วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 72


บทที่ 72 – การก่อการร้าย


หน้าทางเข้าสนามบิน ทหารในเครื่องแบบกำลังรอวูจินอยู่

“อ้าว ฮีซอล”

วูจินดีใจที่ได้เห็นคนคุ้นหน้า เขาโบกมือทัก

“มาแล้วเหรอคะ”

“นี่กรรมการทั่วไปของกิลด์เรา ทักทายเขาหน่อย”

“ผมจุงมินชาน”

“ดิฉันร้อยโทเชฮีซอลค่ะ อีกไม่นานเราก็จะกินข้าวหม้อเดียวกันแล้ว”

มินชานจับมือทักทายพลางเอียงคองง วูจินยิ้ม

“เธอเป็นพนักงานใหม่ที่ฉันเลือกไง”

“อ้อ...”

ร้อยโทเชฮีซอลคือพนักงานใหม่ที่วูจินพูดถึงนั่นเอง

วูจินมองฮีซอล

“ฉันว่าฉันบอกไปแล้วนะว่าให้ลาออก ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

“ดิฉันจะออกจากกองทัพประมาณช่วงประธานกลับมาค่ะ ระหว่างนั้นฉันยังเป็นทหารคนหนึ่งอยู่ ฉันต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่”

“อ้าว? เธอไม่มีช่วงพักร้อนเหรอ?”

ฮีซอลหัวเราะเก้อๆ ไม่เคยรู้ว่าเขาปล่อยมุกแบบนี้ได้ด้วย

“เชื่อว่าคุณคงได้ข่าวแล้ว เรารู้ว่าอาจมีการก่อการร้าย”

“รู้ แล้วพวกเราจะได้ไปอเมริกาไหม?”

“เพราะว่ามีความเสี่ยงจากหลายๆอย่าง คงต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานน่ะค่ะ”

เที่ยวบินต้องเลื่อนออกไป ผู้โดยสารและพนักงานบนเครื่องบินทุกคนต้องถูกตรวจสอบภูมิหลัง ตรวจสัมภาระอีกหลายครั้ง ต้องใช้เวลานานแน่นอน

“งั้นเมื่อไหร่ถึงจะไปได้”

“อย่างน้อยก็คงเป็นพรุ่งนี้ค่ะ”

วูจินขมวดคิ้ว

“งั้นเราเปลี่ยนไปเครื่องบินลำอื่นได้ไหม?”

“หัวหน้าของดิฉันขอความร่วมมือจากกิลด์ KH ให้แล้วค่ะ”

“กิลด์ KH?”

“ทำไมถึงเป็นพวกเขาล่ะ?”

“กิลด์ KH ก็เข้าร่วมการประชุมเหมือนกันค่ะ ทางนั้นเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว พวกคุณไปกับพวกเขาได้ พวกเขาอนุญาตแล้ว”

“โอ้ ก็ดีนะ”

เฮซอลพาวูจินไปผ่านขั้นตอนตรวจสอบพื้นฐานก่อนออกเดินทาง มินชานกับฮีซอลเป็นคนจัดการธุระทุกอย่าง วูจินแค่ต้องแสดงตัว

“นี่คือพาสปอร์ตฉันเหรอ?”

“ใช่แล้ว ผมจะเป็นคนเก็บไว้เอง”

เมื่อไม่นานนี้ช่างถ่ายรูปคนหนึ่งมาที่ออฟฟิศเพื่อถ่ายรูปวูจิน และรูปนั้นก็เอามาใช้ทำพาสปอร์ต วูจินส่งพาสปอร์ตให้มินชานแล้วจับมือลากับฮีซอล

“งั้นไว้เจอกันอีกทีตอนฉันกลับมา”

“ค่ะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”

เมื่อฮีซอลทำหน้าที่เสร็จก็จากไป วูจินกับมินชานเดินไปตามทางยาวจนถึงรันเวย์จากนั้นก็ขึ้นรถบัส

วูจินมองนอกหน้าต่างเพื่อดูรันเวย์ นี่เป็นภาพประจำของคนที่จะได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก มินชานจึงอดยิ้มไม่ได้

ถึงจะเชื่อยาก แต่วูจินก็เป็นเพียงคนหนุ่มอายุ 24 ปีและไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน 

“ดูอะไรอยู่เหรอ?”

“เครื่องบิน”

“ลำที่เราขึ้นคงไม่ใหญ่ขนาดนี้”

มินชานบอกพลางมอง A380 ที่จอดเรียงราย วูจินยิ้ม

“ไม่เป็นไร ฉันเคยนั่งอันที่ใหญ่กว่านี้เยอะ”

“อ้าว? ไหนท่านประธานบอกว่าขึ้นเครื่องบินครั้งนี้ครั้งแรก?”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันนั่งเครื่องบิน แต่ฉันเคยนั่งหลายอย่างที่บินได้”

“...”

มีของที่ใหญ่กว่าเครื่องบินมากแล้วบินได้ด้วยเหรอ?

“ไว้คราวหลังฉันจะให้นายนั่งด้วย”

“ผมจะตั้งตารอ”

วูจินฝืนยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบมินชาน คงเป็นเที่ยวบินที่ไม่สบายนักหรอก เขานึกสีหน้าของมินชานออกเลย

รถหยุดหน้าเครื่องบินลำหนึ่งที่มีสัญลักษณ์กลุ่ม KH ติดอยู่ข้างลำตัว

หน้าบันได มีชายคนหนึ่งในชุดสูทเรียบกริบกำลังรอพวกเขา

“ผมชื่อจุงชานซุง เป็นรองประธานของกิลด์ KH ทราบว่าพวกคุณจะมา”

“ขอรบกวนพวกคุณสักหน่อยนะครับ”

จุงชานซุงยิ้มเมื่อได้ฟังมินชานพูด

“ไม่รบกวนหรอกครับ เป็นเกียรติเสียอีกที่ได้รับใช้ประธานคังวูจิน ขึ้นมาเลยครับ ประธานของเรากำลังรออยู่ข้างใน”

วูจินขึ้นบันได

เมื่อเข้ามาข้างใน พวกเขาไม่เห็นที่นั่งเป็นแถวแบบในเครื่องบิน แต่กลับเป็นห้องที่ตกแต่งเหมือนห้องนั่งเล่น ชายวัยกลางคนอายุราว 40 คนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง

ช่วงนี้มีข่าวของวูจินบ่อยๆ ชื่อเสียงเขาจึงโด่งดังไม่น้อย แต่ผู้คนก็จำหน้าและข้อมูลของเราส์แรงค์ A สิบคนของเกาหลีได้แล้ว จุงมินชานเห็นหน้าชายคนนั้นก็จำได้ เขากระซิบบอกวูจิน

“เขาคือประธานกิลด์ KH เบคจองโด”

เมื่อวูจินเดินเข้าไป เบคจองโดลุกขึ้นพรวดพราดแล้วเดินมาทางวูจิน เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น

“โอ้ ประธานคัง!”

“...”

วูจินมองอย่างว่างเปล่า จุงชานซุง รองประธานควบตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวรีบไปรั้งเบคจองโดไว้ หน้าแดงหูแดง

“ท่านประธาน พวกเขาเป็นแขกที่เพิ่งพบกันครั้งแรก สำรวมหน่อยครับ”

“อ้อๆ เข้าใจแล้ว”

เบคจองโดเปลี่ยนมายื่นมือให้คังวูจินแทน

“ผมนึกว่าคุณก็ดูหนังเรื่องนี้ด้วยเพราะช่วงนี้มันดังอยู่ ผมเป็นประธานกิลด์ KH เบคจองโด”

“ผมคังวูจิน”

วูจินจับมืออีกฝ่ายพลางถาม

“เมื่อกี๊คุณทำอะไรเหรอ?”

“หืม? ในหนังที่กำลังฮิตกันอยู่ชอบทำน่ะ ฮ่าๆ”

“อ้อ ผมนึกว่าคุณจะสู้กับผมเสียอีก”

เบคจองโดหัวเราะฮ่าๆ

“คุณชอบดูหนังไหม?”

“ชอบ”

“โอ้ ฮะๆ ไหนๆก็มีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงอเมริกา มาดูหนังกันเถอะ”

“อ๊ะ ดีเลย ผมกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะทำอะไรแก้เบื่อดี”

วูจินชอบดูโทรทัศน์ แต่เขาไม่มีเวลาดูเท่าไหร่ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงติดโทรทัศน์ไว้ในห้องประธานกิลด์ เมื่อมีเวลาว่าง วูจินจะดูละครโทรทัศน์

“ผมติดห้องมัลติมีเดียสุดเจ๋งไว้ในเครื่องบินนี่ด้วย ทางนี้”

เบคจองโดกับคังวูจินเดินผ่านจุงชานซุงไป เหลือแต่จุงชานซุงกับจุงมินชาน เขาก้มหน้า

“ขอโทษนะครับ ประธานของพวกเราท่านเป็นคนแปลก...”

“ฮะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ประธานของฝ่ายเราเองก็...”

มินชานตอบเก้อๆ เขารู้สึกผูกพันกับจุงชานซุงขึ้นมาอย่างประหลาด

***

ห้องประธานกิลด์ฮวาราง

จอโทรทัศน์ติดบนผนังด้านหนึ่ง แสดงข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้าย สนามบินอินชอนถูกปิดและตรวจค้น
อย่างละเอียด และยังมีข่าวด่วนรายงานว่าคังวูจินร่วมทางไปอเมริกากับประธานกิลด์ KH

“กลายเป็นคนดังไปแล้วจริงๆ”

ไม่ว่าวูจินจะทำอะไรก็กลายเป็นข่าว กล้องตามคังวูจินไม่หยุดเพราะการเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวและการไปอเมริกาเป็นข่าวใหญ่

ลีซังโฮขมวดคิ้วมองโทรศัพท์มือถือ

ตี๊ดๆ

โทรศัพท์จากนายหน้าที่ลีซังโฮกำลังรออยู่ เขารับสาย

[ผมเอง]

“ทำไมคุณทำงานชุ่ยนัก?”

[ชุ่ยเหรอ? ผมผิดหวังที่คุณพูดแบบนี้]

“แผนก่อการร้ายถูกรู้ไปทั้งประเทศแล้ว เป้าหมายก็เพิ่งออกจากประเทศไป คุณยังสบายใจอยู่ได้ยังไง?”

[คึๆ ทั้งหมดเป็นไปตามแผน คุณไม่ต้องกังวลหรอก]

“โฮ่ แน่ใจเหรอ?”

[สมัยนี้ใครจะซุ่มซ่ามก่อการร้ายบนเครื่องบินอีก? นั่นเป็นแค่แผนล่อ วางใจรอดูต่อไปเถอะ]

“เฮ้อ เข้าใจแล้ว”

ลีซังโฮเลิกคุย พวกนั้นทำเป็นวางท่ากลบเกลื่อนที่แผนแตกหรือเปล่า หรือจะเป็นการล่อหลอกจริงๆ เขาไม่รู้ว่าอย่างไหนถูก

นายหน้าโทรหาเขาทุกวันด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ซ้ำกัน

เขาไม่มีวิธีติดต่อไปนอกจากนายหน้าจะโทรหาเขาเอง

เขาจ่ายเงินไปมาก ดังนั้นพวกเขาจะทำงานให้เสร็จเรียบร้อย นี่เป็นกลุ่มนักฆ่ามืออาชีพซึ่งยังไม่เคยทำงานล้มเหลว

***

ห้องมัลติมีเดียในเครื่องบินส่วนตัวของกลุ่ม KH

คนสามคนกำลังนั่งในห้องที่ตกแต่งเป็นโรงหนังขนาดย่อม

จอโทรทัศน์กำลังฉายซีรี่ย์ที่กำลังเป็นที่นิยม ‘Reply 1988’

“โฮ่ๆ”

เบคจองโดออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นทุกคนกำลังดูละครทีวีอย่างจริงจังก็รู้สึกดีที่ได้แบ่งปันสิ่งที่เขาชอบกับคนอื่น

เมื่อวูจินเห็นเบคจองโดกลับมา เขาก็ลุกขึ้นแล้วยกมือเดินไปทางเบคจองโด

“โอ้ ประธานเบค!”

เบคจองโดยกมือขึ้นข้างหนึ่ง

“โอ้ ประธานคัง!”

มือจับกันแล้วยกขึ้นยกลงซ้ำๆ

“ดีใจจริงๆที่ได้พบคุณ”

มินชานรู้สึกแห้งเหี่ยวเมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคน

เขารู้ดีว่าคังวูจินไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง แต่ดูท่าแล้วประธานกิลด์ KH เบคจองโดก็ไม่แพ้กัน

มินชานเหลือบมองข้างๆ จุงชานซุงหน้าแดงไปถึงหู

เมื่อสบตากัน จุงมินชานกับจุงชานซุงมองกันอย่างเศร้าใจ

‘หน้าที่เราคืออายแทนพวกเขาล่ะมั้ง’

มินชานภาวนาว่าพวกเขาคงไม่ทำตัวแบบนั้นในที่สาธารณะ

***

เดินทาง 20 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงนิวยอร์ค

กิลด์ไททันเป็นแม่งาน ดังนั้นคนของกิลด์ไททันจึงถูกส่งมารับรองกิลด์ต่างๆ

“ยินดีต้อนรับครับ ผมเป็นคนของกิลด์ไททัน ชื่อ ริชาร์ด เช ผมจะนำทางพวกคุณไปโรงแรม”

เพื่อความสะดวกสำหรับแขกต่างประเทศ กิลด์ไททันจึงส่งพนักงานที่พูดภาษาของประเทศนั้นได้

พนักงานนำทางพวกเขาไปที่ยานพาหนะที่จอดรอ ก่อนเบคจองโดจะขึ้นรถ เขาจุปากอย่างเสียดาย

“ไปพักสักหน่อยก่อนแล้วหาอะไรดื่มกันดีไหม?”

“อ้อ ดีสิ”

“โฮ่ๆ เดี๋ยวเจอกัน”

“เดี๋ยวเจอกัน พี่เบค”

วูจินกับมินชานขึ้นรถไปกับริชาร์ด เช

“ท่านประธานคงชอบประธานเบคน่าดู?”

“ฮะๆ เขาตลกดี แล้วก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันด้วย”

“อืม...”

เบคจองโดอายุ 42 วูจินอายุ 24...

“อ้อ ท่านบอกว่าอยู่ที่อัลเฟน 20 ปี”

กะคร่าวๆแล้ววูจินควรมีอายุประมาณ 39 ปี เมื่อคิดแบบนั้นแล้วก็ไม่แปลกว่าทำไมมินชานจึงรู้สึกว่าวูจินไม่เหมือนคนหนุ่ม

ไม่สิ ไม่ใช่ว่าวูจินแก่กว่าเขาเหรอ?

“อืม เรื่องอายุนี่ออกจะตลกแล้วล่ะ เพราะดันเจี้ยน”

“นั่นสินะ”

ไม่ใช่แค่วูจินที่กลับจากอัลเฟน เวลาในดันเจี้ยนระดับสูงยาวกว่าข้างนอก 4 เท่า ถ้าเทียบอายุเราส์แบบทั่วไปคงตลก

แทนที่จะวัดอายุของเราส์ ควรวัดที่ประสบการณ์มากกว่าไหม?

แต่ เขาทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยสำหรับคนอายุ 39 ปีหรือเปล่า?

“นะ ชีวิตใครก็ต่างไปขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นอยู่มายังไง”

เมื่อได้ยินวูจินพูดเบาๆ มินชานก็รู้สึกละอายใจ เหมือนความในใจของเขาถูกล่วงรู้

วูจินผ่านนรกมา 20 ปี

หากหาความสนุกให้ตัวเองไม่ได้ เขาคงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว แม้เบคจองโดจะเป็นทายาทตระกูลเศรษฐีเขาก็อาจมีชีวิตแบบวูจิน

พวกเขาคงมีภาระหนักหนา

รถออกจากสนามบินไปจอดตรงโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ มันเป็นคืนมืด ถนนมีแต่โรงแรม มองไม่เห็นสถานที่ให้ความบันเทิงอื่นๆ

การประชุมจะเริ่มพรุ่งนี้ตอนเที่ยง

“พักให้สบายนะครับ รถจะมารับตอน 11 โมง”

หลังเช็คอินเสร็จ ริชาร์ดก็กลับไป วูจินกับมินชานบอกลากันในลิฟท์

“อาบน้ำเสร็จก็ออกมาเลยนะ ฉันจะไปหาอะไรดื่ม”

“ครับ”

ทุกคนที่ได้รับเชิญมาร่วมการประชุมเป็นแขกพิเศษจึงไม่มีการดูแลใครเป็นพิเศษ มินชานถูกจัดให้อยู่ในห้องบิสซิเนสที่ชั้น 3 วูจินถูกนำทางไปยังห้องวีไอพีบนชั้นบนสุด

วูจินอาบน้ำ เช็ดผม หลังจากดื่มน้ำขวดจากตู้เย็นเขาเปิดกระเป๋าเดินทางที่มินชานเป็นคนจัดกระเป๋าให้
ในนั้นมีชุดทางการที่เขาจะใส่ไปพรุ่งนี้ มีชุดใส่ออกกำลังกายอีก 1 ตัว เขาใส่มัน

แม้จะเป็นชุดออกกำลังกายแต่เนื้อผ้าทำจากวัตถุดิบในดันเจี้ยน มันเป็นของที่เราส์ใส่ เขาไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้มากนักแต่คิดว่าเสื้อแบบนี้คงหลายแสนวอน

ก่อนออกจากห้อง วูจินปิดไฟ

“เอ๋?”

เขารู้สึกถึงอันตราย กวาดมองรอบห้อง เขาเห็นจุดสีแดงสั่นๆบนผนัง

“แสงเลเซอร์?”

โซอากับบิบิเล่นกับพอยท์เตอร์บ่อยๆ เขาจึงคุ้นกับสีแดงนี้ ที่ต่างคือขนาด จุดเลเซอร์ใหญ่กว่าราว 5 เท่า

วูจินเดินไปข้างหน้าเพื่อมองหาว่าแสงเลเซอร์มาจากไหน เมื่อมองไปนอกหน้า เขาเห็นว่ามันมาจากตึกหนึ่งที่ห่างไปมาก

“หา?”

จังหวะนั้นเอง วูจินเห็นจรวดพุ่งลงมาจากฟ้า

จรวดพุ่งตรงมาทางวูจิน







สารบัญ                                                      บทที่ 73




วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

แปลเพลง - ลาสท์ไรด์ออฟเดอะเดย์ /Nightwish

ไม่ได้แปลเพลงนานเลย วันนี้เอา เพลงของ Nightwish มาฝากค่ะ วงร็อกจากประเทศฟินแลนด์ เพลงจะเป็นแนวร็อกแบบเครื่องดนตรีจัดเต็ม+นักร้องผู้หญิงเสียงสูงๆแบบวงซิมโฟนีค่ะ เขาเลยเรียกแนวเพลงแบบนี้ว่าซิมโฟนิกเมทัล

วงนี้เพลงเพราะเยอะแยะมากมาย ที่มีแต่ดนตรีก็มันมาก (Ghost Love Score ฉบับ instrumental!) ที่มีเนื้อร้อง นักร้องก็เสียงดีกันทุกคนเลย XD


ลิงค์เพลง Last Ride of the Day

Last Ride of the Day /Nightwish

We live in every moment but this one
Why don’t we recognize the faces loving us so

What’s God if not the spark that started life
Smile of a stranger
Sweet music, starry skies
Wonder, mystery, wherever my road goes
Early wake-ups in a moving home
Scent of fresh-mown grass in the morning sun
Open theme park gates waiting for

Riding the day, every day into sunset
Finding the way back home

Once upon a night we’ll wake to the carnival of life
The beauty of this ride ahead such an incredible high
It’s hard to light a candle, easy to curse the dark instead
This moment the dawn of humanity
The last ride of the day

Wake up, Dead Boy
Enter adventureland
Tricksters, magicians will show you all that’s real
Careless jugglers, snakecharmers by your trail
Magic of a moment
Abracadabra


เที่ยวสุดท้ายก่อนหมดวัน /ไนท์วิช

เราให้ความสำคัญกับทุกช่วงเวลา เว้นแต่ปัจจุบันนี้
ไยเล่าจึงมองไม่เห็นใบหน้าของคนที่รักเรามากมาย

หากไม่ใช่ประกายแสงของวันใหม่ แล้วอะไรคือพระเจ้า
หากไม่ใช่รอยยิ้มของคนไม่รู้จัก
เพลงหวาน ฟ้าประดับดาว
ที่ซึ่งถนนที่ฉันเดินทางทอดไปสู่ ช่างน่าพิศวง ช่างลึกลับ
ตื่นแต่หัววันในบ้านอาศัยไม่ถาวร
กลิ่นของหญ้าตัดใหม่ในแสงยามเช้า
ประตูสวนสนุกเปิดกว้างกำลังรออยู่

ขี่วันผ่านไป ทุกวันขี่ไปตามตะวันตกดิน
ตามหาทางกลับบ้าน

คืนหนึ่งนานมาแล้วเราจะตื่นขึ้นมาในละครสัตว์แห่งชีวิต
ความงดงามเบื้องหน้ายามนั่งโรลเลอร์โคสเตอร์ไปสู่ที่สูงเหลือเชื่อ
จุดเทียนยากเย็น สาปแช่งความมืดแทนสิง่าย
ยามนี้คือรุ่งเช้าของมนุษย์ชาติ
เที่ยวสุดท้ายก่อนหมดวัน

คืนชีพขึ้นมาเถอะ เด็กน้อย
เข้าสู่ดินแดนแห่งการผจญภัย
ทริกสเตอร์ นักมายากล จะเผยให้เธอเห็นสิ่งที่เป็นจริง
นักเล่นกลโยนของ หมองูรายทาง
ความมหัศจรรย์ของปัจจุบัน
อบราคาดับรา



ยากอ่ะ เพลงวงนี้คนแปลฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่อยากแปล ><

เพลงนี้เทียบชีวิตว่าเป็นการขึ้นเครื่องเล่นในสวนสนุกค่ะ มันมีขึ้นมีลง ตื่นเต้นเร้าใจ เราเลยใส่ไปว่าโรลเลอร์โคสเตอร์ (มั่วซะ ที่จริงชิงช้าสวรรค์ก็น่าจะได้นะ) เพลงถามว่าทำไมเราจึงไม่ให้ความสำคัญกับเวลาปัจจุบัน รอบๆตัวเรา คนที่รักเรา แสงยามเช้า  รอยยิ้มของใครก็ไม่รู้ ฯลฯ บางคนอาจมองว่างั้นๆ แต่บางคนตื่นเต้นกับมัน และที่จริงแล้วทุกคนก็เคยมีช่วงเวลาที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็น (คงสมัย 5 ขวบ) ความรู้สึกแปลกใหม่ที่มันหมดไปจากตัวเราแล้ว ขอให้ปลุกมันขึ้นมาใหม่ มองว่าปัจจุบันนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์

เรามั่วได้ประมาณนี้ค่ะ ใครตีความแบบไหนก็คุยได้นะ :D 








เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 71

บทที่ 70 – ไปอเมริกา (3)


“คุณคังวูจินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดตอนนี้ก็มาดูภาพยนตร์ของพวกเราด้วย ถือเป็นเกียรติอย่างมากค่ะ”
คำพูดของซินดี้ทำให้ทุกคนหันมามองวูจิน วูจินฝืนยิ้มขณะมองซินดี้

“ถ้าไม่ถือสา ช่วยมาที่เวทีหน่อยได้ไหมคะ?”

เจ้าหน้าที่รีบมุ่งมาทางวูจิน เจ้าหน้าที่พูดพลางก้มตัวผ่านคนดูที่นั่งใกล้วูจิน

“ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับ ครับ ขอโทษนะครับ”

คนที่นั่งใกล้วูจินต่างยืนขึ้น หลีกทางให้วูจินออกไป เจ้าหน้าที่ที่มาหาวูจินพูดขึ้น

“เชิญทางนี้ครับ”

“ผมถือ อย่ามายุ่งกับผม”

“อะไรนะครับ”

ถ้ารู้อยู่แล้วว่านี่เป็นการรบกวนก็ไม่น่าจะมายุ่งกับเขา ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องขอนู่นนี่ให้เขารำคาญด้วย?

“บอกเธอไปว่าผมฝากสวัสดีแล้วก็ไปไกลๆ เริ่มรำคาญแล้วนะ”

“เอ่อ...”

“ไม่เข้าใจที่พูดเหรอ?”

วูจินเริ่มรวบรวมพลังเวทย์ เจ้าหน้าที่รู้สึกถึงพลังคุกคามจนต้องถอย

“ผม...ผมจะไปบอกแบบนั้น”

เจ้าหน้าที่รีบไปหาซินดี้ โรงหนังนั้นเงียบทุกคนจึงได้ยินทุกคำพูด ผู้กำกับหัวเราะพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

“ฮะๆ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอครับ ผมเชื่อว่าที่เขาพูดแบบนั้นเพราะอยากดูหนังของพวกเราเร็วๆ เชิญชมเลยครับ”

หลังเอ่ยลาสั้นๆ ผู้กำกับและนักแสดงก็ออกจากเวที ทุกคนคอยเหลือบมาทางวูจิน จีวอนกระซิบกับวูจิน

“ดูท่าแล้วซินดี้จะไม่รู้ว่าจบจากโรงเรียนเดียวกับนายนะ”

วูจินเห็นด้วย

วูจินไม่รู้จักซินดี้ ซินดี้ก็ไม่รู้จักวูจิน

ภาพยนตร์สนุกทีเดียว

เราส์ใช้เวทย์มนตร์ พวกเขาแสดงพลังที่ไม่มีในชีวิตจริง

เราส์มีค่าตัวสูงมาก แต่ภาพยนตร์ที่เอาเราส์มาแสดงไม่ต้องใช้สเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็คหรือ CG ถ่ายสดๆได้เลย

หนังเรื่องนี้มีเราส์แรงค์ F กับแรงค์ E

ถึงจะได้เงินไม่เท่าลงดันเจี้ยน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนอยากเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินเยอะๆ

เมื่อดูเสร็จก็ใกล้เวลานัด

เนื่องจากอากาศเริ่มเย็น คนอื่นๆจึงใส่เสื้อตัวหนา วูจินเพิ่งสังเกตว่าเสื้อโค้ทที่จีวอนใส่นั้นเก่ามาก

“เธอเคยบอกใช่ไหมว่ามีหนี้?”

“อ๋อ ฉันคืนไปหมดแล้ว ได้เงินชดเชยตอนออกจากงานน่ะ”

“อืม ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกล่ะ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันได้จากนายมาเยอะแล้ว”

วูจินรักษาใบหน้าให้เธอ แค่นั้นก็ชดใช้คืนไม่หมดแล้ว

“ช่วงนี้เจมินเป็นไงบ้าง?”

“ใกล้จะสอบเข้ามหาลัยแล้วเขาเลยยุ่งมาก ช่วงนี้เขาเรียนจริงจังมากเลยล่ะ”

“เหรอ? สงสัยจะผ่านแผลใจมาได้แล้ว”

“เอ๊ะ?แผลใจ?”

“ผู้หญิงที่ชอบเข้าโปรแกรมฝึกเป็นดารา หมอนั่นร้องแทบตายเลยล่ะ”

“เอ๊ะ จริงเหรอ?”

“ไม่รู้เหรอ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่จีวอนได้ยินเรื่องนี้ นึกว่าระหว่างพี่น้องไม่มีความลับต่อกันเสียอีก จีวอนรู้สึกผิดหวังเล็กๆที่เขาไม่บอก

“เพราะงี้เลยเรียนหนักเหรอ...”

“ฮะๆ ตั้งใจเรียนก็ดีแล้วนี่นา”

วูจินตัดสินใจจะไปเจอกับเจมินหลังสอบเสร็จ เด็กคนนั้นชอบบอกว่าอยากเข้ากิลด์ ถ้าอย่างนั้นเขาจะให้เจมินเข้ากิลด์เขา

วูจินตามจีวอนไปที่ร้านเนื้อย่างอันเป็นที่นัดหมาย

พวกเขาถูกนำทางไปที่ห้องที่นัมจีฮยุคจองไว้ แต่ยังไม่มีใครมา ผ่านไปสักพัก นัมจียุคกับปาร์คซูจินก็เปิดประตูเข้ามา

“ซูจิน”

“จะ...จีวอน!”

ปาร์คซูจินเป็นเพื่อนที่ติดต่อกับจีวอนจนถึงที่สุด เนื่องจากจีวอนยุ่งกับงานในโรงงานเธอจึงแทบไม่ได้เจอซูจิน พวกเธอจึงห่างกัน

เมื่อวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนในแดกู ซูจินเห็นข่าวที่มีรูปจีวอนกำลังจูบวูจิน ซูจินจำเธอได้และพยายามติดต่อจีวอนอีกครั้ง

เมื่อเห็นหน้าจีวอน ซูจินร้องไห้

“ดีจังเลยนะ! เธอดีขึ้นแล้ว”

“อื้ม ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“ฮึกๆ ดีแล้วล่ะ”

ซูจินร้องไห้ยินดีจากใจจริง ทำให้จีวอนร้องตาม พวกเธอกอดกันร้องห่มร้องไห้ นัมจีฮยุคเห็นแล้วรู้สึกแปลกๆเลยหันไปหาวูจิน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ?”

เพื่อนที่นึกว่าตายไปแล้วจู่ๆก็โผล่มาใหม่หลังผ่านไป 5 ปี มิหนำซ้ำยังเป็นเราส์ชั้นยอดของโลก ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกวัน

นัมจียุคกับวูจินเคยเครียดเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน เคยเรียนด้วยกันเล่นเกมด้วยกัน ผ่านไปแค่ 5 ปี แต่เพื่อนของเขากลายเป็นคนสำคัญขนาดนี้

ช่วยไม่ได้ที่จีฮยุคจะรู้สึกขัดเขิน

วูจินได้พบกับเพื่อนหลังผ่านไป 20 ปี...

“ว่าไง”

เขายกแก้วขึ้น

วูจินยิ้มพลางรินเหล้า ทีแรกเขานึกว่าคงจำใครไม่ได้เพราะเวลาผ่านไป 20 ปีแล้ว เขาพอจำชื่อบางคนได้ แต่อย่างอื่นเลือนรางไปแล้ว

‘นัมจีฮยุค ฉันจำได้’

วูจินเห็นหน้าเขาแล้วจำได้ เมื่อได้เห็นหน้าเพื่อนที่ไม่ได้เจอมา 20 ปี ความทรงจำต่างๆสมัยเรียนมัธยมปลายก็ตามมา

เขาดีใจ

ดีใจมากจนอยากร้องไห้

“นายเป็นไงบ้าง?”

“เดี๋ยว นายไปทำอะไรก่อนจะโผล่มาเนี่ย? ตอนเห็นข่าวฉันประหลาดใจเลย”

วูจินทักจีฮยุคอย่างสบายๆ เขาเลยหายตื่นเต้นไปด้วย

“เฮ้ มาดื่มกันเถอะ”

เพื่อนร่วมห้องของเขาในโรงเรียนมิโดมารวมกันที่นี่

มีเพื่อนที่เขาสนิท แม้จะมีคนที่เขาจำได้แต่หน้า ถึงอย่างนั้นช่วงเวลานี้สำคัญสำหรับเขามาก

ราวกับว่าผู้ไม่ตายของอัลเฟนได้เปลี่ยนกลับมาเป็นคังวูจินของโลก

ถ้าตายไปตอนนี้ เขาไม่เสียใจเลย

ครอบครัวเขาอยู่ที่นี่ เพื่อนเขาอยู่ที่นี่

เขาไม่เสียใจถ้าตายไประหว่างสู้ ที่นี่มีคนที่คอยรำลึกถึงเขา...

ถึงจะบอกว่าเขาไม่เสียดายถ้าตายไป แต่ตอนนี้เขายิ่งอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

อยากปกป้องครอบครัวและเพื่อนๆที่จำเขาได้

เขาไม่ได้สู้แทบเป็นแทบตายแค่เพื่อจะกลับมาที่โลก

การต่อสู้เพื่อปกป้องทุกคนเพิ่งจะเริ่มขึ้น

เมื่ออาหารกับเหล้ามาเสิร์ฟ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย

วูจินฟังเพื่อนๆคุยกันเรื่องเก่าๆที่เกี่ยวกับตัวเขา

เขารู้สึกอบอุ่นและสบายเมื่อรำลึกถึงความหลัง เหมือนเป็นเด็กทารกในอ้อมกอดแม่

ชั่วครู่นั้น วูจินหลุดจากความกังวลเรื่องทราห์เน็ตและดันเจี้ยนเบรก เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

***

หลังจากแยกกับเพื่อนๆ จีวอนกับวูจินเดินด้วยกันไปตามถนน

“เฮ้อ สนุกดีนะ”

วูจินถอนหายใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข

“ดีใจที่นายชอบ”

จีวอนก็ยิ้ม เธอรู้สึกเหมือนได้ตอบแทนความใจดีที่ได้รับจากวูจินบ้าง

“สิ้นปีนี้คงได้เจอเพื่อนเรามากกว่านี้อีกใช่ไหม?”

“นั่นสิ”

จีวอนก็ไม่ได้พบกับเพื่อนมากมายเช่นกัน สิ้นปีจะมีงานสังสรรค์ศิษย์เก่า เธอตั้งตารอให้งานนี้มาถึง

คนๆหนึ่งที่มองวูจินกับจีวอนมาสักพักแล้ว เดินมาหาพวกเขาพร้อมปากกากับกระดาษ

“คุณคังวูจิน ฉันเป็นแฟนคุณ ช่วยเซ็นลายเซ็นให้หน่อยนะ”

“...”

วูจินมองงงๆ คนรอบๆก็รีบเดินมาทางเขา คนแล้วคนเล่า

แม้จะได้ลายเซ็นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ทุกคนก็ยังอยากได้

“ผมไม่ใช่ดารา ทำไมต้องเซ็นให้?”

“แต่คุณเป็นบุคคลสาธารณะไม่ใช่เหรอ?”

“หลีกทางดีกว่าไหม? คุณรบกวนผมอยู่นะ”

คนที่รุมล้อมเขาชะงักไปเมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของวูจิน

วูจินเดินต่อ คนอื่นหลีกทางให้ วูจินจูงมือจีวอนออกมาจากฝูงคน

“อะไรกันวะ?”

“คนสาธารณะทำตัวแบบนี้ก็ได้เหรอ?”

วูจินหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงกระซิบด้านหลัง เขาจะหันไปพูดอะไรแต่จีวอนรั้งไว้

“ไปกันต่อเถอะ”

“เฮ้อ”

วูจินส่ายหน้า มองจีวอนแล้วเดินต่อ เพราะได้เจอกับเพื่อนเก่าเลยทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนไหวเหรอ? เขาโกรธเสียงนินทาทั้งที่ปกติไม่เคยสนใจ

“ฉันต้องซื้อรถสักคัน”

“เอ๋?”

ใช่แล้ว ในเมื่อวูจินกวาดล้างคนบนท้องถนนไม่ได้ เขาก็แค่ต้องหลบ

“นายมีใบขับขี่เหรอ?”

“ไม่มี”

“...”

วูจินถูกเรียกตัวไปต่างโลกตอนเรียนมัธยมปลาย เขาจะไปมีใบขับขี่ได้อย่างไร

“ก่อนอื่นก็ต้องไปสอบเอาใบขับขี่ล่ะนะ”

วูจินจูงมือจีวอนเดินไปตามถนน

***

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วูจินไปหลายๆที่หาข้อมูลการตั้งร้านกาแฟให้แม่ที่เบื่อๆ ตอนเย็นเขาหาเวลามาเล่นกับโซอา โซอาเริ่มคุ้นเคยกับเขามากขึ้น ช่างดีต่อใจของวูจิน

ซุงกูเข้าดันเจี้ยน 3 ดาวคนเดียวตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนเขาจะเข้าดันเจี้ยน 5 ดาวของอลันดาลกับวูจิน เขายังจองดันเจี้ยน 5 และ 6 ดาวของกิลด์อื่น การนอนในดันเจี้ยนมีข้อดีเพราะเวลาในดันเจี้ยนนานกว่าข้างนอก 4 เท่า ทำให้ประหยัดเวลานอนไปได้มาก

ซุงกูกินหินเพิ่มพลังสม่ำเสมอ และเรียนทักษะหลายๆอย่าง เขายังเรียนรู้วิธีรับมือมอนสเตอร์หลายๆแบบ เขาคิดค้นวิธีต่อสู้หลากหลายโดยใช้เวทย์กับทักษะของเขาเอง

เพียงสัปดาห์เดียว แต่ซุงกูใช้เวลามากกว่านั้นเพราะอยู่ในดันเจี้ยน มีเวลามากพอเปลี่ยนเราส์ฮงซุงกูจากแรงค์ C เป็นแรงค์ B

“ลูกพี่! ผมเปลี่ยนแรงค์แล้ว”

ซุงกูโชว์บัตรประจำตัวเราส์ให้วูจินดูอย่างภูมิใจ วูจินยิ้มมองซุงกู

“น่าเสียดาย ฉันกะจะเปลี่ยนนายเป็นแรงค์ A ให้ทันก่อนไปอเมริกานะนี่”

“ไม่หรอกครับลูกพี่”

เสียงซุงกูสั่นด้วยแรงอารมณ์

“ผมได้เป็นแรงค์ B เพราะลูกพี่สั่งสอน”

“อย่าลงดันที่สูงกว่า 4 ดาวล่ะ”

“แน่นอนครับลูกพี่”

ซุงกูเคลียร์ดันเจี้ยน 4 ดาวคนเดียวภายใต้การดูแลของวูจินหลายครั้ง เขาคิดว่าเขาน่าจะเข้าคนเดียวได้ไม่มีปัญหา แต่อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน

วูจินยื่นพลอยสีแดงขนาดเท่ากำปั้นให้ ซุงกูตาโตเมื่อรับมา

“ลูกพี่! นี่หินเปิดมิตินี่ครับ?”

“อย่าเผลอตายล่ะ ถ้ามีอันตรายก็ออกมา”

“ลูกพี่...”

ลูกพี่ยกไอเทมราคาหมื่นล้านวอนให้เขาง่ายๆ... ซุงกูทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“นายพัฒนาเป็นของมีประโยชน์แล้ว ถ้าตายไปก็น่าเสียดาย”

อ่า ลูกพี่ต้องเป็นแบบนี้ตอนกำลังซึ้งทุกที... ซุงกูรู้ว่าคำพูดของวูจินเย็นชาแต่ไม่ใช่ที่เขาคิดจริงๆ

“อย่าตายไร้สาระล่ะ ฉันลงทุนกับนายไปเยอะ ถ้าตายไปที่ลงทุนไปก็เสียเปล่าสิ”

“...”

เกือบเชื่อไปแล้วว่าวูจินเป็นคนอบอุ่น...

แต่วูจินก็ลงทุนกับซุงกูไปมากจริงๆ หินเพิ่มพลัง อาร์ฟิแฟคและตำราทักษะ... ยิ่งกว่านั้นแหวนที่ซุงกูใส่ยังเป็นอาร์ติแฟคมิติพิเศษที่ใส่ของได้ 3 อย่าง ราคาประมาณสามพันล้านวอน

หินเปิดมิติเป็นเหมือนเชือกช่วยชีวิต ซุงกูเก็บมันไว้ในแหวน

“งั้นก็พยายามเข้า”

“เฮะๆ ผมจะไปส่งลูกพี่ที่สนามบินนะครับ”

“ช่างเถอะ นายไปลงดันดีกว่า”

“เฮะๆ”

ซุงกูยังไม่หายเห่อเรื่องเราส์แรงค์ B จึงหัวเราะขึ้นมาเองเป็นพักๆ

วูจินกับมินชานเรียกแท็กซี่

ถ้าวูจินไปคนเดียวคงเกิดปัญหาอีก วูจินไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการร่วมมือกันสักนิด มินชานจึงร่วมทางไปด้วยเพื่อจัดการธุระของกิลด์อลันดาล ส่วนวูจินไปเพื่อเจอสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

“มินชาน นายเคยไปอเมริกาหรือเปล่า?”

“สามครั้งแล้ว”

“อ่อ”

“ท่านประธานล่ะ?”

“ไม่เลย”

นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินโดยสารเครื่องบิน เรื่องเคยไปอเมริกาหรือเปล่าไม่ต้องพูดถึง เงียบกันไปครู่ เสียงเรียกเข้าร่าเริงของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

[ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝาก.หัว.ใจ]

“สวัสดีครับ กิลด์อลันดาล จุงมินชานพูดอยู่ครับ”

มินชานคุยโทรศัพท์อย่างเคร่งขรึม

“ครับ เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกล่วงหน้า”

หลังคุยเสร็จ มินชานมีสีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรเหรอ?”

“โทรศัพท์จากรัฐมนตรีกลาโหมครับ พวกเขาได้ข่าวเรื่องการก่อการร้าย”

“งั้นเหรอ?”

“ท่านประธาน ดูเหมือนท่านจะตกเป็นเป้า...”

“ฉัน? พวกนั้นจะโจมตีฉันทำไม?”

มินชานไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อเห็นวูจินถามอย่างไม่รู้ตัวเลย วูจินสร้างศัตรูไว้มาก วูจินยักไหล่

“สงสัยพวกมันอยากจะหาอะไรให้ฉันทำแก้เบื่อระหว่างไปอเมริกา”

“...”

ถ้าวูจินพูดเล่นไม่สนใจคงมีปัญหา ถ้าเขาพูดจริงก็ยิ่งมีปัญหา

มินชานแอบถอนหายใจเงียบๆ




สารบัญ                                บทที่ 72


วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 70

บทที่ 70 – ไปอเมริกา (2)


[คุณได้รับวารีโลก]

[คุณได้รับแร่แอดมันเที่ยม]

[คุณได้รับแท่งเหล็กโบราณขึ้นสนิม]

[คุณได้รับคริสตัลเพิ่มความแข็งแกร่งคุณภาพสูงสุด]

วูจินเลียริมฝีปากเมื่อเห็นคลังว่างเปล่ามีไอเทมเติมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไอเทมพวกนี้เป็นวัตถุดิบสร้างของที่ขนาดในอัลเฟนยังเป็นไอเทมหายาก แต่ตอนนี้มันกำลังไหลมาเทมา

ที่มากที่สุดคือแท่งโลหะและคริสตัลเวทย์มนตร์ แต่วัตถุดิบหายากอื่นๆก็มีเช่นกัน

‘โชคดีแฮะ แบบนี้น่าจะตีชุดเดิมขึ้นมาได้’

อาวุธชุดป้องกันที่วูจินใช้ตอนอยู่อลันดาลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านเวทย์มนตร์และการควบคุมผีดิบ ถ้าเขาได้มาครบชุดก็น่าจะสร้างกองทัพผีดิบของเขาขึ้นมาใหม่ได้

วูจินต้องการมัน

การเพิ่มค่าสถานะโดยใช้โบนัสที่ได้จากการเพิ่มเลเวลกับกินหินเพิ่มพลังก็มีขีดจำกัด หากเขาได้อาวุธชุดป้องกันทั้งหมดก็จะเก่งกว่าเดิมอีก 3 เท่า

วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ มองหาเครื่องป้องกันที่เขาเคยใช้

‘สามล้านแต้ม?’

วูจินอ้าปากค้างเมื่อเห็นราคาของเครื่องป้องกันที่เขาเคยใช้ นี่ไม่ใช่ของที่เขาจะใช้ค่าความสำเร็จแลกมาได้เลย โชคดีที่มีสูตรสร้างเครื่องป้องกันขายในราคา 10,000 แต้ม

วูจินตัดสินใจซื้อมาหนึ่งอัน

[เกียรติยศแห่งทราช]

หมวกเกราะที่ผสานพลังของ ทราช เทพแห่งการทำลาย

วัตถุดิบ : หัวใจมังกร(1) แท่งทองขาว(3) หัวใจแวมไพร์(2)...

รายการวัตถุดิบมีมากกว่า 20 รายการ วูจินดูวัตถุดิบในร้าน ราคาต่างกันไป แต่เมื่อรวมกันแล้ว เขาต้องใช้
ประมาณ 4 ล้านแต้ม

ซื้อแบบสำเร็จรูปถูกกว่าซื้อวัตถุดิบมาสร้างเองมาก

‘งั้นก็ลองหาวัตถุดิบก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยซื้อ’

วูจินตัดสินใจรวบรวมวัตถุดิบเท่าที่จะหาได้ และซื้อเฉพาะอันที่หาไม่ได้จากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ วิธีนี้จะประหยัดไปได้บ้าง วูจินซื้อสูตรเครื่องป้องกันส่วนอื่นๆในเซ็ทของทราช

[การปกป้องจากทราช] – ชุดเกราะ

[ศักดิ์ศรีแห่งทราช] – เข็มขัด

[ทัณฑ์แห่งทราช] – ถุงมือ

[การเดินขบวนของทราช] – รองเท้าบูท

เมื่อซื้อเสร็จวูจินตรวจดูวัตถุดิบทั้งหมด

การหาวัตถุดิบโดยวิธีแยกส่วนไอเทมมีขีดจำกัด ตอนนี้เขายังสร้างชุดป้องกันไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว

‘อืม ฉันยังไม่รีบเท่าไหร่’

เขาจะค่อยๆหาซื้อในตลาด รวบรวมวัตถุดิบระหว่างเข้าดันเจี้ยน ถ้ายังไม่พอก็จะแยกส่วนอาร์ติแฟค
หลังจากพนักงานจัดไอเทมเสร็จแล้ว วูจินเรียกพวกเขามาใกล้ๆ

“ซุงกู นายโซโล่ดันเจี้ยน 4 ดาวไม่ไหวแน่ ไปเข้าดันเจี้ยน 3 ดาวซะ”

“ครับลูกพี่ ผมจองเวลาไว้แล้ว”

เป้าหมายของซุงกูไม่ใช่หาบลัดสโตนแต่เป็นการฝึกฝน หลายวันมานี้เขารู้สึกเหมือนในที่สุดก็ได้ผลตอบแทนจากตอนใช้แรงงานขุดบลัดสโตนเสียที

“เฮมิน นายคอยดูแลซุงกู”

“แน่นอนครับ”

ตอนนี้ซุงกูเป็นเราส์แรงค์ C และอีกไม่นานจะเป็นแรงค์ B เขากำลังเติบโตเป็นมือโปรที่แม้แต่กิลด์ใหญ่ๆยังคอยดูแลอย่างดี

เฮมินซึ่งเป็นคนของหน่วยสนับสนุนสนิทกับผู้จัดการฮงซุงกู ดังนั้นเขาย่อมไม่ละเลยหน้าที่สนับสนุนซุงกู

“มินชาน เรื่องตั๋วไปอเมริกาล่ะ?”

“เรียบร้อยแล้วครับ ท่านประธานมีกำหนดการไปในอีกหนึ่งสัปดาห์”

“ดี อืม นายจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเองได้ดีเลย”

มินชานไม่พูดอะไร เขาเขินแต่ก็ภูมิใจที่วูจินชม ไม่เหมือนในกิลด์แฮมเมอร์ที่เขามีอำนาจจำกัด ที่อลันดาลเขาจัดการทุกอย่าง

อดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่าได้ทำงานเต็มที่

วูจินมองหน้าไม่มีชีวิตชีวาของวูซุงฮุน

“นายก็รักษาอาการเมาค้างไป”

“...ครับ”

วูจินสั่งทุกคนเสร็จ เขาหันหลังเตรียมออกไป

“อ้อ ฉันเลือกสมาชิกใหม่เข้ามา เธอเป็นแรงค์ F อีกไม่นานคงมาที่นี่”

“อะไรนะ?”

นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ ทุกคนจึงสนใจกันใหญ่ วูจินยิ้ม

“เดี๋ยวพวกนายก็เห็นเอง แค่นี้ล่ะ ขยันเข้า”

“โชคดีครับท่านประธาน”

“โชคดีครับ”

วูจินออกจากที่ทำงาน โทรศัพท์หาจีวอน

“วูจิน”

“นักเขียนโด เธออยู่ไหน”

“อะไรของนาย? ฉันอยู่ที่ร้านกาแฟ”

“เดี๋ยวฉันไปหาที่นั่นนะ”

“ไม่ต้อง ฉันจะออกไปแล้ว เจอกันหน้าร้านนะ”

“ได้”

วูจินคุยเสร็จแล้วมุ่งหน้าไปทางคาเฟ่ แองเจิล แองเจิล

ระหว่างเขากำลังข้ามถนน เขาเห็นโดจีวอนออกมาจากร้าน

เมื่อเธอเห็นวูจินก็โบกมือทักทายด้วยสีหน้าสดใส วันนี้เธอยิ่งสวยกว่าปกติ

“ไปกันเถอะ แม่กับน้องฉันคงอยู่ที่ร้านอาหาร”

“ทำไงดีล่ะ ตื่นเต้นจัง”

“แค่กินข้าวเอง”

แม้จะได้ยินวูจิน แต่จีวอนก็ยังปิดความตื่นเต้นไม่ไหว

เมื่อวูจินกับจีวอนเดินด้วยกัน คนผ่านไปมารอบๆต้องเหลือบมองพวกเขาอย่างน้อยคนละครั้ง

“ว้าว”

“คนนั้นสวยจัง”

“ผู้ชายดูคุ้นๆนะ?”

“ผู้ชายเหรอ? จำไม่ได้แต่ไม่สนหรอก”

จีวอนสวยจนดึงดูดความสนใจของทุกคน แล้วยังสามารถทำให้ทุกคนจำหน้าของเราส์แรงค์ AA ที่ออกโทรทัศน์บ่อยๆไม่ได้

“ที่นั่นไง เข้าไปกันเถอะ”

“ฮู้ว”

จีวอนหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ความตื่นเต้นจางลง จากนั้นจีวอนกับวูจินเข้าไปในร้านอาหารที่นัดหมายไว้ด้วยกัน

***

มีคำกล่าวว่า ในโรงเรียนอนุบาล ครูสวยๆจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ดูเหมือนจะจริง

โซอาถามจีวอนไม่หยุด การสนทนาทำให้มื้ออาหารเป็นกันเอง

“ตั้งแต่ได้เห็นหน้าหนูในทีวี ฉันก็สงสัยมาก ฉันต้องเจอหนูสักครั้งให้ได้ ขอบคุณที่มานะ”

“ไม่ค่ะแม่ หนูดีใจที่แม่ชวนมา พูดตามสบายเถอะค่ะ”

“แหม ไม่ๆ หนูเป็นลูกสาวคนสำคัญของพ่อแม่นี่นา”

ดูท่าแม่ของวูจินจะชอบจีวอนพอดู หลังจากกินข้าวเสร็จ นางพาโซอาลุกขึ้นทันที

“พวกเราไปแล้ว เดทกันต่อเลยจ้ะ”

นางแยกตัวไปหลังจากกินข้าวไม่นานเหมือนไม่อยากรบกวนพวกเขา วูจินฝืนยิ้มพลางมองแม่จากไป แม่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับชีวิตรักของเขา หลังจากได้เจอผู้หญิงที่วูจินคบอยู่ก็พอใจแค่นี้

ครอบครัวเขามาแล้วก็ไป แทบทำให้จีวอนรู้สึกว่าจะตื่นเต้นไปทำไม

“ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เรามีมีทติ้งกันตอนเย็นใช่ไหม? ใครมาบ้าง?”

“นายรู้จักนัมจียุคกับปาร์กโซฮีหรือเปล่า”

“ชื่อคุ้นๆนะ”

“จียุคเคยสนิทกับนาย...”

“อ้าวเหรอ? ถ้างั้นฉันคงเข้ากับเขาได้ใหม่ แล้วทำอะไรกันต่อดี? ดูหนังไหม?”

“อืม ดูหนังกันเถอะ”

“ได้ เดินไปกันเถอะ”

โรงภาพยนตร์อยู่ห่างไปหนึ่งสถานี

พวกเขาเดินไปด้วยกัน วูจินจับมือจีวอนและแก้มเธอกลายเป็นสีแดง

***

ในรถตู้สีดำคันหนึ่ง

“เฮ้อ ไม่ชอบแบบนี้เลย”

ซินดี้ สมาชิกกลุ่มเกิร์ลกรุ๊ปที่มีกัน 4 คน ชื่อ ยูริเกิร์ล ถอนหายใจ

ผู้จัดการส่วนตัวของเธอหัวเราะ

“ฮะๆ นี่ก็งานนะ รีบไปเถอะ ผู้กำกับกำลังรอเราอยู่”

“เฮ้อ หนังนี่จะมีคนดูเยอะขึ้นเหรอถ้าเราทำแบบนี้?”

“มันเป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ เธอคิดเหรอว่าพอถ่ายทำเสร็จก็ถือว่าจบ? เรายังต้องโปรโมทหนังกันอย่างหนัก คนจะว่ายังไงถ้าไม่เห็นนางเอกไปโชว์ตัวบนเวที? ต่อให้คนดูหนังไม่เพิ่มขึ้นแต่เธอก็ยังได้แฟนเพิ่มขึ้นนะ”

“อา ฉันอยากพักจังเลย”

ยูริเกิร์ลอยู่มา 6 ปีแล้ว และความนิยมกำลังลดลงเพราะต้องแข่งกับเกิร์ลกรุ๊ปที่อายุน้อยกว่า แต่ความนิยมของซินดี้ยังคงเดิม และเธองานยุ่งจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน

เธอเปลี่ยนสายเป็นนักแสดงได้สำเร็จ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เธอขึ้นไปที่จุดสูงสุดอีกจุดของอาชีพนักแสดง

“รีบไปกันเถอะ”

“ก็ได้”

ซินดี้สวมแว่นกันแดด จากนั้นลงจากรถ เธอมีโหนกแก้มสูงตามธรรมชาติ เธอยิ้มอย่างสง่างาม แต่คนที่คิดว่าจะมามุงกลับไม่มี

ปกติแล้ว แม้เธอจะไปไหนมาไหนอย่างเป็นความลับแต่แฟนคลับก็จะมามุง แต่คราวนี้เธอไม่เห็นใครเลย พนักงานดูแลความปลอดภัยที่รอซินดี้อยู่ทักทายเธอ

“พี่ผู้จัดการ ฉันว่าเรารักษาความลับได้ดีเกินไปนะ”

“ก็...ว่างั้น”

ผู้จัดการตกใจนิดๆ

“แต่ก็ดี แบบนี้เราก็ได้พัก ไปเถอะ”

ซินดี้เข้าไปในห้องรับรอง และคนรุมล้อมอยู่ตรงด้านหนึ่งของห้อง

“ตรงนั้นมีอะไรเหรอ? ทีมอื่นนอกจากเรามาเหรอ?”

“เอ๋ รอแป๊บ ฉันไปเช็คก่อน”

ผู้จัดการวิ่งไปที่กลุ่มคน แล้ววิ่งกลับมา พูดด้วยท่าทางตื่นเต้น

“สุดยอดเลย!”

“อะไรเหรอ?”

“คังวูจิน! คังวูจินมาดูหนังด้วย”

“เหรอ?”

ซินดี้รู้ว่าคังวูจินคือใคร เขาเป็นเราส์ที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าดารา

“พี่”

“หือ?”

“ฉันอยากได้เบอร์โทรเขา”

ผู้จัดการขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด ไม่เห็นด้วย

“เฮ้ ทำไมทำตัวแบบนี้อีกแล้ว เราจะมีข่าวเสียหายไม่ได้แล้วนะ”

“พี่ ฉันบอกตอนไหนว่าจะจีบเขา? ฉันแค่จะสร้างความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่ดี ไปเอาเบอร์มาให้หน่อยสิ”

“เฮ้ ฉันสัญญากับท่านประธานไว้...”

“พี่อยากให้ฉันไปขอเองเหรอ? คนจะไม่จำหน้าฉันได้เหรอ?”

นั่นจะยิ่งเป็นปัญหาใหญ่

นักข่าวคงชอบเรื่องแบบนี้ และคงเข้ามารุมล้อมพวกเขา

ผู้จัดการพยายามหาข้ออ้างอื่น

“เขาพาแฟนมาด้วยนะ”

“เฮ้อ”

ซินดี้ถอนหายใจ ลดแว่นลงเล็กน้อย มองผู้จัดการด้วยสายตามั่นใจ

“พี่ ฉันซินดี้นะ ซินดี้แห่งยูริเกิร์ล”

“...”

อา เธอเป็นนักแสดงที่ดี ตั้งใจทำงาน ทำตัวดีกับเพื่อนร่วมงาน ผู้จัดการของซินดี้ชอบทุกอย่างในตัวเธอยกเว้นเรื่องที่เธอทำตัวเหมือนว่าการเป็นดาราหมายถึงเธอมีอำนาจทุกอย่าง

“หรือจะให้ฉันไปเอง?”

“ไม่...ฉันไปเอง”

ก่อนจะเป็นเรื่องใหญ่ ผู้จัดการมุดผ่านกลุ่มคนแน่นหนาเข้าไปแล้วกลับมา ซินดี้เห็นสีหน้าเขาก็เดาได้ว่าผลเป็นอย่างไร

“อะไรกัน? ไม่ได้เหรอ?”

“...อืม”

“พี่บอกหรือเปล่าว่าเป็นผู้จัดการของซินดี้?”

“บอก”

“แล้วเขายังไม่ให้อีกเหรอ?”

“เขาถามว่าเธอเป็นใคร...”

“...”

ซินดี้เห็นพนักงานดูแลความปลอดภัยพยายามกลั้นหัวเราะ เธอขยับแว่นแล้วเดินเข้าไปด้วยท่าทางสงบนิ่ง

‘ฮึ ไม่รู้จักฉันเหรอ? ปฏิเสธฉันเหรอ?’

ซินดี้บังคับตัวเองไว้ได้อย่างเฉียดฉิวเมื่อศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ เธอเดินไปห้องพักที่ทางโรงภาพยนตร์เตรียมไว้ให้ หลังจากทักทายผู้กำกับและนักแสดงหลักคนอื่น เธอเข้าไปในโรงฉายภาพยนตร์เพื่อทักทายแฟนๆจากเวที

***

วูจินยกตั๋วหนังขึ้นระหว่างเข้าไปในโรง เขากระซิบกับจีวอน

“เราโชคดีที่มีคนยกเลิกตั๋ว”

“นั่นสิ นายไม่อึดอัดเหรอ วูจิน?”

“ทำไม?”

“ที่คนมามุงนาย...”

วูจินยิ้ม

“ชินแล้วล่ะ เธออึดอัดเหรอ? อยากใส่หน้ากากอีกไหม?”

“คิก ไม่เอา ฉันไม่เป็นไร”

จีวอนคิดถึงหน้ากากแล้วหัวเราะ

ตอนใบหน้าเธอเป็นแผล คนมองเธอด้วยสายตาสมเพชและรังเกียจ แต่ตอนนี้สายตาที่คนอื่นมองมาเธอรับได้ ไม่สิ ที่จริงแล้วมันขุดความรู้สึกที่เธอฝังไว้ขึ้นมา

สมัยเรียน จีวอนถูกเรียกว่าเทพธิดา เธอเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน

วูจินกับจีวอนนั่งที่ ไม่สนใจสายตาของทุกคน รอให้หนังฉาย

“อ๊ะ ดูเหมือนนักแสดงจะออกมาทักทายบนเวทีด้วยล่ะ”

จีวอนรู้สึกโชคดี เพราะรอบนี้จำเป็นต้องมีการจองล่วงหน้า ดวงตาเธอเป็นประกาย

ผู้กำกับและนักแสดงออกมาแล้วแนะนำตัว

“สวัสดีครับ ผมลีเจฮง เป็นผู้กำกับของวีรสตรีมูริม”

“สวัสดีค่ะ ซินดี้ นักแสดงนำฝ่ายหญิงค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมชีเจซง รับบทเป็นทหารที่มีหน้าที่ปกป้องคุณซินดี้”

ระหว่างดูนักแสดงแนะนำตัว จีวอนก็นึกได้

“นายจำซินดี้คนนั้นได้ไหม? เธอเรียนชั้นเดียวกับเราตอนสมัยม.ปลาย นักเรียนการแสดงห้องแปดคนนั้นไง”

ขนาดเพื่อนห้องเดียวกันวูจินยังจำไม่ได้ แล้วเขาจะไปจำคนห้องอื่นได้อย่างไร? เขาพอจำได้แค่ว่าเคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นนักเรียนการแสดง...

“เหรอ? จำไม่ได้”

“อืม เธอน่าจะประสบความสำเร็จที่สุดในรุ่นเราแล้วล่ะ ไม่สิ นายน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าแล้วมั้ง?”

“ช่างมันสิ”

วูจินกำลังยิ้มอยู่เมื่อซินดี้มองมา

“เอ๊ะ? เธอมองมาทางพวกเราหรือเปล่า เธอจำนายได้เหรอ?”

“งั้นมั้ง”

ตอนจีวอนเข้าห้องน้ำ ผู้จัดการมาหาเขาเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์... เขาไม่ชอบเรื่องแบบนี้เลย

ซินดี้ยังจ้องวูจินต่อไป เธอยกไมโครโฟนขึ้นมาเตรียมพูด




สารบัญ                                         บทที่ 71

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 69

บทที่ 69 – ไปอเมริกา


“อ๊าก!”

ซุงกูเปิดประตูหลังของรถสุดรักแล้วส่งเสียงโหยหวน

“อึก เหม็น... เกิดอะไรขึ้น?”

วูจินบีบจมูกแล้วถอยหลัง

“เฮ้อ เขาอ้วก”

เฮมินมองไปที่ที่นั่งด้านหลังรถแล้วส่ายหน้า

ซุงฮุนยังหลับ แต่อาเจียนกำลังอุ่นๆอยู่ในรถของซุงกู

“ฉันเรียกคนขับให้แล้วนะ ท่านประธาน เราไปที่ถนนใหญ่กันเถอะ” จุงมินชานตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาพูดกับวูจินเมื่อโทรเรียกคนขับรถเสร็จ (TN-หมายถึงบริการเรียกคนขับรถให้มาขับรถตัวเองให้โดยจะคิดราคาตามระยะทางที่ขับ ส่วนใหญ่ก็เป็นกรณีเมาจนขับรถกลับเองไม่ได้แล้วไม่อยากทิ้งรถกลับแท็กซี่ เกาหลีมีใช้กันเยอะ ไทยมี ยูดริ้งค์ไอไดรฟ์ เป็นเจ้าแรก)

“นั่นสินะ รถนี่คงเอาคนไปได้ไม่หมด... ฉันไปแท็กซี่แล้วกัน เจอกันพรุ่งนี้ซุงกู”

“เจอกันพรุ่งนี้ กรรมการฮง”

“ดูแลคุณซุงฮุนด้วยนะครับ”

วูจิน มินชานกับเฮมินจากไป ซุงกูมองไปด้านหลังรถน้ำตาคลอ

“ฮึก ผมขอโทษ...ฮือ”

ซุงกูไม่รู้ว่าซุงฮุนละเมอหรือเมาจนไม่ได้สติ เขาสงสาร แต่ก็โกรธด้วย...

“บรื้นๆลูกพ่อ...”

เขาเพิ่งจะซื้อรถมาได้ไม่นานเลยแต่มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

ซุงกูกล้ำกลืนน้ำตาระหว่างรอคนขับรถมา

***

วูจินลงจากรถมายืนตรงถนนใหญ่หน้าซอยทางเข้าบ้าน

“เจอกันพรุ่งนี้”

“ครับ ท่านประธานเข้าบ้านเถอะ”

วูจินโบกมือแล้วเดินเข้าซอย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเขาเรียกบิบิออกมา ควันมารวมกันแล้วแมวตัวหนึ่งก็เกาะบนบ่าวูจิน

“เมี้ยว ถึงบ้านแล้วเหรอ?”

ตอนอสูรของวูจินอยู่ในห้องรออัญเชิญ พวกมันจะเห็นและรู้สึกเหมือนวูจิน สำหรับบิบิ เธออยากอยู่ในห้องรออัญเชิญมากกว่าอยู่บ้าน เธอไม่อยากอยู่ห่างจากวูจิน

“ทำไม? กังวลเหรอ?”

“เฮ้อ กังวลสิเหมียว”

วูจินหัวเราะแล้วเอาบิบิลงจากบ่ามาอุ้ม

“ป่านนี้โซอาคงสนิทกับหมาแล้วล่ะ”

แต่แรกโซอาก็อยากได้สุนัข ตอนนี้คงยอมปล่อยบิบิแล้ว

“รหัสเข้าบ้านตอนนี้คือ...”

วูจินเปิดบันทึกในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นกดรหัสทางเข้าหน้าประตูบ้าน

เมื่อเข้าบ้าน สิ่งแรกที่ต้อนรับวูจินคือสุนัข มันวิ่งมาทางเขา

“โฮ่งๆๆ แฮ่”

“หือ?”

เขาไม่อยู่ไม่กี่วัน แต่สุนัขโตขึ้นมาก วูจินดีดนิ้วใส่หน้าผากมัน

“ไม่เห็นกันไม่กี่วันก็แยกเขี้ยวใส่ซะแล้ว”

วูจินยกสุนัขตัวค่อนข้างใหญ่ขึ้นมา จ้องตามันเขม็ง สุนัขทนสบตาไม่ไหวเลยหันไปทางอื่น

“หงิงๆ”

โซอามาช่วยสุนัขเอาไว้

“แม่ขา! พี่ชายมาแล้ว”

โซอากระโดดดึ๋งๆมาทางวูจิน เขาปล่อยสุนัขแล้วอ้าแขนกว้าง

“โอ้โห โซอาคิดถึงพี่หรือเปล่า?”

“อื้อ”

หลังจากกอดลวกๆ โซอาหันไปทางบิบิแล้วคว้าตัวไว้ทันที

“บิบิ คิดถึงพี่สาวหรือเปล่า?”

“...”

“เหมียว?”

บิบิไม่อยู่ แทนที่โซอาจะลืมกลับยิ่งคิดถึงเธอมากขึ้น

วูจินหัวเราะแหะๆ บิบิส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางเขา

“โซอาไม่ชอบเล่นกับหมาเหรอ?”

“หนูเล่นกับบ็อกวี แต่บิบิดีกว่า”

“บ็อกวีนี่ชื่อหมาเหรอ?”

“อื้ม!”

หลังจากตอบรับอย่างสดใส โซอาอุ้มบิบิวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วหาพ้อยท์เตอร์ ตอนนั้นแม่ของวูจินก็ออกมา

“กลับมาแล้วเหรอวูจิน?”

“ครับ”

“คุยกันหน่อยเถอะ”

วูจินตามแม่เข้าไปในห้องครัว หลังจากนั่งตรงโต๊ะกินข้าวตัวเล็ก แม่เขาเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วให้วูจิน

“ลูกดื่มเหล้ามาเหรอ?”

“ครับ”

“อ้อ กับประธานาธิบดีเหรอ?”

“เปล่า ผมไปกินเลี้ยงกับคนที่ที่ทำงาน”

ดูท่าข่าวจะรายงานหลังจากกลับจากเกาหลีเหนือเขามุ่งหน้าไปที่ชองวาแดทันที วูจินรู้สึกแปลกเลยเปลี่ยนเรื่อง

“อีกหน่อยผมจะไปเจอประธานาธิบดีเอง แล้วทำไมโซอายังไม่หลับ?”

งานเลี้ยงบริษัทเลิกเร็ว แต่ตอนนี้ก็ปาไป 5 ทุ่มแล้ว

“พรุ่งนี้วันเสาร์ โซอาบอกว่ารอเจอพี่ก่อนค่อยหลับ”

“หืม”

งั้นทำไมเธอถึงเล่นแต่กับบิบิล่ะ?

“โซอายังไม่ชินกับลูกเท่าไหร่ ลูกควรรู้ไว้”

“...”

โซอาเล่นกับบิบิแต่เหลือบมาทางครัวบ่อยๆ

วูจินมาคิดดูแล้วเขาเคยอยู่กับโซอาตอนเธอยังเป็นเด็กทารก แต่โซอาจำเขาไม่ได้ อยู่ๆเธอก็ได้พี่ชาย ซึ่งไม่ค่อยกลับบ้าน...

“อืม หรือเราจะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวดี?”

“แม่ไม่ได้บอกเพราะจะเอาเวลาไปจากลูกที่กำลังยุ่งๆอยู่นะ”

วูจินรู้สึกเขินเมื่อฟังคำพูดของแม่

“เมื่อก่อนโซอาป่วยบ่อย หมอบอกว่าตอนนี้เธอแข็งแรงดี แต่บางครั้งก็มีอาการเหมือนเมื่อก่อน”

วูจินกับพ่อของเขาหายตัวไป แม้อย่างนั้นค่ารักษาพยาบาลของโซอาก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ครอบครัวจนลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อวูจินเข้าดันเจี้ยน ครอบครัวก็มีเงินซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ลีซูกยุงจึงพาลูกสาวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ผลการตรวจร่างกายกลายเป็นว่าโซอาไม่ได้ป่วยเป็นอะไร

“โซอายังเด็กนัก เห็นลูกเป็นลมบ่อยๆแม่ก็...”

เมื่อแม่เริ่มมีน้ำตา วูจินก็หนักใจ

“เด็กคนนั้นป่วย แต่หมอเอาแต่บอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แม่ห่วงจนไปพาไปหาคนทรง เค้าบอกว่าโซอาถูกผีสิง”

“เอ้อ ไม่มีผีตัวไหนมาสิงโซอาหรอกแม่”

คนที่โดนผีสิงคือวูจิน ไม่มีวิญญาณร้ายตัวไหนตามหลอกหลอนโซอา

และเขาก็ระวังตัวมากไม่ให้ผีมายุ่งเกี่ยวกับคนในครอบครัวเขา ตอนต้องนอนห้องเดียวกันวูจินก็พยายามอยู่กับครอบครัวให้น้อยที่สุด

“ลูกรู้เรื่องแบบนี้ได้ไง?”

จะตอบแบบไหนดีล่ะ ...แม่ ลูกชายแม่น่ะผู้เชี่ยวชาญเรื่องผีเลย

“ถึงจะรู้ว่าคนทรงคนนั้นพยายามจะหลอกแม่ แต่คำพูดของเธอทำให้แม่ไม่แน่ใจ”

“ไม่ๆ คนทรงนั่นเหมือนหลอกลวงเลย...”

“แม่พูดเพราะแม่โกรธที่ตัวเองช่วยอะไรลูกชายที่กำลังทำหน้าที่สำคัญไม่ได้ นานๆทีก็ดูแลน้องตัวเองบ้างนะลูก”

ลีซูกยุงเห็นคังวูจินในข่าวทุกวันจึงรู้ว่าเขายุ่ง ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะทำงานให้เกาหลีเหนือสำเร็จไปหรือ?

นางไม่อยากให้วูจินกังวลเรื่องครอบครัว อยากให้เขาทำงานได้เต็มที่ แต่อาการเจ็บป่วยของโซอาเกินกำลังของนาง

เด็กน้อยกำลังเจ็บปวดแต่ไม่มีวิธีรักษา เห็นแล้วนางเจ็บใจจนแทบพูดออกมาไม่ได้

“ขอโทษครับแม่ ผมจะสนใจน้องให้มากกว่านี้”

วูจินกอดแม่ที่กำลังสะอื้นแน่น

วูจินไปที่ห้องนั่งเล่น เล่นกับโซอาสักพัก มีแมวเป็นตัวกลางพวกเขาเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานไม่มีเคอะเขิน

จนดึกแม่ของวูจินจึงพาโซอาที่ยังอยากเล่นต่อเข้านอน ในห้องนั่งเล่นเหลือแต่วูจิน บิบิและบ็อกวี

“โฮ่งๆๆ”

หลังจากเล่นมาเต็มที่ บ็อกวีก็ยังไม่หายตื่นเต้น มันทำจมูกฟุดฟิดแล้วถูไถหน้ากับบิบิ

“เมี้ยว! ไปไกลๆนะเมี้ยว”

ปั่บ!

“เอ๋ง”

บิบิตะปบหัวบ็อกวี มันวิ่งหนีไป

“เมี้ยว ไปหาแมวตัวใหม่กันเถอะ เราขอฆ่ามอนสเตอร์ดีกว่า นี่มันเหนื่อยไป”

“ก็แค่เล่นกับโซอาแป๊บเดียวเอง มันแย่นักเหรอ?”

“เมี้ยว มันเหนื่อยเพราะเราต้องแกล้งเป็นแมวมากกว่า”

...เครียดเพราะเรื่องนี้เอง วูจินบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“ทนอีกนิดนะ”

“ก็ได้เหมียว”

“งั้นอยู่ที่บ้านอีกสักพัก ช่วยสังเกตด้วยว่าโซอามีผีร้ายเข้าใกล้หรือเปล่า”

เขาไม่คิดว่าโซอาจะถูกผีตามสิง แต่เมื่อแม่พูดเขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ วูจินคิดจะให้กาเกบิตามโซอา แต่กาเกบิยังเป็นเงาระดับต่ำจะส่งผลไม่ดีกับคนที่ถูกสิง

ตอนนี้ บิบิเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

“วิญญาณของเด็กคนนั้นเข้มแข็งมากเหมียว วิญญาณร้ายกระจอกเกาะเธอไม่ได้หรอกเมี้ยว”

“เผื่อไว้ก่อนนะ”

“เข้าใจแล้วเหมียว”

บิบิเป็นอสูรของวูจิน เธอจึงเข้าใจความรู้สึกของเขา รู้ว่าครอบครัวสำคัญต่อเขาขนาดไหน

บิบิตามวูจินเข้าห้องนอน

“หงิงๆ”

เหลือบ็อกวีตัวเดียว มันมองทางเดินมืดๆอย่างกังวล ไม่นานประตูของวูจินก็แง้มออก บิบิเดินออกมา

“เมี้ยว เข้ามาสิเมี้ยว”

บ็อกวีกระดิกหางตามบิบิเข้าไปในห้องวูจิน แล้วนอนตรงปลายเตียง

***

วันนี้เป็นวันเสาร์ แต่วูจินเข้าออฟฟิศแต่เช้า

แม่ของวูจินอยากเจอโดจีวอน พวกเขาจึงนัดทานอาหารกลางวันด้วยกัน ตอนเย็นทั้งสองคนจะไปเจอกับเพื่อนสมัยเรียน ก่อนหน้านั้นเขาต้องมีงานต้องทำให้เสร็จ

เพราะเป็นวันเสาร์ พนักงานเลยไม่มาทำงาน มีแต่สมาชิกแรกก่อตั้งที่มาทำงานแต่เช้า พวกเขากำลังรอวูจิน

“ท่านประธาน”

“เฮมินล่ะ?”

“อยู่ในห้องเก็บของ”

“ไปที่นั่นกันเถอะ”

มินชานได้รับคำสั่งจากวูจินให้ซื้อตึกทั้งชั้น มินชานจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าขนย้ายสำนักงานอื่นๆที่อยู่ชั้นเดียวกันแล้วติดต่อผู้รับเหมามาเคลียร์พื้นที่จนหายรก นี่ยังแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยด้วย

พวกเขาตัดสินใจใช้พื้นที่ราว 1800 ตารางฟุตของชั้นเป็นที่ตั้งแผนกขายกับห้องเก็บของไว้เก็บอาร์ติแฟค
ห้องเก็บของเก็บอาร์ติแฟคจำนวนไม่มาก ใส่ได้ไม่เต็มคันรถบรรทุก หนำซ้ำยังเป็นไอเทมธรรมดากับวัตถุดิบทั่วไปเสียส่วนใหญ่

ข้อแรก อลันดาลมีเราส์เพียงสองคน วูจินกับซุงกู ช่วยไม่ได้ที่หาของมาได้เท่านี้

อัตราการตกของอาร์ติแฟคจะสูงเฉพาะพิชิตดันเจี้ยนครั้งแรก ดังนั้นเทียบกับจำนวนเราส์ที่มีแค่สองคน หามาอาร์ติแฟคมาได้เท่านี้ก็ถือว่ามากแล้ว

“หายเมาแล้วยัง?”

“...น่าอายจริงๆผม”

วูซุงฮุนยังมีอาการเมาค้าง เขาคอตก

ด้านมินชานกับเฮมินผ่านชีวิตพนักงานบริษัทมาโชกโชน สีหน้าจึงเป็นปกติ ส่วนซุงกูถูกฝึกฝนจนร่างกายแข็งแกร่ง เขาดูสดชื่น

“งั้นฉันเอาออกมาแล้วนะ?”

“ครับ”

ทุกคนมองวูจินอย่างคาดหวัง วูจินเปิดคลังแล้วเริ่มเอาของสะสมของคิมจองอึนออกมา

คิมจองอึนไม่ใช่เราส์ แต่เขารวบรวมอาร์ติแฟคกับตำราทักษะไว้เป็นจำนวนมาก ช่องเก็บของในคลังวูจินไม่พอจนต้องใช้ค่าความสำเร็จซื้อช่องเพิ่ม

ราวกับวูจินกำลังคว้าไอเทมมาจากอากาศ ไอเทมเริ่มไหลลงพื้นเหมือนกองผ้าในตลาด

“...”

จำนวนไอเทมห่างชั้นจากการหาจากดันเจี้ยนหลายๆรอบไปไกลโข ทุกคนอ้าปากค้าง

“ทำอะไรกันน่ะ? จัดของสิ”

“อะไรนะครับ?”

“แยกเป็นไอเทมที่ขายในตลาดได้กับของโจร”

...ท่านประธานยอมรับว่าเป็นของโจรหน้าตาเฉยเลยแฮะ

มินชานคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกถ้าวูจินดื้อดึงสั่งให้เขาเอาไอเทมทั้งหมดไปขายตลาด มินชานซึ้งใจ

วูจินเทอาร์ติแฟคมากมายออกมาจนเต็มพื้นที่ห้องเก็บของ ถ้าจะเคลื่อนย้ายคงต้องใช้รถบรรทุก 3 คัน
ทุกคนเริ่มแยกของตามคำสั่งของมินชาน

วัตถุดิบทั่วไปกับตำราทักษะที่มีจำนวนมากไม่น่าสนใจนัก พวกเขามองหาไอเทมที่มีรูปร่างพิเศษหรือความสามารถแปลกๆ

โดยคร่าวๆ พวกเขาแยกกองหนึ่งเป็นไอเทมที่มองก็บอกได้ว่าคืออะไร

ไอเทมแปลกๆ มีบ้างที่มีค่าต่ำ แต่ส่วนใหญ่เป็นไอเทมประสิทธิภาพสูง มีอาร์ติแฟค 10 ชิ้นที่กะราคาคร่าวๆอย่างต่ำก็หนึ่งถึงสองพันล้านวอน

“พวกนี้ฉันใช้แล้วกัน”

วูจินเอาต่างหูคู่หนึ่งมาใส่ มันไม่โดดเด่นนัก ส่วนอาร์ติแฟคอื่นๆเขาเก็บใส่คลัง

เขาเปิดใช้งานทักษะขั้นพัฒนาของเขา ใส่อาร์ติแฟคทั้งหมดลงใน [กล่องผสมของ] ด้านล่างมีตัวเลือกสองข้อ ปุ่ม[ผสม]ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และปุ่ม[แยก]ส่องแสงกระพริบ

วูจินกดปุ่ม[แยก]อย่างไม่ลังเล



สารบัญ                                     บทที่ 70