วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 57

บทที่ 57 – กรรมการผู้จัดการ ฮงซุงกู (2)


“พอแล้ว มาตรงนี้”

“แฮ่กๆ ขอบคุณที่สั่งสอนครับ”

เหนื่อยทั้งใจทั้งกาย แต่ซุงกูก็คำนับวูจินก่อน วูจินยิ้ม เพราะแบบนี้เขาถึงได้ชอบเจ้าหมอนี่

ซุงกูมีบาดแผลเลือดไหลทั่วร่าง

วูจินส่งวิญญาณส่วนหนึ่งจากเกราะผีไปให้รักษาแผลให้

“เฮ้อ ขอบคุณครับ”

บาดแผลถูกรักษาหาย สีหน้าของซุงกูเริ่มดีขึ้นเมื่อพลังกายฟื้นคืนมา

วูจินหยิบตำราทักษะออกมาสองเล่ม

“เรียนนี่ก่อน”

“ครับ?”

ซุงกูรับหนังสือมาแล้วเบิกตาโตเมื่อรู้สึกถึงพลังเวทย์ที่ส่งออกมาจากหนังสือเงียบๆ

“ลูกพี่ นี่ตำราทักษะใช่ไหมครับ?”

“ใช่ เร่งความเร็วกับกายเหล็ก”

เร่งความเร็วคือเพิ่มความเร็วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซุงกูได้เกราะที่มีทักษะนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีอีกที่วูจินเจอตำรานี้ในดันเจี้ยนนาค ส่วนกายเหล็กเขาเจอในวิหารเผ่ายักษ์

“ขอบคุณครับลูกพี่”

เหมือนความฝันจะเป็นนักเวทย์ไฟของเขาค่อยๆห่างไกลออกไปเมื่อเขาได้เรียนทักษะหลายอย่าง...

“ขอโทษนะครับลูกพี่ แต่ผมตั้งใจฝึกทักษะแค่หนึ่งหรือสองอย่างจะไม่ดีกว่าหรือครับ?”

เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด เราส์มีพลังเพียงจำกัด ต่อให้มีทักษะมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ทุกอย่างได้ดี

“ไม่เป็นไรน่า ถ้านายยังอยากมีชีวิตต่อก็ต้องเรียนพวกนี้อยู่ดี...”

“....”

“รีบๆเรียนเข้า ขายบลัดสโตนเสร็จแล้วเราจะลงดันกันอีกรอบ”

“ครับผม”

ซุงกูส่งเวทย์เข้าไปในตำราทักษะ ตำรากลายเป็นแสงหายเข้าไปในตัวซุงกู ความรู้และการใช้ทักษะเข้ามาในหัวเขา ร่างซุงกูสั่น

“ฮ้า”

“ลองใช้สิ”

ซุงกูขยับตัวทันที การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน เวทย์ที่ใช้ก็น้อยกว่าตอนใช้อาร์ติแฟคมากทำให้ซุงกูประหลาดใจ

“เรียนนี่ด้วย”

“ครับผม”

ซุงกูเรียนทักษะกายเหล็กแล้ววูจินก็ถามขึ้น

“เป็นไง?”

“เป็นไงอะไรครับ?”

“ยื่นมือมา”

ซุงกูยื่นมือให้ วูจินเรียกหอกกระดูกออกมา ซุงกูตาโต

“ละ...ลูกพี่จะตีผมเหรอ?”

“ใช้สกิลไว้ล่ะ”

ซุงกูใช้ทักษะกายเหล็ก ร่างของเขาเหมือนจะแข็งทื่อ เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันว่าลอยกลางอากาศ เขาควบคุมร่างกายยากกว่าเดิม มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อประสาทสัมผัสทื่อลง

แก๊ง

วูจินเหวี่ยงหอกลงมา เมื่อถูกแขนซุงกูหอกก็กระเด้งออก วูจินยิ้มอย่างพอใจ

‘อย่างน้อยก็ชัวร์ขึ้นว่าเจ้านี่จะไม่ตายง่ายๆ’

วูจินปล่อยทหารโครงกระดูกรอบๆให้ทลายลงจากนั้นพูดกับซุงกู

“ออกกันเถอะแล้วเข้าใหม่ คราวนี้นายเป็นคนจัดการก็อบลินให้หมด”

“อะไรนะครับ?”

“ไม่เป็นไรน่า อย่างอแงเป็นเด็ก...”

แค่หนึ่งเดือน ไม่สิ ถ้านับเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเขาอยู่ในดันเจี้ยนก็นานกว่านั้น แต่เพิ่งจะหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซุงกูเจอกับวูจิน

เขาเคยเป็นเราส์แรงค์ F ที่เกือบตายเพราะสายฟ้าจากฮอบก็อบลิน ตอนนี้เขาแกร่งพอที่จะสู้กับมอนสเตอร์ระดับนั้นด้วยตัวเอง

“ภายในหนึ่งเดือน นายจะเป็นแรงค์ A”

ซุงกูไม่คิดว่าวูจินพูดเล่น ทันใดเขารู้สึกมีอารมณ์บางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา กิลด์ใหญ่เหรอ? เขาไม่ต้องการแล้ว ที่ๆเขาจะฝังสังขารไว้คือกิลด์ของคังวูจิน

“ครับลูกพี่”

วูจินและซุงกูเคลียร์ดันเจี้ยนต่อ 2 วัน

***

ทั้งสองกำลังนั่งรถของซุงกูกลับโซล

ใต้ตาซุงกูเป็นสีดำคล้ำ ผมกระเซิงเหมือนรังนก สองวัน...ไม่ใช่ เขาไม่ได้นอนมา 8 วันแล้ว ความเหนื่อยล้าสะสมแต่ตาเขาเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

เขาได้เรียนทักษะหลายอย่างจากตำราทักษะที่วูจินให้ และคิมเฮมินที่อยู่จัดการงานต่างๆในเดกูได้รับคำสั่งให้หาตำราทักษะส่งกลับไปที่โซลเพื่อให้ซุงกูเรียน ตำราเหล่านั้นซื้อมาเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อซุงกูไปถึงโซลพวกมันจะอยู่ที่นั่น

เพราะคิมเฮมินไม่กลับมาด้วยซุงกูจึงต้องขับรถเอง

เขาไม่รู้สึกหิวแม้ยังไม่ได้ทานอะไร แต่เรื่องง่วงนี่ไม่ไหว โลกไม่เหมือนดันเจี้ยนที่เขาต้องสู้เสี่ยงตาย เมื่อความเครียดหายไปความง่วงที่เขาอดกลั้นไว้ก็เกิดขึ้น

“ฮืม”

วูจินกำลังนอนหลับตาตรงที่นั่งข้างคนขับ

จะว่าเขาก็ไม่ได้

วูจินไม่มีใบขับขี่ดังนั้นถึงอยากก็ขับรถไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของซุงกู...

[อีก 5 กิโลเมตรข้างหน้าถึงจุดพักรถเซเว่นวัลลี่]

ซุงกูกะจะหาอะไรแก้ง่วงที่ที่จุดพักรถ เขาฝืนลืมตาขับรถต่อไป เมื่อเลี้ยวเข้าจุดพัก วูจินลืมตาขึ้นทันที

“ลูกพี่ไม่ได้หลับเหรอครับ?”

“ฉันแค่พักสายตา”

ซุงกูนึกว่าวูจินหลับอยู่เสียอีก... เขาคงคิดผิด?

“นายง่วงเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ ผมจะไปซื้อกาแฟ”

“อืม ไปด้วยกันเถอะ หาอะไรกินด้วย”

มันเป็นกลางดึก ลมเย็นพัดผ่านจุดพักรถ

ร้านข้างนอกปิดไปแล้ว แต่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารยังเปิดอยู่ วูจินกับซุงกูสั่งอุด้งกับราเม็ง จากนั้นก็รอ

ซุงกูสัปหงกเป็นพักๆ วูจินจึงแบ่งวิญญาณออกจากเกราะผีไปให้เพื่อฟื้นพลัง มันสลายความเหนื่อยล้าของซุงกูไปทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะสกัดวิญญาณนี้ ซุงกูคงไม่เอาตัวรอดในดันเจี้ยนมาได้ถึง 8 วัน

“ขอบคุณครับลูกพี่”

ถึงความเหนื่อยล้าทางกายจะหายไป แต่อารมณ์อ่อนล้ายังอยู่ วูจินกินอุด้งคำโต กลืนก่อนแล้วพูด

“ตัวนายหายเหนื่อย ไม่ต้องนอนแล้ว แต่ใจนายยังอยากพักอยู่ จะใช้สะกดจิตหรือก็แล้วแต่ นายต้องหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ถ้าเกิดสงครามยืดเยื้อ ไม่ได้นอน 10 วันถือเป็นเรื่องปกติ”

“ครับลูกพี่”

มีเหตุผลที่เขาต้องตื่นในดันเจี้ยนเกิน 10 วันด้วยเหรอ?

ถ้าเกิดดันเจี้ยนเบรก ปกติใช้เวลาวันเดียวก็ควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยการใช้อาวุธทรงพลังเหนือกว่าพวกมอนสเตอร์มาก

วูจินดื่มน้ำซุปอุด้ง และเมื่อเห็นโทรทัศน์บนผนังก็หัวเราะก๊าก

“เธอเหมือนคนรู้จักฉันจริงๆ”

“คนไหนครับ?”

ซุงกูหันไปดูโทรทัศน์แล้วอ้าปากค้าง

“โอ๊ยโย๋ สวยชะมัด เอลฟ์ชัดๆ”

“เธอไม่ใช่เอลฟ์”

“เค้าไม่สวยเหรอครับ?”

“ไม่ใช่เอลฟ์ทุกตัวที่สวยนี่”

“...”

ที่เกาหลี บางครั้งผู้หญิงสวยๆจะถูกเรียกว่าเอลฟ์ ซุงกูกำลังจะเถียงกลับแต่หยุดเสียก่อน เขาดูสีหน้าวูจิน ดูเหมือนวูจินจะไม่รู้ความหมายของเอลฟ์

หรือบางทีเขาอาจจะรู้เรื่องเอลฟ์มามากก็ได้

ขณะซุงกูเงียบ วูจินก็คีบตะเกียบง่วน เขากินอุด้งจนหมดตามด้วยดื่มน้ำ

“รีบกินสิ คนอื่นรอเราอยู่นะ”

“ครับผม”

อา ซุงกูมีตำแหน่งทั้งเราส์ทั้งกรรมการ... แต่ต้องมาขับรถเองไม่มีหน่วยสนับสนุนมาช่วยเลย หน่วยสนับสนุนมีแค่ 3 คน ถือว่าขาดคนอย่างมาก

ถึงจะมีเราส์ให้สนับสนุนแค่ 2 คนแต่ก็ยังต้องใช้พนักงานหลายคนอยู่ดี และกิลด์อลันดาลก็มีเงินพอจ้างพนักงานตำแหน่งนี้

“ลูกพี่ พอกลับไปแล้วจ้างคนเพิ่มนะครับ”

“กินเถอะน่า”

“ครับ”

ถึงซุงกูไม่พูดวูจินก็คิดเรื่องนี้อยู่ เรื่องพนักงานในหน่วยสนับสนุนเขายกเป็นหน้าที่ของมินชาน แต่วูจินคิดจะรวบรวมเราส์ที่มีคุณสมบัติพอจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมรบของเขา

‘ฉันจะเลือกคนที่มีแววมาสอนสักสองสามคน’

แล้วคนเหล่านั้นก็จะสอนเราส์รุ่นต่อๆไปอีกที ซุงกูอาจเป็นคนเดียวที่วูจินสอนตรงๆ ที่เหลือก็ให้ซุงกูดูแลต่อ

วูจินยิ้มพลางมองซุงกูรีบกินราเม็ง

“กินช้าๆก็ได้”

“แฮะๆ ครับ”

เจ้าโง่

เขากลายเป็นคนใจดีขนาดนี้ไปแล้วหรือนี่? เมื่อมาสอนซุงกู วูจินแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นซุงกูต่อสู้ได้ดี เขามีเซนส์ด้านการต่อสู้ดีทีเดียว

วูจินหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ ผู้หญิงที่เขาเห็นก่อนหน้านั้นกำลังใช้เวทย์ เธอทำให้คนเดินไม่ได้ลุกขึ้นยืน เธอทำให้ชายแขนขาดมีแขนงอกขึ้นมาใหม่...

“หือ?”

ผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าตาจะเหมือนผู้หญิงในความทรงจำของวูจินมากแล้วยังมีพลังเหมือนกันอีก วูจินหยุดพึมพำกับตัวเองแล้วอุทานเมื่ออ่านคำบรรยายข้างใต้ภาพ

“หา?เมโลดี้?”

อะไร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?

หรือไปเจอกับแอดมินแห่งห้วงมิติเหมือนเขา?

ถ้าเธอยอมแพ้ทราห์เน็ตเหมือนเผ่าออร์คกับไซคลอป อย่างนั้นเธออาจมาที่โลกนี้เพื่อ... สำหรับเขา เธอก็ไม่ต่างจากมอนสเตอร์

หลายๆคำถามผุดขึ้นในหัววูจิน ซึ่งเขาสรุปได้อย่างเดียว

“ก็ต้องไปถามกับเจ้าตัวสินะ?”

เขาคงต้องไปอเมริกา

***

“เก่งมาก”

“เฮ้อ ขอบคุณครับ”

ซุงกูจอดรถที่ตึกสำนักงาน วูจินส่งวิญญาณเพิ่มพลังให้อีกดวง ตอนนี้เป็นตีสอง แต่สมาชิกกิลด์ทุกคนกำลังรอพวกเขาอยู่

“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”

จุงมินชานทักวูจิน และดูเหมือนมีบางอย่างจะบอก แต่วูจินบอกเขาก่อน

“หาเครื่องบินไปอเมริกาให้ที...”

“เอ๊ะ ท่านรู้ได้ยังไง?”

“เอ๊ะ?”

พูดอะไรเนี่ย?

มินชานมองสีหน้างงๆของวูจินแล้วถาม

“ไม่ใช่กำลังพูดเรื่องการเชิญจากสหพันธ์อยู่หรอกเหรอ?”

“อะไร? ขอรายละเอียดหน่อยสิ”

“ก่อนหน้านี้ไม่นานกิลด์ไททันช่วยเหลือคนๆหนึ่งออกมาจากดันเจี้ยน เธอเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ หลังจากท่านประธานเข้าดันเจี้ยนไปไม่นานก็มีวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องของเธอ กลายเป็นข่าวใหญ่เลย กิลด์ไททันเป็นคนเปิดเผยข้อมูลพวกนี้”

เรื่องนี้วูจินรู้ เขาเพิ่งเห็นในโทรทัศน์มาไม่นาน

“กิลด์ไททันเสนอให้กิลด์ทุกกิลด์ไปรวมกันที่สหพันธ์เพื่อคุยเรื่องนี้ ผมกำลังจะถามท่านพอดีว่าจะรับคำเชิญหรือเปล่า แต่ท่าทางท่านวางแผนจะไปอยู่แล้ว?”

“อืม ซื้อตั๋วให้ฉันสักใบ ฉันต้องไปเจอเมโลดี้”

ฟังคำตอบแล้วมินชานก็ห่วงว่าวูจินจะไปทำเรื่องอะไรอีก แต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่อง

“แล้วมีอะไรแปลกไปจากปกติไหม? ได้ของที่ฉันสั่งครบหรือเปล่า?”

“ครบ อืม มีอีกสองสามเรื่องที่ผมต้องบอก”

จะเช้ามืดแล้วแต่จุงมินชานยังไม่เลิกงานเพราะเขามีเรื่องต้องบอกวูจินทันทีที่มาถึงโซล

“เรื่องอะไร?”

“คุณแม่ท่านรู้แล้วนะ ผมพยายามปิดแล้วแต่มันเป็นเรื่องใหญ่...”

“รู้เรื่องอะไร?”

“เรื่องท่านประธานเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้สำเร็จ”

“อ๊าก แล้วเค้าว่าไง?”

“ท่านเป็นห่วงมาก ท่านประธานควรกลับบ้านแทนที่จะไปบ้านของนักเรียนเจมินนะ อ้อ เราย้ายบ้านเสร็จแล้วเมื่อวาน”

นี่เป็นข่าวดีที่สุดของเขาช่วงนี้ เขาไม่ต้องนอนร่วมกับครอบครัวในห้องแคบๆ จะไม่มีใครเห็นเขาถูกวิญญาณร้ายรังควาน ถึงเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้อยู่กับเจมินผู้น่ารักแต่เขาจะได้อยู่กับครอบครัวเขาอีกครั้ง

“แล้วมีอะไรอีกไหม?”

“มี”

“อะไรอีกล่ะ?”

มินชานยื่นกระดาษ A4 ใบหนึ่งมาให้

“อะไรวะนี่ หมายเรียก?”

วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นคำว่าหมายเรียก จากนั้นมองมินชาน

“นี่อะไร?”

“เขาอยากให้ท่านประธานไปที่สถานีตำรวจ...”

“ทำไม?”

“ประธานกิลด์ฮวารางแจ้งตำรวจว่าถูกทำร้ายร่างกาย”

อ้อ ไอ้ขี้ขลาดนั่น

วูจินขมวดคิ้ว






สารบัญ                                       บทที่ 58


1 ความคิดเห็น: