บทที่ 85 – ขยายกิลด์ (3)
เคยมีคนพูดไว้ใช่ไหมว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักปรับตัว?
เชฮีซอลกรีดก็อบลินที่ตายเพราะถูกเผา ดึงบลัดสโตนออกมาอย่างรวบรัด
“เฮ้อ ฉันเก็บมาหมดแล้วค่ะ”
เฮซอลเก็บบลัดสโตนเข้ากระเป๋าแล้วยืดหลังขึ้น
“เหนื่อยไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ”
เฮซอลดื่มน้ำขวดที่ซุงกูส่งให้ วูจินเป็นคนเอาน้ำพวกนี้มาจากมิติส่วนตัวของเขา มันเป็นน้ำสะอาด ไม่ต้องห่วงเรื่องสารปนเปื้อน เฮซอลรู้ว่าถ้าขืนกินหรือดื่มของในดันเจี้ยนเข้าไปอาจป่วยได้
“ฮู่ว จะว่าไป หินเพิ่มพลังที่ดิฉันกินเข้าไปก่อนมาที่นี่ช่วยได้มากเลยค่ะ”
“ฮะๆ อะไรที่เขาให้คุณต้องรีบใช้ทันทีเลยนะ”
นี่เป็นกฎเหล็กของซุงกู ห้ามปฏิเสธของที่วูจินให้
ทำตามที่เขาสั่ง ไม่ทำสิ่งที่เขาห้าม
ถ้าทำตามกฎนี้ อย่างน้อยไม่ตายแน่
ไม่นานมานี้ ซุงกูเคลียร์ดันเจี้ยน 5 ดาวสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
ความเครียดกังวลในตอนนั้นต่างจากตอนนี้ลิบลับ เข้าดันเจี้ยนครั้งนี้เขารู้สึกปลอดภัยเหมือนมาปิกนิกกับวูจิน
แต่เขาไม่ได้เข้ามาเล่น เขามาลงแรงเก็บบลัดสโตน เพราะอย่างนั้นจะว่าเป็นปิกนิกก็ไม่เชิง เหมือนมาหาของป่าล่ะมั้ง?
เอาน่ะ ซุงกูรู้แน่ว่าเขาไม่ได้มาเสี่ยงตาย
เฮซอลก็เช่นกัน
“ตกใจเลยค่ะ ดิฉันไม่รู้เลยว่าประธานควบคุมอันเดดได้มากมายขนาดนี้...”
เราส์สายอัญเชิญสามารถอัญเชิญหรือจับอสูรมาใช้งานได้ คุณภาพและปริมาณขึ้นอยู่กับความสามารถของเราส์ แม้ทหารโครงกระดูกกับนักเวทย์โครงกระดูกของวูจินจะเป็นแรงค์ C แต่เขาควบคุมพวกมันทีเดียวมากกว่าร้อยตัว
“ตอนนี้ผมคิดว่าเขาเรียกมาแค่ครึ่งหนึ่งของที่เขาเรียกมาได้นะ ผมยังไม่เคยเห็นเขาเรียกมาเต็มขีดจำกัดเลย ฮะๆ”
“...”
“อย่าไปใช้เหตุผลกับเขาเลยครับ”
“ฮ้า โลกยังรู้จักความสามารถของประธานไม่ถึงครึ่งเลยนะคะ”
ถูกต้อง แม้แต่ซุงกูที่เข้าดันเจี้ยนกับวูจินยังไม่เคยเห็นขีดจำกัดของเขาเลย
วูจินมีแต่จะเก่งขึ้นๆ
“เขากำลังมาทางนี้แน่ะ”
วูจินนำกองทัพโครงกระดูกเข้าไปในป่าตามเส้นทางที่ถูกทำลาย ฮีซอลรู้ว่าพวกมันไม่ใช่ศัตรูแต่เธอก็อดตึงเครียดไม่ได้เมื่อเห็นโครงกระดูกร้ายกาจหลายร้อยตัวนี้
“โก”
ท่ามกลางกองทัพโครงกระดูก เธอเห็นสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นออกมา
โกเลมสร้างจากศิลากำลังเดินมา ถืออะไรบางอย่างไว้
“ฮีซอล”
“ค่ะ!”
ฮีซอลวิ่งไปหาวูจินอย่างรวดเร็ว
“ลองจับเจ้าตัวนี้ดู”
“ตะ...ตัวนี้เหรอคะ?”
เสือขาวตัวหนึ่งกำลังดิ้นไปมาในมือโดลเซ
ถ้าเทียบกับสิ่งมีชีวิตในโลก มอนสเตอร์ตัวนี้เหมือนเสือเขี้ยวดาบที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
วูจินเรียกหอกกระดูกมาฝังลงพื้น เขาส่งพลังเวทย์ไปแล้วเปลี่ยนมันเป็นคุกกระดูก โดลเซโยนเสือเข้าไป
“ฮื่อ”
เสือถูกโยนลงพื้นจากนั้นมันหมอบตัวต่ำ คำราม
จากแท่งกระดูกที่ทำเป็นคุก ฮีซอลรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากเสือเขี้ยวดาบ มันตัวใหญ่เท่าบ้าน
“คุณอยากให้ดิฉันเข้าไปในนั้นเหรอคะ?”
วูจินฟังแล้วยิ้ม
เขาจับมันได้ไม่ยาก แต่เสือตัวนี้เลเวล 57 ถ้าฮีซอลเข้าไปในกรง ไม่ถึง 3 วินาทีก็กลายเป็นชิ้นๆแล้ว
“อยากตายแล้วเหรอไง?”
“...”
“ซุงกู”
“ครับลูกพี่”
“สั่งสอนให้มันว่าง่ายหน่อย”
“ได้ครับ”
ซุงกูกระโดดเข้าไปอย่างกล้าหาญ
ฮีซอลตกใจเมื่อเห็นอย่างนั้น ซุงกูเป็นเราส์คนที่สองของกิลด์อลันดาลและเพิ่งเลื่อนเป็นแรงค์ B เมื่อเดือนก่อน
“เฮะๆ หวัดดี”
“แฮ่”
ซุงกูยิ้มพลางมองเสือ
“โฮก!”
เสือเขี้ยวดาบอ้าปากกว้างส่งเสียงคำราม เสียงขู่ของมันทำอาจทำอะไรพวกโอเกอร์ไม่ได้ แต่ทำให้สัตว์ตัวเล็กๆแข็งทื่ออย่างด้วยความกลัว
ฮีซอลตัวแข็งขยับไปไหนไม่ได้ ซุงกูเขี่ยหูตัวเอง
“อ่า ขอโทษไว้ก่อนนะ”
ซุงกูขอโทษแล้ววิ่งเข้าหาเสือเขี้ยวดาบ คุกกระดูกมีรัศมีประมาณ 5 เมตร มีที่ให้หลบไม่มากนักแต่เสือเขี้ยวดาบไม่คิดหลบ
มันหมอบต่ำแล้วคอยโอกาสจู่โจม
“กายเหล็ก”
ซุงกูใช้ทักษะกายเหล็กให้ทั่วร่างแข็งเหมือนเหล็ก จากนั้นก็เปิดฉากทุบตีเสือ
บางครั้งซุงกูก็ถีบพลาด แต่ไม่บ่อยนัก เสือตัวใหญ่เกินไปเตะต่อยยังไงก็โดน
ความว่องไวของเสือกลายเป็นไร้ประโยชน์
ไม่ใช่แค่เพราะกรงเล็ก
ซุงกูรับหินเพิ่มพลังเข้าไป ด้วยเหตุนั้นค่าพลังของเขาจึงเกินขอบเขตของมนุษย์ไปแล้ว ความเร็วของเขาเทียบได้กับเสือเขี้ยวดาบ...ไม่ใช่ เร็วยิ่งกว่า
ซุงกูปล่อยหมัดเหมือนนักมวย เรียบง่ายแต่ได้ผล เขาขยับตัวเพียงนิดเดียวหลบกรงเล็บของเสือเขี้ยวดาบแล้วต่อยต่อ
‘กรรมการฮงเก่งขนาดนี้เชียว?’
หลังจากส่งจดหมายสมัครงานไปที่กิลด์อลันดาล เชฮีซอลค้นประวัติของกิลด์อย่างละเอียด เธอรู้ว่ากรรมการฮงซุงกูเริ่มจากเราส์แรงค์ F และเพิ่งจะเปลี่ยนเป็นแรงค์ B เมื่อเดือนที่แล้ว
ในความเข้าใจของเธอ แรงค์ B ย่อมเก่งอยู่แล้ว แต่ที่อยู่ในความคิดกับที่มาเห็นจริงๆมันต่างกันเกินไป
ฮงซุงกูเทียบได้กับระดับท็อปของเราส์สายกายภาพในเราส์แรงค์ B เลยทีเดียว
เขาเป็นคนร่าเริงมากแท้ๆ... เธอกับหนุ่มน้อยคนนี้เก็บบลัดสโตนมาด้วยกัน ฮีซอลอึ้งเมื่อเห็นอีกด้านที่คาดไม่ถึงของซุงกู
เธอไม่ได้ตกใจที่เห็นการเคลื่อนไหวว่องไวของซุงกู แต่สับสนกับท่าทางสบายๆของเขา
พอฮีซอลเข้าไปในคุกกระดูก เสือเขี้ยวดาบก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว มันถูกสั่งสอนมาอย่างหนัก
ท่าทางมันร่อแร่เหมือนโจมตีเบาๆอีกทีเดียวก็จะตายแล้ว
ฮีซอลวางมือบนหัวเสือเขี้ยวดาบแล้วใช้ทักษะฝึกสัตว์
แสงรวมตัวในมือเธอห่อหุ้มเสือกับตัวเธอเอาไว้ก่อนจะหายไป ฮีซอลหันไปทางวูจินอย่างหม่นหมอง
“พลาดค่ะ”
วูจินยักไหล่
คิดจากความห่างของเลเวลก็ไม่น่าจะสำเร็จได้
“ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จ...”
“...เข้าใจแล้วค่ะ”
จากนั้นเฮซอลพยายามอีกหลายครั้งและก็ยังพลาด เธอทรุดลงบนพื้นเหงื่อท่วมตัว
“ดิ...ดิฉันไม่มีพลังเวทย์เหลือแล้วค่ะ”
วูจินส่งวิญญาณดวงหนึ่งไปเพิ่มพลังให้
พลังที่ไม่รู้ที่มาที่ไปซึมเข้าไปในร่างของฮีซอลเพิ่มพลังเวทย์ของเธอจนเต็ม ฮีซอลมองวูจินอย่างงุนงง
“ทำต่อไป...”
“...ค่ะ”
ฮีซอลใช้ทักษะไปเรื่อยๆและพลาดเรื่อยๆ ซุงกูทนไม่ไหวจึงลองแนะนำ
“ภาวนาอย่างจริงจังสิครับ บางทีจักรวาลอาจจะช่วยคุณก็ได้”
“...”
คิดจริงๆเหรอว่าจะได้ผล?
“เฮ้ย ซุงกู ไอ้เวรนั่นเล็งคอฮีซอลอยู่ สั่งสอนอีกหน่อย”
“อ๋า? แรงมันกลับมาหน่อยแล้ว”
ผัวะ ผัวะ ผัวะ
เสือเขี้ยวดาบที่ใกล้ตายมีเรี่ยวแรงฟื้นขึ้นมาเพราะได้นอนพัก มันกำลังรอโอกาสโจมตีฮีซอล แต่ซุงกูตีมันทันที
วูจินให้คำแนะนำฮีซอลที่ถอยกลับมา
“อย่าร้อนใจไป ดูจากความห่างของเลเวล นี่เป็นงานยาก”
ถ้าเป็นมอนสเตอร์แรงค์ต่ำคงดีกว่า แต่ที่นี่เป็นดันเจี้ยนระดับสูง มีก็อบลิน แต่การฝึกมอนสเตอร์ที่ใช้ชีวิตในสังคมเผ่ายากกว่าฝึกมอนสเตอร์สัตว์ป่า
“การฝึกมอนสเตอร์มี 2 วิธี เธอรู้สึกสนิทและเป็นเพื่อนกับมัน หรืออีกวิธีคือกำราบมัน คิดว่าตอนนี้เธอกำลังใช้วิธีไหนอยู่?”
ฮีซอลมองซุงกูเตะต่อยเสือเขี้ยวดาบอย่างไม่ปราณีแล้วพูดอย่างใคร่ครวญ
“กำราบมันอยู่ใช่ไหมคะ?”
“เปล่า เธอกำราบมันอยู่เหรอ?”
ในฐานะเนโครแมนเซอร์ วูจินมีค่าพลัง ‘บงการ’ นักฝึกสัตว์มีค่าพลัง ‘ความสนิทสนม’ ค่าพลังนี้ต้องสูง นักฝึกสัตว์จึงจะมีโอกาสจับมอนสเตอร์ระดับสูงได้ดี
วูจินชี้ไปทางซุงกูที่กำลังทุบตีเสือ
“นั่นตัวโกง”
“...”
วูจินชี้ไปทางเสือเขี้ยวดาบที่ถูกซุงกูทุบตี
“ไอ้ตัวโกงนั่นกำลังทำร้ายเพื่อนของเธอ”
“...”
“เธออยากเป็นเพื่อนกับไอ้นั่นที่กำลังโดนตื้บ”
วูจินกับฮีซอลมองหน้ากัน
“เธอจะทำยังไง?”
“ดิ...ดิฉันต้องหยุดเขา?”
“เธอต้องปกป้องมันจากตัวโกง”
“...”
นี่มันอะไรกัน? เขาอยากให้เธอแสดงละครเหรอ?
“คุณอยากให้ฉันแสดง...”
“ไม่ เธอต้องทำให้เหมือนเธอจริงใจจริงๆ เธอกำลังปกป้องแมวจากกรรมการฝ่ายงานเบ็ดเตล็ดจอมโกง ไปสู้กับเขา ล้มตัวโกงให้ได้”
“...”
วูจินตะโกนถามซุงกู
“ได้ยินที่ฉันพูดไปไหม?”
“ได้ยินครับ”
“แสดงให้เหมาะล่ะ”
“ครับ!”
วูจินตบหลังฮีซอล
“ไปช่วยมัน แล้วก็เป็นเพื่อนกับมัน”
“...ค่ะ”
ซุงกูตะโกนเมื่อฮีซอลวิ่งเข้ามา
“เฮี้ย ฮ่าๆๆๆ คนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
ดูเหมือนซุงกูจะดูการ์ตูนเรื่องไหนมาสักเรื่อง ฮีซอลสงสัยว่าเธอควรจะตอบอะไรไหม แต่หมัดของซุงกูพุ่งมาทางเธอ
ฮีซอลบล็อกหมัดอย่างไม่ตั้งใจ
ปึก!
‘เอ๊ะ?’
ซุงกูต่อยมาช้าๆ แต่แรงกระแทกใส่กระดูกแขนเธอไม่เบาเลย
“เฮือก!”
ความเจ็บพุ่งวูบ ฮีซอลร้องไม่ออกได้แต่อ้าปากพะงาบๆ
“ก...กรรมการฮง คุณ...หักแขนดิฉัน”
“เฮะๆ เจ้ามันอ่อนแอเกินไป”
“ก...กรรมการฮง”
เขายังหัวเราะร่าเริงแล้วปล่อยลูกเตะ ฮีซอลกลัวจริงๆเมื่อเห็น เธอกลิ้งหลบ
“รีบๆโจมตีสิ แล้วใช้ทักษะฝึกสัตว์ใหม่”
ตามเสียงของวูจิน ฮีซอลเข้าใกล้ซุงกูแล้วต่อยใส่หน้าอกเขา ซุงกูสามารถหลบได้ง่ายๆ แต่เขากระเด็นไปตามแรงหมัด... เขากระโดดถอยไป
ซุงกูกระเด็นไปทะลุกำแพงกระดูก แล้วร่วงไปแน่นิ่งกับพื้น
“...”
เธอรู้ว่าเธอไม่ได้ทำ แต่ก็ยังมองสลับระหว่างหมัดตัวเองกับซุงกูที่ถูกต่อยกระเด็น
“รีบจับมันเร็ว”
“ค่ะ”
ละครโง่ๆแบบนี้จะได้ผลเหรอ? ฮีซอลหันไปมองเสือเขี้ยวดาบ มันถูกตีอย่างหนักจนแทบขยับลูกตามามองเธอไม่ไหว
ดวงตาของมันมีน้ำตาคลอ
เธอรู้สึกได้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มใช้ทักษะจับมัน
‘มัน...ซึ้งมากที่ฉันช่วย?’
ฮีซอลเข้าไปใกล้เสือเขี้ยวดาบแล้วแตะหัวมัน แสงวาบจากมือและเสาแสงล้อมรอบพวกเธอ ผูกสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างพวกเธอเอาไว้
“ครืด”
เสือเขี้ยวดาบครางอย่างพอใจ ความรู้สึกของมันส่งผ่านมายังฮีซอล
‘มันประทับใจมาก ขอบคุณและอยากตอบแทน’
มันถูกพวกมนุษย์จับมา ถูกทำร้าย มันรู้สึกขอบคุณที่มีมนุษย์ลุกขึ้นต่อต้านมนุษย์ด้วยกันเองเพื่อช่วยมัน
“ได้ผู้พิทักษ์มาหนึ่งแล้ว”
วูจินยิ้มแล้วดึงวิญญาณที่เก็บไว้ในเกราะผีออกมารักษาแขนหักของฮีซอลกับเสือเขี้ยวดาบ
เสือเขี้ยวดาบแยกเขี้ยวใส่วูจินกับซุงกู แต่มันไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับฮีซอลที่ยืนข้างๆ
“ไอ้นี่คงพอปกป้องเธอได้”
“ขอบคุณค่ะ”
“เอาล่ะ ตามฉันมา คอยเก็บบลัดสโตนด้วย”
“...ค่ะ”
“แล้วก็ฝึกสกิลที่เธอเรียนวันนี้ด้วย”
“ค่ะ”
วูจินให้ฮีซอลทำงานหนักจนจับเสือเขี้ยวดาบมาได้ เพราะเขาอยากใช้ซุงกูได้สะดวก ถ้าทิ้งซุงกูให้ปกป้องฮีซอล ถึงจะเก็บบลัดสโตนได้แต่ประสิทธิภาพโดยรวมก็จะตกไป
“เฮะๆ ฝีมือการแสดงผมเป็นไงบ้างครับลูกพี่?”
“เอารางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมไปเลย”
“เฮะๆๆ”
วูจินชมไปงั้นๆแต่ซุงกูดีใจมาก
ฮีซอลส่ายหน้า เธอมองซุงกูแล้วตัดพ้อ
“เมื่อกี๊กรรมการฮงน่ากลัวมากเลยค่ะ”
“เฮะๆ ผมอัดคุณเบาๆนะ กลัวว่าจะตาย”
“...”
หรือกรรมการฮงจะอันตรายกว่าประธานนะ
ตอนแรกฮีซอลไม่คิดอะไรกับซุงกูมาก แต่ตอนนี้เธอต้องมองซุงกูใหม่แล้ว
ในอลันดาล นอกจากเธอแล้วมีเราส์สองคน เราส์คนแรกเธอประเมินไม่ถูกด้วยซ้ำว่ามีพลังถึงขั้นไหน เราส์อีกคนก็เก่งกาจเช่นกัน
“ขนาดในกองทัพยังแทบไม่มีเราส์สายกายภาพที่เก่งขนาดคุณเลยค่ะ อีกไม่นานต้องได้แรงค์ A แน่ๆ”
ฮีซอลชมแต่ซุงกูขมวดคิ้ว
“แต่ผมเป็นนักเวทย์นะ?”
“...”
กิลด์พิลึกอะไรแบบนี้เนี่ย?
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 84
บทที่ 84 – ขยายกิลด์ (2)
คนของสำนักงานเลขานุการเปิดประตูหลังของรถสีดำ
“ผมรับหน้าที่ส่งคุณกลับครับ”
“ครับ ขอบคุณ”
หลังทักทายกันเสร็จ มินชานเข้าไปในรถ ชายคนนั้นปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ
“ไปส่งที่บ้านไหมครับ?”
“ไม่ครับ ช่วยไปส่งผมที่ที่ทำงานด้วย”
“ไม่แน่อีกไม่นานคุณจะได้ย้ายที่ทำงาน”
“ฮ่าๆ ยังหรอกครับ”
“แค่บอกเราว่าอยากได้ที่ไหนก็ได้แล้วครับ”
“เรื่องนี้ผมต้องขอความเห็นจากท่านประธานก่อน อีกอย่าง สัญญายังไม่เสร็จเลยนะครับ”
“...”
มินชานมองคนจากสำนักงานเลขานุการที่จู่ๆก็เงียบไป เขาไม่คิดอะไรมากแล้วมองไปนอกหน้าต่างรถ
เขาเจรจาไปหลายเรื่อง แต่มีหลายอย่างที่ต้องการความเห็นจากวูจิน
ถ้ารัฐบาลประกาศให้อลันดาลเป็นกิลด์ของเกาหลีอย่างเป็นทางการ เขาจะได้ประโยชน์หลายอย่าง ได้รับการสนับสนุนสร้างอาคารสำนักงานกิลด์ก็เป็นหนึ่งในหลายอย่างนั้น มินชานอดยิ้มไม่ได้
‘ท่านประธานต้องชอบแน่ เราได้ขนาดนี้เขาต้องเห็นด้วยแน่’
เขาอยากบอกข่าวดีนี้ให้อีกฝ่ายรู้ทันที
ตู๊ดๆๆ
มินชานโทรหาวูจิน
[ฮัลโหล?]
“หือ? เฮมินเรอะ? ทำไมนายเป็นคนรับล่ะ?”
[ท่านประธานลงดันเจี้ยนกับกรรมการฮงกับคุณเชฮีซอลครับ]
“อ้อเหรอ?”
[คุณทำบ้าอะไรลงไปหา คุณกรรมการ?]
“ฮะๆ กรรมการอะไร ฉันเป็นรองประธานแล้วนะ”
[ไม่ใช่เวลามาตลกนะครับ กิลด์ป้องกันประเทศเกาหลี? มันเรื่องอะไรกันน่ะ?]
“เอ๊ะ? นายรู้ได้ยังไง?”
[ฮะ อะไรครับรู้ได้ยังไง? เค้าแคนเซิลละครเพื่อประกาศข่าวนี้เลยนะครับ]
“หา?”
ในที่สุดมินชานก็รู้สึกผิดปกติ เขาหันไปถามคนของสำนักงานเลขานุการ
“งานแถลงข่าวเมื่อกี๊เป็นถ่ายทอดสดเหรอครับ?”
“ไม่นี่ครับ”
เขาตอบอย่างสงบ แต่มินชานบอกได้ว่าโทนเสียงผิดปกติไป มินชานมีสีหน้าหมดหวัง
“ฉันจะไปสำนักงานเดี๋ยวนี้”
[ครับ อย่าเถลไถลไปไหนดีกว่า ท่านประธานท่าทางอารมณ์ไม่ดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณมีอำนาจแค่ไหนเอง ทำลงไปได้ยังไงครับ?]
“นายคิดว่าฉันโง่เหรอ? เรื่องแบบนี้ฉันไม่ตกลงจนกว่าจะท่านประธานจะเห็นชอบอยู่แล้ว”
[เอ๋? อะไรกันครับนี่?]
มินชานกุมขมับ
“ถึงนั่นแล้วค่อยคุยกัน”
งานแถลงข่าวมีปัญหา
มิน่าล่ะชองวาแดถึงเร่งเขานัก
‘ไม่ดีแล้ว’
มินชานไปที่งานที่มีประธานาธิบดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนร่วมงาน เขาต้องขอโทษที่ท่านประธานของเขาไม่มางานหลายครั้ง
อลันดาลถูกตั้งให้เป็นกิลด์ที่โลกจับตามอง ไม่ ดูเหมือนมีข้อเสนอมากมายเพื่อให้คังวูจินอยู่ในเกาหลี
กิลด์อลันดาลจะอยู่ใต้กองทัพ และถูกประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการ ผลประโยชน์มากมายจะตามมา
หลังอาหารค่ำ มินชานเจรจาหลายอย่าง เงื่อนไข ผลประโยชน์ สวัสดิการ เขาเหนื่อยแต่รู้สึกตื่นเต้น
เขาเป็นหัวหน้าในการวางกรอบการเจรจาสำคัญนี้
รัฐบาลตอบรับอย่างเป็นมิตร ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี ข้อแลกเปลี่ยนให้ผลประโยชน์กับอลันดาลมากจนการเจรจาต่อรองไม่ต้องใช้เวลานานเลย ที่เหลือก็แค่รอการตัดสินใจจากวูจิน
ในการต่อรอง เนื้อหาหลักไม่เกี่ยวกับอลันดาลนักแต่เป็นการป้องกันไม่ให้คังวูจินย้ายไปอยู่ประเทศอื่น
ทีแรกมินชานคิดว่าวูจินจะยอมรับเพราะผลประโยชน์ที่ได้มันมหาศาล เมื่อวูจินเซ็นสัญญา งานแถลงข่าวที่อัดไว้ล่วงหน้าก็จะเผยแพร่ออกไปทันที พวกเขาตกลงกันไว้อย่างนี้
แต่ ถ่ายทอดสดไปแล้วเหรอ?
‘พวกเขาพยายามทำคะแนนนำ’
คิดอะไรกันอยู่วะ?
คิดว่าถ้าออกข่าวไปแล้ว วูจินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเหรอ? หรือเพราะถูกกดดันจากประเทศอื่น?
‘ดูจากนิสัยของท่านประธานแล้ว หมดหวังแน่’
มินชานปวดหัว เขาลูบหน้าผากตัวเอง
‘ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
คติประจำใจของวูจินคือไม่ว่าจะถูกทำอะไรเขาจะตอบแทนกลับไปสิบเท่าร้อยเท่า มินชานต้องหลีกเลี่ยงไม่ไปกระตุกต่อมเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น เป็นไปได้ว่าวูจินจะไปถล่มชองวาแด
ถ้าเขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ เขาต้องหยุดไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น มินชานกลุ้มหนัก
‘ไอ้พวกข้าราชการแม่ง’
มินชานข่มความโกรธ เขาพยายามปลุกความรักชาติในตัวขึ้นมา เพื่อความสงบสุขของเกาหลี
‘ขอให้ท่านประธานอารมณ์ดีอยู่นะ’
วูจินอาจดูเหมือนคนทำอะไรตามอารมณ์ แต่มินชานรู้ว่าวูจินมีนิสัยเยือกเย็น ถ้าเขาอารมณ์ดี มินชานอย่างน้อยก็ยกเรื่องนี้มาคุยได้ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี มินชานแทบเอ่ยอะไรไม่ได้
แม้กระทั่งท่าทางเฉยชาของวูจินยังดูน่ากลัว ถ้าเขาโกรธ มินชานคงกลัวจัดจนคุยไม่ได้
‘ฮู้ว ยังไงก็ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
มินชานต้องกู้สถานการณ์ยุ่งเหยิงที่รัฐบาลทำไว้ เขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ
***
สถานีรถไฟใต้ดินกังนัม ทางออกที่ 9
ที่นี่เป็นดันเจี้ยน 6 ดาวในการดูแลของกิลด์ขนาดกลางชื่อ นักเวทย์จากขุมนรก หรือสั้นๆว่ากิลด์ขุมนรก
คิมเฮมินจัดการนำกลุ่มมายังดันเจี้ยนที่ยังว่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อเชฮีซอลมายืนตรงหน้าดันเจี้ยน เธอกลืนน้ำลาย
“เข้าไปกันเถอะ”
วูจินพูดแล้วเข้าดันเจี้ยนไปเป็นคนแรก ซุงกูตามไปอย่างกระตือรือร้น ทำไมซุงกูจึงดีใจนักเมื่อคิดว่าจะมีคนมาแทนที่เขา?
“เข้าไปสิครับ”
“ดิฉันต้องเข้าไปจริงๆเหรอคะ?”
เฮมินฟังแล้วเลิกคิ้ว
“รีบเข้าไปเถอะครับ ไม่งั้นบาเรียมันจะกางขึ้นก่อน”
ถูกเฮมินกระตุ้น เชฮีซอลหลับตาปี๋แล้ววิ่งลงบันไดไป
‘พ่อขา แม่ขา หนูต้องรอดกลับมาให้ได้’
ประสบการณ์ลงดันเจี้ยนครั้งแรกนับจากมาอยู่กิลด์อลันดาลคือดันเจี้ยน 6 ดาว
“ย๊าก!”
เฮซอลกำมือแน่น ยกขึ้นตั้งการ์ด มองรอบตัว
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“เอ๋?”
พอซุงกูถามฮีซอลจึงได้สติ เมื่อรู้ตัววูจินก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงซุงกู เธอถามเขินๆ
“ท่านประธานไปไหนแล้วคะ?”
“ไปแล้วครับ”
“เอ๋?”
เรามาฝึกไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงทิ้งเธอกับกรรมการฮงไว้ล่ะ?
“เราต้องเร็วถ้าไม่อยากถูกทิ้ง”
ซุงกูคุ้ยข้าวของส่วนตัวแล้วหยิบดาบสั้นออกมาให้ฮีซอล มันคมจนสามารถกรีดผ้าได้เพียงกดเบาๆ
ฮีซอลใจเต้นแรงเมื่อรับอาวุธอันตรายมา
“คุณใช้มีดได้ดีหรือเปล่า?”
“ดิฉันชินกับปืนมากกว่าค่ะ...”
“อ้า ร้อยโท คุณเข้าใจผิดครับ”
ซุงกูยิ้มเจิดจ้าแล้วพูด
“ถ้าเราสู้ในดันเจี้ยน 6 ดาว เราตายแหง ขนาดผมยังสู้มอนสเตอร์ในนี้ได้ไม่กี่ตัว เราไม่ได้เข้ามาสู้ครับ ไม่งั้นตายแน่ พริบตาเดียว พรี้บ...ตาเดียว”
“...”
เขาพูดว่าตายแน่ แต่ดูไม่กังวลเลย?
“ถ้าอย่างนั้นดาบนี่ทำไมคะ?”
ถ้าไม่ได้เข้ามาสู้ ไม่ได้เข้ามาฝึก แล้วเราตามวูจินเข้ามาทำไม ทำไมเขาถึงยื่นดาบให้เธอ?
ซุงกูหัวเราะพลางถาม
“คุณเคยคว้านปลาหรือเปล่า?”
“ดิฉันชอบตกปลาค่ะ เพราะฉะนั้นเลยทำบ่อย...”
“โอ้โห! มีคนเก่งเข้ากิลด์เราแฮะ”
ซุงกูยิ่งมองเชฮีซอลอย่างชื่นชมขึ้นไปอีก
“...”
ไม่นานฮีซอลก็เข้าใจความหมายของซุงกู
ฉับๆ
เธอเฉือน เฉือน แล้วก็เฉือน
เมื่อเธอกรีดเฉือน ปลายดาบจะโดนบางอย่าง นั่นคือบลัดสโตน
‘ฉันอยู่ที่ไหน...’
ทำงานซ้ำๆไปนานๆ ฮีซอลเริ่มสงสัยว่าเธอได้งานในกิลด์หรืองานก่อสร้างกันแน่
‘ทำไมฉัน...’
แขนที่เมื่อยล้าของเธอแทบจะขยับไปอัตโนมัติ ดูเหมือนกรรมการฮงซุงกูจะคุ้นเคยกับการขุดบลัดสโตน เขาทำงานเร็วกว่าเธอสองเท่า รวดเร็วและแม่นยำ
“เร่งมือกันเถอะครับ แบบนี้ลูกพี่คงขึ้นมาก่อนพวกเราลงไปถึงชั้นล่างแน่”
พวกเขาเพิ่งลงมาถึงชั้นสอง
ฮีซอลไม่รู้ว่าวูจินไปไหน เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นแต่ซากศพมอนสเตอร์เกลื่อนกลาด
ซุงกูชำแหละมอนสเตอร์ที่มีเครื่องหมายแล้วดึงบลัดสโตนออกมา
‘ประธานสู้ยังไงนะ? ทำไมถึงเร็วนัก?’
ลือกันว่าวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้เร็วมาก เขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ภายในสองชั่วโมงถ้าต้องการ เขาเป็นเราส์ที่เก่งกาจเหมือนสัตว์ประหลาด
“กรรมการฮงคะ ท่านประธานไปที่ไหน...”
“อย่าเพิ่ง เราไม่มีเวลาคุยเล่นนะ เร่งมือกันเถอะ”
“...”
ซุงกูทุบหลังแก้เมื่อยหนึ่งทีแล้วกลับไปชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เธอรู้สึกสงสารอย่างไรไม่รู้เมื่อเห็นแบบนั้น ไม่ใช่สิ มันเหมือนกำลังมองตัวเองในอนาคต คงเป็นเพราะเหตุนี้เธอจึงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมานิดๆ
ไม่ทันฮีซอลจะปลุกปลอบตัวเองให้ชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ฮีซอลกำมีดแน่นด้วยความกังวล ตอนอยู่ในกองทัพความสามารถในการต่อสู้ของเธอได้รับการประเมินไว้ค่อนข้างสูง
“ตายล่ะ ลูกพี่ขึ้นมาแล้ว”
“อะไรนะ?”
แม้จะได้ยินที่ซุงกูพูด ฮีซอลยังกังวล เธอมองบันไดเขม็ง
วูจินมีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจ เดินนำโครงกระดูกหลายตัวขึ้นมา...
“เคะๆๆ”
พวกโครงกระดูกส่งเสียงเฉพาะ ทำให้ฮีซอลรู้สึกขนลุก แม้จะรู้ว่าพวกมันเป็นอสูรที่วูจินเรียกมาเธอยังตัวแข็ง
“ลูกพี่ ผมจะรีบเก็บให้เรียบร้อยครับ”
“ไม่เป็นไร มันไม่มีค่าอะไรนักหรอก ตามฉันมา”
ยังเหลืออีกหนึ่งชั้นที่ยังไม่ได้เก็บบลัดสโตน ราคาคงราว 10 ล้านวอน แต่วูจินเห็นว่าเวลาสำคัญกว่า
‘สงสัยว่าต่อให้ฆ่ามอนสเตอร์หมดเลเวลก็ยังไม่เพิ่ม’
คำนวณจากค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จที่ได้จากการเคลียร์ดันเจี้ยน เป็นไปไม่ได้ที่เลเวลจะไปถึง 70 ในครั้งเดียว เขาต้องเคลียร์ดันเจี้ยนอีกครั้ง
วูจินเดินไปที่ทางออกอย่างรวดเร็ว ซุงกูตบบ่าฮีซอล
“ทำอะไรอยู่ครับ? รีบตามเขาไปกันเถอะ”
“อ๊ะ? ค่ะ”
ฮีซอลได้แต่ตะลึงเมื่อเห็นจำนวนโครงกระดูกที่ตามวูจินไป
‘คนๆเดียวควบคุมอสูรตั้ง...’
เธอนับคร่าวๆได้ 100 ตัว
ที่จริงเธอต้องดูพลังต่อสู้ของโครงกระดูกแต่ละตัวด้วย แต่มันมากเหลือเกิน...
‘เขาไม่ได้สู้คนเดียว’
รู้สึกเหมือนเธอไขปริศนาสถิติการเคลียร์ดันเจี้ยนที่น่าทึ่งของวูจินได้บ้างแล้ว
เมื่อมาถึงทางเข้า วูจินวางโทรศัพท์มือถือกับของสมัยใหม่อื่นๆไว้ด้านหนึ่ง ซุงกูก็กองโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถและข้าวของส่วนตัวไว้เช่นกัน
ฮีซอลมองงงๆ ซุงกูพูดพลางหัวเราะ
“ชุดที่คุณฮีซอลใส่อยู่ไม่ได้ทำมาจากวัตถุดิบในดันเจี้ยนสินะครับ?”
“ค่ะ มันเป็นเสื้อธรรมดา”
“ถ้างั้นมันก็ผ่านอุโมงค์ไปไม่ได้ มีแต่ตัวคุณเปล่าๆที่ลอดไปได้”
“ถ้า...ถ้าอย่างนั้น...”
ฮีซอลนึกขึ้นมาได้ว่าในดันเจี้ยนระดับสูง มีแต่ของจากในดันเจี้ยนที่สามารถผ่านอุโมงค์ได้
“ใส่นี่”
วูจินซื้อเสื้อราคาถูกที่สุดจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จแล้วโยนให้ฮีซอล เธอเคยเห็นเสื้อคลุมแบบนี้ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง วูจินพูดระหว่างฮีซอลกำลังเปลี่ยนเสื้อ
“ซุงกู นายไปจับมอนสเตอร์เหมาะๆมาให้ฮีซอลฝึกจับ”
“ฮะๆ ได้ครับ”
ถ้าได้ดูผลการฝึกของซุงกูก็ดี และวูจินก็อยากล่ากับเขาด้วย แต่เขาต้องเก็บเลเวลให้ถึง 70 ให้เร็วที่สุด ทางที่ดีที่สุดคือเขารวบเหยื่อไว้คนเดียวให้มากที่สุด
“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินด้านโน้นกัน”
“ครับผม”
วูจินข้ามอุโมงค์ไปอย่างไม่ลังเล
ฮีซอลได้ยินที่วูจินพูด ในที่สุดการฝึกของเธอจะเริ่มขึ้นแล้ว
ดันเจี้ยนระดับสูงจะเริ่มขึ้นจริงๆเมื่อผ่านอุโมงค์เข้าไป
ฮีซอลกลืนน้ำลาย
“จะเอาจริงกันแล้วสินะคะ?”
“เฮอะ...”
เอาจริงอะไรล่ะ
ต่อให้ไปด้านโน้น พวกเขาก็ต้องขุดบลัดสโตนกันอยู่ดี
จะบอกซ้ำไปทำไม? เธอจะรู้เองเมื่อไปถึงที่นั่น
“ผมหิว รีบไปกันเถอะ”
ซุงกูข้ามอุโมงค์และฮีซอลตามไป
ความรู้สึกตอนผ่านมิติที่บิดเบี้ยวทำให้ฮีซอลช็อค เธอวิงเวียนตาลาย และผลคือ...
“แหวะ”
“เอ๊ย อ้วกเสร็จแล้วตามมาด้วยนะครับ”
ซุงกูกระโดดถอยเพราะกลัวจะเลอะอาเจียน เขาวิ่งไปทางวูจิน ฮีซอลอาเจียนอีกหลายครั้ง เสร็จแล้วจึงเช็ดปาก
หลังร่างกายสงบลงได้บ้าง ศีรษะปวดน้อยลง เธอมองไปรอบตัว
‘ฮ้า’
ฮีซอลอยู่ในป่าแห่งหนึ่งที่เธอไม่มีทางได้เห็นในเมืองโซลเกาหลี มันเหมือนเธอถูกโยนมาอยู่ตรงใจกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ดันเจี้ยนระดับสูงนั้นเชื่อมไปต่างโลก และเธออยู่ในนั้น ไม่น่าเชื่อเลย ขณะที่ฮีซอลกำลังพบประสบการณ์ใหม่ เธอเห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นต่อหน้า
“หืม? ถ้าสงบใจได้แล้ว มาทางนี้เร็วๆเถอะครับ”
ฮีซอลมองซุงกูที่เรียกเธอแล้วขยี้ตา
ตาฝาดไปหรือเปล่า?
พวกเขากำลังตั้งแคมป์ในดันเจี้ยน...
เนื้อปริศนากำลังถูกทำให้สุกเหนือกองไฟ กลิ่นของมันทำให้ฮีซอลน้ำลายไหล
***
เหมือนอ่านตอนซุงกูเข้าดันเจี้ยนนาคกับวูจินอีกรอบเลย...
คนของสำนักงานเลขานุการเปิดประตูหลังของรถสีดำ
“ผมรับหน้าที่ส่งคุณกลับครับ”
“ครับ ขอบคุณ”
หลังทักทายกันเสร็จ มินชานเข้าไปในรถ ชายคนนั้นปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ
“ไปส่งที่บ้านไหมครับ?”
“ไม่ครับ ช่วยไปส่งผมที่ที่ทำงานด้วย”
“ไม่แน่อีกไม่นานคุณจะได้ย้ายที่ทำงาน”
“ฮ่าๆ ยังหรอกครับ”
“แค่บอกเราว่าอยากได้ที่ไหนก็ได้แล้วครับ”
“เรื่องนี้ผมต้องขอความเห็นจากท่านประธานก่อน อีกอย่าง สัญญายังไม่เสร็จเลยนะครับ”
“...”
มินชานมองคนจากสำนักงานเลขานุการที่จู่ๆก็เงียบไป เขาไม่คิดอะไรมากแล้วมองไปนอกหน้าต่างรถ
เขาเจรจาไปหลายเรื่อง แต่มีหลายอย่างที่ต้องการความเห็นจากวูจิน
ถ้ารัฐบาลประกาศให้อลันดาลเป็นกิลด์ของเกาหลีอย่างเป็นทางการ เขาจะได้ประโยชน์หลายอย่าง ได้รับการสนับสนุนสร้างอาคารสำนักงานกิลด์ก็เป็นหนึ่งในหลายอย่างนั้น มินชานอดยิ้มไม่ได้
‘ท่านประธานต้องชอบแน่ เราได้ขนาดนี้เขาต้องเห็นด้วยแน่’
เขาอยากบอกข่าวดีนี้ให้อีกฝ่ายรู้ทันที
ตู๊ดๆๆ
มินชานโทรหาวูจิน
[ฮัลโหล?]
“หือ? เฮมินเรอะ? ทำไมนายเป็นคนรับล่ะ?”
[ท่านประธานลงดันเจี้ยนกับกรรมการฮงกับคุณเชฮีซอลครับ]
“อ้อเหรอ?”
[คุณทำบ้าอะไรลงไปหา คุณกรรมการ?]
“ฮะๆ กรรมการอะไร ฉันเป็นรองประธานแล้วนะ”
[ไม่ใช่เวลามาตลกนะครับ กิลด์ป้องกันประเทศเกาหลี? มันเรื่องอะไรกันน่ะ?]
“เอ๊ะ? นายรู้ได้ยังไง?”
[ฮะ อะไรครับรู้ได้ยังไง? เค้าแคนเซิลละครเพื่อประกาศข่าวนี้เลยนะครับ]
“หา?”
ในที่สุดมินชานก็รู้สึกผิดปกติ เขาหันไปถามคนของสำนักงานเลขานุการ
“งานแถลงข่าวเมื่อกี๊เป็นถ่ายทอดสดเหรอครับ?”
“ไม่นี่ครับ”
เขาตอบอย่างสงบ แต่มินชานบอกได้ว่าโทนเสียงผิดปกติไป มินชานมีสีหน้าหมดหวัง
“ฉันจะไปสำนักงานเดี๋ยวนี้”
[ครับ อย่าเถลไถลไปไหนดีกว่า ท่านประธานท่าทางอารมณ์ไม่ดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณมีอำนาจแค่ไหนเอง ทำลงไปได้ยังไงครับ?]
“นายคิดว่าฉันโง่เหรอ? เรื่องแบบนี้ฉันไม่ตกลงจนกว่าจะท่านประธานจะเห็นชอบอยู่แล้ว”
[เอ๋? อะไรกันครับนี่?]
มินชานกุมขมับ
“ถึงนั่นแล้วค่อยคุยกัน”
งานแถลงข่าวมีปัญหา
มิน่าล่ะชองวาแดถึงเร่งเขานัก
‘ไม่ดีแล้ว’
มินชานไปที่งานที่มีประธานาธิบดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนร่วมงาน เขาต้องขอโทษที่ท่านประธานของเขาไม่มางานหลายครั้ง
อลันดาลถูกตั้งให้เป็นกิลด์ที่โลกจับตามอง ไม่ ดูเหมือนมีข้อเสนอมากมายเพื่อให้คังวูจินอยู่ในเกาหลี
กิลด์อลันดาลจะอยู่ใต้กองทัพ และถูกประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการ ผลประโยชน์มากมายจะตามมา
หลังอาหารค่ำ มินชานเจรจาหลายอย่าง เงื่อนไข ผลประโยชน์ สวัสดิการ เขาเหนื่อยแต่รู้สึกตื่นเต้น
เขาเป็นหัวหน้าในการวางกรอบการเจรจาสำคัญนี้
รัฐบาลตอบรับอย่างเป็นมิตร ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี ข้อแลกเปลี่ยนให้ผลประโยชน์กับอลันดาลมากจนการเจรจาต่อรองไม่ต้องใช้เวลานานเลย ที่เหลือก็แค่รอการตัดสินใจจากวูจิน
ในการต่อรอง เนื้อหาหลักไม่เกี่ยวกับอลันดาลนักแต่เป็นการป้องกันไม่ให้คังวูจินย้ายไปอยู่ประเทศอื่น
ทีแรกมินชานคิดว่าวูจินจะยอมรับเพราะผลประโยชน์ที่ได้มันมหาศาล เมื่อวูจินเซ็นสัญญา งานแถลงข่าวที่อัดไว้ล่วงหน้าก็จะเผยแพร่ออกไปทันที พวกเขาตกลงกันไว้อย่างนี้
แต่ ถ่ายทอดสดไปแล้วเหรอ?
‘พวกเขาพยายามทำคะแนนนำ’
คิดอะไรกันอยู่วะ?
คิดว่าถ้าออกข่าวไปแล้ว วูจินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเหรอ? หรือเพราะถูกกดดันจากประเทศอื่น?
‘ดูจากนิสัยของท่านประธานแล้ว หมดหวังแน่’
มินชานปวดหัว เขาลูบหน้าผากตัวเอง
‘ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
คติประจำใจของวูจินคือไม่ว่าจะถูกทำอะไรเขาจะตอบแทนกลับไปสิบเท่าร้อยเท่า มินชานต้องหลีกเลี่ยงไม่ไปกระตุกต่อมเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น เป็นไปได้ว่าวูจินจะไปถล่มชองวาแด
ถ้าเขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ เขาต้องหยุดไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น มินชานกลุ้มหนัก
‘ไอ้พวกข้าราชการแม่ง’
มินชานข่มความโกรธ เขาพยายามปลุกความรักชาติในตัวขึ้นมา เพื่อความสงบสุขของเกาหลี
‘ขอให้ท่านประธานอารมณ์ดีอยู่นะ’
วูจินอาจดูเหมือนคนทำอะไรตามอารมณ์ แต่มินชานรู้ว่าวูจินมีนิสัยเยือกเย็น ถ้าเขาอารมณ์ดี มินชานอย่างน้อยก็ยกเรื่องนี้มาคุยได้ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี มินชานแทบเอ่ยอะไรไม่ได้
แม้กระทั่งท่าทางเฉยชาของวูจินยังดูน่ากลัว ถ้าเขาโกรธ มินชานคงกลัวจัดจนคุยไม่ได้
‘ฮู้ว ยังไงก็ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
มินชานต้องกู้สถานการณ์ยุ่งเหยิงที่รัฐบาลทำไว้ เขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ
***
สถานีรถไฟใต้ดินกังนัม ทางออกที่ 9
ที่นี่เป็นดันเจี้ยน 6 ดาวในการดูแลของกิลด์ขนาดกลางชื่อ นักเวทย์จากขุมนรก หรือสั้นๆว่ากิลด์ขุมนรก
คิมเฮมินจัดการนำกลุ่มมายังดันเจี้ยนที่ยังว่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อเชฮีซอลมายืนตรงหน้าดันเจี้ยน เธอกลืนน้ำลาย
“เข้าไปกันเถอะ”
วูจินพูดแล้วเข้าดันเจี้ยนไปเป็นคนแรก ซุงกูตามไปอย่างกระตือรือร้น ทำไมซุงกูจึงดีใจนักเมื่อคิดว่าจะมีคนมาแทนที่เขา?
“เข้าไปสิครับ”
“ดิฉันต้องเข้าไปจริงๆเหรอคะ?”
เฮมินฟังแล้วเลิกคิ้ว
“รีบเข้าไปเถอะครับ ไม่งั้นบาเรียมันจะกางขึ้นก่อน”
ถูกเฮมินกระตุ้น เชฮีซอลหลับตาปี๋แล้ววิ่งลงบันไดไป
‘พ่อขา แม่ขา หนูต้องรอดกลับมาให้ได้’
ประสบการณ์ลงดันเจี้ยนครั้งแรกนับจากมาอยู่กิลด์อลันดาลคือดันเจี้ยน 6 ดาว
“ย๊าก!”
เฮซอลกำมือแน่น ยกขึ้นตั้งการ์ด มองรอบตัว
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“เอ๋?”
พอซุงกูถามฮีซอลจึงได้สติ เมื่อรู้ตัววูจินก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงซุงกู เธอถามเขินๆ
“ท่านประธานไปไหนแล้วคะ?”
“ไปแล้วครับ”
“เอ๋?”
เรามาฝึกไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงทิ้งเธอกับกรรมการฮงไว้ล่ะ?
“เราต้องเร็วถ้าไม่อยากถูกทิ้ง”
ซุงกูคุ้ยข้าวของส่วนตัวแล้วหยิบดาบสั้นออกมาให้ฮีซอล มันคมจนสามารถกรีดผ้าได้เพียงกดเบาๆ
ฮีซอลใจเต้นแรงเมื่อรับอาวุธอันตรายมา
“คุณใช้มีดได้ดีหรือเปล่า?”
“ดิฉันชินกับปืนมากกว่าค่ะ...”
“อ้า ร้อยโท คุณเข้าใจผิดครับ”
ซุงกูยิ้มเจิดจ้าแล้วพูด
“ถ้าเราสู้ในดันเจี้ยน 6 ดาว เราตายแหง ขนาดผมยังสู้มอนสเตอร์ในนี้ได้ไม่กี่ตัว เราไม่ได้เข้ามาสู้ครับ ไม่งั้นตายแน่ พริบตาเดียว พรี้บ...ตาเดียว”
“...”
เขาพูดว่าตายแน่ แต่ดูไม่กังวลเลย?
“ถ้าอย่างนั้นดาบนี่ทำไมคะ?”
ถ้าไม่ได้เข้ามาสู้ ไม่ได้เข้ามาฝึก แล้วเราตามวูจินเข้ามาทำไม ทำไมเขาถึงยื่นดาบให้เธอ?
ซุงกูหัวเราะพลางถาม
“คุณเคยคว้านปลาหรือเปล่า?”
“ดิฉันชอบตกปลาค่ะ เพราะฉะนั้นเลยทำบ่อย...”
“โอ้โห! มีคนเก่งเข้ากิลด์เราแฮะ”
ซุงกูยิ่งมองเชฮีซอลอย่างชื่นชมขึ้นไปอีก
“...”
ไม่นานฮีซอลก็เข้าใจความหมายของซุงกู
ฉับๆ
เธอเฉือน เฉือน แล้วก็เฉือน
เมื่อเธอกรีดเฉือน ปลายดาบจะโดนบางอย่าง นั่นคือบลัดสโตน
‘ฉันอยู่ที่ไหน...’
ทำงานซ้ำๆไปนานๆ ฮีซอลเริ่มสงสัยว่าเธอได้งานในกิลด์หรืองานก่อสร้างกันแน่
‘ทำไมฉัน...’
แขนที่เมื่อยล้าของเธอแทบจะขยับไปอัตโนมัติ ดูเหมือนกรรมการฮงซุงกูจะคุ้นเคยกับการขุดบลัดสโตน เขาทำงานเร็วกว่าเธอสองเท่า รวดเร็วและแม่นยำ
“เร่งมือกันเถอะครับ แบบนี้ลูกพี่คงขึ้นมาก่อนพวกเราลงไปถึงชั้นล่างแน่”
พวกเขาเพิ่งลงมาถึงชั้นสอง
ฮีซอลไม่รู้ว่าวูจินไปไหน เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นแต่ซากศพมอนสเตอร์เกลื่อนกลาด
ซุงกูชำแหละมอนสเตอร์ที่มีเครื่องหมายแล้วดึงบลัดสโตนออกมา
‘ประธานสู้ยังไงนะ? ทำไมถึงเร็วนัก?’
ลือกันว่าวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้เร็วมาก เขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ภายในสองชั่วโมงถ้าต้องการ เขาเป็นเราส์ที่เก่งกาจเหมือนสัตว์ประหลาด
“กรรมการฮงคะ ท่านประธานไปที่ไหน...”
“อย่าเพิ่ง เราไม่มีเวลาคุยเล่นนะ เร่งมือกันเถอะ”
“...”
ซุงกูทุบหลังแก้เมื่อยหนึ่งทีแล้วกลับไปชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เธอรู้สึกสงสารอย่างไรไม่รู้เมื่อเห็นแบบนั้น ไม่ใช่สิ มันเหมือนกำลังมองตัวเองในอนาคต คงเป็นเพราะเหตุนี้เธอจึงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมานิดๆ
ไม่ทันฮีซอลจะปลุกปลอบตัวเองให้ชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ฮีซอลกำมีดแน่นด้วยความกังวล ตอนอยู่ในกองทัพความสามารถในการต่อสู้ของเธอได้รับการประเมินไว้ค่อนข้างสูง
“ตายล่ะ ลูกพี่ขึ้นมาแล้ว”
“อะไรนะ?”
แม้จะได้ยินที่ซุงกูพูด ฮีซอลยังกังวล เธอมองบันไดเขม็ง
วูจินมีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจ เดินนำโครงกระดูกหลายตัวขึ้นมา...
“เคะๆๆ”
พวกโครงกระดูกส่งเสียงเฉพาะ ทำให้ฮีซอลรู้สึกขนลุก แม้จะรู้ว่าพวกมันเป็นอสูรที่วูจินเรียกมาเธอยังตัวแข็ง
“ลูกพี่ ผมจะรีบเก็บให้เรียบร้อยครับ”
“ไม่เป็นไร มันไม่มีค่าอะไรนักหรอก ตามฉันมา”
ยังเหลืออีกหนึ่งชั้นที่ยังไม่ได้เก็บบลัดสโตน ราคาคงราว 10 ล้านวอน แต่วูจินเห็นว่าเวลาสำคัญกว่า
‘สงสัยว่าต่อให้ฆ่ามอนสเตอร์หมดเลเวลก็ยังไม่เพิ่ม’
คำนวณจากค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จที่ได้จากการเคลียร์ดันเจี้ยน เป็นไปไม่ได้ที่เลเวลจะไปถึง 70 ในครั้งเดียว เขาต้องเคลียร์ดันเจี้ยนอีกครั้ง
วูจินเดินไปที่ทางออกอย่างรวดเร็ว ซุงกูตบบ่าฮีซอล
“ทำอะไรอยู่ครับ? รีบตามเขาไปกันเถอะ”
“อ๊ะ? ค่ะ”
ฮีซอลได้แต่ตะลึงเมื่อเห็นจำนวนโครงกระดูกที่ตามวูจินไป
‘คนๆเดียวควบคุมอสูรตั้ง...’
เธอนับคร่าวๆได้ 100 ตัว
ที่จริงเธอต้องดูพลังต่อสู้ของโครงกระดูกแต่ละตัวด้วย แต่มันมากเหลือเกิน...
‘เขาไม่ได้สู้คนเดียว’
รู้สึกเหมือนเธอไขปริศนาสถิติการเคลียร์ดันเจี้ยนที่น่าทึ่งของวูจินได้บ้างแล้ว
เมื่อมาถึงทางเข้า วูจินวางโทรศัพท์มือถือกับของสมัยใหม่อื่นๆไว้ด้านหนึ่ง ซุงกูก็กองโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถและข้าวของส่วนตัวไว้เช่นกัน
ฮีซอลมองงงๆ ซุงกูพูดพลางหัวเราะ
“ชุดที่คุณฮีซอลใส่อยู่ไม่ได้ทำมาจากวัตถุดิบในดันเจี้ยนสินะครับ?”
“ค่ะ มันเป็นเสื้อธรรมดา”
“ถ้างั้นมันก็ผ่านอุโมงค์ไปไม่ได้ มีแต่ตัวคุณเปล่าๆที่ลอดไปได้”
“ถ้า...ถ้าอย่างนั้น...”
ฮีซอลนึกขึ้นมาได้ว่าในดันเจี้ยนระดับสูง มีแต่ของจากในดันเจี้ยนที่สามารถผ่านอุโมงค์ได้
“ใส่นี่”
วูจินซื้อเสื้อราคาถูกที่สุดจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จแล้วโยนให้ฮีซอล เธอเคยเห็นเสื้อคลุมแบบนี้ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง วูจินพูดระหว่างฮีซอลกำลังเปลี่ยนเสื้อ
“ซุงกู นายไปจับมอนสเตอร์เหมาะๆมาให้ฮีซอลฝึกจับ”
“ฮะๆ ได้ครับ”
ถ้าได้ดูผลการฝึกของซุงกูก็ดี และวูจินก็อยากล่ากับเขาด้วย แต่เขาต้องเก็บเลเวลให้ถึง 70 ให้เร็วที่สุด ทางที่ดีที่สุดคือเขารวบเหยื่อไว้คนเดียวให้มากที่สุด
“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินด้านโน้นกัน”
“ครับผม”
วูจินข้ามอุโมงค์ไปอย่างไม่ลังเล
ฮีซอลได้ยินที่วูจินพูด ในที่สุดการฝึกของเธอจะเริ่มขึ้นแล้ว
ดันเจี้ยนระดับสูงจะเริ่มขึ้นจริงๆเมื่อผ่านอุโมงค์เข้าไป
ฮีซอลกลืนน้ำลาย
“จะเอาจริงกันแล้วสินะคะ?”
“เฮอะ...”
เอาจริงอะไรล่ะ
ต่อให้ไปด้านโน้น พวกเขาก็ต้องขุดบลัดสโตนกันอยู่ดี
จะบอกซ้ำไปทำไม? เธอจะรู้เองเมื่อไปถึงที่นั่น
“ผมหิว รีบไปกันเถอะ”
ซุงกูข้ามอุโมงค์และฮีซอลตามไป
ความรู้สึกตอนผ่านมิติที่บิดเบี้ยวทำให้ฮีซอลช็อค เธอวิงเวียนตาลาย และผลคือ...
“แหวะ”
“เอ๊ย อ้วกเสร็จแล้วตามมาด้วยนะครับ”
ซุงกูกระโดดถอยเพราะกลัวจะเลอะอาเจียน เขาวิ่งไปทางวูจิน ฮีซอลอาเจียนอีกหลายครั้ง เสร็จแล้วจึงเช็ดปาก
หลังร่างกายสงบลงได้บ้าง ศีรษะปวดน้อยลง เธอมองไปรอบตัว
‘ฮ้า’
ฮีซอลอยู่ในป่าแห่งหนึ่งที่เธอไม่มีทางได้เห็นในเมืองโซลเกาหลี มันเหมือนเธอถูกโยนมาอยู่ตรงใจกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ดันเจี้ยนระดับสูงนั้นเชื่อมไปต่างโลก และเธออยู่ในนั้น ไม่น่าเชื่อเลย ขณะที่ฮีซอลกำลังพบประสบการณ์ใหม่ เธอเห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นต่อหน้า
“หืม? ถ้าสงบใจได้แล้ว มาทางนี้เร็วๆเถอะครับ”
ฮีซอลมองซุงกูที่เรียกเธอแล้วขยี้ตา
ตาฝาดไปหรือเปล่า?
พวกเขากำลังตั้งแคมป์ในดันเจี้ยน...
เนื้อปริศนากำลังถูกทำให้สุกเหนือกองไฟ กลิ่นของมันทำให้ฮีซอลน้ำลายไหล
***
เหมือนอ่านตอนซุงกูเข้าดันเจี้ยนนาคกับวูจินอีกรอบเลย...
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 83
บทที่ 83 – ขยายกิลด์
“อืม เหมือนให้กำลังใจน่ะ แปลว่าเขากำลังดูอยู่และอยากให้ฉันแต่งให้ดี?”
“หา บอกว่าจะเลิก นี่คือให้กำลังใจเหรอ?”
“อืม สมัยนี้ใช้แบบนี้แหละ”
“ทำไมศัพท์สมัยนี้เข้าใจยากจัง?”
“เฮะๆ ในเน็ตเขาเล่นกันแบบนี้แหละ”
วูจินเริ่มอ่านความเห็นหลังจบตอนต่อ
“เจ้านี่ หมาลายจุด ต้องเป็นแฟนแน่ เขาบอกจะเลิกทุกตอนเลย”
“อ่า...นั่นสินะ”
จีวอนหัวเราะแห้ง
“สนุกดีนะ หรือฉันจะเขียนมั่งดี?”
“หา?”
“ฮะๆ ล้อเล่น ฉันว่าจะเรียนคำสมัยใหม่พวกนี้ก่อน”
วูจินยิ้มเมื่อนึกถึงเบคจองโด เจอกันครั้งต่อไป เขาจะเป็นคนสอนคำที่กำลังนิยมให้เอง
“ดูพวกเว็บตูนสิ มีอะไรสนุกๆเยอะเลยนะ นายจะประหลาดใจมากแน่ถ้าเห็นคนในเน็ตสร้างสรรค์กันขนาดไหน”
“โอ้ จริงเหรอ?”
วูจินกับจีวอนสนุกกับการดูเว็บตูนในโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของพวกเขา
‘ความจำเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อยๆเลย เรื่องนี้ยังพิมพ์ต่ออีกแฮะ’
เว็บตูนเรื่อง ‘เสียงจากร่างกาย’ ยังไม่จบ นี่เป็นเรื่องที่เขาอ่านก่อนจะถูกเรียกไปต่างโลก มันทำให้คิดถึงวันเก่าๆ ทุกครั้งที่วูจินนึกถึงความทรงจำสมัยก่อนได้ เขาจะรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
หลังจากคุยเล่นกับจีวอนอยู่นาน วูจินไปที่ที่ทำงาน
มันเป็นเวลา 5 โมงเย็น
เมื่อเปิดประตูสำนักงานเข้ามา สายตาของพนักงานมองมาทางวูจิน ขณะที่ทุกคนมองห่างๆ มีคนหนึ่งเดินเข้าหาเขาอย่างเร่งรีบ
“ท่านประธาน มาแล้วเหรอครับ?”
“อืม ซุงกูกับเฮมินยังไม่กลับมาเหรอ?”
“พวกเขากำลังจัดการกับของที่ได้จากดันเจี้ยนครับ ตอนนี้คงกำลังกลับมาแล้ว”
“อ้อ”
“เฮะๆ กินอะไรมาแล้วยังครับ?”
วูซุงฮุนยิ้มพลางประจบวูจิน เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมานิดๆ ซุงฮุนไม่ใช่คนเลว วิญญาณเขายังไม่เน่าเสีย...
วูจินมองป้ายชื่อของซุงฮุน
[แผนกสนับสนุน รักษาการหัวหน้าแผนกวูซุงฮุน]
“นายทำแบบนี้เพราะอยากเลื่อนตำแหน่ง?”
“ฮะๆ...”
วูซุงฮุนหัวเราะอย่างขัดเขิน ขนาดคนใหม่ที่เข้ามาช้ากว่าเขามากยังได้รับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆตามความประสบการณ์ความสามารถ ได้ตำแหน่งรองหัวหน้าแผนก บ้างก็หัวหน้าแผนก
ทุกวันวูซุงฮุนมองรอบตัวแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเดินบนชั้นน้ำแข็งบางๆ วูจินตบไหล่ซุงฮุนเบาๆ
“ไม่ต้องกังวล ฉันมองนายอยู่”
“ฮะๆ ขอบคุณครับ”
“อีกไม่นานนายก็จะได้เลิกแล้ว ตั้งใจเข้า”
“...”
วูจินกำลังกดดันให้เขาลาออกเหรอ?
เมื่อเห็นซุงฮุนหน้าแข็งทื่อ วูจินหัวเราะ
“นายจะอึ้งไปทำไม นี่ให้กำลังใจนะ ให้กำลังใจ”
“อ่า ครับ...”
“ขยันเข้าล่ะ”
“...ครับ”
ไม่รู้ทำไม แต่ล้อเล่นแบบนี้ทำเอาซุงฮุนเพลีย วูจินเดินไปทางห้องประธาน
“กินยาสักหน่อยแล้วกัน”
วูจินเปิดคลังแล้วเอาหินเพิ่มพลังออกมา กินอันที่ให้ค่าสถานะโดยไม่ต้องรอเวลาดูดซึม เมื่อซุงกูกลับมาเขาก็จะให้ซุงกูกินหินต่อ
วูจินรู้ว่าเวลาดูดซึมของเขานานเท่าไหร่โดยดูจากหน้าต่างค่าสถานะของเขา แต่ซุงกูไม่มีข้อได้เปรียบนั้น ถ้าซุงกูกินหินที่ต้องรอเวลาดูดซึมก็จะไม่ได้ผล เขาจึงต้องเป็นคนเลือกหินให้ซุงกูกินเอง
ขณะวูจินกำลังจะกินหินเพิ่มพลัง เขาได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา”
คนที่ยื่นหน้าเข้ามาคือร้อยโทเชฮีซอลนั่นเอง
“โอ้ ร้อยโทเช”
“ตอนนี้เป็นแค่ทหารกองหนุนแล้วค่ะ”
ฮีซอลเดินเข้ามายืนตรงต่อหน้าวูจิน
“ท่าทางคงอีกสักพักแหละกว่าเธอจะเลิกทำท่าแบบทหาร มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ดิฉันมาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานค่ะ”
วูจินเขย่ามือกับเธอพลางยิ้ม
เราส์คนที่สามของกิลด์อลันดาล
“รายละเอียดไว้คุยกันตอนมินชานมาถึง นั่งสิ”
“ค่ะ”
วูจินมองฮีซอล
[เลเวล 14 เชฮีซอล]
ความสามารถ – ฝึกมอนสเตอร์ สถานะ...
วูจินใช้ทักษะหลายๆอย่าง เช่น สังเกต สังหรณ์ วิเคราะห์รวมกันเพื่อรวบรวมข้อมูลของฮีซอล
“โฮ่ เธอเป็นนักฝึกสัตว์?”
“เอ๊ะ คุณรู้ได้ยังไง?”
“ฉันเห็นน่ะ”
“...”
“ที่ผ่านมาคงพัฒนาฝีมือของตัวเองไม่ค่อยได้ผลสินะ”
“ฮะๆ ค่ะ”
บนโลกมีที่ไหนยอมให้มอนสเตอร์มีชีวิตอยู่?
เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรก มอนสเตอร์ออกมาจากดันเจี้ยน กองกำลังต่างๆจะระดมยิงเพื่อฆ่าพวกมัน นี่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง
ไม่มีโอกาสในการจับพวกมันมากนัก
ถ้าต้องการ ฮีซอลสามารถวนดันเจี้ยน 1 ดาวไปเรื่อยเพื่อฝึกความสามารถฝึกสัตว์ไปช้าๆ แต่เธอกลายเป็นเราส์ตอนที่เธอเข้าประจำการแล้ว
ถ้ายื่นคำร้อง เธออาจย้ายไปที่หน่วยเราส์ได้ แต่เธอเลือกอยู่กับหน่วยเดิม
แม้จะเป็นเราส์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยู่อย่างเราส์
แต่แล้ว วูจินมอบทางเลือก (ที่จริงๆก็มีทางเดียว) ให้เธอ ฮีซอลต้องล้มเลิกความฝันที่จะเป็นทหารแล้วเข้ากิลด์อลันดาล
วูจินผลักหินเพิ่มพลังมา
“ดูดซึมนี่เข้าไป”
“คะ?”
“ไม่รู้วิธีเหรอ แค่กินน่ะ หินนี่จะเพิ่มพลังให้เธอ”
“อ๊ะ เรื่องพวกนี้ฉันรู้ค่ะ แต่...”
ทำไมเขาถึงให้หินเพิ่มพลังราคาแพงพวกนี้ตั้งแต่ครั้งแรกง่ายๆ?
“เธอต้องมีประโยชน์กว่านี้ ตอนนี้เธอช่วยอะไรฉันไม่ได้”
“...”
แม้ไม่ชอบที่ถูกเรียกว่าไร้ความสามารถต่อหน้าแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ อีกฝ่ายไม่ใช่คนแข็งแกร่งธรรมดา เขาเป็นเราส์ระดับโลกหรืออาจเก่งที่สุดในโลก คนแบบนี้กำลังพยายามจะฝึกฝนเธอ
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ”
หินราคาหลายล้านวอนหายไปอย่างรวดเร็ว เชฮีซอนใจเต้นแรงทุกครั้งที่หินหมดไป วูจินยิ้ม
“เธอจะพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น”
ด้วยมานาบนโลกเพิ่มขึ้น เราส์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นช้า แม้เฮซอลไม่ได้ฝึกเลยเธอก็ยังเลเวล 14 แล้ว
มนุษย์ธรรมดาจะมีเลเวล 9 เราส์ระดับวงแหวนที่หนึ่งคือเลเวล 10
เธอเพิ่มเลเวลมา 4 เลเวลโดยไม่ทำอะไรเลย ศักยภาพของเฮซอลถือว่าไม่เลว
“ร่างกายเธอตอบรับหินได้ดีนะ กินนี่ด้วย”
หลังจากรับหินเพิ่มพลังแล้วไม่มีช่วงรอย่อย วูจินจึงส่งหินให้อีก เฮซอลรู้สึกหนักใจแต่เธอกินต่อไปตามลำดับที่วูจินส่งให้
วูจินมองสถานะของเฮซอลเพิ่มขึ้นแล้วคิดถึงเวทย์ที่เหมาะกับเธออย่างจริงจัง ถ้าเขามีอยู่ในคลังเขาจะให้เธอเรียนเลย ถ้าไม่มีก็จะบอกให้พนักงานซื้อมา
วูจินเอาม้วนคาถาออกมา
“นี่คือเทเลพาธี”
“อะ ให้ฉันแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอคะ?”
เขาเอาแต่ให้ไอเทมราคาแพงมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสามัญสำนึกของเฮซอลจะเริ่มเพี้ยน
“มันจำเป็น เธอต้องฝึกฝนความสามารถไปเรื่อยๆ”
เทเลพาธีเป็นทักษะสำคัญ ในการรบที่โกลาหลทักษะนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดี
ตอนนี้เครือข่ายการสื่อสารไม่เป็นอะไร หลายคนคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรกพร้อมกันทั่วโลก เมืองจะเป็นสถานที่แรกที่ถูกทำลาย สาธารณูปโภค อย่างเช่นเสาไฟฟ้าที่ส่งกระแสไฟฟ้าจะถูกทำลาย
ฮีซอลเป็นทหารเก่าที่มีศักยภาพสูง ถึงบอกไม่ได้ว่าเธอจะจงรักภักดีต่อเขาแต่เธอเป็นคนที่ไว้ใจได้ เหมาะต่อการสั่งการเราส์ฝึกใหม่
ไม่หมดแค่นั้น วูจินให้ทักษะดาบ เวทย์ป้องกันตัว เวทย์ลม ฯลฯ วูจินให้ทักษะขั้นต่ำที่ไม่มีข้อจำกัดของอาชีพ
“ดิฉันต้องเรียนหมดนี่เลยเหรอคะ?”
“ใช่ ทำไม?”
แม้ที่ผ่านมาเธอจะฝึกด้วยตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีความรู้พื้นฐานของเราส์ เราส์ต้องเรียนเพียงด้านใดด้านหนึ่งเพื่อพัฒนาความสามารถไปอย่างมั่นคง...
“...ไม่ใช่แบบนั้นเหรอคะ?”
ฟังเหตุผลของฮีซอลแล้ววูจินก็ยิ้ม
“เธอเล่นเกมอยู่เหรอฮีซอล?”
“เอ๊ะ?”
“เธอกำลังฝึกตัวละครในเกมงั้นเหรอ?”
“...”
“ถ้าไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เรียนพวกนี้ให้หมด หยุดพูดเหมือนรับไม่ไหว”
“...ค่ะ”
ฮีซอลตอบปฏิเสธไม่ได้เลยเมื่อวูจินพูดอย่างบังคับ ตอนอยู่ในกองทัพเธอได้ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมาบ้างแล้ว แต่แค่วูจินจ้องเธอก็รู้สึกเหมือนถูกขู่
ฮีซอลเริ่มเรียนทักษะที่วูจินให้มาโดยไม่บ่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
คิมเฮมินกับซงฮุงกูเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าค่อนข้างรีบร้อน
“ลูกพี่ นี่เรื่องจริงเหรอ?”
“เรื่องอะไรของนาย?”
เขาได้เจอประธานเป็นครั้งแรกหลังจากไปอเมริกาหนึ่งเดือน แต่ทักทายกันแบบนี้... ซุงกูของเราเติบโตขึ้นมาก
“อ๊ะ...ดูนี่ครับ”
ซุงกูหยิบรีโมทแล้วเปิดโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องไปหยุดที่ถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวแห่งหนึ่ง มีคนสามคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นคนคุ้นเคย
“มินชานไม่ใช่เหรอ? เขาไปกินเลี้ยงแล้วไปทำอะไรตรงนั้น?”
“...”
ซุงกูอึ้งเมื่อเห็นปฏิกิริยาของวูจิน วูจินพยักหน้าไปทางอีกสองคนที่กับมินชาน
“ใคร?”
“รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกับเสนาธิการทหารบก”
“แล้วมินชานไปทำอะไรกับพวกเขา?”
“...”
ดูท่าวูจินจะไม่เข้าใจจริงๆ คิมเฮมินกลืนน้ำลายแล้วอธิบายอย่างใจเย็น
“อลันดาลเพิ่งทำความตกลงกับรัฐบาล ข้อตกลงนี้ในการสนับสนุนพวกเราเหมือนเป็นรัฐวิสาหกิจ พวกเขากำลังประกาศเรื่องนี้”
“เหรอ”
“อย่า “เหรอ” สิครับ”
รายละเอียดต่างๆมินชานเป็นคนจัดการ ดังนั้นวูจินจึงไม่ห่วงเรื่องนี้ เห็นท่าทางใจเย็นของวูจิน คิมเฮมินส่ายหน้า
“ท่านประธาน นี่เป็นครั้งแรกที่เกาหลีทำแบบนี้”
“พวกนายจะตื่นเต้นไปทำไม?”
“เราเป็นกิลด์ที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศ... หมายความว่าพวกเราจะถูกทำเหมือนเป็นกองกำลังของประเทศนี้”
“แล้วไง?”
“นั่น...”
วูจินขมวดคิ้ว เฮมินดูไม่ออก ซุงกูจึงพูดแทน
“ช่วงเกณฑ์ทหารของพวกเราถูกขยายไปอีก”
นี่อาจจะเป็นการรับราชการทหารไปตลอด...
“หา?”
ไอ้เปรตนั่น... บอกให้ไปกินอะไรอร่อยๆแต่ดันทำเรื่องไม่จำเป็นแบบนี้...
วูจินถอนหายใจ
“พอมินชานเป็นรองประธานแล้วก็ทำเรื่องใหญ่เลยนะ”
“....”
วูจินดูอารมณ์เสีย ทุกคนจึงเงียบ
“ถ้าไอ้เวรนั่นกลับมา บอกมันไปว่าไม่ต้องมาทำงานแล้ว”
“ท่านประธานจะไปไหนครับ?”
“ลงดัน...”
“เอ๋?”
“ซุงกูกับเฮซอลตามฉันมา”
พูดจบ วูจินออกจากห้องประธานไป เฮมินรีบตามไปเตรียมรถ
ซุงกูลืมตาโตมองเชฮีซอล
จากนั้นก็หัวเราะจนตาหยี
ฮีซอลยิ้มแล้วยื่นมือไปทักทาย
“ดิฉันหวังว่า...”
ซุงกูไม่ยอมจับมือแต่กอดเธอแทน
“อื้มๆ มาร่วมทรมานไปด้วยกันนะ”
“ค่ะ...”
ฮีซอล เราส์คนที่สามของกิลด์ รู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นท่าทางของซุงกู ซุงกูกอดเธอแน่นแล้วหัวเราะ
เขาไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
เขามีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมโศกแล้ว
“ไปเถอะ เดี๋ยวลูกพี่จะคอย”
“ค่ะ... เราจะไปดันเจี้ยนไหนคะ?”
“ไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็คง 4 ดาว หรืออาจจะเป็น 5 ดาวก็ได้ครับ”
ถ้าไม่ได้จองล่วงหน้าคงมีดันเจี้ยนให้ใช้ไม่มากนัก พวกเขาเองก็มีดันเจี้ยนไม่กี่แห่ง เฮมินคงเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ฮีซอลหน้าแข็งค้างเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะเข้าดันเจี้ยนระดับสูง
“ดิฉันฟังผิดหรือเปล่า?”
“อะไรเหรอ?”
“เรา...เราจะเข้าดันเจี้ยนระดับสูงเลยเหรอคะ?”
“น่าจะนะ”
“ดิฉันเป็นแค่แรงค์ F ทำไมถึงเป็นดันเจี้ยนระดับสูงเลยล่ะ... ไม่ใช่ว่าปกติเริ่มจากดันเจี้ยน 1 ดาวเหรอ?”
กิลด์แบบไหนกันที่ฝึกเราส์คนใหม่ในดันเจี้ยนระดับสูง? เมื่อซุงกูเห็นปฏิกิริยาของฮีซอล เขารู้สึกตลก เศร้า และยินดี
‘ใช่ ปฏิกิริยาแบบนี้แหละปกติ นี่คือปกติ’
ใช่แล้ว คนปกติต้องคิดแบบนี้แหละ
เป็นเขาที่ถูกฝึกมาแบบไม่ปกติ ใช่แน่
“ฮ่าๆ คุณจะรู้สึกว่ากำลังจะตาย แต่สุดท้ายเขาไม่ปล่อยให้คุณตายหรอก”
หา? เธอฟังผิดไปหรือเปล่า? รู้สึกเหมือนได้ยินคำแปลกๆจากกรรมการผู้ร่าเริง ฮงซุงกู...
“ฮ่าๆๆ พวกเรารอดกลับมากันเถอะครับ”
“...”
เขาร่าเริงเกินไปหรือเปล่า สำหรับเราส์ที่เตรียมตัวตายขนาดนี้?
กรรมการส่วนงานจับฉ่ายร่าเริงยิ่งนักที่ได้เพื่อนร่วมชะตา แม้จะเป็นคนใหม่ที่กำลังสับสนก็ตาม
“อืม เหมือนให้กำลังใจน่ะ แปลว่าเขากำลังดูอยู่และอยากให้ฉันแต่งให้ดี?”
“หา บอกว่าจะเลิก นี่คือให้กำลังใจเหรอ?”
“อืม สมัยนี้ใช้แบบนี้แหละ”
“ทำไมศัพท์สมัยนี้เข้าใจยากจัง?”
“เฮะๆ ในเน็ตเขาเล่นกันแบบนี้แหละ”
วูจินเริ่มอ่านความเห็นหลังจบตอนต่อ
“เจ้านี่ หมาลายจุด ต้องเป็นแฟนแน่ เขาบอกจะเลิกทุกตอนเลย”
“อ่า...นั่นสินะ”
จีวอนหัวเราะแห้ง
“สนุกดีนะ หรือฉันจะเขียนมั่งดี?”
“หา?”
“ฮะๆ ล้อเล่น ฉันว่าจะเรียนคำสมัยใหม่พวกนี้ก่อน”
วูจินยิ้มเมื่อนึกถึงเบคจองโด เจอกันครั้งต่อไป เขาจะเป็นคนสอนคำที่กำลังนิยมให้เอง
“ดูพวกเว็บตูนสิ มีอะไรสนุกๆเยอะเลยนะ นายจะประหลาดใจมากแน่ถ้าเห็นคนในเน็ตสร้างสรรค์กันขนาดไหน”
“โอ้ จริงเหรอ?”
วูจินกับจีวอนสนุกกับการดูเว็บตูนในโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของพวกเขา
‘ความจำเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อยๆเลย เรื่องนี้ยังพิมพ์ต่ออีกแฮะ’
เว็บตูนเรื่อง ‘เสียงจากร่างกาย’ ยังไม่จบ นี่เป็นเรื่องที่เขาอ่านก่อนจะถูกเรียกไปต่างโลก มันทำให้คิดถึงวันเก่าๆ ทุกครั้งที่วูจินนึกถึงความทรงจำสมัยก่อนได้ เขาจะรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
หลังจากคุยเล่นกับจีวอนอยู่นาน วูจินไปที่ที่ทำงาน
มันเป็นเวลา 5 โมงเย็น
เมื่อเปิดประตูสำนักงานเข้ามา สายตาของพนักงานมองมาทางวูจิน ขณะที่ทุกคนมองห่างๆ มีคนหนึ่งเดินเข้าหาเขาอย่างเร่งรีบ
“ท่านประธาน มาแล้วเหรอครับ?”
“อืม ซุงกูกับเฮมินยังไม่กลับมาเหรอ?”
“พวกเขากำลังจัดการกับของที่ได้จากดันเจี้ยนครับ ตอนนี้คงกำลังกลับมาแล้ว”
“อ้อ”
“เฮะๆ กินอะไรมาแล้วยังครับ?”
วูซุงฮุนยิ้มพลางประจบวูจิน เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมานิดๆ ซุงฮุนไม่ใช่คนเลว วิญญาณเขายังไม่เน่าเสีย...
วูจินมองป้ายชื่อของซุงฮุน
[แผนกสนับสนุน รักษาการหัวหน้าแผนกวูซุงฮุน]
“นายทำแบบนี้เพราะอยากเลื่อนตำแหน่ง?”
“ฮะๆ...”
วูซุงฮุนหัวเราะอย่างขัดเขิน ขนาดคนใหม่ที่เข้ามาช้ากว่าเขามากยังได้รับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆตามความประสบการณ์ความสามารถ ได้ตำแหน่งรองหัวหน้าแผนก บ้างก็หัวหน้าแผนก
ทุกวันวูซุงฮุนมองรอบตัวแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเดินบนชั้นน้ำแข็งบางๆ วูจินตบไหล่ซุงฮุนเบาๆ
“ไม่ต้องกังวล ฉันมองนายอยู่”
“ฮะๆ ขอบคุณครับ”
“อีกไม่นานนายก็จะได้เลิกแล้ว ตั้งใจเข้า”
“...”
วูจินกำลังกดดันให้เขาลาออกเหรอ?
เมื่อเห็นซุงฮุนหน้าแข็งทื่อ วูจินหัวเราะ
“นายจะอึ้งไปทำไม นี่ให้กำลังใจนะ ให้กำลังใจ”
“อ่า ครับ...”
“ขยันเข้าล่ะ”
“...ครับ”
ไม่รู้ทำไม แต่ล้อเล่นแบบนี้ทำเอาซุงฮุนเพลีย วูจินเดินไปทางห้องประธาน
“กินยาสักหน่อยแล้วกัน”
วูจินเปิดคลังแล้วเอาหินเพิ่มพลังออกมา กินอันที่ให้ค่าสถานะโดยไม่ต้องรอเวลาดูดซึม เมื่อซุงกูกลับมาเขาก็จะให้ซุงกูกินหินต่อ
วูจินรู้ว่าเวลาดูดซึมของเขานานเท่าไหร่โดยดูจากหน้าต่างค่าสถานะของเขา แต่ซุงกูไม่มีข้อได้เปรียบนั้น ถ้าซุงกูกินหินที่ต้องรอเวลาดูดซึมก็จะไม่ได้ผล เขาจึงต้องเป็นคนเลือกหินให้ซุงกูกินเอง
ขณะวูจินกำลังจะกินหินเพิ่มพลัง เขาได้ยินเสียงเคาะประตู
“เข้ามา”
คนที่ยื่นหน้าเข้ามาคือร้อยโทเชฮีซอลนั่นเอง
“โอ้ ร้อยโทเช”
“ตอนนี้เป็นแค่ทหารกองหนุนแล้วค่ะ”
ฮีซอลเดินเข้ามายืนตรงต่อหน้าวูจิน
“ท่าทางคงอีกสักพักแหละกว่าเธอจะเลิกทำท่าแบบทหาร มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ดิฉันมาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานค่ะ”
วูจินเขย่ามือกับเธอพลางยิ้ม
เราส์คนที่สามของกิลด์อลันดาล
“รายละเอียดไว้คุยกันตอนมินชานมาถึง นั่งสิ”
“ค่ะ”
วูจินมองฮีซอล
[เลเวล 14 เชฮีซอล]
ความสามารถ – ฝึกมอนสเตอร์ สถานะ...
วูจินใช้ทักษะหลายๆอย่าง เช่น สังเกต สังหรณ์ วิเคราะห์รวมกันเพื่อรวบรวมข้อมูลของฮีซอล
“โฮ่ เธอเป็นนักฝึกสัตว์?”
“เอ๊ะ คุณรู้ได้ยังไง?”
“ฉันเห็นน่ะ”
“...”
“ที่ผ่านมาคงพัฒนาฝีมือของตัวเองไม่ค่อยได้ผลสินะ”
“ฮะๆ ค่ะ”
บนโลกมีที่ไหนยอมให้มอนสเตอร์มีชีวิตอยู่?
เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรก มอนสเตอร์ออกมาจากดันเจี้ยน กองกำลังต่างๆจะระดมยิงเพื่อฆ่าพวกมัน นี่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง
ไม่มีโอกาสในการจับพวกมันมากนัก
ถ้าต้องการ ฮีซอลสามารถวนดันเจี้ยน 1 ดาวไปเรื่อยเพื่อฝึกความสามารถฝึกสัตว์ไปช้าๆ แต่เธอกลายเป็นเราส์ตอนที่เธอเข้าประจำการแล้ว
ถ้ายื่นคำร้อง เธออาจย้ายไปที่หน่วยเราส์ได้ แต่เธอเลือกอยู่กับหน่วยเดิม
แม้จะเป็นเราส์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยู่อย่างเราส์
แต่แล้ว วูจินมอบทางเลือก (ที่จริงๆก็มีทางเดียว) ให้เธอ ฮีซอลต้องล้มเลิกความฝันที่จะเป็นทหารแล้วเข้ากิลด์อลันดาล
วูจินผลักหินเพิ่มพลังมา
“ดูดซึมนี่เข้าไป”
“คะ?”
“ไม่รู้วิธีเหรอ แค่กินน่ะ หินนี่จะเพิ่มพลังให้เธอ”
“อ๊ะ เรื่องพวกนี้ฉันรู้ค่ะ แต่...”
ทำไมเขาถึงให้หินเพิ่มพลังราคาแพงพวกนี้ตั้งแต่ครั้งแรกง่ายๆ?
“เธอต้องมีประโยชน์กว่านี้ ตอนนี้เธอช่วยอะไรฉันไม่ได้”
“...”
แม้ไม่ชอบที่ถูกเรียกว่าไร้ความสามารถต่อหน้าแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ อีกฝ่ายไม่ใช่คนแข็งแกร่งธรรมดา เขาเป็นเราส์ระดับโลกหรืออาจเก่งที่สุดในโลก คนแบบนี้กำลังพยายามจะฝึกฝนเธอ
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ”
หินราคาหลายล้านวอนหายไปอย่างรวดเร็ว เชฮีซอนใจเต้นแรงทุกครั้งที่หินหมดไป วูจินยิ้ม
“เธอจะพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น”
ด้วยมานาบนโลกเพิ่มขึ้น เราส์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นช้า แม้เฮซอลไม่ได้ฝึกเลยเธอก็ยังเลเวล 14 แล้ว
มนุษย์ธรรมดาจะมีเลเวล 9 เราส์ระดับวงแหวนที่หนึ่งคือเลเวล 10
เธอเพิ่มเลเวลมา 4 เลเวลโดยไม่ทำอะไรเลย ศักยภาพของเฮซอลถือว่าไม่เลว
“ร่างกายเธอตอบรับหินได้ดีนะ กินนี่ด้วย”
หลังจากรับหินเพิ่มพลังแล้วไม่มีช่วงรอย่อย วูจินจึงส่งหินให้อีก เฮซอลรู้สึกหนักใจแต่เธอกินต่อไปตามลำดับที่วูจินส่งให้
วูจินมองสถานะของเฮซอลเพิ่มขึ้นแล้วคิดถึงเวทย์ที่เหมาะกับเธออย่างจริงจัง ถ้าเขามีอยู่ในคลังเขาจะให้เธอเรียนเลย ถ้าไม่มีก็จะบอกให้พนักงานซื้อมา
วูจินเอาม้วนคาถาออกมา
“นี่คือเทเลพาธี”
“อะ ให้ฉันแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอคะ?”
เขาเอาแต่ให้ไอเทมราคาแพงมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสามัญสำนึกของเฮซอลจะเริ่มเพี้ยน
“มันจำเป็น เธอต้องฝึกฝนความสามารถไปเรื่อยๆ”
เทเลพาธีเป็นทักษะสำคัญ ในการรบที่โกลาหลทักษะนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดี
ตอนนี้เครือข่ายการสื่อสารไม่เป็นอะไร หลายคนคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่เมื่อเกิดดันเจี้ยนเบรกพร้อมกันทั่วโลก เมืองจะเป็นสถานที่แรกที่ถูกทำลาย สาธารณูปโภค อย่างเช่นเสาไฟฟ้าที่ส่งกระแสไฟฟ้าจะถูกทำลาย
ฮีซอลเป็นทหารเก่าที่มีศักยภาพสูง ถึงบอกไม่ได้ว่าเธอจะจงรักภักดีต่อเขาแต่เธอเป็นคนที่ไว้ใจได้ เหมาะต่อการสั่งการเราส์ฝึกใหม่
ไม่หมดแค่นั้น วูจินให้ทักษะดาบ เวทย์ป้องกันตัว เวทย์ลม ฯลฯ วูจินให้ทักษะขั้นต่ำที่ไม่มีข้อจำกัดของอาชีพ
“ดิฉันต้องเรียนหมดนี่เลยเหรอคะ?”
“ใช่ ทำไม?”
แม้ที่ผ่านมาเธอจะฝึกด้วยตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีความรู้พื้นฐานของเราส์ เราส์ต้องเรียนเพียงด้านใดด้านหนึ่งเพื่อพัฒนาความสามารถไปอย่างมั่นคง...
“...ไม่ใช่แบบนั้นเหรอคะ?”
ฟังเหตุผลของฮีซอลแล้ววูจินก็ยิ้ม
“เธอเล่นเกมอยู่เหรอฮีซอล?”
“เอ๊ะ?”
“เธอกำลังฝึกตัวละครในเกมงั้นเหรอ?”
“...”
“ถ้าไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เรียนพวกนี้ให้หมด หยุดพูดเหมือนรับไม่ไหว”
“...ค่ะ”
ฮีซอลตอบปฏิเสธไม่ได้เลยเมื่อวูจินพูดอย่างบังคับ ตอนอยู่ในกองทัพเธอได้ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมาบ้างแล้ว แต่แค่วูจินจ้องเธอก็รู้สึกเหมือนถูกขู่
ฮีซอลเริ่มเรียนทักษะที่วูจินให้มาโดยไม่บ่น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
คิมเฮมินกับซงฮุงกูเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าค่อนข้างรีบร้อน
“ลูกพี่ นี่เรื่องจริงเหรอ?”
“เรื่องอะไรของนาย?”
เขาได้เจอประธานเป็นครั้งแรกหลังจากไปอเมริกาหนึ่งเดือน แต่ทักทายกันแบบนี้... ซุงกูของเราเติบโตขึ้นมาก
“อ๊ะ...ดูนี่ครับ”
ซุงกูหยิบรีโมทแล้วเปิดโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องไปหยุดที่ถ่ายทอดสดงานแถลงข่าวแห่งหนึ่ง มีคนสามคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นคนคุ้นเคย
“มินชานไม่ใช่เหรอ? เขาไปกินเลี้ยงแล้วไปทำอะไรตรงนั้น?”
“...”
ซุงกูอึ้งเมื่อเห็นปฏิกิริยาของวูจิน วูจินพยักหน้าไปทางอีกสองคนที่กับมินชาน
“ใคร?”
“รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกับเสนาธิการทหารบก”
“แล้วมินชานไปทำอะไรกับพวกเขา?”
“...”
ดูท่าวูจินจะไม่เข้าใจจริงๆ คิมเฮมินกลืนน้ำลายแล้วอธิบายอย่างใจเย็น
“อลันดาลเพิ่งทำความตกลงกับรัฐบาล ข้อตกลงนี้ในการสนับสนุนพวกเราเหมือนเป็นรัฐวิสาหกิจ พวกเขากำลังประกาศเรื่องนี้”
“เหรอ”
“อย่า “เหรอ” สิครับ”
รายละเอียดต่างๆมินชานเป็นคนจัดการ ดังนั้นวูจินจึงไม่ห่วงเรื่องนี้ เห็นท่าทางใจเย็นของวูจิน คิมเฮมินส่ายหน้า
“ท่านประธาน นี่เป็นครั้งแรกที่เกาหลีทำแบบนี้”
“พวกนายจะตื่นเต้นไปทำไม?”
“เราเป็นกิลด์ที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศ... หมายความว่าพวกเราจะถูกทำเหมือนเป็นกองกำลังของประเทศนี้”
“แล้วไง?”
“นั่น...”
วูจินขมวดคิ้ว เฮมินดูไม่ออก ซุงกูจึงพูดแทน
“ช่วงเกณฑ์ทหารของพวกเราถูกขยายไปอีก”
นี่อาจจะเป็นการรับราชการทหารไปตลอด...
“หา?”
ไอ้เปรตนั่น... บอกให้ไปกินอะไรอร่อยๆแต่ดันทำเรื่องไม่จำเป็นแบบนี้...
วูจินถอนหายใจ
“พอมินชานเป็นรองประธานแล้วก็ทำเรื่องใหญ่เลยนะ”
“....”
วูจินดูอารมณ์เสีย ทุกคนจึงเงียบ
“ถ้าไอ้เวรนั่นกลับมา บอกมันไปว่าไม่ต้องมาทำงานแล้ว”
“ท่านประธานจะไปไหนครับ?”
“ลงดัน...”
“เอ๋?”
“ซุงกูกับเฮซอลตามฉันมา”
พูดจบ วูจินออกจากห้องประธานไป เฮมินรีบตามไปเตรียมรถ
ซุงกูลืมตาโตมองเชฮีซอล
จากนั้นก็หัวเราะจนตาหยี
ฮีซอลยิ้มแล้วยื่นมือไปทักทาย
“ดิฉันหวังว่า...”
ซุงกูไม่ยอมจับมือแต่กอดเธอแทน
“อื้มๆ มาร่วมทรมานไปด้วยกันนะ”
“ค่ะ...”
ฮีซอล เราส์คนที่สามของกิลด์ รู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นท่าทางของซุงกู ซุงกูกอดเธอแน่นแล้วหัวเราะ
เขาไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
เขามีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมโศกแล้ว
“ไปเถอะ เดี๋ยวลูกพี่จะคอย”
“ค่ะ... เราจะไปดันเจี้ยนไหนคะ?”
“ไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็คง 4 ดาว หรืออาจจะเป็น 5 ดาวก็ได้ครับ”
ถ้าไม่ได้จองล่วงหน้าคงมีดันเจี้ยนให้ใช้ไม่มากนัก พวกเขาเองก็มีดันเจี้ยนไม่กี่แห่ง เฮมินคงเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว ฮีซอลหน้าแข็งค้างเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะเข้าดันเจี้ยนระดับสูง
“ดิฉันฟังผิดหรือเปล่า?”
“อะไรเหรอ?”
“เรา...เราจะเข้าดันเจี้ยนระดับสูงเลยเหรอคะ?”
“น่าจะนะ”
“ดิฉันเป็นแค่แรงค์ F ทำไมถึงเป็นดันเจี้ยนระดับสูงเลยล่ะ... ไม่ใช่ว่าปกติเริ่มจากดันเจี้ยน 1 ดาวเหรอ?”
กิลด์แบบไหนกันที่ฝึกเราส์คนใหม่ในดันเจี้ยนระดับสูง? เมื่อซุงกูเห็นปฏิกิริยาของฮีซอล เขารู้สึกตลก เศร้า และยินดี
‘ใช่ ปฏิกิริยาแบบนี้แหละปกติ นี่คือปกติ’
ใช่แล้ว คนปกติต้องคิดแบบนี้แหละ
เป็นเขาที่ถูกฝึกมาแบบไม่ปกติ ใช่แน่
“ฮ่าๆ คุณจะรู้สึกว่ากำลังจะตาย แต่สุดท้ายเขาไม่ปล่อยให้คุณตายหรอก”
หา? เธอฟังผิดไปหรือเปล่า? รู้สึกเหมือนได้ยินคำแปลกๆจากกรรมการผู้ร่าเริง ฮงซุงกู...
“ฮ่าๆๆ พวกเรารอดกลับมากันเถอะครับ”
“...”
เขาร่าเริงเกินไปหรือเปล่า สำหรับเราส์ที่เตรียมตัวตายขนาดนี้?
กรรมการส่วนงานจับฉ่ายร่าเริงยิ่งนักที่ได้เพื่อนร่วมชะตา แม้จะเป็นคนใหม่ที่กำลังสับสนก็ตาม
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 82
บทที่ 82 – กลับ (2)
วูจินลงตรงไหล่ทาง จากนั้นก็เรียกแท็กซี่
“ไปไหนครับ?”
“ซาดาง”
พูดเสร็จ วูจินหลับตานิ่ง
‘ต่อไปก็...’
อย่างแรก เขาจะกลับบ้านไปหาแม่กับโซอาแล้วก็กลับไปเข้าดันเจี้ยน เขาต้องเพิ่มเลเวลให้ถึง 70 ก่อนถึงจะสงบใจได้
หลังจากนั้น หาดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทให้ได้ชิ้นส่วนแห่งมิติ หาดันเจี้ยนที่ตอบรับเขาแล้วสร้างอาณาเขตมิติของตัวเอง จากนั้นก็เปิดประตูมิติไปยังอัลเฟน อ้อ ก่อนหน้านั้นต้องฝึกซังกู แล้วยังต้องหาเราส์คนใหม่มาฝึกอีกด้วยสินะ?
วูจินนั่งสมาธิจัดเรียงความคิดในสมอง ไม่นานแท็กซี่ก็มาถึงจุดหมายหน้าบ้านเขา
“25,000 วอนครับ”
“หือ แพงนะ”
“งานที่ผมทำนี่เสี่ยงชีวิตนะครับ”
วูจินเข้าใจ แต่ทุกคนที่ทำงานแถวสถานีรถไฟใต้ดินก็เสี่ยงชีวิตกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? วูจินควานหาในกระเป๋าแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขามีสีหน้าอายๆ
ข้าวของๆเขาอยู่ในกระเป๋าเดินทางนี่นา แล้วมันก็อยู่กับมินชาน
“ผมไม่มีกระเป๋าตังค์”
“...?”
คนขับแท็กซี่หนังตากระตุก มองวูจินอย่างกังวล วูจินหัวเราะร่า
“ฮะๆ ไม่ต้องห่วง ผมจะบอกให้คนเอาเงินมา”
ปกติมินชานเป็นคนถือเงิน วูจินจึงมักพกแต่โทรศัพท์ เขาโชคดีที่อย่างน้อยก็พกโทรศัพท์มือถือไว้
วูจินโทรหาแม่
ตู๊ดๆๆ
แม่ยังไม่รับสาย คนขับแท็กซี่มองมาอย่างระแวง
วูจินเริ่มอึดอัด สักพักแม่เขาก็รับโทรศัพท์ เมื่อวูจินได้ยินเสียงแม่ เขารู้สึกยินดีเหมือนดินขาดน้ำได้ฝน
[อ้าวลูก กลับมาแล้วเหรอ?]
“ครับ ผมอยู่หน้าบ้านแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่ แม่ช่วยออกมาหน่อยสิ?”
[เอ๊ะ ตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้าน]
“...”
ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนนี้ยังเป็นกลางวัน โซอาคงอยู่ที่โรงเรียน และแม่ก็ออกไปข้างนอก...
[ในบ้านน่าจะมีเงินอยู่นะ... ลูกเข้าไปหาที่ลิ้นชักสิ]
“ไม่เป็นไร ผมไปที่ทำงานแล้วกัน...”
ยังไงเขาก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้วหลังจากพักสักหน่อย
“ลุง เลี้ยวรถกลับแล้วไปที่สถานีซาดางครับ”
“ทำไมจะไปที่นั่นล่ะคุณ?”
“ผมจะได้ให้เงินลุงไง”
“...”
นี่คืออะไร? ทางเลือกใหม่ของการปล้นแท็กซี่?
คนขับแท็กซี่มองวูจินอย่างกังวล วูจินหัวเราะ
“ลุงรู้เปล่าผมเป็นใคร?”
“ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นใคร?”
“อ้าว? เห็นคนบอกว่าผมดังมาก...”
“...”
ความสงสัยในดวงตาของคนขับยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วูจินเกาหัวแกรก อืม สมัยนี้เป็นสังคมอินเตอร์เน็ต ถ้าชายคนนี้ไม่ดูโทรทัศน์หรือเช็คคำที่นิยมค้นหากันในเน็ต เขาก็ไม่รู้จักวูจิน
“ไปที่นั่นก่อนเถอะ ผมจะโทรหาคนรู้จัก”
“หืม”
คนขับยังมองเขาอย่างสงสัย แต่หลังจากขยับกระจกมองหลังใหม่ เขาสตาร์ทเครื่อง วูจินโทรหาซุงกู
[ท่านประธาน]
“เอ๊ะ? เฮมินเหรอ? ทำไมนายเป็นคนรับสายล่ะ?”
[ตอนนี้กรรมการฮงกำลังลงดันอยู่ครับ ผมอยู่สนับสนุนเขา]
ขนาดตอนวูจินไม่อยู่ ซุงกูก็ยังตั้งใจเคลียร์ดันเจี้ยน
“นายอยู่ไหน?”
[ผมอยู่หน้าฮงเดครับ]
“เชด ไปถึงนั่นเลย แล้วซุงฮุนทำอะไรอยู่”
[คุณซุงฮุนเข้าตลาดไปหาซื้อหินเพิ่มพลังครับ]
“อ่า เข้าใจล่ะ ไว้เจอกันที่ออฟฟิศนะ”
[ครับ พอกรรมการฮงเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จผมจะกลับไปที่ออฟฟิศทันทีเลยครับ]
“ได้”
ทำไมเขาถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้เพราะเงินแค่ไม่กี่วอนเนี่ย?
วูจินลองโทรหาจีวอน ไม่มีคนรับสาย
เขาตัดสายแล้วกดขมับแน่น
มีเงินเป็นพันล้านในบัญชีแล้วไง? ตอนนี้เขาไม่มีเงินใช้ วูจินมองรายชื่อในโทรศัพท์ที่มีอยู่น้อยนิดแล้วยิ้มเมื่อเห็นชื่อหนึ่ง
“ไม่ได้เห็นหน้าเจ้านั่นนานแล้วนะ”
วูจินเลือกชื่อ [เจมินตัวจริง] แล้วโทรออก
***
‘จากคำถาม ให้หาค่าที่ไม่ถูกต้อง’
เจมินกำลังจดจ่อกับแบบฝึกหัดเมื่อแรงสั่นทำให้เขาหันไป โทรศัพท์มือถือที่เขาวางตรงมุมโต๊ะกำลังสั่น
สมาธิของเจมินถูกทำลาย เขาขมวดคิ้วขณะมองเบอร์บนหน้าจอ
“เอ๋?ของพี่วูจิน”
วูจินไม่ได้ติดต่อเขานานแล้ว เจมินรีบรับสายอย่างดีใจ
“พี่”
[เอ่อ เฮ้ เจมิน นายอยู่บ้านเหรอ?]
“เอ๋?พี่รู้ได้ไง”
วันนี้เป็นวันก่อน CSAT เจมินเลยกลับบ้านเร็ว (CSAT – การทดสอบความสามารถด้านการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย)
[โอ้ ดีเลย]
วูจินแค่เดาเอา... ไม่ทันเจมินจะถามว่าวูจินเป็นไงบ้าง...
[ฉันอยู่ตรงร้านสะดวกซื้อตรงทางแยก เอาเงินมา 50,000 วอน]
...วูจินก็สั่งก่อน
“ห้าหมื่น?”
[อื้ม ออกมาหน่อย เอาเงินมาด้วย ฉันไม่มีเงินจ่ายแท็กซี่]
“...”
ทำไมพี่คนนี้ไม่เปลี่ยนเลย
พอทำอะไรก็เป็นข่าว ชื่อของเขาติดอันดับคำค้นหายอดนิยมในอินเตอร์เน็ต... เขาเป็นเศรษฐี ที่เพิ่งนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับจากอเมริกา แล้วทำไมถึงมาไถเงินเจมินอีกแล้ว?
[เฮ้ เดี๋ยวคืนให้น่า นายคิดว่าฉันไม่มีเงินหรือไง?]
“...”
ถ้ามีเงินแล้วทำไมถึงสั่งให้เขาเอาเงินมาล่ะ?
“ถ้าพี่มีเงินก็จ่ายค่าแท็กซี่ไปสิครับ...”
[ฉันมีเงิน แต่ไม่มีค่าแท็กซี่]
“...”
พูดหรือตดวะครับ
[เดี๋ยวคืนให้น่า รีบมาเร็วๆ]
“...ครับ”
[เฮ มีแค่เจมินคนเดียวที่ฉันพึ่งได้]
พี่คนนี้ไม่เปลี่ยนเลย
เจมินปิดแบบฝึกหัดแล้วใส่เสื้อกันหนาว จีวอนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ มองเจมินตาโตเมื่อเห็นเขาจะออกไปข้างนอก
“นึกว่าจะทำข้อสอบเป็นครั้งสุดท้ายเสียอีก จะไปไหนน่ะ?”
“พี่วูจินเค้าขอยืมเงินจ่ายค่าแท็กซี่”
“หา?”
“เดี๋ยวผมมา”
“เฮ้ เดี๋ยวเป็นหวัด พรุ่งนี้เธอมีสอบนะคิดจะไปไหนกัน? ฉันไปเอง ฉันตั้งใจจะไปข้างนอกอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร ท่าทางพี่เค้ารีบ พี่ไปเป่าผมให้แห้งเถอะ”
เขาออกไปแค่แป๊บเดียว แต่พี่สาวเพิ่งอาบน้ำยังไม่ได้เป่าผมเลย เธอมีสิทธิ์เป็นหวัดมากกว่าเขาเสียอีก
เดือนพฤศจิกายนอากาศเย็นจนถึงขั้นหนาว
เมื่อออกมาข้างนอก เจมินซุกมือกับกระเป๋ากางเกงแล้วจ้ำเร็วๆ มีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดตรงหน้าร้านสะดวกซื้อที่เขาไปซื้อของเป็นประจำ เจมินเดินไปหาแล้วเคาะหน้าต่างที่นั่งด้านหลัง
“โอ้ มาแล้วเหรอ? เงินล่ะ”
“นี่ครับ”
วูจินเอา 50,000 วอนจากเจมินแล้วส่งให้คนขับรถ
“เห็นไหมลุง ผมไม่ได้โกหก”
“ฮะๆ โธ่เอ๊ย”
ฟังจากที่คนขับแท็กซี่กับวูจินคุยกัน ดูเหมือนจะมีการโต้เถียงกัน วูจินรับเงินทอนแล้วส่งต่อให้เจมินทันที
“ที่เหลือคืนให้ทีหลัง”
คนอะไรแบบนี้.. ไม่สิ พี่คนนี้ก็แบบนี้ทุกที
“ครับ”
“ทำไมท่าทางหงอยๆ?”
“พรุ่งนี้ผมมีสอบ CSAT”
“โอ้ ขนาดฉันยังทำได้ไม่ดีเลย CSAT น่ะ”
วูจินมองเจมินอย่างแปลกใจ เจมินมองกลับขำๆ
“พี่นายทำอะไรอยู่?”
“เตรียมตัวออกไปข้างนอกครับ”
“ที่ไหน?”
“ไม่รู้ครับ โทรไปสิ เค้าเพิ่งอาบน้ำ สงสัยเพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้รับโทรศัพท์พี่”
“งั้นเหรอ?”
“ผมกลับล่ะ ต้องระวังสุขภาพตัวเอง”
“อ่า ได้...”
เมื่อเห็นท่าทางหมดแรงของเจมิน วูจินหยุดเขา
“เอ้า ดื่มนี่ก่อน”
“เอ๋?”
วูจินยกขวดปริศนาสีน้ำเงินขึ้น
“อ้าปาก”
“ไว้ถึงบ้านแล้วผมค่อยดื่ม”
“ฉันต้องเป็นคนป้อนให้ อ้า”
เจมินอ้าปากอย่างจำใจ วูจินเป็นคนเทน้ำเข้าไปในปากเขา
“โอ้ อร่อยดีเหมือนกัน อะไรครับ?”
“มันเป็นยาที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง มันจะช่วยเรื่องเรียนได้”
“ผม...ผมว่ามันได้ผลแฮะ?”
เขารู้สึกเย็นๆเหมือนเคี้ยวลูกอมรสมินท์ เขางงเมื่ออาการปวดหัวหายไปและรู้สึกหัวเบาสบายขึ้น
ตอนดื่มกาแฟกับแบคคัสยังไม่ได้ผลรวดเร็วเท่านี้เลย (แบคคัส – กระทิงแดงยี่ห้อหนึ่ง)
“ขอบคุณครับพี่”
“ฮะๆ ตั้งใจสอบล่ะ ถ้าฉันมีเวลาจะไปให้กำลังใจนาย”
“โอเคครับ”
หลังจากบอกลาเจมิน วูจินโทรหาจีวอน
[เฮ้ วูจิน ฉันกำลังจะออกไปหานายตอนที่ได้ยินว่านายอยู่นั่น]
“อ้าวเหรอ?”
ดูเหมือนจีวอนไม่ได้มีธุระอะไร เธอกำลังแต่งตัวเพื่อออกมาหาเขา วูจินวางแผนจะพักผ่อนจนกว่าคนสนิทของเขามารวมกันที่ออฟฟิซ ระหว่างนั้นจึงตัดสินใจออกเดทกับจีวอน
วูจินเข้ามายังร้านกาแฟแล้วนั่งลง
เขาไม่มีเงินจึงไม่สั่งอะไร วูจินเป็นลูกค้าขาประจำ พนักงานในร้านจึงไม่พูดอะไร ลูกค้ารอบๆเริ่มเห็นเขาและจำได้ พวกเขาทึ่งแต่ไม่เข้ามาคุยกับเขา ตอนนี้อารมณ์ร้ายของวูจินเป็นที่รู้กันดี และเขามีบรรยากาศที่ทำให้คนอื่นกล้าเข้าใกล้
พวกเขาเหลือบมองวูจินไม่หยุดเหมือนเขาเป็นลิงในสวนสัตว์
เมื่อจีวอนผ่านประตูร้านเข้ามา คนร้องอุทาน
‘ว้าว คนนั้นต้องใช่โดจีวอนแน่’
‘แฟนคังวูจินเหรอ สวยจริงๆ’
จีวอนเหมือนดารานักแสดง ไม่สิ ตอนนี้เธอมีชื่อเสียงมากกว่าดาราบางคนอีก เธอดังหลังจากที่มีข่าวลือในอินเตอร์เน็ตว่าเป็นผู้หญิงของคังวูจิน รูปร่างหน้าตาของเธอยิ่งเพิ่มชื่อเสียงเข้าไปอีก
จีวอนถ่ายรูปลงโฆษณาให้ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งเป็นงานพาร์ทไทม์ ทำให้มีคนสร้างแฟนไซต์สำหรับเธอ
“ฮิๆ รอนานไหม? สั่งอะไรหรือยัง?”
“ไม่ ฉันไม่มีเงิน”
“จริงด้วย นายพูดว่าไม่มีกระเป๋าตังค์นี่ อยากดื่มอะไรล่ะ ฉันทำงานได้เงินมาหน่อย ฉันเลี้ยงเอง”
จีวอนสั่งกาแฟสองแก้ว ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มองหน้ากัน หนึ่งเดือนเต็มๆที่วูจินไปอเมริกา
“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ”
“นั่นสิ เธอทำอะไรบ้างตอนฉันไม่อยู่?”
“ฉันเหรอ? ก็นั่นบ้างนี่บ้าง ฮุๆ มีเอเย่นต์ตั้งหลายที่โทรมาชวนฉันเป็นดารา”
วูจินหัวเราะเมื่อฟังจีวอนพูดอย่างอวดๆ
“เธออยากเป็นดาราเหรอ?”
“เปล่า แฮะๆ แค่มันน่าทึ่งดีน่ะ ฉันยังทึ่งไม่หายเลยที่อยู่ในที่คนเยอะๆได้โดยไม่กลัว”
ตัวเธอสมัยก่อนหวาดกลัวผู้คนมาก วูจินยักไหล่
“ทำไมไม่ลองเป็นดาราล่ะ? มีเอเยนต์ดีๆติดต่อมาบ้างไหม?”
“ก็มีนะ แต่โทรศัพท์ที่ฉันรออยู่ยังไม่มาเลย”
“จากที่ไหนล่ะ?”
“ไม่ใช่บริษัทธุรกิจบันเทิงนะ แต่เป็นสำนักพิมพ์...”
“อ๋อ”
นึกว่าจีวอนพูดเล่นเสียอีกตอนบอกว่าอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก ท่าทางเอาจริง ดูเธอจริงจังกับมันพอควร
จีวอนถอนหายใจ
“เฮ้อ หรือว่าฉันจะมีความสามารถไม่พอนะ? ปฏิกิริยาจากคนเขียนก็ไม่ค่อยดีด้วย”
“หืม? พวกเขาว่าไง?”
“ฉันถูกว่าๆเนื้อเรื่องมันไม่น่าจะเป็นไปได้”
“เป็นไปไม่ได้?”
“เนื้อเรื่องมันไม่มีเหตุผล...”
“มันเป็นเรื่องยังไง”
“ก็ เรื่องเป็นแบบนี้...”
จีวอนตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงนิยายของตัวเองคร่าวๆ
นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งถูกอัญเชิญไปต่างโลก เขาฝึกฝนจนกลายเป็นหนึ่งในราชาของโลกนั้น จากนั้นเขากลับมาที่โลก พระเอกกลับมาเพื่อช่วยผู้หญิงที่เขารักในตอนที่เธอกำลังถูกมอนสเตอร์ทำร้าย
วูจินฟังแล้วงง
“นั่นมันฉันนี่”
“ใช่ ฉันเขียนเรื่องนี้ตอนคิดถึงนาย...”
จีวอนหน้าแดง
“ก็ตรงใช้ได้ แล้วทำไมพวกนั้นบอกว่าเป็นไปไม่ได้??”
จีวอนลังเลแล้วพูดเสียงเบา
“พวกเขาบอกว่านิสัยเด็กที่ถูกเรียกมันแปลกเกินไป...”
“หา? เด็กที่ถูกเรียก?” (TN- Ee-goggaeng เห็นว่าเป็นสแลงเรียกวัยรุ่นที่ถูกส่งไปต่างโลก คนแปลอ่านคำนี้ไม่ถูกเลยขอผ่านค่ะ)
“อ๊ะ หมายถึงนักเรียนม.ปลายที่ถูกส่งไปต่างโลกน่ะ...”
วูจินขมวดคิ้ว
“ไม่เข้าใจแฮะ ทำไมถึงไม่มีเหตุผลล่ะ”
“ใช่ไหม?”
จีวอนพยักหน้าแรงๆ จะไม่มีเหตุผลได้ไง? นี่เป็นเรื่องที่เอามาจากบุคคลจริงนะ
“ถ้าเด็กที่ถูกเรียกกลับบ้าน เขาก็ยังเป็นเด็ก หรือคิดว่าเขาจะโตขึ้นแล้วกลับมาแบบผู้ใหญ่?”
“ใช่ไหมล่ะ? นั่นแหละที่ฉันพยายามจะเขียน”
“อีกอย่าง คนที่เป็นตัวร้ายตอนอยู่โลกนั้น ถ้ากลับมาแล้วทำตัวเป็นฮีโร่ไม่ยิ่งแปลกเหรอไง?”
“ใช่ๆ คิดเหมือนกันเลย”
วูจินพูดและจีวอนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ฉันอยากอ่านที่เธอเขียน”
“หา? มันอายนะ...”
จีวอนลังเลก่อนที่จะเปิดเว็บที่เธอลงนิยายไว้ในโทรศัพท์วูจิน
วูจินอ่านแล้วประทับใจ
‘ฉันนี่?’
นิสัยของตัวละครหลักเหมือนวูจินไม่ผิดเพี้ยน เมื่ออ่านไปถึงท้ายตอน เขาเห็นคำด่าสุดสร้างสรรค์มากมายพุ่งเป้ามาที่คนเขียน
เหมือนเขาเป็นคนถูกด่าเลย วูจินจึงขมวดคิ้ว
ในคำด่าสร้างสรรค์เหล่านั้น วูจินถามอันที่เขาไม่เข้าใจ
“นี่เขาพูดว่าอะไร?”
“ตรงไหน?”
จีวอนมองที่โทรศัพท์เธอ
[หมาลายจุด] – จะเลิกก็ตอนนี้ล่ะ
จีวอนหัวเราะแห้ง
“แปลว่า...”
วูจินลงตรงไหล่ทาง จากนั้นก็เรียกแท็กซี่
“ไปไหนครับ?”
“ซาดาง”
พูดเสร็จ วูจินหลับตานิ่ง
‘ต่อไปก็...’
อย่างแรก เขาจะกลับบ้านไปหาแม่กับโซอาแล้วก็กลับไปเข้าดันเจี้ยน เขาต้องเพิ่มเลเวลให้ถึง 70 ก่อนถึงจะสงบใจได้
หลังจากนั้น หาดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทให้ได้ชิ้นส่วนแห่งมิติ หาดันเจี้ยนที่ตอบรับเขาแล้วสร้างอาณาเขตมิติของตัวเอง จากนั้นก็เปิดประตูมิติไปยังอัลเฟน อ้อ ก่อนหน้านั้นต้องฝึกซังกู แล้วยังต้องหาเราส์คนใหม่มาฝึกอีกด้วยสินะ?
วูจินนั่งสมาธิจัดเรียงความคิดในสมอง ไม่นานแท็กซี่ก็มาถึงจุดหมายหน้าบ้านเขา
“25,000 วอนครับ”
“หือ แพงนะ”
“งานที่ผมทำนี่เสี่ยงชีวิตนะครับ”
วูจินเข้าใจ แต่ทุกคนที่ทำงานแถวสถานีรถไฟใต้ดินก็เสี่ยงชีวิตกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? วูจินควานหาในกระเป๋าแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขามีสีหน้าอายๆ
ข้าวของๆเขาอยู่ในกระเป๋าเดินทางนี่นา แล้วมันก็อยู่กับมินชาน
“ผมไม่มีกระเป๋าตังค์”
“...?”
คนขับแท็กซี่หนังตากระตุก มองวูจินอย่างกังวล วูจินหัวเราะร่า
“ฮะๆ ไม่ต้องห่วง ผมจะบอกให้คนเอาเงินมา”
ปกติมินชานเป็นคนถือเงิน วูจินจึงมักพกแต่โทรศัพท์ เขาโชคดีที่อย่างน้อยก็พกโทรศัพท์มือถือไว้
วูจินโทรหาแม่
ตู๊ดๆๆ
แม่ยังไม่รับสาย คนขับแท็กซี่มองมาอย่างระแวง
วูจินเริ่มอึดอัด สักพักแม่เขาก็รับโทรศัพท์ เมื่อวูจินได้ยินเสียงแม่ เขารู้สึกยินดีเหมือนดินขาดน้ำได้ฝน
[อ้าวลูก กลับมาแล้วเหรอ?]
“ครับ ผมอยู่หน้าบ้านแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่ แม่ช่วยออกมาหน่อยสิ?”
[เอ๊ะ ตอนนี้แม่ไม่อยู่บ้าน]
“...”
ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนนี้ยังเป็นกลางวัน โซอาคงอยู่ที่โรงเรียน และแม่ก็ออกไปข้างนอก...
[ในบ้านน่าจะมีเงินอยู่นะ... ลูกเข้าไปหาที่ลิ้นชักสิ]
“ไม่เป็นไร ผมไปที่ทำงานแล้วกัน...”
ยังไงเขาก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้วหลังจากพักสักหน่อย
“ลุง เลี้ยวรถกลับแล้วไปที่สถานีซาดางครับ”
“ทำไมจะไปที่นั่นล่ะคุณ?”
“ผมจะได้ให้เงินลุงไง”
“...”
นี่คืออะไร? ทางเลือกใหม่ของการปล้นแท็กซี่?
คนขับแท็กซี่มองวูจินอย่างกังวล วูจินหัวเราะ
“ลุงรู้เปล่าผมเป็นใคร?”
“ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเป็นใคร?”
“อ้าว? เห็นคนบอกว่าผมดังมาก...”
“...”
ความสงสัยในดวงตาของคนขับยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วูจินเกาหัวแกรก อืม สมัยนี้เป็นสังคมอินเตอร์เน็ต ถ้าชายคนนี้ไม่ดูโทรทัศน์หรือเช็คคำที่นิยมค้นหากันในเน็ต เขาก็ไม่รู้จักวูจิน
“ไปที่นั่นก่อนเถอะ ผมจะโทรหาคนรู้จัก”
“หืม”
คนขับยังมองเขาอย่างสงสัย แต่หลังจากขยับกระจกมองหลังใหม่ เขาสตาร์ทเครื่อง วูจินโทรหาซุงกู
[ท่านประธาน]
“เอ๊ะ? เฮมินเหรอ? ทำไมนายเป็นคนรับสายล่ะ?”
[ตอนนี้กรรมการฮงกำลังลงดันอยู่ครับ ผมอยู่สนับสนุนเขา]
ขนาดตอนวูจินไม่อยู่ ซุงกูก็ยังตั้งใจเคลียร์ดันเจี้ยน
“นายอยู่ไหน?”
[ผมอยู่หน้าฮงเดครับ]
“เชด ไปถึงนั่นเลย แล้วซุงฮุนทำอะไรอยู่”
[คุณซุงฮุนเข้าตลาดไปหาซื้อหินเพิ่มพลังครับ]
“อ่า เข้าใจล่ะ ไว้เจอกันที่ออฟฟิศนะ”
[ครับ พอกรรมการฮงเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จผมจะกลับไปที่ออฟฟิศทันทีเลยครับ]
“ได้”
ทำไมเขาถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้เพราะเงินแค่ไม่กี่วอนเนี่ย?
วูจินลองโทรหาจีวอน ไม่มีคนรับสาย
เขาตัดสายแล้วกดขมับแน่น
มีเงินเป็นพันล้านในบัญชีแล้วไง? ตอนนี้เขาไม่มีเงินใช้ วูจินมองรายชื่อในโทรศัพท์ที่มีอยู่น้อยนิดแล้วยิ้มเมื่อเห็นชื่อหนึ่ง
“ไม่ได้เห็นหน้าเจ้านั่นนานแล้วนะ”
วูจินเลือกชื่อ [เจมินตัวจริง] แล้วโทรออก
***
‘จากคำถาม ให้หาค่าที่ไม่ถูกต้อง’
เจมินกำลังจดจ่อกับแบบฝึกหัดเมื่อแรงสั่นทำให้เขาหันไป โทรศัพท์มือถือที่เขาวางตรงมุมโต๊ะกำลังสั่น
สมาธิของเจมินถูกทำลาย เขาขมวดคิ้วขณะมองเบอร์บนหน้าจอ
“เอ๋?ของพี่วูจิน”
วูจินไม่ได้ติดต่อเขานานแล้ว เจมินรีบรับสายอย่างดีใจ
“พี่”
[เอ่อ เฮ้ เจมิน นายอยู่บ้านเหรอ?]
“เอ๋?พี่รู้ได้ไง”
วันนี้เป็นวันก่อน CSAT เจมินเลยกลับบ้านเร็ว (CSAT – การทดสอบความสามารถด้านการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย)
[โอ้ ดีเลย]
วูจินแค่เดาเอา... ไม่ทันเจมินจะถามว่าวูจินเป็นไงบ้าง...
[ฉันอยู่ตรงร้านสะดวกซื้อตรงทางแยก เอาเงินมา 50,000 วอน]
...วูจินก็สั่งก่อน
“ห้าหมื่น?”
[อื้ม ออกมาหน่อย เอาเงินมาด้วย ฉันไม่มีเงินจ่ายแท็กซี่]
“...”
ทำไมพี่คนนี้ไม่เปลี่ยนเลย
พอทำอะไรก็เป็นข่าว ชื่อของเขาติดอันดับคำค้นหายอดนิยมในอินเตอร์เน็ต... เขาเป็นเศรษฐี ที่เพิ่งนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับจากอเมริกา แล้วทำไมถึงมาไถเงินเจมินอีกแล้ว?
[เฮ้ เดี๋ยวคืนให้น่า นายคิดว่าฉันไม่มีเงินหรือไง?]
“...”
ถ้ามีเงินแล้วทำไมถึงสั่งให้เขาเอาเงินมาล่ะ?
“ถ้าพี่มีเงินก็จ่ายค่าแท็กซี่ไปสิครับ...”
[ฉันมีเงิน แต่ไม่มีค่าแท็กซี่]
“...”
พูดหรือตดวะครับ
[เดี๋ยวคืนให้น่า รีบมาเร็วๆ]
“...ครับ”
[เฮ มีแค่เจมินคนเดียวที่ฉันพึ่งได้]
พี่คนนี้ไม่เปลี่ยนเลย
เจมินปิดแบบฝึกหัดแล้วใส่เสื้อกันหนาว จีวอนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ มองเจมินตาโตเมื่อเห็นเขาจะออกไปข้างนอก
“นึกว่าจะทำข้อสอบเป็นครั้งสุดท้ายเสียอีก จะไปไหนน่ะ?”
“พี่วูจินเค้าขอยืมเงินจ่ายค่าแท็กซี่”
“หา?”
“เดี๋ยวผมมา”
“เฮ้ เดี๋ยวเป็นหวัด พรุ่งนี้เธอมีสอบนะคิดจะไปไหนกัน? ฉันไปเอง ฉันตั้งใจจะไปข้างนอกอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร ท่าทางพี่เค้ารีบ พี่ไปเป่าผมให้แห้งเถอะ”
เขาออกไปแค่แป๊บเดียว แต่พี่สาวเพิ่งอาบน้ำยังไม่ได้เป่าผมเลย เธอมีสิทธิ์เป็นหวัดมากกว่าเขาเสียอีก
เดือนพฤศจิกายนอากาศเย็นจนถึงขั้นหนาว
เมื่อออกมาข้างนอก เจมินซุกมือกับกระเป๋ากางเกงแล้วจ้ำเร็วๆ มีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดตรงหน้าร้านสะดวกซื้อที่เขาไปซื้อของเป็นประจำ เจมินเดินไปหาแล้วเคาะหน้าต่างที่นั่งด้านหลัง
“โอ้ มาแล้วเหรอ? เงินล่ะ”
“นี่ครับ”
วูจินเอา 50,000 วอนจากเจมินแล้วส่งให้คนขับรถ
“เห็นไหมลุง ผมไม่ได้โกหก”
“ฮะๆ โธ่เอ๊ย”
ฟังจากที่คนขับแท็กซี่กับวูจินคุยกัน ดูเหมือนจะมีการโต้เถียงกัน วูจินรับเงินทอนแล้วส่งต่อให้เจมินทันที
“ที่เหลือคืนให้ทีหลัง”
คนอะไรแบบนี้.. ไม่สิ พี่คนนี้ก็แบบนี้ทุกที
“ครับ”
“ทำไมท่าทางหงอยๆ?”
“พรุ่งนี้ผมมีสอบ CSAT”
“โอ้ ขนาดฉันยังทำได้ไม่ดีเลย CSAT น่ะ”
วูจินมองเจมินอย่างแปลกใจ เจมินมองกลับขำๆ
“พี่นายทำอะไรอยู่?”
“เตรียมตัวออกไปข้างนอกครับ”
“ที่ไหน?”
“ไม่รู้ครับ โทรไปสิ เค้าเพิ่งอาบน้ำ สงสัยเพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้รับโทรศัพท์พี่”
“งั้นเหรอ?”
“ผมกลับล่ะ ต้องระวังสุขภาพตัวเอง”
“อ่า ได้...”
เมื่อเห็นท่าทางหมดแรงของเจมิน วูจินหยุดเขา
“เอ้า ดื่มนี่ก่อน”
“เอ๋?”
วูจินยกขวดปริศนาสีน้ำเงินขึ้น
“อ้าปาก”
“ไว้ถึงบ้านแล้วผมค่อยดื่ม”
“ฉันต้องเป็นคนป้อนให้ อ้า”
เจมินอ้าปากอย่างจำใจ วูจินเป็นคนเทน้ำเข้าไปในปากเขา
“โอ้ อร่อยดีเหมือนกัน อะไรครับ?”
“มันเป็นยาที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง มันจะช่วยเรื่องเรียนได้”
“ผม...ผมว่ามันได้ผลแฮะ?”
เขารู้สึกเย็นๆเหมือนเคี้ยวลูกอมรสมินท์ เขางงเมื่ออาการปวดหัวหายไปและรู้สึกหัวเบาสบายขึ้น
ตอนดื่มกาแฟกับแบคคัสยังไม่ได้ผลรวดเร็วเท่านี้เลย (แบคคัส – กระทิงแดงยี่ห้อหนึ่ง)
“ขอบคุณครับพี่”
“ฮะๆ ตั้งใจสอบล่ะ ถ้าฉันมีเวลาจะไปให้กำลังใจนาย”
“โอเคครับ”
หลังจากบอกลาเจมิน วูจินโทรหาจีวอน
[เฮ้ วูจิน ฉันกำลังจะออกไปหานายตอนที่ได้ยินว่านายอยู่นั่น]
“อ้าวเหรอ?”
ดูเหมือนจีวอนไม่ได้มีธุระอะไร เธอกำลังแต่งตัวเพื่อออกมาหาเขา วูจินวางแผนจะพักผ่อนจนกว่าคนสนิทของเขามารวมกันที่ออฟฟิซ ระหว่างนั้นจึงตัดสินใจออกเดทกับจีวอน
วูจินเข้ามายังร้านกาแฟแล้วนั่งลง
เขาไม่มีเงินจึงไม่สั่งอะไร วูจินเป็นลูกค้าขาประจำ พนักงานในร้านจึงไม่พูดอะไร ลูกค้ารอบๆเริ่มเห็นเขาและจำได้ พวกเขาทึ่งแต่ไม่เข้ามาคุยกับเขา ตอนนี้อารมณ์ร้ายของวูจินเป็นที่รู้กันดี และเขามีบรรยากาศที่ทำให้คนอื่นกล้าเข้าใกล้
พวกเขาเหลือบมองวูจินไม่หยุดเหมือนเขาเป็นลิงในสวนสัตว์
เมื่อจีวอนผ่านประตูร้านเข้ามา คนร้องอุทาน
‘ว้าว คนนั้นต้องใช่โดจีวอนแน่’
‘แฟนคังวูจินเหรอ สวยจริงๆ’
จีวอนเหมือนดารานักแสดง ไม่สิ ตอนนี้เธอมีชื่อเสียงมากกว่าดาราบางคนอีก เธอดังหลังจากที่มีข่าวลือในอินเตอร์เน็ตว่าเป็นผู้หญิงของคังวูจิน รูปร่างหน้าตาของเธอยิ่งเพิ่มชื่อเสียงเข้าไปอีก
จีวอนถ่ายรูปลงโฆษณาให้ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งเป็นงานพาร์ทไทม์ ทำให้มีคนสร้างแฟนไซต์สำหรับเธอ
“ฮิๆ รอนานไหม? สั่งอะไรหรือยัง?”
“ไม่ ฉันไม่มีเงิน”
“จริงด้วย นายพูดว่าไม่มีกระเป๋าตังค์นี่ อยากดื่มอะไรล่ะ ฉันทำงานได้เงินมาหน่อย ฉันเลี้ยงเอง”
จีวอนสั่งกาแฟสองแก้ว ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มองหน้ากัน หนึ่งเดือนเต็มๆที่วูจินไปอเมริกา
“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ”
“นั่นสิ เธอทำอะไรบ้างตอนฉันไม่อยู่?”
“ฉันเหรอ? ก็นั่นบ้างนี่บ้าง ฮุๆ มีเอเย่นต์ตั้งหลายที่โทรมาชวนฉันเป็นดารา”
วูจินหัวเราะเมื่อฟังจีวอนพูดอย่างอวดๆ
“เธออยากเป็นดาราเหรอ?”
“เปล่า แฮะๆ แค่มันน่าทึ่งดีน่ะ ฉันยังทึ่งไม่หายเลยที่อยู่ในที่คนเยอะๆได้โดยไม่กลัว”
ตัวเธอสมัยก่อนหวาดกลัวผู้คนมาก วูจินยักไหล่
“ทำไมไม่ลองเป็นดาราล่ะ? มีเอเยนต์ดีๆติดต่อมาบ้างไหม?”
“ก็มีนะ แต่โทรศัพท์ที่ฉันรออยู่ยังไม่มาเลย”
“จากที่ไหนล่ะ?”
“ไม่ใช่บริษัทธุรกิจบันเทิงนะ แต่เป็นสำนักพิมพ์...”
“อ๋อ”
นึกว่าจีวอนพูดเล่นเสียอีกตอนบอกว่าอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก ท่าทางเอาจริง ดูเธอจริงจังกับมันพอควร
จีวอนถอนหายใจ
“เฮ้อ หรือว่าฉันจะมีความสามารถไม่พอนะ? ปฏิกิริยาจากคนเขียนก็ไม่ค่อยดีด้วย”
“หืม? พวกเขาว่าไง?”
“ฉันถูกว่าๆเนื้อเรื่องมันไม่น่าจะเป็นไปได้”
“เป็นไปไม่ได้?”
“เนื้อเรื่องมันไม่มีเหตุผล...”
“มันเป็นเรื่องยังไง”
“ก็ เรื่องเป็นแบบนี้...”
จีวอนตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงนิยายของตัวเองคร่าวๆ
นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งถูกอัญเชิญไปต่างโลก เขาฝึกฝนจนกลายเป็นหนึ่งในราชาของโลกนั้น จากนั้นเขากลับมาที่โลก พระเอกกลับมาเพื่อช่วยผู้หญิงที่เขารักในตอนที่เธอกำลังถูกมอนสเตอร์ทำร้าย
วูจินฟังแล้วงง
“นั่นมันฉันนี่”
“ใช่ ฉันเขียนเรื่องนี้ตอนคิดถึงนาย...”
จีวอนหน้าแดง
“ก็ตรงใช้ได้ แล้วทำไมพวกนั้นบอกว่าเป็นไปไม่ได้??”
จีวอนลังเลแล้วพูดเสียงเบา
“พวกเขาบอกว่านิสัยเด็กที่ถูกเรียกมันแปลกเกินไป...”
“หา? เด็กที่ถูกเรียก?” (TN- Ee-goggaeng เห็นว่าเป็นสแลงเรียกวัยรุ่นที่ถูกส่งไปต่างโลก คนแปลอ่านคำนี้ไม่ถูกเลยขอผ่านค่ะ)
“อ๊ะ หมายถึงนักเรียนม.ปลายที่ถูกส่งไปต่างโลกน่ะ...”
วูจินขมวดคิ้ว
“ไม่เข้าใจแฮะ ทำไมถึงไม่มีเหตุผลล่ะ”
“ใช่ไหม?”
จีวอนพยักหน้าแรงๆ จะไม่มีเหตุผลได้ไง? นี่เป็นเรื่องที่เอามาจากบุคคลจริงนะ
“ถ้าเด็กที่ถูกเรียกกลับบ้าน เขาก็ยังเป็นเด็ก หรือคิดว่าเขาจะโตขึ้นแล้วกลับมาแบบผู้ใหญ่?”
“ใช่ไหมล่ะ? นั่นแหละที่ฉันพยายามจะเขียน”
“อีกอย่าง คนที่เป็นตัวร้ายตอนอยู่โลกนั้น ถ้ากลับมาแล้วทำตัวเป็นฮีโร่ไม่ยิ่งแปลกเหรอไง?”
“ใช่ๆ คิดเหมือนกันเลย”
วูจินพูดและจีวอนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ฉันอยากอ่านที่เธอเขียน”
“หา? มันอายนะ...”
จีวอนลังเลก่อนที่จะเปิดเว็บที่เธอลงนิยายไว้ในโทรศัพท์วูจิน
วูจินอ่านแล้วประทับใจ
‘ฉันนี่?’
นิสัยของตัวละครหลักเหมือนวูจินไม่ผิดเพี้ยน เมื่ออ่านไปถึงท้ายตอน เขาเห็นคำด่าสุดสร้างสรรค์มากมายพุ่งเป้ามาที่คนเขียน
เหมือนเขาเป็นคนถูกด่าเลย วูจินจึงขมวดคิ้ว
ในคำด่าสร้างสรรค์เหล่านั้น วูจินถามอันที่เขาไม่เข้าใจ
“นี่เขาพูดว่าอะไร?”
“ตรงไหน?”
จีวอนมองที่โทรศัพท์เธอ
[หมาลายจุด] – จะเลิกก็ตอนนี้ล่ะ
จีวอนหัวเราะแห้ง
“แปลว่า...”
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 81
บทที่ 81 – กลับ
เครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททัน
เมื่อเห็นอาหารบนเครื่องบินที่เตรียมไว้มากมาย วูจินพูดขึ้น
“อันนี้ดีกว่าเครื่องของพี่จองโดนะ”
มินชานเอียงคองง
จองโด... อ้อ ประธานเบคจองโด
จู่ๆมินชานก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา
เครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททัน
เมื่อเห็นอาหารบนเครื่องบินที่เตรียมไว้มากมาย วูจินพูดขึ้น
“อันนี้ดีกว่าเครื่องของพี่จองโดนะ”
มินชานเอียงคองง
จองโด... อ้อ ประธานเบคจองโด
จู่ๆมินชานก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)