วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 68

บทที่ 68 – ความคิดของวีรบุรุษ


เนื้อย่างหมดไปอย่างรวดเร็ว เหล้าก็ถูกเติมไปหลายรอบ หลายคนเมาหน้าแดง

โดยเฉพาะวูซุงฮุน เขาเมาเร็วกว่าใคร ดวงตาปรือ “อือ ท่านประธานคอแข็งจัง”

วูซุงฮุนโม้ไว้ว่าสมัยหนุ่มๆเคยเที่ยวมาเยอะกลับเมาก่อน เขาหันไปทางวูจิน วูจินดื่มเหล้าโซจูในแก้ว สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย

วูจินยิ้ม

เทียบกับเหล้าของอัลเฟน โซจูนี่ไม่ต่างกับน้ำเปล่า

“ฮึก ท่านประธานดื่มเก่ง แล้วตีผมทำไม??”

“เฮ้ อย่าทำตัวแบบนี้สิครับ”

ซุงกูกับเฮมินพยายามห้ามวูซุงฮุนพลางสังเกตวูจิน

“เจ็บนะ ผมขายโทรศัพท์แพงแล้วทำไม? ไม่เห็นเป็นไรเลย! ฮึก”

“...”

ควรจะเสียใจดีไหมที่ไม่ฆ่าหมอนี่?

ซุงกูกับเฮมินเห็นวูจินหน้าบูด พวกเขาจึงรีบจับวูซุงฮุนเข้าไปในรถ ซุงฮุนพอหลังพิงเบาะก็หลับผล็อย

“เฮ้อ”

ซุงกูพาซุงฮุนไปนอนเสร็จแล้ว เขาถือจังหวะกำลังเมาถามวูจิน

“ลูกพี่ครับ”

“อะไร?”

“ผมเห็นลูกพี่ไม่ค่อยสนใจสาธารณชนเลย น่าเป็นห่วงนะครับ...”

วูจินยิ้ม

“ทำไมต้องสนด้วย?”

“อืม ไม่รำคาญเหรอครับ นักข่าวจะเข้ามารุม...”

“ฉันชินแล้วล่ะ”

“นั่น...”

ซุงกูพูดให้วูจินเข้าใจเขาไม่ได้ เขารู้สึกอึดอัด จุงมินชานที่ฟังอยู่ข้างๆเข้าใจว่าซุงกูพยายามจะพูดอะไร จึงช่วยพูดให้

“มันอาจจะมีปัญหาทางกฎหมายนะ แล้วก็ต้องห่วงเรื่องถูกสังคมกีดกันด้วย ท่านประธานจะสร้างศัตรูไปทำไม”

“ฉันสร้างศัตรูเหรอ...”

วูจินลูบคาง เขาดื่มอีกแก้วแล้วมองซุงกู มินชานและเฮมิน ทุกคนเป็นสมาชิกกิลด์อลันดาล ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้เรื่องนี้

“เมื่อก่อน ฉันก็เหมือนพวกนาย ห่วงเรื่องประเทศอื่น กลัวถูกคนเกลียด กังวลว่าคนอื่นมองฉันยังไง”

เกิดอะไรขึ้นที่อลันดาลจึงทำให้เขาเป็นคนไร้เหตุผลแบบตอนนี้?

“ที่ตอนนี้มีกฎหมายเพราะมีประเทศ พวกนายคิดว่าจะมันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”

“อะไรนะครับ?”

ทุกคนถูกคำถามประหลาดของวูจินดึงความสนใจ

“ดันเจี้ยนหลายๆแห่งจะระเบิด ในอีกไม่นานนักหรอก”

เขาไม่มีหลักฐานยืนยันคำพูด แต่เขารู้สึก ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดในไม่ช้า ซ้ำยังเป็นการระเบิดในหลายๆที่

“ลองคิดสิว่าจะเป็นยังไงถ้าดันเจี้ยนทุกแห่งบนโลกระเบิดพร้อมกัน”

“...”

จุดจบของโลก

มันน่ากลัวจนไม่กล้าคิด ไม่มีใครเอ่ยปาก แทบจะสร่างเมากันหมด

“แต่พวกเรามีกองทัพ คงป้องกันได้”

วูจินแค่นเสียง

“ถ้าแค่มอนสเตอร์ 6 ดาวก็ป้องกันได้ แต่ถ้าเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงกว่านั้นล่ะ?”

“หา?”

“คิดว่านี่เป็นช่วงท้ายของเกมเหรอ? อืม มอนสเตอร์ 6 ดาวก็เหมือนหมาบ้าน อีกไม่นานพวกเสือสิงห์กระทิงแรดจะแห่กันออกมา ถ้ายังไม่พอก็อาจมีมังกรตามมาด้วย”

“...”

คำพูดของเขาเชื่อถือได้หรือเปล่า?

“ถ้าพวกสเป็คเตอร์ออกมาตอนนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็หมดประโยชน์ พวกนายจะกันมันยังไง? โจมตีมันเหรอ? ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย ถ้าโลกล่มสลาย เขตแดนที่แบ่งแยกประเทศก็หมดความหมาย ศีลธรรมจะทรุดโทรม เหลือแต่ความคิดเอาตัวรอด มันเป็นสัญชาติญาณของพวกเรา”

“...”

ซุงกูตัวสั่นนิดๆ

วูจินพูดอย่างสงบ

“ทั้งโลกจะเข้าสู่ภาวะสับสน รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น? พวกบ้าๆจะโผล่ออกมา การข่มขืนกับปล้นกลายเป็นเรื่องปกติ สัตว์ประหลาดน่ากลัว คนสิอ่อนแอ คนเลยหันมาแย่งชิงกันเอง”

“ผมเชื่อว่าคนแบบที่ท่านประธานว่าต้องมี แต่ผมก็แน่ใจว่าเราจะรวมพลังกันสู้”

ใช่ มีคนที่ทำแบบนั้นเหมือนกัน ผู้กล้า นักรบ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ มีจอมเวทย์ในหอคอย พระราชาในอาณาจักรที่เป็นมิตรต่อกัน อัศวิน ทหาร...

“เปล่าประโยชน์ พวกเขาจะพยายามต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว สุดท้ายก็แพ้ไป มนุษย์ถูกกระตุ้นให้หันหลังให้เผ่าเดียวกัน”

มีหลายเผ่าที่ยอมขึ้นต่อทราห์เน็ตและกลายเป็นทาส พวกก็อบลินและโคบอลด์ล้วนเป็นทาสของทราห์เน็ต

“ถ้าอย่างนั้น... ทำยังไงดีครับ? ต้องมีใครหยุด...”

ซุงกูพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หันไปมองวูจิน คนๆนั้นอาจเป็นวูจิน? จะว่าไป ไม่มีใครเคยพิชิตดันเจี้ยน 6 ดาวด้วยตัวคนเดียวมาก่อน

“เพราะงั้นเราถึงต้องเตรียมตัว”

โลกเป็นบ้านของวูจิน แม่และน้องสาวและเพื่อนของเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงพยายามปกป้องที่แห่งนี้

“นายอยากให้ฉันสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง? ข่าวด้านลบจากสื่อมวลชน?หมายเรียกจากตำรวจ? เปล่าประโยชน์ ฉันต้องทำให้ทุกคนรู้ต่างหาก”

เขาอยากให้ทุกคนรู้ว่าอะไร?

“ฉันอยากให้ทุกคนรู้ว่าฉันโหดเหี้ยม บ้าอำนาจขนาดไหน...”

เขาไม่สนว่าเมื่อโลกเพ่งความสนใจมาที่เขาแล้วโลกจะพูดถึงเขาอย่างไร ส่วนใหญ่แล้ววูจินไม่มีความคิดเรื่องความยุติธรรมหรือมโนธรรม 20 ปีที่ผ่านมามันโหดเกินกว่าอุดมคติแบบนั้นจะเหลือรอดอยู่ในตัวเขา

“ฉันไม่สนว่าโลกจะว่าฉันยังไง ฉันไม่คิดจะเป็นฮีโร่”

ราชาที่ทรงพลังต่างหาก

“ในอลันดาล ไม่มีใครหนี คนที่สู้อย่างกล้าหาญจะมีที่พักพิง คนที่หนีจะถูกทำให้เป็นผีดิบแล้วเดินทัพเข้าสู้กับศัตรู”

วูจินยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของทุกคน

“อย่างน้อย ในอลันดาลมนุษย์ไม่สู้กันเอง ถ้าทำแบบนั้น ราชาจะเปลี่ยนพวกเขาเป็นทหารที่ไม่มีวันตาย พวกเขารู้ดีว่าราชาโหดเหี้ยมเด็ดขาดขนาดไหน”

ซุงกูกลืนน้ำลาย

“หรือว่า... ประเทศที่เรียกว่าอลันดาลนี่เกี่ยวข้องกับกิลด์พวกเรา...”

วูจินยิ้ม

“แหงสิ ฉันเคยเป็นราชาของอลันดาล”

ถึงว่าเขาฮัมเพลงไปพลางฆ่าเบโดซูทั้งปาร์ตี้ได้

“...”

มินชาน ซุงกูกับเฮมินหุบปากเงียบ ใบหน้าเคร่งเครียด

มินชานถามอย่างระวัง

“ท่านประธานจะไม่ประกาศเรื่องนี้และขอความช่วยเหลือเหรอ?”

“ฮ่า”

วูจินหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

“ใครจะช่วยล่ะ? คนในโลกนี้เหรอ? ให้ฉันบอกทุกคนให้ฝึกฝนไว้และเตรียมตัวให้พร้อม เพราะทั้งโลกจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์เหรอ?”

“แบบนั้นจะรอบคอบกว่าไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันแน่ใจว่าพวกนั้นไม่ทำอะไรหรอก”

“ถ้าพวกเขารู้สึกถึงอันตราย ผมแน่ใจว่าเราจะร่วมมือกันได้”

วูจินคีบเนื้อใส่ปากเคี้ยว อ่า ยังไม่สุก

เขาคายเนื้อใส่จานเปล่า จากนั้นดื่มเหล้าล้างปาก

“ขนาดรู้ว่ามันเป็นการทำลายธรรมชาติพวกเราก็ยังขุดหาแร่เชื้อเพลิง”

แต่นี่เป็นปัญหาที่เร่งด่วนกว่าธรรมชาติถูกทำลายนะ มนุษย์กำลังจะสูญพันธ์

“มินชาน นายคิดว่ามนุษย์จะหยุดใช้พลังงานจากแร่เชื้อเพลิงไหม ถ้าพูดแค่ว่า มาปกป้องโลกกันเถอะ”

“...”

วูจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางบนโต๊ะ

“ทันทีที่เห็นเจ้านี่ฉันก็เลิกคิด”

“มือถือมันเกี่ยวอะไร...”

เครซี่เรด

นี่คือเครื่องมือสมัยใหม่ที่ใช้บลัดสโตนเป็นต้นกำเนิดพลังงาน

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆฉันห้ามไม่ให้ทุกคนขุดบลัดสโตนจากดันเจี้ยน เคลียร์ดันเจี้ยนได้ แต่ห้ามเอาอะไรออกมา”

“...”

ถ้าไม่ได้อะไรจากการเข้าดันเจี้ยน ไม่มีใครยอมเสี่ยงตายเข้าไปหรอก

“ต่อให้หยุดขุดบลัดสโตน ปริมาณมานาบนโลกก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันช่วยทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกช้าลง ช่วยให้คนมีเวลาเตรียมพร้อม คิดว่าไง มีเหตุผลใช่ไหม? แล้วคิดว่าคนจะทำตามหรือเปล่า?”

“...”

มินชานจนคำพูด

ไม่หยุดหรอก ไม่มีทาง

ธุรกิจดันเจี้ยนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีโลกไปแล้ว ผู้ปกครองและคนมีฐานะต้องการทรัพยากรที่เรียกว่าบลัดสโตน

รถไฟที่ขนระเบิดเต็มคันรถออกจากสถานีแล้ว

“ถะ...ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงดี?”

คำพูดของวูจินมีความเป็นไปได้สูงมาก ดังนั้นแม้แต่คนมีเหตุผลอย่างมินชานยังร้อนรน ราวกับจู่ๆภัยอันตรายก็คืบคลานมาทางเขา

วูจินยิ้ม

“ทำไง? เราดื่มเหล้าแบบนี้ แล้วก็เพิ่มพลังให้ตัวเองด้วยการเคลียร์ดันเจี้ยน”

ได้ยินเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วพวกเขาจะดื่มต่อได้อย่างไร? ฤทธิ์แอลกอฮอล์หายไปจากทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว

“ฮ้า”

วูจินดื่มอีกแก้วจนหมด จากนั้นเคี้ยวเนื้อกรุบกรอบ

คนทั้งสามมองวูจินอย่างเคร่งเครียด

“หือ?อะไรล่ะ?พวกนายจะให้ฉันทำยังไง?”

ต่อให้เขาขอให้ทุกคนปกป้องโลกก็ไม่มีใครฟังหรอก

มนุษยชาติไม่ร่วมมือกันเพราะตกอยู่ในอันตราย พวกเราร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์

“ตายก็ตาย รอดก็รอด ใครจะสู้ก็สู้ไป...”

“...”

ขนาดนักปรัชญายังพูดได้ไม่สงบเท่านี้

“ยังมีหวังอยู่ บลัดสโตนนำมอนสเตอร์มา แต่มันก็ทำให้เราส์มีพลังมากขึ้น”

นี่เป็นความหวังแรกที่วูจินเอ่ยปากออกมา ทุกคนมองอย่างคาดหวัง

ฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูต่างก็เพิ่มพลังขึ้นเรื่อยๆ

ผลแพ้ชนะขึ้นอยู่กับฝ่ายไหนจะใช้พลังได้มีประสิทธิภาพกว่า

“เพราะงี้ฉันถึงทำตัวรุนแรงไงล่ะ”

เขาอยากกลับมาที่โลกตลอดเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ที่นี่ต่างจากที่อัลเฟน ที่นี่คือโลก เป็นที่ๆวูจินจะต้องปกป้องให้ได้ เขาไม่ต้องการเห็นลูกน้องของทราห์เน็ตเข้ามาเดินลอยชาย

“ฉันอาจจะเจอเรื่องยุ่งยากอีก ฉันไม่เคยละเมิดกฎที่ตัวเองที่ตั้ง”

การกระทำของเขาเป็นไปตามกฎของอลันดาล

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา

คนที่แทงข้างหลังเขาต้องชดใช้

กฎของวูจินเป็นบรรทัดฐานที่เขาทำตามก่อนกฎหมายของโลก ในที่ๆซึ่งกฎระเบียบและคุณธรรมหมดไป กฎของเขาจะฟื้นฟูความเป็นระเบียบขึ้นมาใหม่

เมื่อความโกลาหลมาถึง คนจะหาและไปรวมตัวรอบๆคนที่เป็นแกนหลัก วูจินกำลังเตรียมตัวให้พร้อมกับการเป็นแกนหลักนั้น

ต่อให้กลายเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมเขาก็จะทำ

“ก็อย่างนั้นล่ะนะ พวกนายก็ทนฉันให้ได้แล้วกัน”

“...”

คำสั่งประหลาดเจาะจงมาที่หน่วยสนับสนุนของกิลด์อลันดาล

แต่พวกเขารู้สึกถึงหน้าที่อันหนักหนาไม่เหมือนเมื่อก่อน

“ถ้ามาหาเรื่องฉัน พวกมันต้องโดน เรื่องนี้ฉันต้องทำให้ทุกคนรู้ซึ้ง”

นี่คือแผนการของวูจิน เขาได้ตั้งพรมแดนกิลด์อลันดาลขึ้นมาแล้ว

***

สำนักงานใหญ่กิลด์ฮวาราง ห้องประธานกิลด์

มือที่แตะเมาส์เลื่อนสครอลลงมาเรื่อยๆ

ลีซังโฮขบฟัน

ยิ่งเห็นบทความเกี่ยวกับคังวูจินเขายิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ

“เชี่ย เป็นไปได้ยังไง?”

[วีรบุรุษผู้ช่วยเกาหลีเหนือจากวิกฤติภัย]

[ปฐมบทความร่วมมือเราส์เหนือ-ใต้? คังวูจินเป็นผู้มีความดีความชอบมากที่สุด]

[ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือใต้เร่งรุดพัฒนา เตรียมจัดงานพบปะครอบครัวครั้งที่ 20 ] (TN – เป็นงานที่จัดตรงพรมแดนให้ครอบครัวที่พลัดพรากจากกันหลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีได้เจอกัน งานนี้จัดนานๆครั้งและขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ด้วย สงครามสิ้นสุด คศ.1953 จัดงานนี้ครั้งแรก 1988 ครั้งล่าสุดจัดตอนปี 2014)

[ผู้พิชิตดันเจี้ยน เราส์แรงค์ AA คังวูจิน ทั้งโลกสนใจเขา]

[มีคังวูจิน ไม่มีอีกแล้วดันเจี้ยนเบรก]

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ยกย่องคนบ้าเลือดพรรค์นั้นเป็นฮีโร่ เฮอะ เจริญล่ะเกาหลีใต้!”

คังวูจินยังไม่หลุดข้อหาทำร้ายร่างกายแต่ในข่าวไม่พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่บรรทัดเดียว

ลีซังโฮเดือดจัดและหาวิธีทำให้เย็นลงไม่ได้

ตี๊ดๆ

เสียงอินเตอร์โฟนดังขึ้น เขากดปุ่มรับอย่างหงุดหงิด

“มีอะไร”

[ท่านประธานคะ ท่านอธิบดีกรมตำรวจกำลังรอสายค่ะ]

“อ้อ?ส่งมาสิ”

อธิบดีกรมตำรวจเป็นคนใหญ่คนโต ลีซังโฮเคยพบเขาแค่ครั้งเดียว เขาพยายามเข้าใกล้คนนั้นซึ่งไม่ง่ายเลย ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนั้นจะโทรหาเขาก่อน

“ประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮพูดครับ”

[ผมลีชุลดง]

“ครับ ท่านลี เราเคยเจอกันเมื่องานวันเกิดครบรอบ 60 ปีของผู้แทนเช”

[ผมไม่อ้อมค้อมนะ เรื่องคุณคังวูจินให้มันจบไปเถอะ]

“อะไรนะครับ เรื่องนั้นถูกถ่ายทอดสดไปทั้งประเทศนะครับ ประชาชน 50 ล้านกว่าคนเห็น แต่ท่านจะปล่อยมันไปเหรอครับ?”

[เบื้องบนสั่งมา ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับคุณ แต่ปล่อยมันไปเถอะ]

“...ไม่มีเหตุผลเลย”

[ผมบอกคุณแล้ว ถือว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ แค่นี้ล่ะ]

ตู๊ดๆ

“ท่านครับ ท่าน?”

เส้นเลือดตรงหน้าผากลีซังโฮปูดขึ้น เขาขว้างโทรศัพท์ในมือทิ้ง สายอินเตอร์โฟนกระชากทั้งเครื่องลงไปกระแทกพื้น

“ไอ้พวกทุเรศ!”

บ้ากันหมดแล้ว

“เจริญ! ประเทศนี้แม่งไม่มีสิทธิส่วนบุคคลกันแล้วเหรอวะ?”

หลังจากอาละวาดอยู่นาน ลีซังโฮเปิดเซฟที่ซ่อนในกำแพง เขาหยิบกระดาษจดเก่าๆออกมา จากนั้นถ่ายรูป่รายการโอนเงินบนกระดาษ

“เฮอะ ดูซิว่ามันยังไม่ยอมโทรมาได้อีกไหม”

ประธานคิมไม่รับโทรศัพท์เขามาหลายสัปดาห์แล้ว ลีซังโฮจึงส่งรูปนี้ไปให้ ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ลีซังโฮยิ้มเยาะแล้วกดปุ่มสนทนา

[คุณจะเอาอย่างนั้นเหรอ? นี่คุณกำลังขู่จะฆ่าตัวตายไปด้วยกันอยู่ใช่ไหม!]

“ถ้าท่านยอมทำตามคำขอของผม ผมจะทำลายบัญชีนี้ทิ้ง”

[จะเอาอะไร?]

“ผมรู้เรื่องที่ท่านติดต่อกับตะวันออกกลาง ติดต่อให้ผมด้วยครับ”

[...]

หลังจากเงียบไปนาน ประธานคิมไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำขอ ถ้าบัญชีนั้นถูกเปิดเผยออกมาเขาจะตกที่นั่งลำบาก

[ก็ได้ มาเจอกัน คุณเอาบัญชีมาด้วย]

“ครับท่าน”

กดเลิกการสนทนา ลีซังโฮแสยะยิ้ม

“กล้าทำร้ายฉันงั้นเหรอ?”

มันหาเรื่องผิดคนแล้ว กล้าลงมือกับหัวหน้ากิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ



สารบัญ                                              บทที่ 69



สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง ^^




วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 67

บทที่ 67 – ความคิดของวีรบุรุษ


ตอนนี้เป็นเวลาเย็น พนักงานเข้าใหม่ส่วนใหญ่เลิกงานไปแล้ว พนักงานที่ยังอยู่ในออฟฟิศก็ถูกบอกให้เลิกงานได้ ช่วงนี้งานยุ่ง สมาชิกแรกก่อตั้งจึงยังไม่ได้กินข้าวเย็น พวกเขาตัดสินใจออกไปกินข้าวเย็นพร้อมทั้งร่วมดื่มกัน

“ย่า!”

“โอ๊ะ หลานมาเหรอ?”

ย่าของเพื่อนยังอยู่ที่ชานเมืองเช่นเดิม ซุงกูช่วยงานที่ร้านเหมือนเป็นร้านตัวเอง เขาเริ่มจัดวางจานกับข้าวบนโต๊ะ พวกเขาเป็นลูกค้ากลุ่มเดียวในร้านอาหารเก่าๆนี้ บรรยากาศจึงผ่อนคลาย

จุงมินชานเอ่ยปากเป็นคนแรก

“ท่านประธานแน่ใจเหรอว่าไม่ไป?”

“ฉันไม่ไป ถามทำไมอยู่ได้?”

เขาถามเพราะโทรศัพท์เขาร้อนจะแย่แล้ว

จุงมินชานเป็นคนจัดการธุระข้างนอก โทรศัพท์มือถือเขาจึงสั่นตลอด

“ท่านประธานมีนัดกับประธานาธิบดีไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันไม่เคยสัญญาว่าจะไป พวกเขาตัดสินใจกันเอง ฉันต้องตอบรับคำเชิญเหรอ?”

“แต่เขาจะให้รางวัลด้วยนี่?”

“ฉันไม่อยากได้รางวัล บอกพวกเขาว่าไม่ต้องโทรแล้ว”

“แต่ว่า...”

วูจินขมวดคิ้ว

“เออ ไปก็ไป ถ้าอยากให้รางวัลนักฉันก็...”

“มะ..ไม่ ผมปฏิเสธไปดีกว่า”

จุงมินชานมองโทรศัพท์ของเขาที่ตั้งโหมดเงียบไว้

[สายที่ไม่ได้รับ 27 สาย ข้อความใหม่ 128 ข้อความ]

อืม ไม่ส่งวูจินไปอาจดีกว่า เขาอาจก่อเรื่องอีก มินชานออกไปคุยโทรศัพท์ วูซุงฮุนหัวเราะพยายามคลี่คลายบรรยากาศ

“ฮ่าๆๆ เล่าเรื่องที่พย็องยังให้ฟังหน่อยสิครับ ตำนานผู้กล้าของท่านประธานน่ะ ตำนาน”

“ก็ไม่มีอะไรมาก”

“เอ๋ ไม่เอาสิครับ เล่าให้ฟังหน่อย”

ตำนานผู้กล้า...

“ไม่มีหรอกตำนาน แค่เข้าดันเจี้ยน ออกมาลงโทษคนที่อยากลองของ แล้วก็กลับ”

“ฮ่าๆๆ เรากลัวกันว่าท่านประธานจะไปฆ่าคิมจองอึน”

“อ้อ ฉันก็กะอยู่ แต่ตัดสินใจปล่อยเขา”

“...”

“เขาบอกว่าเป็นแฟนฉัน”

“...”

เขากะ... แล้วคิมจองอึนเป็นแฟนเขา... ซุงฮุนกับเฮมินหน้าแข็งค้าง

จากนั้นซุงกูก็เอาเครื่องในวัวมา มินชานคุยโทรศัพท์เสร็จก็กลับมานั่งที่

“ตกลงกันได้แล้ว ท่านประธานต้องตอบรับคำเชิญของชองวาแดหลังจากกลับจากอเมริกานะ” (ชองวาแด – ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้)

“อืม อย่างนั้นก็ได้”

วูจินตอบแบบขอไปที จากนั้นหันไปสนใจเครื่องในที่วางบนกระทะร้อน

ฉ่า

“เฮ้ เครื่องในที่นี่ยอดเยี่ยม กินกับโซจูแล้วสุดยอดเลย”

มองวูจินเช็ดปาก เฮมินกับซุงฮุนสบตากัน เฮมินขยิบตายิกๆ ซุงฮุนสูดลมหายใจแล้วถาม

“แล้ว...ทำไมท่านประธานถึงจะฆ่าคิมจองอึนล่ะครับ?”

“อ้อ มีไอ้บ้าเอาระเบิดเข้ามาในดันเจี้ยน ฉันนึกว่าคิมจองอึนเป็นคนสั่งเลยจะลงโทษเขา”

“...”

เขากลับมาได้ทั้งๆที่เจอระเบิดพลีชีพเข้าไป?

วูจินพูดหน้าตาเฉย ซุงกูถือคีมค้าง วูจินเลยใช้ตะเกียบพลิกเครื่องในเอง

“เฮ้ยซุงกู ไหม้แล้ว”

“ครับ? อ้อ ครับๆ”

ซุงกูเริ่มปรุงเครื่องในต่อ

ฉ่าๆ

“ฮ้า น่ากินแฮะ”

วูจินเปิดขวดเหล้าโซจูเมื่อเห็นเครื่องในเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขวดเหล้ายื่นไปข้างหน้า มินชานยกแก้วขึ้น

“ใครตายเรอะ? ทำไมบรรยากาศมันซึมเศร้านักล่ะ นี่เป็นงานเลี้ยงแรกของบริษัทเรานะ”

“ไม่..มีอะไรครับ”

อาจเป็นเพราะวูจินพูดเรื่องฆ่าคนได้หน้าตาเฉย

พวกเขาไม่รู้ว่าท่านประธานเป็นคนอย่างไร พวกเขาพยายามรวมชายตรงหน้าเข้ากับคนในจินตนาการของพวกเขา ถ้าไม่นับเรื่องนี้ งานเลี้ยงของบริษัทก็ถือว่าดำเนินไปได้ดี

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานเลี้ยงแรกของกิลด์อลันดาล

วูจินเทเหล้าให้สมาชิกแรกก่อตั้งทุกคน จากนั้นเทให้ตัวเอง

“พวกนายลำบากมามากทีเดียว หวังว่าอนาคตจะลำบากได้ยิ่งกว่านี้นะ”

“...”

ช่างเป็นคำกล่าวที่... ซุงฮุนรับมุก เขาตะโกน

“ขอบคุณความพยายามของทุกท่าน”

หลังจากดื่มเหล้าลงไป วูจินจุ่มเครื่องในลงถ้วยซอส จากนั้นเอาเข้าปาก

อา นี่ล่ะ

วูจินตั้งต้นกินจริงๆจังๆ เขาเตรียมใบงามาห่อกินกับเนื้อ ทุกคนมองรอบๆแบบแปลกๆ จากนั้นขยิบตาให้วูซุงฮุน วูซุงฮุนฝืนหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ ท่านประธานรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ใครดังกว่าท่าน”

วูจินเป็นชื่อที่ถูกค้นหามากที่สุดในเกาหลี แต่ ถ้ามองไปต่างประเทศ มีอีกคนที่มีชื่อเสียงมากกว่าเขา

วูซุงฮุนให้วูจินดูรูปที่เขาทำเป็นวอลเปเปอร์ในโทรศัพท์ของเขา

“ผู้หญิงคนนี้ชื่อเมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรีย ผมไม่แน่ใจว่าแหกตาหรือเปล่า แต่วิดีโอนั่นมหัศจรรย์จริงๆ ไม่รู้ว่าเทพีของเธอมีจริงหรือเปล่า...”

“ไม่ได้แหกตา นั่นของจริง”

“หืม? ทำไมท่านประธานรู้?”

“หือ? ฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้น”

“อะไรนะครับ?”

วูซุงฮุนประหลาดใจ ส่วนจุงมินชานมีสีหน้าเคร่งเครียด เมโลดี้คือมนุษย์คนแรกที่ออกมาจากดันเจี้ยน

“เธอเป็นมนุษย์คนแรกที่ถูกพบในดันเจี้ยน ว่ากันว่าระดับของเธออย่างต่ำคือแรงค์ S ...ท่านประธานรู้จักเธอจริงเหรอ?”

“อืม รู้จัก คิดว่าทำไมฉันถึงจะไปอเมริกาล่ะ? ฉันมีเรื่องจะถามเธอนั่นไง”

“...”

ไม่รู้เลย พวกเขาคิดว่าวูจินไปอเมริกาเพื่อร่วมงานประชุมของกิลด์ไททัน ตอนนี้กลายเป็นเขาเป็นคนรู้จักของสตรีศักดิ์สิทธ์เมโลดี้...

“ท่านประธานเกี่ยวข้องยังไงกับเธอ?”

วูจินดื่มหมดไปอีกแก้ว จากนั้นเอาเครื่องในพันใบงาคำโตเข้าปาก ทุกคนรอคำตอบ แต่วูจินลิ้มรสอาหารอย่างสบายใจ

วูจินเคี้ยวอยู่นานแล้วกลืน จิบเหล้าอีก

“มีดาวดวงหนึ่งชื่ออัลเฟน”

ท่านประธานสนใจเรื่องดวงดาวและจักรวาลเหรอ? ทุกคนฟังเงียบๆ วูจินพูดต่อ

“ฉันหายสาบสูญไปเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันถูกอัญเชิญไปที่ดาวอัลเฟน”

“...”

ทุกคนเงียบเมื่อได้ยินคำเล่าน่าตกใจของวูจิน วูซุงฮุนดูสถานการณ์แล้วหัวเราะเบาๆ

“ฮะๆ ตลกของท่านประธานมันลึกซึ้งไปนิด กว่าผมจะเข้าใจ”

“ฉันไม่ได้เล่าเรื่องตลก เงียบ”

“ครับ...”

ซุงฮุนห่อไหล่ ทุกคนตั้งใจฟังวูจินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกอัญเชิญไปที่นั่น ฉันดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ 20 ปี ฉันรอดและได้กลับโลก แต่ที่นี่เพิ่งผ่านไป 5 ปี”

“เหมือนเวลาในดันเจี้ยนเลย...”

“ใช่ เมื่อฉันกลับมา โลกเปลี่ยนไปมาก มีดันเจี้ยนเกิดที่นี่”

ทุกคนสับสนเมื่อได้ฟังความจริงจากปากวูจิน ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

นี่คือความลับของพลังน่าเหลือเชื่อของวูจินหรือ?

“ฉันไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังไง แต่เมโลดี้อาจจะมาที่นี่ด้วยวิธีเดียวกับที่ฉันใช้ ไม่รู้สิ เพราะงั้นฉันเลยจะไปถามเธอ”

“...”

เพราะได้ฟังเรื่องน่าเหลือเชื่อหรือเปล่า? แต่ไม่มีใครกล้าพูด ซุงกูถามเกร็งๆ

“ลูกพี่... แน่ใจหรือครับว่าควรบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับพวกเรา”

เราส์คังวูจิน ปรากฏตัวเหมือนดาวตก ความเป็นมาของเขาถูกคาดเดาไปต่างๆนานา และทุกคนต่างสงสัยว่าเขาไปอยู่ที่ไหนระหว่างที่หายตัวไป 5 ปี ไม่มีใครรู้คำตอบ

“แล้วทำไมฉันต้องปิด?”

“...”

มีดันเจี้ยน มีมอนสเตอร์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่มาแล้ว เขาจะปิดเรื่องตัวเองไปทำไม? วูจินไม่คิดมาก จะช้าหรือเร็วเรื่องของเขาก็ต้องมีคนรู้

เขาพูดเรื่องนี้กับคนในครอบครัวอลันดาลของเขาไว้ก่อน เพราะอยากให้พวกเขาเตรียมตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“แล้วที่ดาวนั่น ท่านประธานเกี่ยวข้องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังไง?”

“เมโลดี้น่ะเหรอ?”

วูจินยิ้มพลางนึกถึงเรื่องเก่าๆ มันซับซ้อนจริงๆ

“เพื่อนล่ะมั้ง เพื่อนคนหนึ่ง”

***

โบสถ์อาเรีย สำนักงานใหญ่กิลด์ไททัน

เมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ยืมพลังของเทพีในการสื่อสารกับคนอื่น

เธอเพิ่งจะสื่อสารกับสาวกได้เมื่อเร็วๆนี้ แต่ความสามารถในการเรียนภาษาของเธอเรียกได้ว่าเหนือธรรมดา ตอนนี้เธอสามารถสื่อสารทางจิตได้โดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างสมบูรณ์แบบ

ทุกคนคิดว่าเธอเป็นใบ้ และต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเพราะของเธอ

“อะ...อะไรกัน?”

“คะ? เกิดอะไรขึ้นคะ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์?”

สตรีศักดิ์สิทธิ์งามสง่าอยู่เสมอ บางครั้งก็เย่อหยิ่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฮามิลตันเห็นสีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยน แสดงว่าเธอกำลังตกใจจริงๆ

ช่วงนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เริ่มฝึกใช้คอมพิวเตอร์ มิสซิสฮามิลตันเดินไปมองหน้าจอ มันมีรูปของเราส์ชาวเกาหลีชื่อคังวูจิน

“คุณคัง”

“คุณคัง? เธอหาข้อมูลของชายคนนี้อีกได้ไหม?”

“ได้สิคะ”

ฮามิลตันคุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ เธอใช้ชื่อของคังวูจินเป็นคำหลัก ดึงบทความที่มีข้อมูลเกี่ยวกับคังวูจินขึ้นมาให้เมโลดี้ดู

เมโลดี้อ่านช้าๆ ประกายตาสั่นไหว ฮามิลตันที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกได้ว่าเธอหวั่นไหว เมโลดี้นิ่งเสมอ จนฮามิลตันสงสัยว่าเธอเป็นคนจริงๆหรือเปล่า แต่ตอนนี้เธอกำลังหวั่นไหวมาก

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่เป็นอะไรนะคะ?”

“เป็นไปได้อย่างไร...เขา...เป็นเขา...”

“คะ? ท่านรู้จักคนๆนี้เหรอ?”

เมโลดี้หน้าซีด

รู้จัก เธอจะไม่รู้จักได้อย่างไร? เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในอัลเฟน

“เนโครแมนเซอร์ผู้ล้างบาง... ทำไมเขาอยู่ที่นี่...”

เมโลดี้ตัวสั่นเหมือนเห็นหนังสยองขวัญ

“ท่าน...ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ ใจเย็นๆค่ะ”

ฮามิลตันรีบปิดจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังแสดงภาพของวูจิน ผ่านไป 10 นาที เมโลดี้จึงสงบใจได้พอจะขอร้องฮามิลตัน

“คุณตรวจสอบเรื่องของคนนี้เพิ่มอีกได้ไหม?”

“แน่นอนค่ะ”

ฮามิลตันหาข้อมูลเพิ่ม ระหว่างนั้นเมโลดี้มองออกไปข้างนอกหน้าต่างเพื่อสงบจิตใจ โบสถ์อาเรียอยู่บนตึกสูง

เห็นเมืองแมนฮัตตันในทันที ขณะเธอมองภาพของเมืองที่ทอดไปเบื้องหน้า เธอตัวสั่น

‘นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ไม่ตายจะอยู่ที่นี่’

เมื่อเขาหายตัวไป สถานการณ์ในอัลเฟนก็พลิกผัน เมื่อกองทัพผีดิบของเขาหายไป ทราเน็ตก็เข้ามาครอบครองดินแดนที่เคยเป็นของผู้ไม่ตาย สมดุลอำนาจเสียไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนคาดว่าผู้ไม่ตายได้ตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วจู่ๆเขาจะหายตัวไปได้อย่างไร?

โลกเป็นสถานที่ๆมหัศจรรย์

พลังมานาที่นี่ต่ำ ดังนั้นจึงมีเราส์ไม่มากนัก ซ้ำความสามารถก็เทียบกับที่อัลเฟนไม่ได้ แต่ที่นี่มีทหารมีอาวุธทรงพลังมากกว่า

พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการกำจัดมอนสเตอร์ที่ออกมาจากดันเจี้ยนเบรก พวกเขามีพลังทำลายล้างสูง

ยิ่งกว่านั้นข้อมูลข่าวสารยังเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว พลังสื่อสารของเธอเทียบไม่ได้ เธอจึงทึ่งมาก

เทียบกับที่อัลเฟน ที่นี่มีดินแดนประเทศเยอะกว่าแต่ผู้คนกลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่า เป็นเพราะการสื่อสารที่เป็นไปอย่างราบรื่น

เรื่องนี้ต้องยกให้เป็นความดีของอินเตอร์เน็ต มันทำให้ได้รู้ว่าประเทศอื่นๆกำลังทำอะไรอยู่แม้จะอยู่ห่างกันมาก

“มะ...ไม่จริง!”

“อะไรเหรอคะ?”

เมโลดี้มองฮามิลตัน

“เธอคิดว่าเรื่องของฉันจะเป็นข่าวในเกาหลีใต้หรือเปล่า?”

“แน่นอนค่ะ ตอนนี้คุณเป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่สุดในโลก”

“...”

สตรีศักดิ์สิทธิ์หน้าซีด

ทำอย่างไรดีล่ะ? หนีดีไหม? ล้มเลิกแผนการ? ถ้าผู้ไม่ตายรู้... บางทีเขาอาจยังไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่?

“อ๊ะ เจอแล้วค่ะ คุณคังเป็นหัวหน้ากิลด์อลันดาล เขาจะเข้าร่วมการประชุมที่จะถึงนี้”

อลันดาล อลันดาล... นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินชื่อต้องสาปของอาณาจักรผีดิบอีกครั้งที่นี่

‘จบสิ้นแล้ว’

สตรีศักดิ์สิทธิ์เมโลดี้สิ้นหวัง

เธอแน่ใจว่าผู้ไม่ตายรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ เธอหนีไปไหนไม่ได้และไม่มีที่ไหนให้เธอซ่อนตัว





                                       สารบัญ                                            บทที่ 68



วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 66

บทที่ 66 – ผลได้ที่เกินคาด (2)


วูจินเดินออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน

“หยุดเถอะค่ะ!”

ด้วยวิธีการบางอย่าง เชฮีซอลหาวูจินจนเจอ เธอวิ่งมาทางเขาแล้วขวางทางเขาไว้ ใบหน้ายังบิดเบี้ยวเหมือนยังไม่หายเจ็บ

“หยุดเถอะค่ะ ยังไม่สายเกินไป เรายังพอแก้ไขได้”

เชฮีซอลหมายความตามที่พูดจริงๆ ถ้าเรื่องยังเป็นแบบนี้ต่อสงครามจะเกิดขึ้น เธอต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น เชฮีซอลพูดอย่างจริงใจที่สุด

“นี่ไม่ใช่ทางแก้ หยุดเถอะค่ะ”

เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ สงครามหมายถึงชีวิตคนเป็นหมื่นๆต้องสูญเสียไป เธอต้องการหยุดโศกนาฎกรรมไม่ให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

วูจินมองเธอเฉยๆ

ฮีซอลมองวูจิน ดวงตาสั่นไหว

“มะ...ไม่จริง!”

เขาทำลงไปแล้ว คิมจองอึนตายแล้ว

เชฮีซอลทรุดลงกับพื้น อา จะเกิดฝนเลือดอีกครั้งแล้ว

เธอทำพลาดไป ไม่ควรขอให้กิลด์อลันดาลมาเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวของพย็องยังเลย

ฮีซอลนั่งมึน วูจินมองแล้วอมยิ้ม

“ยังไม่ตายน่ะ”

“จริงเหรอคะ? ดีจริงๆ... ยัง? นี่ยังวางแผนจะสังหารเขาอยู่เหรอคะ?”

ฮีซอลกลืนน้ำลาย

“อืม เรื่องนั้นไว้ดูอีกที”

วูจินอยากเห็นว่าเขาจะลงโทษคนที่สั่งให้เกิดระเบิดพลีชีพอย่างไร

“กรุณายับยังไว้ด้วยค่ะ ถ้าคุณยังไม่หายโกรธ เอาชีวิตดิฉันไปก็ได้ ดิฉันพูดจริง”

เชฮีซอลลุกขึ้นคุกเข่า

“จริงเหรอ?”

“สงครามคาบสมุทรเกาหลีอาจไม่มีวันจบ สงครามครั้งล่าสุดเพื่อผ่านไปไม่ถึง 100 ปี ที่นี่ไม่ควรต้องเจอกับเรื่องเศร้าแบบนั้นอีก ถ้าแค่ชีวิตของดิฉันทำให้คุณพอใจได้...”

เธอไม่ได้สนใจว่าความขัดแย้งจะเปลี่ยนเป็นสงครามโลก แต่สงครามนี้จะเกิดบนคาบสมุทรเกาหลี ดินแดนที่เธอรักจะล่มสลาย ดังนั้นแค่ยอมสละชีวิตเพื่อหยุดสงครามถือว่าคู่ควรแล้วไม่ใช่เหรอ?

วูจินหรี่ตามองฮีซอล วิญญาณของเธอไม่ได้ไร้มลทินเหมือนของจีวอน แต่นี่เป็นครั้งแรกบนโลกที่ได้เห็นวิญญาณที่เจิดจ้าขนาดนี้

นี่แปลว่าความตั้งใจของเธอเป็นความตั้งใจแท้จริง เธอไม่ได้โกหกเรื่องที่จะยอมเสียสละชีวิตตัวเอง

“ร้อยโทเชฮีซอล”

“ค่ะ”

“เธอตั้งใจจะสละชีวิตให้ฉันจริงๆ?”

“แน่นอนค่ะ ถ้ามันหยุดเรื่องหายนะไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ได้”

ถ้าคิมจองอึนยังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ วูจินยักไหล่

“ฆ่าเธอเฉยๆคงเสียของเปล่า... ลาออกจากกองทัพซะ”

“ดิฉันฟังผิดหรือเปล่าคะ?”

“พอลาออกแล้วก็มาทำงานกับฉัน แล้วฉันจะไว้ชีวิตจองอึน”

“...”

สีหน้าฮีซอลเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความฝันของเธอคือการเป็นทหารไม่ใช่เหรอ?

ตอนนั้นเอง วูจินรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้เขา คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากอุโมงค์

“รีบสะสางให้เสร็จ หารีพยังกานให้เจอ”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงคิมจองอึน

“หรือฉันจะไปจับหมูนั่นดี?”

“...ดิฉันจะเข้ากิลด์คุณค่ะ”

วูจินยิ้มกว้าง

คนที่มีความตั้งใจแบบเชฮีซอลนั้นหายาก วูจินได้ของที่คาดไม่ถึงมาแล้ว เขาเดินจากไปยิ้มๆ

เขารู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนในวังอนุสรณ์จากความทรงจำของกาเกบิ ได้เวลาลักทรัพย์ของสะสมของคิมจองอึนแล้ว

“งั้นเธอก็ไปแก้ไขสถานการณ์เถอะ”

“...”

อะไรของเขา? ทำเรื่องป่วนขนาดนี้ยังมาบอกง่ายให้เธอแก้ไขสถานการณ์...

ก่อนเรื่องจะสงบลง วูจินมุ่งหน้าไปที่ห้องงานอดิเรกของคิมจองอึนอย่างรวดเร็ว

***

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

รีพยังกานและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกจับ มีกระทั่งผู้บริสุทธิ์ที่ถูกจับรวมไปด้วย ตัวแทนจากเกาหลีใต้จากไปและปล่อยให้คิมจองอึนเป็นคนจัดการคนเหล่านี้เอง

คิมจองอึนตัวสั่นด้วยความโกรธ

“คุณตายแน่! กล้าดียังไงถึงมาขโมยสมบัติที่ผู้อื่นสละเลือดน้ำตาหามา? คุณแย่งอนาคตไปจากสาธารณรัฐตัวเองหรือ? เลวมาก!”

“ประธาน...ผมไม่รู้จริงๆ...”

“ยังกล้าโกหกอีก? ลงโทษพวกเขาไปจนกว่าจะยอมพูด”

“ครับ”

รีพยังกานถูกมัดแขนห้อยลงมาเหมือนเนื้อในร้านขายเนื้อ พนักงานสวบสวนเริ่มฟาดเขา คิมจองอึนมองด้วยสายตาเย็นชาพยายามระงับความโกรธ

สมบัติที่คนของเขารวบรวมมาอย่างยากลำบากหายไปหมด สิ่งเดียวที่เหลือคือรูปถ่ายของเขากับคังวูจินและลายเซ็น... คิมจองอึนโกรธจัดเพราะใครบางคนขโมยของๆเขาไปหมด

เขาใช้เวลา 5 ปีในการสะสมของเหล่านั้น

คนเดียวที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคือรีพยังกาน เขาคงวางแผนกบฏมานานแล้ว คงวางแผนใส่ร้ายตัวแทนจากเกาหลีใต้...

‘ถ้าไม่ใช่เพราะสหายคังวูจิน ผมอาจตกที่นั่งลำบาก’

เขาไม่ตาย คังวูจินรอดชีวิต และแผนกบฏของรีพยังกานก็ถูกเปิดเผย

‘พวกเขาไม่เกี่ยว’

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัยคนจากเกาหลีใต้ แต่พวกเขามากับรถแค่สองคัน เขาไม่คิดว่าสมบัติจำนวนมากจะถูกขโมยไปได้

เราส์ในกลุ่มมีเพียงแรงค์ AA คังวูจิน และแรงค์ F เชฮีซอล

พวกเขาถูกตรวจสอบว่าใช้อาร์ติแฟคหรือเปล่า ซึ่งไม่พบอาร์ติแฟคเกี่ยวกับมิติพิเศษ ต่อให้เจอ อาร์ติแฟคพวกนั้นก็เก็บของได้ไม่มาก

อาร์ติแฟคมิติพิเศษที่ดีที่สุดเป็นของราชวงศ์หนึ่งในตะวันออกกลาง ซึ่งก็เก็บได้เพียงตู้เย็น 300 ลิตร
ดังนั้นคนเดียวที่สามารถทำได้คือคนของเกาหลีเหนือ

“ไอ้เลว อดทนนักนะ”

คิมจองอึนกัดฟันเมื่อเห็นรีพยังกานไม่ยอมสารภาพ

***

“ถึงพันมุนจอมแล้วค่ะ”

“เฮ้อ ถึงซะที”

ฮีซอลไม่พูดอะไรระหว่างวูจินบิดขี้เกียจ

สามวันนี้ วูจินเอาแต่นอน ทีมเจรจาต้องทำหน้าที่เจรจาต่อรอง

หลังจากการกบฏในเกาหลีเหนือคลี่คลายเรียบร้อย คังวูจินจากเกาหลีใต้กลายเป็นข่าวในฐานะผู้มีหน้าที่สำคัญในทุกเหตุการณ์

ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นเช่นไร สถานการณ์ของเกาหลีใต้ก็ดีขึ้น

วูจินจัดการเราส์แรงค์สูงในเกาหลีเหนือที่เหลือจนหมด เกาหลีเหนือไม่มีกำลังมากพอจะเข้าดันเจี้ยน 6 ดาว

พวกเขาตัดจีนออก ดังนั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศจึงเลวร้าย รัสเซียก็ไม่ใช่ตัวเลือก สุดท้ายเกาหลีใต้จึงเป็นฝ่ายเข้าดันเจี้ยนโดยมีเกาหลีเหนือแบ่งผลประโยชน์ไป

ถ้าไม่นับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพย็องยัง ผลลัพท์ถือว่าดีมากสำหรับเกาหลีใต้ วูจิน ตัวต้นเหตุ กลับนอนสบายในวังอนุสรณ์

ขนาดอยู่ท่ามกลางเสียงยิงประหารรีพยังการและคนของเขาที่ดังขึ้นแต่เช้า วูจินยังหลับได้

เชฮีซอลไม่มีขวัญกล้าเหมือนวูจิน เธอจึงกระสับกระส่ายตลอดเวลาที่อยู่ที่เกาหลีเหนือ บรรยากาศคุกรุ่นทำให้การเจรจาตึงเครียด

พวกเขาผ่านพันมุนจอม ถือว่าถึงเกาหลีใต้แล้ว แต่เธอยังไม่สบายใจ

“ดิฉันมีเรื่องจะถามค่ะ”

“พูดสิ”

เชฮีซอลไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คังวูจินเปลี่ยนมาพูดกับเธอแบบสบายๆ

“ทำไมคุณยอมหยุดมือหลังจากบอกให้ดิฉันเข้ากิลด์อลันดาลคะ?”

วูจินกล้าพอตบหน้าหัวหน้ากิลด์ฮวารางท่ามกลางการถ่ายทอดสด เมื่อดูจากนิสัยดุร้ายของเขาแล้วมันทำให้เธอสงสัย เธอรู้ว่าถ้าวูจินอยากจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้ง่ายๆ

“อยากได้ยินอะไรล่ะ?”

“อะไรนะคะ?”

เชฮีซอลเกาศีรษะ เธออายที่จะพูดสิ่งที่คิด

เธออยากได้ยินคำชมเหรอ? อยากรู้ว่าเธอมีดีตรงไหน? อยากได้ยินเขาพูดว่าเธอหยุดเขาไม่ให้สังหารเผด็จการของเกาหลีเหนือได้อย่างไร?

พอมาคิดดูแล้ว เธอแค่อยากถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

วูจินมองนอกหน้าต่าง ฮีซอลมองด้านหลังเขาแล้วหน้าแดงด้วยความอาย

“ไม่มีอะไรค่ะ”

เชฮีซอลกระแอม วูจินยิ้ม

“ถ้าเราหาคนดีมีความสามารถเข้าองค์กร องค์กรก็จะวิ่งไปได้เอง”

“...”

เขาไม่ต้องการคนหักหลังอยู่ในกิลด์

เขาไม่ต้องการควบคุมลูกน้องของตัวเอง เขาอยากได้คนมาจัดการเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญแทนเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องเย้ายวนใจเขามาก

“เธอมีค่า เป็นคนเด่นมีสิ่งน่าสนใจหลายอย่าง...”

“...”

ทำให้เขาอยากได้เธอมาเป็นลูกน้อง จะได้สั่งได้

วูจินละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างหันกลับมา เขาเห็นหน้าของทหารอายุน้อย ดวงตาเธอสั่นไหวเพราะคำพูดของเขา เธอไม่ร้องแต่ดวงตาชื้น

“ดิฉันจะไปหาคุณทันทีหลังจากลาออกจากกองทัพค่ะ”

“อืม”

วูจินตัดสินใจไม่บอกเธอว่าเขาไม่คิดจะฆ่าคิมจองอึนอยู่แล้ว

***

สำนักงานของกิลด์อลันดาล

ทีวีจอใหญ่เครื่องเดียวของสำนักงานอยู่ในห้องประธาน ดังนั้นสมาชิกแรกก่อตั้งจึงมารวมกันที่นี่ พวกเขากำลังดูรายการพิเศษเวอร์ชั่นตัดต่อจากข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงสามวัน

พวกเขาดูบ่อยจนเกือบจะจำเนื้อหาได้หมดแล้ว

พวกเขาเห็นวูจินถี่จนไม่รู้สึกเหมือนวูจินไม่อยู่ที่สำนักงาน

[ค่ะ ถ้าเรารวบรวมจากข่าวจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนรีพยังกานจะเป็นตัวหลักในการกบฏ เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพลังพิเศษเกาหลีเหนือ คุณคิดว่าอย่างไรคะ?]

[ความสามารถของเราส์ก็เหมือนดาบสองคมครับ เราส์ข้ามผ่านขีดจำกัดของมนุษย์ พวกเขาปกป้องประเทศของเราจากพวกสัตว์ประหลาด แต่อีกด้าน ก็มีพวกที่ก่ออาชญากรรม เราส์จะอันตรายมากสำหรับระบอบการปกครองแบบเกาหลีเหนือ การทรยศของผู้บัญชาการหน่วยรบพลังพิเศษทำให้ระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก]

[คนที่เคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวคือหัวหน้ากิลด์อลันดาล หากไม่ใช่ประธานคังวูจิน การกบฎอาจนำมาสู่จุดสิ้นสุดสมัยของคิมจองอึนก็ได้ เรื่องนี้คิดว่าอย่างไรคะ?]

[ถ้าผู้นำคนใหม่มีความคิดสุดโต่ง เราคงอันตรายกว่านี้ ประธานคังวูจินมีความดีความชอบในการช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเหนือกับใต้ไว้ครับ]

[เขาจะได้เหรียญหรือเปล่า?]

[ได้ครับ การกระทำอันกล้าหาญของประธานคังวูจินในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเหนือกับใต้...]

[แล้วการที่ประธานคังวูจินถูกฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายซึ่งยังไม่คลี่คลาย คิดว่า...]

ติ๊ด

เมื่อเริ่มทวนเรื่องเดิม จุงมินชานปิดโทรทัศน์ ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างตึงเครียด

“ชัวร์ปึ๊ก 100% ทุกคนก็รู้นิสัยท่านประธานใช่ไหม?”

“...”

ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของวูซุงฮุนเงียบๆ

“เรื่องเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้น หรือประธานเราจะไปข่มขู่คิมจองอึน? เขาว่ารีพยังกานขโมยอาร์ติแฟคของเกาหลีเหนือไปหมด นั่นฟังเหมือนฝีมือประธานเราเลย”

คิมเฮมินไม่เชื่อการคาดเดาอันแม่นยำของวูซุงฮุน

“เอ๋ ไม่มั้ง ต่อให้ท่านประธานจะไม่เคารพกฎหมายเท่าไหร่ คุณคิดว่าเขาจะขโมยเลยเหรอ?”

“เรียกเขาไม่เคารพกฎหมายน่ะใจดีไป ไม่ยั้งคิดเลยเหอะ”

ซุงกูพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“เอ่อ นี่เป็นเรื่องตอนผมเจอท่านประธานครั้งแรก...”

เขาเล่าเรื่องวูจินฆ่าปาร์ตี้เบโดซู สีหน้าของสมาชิกแรกก่อตั้งมืดครึ้มเมื่อซุงกูเล่าว่าวูจินเอาเงินจากคนตาย วูซุงฮุนพูดอย่างมั่นใจ

“บ๊ะ เป็นไงล่ะ? ที่ข่าวพูดมันเชื่อได้ไม่หมดหรอก...”

“จะว่าไป ก่อนตั้งกิลด์ลูกพี่บอกว่าเขาอยากไปลอบสังหารคิมจองอึนด้วยนะครับ...”

“เห็นไหมล่ะ! อูย ขนลุกเลยผม”

วูซุงฮุนฟังซุงกูแล้วยิ่งตื่นเต้น

“หรือท่านประธานจะฆ่าคิมจองอึนไปแล้ว”

“เฮ้ย ไม่จริงอ่ะ”

“นายบอกว่าประธานเราอยากฆ่าเขาไม่ใช่เหรอ? เขาต้องวางแผนไว้แน่ หรือเขาจะโตมาในครอบครัวชาตินิยม? เขาคงไม่พอใจเกาหลีเหนือแน่”

“อ่า ลูกพี่แค่โกรธที่ได้หมายเกณฑ์...”

วูซุงฮุนเลิกคิ้ว

“แค่ได้หมายเกณฑ์เนี่ยนะ? มันเกี่ยวอะไร...”

“เขาไม่อยากเข้ากองทัพ...”

“ป้าด ดูท่านประธานคิดสิ พวกนายไม่ขนลุกเหรอ?”

เขาอยากฆ่าเผด็จการของประเทศหนึ่งเพราะไม่อยากเข้ากองทัพ

“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วผมก็ไม่คิดจะว่าอะไรนะ แต่ สมัยที่ผมขายมือถือ...”

กริ๊ก

ซุงฮุนชะงักเมื่อประตูห้องประธานถูกเปิดออก

“พวกนายเป็นไงกันมั่ง?”

“...”

ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อวูจินโผล่มา วูจินไม่ได้เห็นพวกเขานานเลยส่งยิ้มสดใส

“หืม มีอะไร?”

“ผมนึกว่าท่านประธานกำลังร่วมงานเลี้ยงกับประธานาธิบดีเสียอีก?”

“ฉันจะไปทำไม? ฉันอยากดื่มเหล้ากับพวกนายต่างหาก”

อ่า เขาผิดสัญญากับประธานาธิบดีง่ายๆเลยเหรอ?

“อื๋อ หูฉันมันคันๆ? ใครนินทาหรือเปล่า?”

ฟังเสียงวูจินแล้วทุกคนหันไปทางวูซุงฮุนทันที ม่านตาวูซุงฮุนหดตัวและสั่นวูบ ทันใดนั้นเขายืนขึ้นแล้วปรบมือมองไปทางวูจิน

แปะๆๆ!

“มาปรบมือให้ท่านประธานของเราเถอะ ท่านเหนื่อยมามากและกลับมาอย่างวีรบุรุษ ขอบคุณครับ พวกเราภูมิใจในตัวท่าน”

คนอื่นทำตามช้าไปหน่อย วูจินหัวเราะ เขาหรี่ตามองวูซุงฮุนที่พูดด้วยท่าทางเกินจริง

“นั่นสินะ”

วูซุงฮุนเหงื่อตก





สารบัญ                                   บทที่ 67


---
อะไรสนุกกว่านินทาหัวหน้า ไม่มี lol อย่าโดนจับได้ละกัน

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 65

บทที่ 65 – ผลได้ที่เกินคาด


บรรยากาศหนักอึ้ง เมื่อวูจินก้าวออกจากทางเข้าหนึ่งก้าว บรรดาทหารถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างลังเล

“บอกให้ไอ้หมูออกมา”

“...”

จากคำพูดของวูจิน ทหารเกาหลีเหนือ,ทีมเจรจาของเกาหลีใต้และนักข่าวต่างชาติต่างนึกถึงคนๆเดียวกัน

ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกช็อกกับน้ำเสียงเชื่อมั่นของเขา

ที่วูจินพูดไปก็คือการประกาศสงครามดีๆนี่เอง แถมเขายังพูดตอนอยู่ใจกลางเกาหลีเหนือด้วย

“ถ้ามันไม่ออกมา ฉันไปหาเองแล้วกัน”

วูจินก้าวเท้าต่อ พวกทหารเข้ามาขวางไว้ สายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสายตาเฉยชาของวูจินก็ดูดกลืนความหวาดกลัวนั้นเข้าไป

วูจินกำลังจะลงมือแต่แล้วแมวตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาจากด้านหลังเขา

“เฮ้อ เจ้านายเอาแต่จะใช้แรงอย่างเดียวเลยเมี้ยว”

บิบิยืนข้างหน้าวูจิน ตวัดอุ้งมือน่ารัก ตัวบิบิสั่นวูบแล้วกลีบดอกไม้สีดำก็กระจายตกใส่คนแถวนั้นเหมือนหิมะ

“เอื่อ”

ทหารและนักข่าวค่อยๆหลับตาแล้วทรุดลงกับพื้น

“ไม่เห็นจำเป็นเลย”

“เมี้ยว แบบนี้ดีกว่า ถ้าถูกฟ้องเพราะฆ่าอย่างไร้เหตุผลจะทำไงเมี้ยว ที่นี่คือโลก โลกนะเมี้ยว หยุดทำให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเลยเมี้ยว”

อืม ถ้าเขาฆ่าทุกคนที่นี่คงไม่แค่ถูกฟ้องแน่... เพราะดูโทรทัศน์มากหรือเปล่า? บิบิถึงได้รู้เรื่องสังคมโลกมากกว่าเขา

ถ้าเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญได้เขาก็ไม่ค้าน วูจินไม่ได้อยากฆ่าไม่เลือกหน้า เขาแค่อยากฆ่าคนที่กล้าสั่งให้คนอื่นมาระเบิดตัวเองใส่เขา

ถ้าได้เอาวิญญาณของมันคนนั้นมาเคี้ยวเล่นเขาคงใจเย็นลงได้

วูจินตั้งใจจะเดินผ่านคนที่หลับไป แต่ไม่ใช่ทุกคนที่หลับด้วยมนตร์ของบิบิ พวกเราส์มีความต้านทานเวทย์มนตร์

“เฮ้ย ไอ้ทุเรศ แกนึกว่าจะมารังแกสาธารณรัฐเราได้ง่ายๆเหรอ?”

“ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่น่าให้ไอ้คนจากเกาหลีใต้มาเลย”

คนเหล่านี้เป็นสมาชิกหน่วยรบพลังพิเศษของเกาหลีเหนือ พวกเขาแฝงตัวเข้ามาในกลุ่มทหารตามคำสั่งของรีพยังกาน

...

มีแรงค์ A หนึ่งคน กับแรงค์ B เก้าคน

นี่คงเป็นทีมที่จะเคลียร์ดันเจี้ยนหลังจากเขาออกมาเลยมารอตรงนี้

พวกมันขวางทางเขา

วูจินมองทีละคนๆ

“มีอะไร?ไอ้สัตว์”

“...”

มองแล้วทำไม? เมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน พวกเราส์ปล่อยพลังของตัวเอง

วูจินยิ้มเมื่อเห็น

“ต้องแบบนี้สิ”

เขาอยากฆ่าคนเป็นหัวหน้า ถ้าลูกน้องยอมยืนดูเฉยๆคงประหลาดเต็มที วูจินเรียกหอกกระดูกออกมาก่อนพวกเราส์จะเตรียมตัวเสร็จ

สมเป็นเราส์ระดับสูง หลบการโจมตีของเขาได้ง่ายๆ แต่วูจินเล็งอย่างอื่น

วูจินดึงวิญญาณออกจากเกราะผีแล้วเอามายิงหอกวิญญาณ หอกวิญญาณไล่ตามไปจนกว่าจะถูกเป้าหมาย

“ฮะ! นั่นมันอะไร?”

เราส์บางคนกางบาเรียป้องกันหอก บางคนใช้เวทย์ยิงใส่หอกวิญญาณแทน

ขณะความสนใจพวกเขาถูกดึงไปที่หอก วูจินก็ยิงธนูกระดูก

“อ๊าก!”

วูจินยิงธนูไปเรื่อยๆ ทักษะยิงธนูของอาชีพวอริเออร์ทำให้วูจินยิงธนูได้ดีมาก

แต่เราส์คนหนึ่งหลังจากกันธนูได้ก็ตอบโต้ทันที

เราส์คนนี้มีท่าโจมตีที่รวดเร็วแหลมคม

ดาบเร็วอยู่ระดับเดียวกับลียุนฮี วูจินยังจำได้ว่าเขาอึ้งไปที่เธอทำหน้าเขาเป็นแผลได้

แต่ เลเวลของวูจินตอนนี้เทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน

ก็แค่การโจมตีของเราส์แรงค์ A

ธนูในมือวูจินเปลี่ยนเป็นขวานทันที เขาเหวี่ยงขวานไปทางท่อนล่างของศัตรูที่โจมตีเข้ามา

แรงเหวี่ยงทำให้ศัตรูเซ วูจินส่งหอกวิญญาณไปทางเขาทันที

“อั่ก!”

วูจินก้าวเข้ามา คมขวานตัดศีรษะศัตรูกระเด็นขึ้นฟ้า วูจินแสยะยิ้มแล้วใช้ทักษะปลุกชีพ

อัศวินหัวขาด

ดุลลาฮานมีพลังสูงกว่าศพที่ถูกปลุกชีพทั่วไป เงื่อนไขในการปลุกคือศัตรูเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 6 หรือเราส์แรงค์ A และศีรษะถูกตัดขาดในการต่อสู้

เป็นเงื่อนไขที่ยุ่งยาก แต่ให้ผลน่าประทับใจ

นี่ไม่ใช่ศพงุ่มง่าม

การเคลื่อนไหวของมันไม่ต่างจากตอนตาย แต่พลังทำลายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก

ดุลลาฮาน สวมเครื่องแบบทหารเกาหลีเหนือ คว้าศีรษะของมันแล้วพุ่งไปทางเราส์เกาหลีเหนือ สหายร่วมรบเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน

พวกเขาเคยสู้กับศพคนตายไหม? ไม่ คนนี้ๆเคยเป็นสหายของพวกเขา แต่ตอนนี้ต้องมาสู้กับศพของเขา

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว และวูจินดูดวิญญาณของพวกเราส์เข้าไปในเกราะผี

จากนั้นศพก็ระเบิดออก ทหารโครงกระดูก นักเวทย์โครงกระดูกปรากฏออกมา

วิ้ง

โดลเซถูกเรียกมาในร่างแสง ลอยวนรอบๆบิบิ เมื่อถูกสั่งโดลเซจะดึงกรวดหินมาสร้างร่างกาย

“ไปกันเถอะ”

วูจินเดินไปทางวังอนุสรณ์ เขาไม่สนว่าคิมจองอึนหลบที่ไหน ถ้าตามพลังงานของกาเกบิไปเขาก็จะเจอคิมจองอึนเอง

ถึงกับลอบกัดคนอื่น วูจินจะชมความกล้าหาญของเขาไปพร้อมๆกับมอบความตายให้อย่างโหดร้ายที่สุด

ครั้งนี้เป็นเชฮีซอลเข้ามาขวางหน้าวูจิน

“หยุดเถอะค่ะ”

วูจินมองอย่างสงสัยเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดหมาย

“เธอเป็นเราส์เหรอ?”

เชฮีซอลไม่เหมือนเราส์ วูจินจึงไม่ได้ตรวจสอบเธอก่อน เมื่อเขาใช้ทักษะประสาทสัมผัสของนักรบถึงรู้ว่า เธอมีเลเวล 11 เป็นนักเวทย์วงแหวนที่ 1 อย่างเฉียดฉิว เธอเป็นเราส์แรงค์ F

คนธรรมดาจะมีเลเวล 1 – 9

เชฮีซอลมีพลังต้านทานเวทย์ไม่มาก แต่กลับทนคำสาปนิทราของบิบิได้ มีจิตใจเข้มแข็งน่าชื่นชม

“หยุดเถอะค่ะ เรายังพอกู้สถานการณ์ได้...”

วูจินยิ้ม

“เธอชอบพูดเหมือนฉันทำเรื่องร้ายๆ”

จะกู้สถานการณ์? วูจินไม่รู้จะว่ายังไงดีแล้ว

“เรื่องร้ายจะเริ่มจากนี้ไปต่างหาก”

“...”

เราส์ 10 คน คนของหน่วยรบพลังพิเศษตายไป ทหาร 300 คนกับนักข่าวถูกทำให้หลับตรงกลางลานวังอนุสรณ์

‘เรื่องร้ายแรงกว่านี้...’

ศรีษะเชฮีซอลปวดตุบ สายตาของวูจินบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น เธอยังเห็นเขาสังหารเราส์ระดับสูง 10 คนอย่างง่ายดาย

ศพที่ถือศีรษะของมันไว้ ลูกตาหมุนไปมา ภาพยิ่งกว่าน่าขยะแขยง แม้แต่ทหารโครงกระดูกที่ปรากฎตัวหลังจากศพระเบิดก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงสำหรับเธอ

ฮีซอลกลืนน้ำลาย ไม่เคยเห็นใครดื้อขนาดนี้มาก่อน

“หยุดเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ”

“ทำไม?”

“มันจะกลายเป็นสงครามนะคะ”

นี่เป็นการต่อสู้ด้วยกำลังที่เกิดในพย็องยัง เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มันจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ปัญหาคือมันไม่ส่งผลดี

“สงครามอะไร? ฉันแค่จะสั่งสอนไอ้หมูนั่น”

“...”

ก็หมูนั่นไม่ใช่เหรอที่แตะไม่ได้?

ฮีซอลมองวูจินอย่างพูดไม่ออก

“ฉันเกลียดคนที่แทงฉันข้างหลัง ยกโทษให้ไม่ได้”

แทงข้างหลัง? ถ้าอย่างนั้นผู้ชายปริศนาที่เข้าดันเจี้ยนก็เป็นคนที่เกาหลีเหนือส่งมาโจมตีวูจิน?
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องควบคุมตัวเอง

“กรุณาคิดถึงประเทศของตัวเองด้วยเถอะค่ะ อย่าทำสงครามเลย”

“เฮ้อ พูดมากน่ะ ฉันไม่ได้จะทำสงครามซักหน่อย”

วูจินก้าวดุ่มๆมาทางฮีซอลที่ยืนขวางทางเขา หัวใจฮีซอลเต้นตุบๆตามเสียงฝีเท้าของวูจิน

เมื่อวูจินมาถึงตรงหน้าเธอ หัวใจฮีซอลเต้นแรงจนเธอสงสัยว่ามันจะหลุดจากร่าง

“ไม่อยากตายก็ถอยไป”

“...”

เชฮีซอลหนาวเยือก เธอกัดริมฝีปาก

“ฆ่าดิฉันแทนเถอะค่ะ คุณต้องควบคุมตัวเองไว้ ดิฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในดันเจี้ยนแต่ได้โปรดสงบสติอารมณ์ วิธีนี้มันไม่ถูก”

วูจินมองเธอเงียบๆ

ใช่ เขาควรควบคุมตัวเอง แต่เขาไม่มีเหตุผลต้องทำนี่? ไอ้หมูส่งมือระเบิดมา วูจินจะปล่อยไปทำไม?

“ขอร้องล่ะค่ะ...”

วูจินต่อยท้องฮีซอล ฮีซอลงอตัวเหมือนกุ้งแล้วทรุดลงกับพื้น มันคงเจ็บแต่เขาไม่ได้ฆ่าเธอ

วูจินมองรอบๆ ไม่มีใครตื่นมาขวางทางวูจินอีก มีคนแอบมองเขาจากไกลๆ เคลื่อนไหวกันวุ่นวาย แต่วูจินไม่สนใจพวกเขา

***

สถานที่ – ทางใต้ดินพาไปยังหลุมหลบภัยใต้วังอนุสรณ์

ปุๆๆๆ!

ปืนตรงแท่นยิงใส่วูจิน แต่เกราะผีกันไว้ได้ทั้งหมด

ปึง!

ค้อนของวูจินฟาดใส่แท่นยิง ปืนบิดเบี้ยว ถล่มไปพร้อมๆกัน

“เหวอ!”

เมื่อแท่นปืนที่ป้องกันพวกเขาหายไป ทหารสองนายที่ไม่ใช่เราส์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“เมี้ยว!”

บิบิร่ายเวทย์นิทราทันที วูจินยักไหล่

“จะทำไปทำไม?”

“เมี้ยว เถอะน่า”

วูจินมองรอบอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยควัน กลิ่นดินปืนฉุนเฉียว มีประตูเหล็กเหลืออยู่อีกเพียงบานเดียว

“เฮ้ จองอึน ไม่คุยกันหน่อยเหรอ?”

“...”

ไม่มีเสียงตอบจากข้างใน เขาแน่ใจว่ามีคนอยู่ในนั้น เขารู้สึกถึงกาเกบิอยู่อีกด้านของประตู

หรือว่าไม่ได้ยินเสียงเขา

กึง กึง!

มันเป็นประตูเหล็กที่ทนแรงระเบิด วูจินใช้ค้อนทุบแต่มันไม่บุบสลาย

“ชิ โดลเซ”

วิ้ง

โดลเซเลเวล 27 แล้ว

แต่เดิมเขาใช้เศษดินสร้างร่างของตัวเอง ที่เลเวล 10 ใช้หินได้ ที่เลเวล 20 เขาใช้เหล็กสร้างร่างให้ตัวเอง
ประตูหลุดออกมาทั้งบาน จากนั้นก่อตัวเป็นรูปร่างโดลเซกำลังงอตัว เขาหลีกทางให้วูจินทันที หลุมหลบภัยสั่น เศษคอนกรีตร่วงจากเพดาน

“ว้าก!”

ประตูกลายเป็นโกเลม วูจินเห็นคิมจองอึนที่กำลังหวาดกลัวกับองครักษ์อยู่ข้างใน

วูจินยิ้ม

“คุยกันหน่อยไหม?”

เขายิ้มน่ากลัวกว่าปีศาจ

“นายกล้าฆ่าฉันเหรอ?”

“สหาย ผมไม่มีทางสั่งแบบนั้น”

คิมจองอึนตอบเสียงสั่น

สัตว์ประหลาด

เขาเป็นสัตว์ประหลาดท่ามกลางสัตว์ประหลาด เราส์จากหน่วยรบพลังพิเศษมาแสดงความสามารถให้คิมจองอึนดูหลายครั้ง แต่ไม่มีใครเหมือนวูจิน เขาเป็นศัตรูที่ไม่มีทางล้มได้ คิมจองอึนรู้สึกถึงภัยอันตรายกำลังคุกคามชีวิตเขาจริงๆ

เขาหลบ แต่วูจินรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และตามเขามาเหมือนวิญญาณร้าย

“อืม ฉันมีวิธีหาความจริง”

วูจินยิ้ม เงาบางเหมือนกระดาษออกจากเงาของจองอึน กาเกบิคืนกลับมาที่เงาวูจิน

‘อืม’

วูจินได้รู้ทุกอย่างที่เงาของคิมจองอึนรู้เห็นระหว่างอยู่ในดันเจี้ยน วูจินขมวดคิ้ว

‘ไม่ได้สั่งจริงแฮะ?’

บิบิส่ายหน้าอย่างอายแทน

‘เจ้านายทำเรื่องอีกแล้วเมี้ยว เคลียร์อย่างเป็นกันเองด้วยแล้วกันเมี้ยว’

วูจินคลั่งไปรอบหนึ่งแล้วจึงหายโกรธลงบ้าง แต่เขาไม่คิดจะยกโทษให้ใคร คิมจองอึนไม่ใช่คนเดียวที่ต้องถูกลงโทษ

“เฮ้ย จองอึน”

“พูดมาเถอะ สหาย”

“หาคนที่สั่งวางแผนระเบิดพลีชีพมาให้ฉัน ฉันไม่คิดปล่อยคนที่ลอบกัดฉันเอาไว้”

“ผมสัญญา สหาย ผมจะหาคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังมาให้ได้ ผมจะลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

ฟังแล้ววูจินยิ้มแล้วยกมือเตรียมจับมือ

“ฉันเข้าใจผิดเอง ขอโทษที”

เขาก่อกวนพย็องยังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าขอโทษจะพอไหม แต่...

“ไม่ใช่ ผมต่างหากที่ผิดที่ควบคุมลูกน้องไม่ดี”

“ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้เราคงเป็นเพื่อนกันได้”

คิมจองอึนฟังคำของวูจินด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ จากนั้นจับมือกับวูจิน

วูจินหัวเราะมองหน้าอ้วนๆของคิมจองอึน เผด็จการที่เป็นที่หวาดกลัวของเกาหลีใต้เป็นพวกคลั่งเราส์...

คลั่งขนาดตามสะสมอาร์ติแฟคจำนวนมากทั้งๆที่เขาใช้มันไม่ได้

ประหลาดดี

ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นแฟนวูจิน...

‘งั้นฉันจะรับของขวัญพวกนี้ไว้แล้วกันนะสหาย’

วูจินยิ้มกริ่ม เขารู้หมดว่าอาร์ติแฟคชิ้นไหนเก็บไว้ที่ไหนของวังอนุสรณ์ เขายังรู้ถึงห้องงานอดิเรกของคิมจองอึนที่ใช้เก็บอาร์ติแฟคอีกจำนวนมาก

‘สหายคังวูจินยิ้ม มองผมแล้วยิ้ม’

คิมจองอึนยิ้มตอบ

เราส์มีพลังเกินขีดจำกัดของมนุษย์ คิมจองอึนนับถือเราส์ยิ่งกว่าที่วูจินคาด




สารบัญ                                                บทที่ 66

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

แปลเพลง - I'll Follow You Into the Dark /Death Cab For Cutie

แปลเพลงค่า
เล่น FFRK แล้วเกิดอาการบ้าเพลง FF ขึ้นมา ตอนทำงานฟังรวมเพลงไฟนอลนี่ทั้งวันเลย

https://www.youtube.com/watch?v=GYzPebzvOnw

แต่ที่เราจะแปล มันเกี่ยวกับ FF อย่างห่างมากๆค่ะ เริ่มจากตามฟัง Cover ของ Katethegrate19/Erutan ซึ่ง Cover เพลงของ FF หลายเพลงๆ จนไปเจอเพลง I'll Follow You Into the Dark /Death Cab For Cutie แล้วชอบก็เลยเอามาแปลค่ะ

อันนี้ลิ้งค์ ต้นฉบับ https://www.youtube.com/watch?v=NDHY1D0tKRA

Cover ของ Katethegrate19 https://www.youtube.com/watch?v=VNI5iVnFVEs
เอ็มวีมาจาก FF 7 Crisis Core (FF10-2 นิดนึง) เห็นแล้วน้ำตาจะไหล TwT

ต่อไปเป็นเนื้อเพลงค่ะ

I'll Follow You Into the Dark /Death Cab For Cutie

Love of mine, someday you will die
But I'll be close behind and I'll follow you into the dark

No blinding light or tunnels to gates of white
Just our hands clasped so tight, waiting for the hint of a spark

If heaven and hell decide that they both are satisfied
And illuminate the no's on their vacancy signs
If there's no one beside you when your soul embarks
Then I'll follow you into the dark

In Catholic school as vicious as Roman rule
I got my knuckles bruised by a lady in black
And I held my tongue as she told me,
Son, fear is the heart of love, so I never went back

You and me we've seen everything to see
From Bangkok to Calgary and the soles of your shoes
Are all worn down
The time for sleep is now
But it's nothing to cry about
'Cause we'll hold each other soon in the blackest of rooms

แปลค่ะ

ฉันจะตามคุณไปสู่ความมืดมิด / เดธ แคบ ฟอร์ คิวตี้

ที่รักของฉัน สักวันคุณจะตาย
แต่ฉันจะตามไปในไม่ช้า ฉันจะตามคุณไปสู่ความมืดมิด

ไม่มีแสงเจิดจ้า ไม่มีอุโมงค์ทอดไปยังประตูขาว
มีเพียงเราเกาะกุมมือกันไว้ เฝ้ารอเศษเสี้ยวประกายแสง

หากนรกสวรรค์ต่างตัดสินใจว่าพอแล้ว
เปิดไฟคำว่า “No” บนป้ายห้องว่าง
หากไม่มีใครเคียงข้างยามวิญญาณคุณออกเดินทาง
ถ้าอย่างนั้นฉันจะตามคุณไปสู่ความมืดมิด

ในโรงเรียนคาธอลิกโหดร้ายไม่ต่างจากกฎหมายโรมัน
ข้อนิ้วฉันเป็นแผลโดยฝีมือสตรีชุดดำ
ฉันเงียบไปเมื่อเธอบอกว่า
“ลูกชายเอ๋ย ความกลัวเป็นหัวใจของความรัก” ฉันจึงไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย

หากนรกสวรรค์ต่างตัดสินใจว่าพอแล้ว
ต่างเปิดไฟคำว่า “No” ตรงป้ายของแต่ละห้อง
หากไม่มีใครเคียงข้างยามวิญญาณคุณออกเดินทาง
ถ้าอย่างนั้นฉันจะตามคุณไปสู่ความมืดมิด

คุณและฉันได้เห็นทุกอย่างที่มีให้เห็น
ตั้งแต่บางกอกถึงคาลการี่
และรองเท้าคุณสึกหมดแล้ว
ได้เวลานอนพักแล้ว
แต่ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย
เพราะอีกไม่นานเราจะตระกองกอดกันและกัน
ในมุมมืดสนิทของห้อง



----
เพลงนี้ฟังง่าย ฟังแล้วประทับใจมาก คือศาสนาเอาเรื่องโลกหลังความตายมากำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ว่าคุณทำดีไม่ดีนี่ไม่ใช่ว่าตายไปก็จบนะ คุณต้องไปสวรรค์นรกต่อ ไม่ว่ายังไงวิญญาณก็ต้องมีที่ไป

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสวรรค์และนรกไม่ยอมรับวิญญาณอีกต่อไปล่ะ ยามตายไม่มีเทวดาที่ไหนมารับดวงวิญญาณไป วิญญาณก็ต้องร่อนเร่ไม่มีจุดหมาย น่ากลัวนะ

แล้วก็มีคนบอกว่าต่อให้เป็นอย่างนั้นก็จะร่วมทางไปด้วย ต่อให้ต้องร่อนเร่ในความมืดไม่มีแม้แต่ประกายแสงก็จะจับมือไว้ เราว่าเป็นความรักที่ซื่อตรงและกล้าหาญมาก

(ว่าแต่ท่อนกลางที่บอกว่า “ความกลัวคือหัวใจของความรัก” นี่คืออะไร แปลว่าอะไร เป็นเราๆก็ไม่กลับไปเหยียบที่นั่นซ้ำสองอะ)

เพลงของวง Death Cab For Cutie นี่หลายเพลงเป็นเพลงรัก แต่เราไม่เกลียดเพลงรักแบบนี้นะ ฟังง่ายแต่ซึ้ง ลองหาฟังดูนะคะ วันนี้ไปก่อนค่า




เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 64

บทที่ 64 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง (4)


เชฮีซอลกำลังรอเขาอยู่

วูจินตาโตเมื่อเห็นเธอ ฮีซอลคุกเข่าลงทันทีที่เห็นเขา

“เอ๋? ทำอะไรน่ะ?”

“ช่วยรับฟังคำขอของดิฉันด้วยค่ะ”

“อะไรเหรอ?”

“พักก่อนสักหน่อยได้ไหมคะ สักชั่วโมงก็ยังดี”

“อะไรนะ?”

ทุกครั้งที่เขาออกมาจากดันเจี้ยน ร้อยโทเฮซอลจะพยายามรั้งเขาไว้ แต่คราวนี้เธอดูเอาเป็นเอาตายกว่าปกติ

“เฮ้อ ก็บอกว่าฉันสบายดีไง”

“สถานการณ์การเมืองตอนนี้ไม่ดีเลยค่ะ เห็นแก่ประเทศของคุณกรุณาพักสักนิดเถอะ”

พูดอะไรของเค้านี่? วูจินงง ฮีซอลเหลียวมองรอบๆแล้วเข้าไปกระซิบที่หูวูจิน

“เกาหลีเหนือตั้งใจจะโฆษณาความสำเร็จในการพิชิตดันเจี้ยนไปให้ทั่วถึง เกาหลีใต้ก็อยากจะร่วมด้วยในฐานะเป็นการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างเหนือใต้ค่ะ”

“ก็ทำไปสิ”

วูจินทำหน้า “แล้วไง”

“ช่วยมากับดิฉันด้วยค่ะ”

“ฉันต้องเข้าดัน เธอจัดการเรื่องการเมืองไป...”

เชฮีซอลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มที

บุคคลสำคัญที่สุดในงานไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็น อย่างน้อยมาถ่ายรูปสักหน่อยไม่ได้หรือ?

วูจินยอมเห็นแก่เชฮีซอล เขาตัดสินใจแบ่งเวลาให้หนึ่งชั่วโมง

“เฮ้อ ยุ่งยากจริง”

ที่วังอนุสรณ์วุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าวูจินกำลังมา

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือและทีมเจรจาของเกาหลีใต้ทั้งหมดมารวมกันที่โถงงานเลี้ยง บางคนมีสีหน้าไม่พอใจเพราะพวกเขารอวูจินมา 2 สัปดาห์แล้ว แต่วูจินไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด

อาหารเลิศรสถูกจัดวางอย่างอลังการในห้องโถง วูจินกินไปบ้าง จากนั้นยืนให้ถ่ายรูปกับคิมจองอึนและตัวแทนจากทีมเจรจาของเกาหลีใต้

“ยิ้มหน่อยครับ”

วูจินฉีกยิ้มให้ตามคำขอ เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือมองอย่างไม่พอใจ

“เอาล่ะ ผมยุ่งมาก พอแค่นี้เถอะ”

วูจินกำลังจะผละไปแต่ถูกพันตรีคนหนึ่งหยุดไว้ เขาเป็นองครักษ์จากหน่วยรักษาความปลอดภัย

“สหาย ช่วยเซ็นชื่อให้ผมหน่อย”

วูจินมองกระดาษเปล่าที่ยื่นมาให้เขาเฉยๆ

“คุณเป็นเราส์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเกาหลีใต้ จะเป็นเกียรติมากที่ได้ลายเซ็นของคุณ”

“ผมก็นึกว่าคุณจะเอาอะไร”

วูจินยิ้ม จากนั้นเซ็นชื่อบนกระดาษ

“โชคดี”

“ขอบคุณ สหาย”

เมื่อองครักษ์ได้ลายเซ็น เขาถอนหายใจโล่งอก ทั้งยังแอบมองไปทางคิมจองอึนแล้วขยิบตาให้

เห็นแล้ววูจินรู้สึกแปลกๆจึงเรียกกาเกบิ

‘กาเกบิ เห็นหมูตรงโน้นไหม’

‘เห็นสิเจ้านาย’

‘ไปเกาะเขาสิ’

‘คึๆ มาแล้ว ภารกิจแรกบนโลกของข้า’

วูจินรู้สึกถึงกาเกบิออกจากเงาของเขาแล้วแทรกเข้าไปในเงาของคิมจองอึนเงียบๆ เมื่อเข้าไปได้แล้วกาเกบิจะสามารถรับความคิดความรู้สึกของเจ้าของเงาได้

ยิ่งกว่านั้น เมื่อกลับมาหาวูจิน วูจินก็จะได้รู้เห็นในสิ่งที่กาเกบิประสบมาด้วย

“คงยุ่งหน่อยล่ะ”

วูจินเหลือเวลาใช้ดันเจี้ยนอีกเพียง 1 วัน ถ้าเขาอยากได้ค่าความสำเร็จมากกว่าเดิมสักนิดเขาต้องเร่งมือกว่าเดิม

ชายหน้าตาคมสันกำลังมองวูจินที่ออกไปจากห้องโถง

ลีพยังกาน ผู้บัญชาการหน่วยรบพลังพิเศษแห่งชาติ

ชายอีกคนเข้ามากระซิบกับเขา

“ท่านผู้บัญชาการ เราพร้อมแล้วครับ ท่านแน่ใจหรือครับเรื่องสู้กับเขา?”

“ทำต่อไปอย่างลับที่สุด”

“รับทราบ”

เมื่อชายที่รับคำสั่งหายไป ลีพยังกานหัวเราะโรคจิต

“ไอ้เวรนั่นกล้าดูถูกสาธารณรัฐของเรา”

แค่เราส์คนหนึ่งจากเกาหลีใต้มาวางท่าถึงศูนย์กลางของเกาหลีเหนือ เขาไม่ชอบใจเลย เขายังไม่ชอบที่วูจินไม่มีท่าทีเคารพท่านประธานด้วย

ท่านประธานชื่นชมเราส์

เขาจัดตั้งหน่วยรบพลังพิเศษแห่งเกาหลีเหนือขึ้นมา และลีพยังกานเป็นผู้บัญการของหน่วยรบนี้ พวกเขามีคนไม่เยอะ ดังนั้นเมื่อดันเจี้ยนระดับสูงเกิดรีเซ็ทก็ต้องขอความช่วยเหลือจากจีน ทำให้เสียผลประโยชน์ไปมาก คนจีนมาขุดทองถึงถิ่นพวกเขาแต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

ในการเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวนี้ ลีพยังกานส่งทีมเราส์ที่ฝึกมาอย่างดีเข้าไป ประกอบด้วยเราส์แรงค์ A 2 คน แรงค์ B 8 คน

ทีมนี้ถือเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเราส์แรงค์สูงในเกาหลีเหนือ สาธารณรัฐยังให้หินเปิดมิติไป 2 ก้อน แต่แล้วทั้งทีมก็ถูกกวาดเรียบ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

เนื่องจากทั้งทีมตายก่อนได้ใช้หินเปิดมิติกลับมาจึงไม่มีข้อมูลของดันเจี้ยนนี้ ซ้ำพวกเขายังสูญเสียเราส์ที่ทุ่มเทฝึกมา

พริบตาเดียวความเชื่อมั่นที่มีต่อหน่วยรบพลังพิเศษก็สูญเสียไป ตำแหน่งผู้บัญชาการของลีพยังกานก็สั่นคลอน

แค่หน่วยรบพลังพิเศษของเกาหลีเหนือไม่อาจเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้ พวกเขายังต้องห่วงเรื่องเกิดดันเจี้ยนเบรก จีนเมินเฉยต่อคำขอของเกาหลีเหนือ ประเทศอื่นๆก็เช่นกัน

สุดท้าย เราส์ท่าทางอวดเก่งจากเกาหลีใต้มาเข้าดันเจี้ยนนี้ ตอนแรกลีพยังกานไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ แต่วูจินกลับเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จทัน 3 วัน ทำให้ลีพยังกานตกที่นั่งลำบาก

ดันเจี้ยนถูกพิชิต การเจรจาแบ่งดันเจี้ยนก็จบลงแล้ว เกาหลีเหนือยังมีเราส์แรงค์ A อีก 2 คน เราส์แรงค์ B ก็พอมีอยู่บ้าง

การเคลียร์ดันเจี้ยนครั้งแรกจะยาก แต่เมื่อเข้าดันเจี้ยนครั้งต่อๆมาความยากจะลดลง และพวกเขาก็ได้รับข้อมูลมากมายของดันเจี้ยนนี้จากการเจรจา

‘ไอ้ทุเรศนั่น’

เมื่อกระต่ายตายก็ถึงเวลาสังหารสุนัขล่าเนื้อ

วูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าถูกยิงหรือโดนระเบิดก็ต้องตาย

ถ้าเกิดขึ้นในดันเจี้ยนก็จะไม่มีหลักฐาน ก่อนสังหารมอนสเตอร์หมดแล้วอุโมงค์เข้าดันเจี้ยนที่แท้จริงปรากฎขึ้น ระหว่างนี้ยังใช้สิ่งของจากโลกได้

‘จงเป็นปุ๋ยให้สาธารณรัฐของเราเติบโตแข็งแกร่งอุดมสมบูรณ์ซะเถอะ’

ทุกอย่างเพื่อประเทศ ท่านประธานตัดสินใจบกพร่องไปเล็กน้อย นี่เพื่อสหายของเขา ลีพยังกานมองคิมจองอึนด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน

***

วูจินเดินผ่านพวกทหารที่ยังยืนเฝ้าทางเข้าดันเจี้ยนอย่างเคร่งครัดเข้าไป

“จะเข้าไปอีกแล้วหรือครับ?”

“แน่นอน”

“สำหรับคุณนี่คงเป็นการเข้าครั้งสุดท้าย ขอให้โชคดี”

ทหารเปิดทางให้ อีกแค่วันเดียว ไม่สิ อีก 4 วันในดันเจี้ยน เขาต้องตั้งใจเก็บเลเวลแล้วก็จะได้กลับบ้าน

วูจินเข้าดันเจี้ยนไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ก่อนบาเรียจะเกิดขึ้น คนอีกคนหนึ่งกระโดดเข้าไปในดันเจี้ยน

ทหารคนอื่นๆไม่มีท่าทีแปลกใจ

“เขาเข้าไปสำเร็จ”

คนๆนั้นเข้าไปก่อนบาเรียจะเกิดขึ้น ถ้าบาเรียสลายไป หมายความว่าดันเจี้ยนถูกพิชิตหรือทุกคนในนั้นเสียชีวิต

คราวนี้พวกเขาหวังว่าจะเป็นเหตุผลข้อหลัง

“ทำได้ดี สหายนัมโจซุน”

ทหารคนหนึ่งผละไปรายงาน

พวกเขาไม่เห็นว่ามีนักข่าวต่างประเทศกำลังถ่ายรูปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ไกลๆ

***

ผ่านไป 4 ชั่วโมงนับจากคังวูจินเข้าดันเจี้ยน

ลีพยังกานวิตก

“หรือว่าล้มเหลว?”

คนที่ตามวูจินเข้าไปเป็นสมาชิกของหน่วยรบพลังพิเศษ เราส์แรงค์ C เขาจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐเป็นพิเศษ เขาติดระเบิดไว้รอบตัวตอนที่เข้าดันเจี้ยนไป

นี่เป็นแผนที่เขาต้องสังเวยชีวิตตัวเองแต่แรก

ทันทีที่เข้าดันเจี้ยน เขาต้องกอดคังวูจินแล้วระเบิดตัวเอง ต่อให้จับวูจินไว้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทางเข้าสถานีใต้ดินนั้นแคบ เมื่อมีการระเบิดในระยะนั้นก็ถึงตายเช่นกัน

แล้วทำไมบาเรียยังไม่หายไปล่ะ?

ถ้ามันรอดกลับมา...

“ชิ”

แค่คิดลีพยังกานก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ระเบิดที่เตรียมไว้มากพอจะระเบิดอาคารได้ทั้งหลัง วูจินจะรอดกลับมาได้หรือ?

“ใช่แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็คงสาหัส มันคงใกล้ตายแล้ว เจ็บขนาดนั้นจะไปหาหินรีเทิร์นกลับมาได้ยังไง?”

พลังของเราส์อยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ คังวูจินคงมีไม้เด็ดอะไรซ่อนอยู่จึงยังไม่ตาย แต่เขาแน่ใจว่าวูจินต้องบาดเจ็บสาหัส

การทำลายบาเรียต้องใช้หินรีเทิร์นสโตน

ถึงวูจินจะยังไม่ตายแต่คงใกล้เต็มที เขารู้สึกหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไร แต่ลีพยังกานยังไม่หมดหวัง

***

ผ่านไป 2 วัน 1 ชั่วโมงนับจากคังวูจินเข้าดันเจี้ยน

“มันผิดปกตินะคะ”

“อะไร?”

หัวหน้าทีมเจรจา ผู้พันลีซุนเจถามเชฮีซอลด้วยท่าทีกระด้าง

“ถ้าคิดจากนิสัยของคุณคังวูจิน เขาจะไม่ทำอะไรที่เกินความสามารถ”

“มีอะไรผิดพลาดแน่”

เสียงของลีซุนเจเคร่งเครียด วูจินเข้าดันเจี้ยนไป 2 วันแล้ว เขามีเวลา 15 วันในการใช้ดันเจี้ยน แต่นี่เกินมา 1 วันแล้ว

เกาหลีใต้ตกลงจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากวูจินอยู่เกินกำหนด ดังนั้นลีซุนเจจึงรู้สึกกังวล

“ครั้งสุดท้ายคุณคังวูจินใช้เวลาเคลียร์ดันเจี้ยน 1 วัน 17 ชั่วโมง เขาควรจะออกมาตั้งนานแล้ว”

“ฮึ่ม แล้วคุณอยากจะพูดอะไรอีก?”

“เราจะไม่ตรวจสอบเรื่องนี้เหรอคะ?”

“นี่คุณรู้หรือเปล่าว่าเราอยู่ที่ไหน เราจะทำอะไรได้”

ที่นี่คือพย็องยัง

สายตานับร้อยจ้องมองพวกเขาอย่างลับๆ แค่ทีมเจรจาไม่กี่คนอย่างพวกเขาจะทำอะไรได้?

“กรุณาดูสิ่งนี้ค่ะ”

เชฮีซอนได้รับรูปถ่ายใบหนึ่งจากนักข่าวต่างประเทศ เธอหยิบมันออกมา มันเป็นรูปชายไม่ทราบชื่อติดตามวูจินเข้าไปในดันเจี้ยน

เมื่อเห็นรูป ลีซุนเจหน้าเครียด

“ได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ประมาณ 30 นาทีที่แล้วค่ะ”

หลังจากได้รูปถ่าย เธอมารายงานด้วยความวิตกกังวล

“เราต้องสืบสวนเรื่องนี้ทันทีนะคะ เราต้องเขียนจดหมายประท้วงทางเกาหลีเหนือด้วย”

“คุณบ้าเหรอ?”

ลีซุนเจตำหนิเชฮีซอนอย่างเย็นชา

ถ้ามีคนวางแผนร้ายก็ต้องเกาหลีเหนือเป็นผู้วางแผน แล้วพวกเขาจะประท้วงฝ่ายนั้นได้อย่างไร บอกให้ฝ่ายนั้นยอมสารภาพผิดหรือ?

แบบนั้นก็เหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ ที่นี่เป็นใจกลางเกาหลีเหนือ หากเผลอเมื่อไหร่ก็เหมือนกระโดดเข้าปากเสือ

“รอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ”

“...”

ถ้าพวกนั้นวางแผนสังหารคังวูจิน ทีมเจรจาจะยิ่งได้เปรียบ

หากพวกเขาจะส่งจดหมายประท้วง พวกเขาต้องทำหลังกลับจากเกาหลีใต้

พวกเขาต้องจัดการเรื่องนี้ผ่านการทูต

มีเพียงเชฮีซอลที่มีสีหน้าวิตกกังวล

***

ผ่านไป 2 วัน 18 ชั่วโมงนับจากคังวูจินเข้าดันเจี้ยน

“นี่อะไร?”

คิมจองอึนเห็นข่าวในแท็บเล็ท เขาตะโกนอย่างโกรธเคือง

มันเป็นบทความของศูนย์ข่าวฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง มันเป็นรูปของชายคนหนึ่งเล็ดรอดเข้าดันเจี้ยนตามหลังวูจิน

“มันเป็นใคร”

“เรากำลังสืบหาอยู่ครับ”

“รีบๆหาเร็วเข้า บอกผมว่าไอ้เวรนี่มันเป็นใคร!”

“รับคำสั่ง”

หน้าของคิมจองอึนเป็นสีแดง แก้มอูมสั่นเทิ้ม เราส์ที่เก่งที่สุดของเกาหลีเหนืออาจตายไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรนี่นับเป็นการสูญเสีย เขาต้องหาคนวางแผนเรื่องนี้ให้ได้

ไอ้เวรที่ภักดีไม่เข้าท่าแบบนี้แหละที่คอยหาเรื่องให้เขามากที่สุด

“ไอ้เชี่ยเอ๊ย!”

คิมจองอึนทุบโต๊ะ สายตามองไปที่กระดาษขาวในกรอบรูป มันเป็นกระดาษที่มีลายเซ็นของคังวูจิน

***

ผ่านไป 3 วัน 5 ชั่วโมงนับจากคังวูจินเข้าดันเจี้ยนไป

“อ๋า? มันกำลังหายไป”

บาเรียกำลังสลาย ไม่ว่าวูจินจะรอดหรือตายก็เป็นข่าวใหญ่

บรรดานักข่าวต่างชาติกดชัดเตอร์กล้องรัวๆ

นักข่าวต่างชาติคนหนึ่งถ่ายรูปชายนิรนามเข้าดันเจี้ยนได้ และเอาไปเผยแพร่ในข่าว ทำให้สถานการณ์ในเกาหลีเหนือตึงเครียด ทหารระดับสูงของกองทหารเกาหลีเหนือเริ่มเตรียมการ

ร้อยโทเชฮีซอลจากเกาหลีใต้ยืนหน้าดันเจี้ยนตลอดทุกวันยกเว้นเวลาที่เธอต้องนอนพัก

“ได้โปรดเถอะ”

เพราะเธออยากได้ยินหรือเปล่า? เธอได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินขึ้นบันได

ตึกๆ

แต่ละย่ำก้าวเชื่องช้า เมื่อเขามาถึงบันไดขั้นบนสุด เธอเห็นหน้าเขา

ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล หน้าเป็นแผลเป็นจุดเป็นดวงเหมือนผิวหนังถูกลอกไป ผิวหนังเขาดูไม่ดีเลย
เมื่อวูจินเดินขึ้นมา เขามองไปรอบๆ สายตาหลายคู่จับจ้องเขานิ่ง

“ฮ่าๆ”

เขาหัวเราะ

วูจินที่มีสีหน้าว่างเปล่า หัวเราะ

เขาต้องใส่ยาฟื้นฟูสภาพจำนวนมาก หน้าและตัวเขายังไม่หายดี แต่เขาไม่สนใจ แผลบนร่างเขาจะหายดีในอีกวันสองวัน

ปัญหาคือความสกปรกโสมมที่เขารู้สึก ในใจเขาอัดแน่นไปด้วยความเกรี้ยวกราด

เสียงหัวเราะชั่วร้ายของวูจินหยุดไป รอยยิ้มบนหน้าหายไป

“พวกนายอยากตายใช่ไหม? นี่ใช่ไหมที่พวกนายต้องการ?”

วูจินมองรอบๆด้วยสายตาเย็นชา




สารบัญ                                      บทที่ 65