คนของสำนักงานเลขานุการเปิดประตูหลังของรถสีดำ
“ผมรับหน้าที่ส่งคุณกลับครับ”
“ครับ ขอบคุณ”
หลังทักทายกันเสร็จ มินชานเข้าไปในรถ ชายคนนั้นปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ
“ไปส่งที่บ้านไหมครับ?”
“ไม่ครับ ช่วยไปส่งผมที่ที่ทำงานด้วย”
“ไม่แน่อีกไม่นานคุณจะได้ย้ายที่ทำงาน”
“ฮ่าๆ ยังหรอกครับ”
“แค่บอกเราว่าอยากได้ที่ไหนก็ได้แล้วครับ”
“เรื่องนี้ผมต้องขอความเห็นจากท่านประธานก่อน อีกอย่าง สัญญายังไม่เสร็จเลยนะครับ”
“...”
มินชานมองคนจากสำนักงานเลขานุการที่จู่ๆก็เงียบไป เขาไม่คิดอะไรมากแล้วมองไปนอกหน้าต่างรถ
เขาเจรจาไปหลายเรื่อง แต่มีหลายอย่างที่ต้องการความเห็นจากวูจิน
ถ้ารัฐบาลประกาศให้อลันดาลเป็นกิลด์ของเกาหลีอย่างเป็นทางการ เขาจะได้ประโยชน์หลายอย่าง ได้รับการสนับสนุนสร้างอาคารสำนักงานกิลด์ก็เป็นหนึ่งในหลายอย่างนั้น มินชานอดยิ้มไม่ได้
‘ท่านประธานต้องชอบแน่ เราได้ขนาดนี้เขาต้องเห็นด้วยแน่’
เขาอยากบอกข่าวดีนี้ให้อีกฝ่ายรู้ทันที
ตู๊ดๆๆ
มินชานโทรหาวูจิน
[ฮัลโหล?]
“หือ? เฮมินเรอะ? ทำไมนายเป็นคนรับล่ะ?”
[ท่านประธานลงดันเจี้ยนกับกรรมการฮงกับคุณเชฮีซอลครับ]
“อ้อเหรอ?”
[คุณทำบ้าอะไรลงไปหา คุณกรรมการ?]
“ฮะๆ กรรมการอะไร ฉันเป็นรองประธานแล้วนะ”
[ไม่ใช่เวลามาตลกนะครับ กิลด์ป้องกันประเทศเกาหลี? มันเรื่องอะไรกันน่ะ?]
“เอ๊ะ? นายรู้ได้ยังไง?”
[ฮะ อะไรครับรู้ได้ยังไง? เค้าแคนเซิลละครเพื่อประกาศข่าวนี้เลยนะครับ]
“หา?”
ในที่สุดมินชานก็รู้สึกผิดปกติ เขาหันไปถามคนของสำนักงานเลขานุการ
“งานแถลงข่าวเมื่อกี๊เป็นถ่ายทอดสดเหรอครับ?”
“ไม่นี่ครับ”
เขาตอบอย่างสงบ แต่มินชานบอกได้ว่าโทนเสียงผิดปกติไป มินชานมีสีหน้าหมดหวัง
“ฉันจะไปสำนักงานเดี๋ยวนี้”
[ครับ อย่าเถลไถลไปไหนดีกว่า ท่านประธานท่าทางอารมณ์ไม่ดี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณมีอำนาจแค่ไหนเอง ทำลงไปได้ยังไงครับ?]
“นายคิดว่าฉันโง่เหรอ? เรื่องแบบนี้ฉันไม่ตกลงจนกว่าจะท่านประธานจะเห็นชอบอยู่แล้ว”
[เอ๋? อะไรกันครับนี่?]
มินชานกุมขมับ
“ถึงนั่นแล้วค่อยคุยกัน”
งานแถลงข่าวมีปัญหา
มิน่าล่ะชองวาแดถึงเร่งเขานัก
‘ไม่ดีแล้ว’
มินชานไปที่งานที่มีประธานาธิบดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนร่วมงาน เขาต้องขอโทษที่ท่านประธานของเขาไม่มางานหลายครั้ง
อลันดาลถูกตั้งให้เป็นกิลด์ที่โลกจับตามอง ไม่ ดูเหมือนมีข้อเสนอมากมายเพื่อให้คังวูจินอยู่ในเกาหลี
กิลด์อลันดาลจะอยู่ใต้กองทัพ และถูกประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการ ผลประโยชน์มากมายจะตามมา
หลังอาหารค่ำ มินชานเจรจาหลายอย่าง เงื่อนไข ผลประโยชน์ สวัสดิการ เขาเหนื่อยแต่รู้สึกตื่นเต้น
เขาเป็นหัวหน้าในการวางกรอบการเจรจาสำคัญนี้
รัฐบาลตอบรับอย่างเป็นมิตร ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี ข้อแลกเปลี่ยนให้ผลประโยชน์กับอลันดาลมากจนการเจรจาต่อรองไม่ต้องใช้เวลานานเลย ที่เหลือก็แค่รอการตัดสินใจจากวูจิน
ในการต่อรอง เนื้อหาหลักไม่เกี่ยวกับอลันดาลนักแต่เป็นการป้องกันไม่ให้คังวูจินย้ายไปอยู่ประเทศอื่น
ทีแรกมินชานคิดว่าวูจินจะยอมรับเพราะผลประโยชน์ที่ได้มันมหาศาล เมื่อวูจินเซ็นสัญญา งานแถลงข่าวที่อัดไว้ล่วงหน้าก็จะเผยแพร่ออกไปทันที พวกเขาตกลงกันไว้อย่างนี้
แต่ ถ่ายทอดสดไปแล้วเหรอ?
‘พวกเขาพยายามทำคะแนนนำ’
คิดอะไรกันอยู่วะ?
คิดว่าถ้าออกข่าวไปแล้ว วูจินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเหรอ? หรือเพราะถูกกดดันจากประเทศอื่น?
‘ดูจากนิสัยของท่านประธานแล้ว หมดหวังแน่’
มินชานปวดหัว เขาลูบหน้าผากตัวเอง
‘ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
คติประจำใจของวูจินคือไม่ว่าจะถูกทำอะไรเขาจะตอบแทนกลับไปสิบเท่าร้อยเท่า มินชานต้องหลีกเลี่ยงไม่ไปกระตุกต่อมเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น เป็นไปได้ว่าวูจินจะไปถล่มชองวาแด
ถ้าเขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ เขาต้องหยุดไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น มินชานกลุ้มหนัก
‘ไอ้พวกข้าราชการแม่ง’
มินชานข่มความโกรธ เขาพยายามปลุกความรักชาติในตัวขึ้นมา เพื่อความสงบสุขของเกาหลี
‘ขอให้ท่านประธานอารมณ์ดีอยู่นะ’
วูจินอาจดูเหมือนคนทำอะไรตามอารมณ์ แต่มินชานรู้ว่าวูจินมีนิสัยเยือกเย็น ถ้าเขาอารมณ์ดี มินชานอย่างน้อยก็ยกเรื่องนี้มาคุยได้ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี มินชานแทบเอ่ยอะไรไม่ได้
แม้กระทั่งท่าทางเฉยชาของวูจินยังดูน่ากลัว ถ้าเขาโกรธ มินชานคงกลัวจัดจนคุยไม่ได้
‘ฮู้ว ยังไงก็ต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้’
มินชานต้องกู้สถานการณ์ยุ่งเหยิงที่รัฐบาลทำไว้ เขายังอยากอยู่เกาหลีต่อ
***
สถานีรถไฟใต้ดินกังนัม ทางออกที่ 9
ที่นี่เป็นดันเจี้ยน 6 ดาวในการดูแลของกิลด์ขนาดกลางชื่อ นักเวทย์จากขุมนรก หรือสั้นๆว่ากิลด์ขุมนรก
คิมเฮมินจัดการนำกลุ่มมายังดันเจี้ยนที่ยังว่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อเชฮีซอลมายืนตรงหน้าดันเจี้ยน เธอกลืนน้ำลาย
“เข้าไปกันเถอะ”
วูจินพูดแล้วเข้าดันเจี้ยนไปเป็นคนแรก ซุงกูตามไปอย่างกระตือรือร้น ทำไมซุงกูจึงดีใจนักเมื่อคิดว่าจะมีคนมาแทนที่เขา?
“เข้าไปสิครับ”
“ดิฉันต้องเข้าไปจริงๆเหรอคะ?”
เฮมินฟังแล้วเลิกคิ้ว
“รีบเข้าไปเถอะครับ ไม่งั้นบาเรียมันจะกางขึ้นก่อน”
ถูกเฮมินกระตุ้น เชฮีซอลหลับตาปี๋แล้ววิ่งลงบันไดไป
‘พ่อขา แม่ขา หนูต้องรอดกลับมาให้ได้’
ประสบการณ์ลงดันเจี้ยนครั้งแรกนับจากมาอยู่กิลด์อลันดาลคือดันเจี้ยน 6 ดาว
“ย๊าก!”
เฮซอลกำมือแน่น ยกขึ้นตั้งการ์ด มองรอบตัว
“ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
“เอ๋?”
พอซุงกูถามฮีซอลจึงได้สติ เมื่อรู้ตัววูจินก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงซุงกู เธอถามเขินๆ
“ท่านประธานไปไหนแล้วคะ?”
“ไปแล้วครับ”
“เอ๋?”
เรามาฝึกไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาถึงทิ้งเธอกับกรรมการฮงไว้ล่ะ?
“เราต้องเร็วถ้าไม่อยากถูกทิ้ง”
ซุงกูคุ้ยข้าวของส่วนตัวแล้วหยิบดาบสั้นออกมาให้ฮีซอล มันคมจนสามารถกรีดผ้าได้เพียงกดเบาๆ
ฮีซอลใจเต้นแรงเมื่อรับอาวุธอันตรายมา
“คุณใช้มีดได้ดีหรือเปล่า?”
“ดิฉันชินกับปืนมากกว่าค่ะ...”
“อ้า ร้อยโท คุณเข้าใจผิดครับ”
ซุงกูยิ้มเจิดจ้าแล้วพูด
“ถ้าเราสู้ในดันเจี้ยน 6 ดาว เราตายแหง ขนาดผมยังสู้มอนสเตอร์ในนี้ได้ไม่กี่ตัว เราไม่ได้เข้ามาสู้ครับ ไม่งั้นตายแน่ พริบตาเดียว พรี้บ...ตาเดียว”
“...”
เขาพูดว่าตายแน่ แต่ดูไม่กังวลเลย?
“ถ้าอย่างนั้นดาบนี่ทำไมคะ?”
ถ้าไม่ได้เข้ามาสู้ ไม่ได้เข้ามาฝึก แล้วเราตามวูจินเข้ามาทำไม ทำไมเขาถึงยื่นดาบให้เธอ?
ซุงกูหัวเราะพลางถาม
“คุณเคยคว้านปลาหรือเปล่า?”
“ดิฉันชอบตกปลาค่ะ เพราะฉะนั้นเลยทำบ่อย...”
“โอ้โห! มีคนเก่งเข้ากิลด์เราแฮะ”
ซุงกูยิ่งมองเชฮีซอลอย่างชื่นชมขึ้นไปอีก
“...”
ไม่นานฮีซอลก็เข้าใจความหมายของซุงกู
ฉับๆ
เธอเฉือน เฉือน แล้วก็เฉือน
เมื่อเธอกรีดเฉือน ปลายดาบจะโดนบางอย่าง นั่นคือบลัดสโตน
‘ฉันอยู่ที่ไหน...’
ทำงานซ้ำๆไปนานๆ ฮีซอลเริ่มสงสัยว่าเธอได้งานในกิลด์หรืองานก่อสร้างกันแน่
‘ทำไมฉัน...’
แขนที่เมื่อยล้าของเธอแทบจะขยับไปอัตโนมัติ ดูเหมือนกรรมการฮงซุงกูจะคุ้นเคยกับการขุดบลัดสโตน เขาทำงานเร็วกว่าเธอสองเท่า รวดเร็วและแม่นยำ
“เร่งมือกันเถอะครับ แบบนี้ลูกพี่คงขึ้นมาก่อนพวกเราลงไปถึงชั้นล่างแน่”
พวกเขาเพิ่งลงมาถึงชั้นสอง
ฮีซอลไม่รู้ว่าวูจินไปไหน เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นแต่ซากศพมอนสเตอร์เกลื่อนกลาด
ซุงกูชำแหละมอนสเตอร์ที่มีเครื่องหมายแล้วดึงบลัดสโตนออกมา
‘ประธานสู้ยังไงนะ? ทำไมถึงเร็วนัก?’
ลือกันว่าวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้เร็วมาก เขาสามารถเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ภายในสองชั่วโมงถ้าต้องการ เขาเป็นเราส์ที่เก่งกาจเหมือนสัตว์ประหลาด
“กรรมการฮงคะ ท่านประธานไปที่ไหน...”
“อย่าเพิ่ง เราไม่มีเวลาคุยเล่นนะ เร่งมือกันเถอะ”
“...”
ซุงกูทุบหลังแก้เมื่อยหนึ่งทีแล้วกลับไปชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เธอรู้สึกสงสารอย่างไรไม่รู้เมื่อเห็นแบบนั้น ไม่ใช่สิ มันเหมือนกำลังมองตัวเองในอนาคต คงเป็นเพราะเหตุนี้เธอจึงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมานิดๆ
ไม่ทันฮีซอลจะปลุกปลอบตัวเองให้ชำแหละมอนสเตอร์ต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ฮีซอลกำมีดแน่นด้วยความกังวล ตอนอยู่ในกองทัพความสามารถในการต่อสู้ของเธอได้รับการประเมินไว้ค่อนข้างสูง
“ตายล่ะ ลูกพี่ขึ้นมาแล้ว”
“อะไรนะ?”
แม้จะได้ยินที่ซุงกูพูด ฮีซอลยังกังวล เธอมองบันไดเขม็ง
วูจินมีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจ เดินนำโครงกระดูกหลายตัวขึ้นมา...
“เคะๆๆ”
พวกโครงกระดูกส่งเสียงเฉพาะ ทำให้ฮีซอลรู้สึกขนลุก แม้จะรู้ว่าพวกมันเป็นอสูรที่วูจินเรียกมาเธอยังตัวแข็ง
“ลูกพี่ ผมจะรีบเก็บให้เรียบร้อยครับ”
“ไม่เป็นไร มันไม่มีค่าอะไรนักหรอก ตามฉันมา”
ยังเหลืออีกหนึ่งชั้นที่ยังไม่ได้เก็บบลัดสโตน ราคาคงราว 10 ล้านวอน แต่วูจินเห็นว่าเวลาสำคัญกว่า
‘สงสัยว่าต่อให้ฆ่ามอนสเตอร์หมดเลเวลก็ยังไม่เพิ่ม’
คำนวณจากค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จที่ได้จากการเคลียร์ดันเจี้ยน เป็นไปไม่ได้ที่เลเวลจะไปถึง 70 ในครั้งเดียว เขาต้องเคลียร์ดันเจี้ยนอีกครั้ง
วูจินเดินไปที่ทางออกอย่างรวดเร็ว ซุงกูตบบ่าฮีซอล
“ทำอะไรอยู่ครับ? รีบตามเขาไปกันเถอะ”
“อ๊ะ? ค่ะ”
ฮีซอลได้แต่ตะลึงเมื่อเห็นจำนวนโครงกระดูกที่ตามวูจินไป
‘คนๆเดียวควบคุมอสูรตั้ง...’
เธอนับคร่าวๆได้ 100 ตัว
ที่จริงเธอต้องดูพลังต่อสู้ของโครงกระดูกแต่ละตัวด้วย แต่มันมากเหลือเกิน...
‘เขาไม่ได้สู้คนเดียว’
รู้สึกเหมือนเธอไขปริศนาสถิติการเคลียร์ดันเจี้ยนที่น่าทึ่งของวูจินได้บ้างแล้ว
เมื่อมาถึงทางเข้า วูจินวางโทรศัพท์มือถือกับของสมัยใหม่อื่นๆไว้ด้านหนึ่ง ซุงกูก็กองโทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถและข้าวของส่วนตัวไว้เช่นกัน
ฮีซอลมองงงๆ ซุงกูพูดพลางหัวเราะ
“ชุดที่คุณฮีซอลใส่อยู่ไม่ได้ทำมาจากวัตถุดิบในดันเจี้ยนสินะครับ?”
“ค่ะ มันเป็นเสื้อธรรมดา”
“ถ้างั้นมันก็ผ่านอุโมงค์ไปไม่ได้ มีแต่ตัวคุณเปล่าๆที่ลอดไปได้”
“ถ้า...ถ้าอย่างนั้น...”
ฮีซอลนึกขึ้นมาได้ว่าในดันเจี้ยนระดับสูง มีแต่ของจากในดันเจี้ยนที่สามารถผ่านอุโมงค์ได้
“ใส่นี่”
วูจินซื้อเสื้อราคาถูกที่สุดจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จแล้วโยนให้ฮีซอล เธอเคยเห็นเสื้อคลุมแบบนี้ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง วูจินพูดระหว่างฮีซอลกำลังเปลี่ยนเสื้อ
“ซุงกู นายไปจับมอนสเตอร์เหมาะๆมาให้ฮีซอลฝึกจับ”
“ฮะๆ ได้ครับ”
ถ้าได้ดูผลการฝึกของซุงกูก็ดี และวูจินก็อยากล่ากับเขาด้วย แต่เขาต้องเก็บเลเวลให้ถึง 70 ให้เร็วที่สุด ทางที่ดีที่สุดคือเขารวบเหยื่อไว้คนเดียวให้มากที่สุด
“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินด้านโน้นกัน”
“ครับผม”
วูจินข้ามอุโมงค์ไปอย่างไม่ลังเล
ฮีซอลได้ยินที่วูจินพูด ในที่สุดการฝึกของเธอจะเริ่มขึ้นแล้ว
ดันเจี้ยนระดับสูงจะเริ่มขึ้นจริงๆเมื่อผ่านอุโมงค์เข้าไป
ฮีซอลกลืนน้ำลาย
“จะเอาจริงกันแล้วสินะคะ?”
“เฮอะ...”
เอาจริงอะไรล่ะ
ต่อให้ไปด้านโน้น พวกเขาก็ต้องขุดบลัดสโตนกันอยู่ดี
จะบอกซ้ำไปทำไม? เธอจะรู้เองเมื่อไปถึงที่นั่น
“ผมหิว รีบไปกันเถอะ”
ซุงกูข้ามอุโมงค์และฮีซอลตามไป
ความรู้สึกตอนผ่านมิติที่บิดเบี้ยวทำให้ฮีซอลช็อค เธอวิงเวียนตาลาย และผลคือ...
“แหวะ”
“เอ๊ย อ้วกเสร็จแล้วตามมาด้วยนะครับ”
ซุงกูกระโดดถอยเพราะกลัวจะเลอะอาเจียน เขาวิ่งไปทางวูจิน ฮีซอลอาเจียนอีกหลายครั้ง เสร็จแล้วจึงเช็ดปาก
หลังร่างกายสงบลงได้บ้าง ศีรษะปวดน้อยลง เธอมองไปรอบตัว
‘ฮ้า’
ฮีซอลอยู่ในป่าแห่งหนึ่งที่เธอไม่มีทางได้เห็นในเมืองโซลเกาหลี มันเหมือนเธอถูกโยนมาอยู่ตรงใจกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ดันเจี้ยนระดับสูงนั้นเชื่อมไปต่างโลก และเธออยู่ในนั้น ไม่น่าเชื่อเลย ขณะที่ฮีซอลกำลังพบประสบการณ์ใหม่ เธอเห็นบางอย่างที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นต่อหน้า
“หืม? ถ้าสงบใจได้แล้ว มาทางนี้เร็วๆเถอะครับ”
ฮีซอลมองซุงกูที่เรียกเธอแล้วขยี้ตา
ตาฝาดไปหรือเปล่า?
พวกเขากำลังตั้งแคมป์ในดันเจี้ยน...
เนื้อปริศนากำลังถูกทำให้สุกเหนือกองไฟ กลิ่นของมันทำให้ฮีซอลน้ำลายไหล
***
เหมือนอ่านตอนซุงกูเข้าดันเจี้ยนนาคกับวูจินอีกรอบเลย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น