วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 59

บทที่ 59 – ความหมายของคำว่าครอบครัว (2)


วิเวียน โรดริโอ้

เธอเกิดในโลกอสูรที่มีแต่ความมืด ได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเมื่อทำสัญญากับเจ้านายของเธอ คังวูจิน

เจ้านายของเธอแข็งแกร่ง อสูรตัวอื่นๆของเจ้านายก็แข็งแกร่งเช่นกัน

พลังของอลันดาลยิ่งใหญ่ ลูกน้องของทราห์เน็ตไม่มีทางสู้พวกเธอได้ ยังมีอีกหลายคนที่ติดตามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของผู้เป็นอมตะ

ในตอนนั้น เจ้านายของเธอค้นพบวิธีติดต่อกับผู้พิทักษ์ห้วงอวกาศ จากนั้นทุกอย่างก็สิ้นสุดลง

เธอรอมาแสนนานในห้องผนึกที่มีแต่ความมืด

บิบิเป็นอสูรตัวแรกที่ได้ยินเสียงวูจินอีกครั้ง

ที่นี่ไม่ใช่อัลเฟน เป็นโลก แต่เธอไม่สนใจ

ที่ไหนที่วูจินอยู่ ที่นั่นเป็นที่ๆบิบิต้องการจะอยู่ด้วย

ที่นี่เป็นถิ่นเกิดของเจ้านายเธอ

เธอได้อยู่กับนายหญิงที่เป็นผู้ให้กำเนิดเจ้านาย และน้องสาวของเจ้านาย

เจ้านายฝากเธอไว้กับเด็กหญิงชื่อคังโซอา

เธอเคยอยู่เคียงข้างเจ้านายเสมอ เพราะต้องคอยไล่วิญญาณร้ายที่ทรมานเจ้านายทุกคืน แต่เธอไม่อาจตามเขาไปสู้ด้วยได้แล้ว

ถ้าเจ้านายให้เธอสู้ด้วยกัน เลเวลของเธอก็จะเพิ่มขึ้น เธอจะได้พลังที่สูญเสียไปคืนกลับมา แต่เจ้านายมอบหน้าที่อื่นที่สำคัญกว่าให้

เธอต้องปกป้องมนุษย์ตัวน้อยที่ชื่อโซอา...

มนุษย์ตัวน้อยนี่ไม่เคยปล่อยเธอเลย

หนึ่งวันหลังจากเจ้านายของเธอปล่อยเธอไว้ที่นี่ส่วนเขาออกไปล่า

“จับสิ บิบิ!”

มนุษย์ตัวน้อยที่ชื่อโซอาใช้เลเซอร์ทำให้เกิดจุดแสงให้ขยับไปมาตรงหน้าบิบิ เฮ้อ น่ารำคาญจัง

“แหงะ แมวอะไรเนี่ย?”

เด็กน้อยถอนหายใจผิดหวัง

บิบิไม่อยากเชื่อว่าเธอต้องมาเล่นเกมปัญญาอ่อนแบบนี้...

เธอขยับขาแล้ววิ่งไล่ตามจุด

“ฮ่าๆ จับสิๆ”

จุดแสงขยับห่างไปอย่างรวดเร็วน่าหงุดหงิด บิบิไล่ตาม แต่จุดแสงก็ขยับหนีไปอีก

“แม้ว”

เด็กน้อยบังอาจยั่วโมโหสายเลือดของซัคคิวบัสในร่างเธอเหรอ?

ไอ้จุดแดงบ้านี่ ฉันจะจับมันให้ได้

บิบิไล่ตามอย่างรวดเร็ว แต่จับไม่ได้สักที

“แม้ว แม้ว แม้ว”

บิบิวิ่งไล่ หางสะบัดด้วยความตื่นเต้นจนมองไม่เห็นโต๊ะ

ก๊อง

“อ๋า? บิบิเป็นอะไรหรือเปล่า?”

โซอาเข้ามาหา บิบิสะบัดศีรษะ

‘ชิ นึกไม่ถึงเลยว่าเราจะเอาจริง’

เธอถูกเด็กน้อยคนนี้หลอก... ไม่ได้สนุกอะไรนะ ที่เล่นด้วยเพราะต้องทำตัวให้เหมือนแมวหรอก

บิบิกระโดดขึ้นไปนั่งจุมปุ๊กบนโซฟา

“บิบิ พี่สาวเอาอาหารแมวให้กินดีไหม?”

“เมี้ยว”

อาหารแมวกระป๋องอร่อยมากเลย

เธอรีบกระโดดลงมาถูตัวกับขาของเด็กน้อย เด็กน้อยหัวเราะ

“เฮ้อ เจ้านาย กลับมาเร็วๆสิเมี้ยว”

เธออยากอยู่กับเจ้านายกับโดลเซจิง อยากสู้ด้วยกันกับเพื่อนๆ

***

สถานีมหาวิทยาลัยโซลทางออกที่ 6

ที่นี่เป็นดันเจี้ยน 5 ดาว และเป็นแหล่งรายได้หลักของกิลด์อลันดาล

มันเป็นดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยนาค มีไกด์ที่วูจินเขียนขึ้นลวกๆ พื้นที่กว้างเกินไป ซ้ำยังยากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนจองนัก

วูจินจองช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ทั้งหมด

“พร้อมนะ?”

“ครับผม!”

วูจินยิ้มเมื่อเห็นซุงกูทำหน้าเครียด

เขาใช้สัมผัสของนักรบแล้วก็เห็นว่าซุงกูมีเลเวล 37 ถ้าถึงเลเวล 40 ก็จะเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 4 เราส์แรงค์ C

ตอนมินชานอยู่กับกิลด์แฮมเมอร์ เขาปรับแรงค์ของซุงกูให้เป็นแรงค์ D ตอนนี้ซุงกูเป็นแรงค์ D และอีกไม่นานก็จะขยับขึ้นไปสูงกว่านั้น

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

วูจินจองเวลาไว้ 12 ชั่วโมง หมายถึง 2 วันในดันเจี้ยน

2 วัน...

“ถ้านายรอดกลับมาได้ นายก็จะเป็นแรงค์ C”

“ครับลูกพี่!”

เสียงของซุงกูฟังเชื่อมั่น

ต่อให้วูจินบอกว่าเขาทำถั่วหมักจากถั่วแดงได้วูจินก็เชื่อ

ทั้งสองเข้าดันเจี้ยนไปโดยมีซุงกูนำหน้า

4 ชั่วโมงหลังจากเข้าดันเจี้ยน

ซุงกูล้มลงเพราะหายใจไม่ทัน เขานอนราบกับพื้น ขณะภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนพลังบางอย่างก็ส่งมาที่เขาจนตาสว่าง

“ล...ลูกพี่”

พอซุงกูใกล้ตาย วูจินก็จะใช้สกัดวิญญาณฟื้นพลังให้ วูจินฉุดซุงกูลุกขึ้น

“ผมโซโล่ดันเจี้ยนนี่ไม่ไหวหรอกครับ ขนาดดันเจี้ยน 4 ดาวยังไม่ไหวเลย”

“...”

ครับ ปกติเราส์แรงค์ C ไม่เคลียร์ดันเจี้ยน 4 ดาวคนเดียว แถมวิหารร้างเผ่านาคยังเป็นดันเจี้ยน 5 ดาว

“ตั้งใจดูพวกมันดีๆ นายต้องศึกษาลักษณะนิสัย จุดอ่อนของมอนสเตอร์ทุกชนิด ถ้าพลังไม่พอก็ต้องวางแผนดีๆ”

“ครับ”

ซุงกูเพิ่งรอดตายมาแต่ก็ยังไม่ได้พัก แต่ละคำที่วูจินพูดฝังลึกลงในหัวเขา

“ทุกอย่างในนี้มีพิษแทบทั้งนั้น นี่เป็นอย่างเดียวที่เรากินได้”

วูจินชำแหละหนอนหน้าตาน่าเกลียดเพื่อเอาเนื้อปรุงให้สุก พวกเขาไม่ต้องหาไม้มาก่อกองไฟ แต่ใช้เวทย์ไฟย่างเนื้อเอา

รสชาติงั้นๆ

เนื้อหนอนแห้งและค่อนข้างขม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวปลาแห้ง พวกเขากินเพื่ออยู่ไม่ใช่เพื่อความอร่อย

วูจินไม่ได้สอนซุงกูต่อสู้อย่างเดียว

เขาสอนวิธีเอาตัวรอด เมื่อเจอมอนสเตอร์เขาจะสอนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ ถ้าสู้ตรงๆไม่ได้ก็ซ่อนตัวแล้วรอโอกาส

วูจินสอนการกลยุทธ์ทุกอย่างที่เขารู้ให้

“จากตรงนี้ ศัตรูที่ยุ่งยากก็เหลือแต่พวกนาค อย่ากลัว อย่าใจอ่อน นายสู้กับมอนสเตอร์ในนี้ได้ทุกตัว...”

“ครับ”

ถ้าวูจินว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น พลังของซุงกูฟื้นฟู ใจสู้เขากลับมาเร่าร้อนอีกครั้ง

“อ่า ถ้าสู้ตัวต่อตัวก็น่าจะไหวน่ะนะ ถ้าสองต่อหนึ่งนายคงตายซะล่ะมาก”

“...”

“เฮ้ ทำหน้าเหมือนอึไม่ออกทำไม? ฉันจัดการให้นายสู้กับพวกมันตัวต่อตัวได้น่า”

“ครับ”

เมื่อวูจินซุงกูไปถึงเมืองร้างเรเกรเซียการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างตรงไปตรงมา พวกนาคอยู่กระจัดกระจายรอบเมือง ไม่ได้อยู่รวมกันนอกจากจะถูกกระตุ้น

เมืองวกวนเหมือนเขาวงกตตั้งแต่แรก วูจินตั้งกำแพงกระดูกกั้นตรงจุดสำคัญๆเพื่อให้ซุงกูตั้งสมาธิกับการสู้แบบ 1 ต่อ 1

ถ้าเจอนาคสองตัว วูจินจะฆ่าหนึ่งตัว เหลืออีกตัวให้ซุงกู

นักรบนาคทั้งกล้าและแข็งแกร่ง เมื่อเห็นจุดอ่อนหรือศัตรูเสียสมาธิ มันไม่ปล่อยไว้ ซุงกูยังขาดประสบการณ์อยู่มาก

ฟ้าว ปุก!

“อั่ก”

ท้องของซุงกูถูกหอกแทงทะลุ สมองว่างเปล่าเพราะความกลัวตายเขาไม่คิดอะไรอื่นนอกจากเจ็บ

นักรบนาคยิ้มอย่างผู้ชนะ

ก๊อง

“กวี๊ก”

ศีรษะของทหารนาคถูกค้อนวูจินทุบแหลก วูจินมองซุงกูที่ถูกหอกแทงท้องอย่างเฉยชา

“ล...ลูกพี่”

“ไอ้บ้าที่ใกล้จะตายอยู่แล้วเรียกฉันทำไม?”

“...!”

เปลือกตาของซุงกูเต้นระริก มือเขากำหอกที่แทงท้องแต่เรี่ยวแรงเริ่มหมดไปช้าๆ

“ต่อให้ท้องเป็นรู ก็น่าจะทำทุกอย่างอย่างน้อยก็ตัดหัวศัตรูลงมา นายลืมที่เรียนมาไปแล้วเหรอ?”

“ขะ...ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม นายนั่นแหละที่กำลังจะตาย”

“...”

ถ้าถูกโจมตีบาดเจ็บก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบโต้ ถ้ายืนโง่อยู่เฉยๆก็เหมือนรอให้ศัตรูจัดการจนเสร็จ นั่นเป็นสิ่งที่คนขี้แพ้ทำ

ซุงกูมีโอกาส เขาลังเลวูบหนึ่งเพราะความกลัว เขาทำลายโอกาสนั้นไป

“ถ้ายังอยากอยู่ต่อก็ดึงหอกออกมาเอง...”

“...”

ซุงกูมองหอกที่แทงท้องเขาอยู่ ลูกพี่อยากให้เขาดึงออกมาเองเหรอ?

ต่อให้ไม่นับเรื่องเจ็บ เครื่องในเขาจะทะลักออกมา... ถ้าลูกพี่ทำให้ก็ดีหรอก...

“ถ้านายตาย วิญญาณนายจะเป็นขนมของชิงชิง”

“อุ”

ซุงกูกำหอกแล้วออกแรง เขาไม่กล้าตายแบบนี้ ตลกดี ทุกครั้งที่เขาคิดว่ากำลังจะตาย เขากลัวก็จริงแต่รู้สึกกล้าไปพร้อมๆกัน

“อึ๊ก!”

ทุกครั้งที่หอกขยับทีละนิด เขารู้สึกเหมือนกระดูกสันหลังถูกบิด เจ็บสุดขีด คนถูกแทงท้องทะลุรู้สึกกันอย่างนี้เหรอ? สมองของเขาขาวโพลนและเขาสงสัยว่าท้องเขาหายไปแล้วหรือเปล่า

“อ๊าก”

ซุงกูทรุดลงคุกเข่า ปลายหอกถูกดึงออกมา เขาเห็นเครื่องในหลุดออกมา ไม่รู้ว่าเป็นลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็ก

เขาใช้มือข้างหนึ่งรองลำไส้เอาไว้ อีกข้างดึงหอกออก

“อ๊าก!”

พอปลายหอกถูกดึงออก เลือดก็ทะลักออกจากแผล เขาพยายามใช้มือห้ามเลือดแต่ไม่เป็นผล หอกแทงทะลุไปถึงข้างหลังเลือดจึงไหลออกมาทั้งข้างหน้าข้างหลัง

สติของเขาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว มองผ่านเปลือกตาที่ใกล้ปิดเต็มทีเขาเห็นวูจินกำลังยิ้ม

วูจินสกัดวิญญาณจากนาคที่ถูกทุบหัวแหลกออกมาส่งเข้าร่างซุงกู

โลกหยุดหมุน แผลหายอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนวิญญาณดวงเดียวจะไม่พอ วูจินจึงดึงวิญญาณจากเกราะผีออกมาอีกสองดวงให้ซุงกู

“เจ็บนรกเลยใช่ไหมล่ะ?”

เห็นๆกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?

“ครับ...”

“ถ้าอยากมีชีวิต นายต้องโหด ต้องทรหด...”

เขารู้ เพราะอย่างนี้เขาจึงโหด ทรหดกว่าเดิมมาก แค่ว่ามันยังไม่พอ

“ถ้าอยู่ๆฉันหายไปนายจะทำยังไง?”

“...”

ถ้าลูกพี่ไม่อยู่ ซุงกูก็เข้าดันเจี้ยนนี้ไม่ได้ เขาคงไปลงดันเจี้ยนระดับต่ำๆทำงานเป็นคนขุดเหมือง

วูจินยิ้มเหมือนอ่านใจซุงกูได้

“นายคิดว่ามอนสเตอร์จะอยู่แต่ในดันเจี้ยนไปได้นานแค่ไหน?”

“อะไรนะครับ?”

วูจินถามเรื่อยๆแม้ซุงกูจะยังทรมานอยู่

“ลองคิดสิว่าถ้าทั้งโลกเกิดดันเจี้ยนเบรกขึ้นมาพร้อมๆกันจะเป็นยังไง? น่าดูชมเลยนะว่าไหม?”

“...”

นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุด

“ล่ามอนสเตอร์? ขุดบลัดสโตน? ฉันว่าขนาดหาอะไรกินยังแทบแย่เลยมั้ง? ประชากร 6 พันล้าน? ไม่เกิน 3 วันเชื่อได้เลยว่าเหลือครึ่งเดียวแน่”

ซุงกูฟังเรื่องน่ากลัวนี้ วูจินเล่าเสียงราบเรียบเหมือนกำลังเล่านิทาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเขาไม่รู้จักวูจิน

“ล...ลูกพี่”

“แค่ปกป้องครอบครัวได้ฉันก็พอใจแล้ว ถึงไอ้ทราห์เน็ตนั่นจะบุกโลกจริงๆก็ต้องใช้เวลากว่าจะครอบครองได้ทั้งโลก...”

ที่อัลเฟนเขาอยู่มาได้ 20 ปี เขารู้ว่าบนโลกเขาก็ทำได้อย่างเดียวกัน ยุคสมัยอันสงบสุขในตอนนี้จะเป็นเหมือนความฝัน

“นายไม่โกรธเหรอ ใครก็ไม่รู้มายึดหน้าบ้านนายไปโดยไม่ขอ?”

“...”

“ถ้านายอยากปกป้องครอบครัว อย่าใจอ่อนนัก”

“...”

อะไรกัน? ทำไมจู่ๆซุงกูถึงรู้สึกถึงอันตราย?

“ถ้าไอ้เวรพวกนั้นบุกโลก ฉันก็หนุนหลังนายไม่ได้ นายต้องเอาตัวรอดเอง”

“...”

วูจินพูดจริง

เมื่อเกิดสงคราม จะไม่มีใครอยู่ข้างหลังซุงกู วูจินจะไปอยู่ตรงแนวหน้าของสงคราม

หากซุงกูต้องการติดตามวูจินเข้าสู่สงคราม เขาก็ต้องแข็งแกร่งกว่านี้อีกหลายเท่า และต้องแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วด้วย

และคนเดียวที่จะทำได้ก็มีแต่ตัวซุงกูเอง

***

วูจินซุงกูเข้าดันเจี้ยนไปตอน 7 โมงเช้า ออกมาอีกทีหนึ่งทุ่ม

ซุงกูหมดแรง วูจินยิ้มเหมือนเดิม พวกเขาเดินทางกลับสำนักงาน

“ท่านประธานมาแล้วเหรอครับ?”

พอเสียงของวูซุงฮุนดังขึ้น ทุกคนในสำนักงานก็ลุกจากโต๊ะ โต๊ะทำงานที่เคยว่างอยู่มีหลายตัวถูกจับจองแล้ว

“ส...สวัสดีครับ”

พนักงานใหม่ส่งคำทักทาย มีทั้งพนักงานมีประสบการณ์และพนักงานใหม่

จุงมินชานคงเลือกพนักงานมาอย่างดีและคงควบคุมพวกเขาได้

มีไอ้เวรสองสามคนที่วิญญาณเน่าเหม็น แต่...

“นายเตรียมไว้แล้วยัง?”

“แน่นอนครับ”

เมื่อได้ยินวูจิน ซุงฮุนนำเขาไปที่ห้องพักอย่างมั่นใจ

มันเป็นห้องสำหรับให้พนักงานพักผ่อน ด้านหนึ่งของห้องมีโต๊ะกระจกกับคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดกับจอขนาดใหญ่ตั้งอยู่

นับแล้วมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ 5 ตัว

“นี่คือ?”

“ห้องเกมสำหรับท่านประธานโดยเฉพาะครับ ผมจ้างพนักงานมาด้วย ผู้เล่นระดับไดมอนด์ 2 คน อีกคนระดับพลาทินั่ม ฮ่าๆ แบบนี้ท่านประธานก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว แค่ป่วนไปเรื่อยๆ”

วูซุงฮุนระดับซิลเวอร์ เขาจึงพูดอย่างมั่นใจ วูจินถอนหายใจ

“ทำอะไรไร้สาระ แล้วได้เตรียมอีกอย่างไว้แล้วยัง?”

ซุงฮุนอึ้งไปเมื่อเห็นว่าวูจินไม่ได้ถามถึงเรื่องห้องเกม แต่แล้วก็นึกถึงที่พูดกับเขาเมื่อเช้าขึ้นมาได้

“อ๋อ ท่านประธานหมายถึงหมา?”

“อืม”

“แน่นอนครับ ผมเตรียมไว้แล้ว”

วูซุงฮุนลากกรงเหล็กมาจากมุมห้อง หมาตัวสูงเท่าต้นขาของเขา มองแวบเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่

“มาสทิฟครับ พ่อมันมีผลงานต่อสู้ดีมาก กว่าจะได้มานี่ลำบากน่าดู แม่มันก็ล่ำเหมือนกัน เพราะงั้นก็น่าจะโตได้สัก 80 โล ถ้าเป็นหมาของท่านประธานก็ต้องระดับนี้ล่ะครับ”

เฮ้อ ทำไมหมอนี่ชอบทำเรื่องเว่อร์จังวะ?

“ฉันจะหาหมาให้น้องสาว แน่ใจนะว่าหมานี่เหมาะกับเด็ก 7 ขวบ”

“...”

ดวงตาซุงฮุนไหววูบ แต่ประสบการณ์ขายของมา 8 ปีของเขาไม่เสียเปล่า

“ถ้างั้นมาสทิฟนี่ล่ะเหมาะ พันธุ์นี้น่ะเมื่อก่อนเคยใช้ในสงคราม มันจะโตเป็นเป็นหมาตัวใหญ่ เป็นบอดี้การ์ดที่วางใจได้สำหรับน้องท่านประธาน เวลาที่ท่านประธานไม่อยู่มันจะปกป้องบ้านอย่างซื่อสัตย์”

...พูดเข้าท่าเหมือนกันแฮะ?

วูจินลูบคาง




สารบัญ                                             บทที่ 60

2 ความคิดเห็น: