วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 56

บทที่ 56 – กรรมการผู้จัดการ – ฮงซุงกู


แท่นบูชาสำหรับเทพีอาเรียสร้างเสร็จสิ้น

เทคนิคการแกะสลักของที่โลกถือว่ายอดเยี่ยม งานที่แกะตามคำอธิบายของเมโลดี้จึงเสร็จสมบูรณ์ในหนึ่งวัน

ทุกวันเมโลดี้จะอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นหินอ่อนของเทพี

ฮามิลตันเข้ามาเงียบๆ

ฮามิลตันไม่ต้องใช้เก้าอี้รถเข็นอีกแล้ว ถ้าอยากจะไปที่ไหน ขาสองข้างสามารถพาเธอไปได้

เธอเป็นจิตแพทย์ เชื่อในความตั้งใจของมนุษย์ แต่แล้วตอนนี้เธอเป็นผู้ศรัทธาแรงกล้าในองค์เทพี

“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์คะ หัวหน้ากิลด์ขอพบค่ะ”

[เข้าใจแล้ว]

เมื่อได้ยินเสียงนอบน้อมของฮามิลตัน เมโลดี้ตอบรับพร้อมลุกขึ้นจากท่าคุกเข่า เธอยังใช้เสียงของเทพีสื่อสารกับคนอื่น

หากใครไม่เชื่อในองค์เทพี คนนั้นจะไม่สามารถรับข้อความและรับพลังจากเมโลดี้

เมโลดี้มองฮามิลตันแล้วยิ้มอ่อนโยน

[ในอนาคตอันใกล้ พลังขององค์เทพีจะอวยพรเธอ]

“โอ้ ดีเหลือเกิน ขอบคุณมากค่ะ”

ฮามิลตันตัวสั่น เธอเดินตามหลังเมโลดี้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ ไม่มีอะไรที่สาวกแห่งอาเรียจะภาคภูมิใจยิ่งกว่าการได้มีพลังช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอีกแล้ว

มีคนจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อพระเจ้าตัวจริงปรากฏตัว คนจะมารวมกัน พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของ‘พลัง’

เมโลดี้มุ่งหน้าไปที่ห้องรับรอง

เมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอาเรียผู้มาจากโลกอัลเฟน ประหลาดใจในอารยธรรมและสิ่งของที่ชาวโลกครอบครอง เธอยังต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นเคยกับโลกนี้ และยังต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมพร้อม

กิลด์ไททันสนับสนุนเธออย่างดี ซึ่งเมโลดี้ก็ตอบแทนด้วยการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และพลังเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเพื่อพวกเขา

เมื่อเมโลดี้มาถึงห้องรับรอง หัวหน้ากิลด์ เดคอนและเลขานุการของเขาลุกขึ้นต้อนรับ

“กรุณาปฏิบัติต่อท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างเหมาะสมด้วยค่ะ”

“...”

เดคอนฟังคำของฮามิลตันแล้วเดินไปหาเมโลดี้จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลง เมโลดี้ยกมือให้เดคอนจูบที่หลังมือ เลขานุการผมทองทำแบบเดียวกัน เสร็จแล้วเมโลดี้ก็เพียงแต่ยิ้ม (TN- เง้อ ลืมไปเลยว่าเลขาเป็นสาวผมทอง)

[คุณหาฉันอยู่หรือ?]

เดคอนและเลขานุการได้ยินเสียงของเมโลดี้

ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของนิกายอาเรีย เมื่อได้เห็นปาฏิหาริย์ต่อหน้าก็ยากที่จะปฏิเสธการคงอยู่ของเทพีอาเรีย

เดคอนตอบ

“ครับ ผมต้องคุยกับคุณเรื่องกองทหารศักดิ์สิทธิ์”

[ไปคิดมาแล้วหรือ?]

เมโลดี้ถามด้วยท่าทางถือตัว แต่น้ำเสียงกลับตื่นเต้น แม้แต่ใบหน้าหยิ่งทะนงก็ปรากฏรอยยิ้ม

“ผมจะช่วยคุณจัดตั้งกองทหารรวมทั้งอนุญาตให้สมาชิกกิลด์เข้าร่วมตามความสมัครใจ...”

[เทพีต้องยินดีมากแน่]

ไม่แม้แต่ขอบคุณ เธอพูดเหมือนการทำเพื่อเทพีเป็นเรื่องปกติ

นั่นเป็นสิ่งที่เดคอนไม่ชอบ

เขายังไม่ได้เข้าลัทธิ แต่เธอพยายามเปลี่ยนเขาเป็นทาสรับใช้เทพีอาเรีย เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความคิดของเมโลดี้หรือเป็นความประสงค์ของเทพีของเธอ

ถ้าต้องยอมอ่อนข้อให้กับอะไร เขาก็ต้องการบางอย่างชดเชย

[อีก 3 วัน กองทัพของทราห์เน็ตจะบุกสถานีวิลเชอร์ฝั่งตะวันตก]

เดคอนฟังแล้วปรายตาไปทางเลขานุการของเขาทันที เลขานุการออกจากห้องแล้วติดต่อสาขาตะวันตก

“มีบางอย่างที่ผมสงสัย คุณเมโลดี้”

[...]

เธอยืนนิ่ง ฮามิลตันตำหนิเดคอน

“สำรวมกิริยาด้วยค่ะ คุณต้องปฏิบัติกับท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งองค์เทพี”

เดคอนถอนหายใจ

“ผมมีเรื่องอยากถามครับ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์”

[พูด]

“ท่านต้องการอะไรจากกองทหารศักดิ์สิทธิ์?”

[เพื่อปกป้องเหล่าคนที่ติดตามอาเรีย]

แต่กิลด์ไททันก็ทำอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ตำรวจก็ปกป้องประชาชนอยู่ไม่ใช่เหรอ?

“ผมหมายถึงจุดประสงค์ของท่านจริงๆ”

[ฉันโกหกไม่ได้]

เดคอนเปลี่ยนวิธี ถ้าเธอพูดได้แต่ความจริง สุดท้ายเธอก็ต้องตอบคำถามเขาจนได้

“หลังจากปกป้องนิกายแล้วท่านจะทำอย่างไรต่อครับ?”

[...]

“กิลด์ไททันจะหาทางสนับสนุนท่านได้ดีกว่าเดิมถ้าผมเข้าใจจุดประสงค์ของท่านครับ”

เมโลดี้นิ่ง ไม่นานเธอก็ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม

[ฉันจะปกป้องโลกนี้ จากนั้นจะกลับไปเอาบ้านเกิดของฉันกลับคืน ฉันจะก่อสงครามศักดิ์สิทธิ์]

“บ้านเกิดของท่าน?”

[อัลเฟน ฉันจะช่วยเหลือเด็กๆของอาเรียที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่น กองทหารศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จะถูกส่งไปปกป้องอัลเฟน]

“ฮืม”

เดคอนคราง คิดใคร่ครวญ

ด้วยพลังหยั่งรู้อนาคตของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำให้จำนวนดันเจี้ยนระดับสูงที่กิลด์ไททันครอบครองเพิ่มขึ้นมาก บลัดสโตนกับอาร์ติแฟคจากดันเจี้ยนพวกนี้เพิ่มอำนาจให้กิลด์ไททัน

สำหรับกิลด์ไททัน เมโลดี้ก็คือห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ สร้างกองทหารศักดิ์สิทธิ์ให้เธอไม่ใช่ภาระหนักอะไร

แต่ เดคอนกังวลถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับผลกำไรมหาศาล เหมือนช็อกโกแลตที่ทำให้ฟันผุ

[ดันเจี้ยนระดับสูงไม่ใช่ทางตัน มันเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง]

“ฮืม”

เขาได้ยินเธอพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

[การบุกยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ]

ถ้านี่ไม่ใช่การบุกแล้วอะไรล่ะ...

เดคอนคิดว่าเขาอาจต้องแบ่งช็อกโกแลตนี้ให้กิลด์อื่นๆ หรือกระทั่งทั้งโลก

***


วูจินนั่งตรงทุ่งราบที่เต็มไปด้วยโกเลมพังๆ ข้างๆเขา บิบิกับโดลเซกำลังเล่นกันอย่างสบายใจ
พลังและความเร็วของซุงกูเพิ่มขึ้นด้วยหินเพิ่มพลัง เขากำลังมีความสุขมาก

“ฮ่าๆๆ ลูกพี่ ผมว่าผมแข็งแรงขึ้นนะ ดูสิ”

ความเร็วในการแงะหินบลัดสโตนของซุงกูเร็วกว่าเดิม

วูจินมองซุงกูอย่างครุ่นคิด

บลัดสโตนกลายเป็นที่นิยม เราส์ทำงานเพื่อให้ดันเจี้ยนเบรกเกิดน้อยลง แต่ดันเจี้ยนเบรกกับค่อยๆเพิ่มขึ้น

ลูกน้องของทราห์เน็ต

สมมติว่าโลกยังมีมานาอยู่น้อย ทำให้พวกมันไม่สามารถก่อรูปขึ้นมาได้

แต่สักวันพวกมันต้องมาถึง

วูจินรู้สึกว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่นาน

แม่ทัพ 72 นายของทราห์เน็ต

วูจินเรียกพวกนั้นว่าลูกน้อง แต่แม่ทัพคือผู้อัญเชิญที่บงการสัตว์ประหลาดจำนวนมาก พวกมันทั้งอันตรายและมีถึง 72 นาย

ถ้าโผล่มาที่โลกพร้อมกันหมด เขาจะป้องกันได้หรือเปล่า?

‘เป็นไปไม่ได้’

ที่อัลเฟน ไม่ได้มีแค่เขา แต่มีเผ่าอื่นๆด้วย เขายังเป็นพันธมิตรกับมนุษย์ด้วยซ้ำ

ขุมพลังทั้งหลายร่วมมือกันจู่โจมทราห์เน็ต แต่ทำได้เพียงถ่วงดุลอำนาจเอาไว้

ดินแดนของวูจิน อลันดาล เป็นเพียงส่วนเล็กๆของโลก

ถ้าไม่นับกองทัพผีดิบของเขา วูจินมีผู้ติดตามไม่กี่หมื่น เขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการคานอำนาจเท่านั้นเอง

ยิ่งตอนนี้เขามีผู้ติดตาม 4 คน มีเพียงฮงซุงกูที่เป็นเราส์

“เฮ้ย ซุงกู”

“ครับลูกพี่”

“หยุดแงะหินแล้วมาตรงนี้”

“ครับผม”

ซุงกูวิ่งมา เหงื่อซกแต่มีความสุขเพราะค่าความอึดกับความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น เขากำลังดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง

“ว่าไงครับ?”

หมอนี่ไร้เดียงสาและโอบอ้อมอารี เพราะอย่างนี้วูจินจึงชอบซุงกู

“ปกติกรรมการกิลด์อื่นที่เป็นเราส์ เขาเป็นเราส์แรงค์ไหนกัน?”

“แรงค์ B กันทั้งนั้นครับ”

“รองประธานกิลด์ล่ะ”

“ก็ควรจะแรงค์ A นะครับ”

“หืม...”

รองประธานอยู่แถวๆระดับวงแหวนที่ 6 กรรมการอยู่แถวๆวงแหวนที่ 5

ดูจากข้อนี้แล้วคนที่อยู่ระดับวงแหวนที่ 5 คงน้อยมาก เราส์ที่มีพลังเท่ากับผู้ใช้พลังระดับวงแหวนที่ 5 เยอะพอดู แต่ตามมาตรฐานของวูจินแล้วถือว่าอ่อนแอ

ใช่ เขาเทียบกับมาตรฐานของโลกอัลเฟน

แต่พลังต่อสู้ของคนที่โลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมานามีอุดมสมบูรณ์ เราส์ที่มีพลังเทียบเท่าผู้ใช้พลังระดับวงแหวนที่ 7 และ 8 ก็จะเกิดขึ้น

ปัญหาคือเขาควรจะเชื่อใจคนพวกนี้เหรอ เราส์อย่างลียุนฮี?

วิญญาณของพวกนี้เน่าเหม็น

เขาต้องการพวก ต้องการคนที่มีความสามารถสูง...

“นายอยากเป็นรองประธานไหม?”

“อะไรนะครับ?”

“ฉันถามว่านายอยากเป็นวงแหวนระดับ 6... อยากเป็นเราส์แรงค์ A หรือเปล่า?”

“...!”

ซุงกูตาค้าง

เป้าหมายแท้จริงของซุงกูคืออะไร? คือพัฒนาตนเองให้เป็นเราส์แรงค์สูง เขาเคยอยากเข้ากิลด์ใหญ่
เพราะกิลด์เหล่านั้นมีระบบสนับสนุนที่ดี

“อยากครับ ผมอยากจริงๆ”

คนไร้เดียงสานี่ล่ะที่มักจะอยากถีบตัวเองขึ้นไปให้สูง ความโลภระดับเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแรงกล้า

คนที่มีแรงบันดาลใจและอดทนไม่ท้อถอย

“เหนื่อยนะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำ”

“แน่นะ?”

“เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยครับ”

“โอเค”

วูจินยิ้ม มองซุงกูที่มีดวงตาลุกโชน

***

ที่นี่ที่ไหน? ฉันคือใคร?

เหงื่อไหลโชกจากซุงกูเหมือนน้ำตก แต่ซุงกูไม่อยากเสียสมาธิ ถ้าเขาเสียสมาธิแม้แต่นิดเดียวชีวิตเขาจะตกอยู่ในอันตราย ซุงกูนิ่งรออย่างเคร่งเครียด

“เคะๆๆๆ”

ทหารโครงกระดูกส่งเสียงร้องชวนขนลุก มันฝ่าพุ่มไม้เข้ามา มีดกระดูกของมันเล็งมาที่หน้าซุงกู

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าหลบไม่พ้น เขาตาย

“ฮึบ”

ซุงกูสูดหายใจสั้นๆแล้วกลิ้งตัว ขว้างบอลไฟไปที่ขมับขวาของทหารโครงกระดูก

พลังของบอลไฟแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน แต่ยังไม่พอจัดการทหารโครงกระดูกในทีเดียว

“เคะๆ”

หัวของทหารโครงกระดูกไหม้ดำ มันพุ่งมาหมายสับคอซุงกูอย่างบ้าบิ่น

ซุงกูกลิ้งหลบไปข้างหน้า จากนั้นขยับเข้าหาทหารโครงกระดูก

ถ้าครั้งเดียวไม่พอ เขาก็จะใช้สองครั้ง

มือขวาของซุงกูห่างจากหมวกเกราะของทหารโครงกระดูกเพียงระยะฝ่ามือเดียวในตอนที่บอลไฟถูกปล่อยออกจากมือข้างนั้น

กะโหลกของทหารโครงกระดูกแตกเป็นชิ้นๆ

“เคะๆๆๆ”

ไม่ทันซุงกูจะโล่งใจ ทหารโครงกระดูกอีกตัวก็โผล่มา ซุงกูตะโกนอย่างสิ้นหวัง

“ลูกพี่ ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“เคะๆๆ”

ทหารโครงกระดูกอีกสองตัวฝ่าพุ่มไม้ออกมาแทนคำตอบ ซุงกูกลืนน้ำลาย สองตัวยังเกือบตาย นี่วูจินจะให้เขาสู้ทีเดียวสามตัว...

ลูกพี่ประเมินผมสูงเกินไปแล้ว

ซุงกูรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาเริ่มตั้งสติ

วูจินมองทุกอิริยาบถของซุงกูจากบนต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาใช้ทักษะ ‘สำรวจ’ ‘ประสาทสัมผัสของนักรบ’ และ ‘วิเคราะห์ข้อมูล’ เพื่อให้วิเคราะห์ซุงกูได้เต็มที่

[ฮงซุงกู]

ทั้งกลัวทั้งนับถือ ทั้งรักทั้งเกลียดคุณ

อาชีพ : นักเวทย์สายบู๊

ทักษะ : บอลไฟ, ความสามารถในการตรวจจับสิ่งอันตราย

วูจินฝึกซุงกูอย่างหนัก

ผลคือ ก่อนหมดวัน ซุงกูเพิ่มเลเวลมา 3 เลเวล เขายังได้ความสามารถตรวจจับอันตราย

วูจินมองตำราทักษะที่จะให้ซุงกูเรียน ซุงกูเรียนตำราทักษะที่ซื้อจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จไม่ได้
วูจินได้แต่เลือกทักษะเหมาะๆจากตำราทักษะที่เขาเก็บได้ในดันเจี้ยนซึ่งมีไม่มากนัก

‘มีทั้งอันที่เรียนได้เรียนไม่ได้’

ทักษะใช่ว่าจะเข้ากันได้กับทุกคน ต่อให้ส่งเวทย์เข้าไปตำราทักษะก็อาจไม่มีปฏิกิริยา วูจินเดาว่าอาชีพเป็นตัวจำกัดว่าเรียนอะไรได้หรือไม่ได้

เมื่อวูจินใช้ ‘สำรวจ’ และ ‘วิเคราะห์ข้อมูล’ ก็รู้ข้อมูลสำคัญว่าซุงกูมีอาชีพอะไร จากนั้นเขาเลือกตำราทักษะที่ซุงกูเรียนได้ บางทักษะเรียนไม่ได้เพราะเลเวลของซุงกูน้อยไป สุดท้ายก็เหลือสองทักษะ

“แฮ่กๆ”

ขณะวูจินยุ่งอยู่กับอย่างอื่น ซุงกูก็จัดการทหารโครงกระดูกทั้ง 3 ตัวเสร็จเรียบร้อย กำลังหอบแฮ่ก

คนเราเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจึงจะแสดงความสามารถออกมาเต็มที่

วูจินเปลี่ยนศพที่อยู่ใกล้ๆเป็นทหารโครงกระดูก 4 ตัว

รอบๆมีศพก็อบลินเต็ม เวลาในดันเจี้ยนก็ช้ากว่าข้างนอก 4 เท่า ความสามารถของซุงกูจะเติบโตได้ขนาดไหน ช่างน่าจับตามอง





สารบัญ                           บทที่ 57




...คงไม่ตายซะก่อนนะ




2 ความคิดเห็น: