บทที่ 63 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง
[ชิ้นส่วนแห่งมิติ]
เศษชิ้นส่วนปาฏิหาริย์ที่ใช้สร้างโลกวัตถุ / วัตถุดิบสำหรับสร้างมิติอาณาเขต
“หืม”
วูจินลูบคาง เขายกหินสีม่วงสดใสขึ้นมาดูใหม่ แต่ไม่มีข้อมูลมากไปกว่านี้
“บิบิ เธอรู้อะไรเกี่ยวกับมิติอาณาเขตหรือเปล่า?”
“อื๋อ? ไม่เลยอ่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่บิบิได้ยินชื่อนี้ วูจินจึงไม่ถามต่อ ในเมื่อคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรเขาจึงตัดสินใจปล่อยไปก่อน
วูจินเก็บชิ้นส่วนแห่งมิติไว้ในคลัง จากนั้นเดินจากไปพร้อมกับหินรีเทิร์นสโตนในมือ ได้เวลาออกจากที่นี่แล้ว
***
บาเรียกำลังหายไป
ทหารเกาหลีเหนือที่กำลังเฝ้าทางเข้าสถานีกวางมย็องจ้องตาโต
“เฮ้ย ดูสิ นั่นอะไร?”
“ฮ้า บาเรียกำลังหายไป”
“ไอ้ทุเรศจากเกาหลีใต้ทำได้จริงๆ รีบไปบอกหัวหน้า”
ขณะที่ทหารเกาหลีเหนือกำลังวุ่นอยู่ นักข่าวต่างประเทศหลบอยู่ไม่ไกล พวกเขาถ่ายรูปวูจินกำลังเดินขึ้นบันได
“เชี่ย เหลือเชื่อเลย”
“บ้าแล้ว โซโล่ดันเจี้ยน 6 ดาว ข่าวใหญ่แน่”
“เราส์มหัศจรรย์ปรากฏตัวที่เกาหลี”
“นี่... เราส์คนนี้อาจได้ดังพอๆกับเมโลดี้ที่อเมริกาหรือเปล่า?”
“รีบติดต่อสำนักงานใหญ่เถอะ”
ระหว่างพวกนักข่าวกำลังยุ่งอยู่ วูจินมองคนที่เดินมาทางเขา แม้ยังมีทหารเฝ้าตรงเส้นตั้งรับแต่วูจินก็ยังเห็นว่ามีนักข่าวอยู่แถวนั้น
ไม่เหมือนเกาหลีใต้ พวกนักข่าวไม่พุ่งมาขอสัมภาษณ์ พวกเขาแค่มองวูจิน
เมื่อได้ฟังรายงาน ร้อยโทเชฮีซอลวิ่งมาที่ดันเจี้ยนอย่างไม่ปิดบังความปลื้มใจ
“ดิฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องทำสำเร็จ ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
“หึ ไม่ใช่เรามาที่นี่เพราะรู้ว่าฉันต้องทำสำเร็จเหรอ?”
“ฮะๆๆ นั่นสินะคะ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่คุณทำได้จริงๆ”
ดันเจี้ยนที่ไม่มีใครอาสาอยากเข้าแต่วูจินกลับเคลียร์ได้อย่างง่ายดาย ข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนก็ไม่มีเพราะการเข้าดันเจี้ยนถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ต้องเป็นคนกล้าหาญมากๆถึงจะกล้าเข้า ยิ่งสามารถเคลียร์ได้จริงๆจึงยิ่งน่าประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“กลุ่มที่จะมาเจรจามาถึงแล้วยัง?”
“มาแล้วค่ะ ทั้งฝ่ายเหนือและใต้กำลังรอรายงานว่าการเคลียร์ดันเจี้ยนประสบความสำเร็จหรือเปล่า”
เชฮีซอลไม่บอกว่าพวกเขาเตรียมการเจรจาโดยเชื่อว่าวูจินจะล้มเหลว 70%
“งั้นก็เจรจากันไป ผมจะเข้าดันเจี้ยนอีกรอบ ในเมื่อไม่มีดันเจี้ยนเบรกแล้ว บอกทหารให้ถอยไป”
“อะไรนะคะ? จะไม่เข้าไปโดยไม่พักก่อนเหรอคะ?”
เชฮีซอลประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้างนอกเวลาผ่านไปสามวัน นานกว่านั้น 4 เท่าในดันเจี้ยน เขาใช้เวลายาวนานขนาดนั้นในสนามรบที่ดุเดือดแต่จะเข้าไปใหม่โดยไม่พักเลย?
“อืม ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ ทำไมต้องพักด้วยล่ะ?”
“...”
พูดเหมือนดันเจี้ยน 6 ดาวเป็นสนามเด็กเล่นเลย ความสามารถของวูจินคืออะไรกันแน่ถึงเคลียร์ดันเจี้ยนได้ง่ายดายขนาดนี้?
“ถ้าอย่างนั้นก็พยายามเข้านะคะ”
วูจินหันหลังเข้าไปในดันเจี้ยนทันที ถ้าอยากเก็บเลเวลให้ถึง 60 ใน 15 วันนี้ เขาต้องใช้เวลาให้เต็มที่
เขาสามารถหลับในดันเจี้ยนได้ ทั้งเรื่องกินก็ทำได้ในดันเจี้ยนเช่นกัน เขามีเครื่องมือสารพัดประโยชน์สำหรับซื้อปัจจัยต่างๆที่เรียกว่าร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ
หลังวูจินจากไปได้ไม่นาน ทหารเกาหลีเหนือคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง มองจากแถบบนบ่าก็บอกได้ว่าเขาเป็นเจ้าพนักงานระดับสูง
เมื่อเห็นบาเรียกำลังขวางทาง เขาเหลียวมองรอบๆ
“นี่มันอะไร? ไหนบอกว่าบาเรียสลายไปแล้ว?”
“ครับ เขาเพิ่งเข้าไปใหม่อีกรอบ”
“ห๊ะ? ไอ้เวรนั่นเข้าไปเลยไม่พักเรอะ?”
“ครับ”
เขามองรอบๆและเห็นแต่ทหารคนอื่นๆยืนยันคำพูดนั้น ดันเจี้ยนถูกพิชิตสำเร็จ แต่วีรบุรุษคังวูจินกลับเข้าไปในดันเจี้ยนแล้ว
เขาได้แต่อึ้งไปกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้
“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ”
ท่านประธานบอกให้เขาพาสหายคังวูจินมาให้ได้ แต่เขาไม่มีหนทางติดต่อชายคนนั้นได้เลย...
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรายงานไปตามตรง เขารีบเดินจากไป
***
ในห้องหนึ่งของวังอนุสรณ์ คิมจองอึนลูบคางอวบอูมของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มันเอียงไปทางซ้าย”
“ทราบแล้วสหาย”
ทหารรีบจัดกรอบรูปให้ตรง คิมจองอึนยิ้มพอใจ
กรอบรูปขนาดใหญ่บนผนังเป็นรูปที่เขาถ่ายกับคังวูจิน
“แล้วจะให้ทำอย่างไรกับรูปนี้ดีคะ?”
คิมจองอึนมองรูปที่เคยแขวนตรงนี้มาก่อน
มันเป็นรูปเขากำลังจับมือกับ เดนนิส รอดแมนอย่างสนิทสนม
มันเป็นรูปของนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่เขาเคยชอบ แต่เขาหมดความสนใจแล้ว
“โยนทิ้งไป...”
เมื่อได้ยินคำสั่งเย็นชาจากคิมจองอึน แม่บ้านพากรอบรูปออกไปจากห้องอย่างระวังตัว
ห้องนี้เคยประดับด้วยอุปกรณ์บาสเก็ตบอล ลูกบอลที่ใช้ในการแข่ง NBA รองเท้า ที่คาดผม ตอนนี้ไอเทมจากดันเจี้ยนเข้ามาเป็นของประดับแทน
ตลอดผนังห้องที่แขวนกรอบรูป จัดวางจนคล้ายพิพิธภัณฑ์ดันเจี้ยนขนาดย่อม เต็มไปด้วยอาร์ติแฟคและมอนสเตอร์ระดับต่ำที่ถูกสตัฟฟ์
คิมจองอึนมองรูปวูจิน สีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา
ก๊อกๆ
“เชิญ”
คิมจองอึนยิ้มกว้างมองไปทางประตู แต่คนที่เขาคอยอยู่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“นี่มันเรื่องอะไร? สหายคังวูจินอยู่ไหน?”
“คือว่า... เขาเข้าดันเจี้ยนไปใหม่ครับ”
“ว่าอะไรนะ?”
ทหารเกาหลีเหนือพยายามอธิบายแต่ไม่ได้ผล
“ทำไมคุณไม่หยุดเขา?”
“ตอนผมไปถึงเขาก็เข้าไปแล้วครับ”
“นี่คุณเห็นคำพูดของผมเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ?”
เขาขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คิมจองอึนไม่แม้แต่กระพริบตา เหงื่อเย็นเฉียบเริ่มไหลจากตัวทหาร
“สหาย ผมคิดว่าคุณต้องพิจารณาตัวเองแล้ว”
“ได้...ได้โปรดไว้ชีวิตผม”
ทหารคุกเข่าลงทันที
“ผมไม่มีธุระกับคุณแล้ว ออกไป”
“ท่านประธาน...ได้โปรด”
เขาขอร้องแต่ไม่ได้ผล การทำตัววุ่นวายยิ่งทำให้เรื่องแย่เข้าไปอีก
“ดูท่าแม้แต่การพิจารณาตัวเองก็ไม่จำเป็นแล้ว”
องครักษ์ที่ยืนด้านหลังคิมจองอึนล้วงปืนออกมาแล้วยิงใส่ชายตรงหน้า
ปัง
ทหารเกาหลีเหนือตายไปอย่างไร้ค่าและไร้เหตุผล แต่องครักษ์ไม่มีท่าทีแปลกใจ เขาเพียงคิดว่าเกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
“คราวนี้ฟังผมนะ ไปรอคังวูจิน เปิดตาให้กว้าง เขาออกมาเมื่อไหร่ให้พามาหาผม”
“ครับ”
องครักษ์โชคร้ายที่ถูกเลือกไม่มีท่าทีไม่พอใจ หัวใจเขาด้านชาไปแล้ว
“เฮ้อ ผมก็อยากเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยพย็องยังบ้าง”
คิมจองอึนแตะตำราทักษะที่วางบนโต๊ะ เขาไม่ใช่เราส์ดังนั้นตำราทักษะจึงไม่ตอบรับเขาแม้แต่น้อย
คิมจองอึนมองรูปบนผนังด้วยสายตาอิจฉาเลื่อมใส
***
“ฮู่ว”
เมื่อเลเวลเขาเพิ่มขึ้น เวทย์กับพลังที่เหลือน้อยก็ฟื้นฟูจนเต็ม พลังที่พวยพุ่งขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง เขารู้สึกสดชื่น เป็นความรู้สึกดีที่แม้แต่การเสพยาก็เทียบไม่ติด
“60 แล้ว”
เขาเริ่มเก็บจากพวกเบจิก จากนั้นก็สังหารจอมยิง มอนสเตอร์รูปร่างคล้ายแมงมุม 6 ขาที่โจมตีด้วยการยิงหนวดของมัน กระทั่งพวกรันโต มอนสเตอร์มีเขามีหนังหนาที่ต้านทานเวทย์ยิ่งกว่าโอเกอร์เขาก็สังหารมาแล้ว จากนั้นก็เป็นพวกทิวดอน ตัวตุ่นที่มุดดินโจมตีเหยื่อทีเผลอ
พวกนี้เป็นลูกน้องที่เป็นกองกำลังพื้นฐานของทราห์เน็ต วูจินล่าพวกมันเอาสุ่มๆ จากนั้นทำลายที่ฟักไข่ตามที่ต่างๆ
ใจกลางของอาณาเขตที่ปรากฏในครั้งแรกไม่ปรากฏอีกในครั้งต่อๆมา เขาเดาว่าใจกลางของอาณาเขตนั่นเองที่เป็นบอสของดันเจี้ยนนี้
เขาล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนขนาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หินรีเทิร์นสโตนจะสุ่มเกิดตามที่ต่างๆเมื่อที่ฟักไข่ถูกทำลาย เมื่อวูจินเจอหินรีเทิร์นสโตน เขาจะจัดการมอนสเตอร์เท่าที่เห็นจากนั้นก็ออกจากดันเจี้ยนแล้วเข้าใหม่
แทนที่จะตามล่ามอนสเตอร์ทั้งหมด ออกจากดันเจี้ยนแล้วเข้าใหม่เพื่อสู้กับมอนสเตอร์ฝูงใหญ่จะดีกว่า วิธีนี้ทำให้ได้ค่าประสบการณ์เร็วกว่า
วูจินใช้วิธีเดิมซ้ำๆ นี่เป็นครั้งที่ 7
ในที่สุดเลเวลของเขาก็เพิ่มเป็น 60
อันดับแรก วูจินเรียนทักษะทั้งหมดของอาชีพวอริเออร์
[ความอดทนของนักรบ]
ความอดทนของนักรบเป็นทักษะติดตัว ทำให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวด ส่วนทักษะอื่นๆเป็นทักษะเกี่ยวกับธนู วูจินเรียกอาวุธของนักรบออกมาลองเปลี่ยนรูปร่างทันที
ไม้เท้าเหล็กงอลง แสงมนตรายาวขึ้นๆเป็นสายธนู จากนั้นวูจินมองหาทักษะหนึ่งของเนโครแมนเซอร์แล้วเรียน [ธนูกระดูก]
นี่เป็นทักษะที่เขาไม่เคยเรียนเพราะมันอ่อนแอกว่าหอกกระดูก แต่คิดว่ามันจะเป็นทักษะที่ทำงานร่วมกับธนูได้ดี
วูจินเรียกธนูกระดูกออกมาหนึ่งอัน ขึ้นสายแล้วยิง
ฟิ้ว
มันพุ่งไปเร็วกว่าการขว้างหอกกระดูกและยังไกลกว่า วูจินยิ้มอย่างพอใจ
ถ้ามีเวทย์พอ เขาสามารถเรียกหอกกระดูกกับธนูกระดูกออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ถึงกระดูกพวกนี้จะใช้เป็นสื่อเรียกทัพโครงกระดูกของเขาไม่ได้ แต่มันสามารถใช้เรียกกำแพงกระดูกออกมาได้ ทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้ขึ้นมาก
จากนั้นวูจินเรียนทักษะของอาชีพเนโครแมนเซอร์ที่เรียนได้ตอนเลเวล 60
[เงาสิงร่าง]
เรียกผีปรสิตจากเงาของเจ้าของร่าง
มันจะอ่านอารมณ์และรวบรวมข้อมูลของเจ้าของร่าง ถ้าเจ้าของร่างเป็นศพไร้ชีวิต มันจะควบคุมศพนั้นได้ ถ้าศพถูกคืนชีพด้วยทักษะปลุกชีพ ผีปรสิตสามารถดึงความสามารถเดิมของศพออกมาได้เพิ่มขึ้น
ค่าบงการที่ใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่แท้
จำนวนเงา : 1
เพิ่มความสามารถให้ศพ : +10%
ค่าบงการ : 1 (-99 จากค่าความซื่อสัตย์ -99 จากค่าความเชื่อใจ)
ถ้าเขามีกาเกบิ ศพที่ถูกคืนชีพขึ้นมาจะมีความสามารถเพิ่มกว่าเดิม พวกมันเป็นเพียงศพจึงไม่มีความว่องไวและสติปัญญาอย่างตอนมีชีวิตอยู่ แต่หากกาเกบิควบคุมร่างพวกมันก็คนละเรื่อง (TN – เปลี่ยนชื่อทักษะบงการศพเป็นปลุกชีพค่ะ เหมาะกว่า หรือจะใช้ปลุกผีดี)
“กาเกบิ ออกมา”
วูจินเรียกอสูรของเขาทันที เงาของวูจินลุกพรวดขึ้น ร่างที่เหมือนวูจินปรากฎต่อหน้า
หากไม่ใช่ว่าเป็นร่างโปร่งแสงแบบชิงชิง กาเกบิจะเหมือนวูจินไม่ผิดเพี้ยน
[คึๆ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเจ้านาย]
“ยังน่าสยองเหมือนเดิมนะ”
[คึๆๆ เจ้านายยังไม่ชินอีกเหรอ?]
อย่างที่กาเกบิพูด เขาน่าจะชินได้แล้ว แต่วูจินก็ยังไม่ชินเสียที กาเกบิเหมือนเขาอย่างกับแกะ
พวกเขานั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่แยกจากกัน แต่ใช้ความคิดร่วมกัน เห็นสิ่งต่างๆ รู้สึกถึงสิ่งต่างๆเหมือนกัน
[ถ้าเจ้านายไม่ชอบแบบนี้ก็หาร่างใหม่ให้ข้าไม่ได้เหรอ?]
วูจินมองรอบๆ มันเป็นเศษซากหลังสงคราม มีศพมากมายให้กาเกบิใช้ แต่วูจินเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จแล้วจึงไม่จำเป็น
“ถ้าต้องการนายแล้วฉันจะเรียก กลับไปที่เงาฉันก่อน”
[คึๆ ของที่เรียกว่าโลกนี่มีอะไรสนุกๆเยอะเลย]
ดูเหมือนกาเกบิจะอ่านความทรงจำของวูจินโดยไม่ได้รับอนุญาต วูจินขมวดคิ้ว จ้องกาเกบิที่แปลงกลับเป็นเงาของเขาเขม็ง
“ชิ”
ถึงจะน่าสยอง แต่กาเกบิไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาช่วยชีวิตวูจินไว้หลายครั้ง เป็นอสูรที่จงรักภักดี
“น่าจะเหลือเวลาอีกวันหรือเปล่า?”
เวลาข้างนอกผ่านไปประมาณเกือบ 14 วัน เขายังเหลือเวลาอีก 1 วันกว่าๆ ถ้ารีบหน่อยน่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้อีกรอบ
วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนแล้วออกจากดันเจี้ยน
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณคับ
ตอบลบ