม่มีผลอะไรมาก เป้าหมายหลักคือให้คังวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนเรื่อยๆ และซุงฮุนต้องสนับสนุนเขา

เพราะอย่างนี้ห้องถัดจากห้องประธานคังวูจินคือห้องเลขานุการส่วนตัว และวูซุงฮุนครอบครองห้องนั้น เขาดูแลตารางเวลาของวูจินรวมถึงงานเล็กน้อยเช่นขับรถให้วูจิน

มีพนักงาน 20 คนช่วยเหลือ ทำให้วูซุงฮุนยิ้มกว้างและตั้งใจทำงานของตัวเองอย่างมีความสุข

“เอาล่ะ ตั้งใจทำงานเถอะ”

“ครับ ท่านรองประธาน”

“ฮะๆๆ หยุดเลย กรรมการคิม”

“ฮ่าๆๆ”

ความสัมพันธ์ระหว่างรองประธานกับกรรมการแนบแน่นดี บรรยากาศในที่ทำงานจึงดีมาก แต่พนักงานคนอื่นตอบเมล์ ตอบโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดกันหัวปั่น

***

ดันเจี้ยน 5 ดาวของสถานีลีซูทางออกที่ 2

หรือเพราะเลเวลของมอนสเตอร์ในนี้ต่ำเกินไป? วูจินกว่าจะเก็บเลเวลจนเต็มเขาต้องฆ่ามอนสเตอร์ในนี้ไปสองในสาม

[เลเวลอัพ!]

วูจินหายกังวลเมื่อเลื่อนเลเวลถึง 70

เขาปลดทักษะใหม่

[เรียกอัศวินมรณะ]

จำต้องทำสัญญานาย-ทาสกับวิญญาณของอัศวินมรณะ (เลเวลไม่ต่ำกว่า 70) จึงเรียกอัศวินมรณะออกมา
ได้

อัศวินเหล่านี้รับตำแหน่งผู้บัญชาทัพ จำต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องจึงจะได้รับความจงรักภักดีตอบแทน

พวกเขาสามารถเลื่อนระดับโดยการฝึกฝนและออกล่า ทักษะจะต่างไปตามเลเวลของอัศวิน

--

ทักษะร่วมใช้ –(TN – shared skill ทักษะที่เจ้าของทักษะให้คนอื่นใช้ด้วยได้)

เรียกม้าปีศาจ – ม้าปีศาจจะร่วมสู้กับอัศวินมรณะเมื่อถูกเรียกออกมา

จัดการกองทัพ – เมื่อเพิ่มเลเวลขึ้นมา 1 จะทำให้สามารถควบคุมโครงกระดูกเพิ่มขึ้น 10

บงการหน่วยรบ – แยกทหารโครงกระดูกให้มาอยู่ภายใต้การบัญชาการของอัศวิน

--

อัศวินคือพลังที่ทำให้วูจินสามารถควบคุมกองทัพได้เป็นหมื่นๆ

ค่าบงการของเนโครแมนเซอร์ทำให้วูจินควบคุมอันเดด ซึ่งก็คือมอนสเตอร์ประเภทหนึ่ง ได้

อัศวินมรณะเป็นผู้บัญชาการ สามารถควบคุมพวกโครงกระดูกได้

ถึงตอนนี้วูจินก็ไม่ต้องคุมพวกโครงกระดูกแล้ว เขาแค่ต้องควบคุมอัศวินมรณะ วูจินไม่ต้องเสียความคิดไปกับการควบคุมกองทัพขนาดใหญ่

[เลเวล 1 คิบะ]

[เลเวล 1 รัคโต]

[เลเวล 1 เวียร์]

[เลเวล 1 แรมสัน]

[เลเวล 1 ....]

อัศวินมรณะ 52 ตนที่วูจินไว้ใจถูกปลดผนึกไปอยู่ในห้องรออัญเชิญ วูจินเชื่อมต่อความคิดกับพวกเขา ดังนั้นเมื่อรู้สึกถึงพวกเขา วูจินยิ้ม

เลเวลต่ำไปหน่อย แต่เขาไม่สนใจ การเพิ่มเลเวลไม่ใช่เรื่องยากนัก

สงครามนี้ไม่จบในเร็วๆนี้ ศัตรูที่เขาต้องฆ่ามีล้นเหลือ

วูจินรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนที่พึ่งพาได้อีกครั้ง

ถึงตรงนี้ วูจินตัดสินใจจบการล่าวันนี้ไว้เท่านี้ เขาตะโกนบอกซุงกูที่กำลังลากมอนสเตอร์อยู่ไกลๆ

“ซุงกู! จะเผาให้หมดก็ไม่ว่า จัดการให้หมดเลย”

“ครับลูกพี่!”

ซุงกูเปลี่ยนจากเหวี่ยงดาบไฟล่อมอนสเตอร์มาเป็นการไล่สังหาร วูจินมองอย่างพอใจเมื่อเห็นเปลวไฟระเบิดเป็นแห่งๆ

“ซุงกูโตขึ้นเยอะ”

ระหว่างซุงกูล่ามอนสเตอร์ที่เหลือ วูจินเอาหินผนึกออกมาจากคลัง

“อัล อัสสาด”

โชคดี วิญญาณเลเวล 70 ดวงแรกที่เขาได้มาเป็นเราส์นักรบ

นี่เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างอัศวินมรณะ

เขาดึงศพกับหัวที่ขาดออกมา จากนั้นทำลายหินผนึกวิญญาณเพื่อเรียกวิญญาณอัล อัสสาดออกมา

[สังหารเป้าหมาย!]

วิญญาณของอัล อัสสาดพุ่งออกมาเมื่อเห็นวูจิน แต่เปล่าประโยชน์ หมัดของเขาทะลุร่างวูจินไป เหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ วิญญาณของอัสสาดพยายามทุกทางที่เขาคิดว่าจะทำร้ายวูจินได้

วูจินยิ้ม ถ้าวิญญาณร้ายนับหมื่นดวงทำตัวน่ารักเหมือนอัสสาดจะดีแค่ไหนนะ?

“หยุด”

วูจินสั่ง

วิญญาณอัสสาดหยุดนิ่ง วูจินไปยืนตรงหน้ามัน วิญญาณดิ้นรน มันได้แต่มองวูจินเหมือนถูกจับมัด

“เป็นทาสฉันซะ”

[ไร้สาระ!]

“มาอยู่ใต้คำสั่งฉัน”

[ไม่มีทาง...]

“คุกเข่า!”

[อึก...]

ไม่เหมือนจิตใจที่แข็งขืนเต็มที่ วิญญาณของอัสสาดคุกเข่าลงตรงหน้าวูจิน

วูจินเป็นนักสู้ผู้ทรงเกียรติของ ทราช เทพแห่งการทำลาย เขาได้อำนาจเหนือผู้วายชนม์ในฐานะผู้ไม่ตาย เขาเป็นราชาแห่งความตาย!

ดวงตาอัสสาดกลิ้งกลอกไปมา วูจินมองพลางใช้ทักษะเรียกอัศวินมรณะ

พลังงานสีดำรวมตัวในมือของวูจินแล้วเปลี่ยนเป็นดาบคู่

มันเป็นดาบที่อัล อัสสาดใช้ อาวุธที่วิญญาณอยากได้

วูจินจับดาบคู่แล้วลดมันลงเหนือบ่าอัสสาดเล็กน้อย

“ยอมแพ้ซะ”

“ฉัน...ยอม...แพ้”

ถ้าเขาปาดคออัสสาด ด้วยอำนาจที่ได้จากเทพแห่งการทำลาย วิญญาณของอัสสาดจะสลายไป จบสิ้นอย่างแท้จริง

“ติดตามฉัน”

“ฉัน...จะ...ติดตามนาย”

วูจินส่งดาบคู่ให้ วิญญาณใช้สองมือรับดาบ

“ระบายความโกรธของนายไปที่ศัตรูของฉัน”

[ตามแต่...เจ้านายบัญชา...]

อัสสาดจับดาบมั่น

วิญญาณเขาเริ่มหมุนเป็นลมหมุนแล้วเข้าไปในร่างไร้ชีวิต หัวขาดเริ่มต่อติดกับตัว เนื้อหนังเน่าเปื่อยหล่นออก หัวกะโหลกสีดำมาแทนที่ ควันดำรวมตัวกันเป็นเกราะและผ้าสีดำพันหัวเป็นคอฟิเยาะห์ ดาบคู่คาดตรงสะโพก อัศวินมรณะคนใหม่ถือกำเนิด

“นายเหมือนนักฆ่าอาหรับเลย”

[…]

เขายอมจำนนต่อวูจินและกลายเป็นอัศวินมรณะ แต่ยังไม่เชื่อใจวูจิน แค่มองก็รู้ว่าเขาไม่มีความจงรักภักดีต่อวูจิน

[เลเวล 1 อัล อัสสาด]

อัศวินลำดับที่ 53 ของผู้ไม่ตาย คังวูจิน

เนื่องจากยังพยศจึงต้องการค่าบงการจำนวนมากเพื่อควบคุม

ทักษะร่วมใช้ – ม้าปีศาจ, จัดการกองทัพ, บงการหน่วยรบ

ทักษะเฉพาะ – ลบร่องรอย, ฝีเท้าผี, ดาบแห่งความตาย, เทพพิโรธ (คลั่ง)

จำนวนทหาร – 0/10

ต้องการค่าบงการ – 312 (ผลจากความเชื่อใจ ความจงรักภักดีและความเชื่อฟัง)

อัศวินแห่งความตายแต่ละตนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถนัดอาวุธไม่เหมือนกันและมีทักษะเฉพาะของตัวเอง วูจินหัวเราะอย่างพอใจเมื่ออ่านข้อมูลของอัล อัสสาด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอัศวินมรณะแบบนักลอบสังหาร

ข้อเสียคือค่าบงการ 312

เขาต้องใช้ค่าบงการเท่ากับควบคุมทหารโครงกระดูก 312 ตนเพื่อควบคุมอัล อัสสาด เป็นตัวเลขที่ไม่มีเหตุผลเลย

มันจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าเขาอยากใช้ อัล อัสสาด วูจินต้องลดค่าบงการลงให้ถึงระดับพอรับได้
และเขาก็มีวิธีลดค่าบงการที่ได้ผลดี

“มาตรงนี้”

[…]

อัสสาดขยับตามคำสั่งวูจิน แต่ไม่ตอบ

หึ ทำแบบนี้ได้ไม่นานหรอก

วูจินเรียกนักรบที่ซื่อสัตย์ที่สุด สหายร่วมรบที่เขาร่วมสู้ด้วยนานที่สุด และเป็นเพื่อนของเขาออกมา

“คิบะ”

ควันดำก่อตัวข้างอัล อัดสาด ร่างนั้นใหญ่เกินกว่าจะเป็นมนุษย์

เขาสวมเกราะหยาบ ขวานใหญ่ด้ามหนึ่งขัดหลัง หมวกเกราะติดเขาหนึ่งข้างดูคุกคาม

หลังจากสู้ในสนามรบนานหลายปี หมอกสีแดงรอบตัวเขายิ่งดูรุนแรง

ลมหายใจรุนแรงเหมือนสัตว์ป่า

เมื่อร่างใหญ่แตะพื้น คิบะเห็นอัศวินมรณะคนใหม่ยืนอย่างอวดดี จึงถีบเข่าของอัล อัสสาด

ถ้าเข่าทรุดลงคงดี แต่พลังมหาศาลของคิบะทำให้ขาหลุดจากร่าง!

มือหยาบของคิบะกดบนหัวอัล อัสสาด

อัล อัดสาด คว่ำลง หน้าผากกับมือแตะพื้น

พร้อมกันนั้น คิบะคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วกำหมัดข้างหนึ่งกระแทกพื้น

[นายของข้า ผู้ไม่ตาย!]

ในหมู่ออร์ค เขามีชื่อเสียงว่ากล้าหาญที่สุด ผู้นำของเผ่าปีกเทา

ออร์คลอร์ด คิบะ ไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปขณะอยู่ในห้องผนึก เขาได้เจอกับเจ้านาย คังวูจินผู้ไม่ตาย อีกครั้ง หลังจากถูกปลดผนึก

วูจินหัวเราะร่าเริงเมื่อเห็นคิบะ เข้มงวดไม่เปลี่ยน

“ไม่ได้เจอกันนานนะ”

หลังจากกลับมาที่โลก คังวูจินได้ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคืนมา



สารบัญ                                  บทที่ 88


มิติใหม่ของการบังคับให้คุกเข่า...ล้ำกว่าในหนังจีนอีก

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 86

บทที่ 86 – ขยายกิลด์ (4)

วูจินกับซุงกูมุ่งหน้าไปทางป่าส่วนที่ยังไม่ถูกทำลาย ซุงกูทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ

“ลูกพี่”

“อะไร?”

“ทำไมไม่สอนเวทย์ผมเลย?”

วูจินแค่นยิ้มเมื่อเห็นซุงกูทำหน้างอน

“นายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียน”

“...ให้ผมรับใช้ลูกพี่ไปตลอดชีวิตก็ได้ ผมยอมขุดบลัดสโตนกับทำงานจิปาถะทุกอย่าง”

“แต่?”

“สอนเวทย์ไฟให้ผมหน่อยเถอะครับ ลูกพี่ก็รู้ความฝันผม”

จอมเวทย์ไฟ

เมื่อซุงกูกลายเป็นเราส์ จอมเวทย์ไฟกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา เขาเรียนเวทย์ไฟมาบ้างแล้วแต่ยังไม่ได้เรียนเวทย์ที่ถือเป็นเวทย์ระดับสูง

“นายก็ไปซื้อตำราเวทย์มาเรียนเองไม่ได้เหรอ?”

“อ้า!”

ทำไมเขาคิดไม่ได้นะ?

ซุงกูกลายเป็นชินกับใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เอาแต่ทำตามที่ถูกสั่ง เมื่อซุงกูตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาทั้งประหลาดใจทั้งหดหู่

วูจินตบบ่าซุงกู

“ฮงซุงกู นายเป็นกรรมการฝ่ายเบ็ดเตล็ดของพวกเรา”

“...ครับ”

“นายคิดว่ากรรมการฝ่ายเบ็ดเตล็ดมีหน้าที่อะไร?”

จะอะไรล่ะ? เขาก็เป็นเด็กวิ่งงานที่ได้เงินเดือนสูงดีๆนี่เอง

“ผมรับหน้าที่ทำงานจุกจิกทั่วไปครับ”

“คิดงั้นจริงๆเหรอ?”

“ครับ?”

“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น?”

ก็...ปกติคนอายุน้อยที่สุดในบริษัทจะทำงานพวกนี้

“ถ้าฉันไม่อยู่ ฉันอยากให้มีคนมาทำหน้าที่แทนฉัน นายคิดว่าใครจะทำได้?”

“ห...หรือว่า”

วูจินมองซุงกูตรงๆ

“นายเป็นเบอร์ 2 ของกิลด์เรา”

“ล...ลูกพี่”

เขาไม่รู้เลย แล้วยังมาบ่นอีก...

“ฉันเตรียมเวทย์ไว้ให้นายบ้างแล้ว แต่นายยังเรียนไม่ได้”

ตอนนี้ซุงกูเลเวล 61

ถ้าไปวัดระดับพลัง เขาจะกลายเป็นแรงค์ A อย่างง่ายดาย นี่เป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างตั้งใจขณะที่วูจินไปอเมริกา

วูจินดึงตำราเวทย์ 3 ม้วนออกมาจากคลัง

“ตอนนี้นายเรียนได้แล้ว”

“ลูกพี่...”

ซุงกูน้ำตาคลอเมื่อเห็นตำราเวทย์

ลูกพี่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่เขายังมาบ่นอีก...

ก่อนนี้ที่เขารู้สึกไม่พอใจ เหมือนตัวเองทำบาปเลย

“ลูกพี่ให้ผมทำงานจุกจิกเพื่อผมจะได้มีความสามารถหลายๆอย่างสินะครับ?”

“เปล่า มันก็แค่งานจุกจิกน่ะ”

“...”

อ่า น้ำตาแห้งเหือดไปเลย

“นายเป็นเบอร์สอง ส่วนเรื่องความสามารถหลายๆอย่าง...”

วูจินยิ้ม จะให้ซุงกูมีความสามารถหลากหลายไปทำไม ถ้าเขาอยากได้คนแบบนั้นก็ต้องเอาคนที่มีความสามารถแบบนั้นอยู่แล้วสิ

“เรามีมินชานอยู่แล้ว นายอยากได้หน้าที่นั้นไปทำไม? นายเป็นเบอร์สอง”

วูจินยิ้มมองซุงกู

“นายแค่ต้องแข็งแกร่งที่สุด รองจากฉัน”

“...”

“ฉันจะทำให้นายกลายเป็นมนุษย์เพลิงเลย”

“โอ้!”

ซุงกูตะโกนอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วเริ่มเรียนเวทย์ที่วูจินส่งให้

***

ซุงกูเรียนเวทย์ไปสามบท เขายิ้มกว้าง

เวทย์แต่ละบทมีพลังรุนแรง หลังจากใช้ไปหลายๆครั้ง ซุงกูก็เริ่มใช้มันได้อย่างเต็มที่

ในการเรียนทักษะระดับสูง เขาต้องเรียนทักษะระดับต่ำมาก่อน นี่คือสกิลทรี (skill tree) ทักษะที่ซุงกูเรียนมาก่อนแล้วทำให้เขาเรียนเวทย์ระดับสูงเหล่านี้ได้

“เอาล่ะ มาลองใช้ตอนสู้จริงกัน!”

“ครับลูกพี่”

ซุงกูทำสีหน้าจริงจัง

เขาใช้กายเหล็กเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผิวหนัง จากนั้นร่ายบาเรียเวทย์ห่อหุ้มร่างตัวเอง จากนั้นใช้เวทย์เร่งความเร็วกับเวทย์ไฟที่เพิ่งเรียนมา

“เบลซ!”

ร่างซุงกูลุกเป็นไฟ

ซุงกูออกวิ่ง ไฟลุกเป็นสายตามเขาไป

เปรี๊ยะๆ

ทุกก้าวจุดไฟให้ลุกโพลง ขณะวิ่งฝ่าป่า ซุงกูหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งลงมา

เขาคลุมกิ่งไม้ด้วยบาเรียอย่างช่ำชองเพื่อไม่ให้มันถูกไฟเผา จากนั้นใช้เวทย์ใหม่อีกบทที่เพิ่งเรียนมา

“เอ็นชานท์ ไฟร์!”

เปลวเพลิงพุ่งไปรอบๆกิ่งไม้เปลี่ยนมันเป็นดาบไฟ

ทุกครั้งที่เหวี่ยงดาบ ต้นไม้ติดไฟและไฟป่าก็ยิ่งขยายกว้าง มอนสเตอร์ในป่าหงุดหงิดและหันมาตอบโต้อย่างรุนแรง

“ท่านประธาน ดิฉันเก็บบลัดสโตนมาหมดแล้วค่ะ”

เชฮีซอลกับเสือเขี้ยวดาบสนิทกันแล้ว เธอขี่หลังมันมาหาวูจิน ตาโตเมื่อเห็นสภาพของซุงกู

“ขะ...เขาเป็นนักเวทย์จริงๆด้วย”

“ฮะๆ”

วูจินหัวเราะ ชี้ซุงกูที่วิ่งวุ่น

“นั่นน่ะนะนักเวทย์? มันก็แค่นักสู้ถือไม้เท้าไฟ”

“...”

แต่เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักเวทย์...

“ถอยไปหน่อย ต่อให้ดูเป็นแบบนี้แต่เศษไฟจากเขาก็ฆ่าเธอได้”

“ค่ะ”

ฮีซอลแตะคอเสือเขี้ยวดาบเบาๆ

“แจ็คสัน ไปกันเถอะ!”

“...เธอตั้งชื่อมันว่าแจ็คสันเหรอ?”

“ค่ะ ที่ฐานทัพของเรามีแมวตัวผู้ชื่อแจ็คสัน ดิฉันเลยนึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา...”

วูจินส่ายหน้าแล้วทำมือให้เธอถอยไป

“เฮ้ยซุงกู! ลากพวกมันมา!”

“ครับลูกพี่!”

เสียงซุงกูดังสะท้อนมาจากที่ไกลๆ ไม่นานแผ่นดินก็เริ่มสะเทือน

ตึงๆๆ

จากนั้น มอนสเตอร์ตัวเท่ารถ หน้าตาเหมือนหมูป่า เสือและหมีก็เริ่มออกมาจากป่า พวกมันกำลังไล่ตามสิ่งหนึ่ง

“เฮะๆๆ ผมกำลังไปทางลูกพี่แล้วนะครับ”

ซุงกูที่ถูกสัตว์ป่าไล่ตามกำลังวิ่งโดยที่มีไฟลุกท่วมตัว ความร้อนจากไฟยิ่งทำให้พวกสัตว์ป่าโมโหและวิ่ง
ไล่ตามซุงกู

วูจินยิ้มเมื่อเห็นซุงกูรวบรวมสัตว์ป่าทั้งหมดมา

เป็นไปตามแผน

วิธีนำทัพผีดิบเข้าป่าไปล่ามอนสเตอร์นั้นไม่มีประสิทธิภาพเลย มอนสเตอร์สัตว์ป่ามีสัญชาติญาณเอาตัวรอดสูง หลายชนิดจะหลบไปเมื่อเจอกองทัพที่แข็งแกร่ง การไล่ฆ่าทีละตัวๆมันใช้เวลานานเกินไป

เขาต้องการเหยื่อล่อดีๆ และซุงกูก็เหมาะสมมาก

ซุงกูวิ่งมาเหมือนจะชนวูจิน แต่เขาหยุดอยู่ข้างๆได้พอดี

“ทำได้ดี”

“เฮะๆ”

ซุงกูทำหน้าที่ได้ดีมาก วูจินสั่งให้นักเวทย์โครงกระดูกหลบอยู่รอบๆ ในทันใดนั้น นักเวทย์โครงกระดูกก็โผล่มาพร้อมกันแล้วยิงเวทย์ใส่พวกมอนสเตอร์

เมื่อค่าประสบการณ์ของเขาพุ่งขึ้น วูจินยิ้มนิดๆ

เขาอาจเคลียร์ดันเจี้ยนเร็วกว่าที่คาดไว้ก็ได้

***

เฮมินโทรมาบอกว่าพวกเขาใกล้ถึงที่ทำงานแล้ว มินชานรออย่างกระวนกระวาย

‘ฉันต้องปลอบเขาให้ได้’

มินชานต้องหว่านล้อมเขาให้ได้ก่อนวูจินจะทำอะไร มินชานท่องบทที่เตรียมไว้ซ้ำๆในหัว

ประตูออฟฟิศเปิดออก วูจินเข้ามา ฮีซอนกับซุงกูเดินโซเซตามมา

“มินชาน มานี่เดี๋ยว”

เมื่อวูจินเข้าห้องประธานไป เฮมินเดินมาหามินชานแล้วกระซิบ

“นักข่าวมาอยู่กันข้างล่าง ตอนนี้ท่านประธานเลยอารมณ์ไม่ดีครับ”

ทุกอย่างเงียบสงบมาสักพักแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่ พวกนักข่าวมาเพื่ออยากได้ความเห็นจากพวกเขาสักคำก็ยังดี

“อ๊าก”

มินชานกลืนเสียงครามขณะเปิดประตูห้องประธาน

“นั่งลง”

มินชานนั่งตรงข้ามวูจิน เขาหย่อนก้นบนโซฟาจากนั้นสำรวจสีหน้าวูจิน วูจินขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงว่าเขาอารมณ์ไม่ดีนัก

มินชานรู้สึกในหัวว่างเปล่า

“ข่าวนั่นมันยังไง?”

“มันเป็นเรื่องผิดพลาดครับ คลิปนั่นถ่ายเตรียมไว้และจะเผยแพร่ออกมาถ้าท่านประธานตอบตกลง”

“แปลว่าพวกนั้นออกข่าวตามอำเภอใจเอง?”

“ผมว่าคงจะไปสับสนกับงานถ่ายทอดสด”

วูจินยิ้ม

“พวกนั้นอาจจะเป็นคนสั่งให้พลาดก็ได้”

“...”

มินชานก็คิดเหมือนกัน แต่เขาไม่พูดออกมา

“ข้อตกลงไม่แย่ ที่จริงมันดีมากๆ ตอนนี้รัฐบาลทำทุกอย่างไม่ให้ท่านประธานอพยพไปต่างประเทศ ดูเหมือนมีหลายๆประเทศกำลังกดดันรัฐบาลเกาหลีอยู่”

สหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะอย่างนั้นไม่ใช่เหรอรัฐบาลเกาหลีถึงทำเรื่องไร้เหตุผลลงไป เป็นการบอกว่าคังวูจินไม่ไปไหนแน่ เลิกยุ่งกับพวกเขาได้แล้ว

“มินชาน”

“ครับ”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อตกลงดีไม่ดี”

“แล้ว...”

“นายลืมแล้วเหรอ ทำไมฉันสร้างกิลด์นี้?”

“...”

เขาสร้างกิลด์นี้เพราะไม่อยากเข้ากองทัพ มันเป็นวิธีแก้ปัญหาแบบอ้อมๆไม่ให้เขาถูกเกณฑ์ทหาร

มินชานทำหน้าแบบ “แล้วมันยังไง?” วูจินเลยถามอีก

“ทำไมฉันสร้างกิลด์นี้ ไม่เข้ากิลด์แฮมเมอร์”

“เพราะ...อ้า!”

มินชานหน้าแข็งทื่อ

มินชานพยายามเต็มที่เพื่อดึงวูจินเข้ากิลด์แฮมเมอร์ แต่เขากลับตัดสินใจสร้างกิลด์ใหม่เพราะไม่อยากฟังคำสั่งใคร

หรือกับประเทศก็เหมือนกัน?

แต่ เขาเป็นพลเมืองเกาหลีมาตลอดนี่นา ทำไมถึง...

“พวกนั้นพยายามใส่ปลอกคอให้ฉัน ทำไมฉันต้องอยู่นิ่งๆด้วย?”

ผลประโยชน์มันก็แค่คำหวานหลอกล่อ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

เขาไม่อยากเป็นหมาที่ถูกล่ามโซ่แม้จะได้กินอาหารอร่อยก็ตาม

วูจินพูดด้วยเสียงสงบ ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปใหญ่

“ประ...โปรดใจเย็นๆ”

วูจินมองมินชานขวัญเสียด้วยสีหน้าสงสัย

“อะไร?”

“อย่าก่อกบฏนะครับ!”

ถ้าวูจินโจมตีชองวาเดจะกลายเป็นจลาจล มินชานหน้าซีด

“หา? นายคิดว่าฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยเรอะ?”

“...”

จะตอบว่าเปล่าก็...

เห็นมินชานลังเล วูจินเอนหลังกลับไปพิงโซฟา

“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

“...”

“เราโดนมาเท่าไหร่ก็คืนไปให้หมดกันดีกว่า”

“ยังไง...?”

“เรียกนักข่าวข้างนอกเข้ามาให้หมด”

“...”

แย่แล้ว

มินชานไม่มีเวลาหยุดวูจินที่กำลังจะก่อเรื่องใหญ่อีกแล้ว เขาไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร มินชานจึงหดหู่เมื่อนึกถึงตอนต้องตามเคลียร์ปัญหาทีหลัง

***

พวกนักข่าววิ่งเข้าไปในออฟฟิศของกิลด์อลันดาลที่เต็มไปด้วยความลับ กดชัตเตอร์กล้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะค้นความลับทุกซอกทุกมุม

นักข่าวจากแต่ละสำนักข่าวเข้ามาได้ไม่เกิน 2 คน และที่นักข่าวถูกเรียกมาก็เพื่องานแถลงข่าวธรรมดา

พวกนักข่าวได้รับโอกาสหายากจึงมีท่าทางตื่นเต้น พวกเขาเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและเตรียมสมุดจด เครื่องบันทึกเสียงหลายเครื่องถูกวางบนโต๊ะ

วูจินเดินออกมาพร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นในมือ เขานั่งตรงโต๊ะที่เตรียมไว้

วูจินอ่านบทพูดที่มินชานเขียนให้แล้วขมวดคิ้ว

[ก่อนอื่น ข่าวที่สื่อมวลชนปล่อยออกมาเป็นเรื่องไม่จริง การเจรจาเรื่องกิลด์ป้องกันประเทศยังไม่บรรลุข้อตกลง ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า...]

วูจินขยำกระดาษเป็นก้อนจากนั้นมองนักข่าวที่นั่งอยู่ เมื่อสบตากัน นักข่าวหลายคนยกมือขึ้น วูจินหัวเราะพลางพูด

“ไว้ผมจะตอบคำถามพวกคุณทีหลัง ในฐานะประธานกิลด์อลันดาล ผมมาอยู่ตรงนี้เพื่อแสดงจุดยืน”

บรรดานักข่าวกลั้นหายใจรอฟัง

“ผมเชื่อว่ารัฐบาลร่วมมือกับสื่อมวลชนต่างๆและปล่อยข้อมูลออกมาโดยที่ยังไม่มีการตกลง”

เสียงพูด ‘นี่ล่ะสกู๊ป!’ เบาๆดังขึ้นพร้อมกันเสียงเคาะคีย์บอร์ดรัวๆ

“วิธีที่พวกเขาทำมันแย่มาก ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ กรุณาบอกพวกเขาด้วยว่าจะไม่มีการตกลงอะไรอีก และอย่าพยายามติดต่อผม”

“เฮือก”

นักข่าวพ่นลมหายใจที่กลั้นไว้ แล้วจดคำแถลงการณ์ของกิลด์อลันดาล

“พวกเขากลัวผมจะออกจากประเทศมากเกินไป ถ้าพวกเขายังคิดจะวางแผนอะไรอีก ผมจะออกจากประเทศทันที จบ”

มีสักกี่คนที่ข่มขู่รัฐบาลตรงๆแบบนี้?

นักข่าวคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างว่องไว วูจินชี้ไปทางเขา

“เรารู้มาว่าคุณได้รับคำชวนจากหลายประเทศ คุณกำลังคิดจะอพยพหรือเปล่าครับ?”

วูจินยักไหล่

“ผมไม่ไปประเทศที่มากวนใจผม ผมตอบเท่านี้”

วูจินหันไปมองจุงมินชาน

วูจินหัวเราะเมื่อเห็นมินชานทำหน้า ‘จบสิ้นแล้ว’ แค่ให้ไปกินข้าว แทนที่จะกลับมาดีๆ ดันไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องซะงั้น...

“ถ้ามีคำถามอื่น กรุณาถามรองประธานของเรา”

“ด...เดี๋ยวครับ...”

วูจินลุกไปโดยไม่สนคำขอของนักข่าว พวกเขาจึงหันไปทางมินชานแทน

“มีคำถามถามรองประธานครับ”

“ผมมาจาก JS ครับ ต่อไปอลันดาล...”

ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกวูจินกดดัน เลยมีผู้กล้าไม่กี่คนยกมือถาม ตอนนี้นักข่าวเริ่มโยนคำถามโดยไม่รออนุญาต และมินชานก็รำคาญพวกเขามากแล้ว

มินชานมองหลังวูจินที่ออกจากห้องไป

‘เขาใช้ข่าวสู้กับข่าว’

ค่อยยังชั่ว ถ้าวูจินเลือกไปเอาเรื่องกับชองวาเดแทน แค่คิดก็ไม่กล้าคิดแล้ว




สารบัญ                                 บทที่ 87