บทที่ 57 – กรรมการผู้จัดการ ฮงซุงกู (2)
“พอแล้ว มาตรงนี้”
“แฮ่กๆ ขอบคุณที่สั่งสอนครับ”
เหนื่อยทั้งใจทั้งกาย แต่ซุงกูก็คำนับวูจินก่อน วูจินยิ้ม เพราะแบบนี้เขาถึงได้ชอบเจ้าหมอนี่
ซุงกูมีบาดแผลเลือดไหลทั่วร่าง
วูจินส่งวิญญาณส่วนหนึ่งจากเกราะผีไปให้รักษาแผลให้
“เฮ้อ ขอบคุณครับ”
บาดแผลถูกรักษาหาย สีหน้าของซุงกูเริ่มดีขึ้นเมื่อพลังกายฟื้นคืนมา
วูจินหยิบตำราทักษะออกมาสองเล่ม
“เรียนนี่ก่อน”
“ครับ?”
ซุงกูรับหนังสือมาแล้วเบิกตาโตเมื่อรู้สึกถึงพลังเวทย์ที่ส่งออกมาจากหนังสือเงียบๆ
“ลูกพี่ นี่ตำราทักษะใช่ไหมครับ?”
“ใช่ เร่งความเร็วกับกายเหล็ก”
เร่งความเร็วคือเพิ่มความเร็วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซุงกูได้เกราะที่มีทักษะนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีอีกที่วูจินเจอตำรานี้ในดันเจี้ยนนาค ส่วนกายเหล็กเขาเจอในวิหารเผ่ายักษ์
“ขอบคุณครับลูกพี่”
เหมือนความฝันจะเป็นนักเวทย์ไฟของเขาค่อยๆห่างไกลออกไปเมื่อเขาได้เรียนทักษะหลายอย่าง...
“ขอโทษนะครับลูกพี่ แต่ผมตั้งใจฝึกทักษะแค่หนึ่งหรือสองอย่างจะไม่ดีกว่าหรือครับ?”
เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด เราส์มีพลังเพียงจำกัด ต่อให้มีทักษะมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ทุกอย่างได้ดี
“ไม่เป็นไรน่า ถ้านายยังอยากมีชีวิตต่อก็ต้องเรียนพวกนี้อยู่ดี...”
“....”
“รีบๆเรียนเข้า ขายบลัดสโตนเสร็จแล้วเราจะลงดันกันอีกรอบ”
“ครับผม”
ซุงกูส่งเวทย์เข้าไปในตำราทักษะ ตำรากลายเป็นแสงหายเข้าไปในตัวซุงกู ความรู้และการใช้ทักษะเข้ามาในหัวเขา ร่างซุงกูสั่น
“ฮ้า”
“ลองใช้สิ”
ซุงกูขยับตัวทันที การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน เวทย์ที่ใช้ก็น้อยกว่าตอนใช้อาร์ติแฟคมากทำให้ซุงกูประหลาดใจ
“เรียนนี่ด้วย”
“ครับผม”
ซุงกูเรียนทักษะกายเหล็กแล้ววูจินก็ถามขึ้น
“เป็นไง?”
“เป็นไงอะไรครับ?”
“ยื่นมือมา”
ซุงกูยื่นมือให้ วูจินเรียกหอกกระดูกออกมา ซุงกูตาโต
“ละ...ลูกพี่จะตีผมเหรอ?”
“ใช้สกิลไว้ล่ะ”
ซุงกูใช้ทักษะกายเหล็ก ร่างของเขาเหมือนจะแข็งทื่อ เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันว่าลอยกลางอากาศ เขาควบคุมร่างกายยากกว่าเดิม มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อประสาทสัมผัสทื่อลง
แก๊ง
วูจินเหวี่ยงหอกลงมา เมื่อถูกแขนซุงกูหอกก็กระเด้งออก วูจินยิ้มอย่างพอใจ
‘อย่างน้อยก็ชัวร์ขึ้นว่าเจ้านี่จะไม่ตายง่ายๆ’
วูจินปล่อยทหารโครงกระดูกรอบๆให้ทลายลงจากนั้นพูดกับซุงกู
“ออกกันเถอะแล้วเข้าใหม่ คราวนี้นายเป็นคนจัดการก็อบลินให้หมด”
“อะไรนะครับ?”
“ไม่เป็นไรน่า อย่างอแงเป็นเด็ก...”
แค่หนึ่งเดือน ไม่สิ ถ้านับเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเขาอยู่ในดันเจี้ยนก็นานกว่านั้น แต่เพิ่งจะหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซุงกูเจอกับวูจิน
เขาเคยเป็นเราส์แรงค์ F ที่เกือบตายเพราะสายฟ้าจากฮอบก็อบลิน ตอนนี้เขาแกร่งพอที่จะสู้กับมอนสเตอร์ระดับนั้นด้วยตัวเอง
“ภายในหนึ่งเดือน นายจะเป็นแรงค์ A”
ซุงกูไม่คิดว่าวูจินพูดเล่น ทันใดเขารู้สึกมีอารมณ์บางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา กิลด์ใหญ่เหรอ? เขาไม่ต้องการแล้ว ที่ๆเขาจะฝังสังขารไว้คือกิลด์ของคังวูจิน
“ครับลูกพี่”
วูจินและซุงกูเคลียร์ดันเจี้ยนต่อ 2 วัน
***
ทั้งสองกำลังนั่งรถของซุงกูกลับโซล
ใต้ตาซุงกูเป็นสีดำคล้ำ ผมกระเซิงเหมือนรังนก สองวัน...ไม่ใช่ เขาไม่ได้นอนมา 8 วันแล้ว ความเหนื่อยล้าสะสมแต่ตาเขาเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เขาได้เรียนทักษะหลายอย่างจากตำราทักษะที่วูจินให้ และคิมเฮมินที่อยู่จัดการงานต่างๆในเดกูได้รับคำสั่งให้หาตำราทักษะส่งกลับไปที่โซลเพื่อให้ซุงกูเรียน ตำราเหล่านั้นซื้อมาเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อซุงกูไปถึงโซลพวกมันจะอยู่ที่นั่น
เพราะคิมเฮมินไม่กลับมาด้วยซุงกูจึงต้องขับรถเอง
เขาไม่รู้สึกหิวแม้ยังไม่ได้ทานอะไร แต่เรื่องง่วงนี่ไม่ไหว โลกไม่เหมือนดันเจี้ยนที่เขาต้องสู้เสี่ยงตาย เมื่อความเครียดหายไปความง่วงที่เขาอดกลั้นไว้ก็เกิดขึ้น
“ฮืม”
วูจินกำลังนอนหลับตาตรงที่นั่งข้างคนขับ
จะว่าเขาก็ไม่ได้
วูจินไม่มีใบขับขี่ดังนั้นถึงอยากก็ขับรถไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของซุงกู...
[อีก 5 กิโลเมตรข้างหน้าถึงจุดพักรถเซเว่นวัลลี่]
ซุงกูกะจะหาอะไรแก้ง่วงที่ที่จุดพักรถ เขาฝืนลืมตาขับรถต่อไป เมื่อเลี้ยวเข้าจุดพัก วูจินลืมตาขึ้นทันที
“ลูกพี่ไม่ได้หลับเหรอครับ?”
“ฉันแค่พักสายตา”
ซุงกูนึกว่าวูจินหลับอยู่เสียอีก... เขาคงคิดผิด?
“นายง่วงเหรอ?”
“นิดหน่อยครับ ผมจะไปซื้อกาแฟ”
“อืม ไปด้วยกันเถอะ หาอะไรกินด้วย”
มันเป็นกลางดึก ลมเย็นพัดผ่านจุดพักรถ
ร้านข้างนอกปิดไปแล้ว แต่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารยังเปิดอยู่ วูจินกับซุงกูสั่งอุด้งกับราเม็ง จากนั้นก็รอ
ซุงกูสัปหงกเป็นพักๆ วูจินจึงแบ่งวิญญาณออกจากเกราะผีไปให้เพื่อฟื้นพลัง มันสลายความเหนื่อยล้าของซุงกูไปทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะสกัดวิญญาณนี้ ซุงกูคงไม่เอาตัวรอดในดันเจี้ยนมาได้ถึง 8 วัน
“ขอบคุณครับลูกพี่”
ถึงความเหนื่อยล้าทางกายจะหายไป แต่อารมณ์อ่อนล้ายังอยู่ วูจินกินอุด้งคำโต กลืนก่อนแล้วพูด
“ตัวนายหายเหนื่อย ไม่ต้องนอนแล้ว แต่ใจนายยังอยากพักอยู่ จะใช้สะกดจิตหรือก็แล้วแต่ นายต้องหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ถ้าเกิดสงครามยืดเยื้อ ไม่ได้นอน 10 วันถือเป็นเรื่องปกติ”
“ครับลูกพี่”
มีเหตุผลที่เขาต้องตื่นในดันเจี้ยนเกิน 10 วันด้วยเหรอ?
ถ้าเกิดดันเจี้ยนเบรก ปกติใช้เวลาวันเดียวก็ควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยการใช้อาวุธทรงพลังเหนือกว่าพวกมอนสเตอร์มาก
วูจินดื่มน้ำซุปอุด้ง และเมื่อเห็นโทรทัศน์บนผนังก็หัวเราะก๊าก
“เธอเหมือนคนรู้จักฉันจริงๆ”
“คนไหนครับ?”
ซุงกูหันไปดูโทรทัศน์แล้วอ้าปากค้าง
“โอ๊ยโย๋ สวยชะมัด เอลฟ์ชัดๆ”
“เธอไม่ใช่เอลฟ์”
“เค้าไม่สวยเหรอครับ?”
“ไม่ใช่เอลฟ์ทุกตัวที่สวยนี่”
“...”
ที่เกาหลี บางครั้งผู้หญิงสวยๆจะถูกเรียกว่าเอลฟ์ ซุงกูกำลังจะเถียงกลับแต่หยุดเสียก่อน เขาดูสีหน้าวูจิน ดูเหมือนวูจินจะไม่รู้ความหมายของเอลฟ์
หรือบางทีเขาอาจจะรู้เรื่องเอลฟ์มามากก็ได้
ขณะซุงกูเงียบ วูจินก็คีบตะเกียบง่วน เขากินอุด้งจนหมดตามด้วยดื่มน้ำ
“รีบกินสิ คนอื่นรอเราอยู่นะ”
“ครับผม”
อา ซุงกูมีตำแหน่งทั้งเราส์ทั้งกรรมการ... แต่ต้องมาขับรถเองไม่มีหน่วยสนับสนุนมาช่วยเลย หน่วยสนับสนุนมีแค่ 3 คน ถือว่าขาดคนอย่างมาก
ถึงจะมีเราส์ให้สนับสนุนแค่ 2 คนแต่ก็ยังต้องใช้พนักงานหลายคนอยู่ดี และกิลด์อลันดาลก็มีเงินพอจ้างพนักงานตำแหน่งนี้
“ลูกพี่ พอกลับไปแล้วจ้างคนเพิ่มนะครับ”
“กินเถอะน่า”
“ครับ”
ถึงซุงกูไม่พูดวูจินก็คิดเรื่องนี้อยู่ เรื่องพนักงานในหน่วยสนับสนุนเขายกเป็นหน้าที่ของมินชาน แต่วูจินคิดจะรวบรวมเราส์ที่มีคุณสมบัติพอจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมรบของเขา
‘ฉันจะเลือกคนที่มีแววมาสอนสักสองสามคน’
แล้วคนเหล่านั้นก็จะสอนเราส์รุ่นต่อๆไปอีกที ซุงกูอาจเป็นคนเดียวที่วูจินสอนตรงๆ ที่เหลือก็ให้ซุงกูดูแลต่อ
วูจินยิ้มพลางมองซุงกูรีบกินราเม็ง
“กินช้าๆก็ได้”
“แฮะๆ ครับ”
เจ้าโง่
เขากลายเป็นคนใจดีขนาดนี้ไปแล้วหรือนี่? เมื่อมาสอนซุงกู วูจินแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นซุงกูต่อสู้ได้ดี เขามีเซนส์ด้านการต่อสู้ดีทีเดียว
วูจินหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ ผู้หญิงที่เขาเห็นก่อนหน้านั้นกำลังใช้เวทย์ เธอทำให้คนเดินไม่ได้ลุกขึ้นยืน เธอทำให้ชายแขนขาดมีแขนงอกขึ้นมาใหม่...
“หือ?”
ผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าตาจะเหมือนผู้หญิงในความทรงจำของวูจินมากแล้วยังมีพลังเหมือนกันอีก วูจินหยุดพึมพำกับตัวเองแล้วอุทานเมื่ออ่านคำบรรยายข้างใต้ภาพ
“หา?เมโลดี้?”
อะไร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?
หรือไปเจอกับแอดมินแห่งห้วงมิติเหมือนเขา?
ถ้าเธอยอมแพ้ทราห์เน็ตเหมือนเผ่าออร์คกับไซคลอป อย่างนั้นเธออาจมาที่โลกนี้เพื่อ... สำหรับเขา เธอก็ไม่ต่างจากมอนสเตอร์
หลายๆคำถามผุดขึ้นในหัววูจิน ซึ่งเขาสรุปได้อย่างเดียว
“ก็ต้องไปถามกับเจ้าตัวสินะ?”
เขาคงต้องไปอเมริกา
***
“เก่งมาก”
“เฮ้อ ขอบคุณครับ”
ซุงกูจอดรถที่ตึกสำนักงาน วูจินส่งวิญญาณเพิ่มพลังให้อีกดวง ตอนนี้เป็นตีสอง แต่สมาชิกกิลด์ทุกคนกำลังรอพวกเขาอยู่
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”
จุงมินชานทักวูจิน และดูเหมือนมีบางอย่างจะบอก แต่วูจินบอกเขาก่อน
“หาเครื่องบินไปอเมริกาให้ที...”
“เอ๊ะ ท่านรู้ได้ยังไง?”
“เอ๊ะ?”
พูดอะไรเนี่ย?
มินชานมองสีหน้างงๆของวูจินแล้วถาม
“ไม่ใช่กำลังพูดเรื่องการเชิญจากสหพันธ์อยู่หรอกเหรอ?”
“อะไร? ขอรายละเอียดหน่อยสิ”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานกิลด์ไททันช่วยเหลือคนๆหนึ่งออกมาจากดันเจี้ยน เธอเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ หลังจากท่านประธานเข้าดันเจี้ยนไปไม่นานก็มีวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องของเธอ กลายเป็นข่าวใหญ่เลย กิลด์ไททันเป็นคนเปิดเผยข้อมูลพวกนี้”
เรื่องนี้วูจินรู้ เขาเพิ่งเห็นในโทรทัศน์มาไม่นาน
“กิลด์ไททันเสนอให้กิลด์ทุกกิลด์ไปรวมกันที่สหพันธ์เพื่อคุยเรื่องนี้ ผมกำลังจะถามท่านพอดีว่าจะรับคำเชิญหรือเปล่า แต่ท่าทางท่านวางแผนจะไปอยู่แล้ว?”
“อืม ซื้อตั๋วให้ฉันสักใบ ฉันต้องไปเจอเมโลดี้”
ฟังคำตอบแล้วมินชานก็ห่วงว่าวูจินจะไปทำเรื่องอะไรอีก แต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่อง
“แล้วมีอะไรแปลกไปจากปกติไหม? ได้ของที่ฉันสั่งครบหรือเปล่า?”
“ครบ อืม มีอีกสองสามเรื่องที่ผมต้องบอก”
จะเช้ามืดแล้วแต่จุงมินชานยังไม่เลิกงานเพราะเขามีเรื่องต้องบอกวูจินทันทีที่มาถึงโซล
“เรื่องอะไร?”
“คุณแม่ท่านรู้แล้วนะ ผมพยายามปิดแล้วแต่มันเป็นเรื่องใหญ่...”
“รู้เรื่องอะไร?”
“เรื่องท่านประธานเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้สำเร็จ”
“อ๊าก แล้วเค้าว่าไง?”
“ท่านเป็นห่วงมาก ท่านประธานควรกลับบ้านแทนที่จะไปบ้านของนักเรียนเจมินนะ อ้อ เราย้ายบ้านเสร็จแล้วเมื่อวาน”
นี่เป็นข่าวดีที่สุดของเขาช่วงนี้ เขาไม่ต้องนอนร่วมกับครอบครัวในห้องแคบๆ จะไม่มีใครเห็นเขาถูกวิญญาณร้ายรังควาน ถึงเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้อยู่กับเจมินผู้น่ารักแต่เขาจะได้อยู่กับครอบครัวเขาอีกครั้ง
“แล้วมีอะไรอีกไหม?”
“มี”
“อะไรอีกล่ะ?”
มินชานยื่นกระดาษ A4 ใบหนึ่งมาให้
“อะไรวะนี่ หมายเรียก?”
วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นคำว่าหมายเรียก จากนั้นมองมินชาน
“นี่อะไร?”
“เขาอยากให้ท่านประธานไปที่สถานีตำรวจ...”
“ทำไม?”
“ประธานกิลด์ฮวารางแจ้งตำรวจว่าถูกทำร้ายร่างกาย”
อ้อ ไอ้ขี้ขลาดนั่น
วูจินขมวดคิ้ว
ขอบคุณครับ
ตอบลบ