วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 81

บทที่ 81 – กลับ


เครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ไททัน

เมื่อเห็นอาหารบนเครื่องบินที่เตรียมไว้มากมาย วูจินพูดขึ้น

“อันนี้ดีกว่าเครื่องของพี่จองโดนะ”

มินชานเอียงคองง

จองโด... อ้อ ประธานเบคจองโด

จู่ๆมินชานก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา


ขาไปพวกเขาใช้เครื่องบินของกิลด์ KH ส่วนขากลับ กิลด์ไททันให้ยืมเครื่องบินส่วนตัว

พวกเขาเข้าร่วมงานประชุม แต่ได้รับสิทธิพิเศษ นอกจากนั้นยังทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันกับกิลด์ไททันโดยเฉพาะ

กิลด์ของพวกเขาเสมอกับ... ไม่สิ อลันดาลอยู่เหนือกว่ากิลด์อันดับหนึ่งของอเมริกา

ทุกอย่างดีขึ้นโดยมีวูจินเป็นรากฐาน

“พอผมคิดว่าในที่สุดก็รู้จักท่านแล้วก็กลายเป็นว่าผมไม่รู้จักท่านจริงๆ”

“อะไรนะ?”

วูจินเอาขนมปังจุ่มน้ำผึ้งแล้วกินหมดในคำเดียว

แม้แต่ท่าทางของวูจินตอนนี้ก็ยังน่าทึ่งสำหรับมินชาน

พวกเขาไม่เคยได้รับใช้ชีวิตหรูหราแบบนี้ ได้เหมาเครื่องบินทั้งลำ โรงแรมอย่างดีที่สุด ล่ามแปล...

แม้จะได้รับของแบบนี้ วูจินก็ยังรับมาอย่างเยือกเย็น ถ้ามินชานไม่ทึ่งคงแปลก

“ท่านประธาน ผมคิดจริงๆนะว่าท่านเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่เลย”

มินชานเคยเป็นแค่หัวหน้าทีมของกิลด์แฮมเมอร์ แต่เขาเพิ่งจะคุยกับคนสำคัญของกิลด์ไททัน กิลด์อันดับหนึ่งของอเมริกาอย่างเท่าเทียม

แค่เรื่องนี้ก็ทำให้มินชานเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาก

“พูดอะไรเหลวไหล”

วูจินเคยอยู่อย่างหรูหราและเป็นจุดสนใจของผู้คนมากกว่านี้ เขาเฉยชากับเรื่องแบบนี้ วูจินทิ้งชีวิตจักรพรรดิที่น่าอิจฉาเพื่อกลับมาโลก

“ฮะๆ ผมคงจะค่อยๆชินไปเอง”

จุงมินชานหัวเราะเขิน

เขาเข้ากิลด์เพราะเห็นว่าวูจินกับกิลด์อลันดาลมีศักยภาพที่จะไปได้ไกล แต่เขาประเมินต่ำไป อลันดาลเหมือนรถไฟความเร็วสูงที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า เขาโชคดีที่ขึ้นรถทัน

อลันดาลเติบโตรวดเร็วจนก้าวข้ามเกาหลี พวกเขากำลังสร้างชื่อไปทั่วโลก แม้มินชานจะเป็นกรรมการผู้จัดการ แต่ถ้าไม่ชำนาญจริงคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

“ใช่ นายต้องชินกับทุกอย่าง...บิบิ”

“ครับ? แล้วบิบิคือ?”

ควันดำมารวมตัวบนโต๊ะตรงหน้าวูจิน แล้วจู่ๆแมวตัวหนึ่งก็ปรากฏตัว

บิบิมองมินชาน แล้วเอียงคออย่างน่ารัก

“เมี้ยว”

“ไม่ต้องแกล้งเป็นแมวแล้ว”

“อ้อ เข้าใจแล้วเมี้ยว”

มินชานยืนขึ้นอย่างตกใจที่เห็นแมวพูดได้

“นี่มัน...อะ...อะไร...แมว?”

“จะตกใจอะไรขนาดนั้น? นี่เป็นโลกที่มอนสเตอร์ออกมาจากดันเจี้ยนนะ”

จะว่าไปก็ใช่

มินชานนั่งลงใหม่

“เธอเป็นอสูรของฉัน”

“เราชื่อบิบิเมี้ยว”

“ผมจุงมินชาน...”

มินชานรู้สึกประหลาดสุดๆที่คุยกับแมว บิบิหันไปมองวูจิน

“เรียกเรามาทำไมเหรอเมี้ยว?”

“กินอะไรหน่อยสิ”

“ไม่อยากกินเมี้ยว...”

“...”

บิบิเพิ่งคืนชีพได้ไม่นาน วูจินรู้ว่าบิบิชอบชิมอาหารของโลก เขาจึงตั้งใจเรียกเธอออกมา...

“ไว้เรียกเราตอนจะนอนแล้วกันเมี้ยว”

“อ้า ก็ได้”

บิบิกลายเป็นควันดำแล้วหายไป วูจินวางขนมปังที่กำลังกินอยู่ลงเหมือนความอยากอาหารหมดไป

“เกิดอะไรขึ้น?”

มินชานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาอ่านอารมณ์ของวูจินได้เร็ว ทำให้มินชานถามวูจินอย่างจริงจัง

“ไม่มีอะไร ฉันจะไปนอน ไม่ต้องปลุกล่ะ”

“ครับ...พักผ่อนเถอะ”

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา วูจินเคลียร์ดันเจี้ยนไม่หยุดหย่อน 30 วันนอกดันเจี้ยน เท่ากับ 120 วันสำหรับวูจิน ถ้าเขาไม่เหนื่อยเลยคงแปลก

มินชานรู้สึกหนักใจเมื่อมองวูจินเดินเข้าห้องนอน

‘ท่านประธานต้องเหนื่อยมากแน่’

ทันใดนั้นเขานึกถึงสิ่งต่างๆที่เขาได้รับตามวูจินอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาแล้วรู้สึกผิดขึ้นมา วูจินเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าเขามีเรื่องให้กังวลมากมาย

‘ช่วยเขาอย่างเต็มที่เป็นหน้าที่ของหน่วยสนับสนุน’

เหตุผลของการคงอยู่ของกิลด์ก็คือสนับสนุนเราส์

แม้ทุกคนจะพูดเรื่องช่วยโลก งานของมินชานก็คือเกื้อหนุนวูจินอยู่ดี สำหรับเขาช่วยโลกมันไกลตัวเกินไป ดังนั้นมินชานจึงตัดสินใจช่วยวูจินที่อยู่ใกล้ตัว

วูจินตกอยู่ในภาวะตึงเครียดมากเกินกว่าที่มินชานจะจินตนาการถึง

มันมากจนเขาเลือกล่ามอนสเตอร์มากกว่าไปนอน เขาอดทนจนถึงขีดจำกัดแต่สุดท้ายก็ต้องพักผ่อน

เมื่อสติของวูจินอ่อนแอลง วิญญาณร้ายจะโผล่มาทรมานเขา แต่เขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้เพราะบิบิยังไม่คืนชีพ...

วูจินนอนบนเตียงหรู บิบิขดตัวข้างอยู่ข้างหมอน เมื่อเห็นบิบิไม่มีชีวิตชีวา เขายิ่งโกรธรัชโมด

“ตอนไปล่ามอนสเตอร์ฉันจะไม่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านอีก...”

“...เข้าใจแล้วเมี้ยว”

ถ้าบิบิแข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อย... เธออาจหนีจากรัชโมดได้ เพราะตั้งใจจะปกป้องครอบครัว วูจินให้บิบิเฝ้าบ้านบ่อยเกินไป

สำหรับวูจิน เพิ่มเลเวลให้อสูรของเขาสำคัญเท่ากับฝึกฝนตัวเอง

พลังที่แท้จริงของผู้ไม่ตายไม่ใช่พลังของตนเองแต่เป็นกองทัพผีดิบที่อสูรของเขาร่วมกันสร้าง

วูจินไม่ได้หลับสนิทมานานมากแล้ว

ไม่มีฝันดี แต่การฝันร้ายไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

เครื่องบินบินไปทางเกาหลี

***

ผู้จัดการยกกระเป๋าออกจากชั้นวางข้างบนแล้วมองนักร้องที่นั่งอยู่ตรงที่นั่ง

“ซินดี้ ลงกันเถอะ”

“พี่ รอสักพักเถอะ”

“หืม? เธอเหนื่อยไม่ใช่เหรอ?”

ผู้จัดการของซินดี้ มุนซังชุล มองหน้าเธออย่างกังวล แต่เขาจะทำอะไรได้? เมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบคว้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าซินดี้จะยังมีชื่อเสียงอยู่อย่างตอนนี้หรือไม่

ตารางงานของเธอแน่นจนเขาได้แต่จองเที่ยวบินที่จวนตัวที่สุด เขาจองชั้นเฟิรสต์คลาสไม่ได้จึงรู้สึกเสียใจแทนเธอ

ผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งเดินมาทางซินดี้

“พี่คะ! นี่สินค้าจากสปอนเซอร์ของพี่ค่ะ”

ซินดี้รับรองเท้ากับแว่นกันแดดที่สไตลิสต์ยื่นให้มาใส่ จากนั้นหยิบกระเป๋าของเธอขึ้นมา

การมาถึงของดาราถือเป็นข่าวอย่างหนึ่ง พวกนักข่าวถ่ายรูปชุดที่ดาราใส่เป็นแฟชั่นสนามบิน นับเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการโฆษณาสินค้า

หัวจรดเท้าของซินดี้เป็นเครื่องแต่งกายจากสปอนเซอร์

“พร้อมแล้วก็ไปกัน”

“เฮ้อ ไปเถอะ”

ซินดี้ถอนหายใจสั้นๆ การใส่ของพวกนี้ทั้งหมดไม่สบายเลย แต่เธอได้หลับบนเครื่อง สภาพร่างกายตอนนี้จึงดีทีเดียว

เธอยิ้มอย่างร่าเริงแล้วผ่านประตูเข้ามา

ซินดี้อดตกใจไม่ได้ที่เห็นนักข่าวกับกล้องโทรทัศน์จำนวนนับไม่ถ้วน

‘นี่...นี่ไม่เยอะไปเหรอ?’

ไม่ใช่แค่ซินดี้ สไตลิสต์กับผู้จัดการของเธอก็ชะงักไปเหมือนกัน

“พี่ ทำอะไรน่ะ?”

“อะ อ้อ”

ซินดี้เป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เธอเดินต่อด้วยรอยยิ้มสดใส นี่เป็นสถานการณ์ที่เหมือนจะคุ้นแต่ไม่คุ้น เธอจึงรู้สึกแปลกๆ

ไม่มีแสงแฟลชจากกล้องตัวไหนเลย

ขณะเดิน รอยยิ้มของซินดี้เริ่มเจื่อนลง เธอถามผู้จัดการเบาๆ

“พี่ วันนี้มีคนอื่นมาหรือเปล่า?”

“ไม่รู้แฮะ แต่ดูเหมือนจะมีใครมา...”

เขาไม่พูดว่า ‘คนที่ดังกว่าเธอมา...’ เพราะมันอาจทำให้ซินดี้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี

“นั่นซินดี้หรือเปล่า?”

“น่าจะใช่ ถ่ายไว้สักรูปสองรูปสิ”

“อืม ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรนะ”

อะไรน่ะ? นี่มันแย่กว่าถูกเมินเยอะเลย

ซินดี้พยายามฟังนักข่าวสนทนากัน พอมองดีๆแล้วก็เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่นักข่าวบันเทิงที่เธอเห็นบ่อยๆ

“คุณคังวูจินจะมาถึงเมื่อไหร่นะ?”

“เขานั่งเครื่องบินส่วนตัว เราเลยไม่รู้เวลาลงแน่”

“ฮ้า หรือว่าจะเปลี่ยนเส้นทางแล้ว?”

“ไม่หรอก ยังไงเขาก็ต้องเข้าประตูนี้”

“ใครจะรู้ ชองวาแดอาจจะมารับเขาก็ได้...”

พอได้ยิน นักข่าวทุกคนหันไปมองคนพูดเขม็ง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงพวกเขาก็เสียเวลารอเปล่าๆไป 5 ชั่วโมง

ซินดี้ออกจากสนามบินมาอย่างราบรื่นผิดคาด เมื่อขึ้นไปนั่งในรถตู้บริษัท เธอถอดแว่นกันแดดออกทันที

“เฮ้อ แหม ท่าทางคังวูจินจะเป็นคนยอดเยี่ยมน่าดู”

“ฮื่อ เขาดังสุดๆเลยตอนนี้ ดูท่าวันนี้เขาจะกลับจากอเมริกา เฮ้ ฮีซุบ ออกรถเถอะ”

“ครับผม”

โร้ดเมเนเจอร์ของบริษัทออกรถ มุนซังชุลดูโทรศัพท์มือถือ เขาไม่ต้องพิมพ์ชื่อคังวูจินด้วยซ้ำ ชื่อนี้กลายเป็นชื่อที่คนค้นหามากที่สุด

“ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็เป็นบุคคลที่ถูกค้นหามากที่สุดทุกที”
นี่แสดงถึงความสนใจที่คังวูจินได้รับจากสาธารณชนว่ามีมากขนาดไหน เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีนักข่าวจำนวนมากมารอคังวูจิน

“อ๊ะ วันนี้เขาจะไปพบกับประธานาธิบดี พวกนักข่าวคงไม่มีอะไรเขียนแน่แล้ว”

แสดงว่าคังวูจินออกจากสนามบินไปอย่างลับๆแล้ว ในอันดับค้นหา คีย์เวิร์ดอย่าง ‘คังวูจินพบกับประธานาธิบดี’ ‘คังวูจินกับชองวาแด’ เริ่มขึ้นมาแล้ว

“เฮ้ ซินดี้”

“เอ๋?”

“ดูอะไรอยู่? ข่าวนี่เหมือนกันเหรอ?”

“มะ...ไม่นี่”

เมื่อซินดี้เปิดโทรศัพท์มือถือส่วนตัวของเธอ เธอได้อ่านข้อความที่ส่งมา

[ประกาศเรื่องชุมนุมศิษย์เก่าโรงเรียนมัธยมมิโด ร้านอาหารxx 1 ทุ่ม คังวูจินก็มาด้วย... นี่เป็นข่าวสารสุดท้ายของสัปดาห์นี้ โปรดตอบกลับถ้าต้องการเข้าร่วม - ประธานจัดงาน นัมจีฮยุค]

เมื่อเปิดตัวเป็นนักร้องครั้งแรก ซินดี้ยังไปร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าบ่อยๆ

แต่หลังจากงานเริ่มยุ่ง เธอไม่เคยไปอีกเลย ครั้งนี้เธอคงต้องไป

ซินดี้นึกถึงความทรงจำสมัยก่อนที่จำได้รางๆ ตอนนั้นนักเรียนคนหนึ่งได้หายสาบสูญไปก่อนเกิดดันเจี้ยนช็อก คนพูดถึงกันมาก

‘คังวูจินคือคนนั้นเหรอ?’

ดวงตาซินดี้เปล่งประกายสนใจอย่างไม่เคยเป็นมานานแล้ว เธอส่งข้อความตอบกลับทันที

***

ในรถลีมูซีนที่สำนักงานเลขานุการของชองวาแดส่งมา

“ขอฉันลงตรงนี้”

“อะไรนะ?”

ช่วงนี้มีเรื่องให้แปลกใจบ่อย แต่สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาแปลกใจในอีกความหมาย

มินชานได้แต่ถามกลับงงๆ หรือเขาฟังผิดไป?

“จอดตรงนั้นก็ได้ ฉันจะนั่งแท็กซี่กลับ”

“ละ...แล้วเรื่องประธานาธิบดีกับปาร์ตี้อาหารค่ำจะทำยังไงล่ะ?”

“ไม่สน ฉันอิ่มแล้ว”

ไม่ใช่นะ ปาร์ตี้ไม่ได้มีแต่จะกินอย่างเดียวสักหน่อย

“แต่ ประธานาธิบดีเป็นคนเชิญเรา...”

“ขนาดประธานแยงกี้ฉันยังไม่สนเลย แล้วคนนี้ฉันจะสนเหรอ?” (TN – ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร)

“แต่ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว...”

“นายก็ไปแทนฉันสิ”

มินชานถอนหายใจยาวเหยียด

“ท่านประธานต้องไป ผมมันแค่กรรมการผู้จัดการ...”

“เปลี่ยนชื่อบนนามบัตรนายสิ”

“ครับ?”

“จากนี้ไปนายเป็นรองประธาน”

“...”

“นายก็บอกไปว่าเป็นตัวแทนของประธาน”

“...”

มินชานถูจมูก

ฮ้า เขากำลังตกที่นั่งลำบาก แต่มันอดหวิวๆไม่ได้

“บอกไปว่าฉันกลับบ้านเพราะเหนื่อย นายคุยกับพวกนั้นแทน”

“แหม แต่ว่า...”

“รองประธานจุงมินชาน สู้ๆ!”

“...”

รองประธาน รองประธาน...

ดวงตาเขาหนักใจ แต่ปากยิ้มเอาๆ

วูจินยิ้มแล้วพูดกับคนขับรถในชุดสูทสะอาด

“จอดตรงนี้ด้วยครับ”

“แต่ท่านประธานาธิบดี...”

“คุณคิดจะพาผมไปทั้งที่ไม่เต็มใจเหรอ?”

“แต่...”

“คุณคิดจะลักพาตัวผมเหรอ? ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคุณรับผิดชอบไหวเหรอ?”

คนขับผงะไป เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี มินชานพูดกับคนขับรถอย่างมีเหตุผล

“หยุดรถเถอะครับ สภาพร่างกายของท่านประธานตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก”

“...”

ไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย แต่...เขาเป็นแค่คนขับรถจึงไม่มีทางเลือก เขาจอดรถ

“ไว้เจอกันที่ออฟฟิศนะท่านประธาน หลังจากเรียบเรียงรายงานเสร็จแล้วผมจะส่งไปให้ท่านดู”

พวกเขาทำความร่วมมือกับกิลด์ไททัน และมีข้อตกลงยิบย่อยที่ต้องทำหลังจัดการงานที่รัฐบาลสหรัฐมอบหมายให้ มีหลายเรื่องที่เขาต้องรายงาน

“ได้ กินให้อร่อยนะ รองประธานจุง”

อ่า เราไม่ได้ไปปาร์ตี้เพื่อกินอย่างเดียว วูจินพูดเหมือนมินชานกำลังไปงานเลี้ยงวันเกิดเลย

มินชานบอกลาวูจินแล้วหมุนกระจกขึ้น

เขาค่อยๆขยับไปที่นั่งผู้มีเกียรติที่วูจินเคยนั่ง

“ฮะๆ รองประธานเหรอ”

มินชานแตะหน้าผากแล้วส่ายหน้าไม่หยุด ยิ้มแก้มแทบปริ

เขาอาจเป็นคนแรกก็ได้?

จากพนักงานเงินเดือนในแผนกสนับสนุนมาเป็นรองประธานกิลด์

“ฮ้า รองประธาน... ฮุๆ”

คนขับรถเหลือบมองมาจากกระจกหลัง

ประหลาดพอกันทั้งประธานรองประธานเลย

รถลีมูซีนขับช้าๆไปทางชองวาแด

สารบัญ                                 บทที่ 82


1 ความคิดเห็น: