วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 59

บทที่ 59 – ความหมายของคำว่าครอบครัว (2)


วิเวียน โรดริโอ้

เธอเกิดในโลกอสูรที่มีแต่ความมืด ได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเมื่อทำสัญญากับเจ้านายของเธอ คังวูจิน

เจ้านายของเธอแข็งแกร่ง อสูรตัวอื่นๆของเจ้านายก็แข็งแกร่งเช่นกัน

พลังของอลันดาลยิ่งใหญ่ ลูกน้องของทราห์เน็ตไม่มีทางสู้พวกเธอได้ ยังมีอีกหลายคนที่ติดตามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของผู้เป็นอมตะ

ในตอนนั้น เจ้านายของเธอค้นพบวิธีติดต่อกับผู้พิทักษ์ห้วงอวกาศ จากนั้นทุกอย่างก็สิ้นสุดลง

เธอรอมาแสนนานในห้องผนึกที่มีแต่ความมืด

บิบิเป็นอสูรตัวแรกที่ได้ยินเสียงวูจินอีกครั้ง

ที่นี่ไม่ใช่อัลเฟน เป็นโลก แต่เธอไม่สนใจ

ที่ไหนที่วูจินอยู่ ที่นั่นเป็นที่ๆบิบิต้องการจะอยู่ด้วย

ที่นี่เป็นถิ่นเกิดของเจ้านายเธอ

เธอได้อยู่กับนายหญิงที่เป็นผู้ให้กำเนิดเจ้านาย และน้องสาวของเจ้านาย

เจ้านายฝากเธอไว้กับเด็กหญิงชื่อคังโซอา

เธอเคยอยู่เคียงข้างเจ้านายเสมอ เพราะต้องคอยไล่วิญญาณร้ายที่ทรมานเจ้านายทุกคืน แต่เธอไม่อาจตามเขาไปสู้ด้วยได้แล้ว

ถ้าเจ้านายให้เธอสู้ด้วยกัน เลเวลของเธอก็จะเพิ่มขึ้น เธอจะได้พลังที่สูญเสียไปคืนกลับมา แต่เจ้านายมอบหน้าที่อื่นที่สำคัญกว่าให้

เธอต้องปกป้องมนุษย์ตัวน้อยที่ชื่อโซอา...

มนุษย์ตัวน้อยนี่ไม่เคยปล่อยเธอเลย

หนึ่งวันหลังจากเจ้านายของเธอปล่อยเธอไว้ที่นี่ส่วนเขาออกไปล่า

“จับสิ บิบิ!”

มนุษย์ตัวน้อยที่ชื่อโซอาใช้เลเซอร์ทำให้เกิดจุดแสงให้ขยับไปมาตรงหน้าบิบิ เฮ้อ น่ารำคาญจัง

“แหงะ แมวอะไรเนี่ย?”

เด็กน้อยถอนหายใจผิดหวัง

บิบิไม่อยากเชื่อว่าเธอต้องมาเล่นเกมปัญญาอ่อนแบบนี้...

เธอขยับขาแล้ววิ่งไล่ตามจุด

“ฮ่าๆ จับสิๆ”

จุดแสงขยับห่างไปอย่างรวดเร็วน่าหงุดหงิด บิบิไล่ตาม แต่จุดแสงก็ขยับหนีไปอีก

“แม้ว”

เด็กน้อยบังอาจยั่วโมโหสายเลือดของซัคคิวบัสในร่างเธอเหรอ?

ไอ้จุดแดงบ้านี่ ฉันจะจับมันให้ได้

บิบิไล่ตามอย่างรวดเร็ว แต่จับไม่ได้สักที

“แม้ว แม้ว แม้ว”

บิบิวิ่งไล่ หางสะบัดด้วยความตื่นเต้นจนมองไม่เห็นโต๊ะ

ก๊อง

“อ๋า? บิบิเป็นอะไรหรือเปล่า?”

โซอาเข้ามาหา บิบิสะบัดศีรษะ

‘ชิ นึกไม่ถึงเลยว่าเราจะเอาจริง’

เธอถูกเด็กน้อยคนนี้หลอก... ไม่ได้สนุกอะไรนะ ที่เล่นด้วยเพราะต้องทำตัวให้เหมือนแมวหรอก

บิบิกระโดดขึ้นไปนั่งจุมปุ๊กบนโซฟา

“บิบิ พี่สาวเอาอาหารแมวให้กินดีไหม?”

“เมี้ยว”

อาหารแมวกระป๋องอร่อยมากเลย

เธอรีบกระโดดลงมาถูตัวกับขาของเด็กน้อย เด็กน้อยหัวเราะ

“เฮ้อ เจ้านาย กลับมาเร็วๆสิเมี้ยว”

เธออยากอยู่กับเจ้านายกับโดลเซจิง อยากสู้ด้วยกันกับเพื่อนๆ

***

สถานีมหาวิทยาลัยโซลทางออกที่ 6

ที่นี่เป็นดันเจี้ยน 5 ดาว และเป็นแหล่งรายได้หลักของกิลด์อลันดาล

มันเป็นดันเจี้ยนที่เต็มไปด้วยนาค มีไกด์ที่วูจินเขียนขึ้นลวกๆ พื้นที่กว้างเกินไป ซ้ำยังยากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนจองนัก

วูจินจองช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ทั้งหมด

“พร้อมนะ?”

“ครับผม!”

วูจินยิ้มเมื่อเห็นซุงกูทำหน้าเครียด

เขาใช้สัมผัสของนักรบแล้วก็เห็นว่าซุงกูมีเลเวล 37 ถ้าถึงเลเวล 40 ก็จะเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 4 เราส์แรงค์ C

ตอนมินชานอยู่กับกิลด์แฮมเมอร์ เขาปรับแรงค์ของซุงกูให้เป็นแรงค์ D ตอนนี้ซุงกูเป็นแรงค์ D และอีกไม่นานก็จะขยับขึ้นไปสูงกว่านั้น

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

วูจินจองเวลาไว้ 12 ชั่วโมง หมายถึง 2 วันในดันเจี้ยน

2 วัน...

“ถ้านายรอดกลับมาได้ นายก็จะเป็นแรงค์ C”

“ครับลูกพี่!”

เสียงของซุงกูฟังเชื่อมั่น

ต่อให้วูจินบอกว่าเขาทำถั่วหมักจากถั่วแดงได้วูจินก็เชื่อ

ทั้งสองเข้าดันเจี้ยนไปโดยมีซุงกูนำหน้า

4 ชั่วโมงหลังจากเข้าดันเจี้ยน

ซุงกูล้มลงเพราะหายใจไม่ทัน เขานอนราบกับพื้น ขณะภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนพลังบางอย่างก็ส่งมาที่เขาจนตาสว่าง

“ล...ลูกพี่”

พอซุงกูใกล้ตาย วูจินก็จะใช้สกัดวิญญาณฟื้นพลังให้ วูจินฉุดซุงกูลุกขึ้น

“ผมโซโล่ดันเจี้ยนนี่ไม่ไหวหรอกครับ ขนาดดันเจี้ยน 4 ดาวยังไม่ไหวเลย”

“...”

ครับ ปกติเราส์แรงค์ C ไม่เคลียร์ดันเจี้ยน 4 ดาวคนเดียว แถมวิหารร้างเผ่านาคยังเป็นดันเจี้ยน 5 ดาว

“ตั้งใจดูพวกมันดีๆ นายต้องศึกษาลักษณะนิสัย จุดอ่อนของมอนสเตอร์ทุกชนิด ถ้าพลังไม่พอก็ต้องวางแผนดีๆ”

“ครับ”

ซุงกูเพิ่งรอดตายมาแต่ก็ยังไม่ได้พัก แต่ละคำที่วูจินพูดฝังลึกลงในหัวเขา

“ทุกอย่างในนี้มีพิษแทบทั้งนั้น นี่เป็นอย่างเดียวที่เรากินได้”

วูจินชำแหละหนอนหน้าตาน่าเกลียดเพื่อเอาเนื้อปรุงให้สุก พวกเขาไม่ต้องหาไม้มาก่อกองไฟ แต่ใช้เวทย์ไฟย่างเนื้อเอา

รสชาติงั้นๆ

เนื้อหนอนแห้งและค่อนข้างขม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวปลาแห้ง พวกเขากินเพื่ออยู่ไม่ใช่เพื่อความอร่อย

วูจินไม่ได้สอนซุงกูต่อสู้อย่างเดียว

เขาสอนวิธีเอาตัวรอด เมื่อเจอมอนสเตอร์เขาจะสอนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ ถ้าสู้ตรงๆไม่ได้ก็ซ่อนตัวแล้วรอโอกาส

วูจินสอนการกลยุทธ์ทุกอย่างที่เขารู้ให้

“จากตรงนี้ ศัตรูที่ยุ่งยากก็เหลือแต่พวกนาค อย่ากลัว อย่าใจอ่อน นายสู้กับมอนสเตอร์ในนี้ได้ทุกตัว...”

“ครับ”

ถ้าวูจินว่าอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น พลังของซุงกูฟื้นฟู ใจสู้เขากลับมาเร่าร้อนอีกครั้ง

“อ่า ถ้าสู้ตัวต่อตัวก็น่าจะไหวน่ะนะ ถ้าสองต่อหนึ่งนายคงตายซะล่ะมาก”

“...”

“เฮ้ ทำหน้าเหมือนอึไม่ออกทำไม? ฉันจัดการให้นายสู้กับพวกมันตัวต่อตัวได้น่า”

“ครับ”

เมื่อวูจินซุงกูไปถึงเมืองร้างเรเกรเซียการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างตรงไปตรงมา พวกนาคอยู่กระจัดกระจายรอบเมือง ไม่ได้อยู่รวมกันนอกจากจะถูกกระตุ้น

เมืองวกวนเหมือนเขาวงกตตั้งแต่แรก วูจินตั้งกำแพงกระดูกกั้นตรงจุดสำคัญๆเพื่อให้ซุงกูตั้งสมาธิกับการสู้แบบ 1 ต่อ 1

ถ้าเจอนาคสองตัว วูจินจะฆ่าหนึ่งตัว เหลืออีกตัวให้ซุงกู

นักรบนาคทั้งกล้าและแข็งแกร่ง เมื่อเห็นจุดอ่อนหรือศัตรูเสียสมาธิ มันไม่ปล่อยไว้ ซุงกูยังขาดประสบการณ์อยู่มาก

ฟ้าว ปุก!

“อั่ก”

ท้องของซุงกูถูกหอกแทงทะลุ สมองว่างเปล่าเพราะความกลัวตายเขาไม่คิดอะไรอื่นนอกจากเจ็บ

นักรบนาคยิ้มอย่างผู้ชนะ

ก๊อง

“กวี๊ก”

ศีรษะของทหารนาคถูกค้อนวูจินทุบแหลก วูจินมองซุงกูที่ถูกหอกแทงท้องอย่างเฉยชา

“ล...ลูกพี่”

“ไอ้บ้าที่ใกล้จะตายอยู่แล้วเรียกฉันทำไม?”

“...!”

เปลือกตาของซุงกูเต้นระริก มือเขากำหอกที่แทงท้องแต่เรี่ยวแรงเริ่มหมดไปช้าๆ

“ต่อให้ท้องเป็นรู ก็น่าจะทำทุกอย่างอย่างน้อยก็ตัดหัวศัตรูลงมา นายลืมที่เรียนมาไปแล้วเหรอ?”

“ขะ...ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม นายนั่นแหละที่กำลังจะตาย”

“...”

ถ้าถูกโจมตีบาดเจ็บก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบโต้ ถ้ายืนโง่อยู่เฉยๆก็เหมือนรอให้ศัตรูจัดการจนเสร็จ นั่นเป็นสิ่งที่คนขี้แพ้ทำ

ซุงกูมีโอกาส เขาลังเลวูบหนึ่งเพราะความกลัว เขาทำลายโอกาสนั้นไป

“ถ้ายังอยากอยู่ต่อก็ดึงหอกออกมาเอง...”

“...”

ซุงกูมองหอกที่แทงท้องเขาอยู่ ลูกพี่อยากให้เขาดึงออกมาเองเหรอ?

ต่อให้ไม่นับเรื่องเจ็บ เครื่องในเขาจะทะลักออกมา... ถ้าลูกพี่ทำให้ก็ดีหรอก...

“ถ้านายตาย วิญญาณนายจะเป็นขนมของชิงชิง”

“อุ”

ซุงกูกำหอกแล้วออกแรง เขาไม่กล้าตายแบบนี้ ตลกดี ทุกครั้งที่เขาคิดว่ากำลังจะตาย เขากลัวก็จริงแต่รู้สึกกล้าไปพร้อมๆกัน

“อึ๊ก!”

ทุกครั้งที่หอกขยับทีละนิด เขารู้สึกเหมือนกระดูกสันหลังถูกบิด เจ็บสุดขีด คนถูกแทงท้องทะลุรู้สึกกันอย่างนี้เหรอ? สมองของเขาขาวโพลนและเขาสงสัยว่าท้องเขาหายไปแล้วหรือเปล่า

“อ๊าก”

ซุงกูทรุดลงคุกเข่า ปลายหอกถูกดึงออกมา เขาเห็นเครื่องในหลุดออกมา ไม่รู้ว่าเป็นลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็ก

เขาใช้มือข้างหนึ่งรองลำไส้เอาไว้ อีกข้างดึงหอกออก

“อ๊าก!”

พอปลายหอกถูกดึงออก เลือดก็ทะลักออกจากแผล เขาพยายามใช้มือห้ามเลือดแต่ไม่เป็นผล หอกแทงทะลุไปถึงข้างหลังเลือดจึงไหลออกมาทั้งข้างหน้าข้างหลัง

สติของเขาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว มองผ่านเปลือกตาที่ใกล้ปิดเต็มทีเขาเห็นวูจินกำลังยิ้ม

วูจินสกัดวิญญาณจากนาคที่ถูกทุบหัวแหลกออกมาส่งเข้าร่างซุงกู

โลกหยุดหมุน แผลหายอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนวิญญาณดวงเดียวจะไม่พอ วูจินจึงดึงวิญญาณจากเกราะผีออกมาอีกสองดวงให้ซุงกู

“เจ็บนรกเลยใช่ไหมล่ะ?”

เห็นๆกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?

“ครับ...”

“ถ้าอยากมีชีวิต นายต้องโหด ต้องทรหด...”

เขารู้ เพราะอย่างนี้เขาจึงโหด ทรหดกว่าเดิมมาก แค่ว่ามันยังไม่พอ

“ถ้าอยู่ๆฉันหายไปนายจะทำยังไง?”

“...”

ถ้าลูกพี่ไม่อยู่ ซุงกูก็เข้าดันเจี้ยนนี้ไม่ได้ เขาคงไปลงดันเจี้ยนระดับต่ำๆทำงานเป็นคนขุดเหมือง

วูจินยิ้มเหมือนอ่านใจซุงกูได้

“นายคิดว่ามอนสเตอร์จะอยู่แต่ในดันเจี้ยนไปได้นานแค่ไหน?”

“อะไรนะครับ?”

วูจินถามเรื่อยๆแม้ซุงกูจะยังทรมานอยู่

“ลองคิดสิว่าถ้าทั้งโลกเกิดดันเจี้ยนเบรกขึ้นมาพร้อมๆกันจะเป็นยังไง? น่าดูชมเลยนะว่าไหม?”

“...”

นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุด

“ล่ามอนสเตอร์? ขุดบลัดสโตน? ฉันว่าขนาดหาอะไรกินยังแทบแย่เลยมั้ง? ประชากร 6 พันล้าน? ไม่เกิน 3 วันเชื่อได้เลยว่าเหลือครึ่งเดียวแน่”

ซุงกูฟังเรื่องน่ากลัวนี้ วูจินเล่าเสียงราบเรียบเหมือนกำลังเล่านิทาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเขาไม่รู้จักวูจิน

“ล...ลูกพี่”

“แค่ปกป้องครอบครัวได้ฉันก็พอใจแล้ว ถึงไอ้ทราห์เน็ตนั่นจะบุกโลกจริงๆก็ต้องใช้เวลากว่าจะครอบครองได้ทั้งโลก...”

ที่อัลเฟนเขาอยู่มาได้ 20 ปี เขารู้ว่าบนโลกเขาก็ทำได้อย่างเดียวกัน ยุคสมัยอันสงบสุขในตอนนี้จะเป็นเหมือนความฝัน

“นายไม่โกรธเหรอ ใครก็ไม่รู้มายึดหน้าบ้านนายไปโดยไม่ขอ?”

“...”

“ถ้านายอยากปกป้องครอบครัว อย่าใจอ่อนนัก”

“...”

อะไรกัน? ทำไมจู่ๆซุงกูถึงรู้สึกถึงอันตราย?

“ถ้าไอ้เวรพวกนั้นบุกโลก ฉันก็หนุนหลังนายไม่ได้ นายต้องเอาตัวรอดเอง”

“...”

วูจินพูดจริง

เมื่อเกิดสงคราม จะไม่มีใครอยู่ข้างหลังซุงกู วูจินจะไปอยู่ตรงแนวหน้าของสงคราม

หากซุงกูต้องการติดตามวูจินเข้าสู่สงคราม เขาก็ต้องแข็งแกร่งกว่านี้อีกหลายเท่า และต้องแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วด้วย

และคนเดียวที่จะทำได้ก็มีแต่ตัวซุงกูเอง

***

วูจินซุงกูเข้าดันเจี้ยนไปตอน 7 โมงเช้า ออกมาอีกทีหนึ่งทุ่ม

ซุงกูหมดแรง วูจินยิ้มเหมือนเดิม พวกเขาเดินทางกลับสำนักงาน

“ท่านประธานมาแล้วเหรอครับ?”

พอเสียงของวูซุงฮุนดังขึ้น ทุกคนในสำนักงานก็ลุกจากโต๊ะ โต๊ะทำงานที่เคยว่างอยู่มีหลายตัวถูกจับจองแล้ว

“ส...สวัสดีครับ”

พนักงานใหม่ส่งคำทักทาย มีทั้งพนักงานมีประสบการณ์และพนักงานใหม่

จุงมินชานคงเลือกพนักงานมาอย่างดีและคงควบคุมพวกเขาได้

มีไอ้เวรสองสามคนที่วิญญาณเน่าเหม็น แต่...

“นายเตรียมไว้แล้วยัง?”

“แน่นอนครับ”

เมื่อได้ยินวูจิน ซุงฮุนนำเขาไปที่ห้องพักอย่างมั่นใจ

มันเป็นห้องสำหรับให้พนักงานพักผ่อน ด้านหนึ่งของห้องมีโต๊ะกระจกกับคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดกับจอขนาดใหญ่ตั้งอยู่

นับแล้วมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ 5 ตัว

“นี่คือ?”

“ห้องเกมสำหรับท่านประธานโดยเฉพาะครับ ผมจ้างพนักงานมาด้วย ผู้เล่นระดับไดมอนด์ 2 คน อีกคนระดับพลาทินั่ม ฮ่าๆ แบบนี้ท่านประธานก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว แค่ป่วนไปเรื่อยๆ”

วูซุงฮุนระดับซิลเวอร์ เขาจึงพูดอย่างมั่นใจ วูจินถอนหายใจ

“ทำอะไรไร้สาระ แล้วได้เตรียมอีกอย่างไว้แล้วยัง?”

ซุงฮุนอึ้งไปเมื่อเห็นว่าวูจินไม่ได้ถามถึงเรื่องห้องเกม แต่แล้วก็นึกถึงที่พูดกับเขาเมื่อเช้าขึ้นมาได้

“อ๋อ ท่านประธานหมายถึงหมา?”

“อืม”

“แน่นอนครับ ผมเตรียมไว้แล้ว”

วูซุงฮุนลากกรงเหล็กมาจากมุมห้อง หมาตัวสูงเท่าต้นขาของเขา มองแวบเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่

“มาสทิฟครับ พ่อมันมีผลงานต่อสู้ดีมาก กว่าจะได้มานี่ลำบากน่าดู แม่มันก็ล่ำเหมือนกัน เพราะงั้นก็น่าจะโตได้สัก 80 โล ถ้าเป็นหมาของท่านประธานก็ต้องระดับนี้ล่ะครับ”

เฮ้อ ทำไมหมอนี่ชอบทำเรื่องเว่อร์จังวะ?

“ฉันจะหาหมาให้น้องสาว แน่ใจนะว่าหมานี่เหมาะกับเด็ก 7 ขวบ”

“...”

ดวงตาซุงฮุนไหววูบ แต่ประสบการณ์ขายของมา 8 ปีของเขาไม่เสียเปล่า

“ถ้างั้นมาสทิฟนี่ล่ะเหมาะ พันธุ์นี้น่ะเมื่อก่อนเคยใช้ในสงคราม มันจะโตเป็นเป็นหมาตัวใหญ่ เป็นบอดี้การ์ดที่วางใจได้สำหรับน้องท่านประธาน เวลาที่ท่านประธานไม่อยู่มันจะปกป้องบ้านอย่างซื่อสัตย์”

...พูดเข้าท่าเหมือนกันแฮะ?

วูจินลูบคาง




สารบัญ                                             บทที่ 60

วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 58

บทที่ 58 – ความหมายของคำว่าครอบครัว

“ทำร้ายร่างกาย? ฉันเหรอ?”

ใช่แล้ว ท่านประธานตบเขาท่ามกลางการถ่ายทอดสดทั่วประเทศ

มินชานตอบในใจ ไม่พูดออกไป

วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นคนอื่นเงียบ

“แค่แตะหน้าเบาๆเอง ได้ยินเฮมินบอกว่ามันฉายทางทีวีแป๊บเดียวด้วยนี่”

ถึงจะแค่แป๊บเดียว แต่ทำร้ายร่างกายก็คือทำร้ายร่างกาย...

ซุงฮุนมีประสบการณ์ถูกวูจินแตะหน้าเบาๆมาแล้ว เขาตัวสั่น สีหน้ามืดครึ้ม

“เฮ้อ รู้งี้ฆ่าทิ้งซะก็ดี”

เพราะกล้องจับภาพอยู่วูจินเลยรั้งมือไว้บ้าง...

เขานึกว่าแสดงออกชัดเจนแล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

ท่าทางหัวหน้ากิลด์ฮวารางจะไม่เลิกวุ่นวายกับเขา

เพื่อจบความสัมพันธ์แค้น ต้องมีใครตายไปข้าง และวูจินเป็นฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อเสมอ

“เฮ้ย ซุงกู ขับรถให้หน่อย”

“ลูกพี่ ถ้าจะไปสถานีตำรวจไปตอนเช้าก็ได้ครับ”

วูจินเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงกังวลของซุงกู

“ฉันจะไปสถานีตำรวจทำไม?”

“ละ...แล้วจะไปไหนครับ?”

“กิลด์ฮวาราง”

“...”

ทุกคนทำหน้ากังวลใจ วูจินยิ้มเมื่อเห็นดังนั้น

“ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง พวกนายจะกังวลทำไมขนาดนั้น?”

ไม่ให้กังวลได้อย่างไรเล่า?

จุงมินชานพยายามทำให้วูจินสงบลง ถ้าเรื่องบานปลายไปกว่านี้ต้องไม่ดีแน่

“ให้ผมจัดการเรื่องนี้เถอะ”

วูจินเป็นประธานกิลด์ ถ้าใครเรียกแล้วต้องไปตามทุกครั้งคงตลก กิลด์ฮวารางก็คงไม่ต้องการให้ประธานกิลด์ตัวเองเที่ยวตั้งข้อหาคนอื่นว่าทำร้ายร่างกาย พวกนั้นอาจจะเล่นทางอื่น

“น่ารำคาญออก”

“ถึงมันจะน่ารำคาญ ก็ผมเป็นคนจัดการเรื่องน่ารำคาญเอง แค่นี้ก็ได้แล้วนี่”

หืม? ก็จริงแฮะ... วูจินสร้างกิลด์ขึ้นมาก็เพื่อให้คนพวกนี้จัดการกับเรื่องแบบนี้...

จุงมินชานพยักหน้า มองวูจินที่มีท่าทางเย็นลง

“งั้นนายก็จัดการแล้วกัน”

ว่าแล้ว ขอแค่วูจินไม่ใช่คนต้องจัดการเรื่องยุ่งยากเองที่เหลือก็ยังไงก็ได้ บางทีที่เขารายงานเรื่องนี้นั่นล่ะที่กลายเป็นการหาเรื่องปวดหัวใส่ตัวอย่างไม่จำเป็นเลย

“งั้นฉันจะได้ไปอเมริกาเมื่อไหร่?”

“งานประชุมจัด 1 เดือนจากนี้ คุณควรจะไปช่วงนั้น”

“อืม เหลืออีกเดือน”

แม้จะอยากเจอสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่วูจินไม่ได้รีบอะไร...อีกอย่างเขายังต้องฝึกซุงกู

“มีเรื่องที่ฉันต้องจัดการเลยไหม?”

“มี ผมขออนุญาตรับคนเพิ่ม”

เพื่อจัดการปัญหาของประธานกิลด์ฮวาราง เขาต้องจ้างทนายสักคน แล้วยังมีหน่วยสนับสนุนที่ต้องขยายกำลังคนเพิ่ม

“งั้นไหนๆก็จ้างเราส์เข้ามาด้วย”

“อืม ถ้าไม่รีบนัก ไว้หน่วยสนับสนุนมีคนพอแล้วค่อยหาเราส์เพิ่มดีกว่าไหม? ต่อให้มีเราส์เข้ามาตอนนี้ก็ไม่มีคนมาดูแลพวกเขาอยู่ดี”

“แล้วแต่นายแล้วกัน”

“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ท่านประธานไปพักบ้างเถอะ”

วูจินยิ้ม

ไม่ให้เขาเป็นห่วงก็ดี แต่เรื่องพักเขาคงไม่มีเวลา ถ้าเป็นที่อัลเฟนเขาคงคิดแต่เอาตัวรอด แต่ที่นี่เขาไม่อยากเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นศัตรูของเขา

“ฉันจะกลับบ้าน เจอกันพรุ่งนี้”

“กลับดีๆนะครับ”

วูจินรับคำล่ำลาจากทุกคนแล้วมุ่งหน้ากลับบ้าน

บ้านอยู่ไม่ห่างจากสถานีซาดางนัก วูจินจึงเดินกลับ เขาเคยมาครั้งหนึ่งแล้วตอนทำสัญญาดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องหลงทาง

วูจินหยุดเดินเมื่อใกล้ถึงบ้าน

“เอ๊ะ รหัสเข้าบ้านนี่อะไรนะ...? แม่คงยังหลับอยู่”

วูจินหยิบมือถือขึ้นมาแต่แล้วก็ใส่กลับกระเป๋า ตอนนี้เป็นตีสาม เขากรำศึกมาจนแกร่งกล้าไม่ต้องห่วงเรื่องนอน ต่อให้ไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืนก็ไม่ตาย วูจินไม่เห็นความจำเป็นต้องโทรปลุกแม่ให้วุ่นวายแต่เช้ามืด

“งั้นเดี๋ยวค่อยมาใหม่แล้วกัน”

วูจินเปลี่ยนทิศทางไปยังเขตดาวน์ทาวน์

ไม่เหมือนวูจิน ซุงกูเหนื่อยแทบตาย ดังนั้นเขาจึงปิดโทรศัพท์ จุงมินชานกับคิมเฮมินก็งานยุ่ง เจมินยังเป็นนักเรียน กับจีวอนวูจินก็รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะโทรหา...

ตีสาม จะว่าดึกก็ไม่ใช่จะเช้าก็ไม่เชิง คนที่เดินกับวูจินไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวูซุงฮุน

“ท่านประธานจะให้ผมพาไปไหนดีครับ? แค่บอกมาผมจะจัดการให้”

ไปไหนดีล่ะ? วูจินมองข้ามถนนแล้วพยักหน้าไปทางป้ายแห่งหนึ่ง

“ไปนั่นแล้วกัน”

“ครับ?”

มันเป็นตึกห้าชั้น ป้ายแต่ละชั้นบอกว่าเป็นโรงเรียนสอนพิเศษ สำรวจดูแล้วที่ๆวูจินน่าจะไปก็มีแต่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่ชั้นสอง

“พีซีบังหรือเปล่าครับ?”

“ใช่ ไปเล่นคาออสกันสักหน่อย”

เขาไม่ได้เล่นเกมมา 20 ปี จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเป็นอย่างไร แต่เขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้คิดถึงความหลัง
ความทรงจำสมัยเป็นเด็กม.ปลายปี 3 ความทรงจำพวกนั้นแทบทำให้เขารู้สึกว่าวิญญาณสกปรกของตัวเองได้รับการชำระล้าง

แม้จะไม่อาจกลับไปยังสมัยที่ยังไร้เดียงสาก่อนมาเจอกับนรกในโลกอัลเฟน แต่ว่า...

วูจินกับซุงฮุนมุ่งหน้าไปยังอินเตอร์เน็ตคาเฟ่

วูจินมองรอบๆอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ด้วยความรู้สึกตื้นตัน ซุงฮุนมองวูจินแล้วพยักหน้าเมื่อเห็นวูจินมีงานอดิเรกจืดชืดเช่นนี้ ถ้าเขาพาวูจินไปที่ห้องพิเศษคงถูกด่า

“นั่งตรงนี้เถอะครับท่านประธาน”

“เดี๋ยวนี้มันต้องจ่ายเท่าไหร่แล้ว?”

วูจินขยับเม้าส์ไปมาไม่นานก็ชิน จากนั้นก็เริ่มเล่น ซุงฮุนที่มองอยู่ข้างๆพูดขึ้น

“ท่านประธาน คาออสมันเก่าแล้วเราไม่เล่นกันแล้ว ถ้าจะหาคนแข่งด้วยคงยาก”

“เหรอ? เดี๋ยวนี้เค้าเล่นเกมอะไรกันล่ะ?”

อืม ผ่านไป 5 ปีแล้ว เกมที่เป็นที่นิยมในเกาหลีก็เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

“ถ้าที่เหมือนคาออส ก็ LoL”

“เหรอ?”

วูจินสร้างแอคเคาท์และเข้าเกมโดยมีซุงฮุนคอยช่วย

“ท่านประธาน ตัวนี้กับตัวนี้อย่าใช้นะครับ...”

“อ้อ โอเค”

“เลื่อนลงไปข้างล่างแล้วเล่นกับบอทสักรอบได้นะครับ เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟัง”

วูจินตั้งค่าตามที่ซุงฮุนบอก จากนั้นก็เริ่มเกม

“ท่านประธาน ยิงไปเรื่อยๆเลยครับ”

วูจินใช้ตัวละครสายยิงไกลที่ยิงธนู ซุงฮุนใช้ตัวละครสนับสนุนมีแขนกล มินเนี่ยนเมื่อเห็นศัตรูก็บุกเข้ามาเป็นเลนเดียว

“เหมือนคาออสเลยแฮะ”

“ครับ ท่านประธานเคยเล่นเกมแบบนี้มาแล้วเลยเล่นใช้ได้เลย”

วูจินฟังซุงฮุนชมอย่างอารมณ์ดี เขาไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว AI ไม่ค่อยเก่งนักดังนั้นเขาจึงชนะง่ายๆ
วูจินยิ้ม ไม่ได้เล่นเกมมานานแล้ว

“สนุกดีแฮะ”

“งั้นต่อไปก็ไปเข้าคิวเล่นกับคนอื่นๆเถอะครับ”

“ได้”

“เดี๋ยวผมเอาตัวเวลต่ำมาเล่นด้วย”

ซุงฮุนพาตัวละครเลเวล 5 มาเข้าคิวกับวูจิน คนเก่งกว่า AI มาก วูจินตายเอาๆเพราะยังไม่คุ้นกับเกม

“อ๊ะ พลาดอีกแล้ว...”

“ฮะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านทำได้ดีทีเดียว...”

ซุงฮุนพยายามเอาใจวูจินอย่างหนัก หัวใจเขาเต้นตุ๋มต๋อมเมื่ออ่านในช่องสนทนาที่ขึ้นมาพรวดๆ

[โอ๊ย ไอ้บ้า อย่าทำแบบนี้ดิ]

[ต้องติดบัพก่อนถึงจะตีเหรอ? กระจอกไปป่าว?]

[แม่ป่วยเหรอ?]

[ตีเบ๊ไปทำยาให้แม่ดิ]

“หืม นี่ด่าหรือห่วงฉันเนี่ย?”

“อะ ฮะๆ เด็กๆก็มีทั้งนิสัยดีนิสัยเสียนะครับ...”

“หึ แต่เด็กพวกนี้ก็เป็นลูกกตัญญูดีนี่”

เด็กๆเหรอ... เขาเป็นเราส์แรงค์สูง ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยบารมี ทำให้บางครั้งซุงฮุนก็ลืมไปว่าวูจินเพิ่งอายุ 24 อ่อนกว่าเขามาก

เพราะเป็นเราส์แรงค์สูงหรือ? ซุงฮุนหันไปมองวูจิน เขาไม่สามารถมองวูจินว่าเป็นคนอายุน้อยกว่าได้เลย

“ฮะๆ อย่าไปสนเลยครับ...”

“ไม่ล่ะ เด็กพวกนี้อุตส่าห์เป็นห่วง”

[ขอบใจ แล้วแม่นายแข็งแรงดีหรือเปล่า?]

ซุงฮุนตกใจเมื่อเห็นว่าวูจินพิมพ์อะไรลงไป ช่องสนทนาเริ่มมีคำด่าหลั่งไหลเข้ามา

[วะไอ้ห่าโทรล กล้าด่าแม่กูเหรอ?]

[เฮ้ย xxxx]

“อะไรวะเนี่ย?”

วูจินตะลึง ซุงฮุนปิดช่องสนทนาก่อนที่เขาจะโกรธ

“ฮะๆ ปกติตอนเริ่มเกมต้องปิดแชทบ๊อกก่อนนะครับ”

“ฮืม เมื่อก่อนมันแย่แบบนี้หรือเปล่า?”

5 ปีก่อน หรือ 20 ปีก่อนในความทรงจำของวูจิน เวลานั้นในอินเตอร์เน็ตก็ใช้คำไม่สุภาพกันแล้ว แต่เขาว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนี้

เมื่อปิดช่องสนทนาก็กลายเป็นการคุยส่วนตัวกับซุงฮุน แมทช์ทีละแมทช์ผ่านไปภายใต้คำสอนของซุงฮุน

“ฮะๆ ท่านประธานจะเอาบะหมี่สักถ้วยไหมครับ?”

“อ้อ เอาสิ”

บะหมี่ถ้วยในร้านเน็ตเป็นของอร่อยที่ขาดไม่ได้ วูจินคิดเพลินแต่แล้วก็นึกขึ้นได้

“กี่โมงแล้ว”

“เอ๋? 11 โมงแล้วครับ”

“เวร”

วูจินตั้งใจจะกลับบ้านตอน 7 โมงเช้า แต่เล่นเพลินจนลืมเวลา

“ฉันกลับบ้านล่ะ”

“ครับ”

“สนุกดี ต่อไปก็ตั้งใจเข้านะ”

“...”

วูจินตบบ่าซุงฮุน จากนั้นหายตัวไปเหมือนเด็กประถมที่เล่นเกมจนตังค์หมด

ซุงฮุนแกะบะหมี่ถ้วยค้าง สีหน้าของเขาแสดงความพลุ่งพล่านใจ

“เขา...บอกว่าสนุก”

ยอดเยี่ยม ท่านประธานยอมรับเขาแล้ว

เขาพบหนทางแล้ว เขาได้รับการยอมรับและพบวิธีไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ

“ผมจะทำให้ท่านประธานสนุกกว่านี้อีก”

ซุงฮุนเทน้ำร้อนลงในบะหมี่ถ้วย

***

ติ๊ง-ต่อง

[ใครคะ]

“แม่ ผมเอง”

ประตูเปิดออกทันทีที่วูจินตอบ แม่เขาโผล่ออกมา นางกอดวูจินแล้วมองเขาทั่ว

“ไอ้หยา ลูกไม่รักดี ทำไมถึงมีเรื่องออกทีวีบ่อยนัก ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?”

“ฮะๆๆ พวกนักข่าวก็เว่อร์ไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกแม่”

“ยกเลิกละครแล้วออกข่าวแทนนี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้ยังไง?”

“โซอาล่ะ”

“ไปโรงเรียน นี่ กรรมการจุงบอกว่าลูกจะมาตอนเช้า แล้วทำไมถึงช้านัก แม่รอจนเกือบเช้าแต่หลับไปก่อน...”

อ้าว แม่รอเขาทั้งคืนเลยเหรอ? มิน่าถึงดูเหนื่อยๆ

วูจินเกาหัวอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจแต่ดูเหมือนจะละเลยแม่เกินไปช่วงที่เขาเข้าดันเจี้ยน

“ฮะๆ ผมก็กะจะกลับมาตอนเช้าแหละ แต่ไปเล่นเกมในร้านเลยช้า”

“...”

แม่ของวูจินฟังคำแก้ตัวเขินๆของเขาแล้วหน้าตึง

แม่เขาเริ่มเปลี่ยนไปห่วงเขาอีกแบบ นางเป็นห่วง แต่ว่า...

“ไอ้หยา เด็กไม่รักดี เล่นเกมมาตั้ง 5 ปีแล้วยังคิดจะเล่นอีก”

อ่า... เกมที่เขาเล่น 5 ปีนั่นเป็นเกมที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต นี่ไม่เหมือนกัน... มันเล่นแล้วนึกถึงความหลัง...

ในที่สุดวูจินก็ทำให้แม่หายโกรธ จากนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังแรกที่ซื้อมา ตอนเซ็นสัญญาเขาเคยเห็นบ้านหลังนี้แล้ว แต่พอมีเฟอร์นิเจอร์เข้ามาก็ดูเปลี่ยนไปเยอะ เขารู้สึกต่างไปจากเดิมเมื่อเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยที่รู้ว่ามันเป็นบ้านของตัวเอง

“ได้ยินว่าแม่วุ่นหาของตกแต่ง ว่าแล้วว่าแม่ต้องตาถึง”

“ฮุๆ ลองเข้าไปในห้องลูกสิ”

แม่ของเขาทำเหมือนให้เขาดูของเล่นที่นางซ่อนไว้ สีหน้านางเต็มไปด้วยความคาดหวัง

อา ดูท่าจะเตรียมอะไรไว้สินะ

วูจินเปิดประตูห้องตัวเอง

“หืม?”

ในห้องไม่มีอะไรมาก วอลเปเปอร์เก่าๆกับโต๊ะเก่า ชั้นหนังสือกับเตียงอีกหนึ่งหลัง

บรรยากาศในห้องนี้แตกต่างจากส่วนอื่นของบ้านจนวูจินเอียงคองง เขาลูบโต๊ะ

เขามองรอบห้อง มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

“แม่ นี่...”

“ลูกเคยบอกว่าลูกคิดถึงห้องเดิมของตัวเอง...”

เขาหลุดปากพูดไปตอนกินข้าว แต่แม่เขาจำมันไว้ วูจินซึ้งใจ

“โต๊ะนี้ไม่ใช่ตัวเดิมที่ลูกเคยใช้หรอก แต่แม่ตั้งใจหาที่เหมือนที่สุดมานะ”

เขาจำได้ โต๊ะที่พ่อเคยซื้อให้ตอนเขาเข้าม.ปลาย เขาใช้มันอ่านหนังสือ...

“ลูกแม่เสี่ยงอันตรายหาเงินมา แต่แม่ทำอะไรให้ลูกไม่ได้เลย...”

ใช่แล้วล่ะ เพื่อครอบครัวของเขา

เขาอดทนต่อทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ แม้ต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดเขาก็ยังอยากกลับโลก เขาคิดถึงโลก เพราะครอบครัวเขาอยู่ที่นี่

วูจินกอดแม่แน่น

***

วูจินนอนพักในห้อง บิบิคอยดูแลเขาอยู่ข้างเตียงพร้อมทั้งสร้างฝันร้ายให้

“เอ๊ะ? รองเท้าพี่นี่นา แม่จ๋า! พี่อยู่เหรอ?”

เสียงดังของโซอาปลุกวูจิน

“แม่จ๋า! พี่พาหมามาด้วยหรือเปล่า?”

ได้ยินเสียงโซอาจากห้องนั่งเล่น วูจินก็เพิ่งนึกได้ เขามองไปข้างๆเห็นแมวบิบิกำลังหาว

“เฮ้ บิบิ”

“เมี้ยว?”

“อย่าให้ใครรู้นะว่าเธอไม่ใช่แมวจริงๆ”

“เมี้ยว? อะไรเหรอ -เมี้ยว?”

วูจินอุ้มบิบิแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

“เฮ้ โซอา พี่เอาแมวมาให้”

บิบิกับโซอาสบตากัน โซอาที่ตกใจเห็นบิบิแล้วก็ร้องไห้จ้า

“แง หนูอยากได้หมาไม่ใช่แมวสักหน่อย”

วูจินทำตัวไม่ถูก บิบิสังหรณ์ใจไม่ดี ทั้งคู่ต่างผงะไป





สารบัญ                                          รอใส่บทที่ 59


เห็นว่าบิบิจริงๆแล้วชื่ออ่านว่า วีวี่ แต่คนแปลอ่านบิบิจนชินแล้วอ่ะ ปล่อยไว้แบบนี้แล้วกัน

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 57

บทที่ 57 – กรรมการผู้จัดการ ฮงซุงกู (2)


“พอแล้ว มาตรงนี้”

“แฮ่กๆ ขอบคุณที่สั่งสอนครับ”

เหนื่อยทั้งใจทั้งกาย แต่ซุงกูก็คำนับวูจินก่อน วูจินยิ้ม เพราะแบบนี้เขาถึงได้ชอบเจ้าหมอนี่

ซุงกูมีบาดแผลเลือดไหลทั่วร่าง

วูจินส่งวิญญาณส่วนหนึ่งจากเกราะผีไปให้รักษาแผลให้

“เฮ้อ ขอบคุณครับ”

บาดแผลถูกรักษาหาย สีหน้าของซุงกูเริ่มดีขึ้นเมื่อพลังกายฟื้นคืนมา

วูจินหยิบตำราทักษะออกมาสองเล่ม

“เรียนนี่ก่อน”

“ครับ?”

ซุงกูรับหนังสือมาแล้วเบิกตาโตเมื่อรู้สึกถึงพลังเวทย์ที่ส่งออกมาจากหนังสือเงียบๆ

“ลูกพี่ นี่ตำราทักษะใช่ไหมครับ?”

“ใช่ เร่งความเร็วกับกายเหล็ก”

เร่งความเร็วคือเพิ่มความเร็วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซุงกูได้เกราะที่มีทักษะนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีอีกที่วูจินเจอตำรานี้ในดันเจี้ยนนาค ส่วนกายเหล็กเขาเจอในวิหารเผ่ายักษ์

“ขอบคุณครับลูกพี่”

เหมือนความฝันจะเป็นนักเวทย์ไฟของเขาค่อยๆห่างไกลออกไปเมื่อเขาได้เรียนทักษะหลายอย่าง...

“ขอโทษนะครับลูกพี่ แต่ผมตั้งใจฝึกทักษะแค่หนึ่งหรือสองอย่างจะไม่ดีกว่าหรือครับ?”

เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด เราส์มีพลังเพียงจำกัด ต่อให้มีทักษะมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ทุกอย่างได้ดี

“ไม่เป็นไรน่า ถ้านายยังอยากมีชีวิตต่อก็ต้องเรียนพวกนี้อยู่ดี...”

“....”

“รีบๆเรียนเข้า ขายบลัดสโตนเสร็จแล้วเราจะลงดันกันอีกรอบ”

“ครับผม”

ซุงกูส่งเวทย์เข้าไปในตำราทักษะ ตำรากลายเป็นแสงหายเข้าไปในตัวซุงกู ความรู้และการใช้ทักษะเข้ามาในหัวเขา ร่างซุงกูสั่น

“ฮ้า”

“ลองใช้สิ”

ซุงกูขยับตัวทันที การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน เวทย์ที่ใช้ก็น้อยกว่าตอนใช้อาร์ติแฟคมากทำให้ซุงกูประหลาดใจ

“เรียนนี่ด้วย”

“ครับผม”

ซุงกูเรียนทักษะกายเหล็กแล้ววูจินก็ถามขึ้น

“เป็นไง?”

“เป็นไงอะไรครับ?”

“ยื่นมือมา”

ซุงกูยื่นมือให้ วูจินเรียกหอกกระดูกออกมา ซุงกูตาโต

“ละ...ลูกพี่จะตีผมเหรอ?”

“ใช้สกิลไว้ล่ะ”

ซุงกูใช้ทักษะกายเหล็ก ร่างของเขาเหมือนจะแข็งทื่อ เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันว่าลอยกลางอากาศ เขาควบคุมร่างกายยากกว่าเดิม มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อประสาทสัมผัสทื่อลง

แก๊ง

วูจินเหวี่ยงหอกลงมา เมื่อถูกแขนซุงกูหอกก็กระเด้งออก วูจินยิ้มอย่างพอใจ

‘อย่างน้อยก็ชัวร์ขึ้นว่าเจ้านี่จะไม่ตายง่ายๆ’

วูจินปล่อยทหารโครงกระดูกรอบๆให้ทลายลงจากนั้นพูดกับซุงกู

“ออกกันเถอะแล้วเข้าใหม่ คราวนี้นายเป็นคนจัดการก็อบลินให้หมด”

“อะไรนะครับ?”

“ไม่เป็นไรน่า อย่างอแงเป็นเด็ก...”

แค่หนึ่งเดือน ไม่สิ ถ้านับเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเขาอยู่ในดันเจี้ยนก็นานกว่านั้น แต่เพิ่งจะหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซุงกูเจอกับวูจิน

เขาเคยเป็นเราส์แรงค์ F ที่เกือบตายเพราะสายฟ้าจากฮอบก็อบลิน ตอนนี้เขาแกร่งพอที่จะสู้กับมอนสเตอร์ระดับนั้นด้วยตัวเอง

“ภายในหนึ่งเดือน นายจะเป็นแรงค์ A”

ซุงกูไม่คิดว่าวูจินพูดเล่น ทันใดเขารู้สึกมีอารมณ์บางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา กิลด์ใหญ่เหรอ? เขาไม่ต้องการแล้ว ที่ๆเขาจะฝังสังขารไว้คือกิลด์ของคังวูจิน

“ครับลูกพี่”

วูจินและซุงกูเคลียร์ดันเจี้ยนต่อ 2 วัน

***

ทั้งสองกำลังนั่งรถของซุงกูกลับโซล

ใต้ตาซุงกูเป็นสีดำคล้ำ ผมกระเซิงเหมือนรังนก สองวัน...ไม่ใช่ เขาไม่ได้นอนมา 8 วันแล้ว ความเหนื่อยล้าสะสมแต่ตาเขาเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

เขาได้เรียนทักษะหลายอย่างจากตำราทักษะที่วูจินให้ และคิมเฮมินที่อยู่จัดการงานต่างๆในเดกูได้รับคำสั่งให้หาตำราทักษะส่งกลับไปที่โซลเพื่อให้ซุงกูเรียน ตำราเหล่านั้นซื้อมาเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อซุงกูไปถึงโซลพวกมันจะอยู่ที่นั่น

เพราะคิมเฮมินไม่กลับมาด้วยซุงกูจึงต้องขับรถเอง

เขาไม่รู้สึกหิวแม้ยังไม่ได้ทานอะไร แต่เรื่องง่วงนี่ไม่ไหว โลกไม่เหมือนดันเจี้ยนที่เขาต้องสู้เสี่ยงตาย เมื่อความเครียดหายไปความง่วงที่เขาอดกลั้นไว้ก็เกิดขึ้น

“ฮืม”

วูจินกำลังนอนหลับตาตรงที่นั่งข้างคนขับ

จะว่าเขาก็ไม่ได้

วูจินไม่มีใบขับขี่ดังนั้นถึงอยากก็ขับรถไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของซุงกู...

[อีก 5 กิโลเมตรข้างหน้าถึงจุดพักรถเซเว่นวัลลี่]

ซุงกูกะจะหาอะไรแก้ง่วงที่ที่จุดพักรถ เขาฝืนลืมตาขับรถต่อไป เมื่อเลี้ยวเข้าจุดพัก วูจินลืมตาขึ้นทันที

“ลูกพี่ไม่ได้หลับเหรอครับ?”

“ฉันแค่พักสายตา”

ซุงกูนึกว่าวูจินหลับอยู่เสียอีก... เขาคงคิดผิด?

“นายง่วงเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ ผมจะไปซื้อกาแฟ”

“อืม ไปด้วยกันเถอะ หาอะไรกินด้วย”

มันเป็นกลางดึก ลมเย็นพัดผ่านจุดพักรถ

ร้านข้างนอกปิดไปแล้ว แต่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารยังเปิดอยู่ วูจินกับซุงกูสั่งอุด้งกับราเม็ง จากนั้นก็รอ

ซุงกูสัปหงกเป็นพักๆ วูจินจึงแบ่งวิญญาณออกจากเกราะผีไปให้เพื่อฟื้นพลัง มันสลายความเหนื่อยล้าของซุงกูไปทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะสกัดวิญญาณนี้ ซุงกูคงไม่เอาตัวรอดในดันเจี้ยนมาได้ถึง 8 วัน

“ขอบคุณครับลูกพี่”

ถึงความเหนื่อยล้าทางกายจะหายไป แต่อารมณ์อ่อนล้ายังอยู่ วูจินกินอุด้งคำโต กลืนก่อนแล้วพูด

“ตัวนายหายเหนื่อย ไม่ต้องนอนแล้ว แต่ใจนายยังอยากพักอยู่ จะใช้สะกดจิตหรือก็แล้วแต่ นายต้องหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ถ้าเกิดสงครามยืดเยื้อ ไม่ได้นอน 10 วันถือเป็นเรื่องปกติ”

“ครับลูกพี่”

มีเหตุผลที่เขาต้องตื่นในดันเจี้ยนเกิน 10 วันด้วยเหรอ?

ถ้าเกิดดันเจี้ยนเบรก ปกติใช้เวลาวันเดียวก็ควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยการใช้อาวุธทรงพลังเหนือกว่าพวกมอนสเตอร์มาก

วูจินดื่มน้ำซุปอุด้ง และเมื่อเห็นโทรทัศน์บนผนังก็หัวเราะก๊าก

“เธอเหมือนคนรู้จักฉันจริงๆ”

“คนไหนครับ?”

ซุงกูหันไปดูโทรทัศน์แล้วอ้าปากค้าง

“โอ๊ยโย๋ สวยชะมัด เอลฟ์ชัดๆ”

“เธอไม่ใช่เอลฟ์”

“เค้าไม่สวยเหรอครับ?”

“ไม่ใช่เอลฟ์ทุกตัวที่สวยนี่”

“...”

ที่เกาหลี บางครั้งผู้หญิงสวยๆจะถูกเรียกว่าเอลฟ์ ซุงกูกำลังจะเถียงกลับแต่หยุดเสียก่อน เขาดูสีหน้าวูจิน ดูเหมือนวูจินจะไม่รู้ความหมายของเอลฟ์

หรือบางทีเขาอาจจะรู้เรื่องเอลฟ์มามากก็ได้

ขณะซุงกูเงียบ วูจินก็คีบตะเกียบง่วน เขากินอุด้งจนหมดตามด้วยดื่มน้ำ

“รีบกินสิ คนอื่นรอเราอยู่นะ”

“ครับผม”

อา ซุงกูมีตำแหน่งทั้งเราส์ทั้งกรรมการ... แต่ต้องมาขับรถเองไม่มีหน่วยสนับสนุนมาช่วยเลย หน่วยสนับสนุนมีแค่ 3 คน ถือว่าขาดคนอย่างมาก

ถึงจะมีเราส์ให้สนับสนุนแค่ 2 คนแต่ก็ยังต้องใช้พนักงานหลายคนอยู่ดี และกิลด์อลันดาลก็มีเงินพอจ้างพนักงานตำแหน่งนี้

“ลูกพี่ พอกลับไปแล้วจ้างคนเพิ่มนะครับ”

“กินเถอะน่า”

“ครับ”

ถึงซุงกูไม่พูดวูจินก็คิดเรื่องนี้อยู่ เรื่องพนักงานในหน่วยสนับสนุนเขายกเป็นหน้าที่ของมินชาน แต่วูจินคิดจะรวบรวมเราส์ที่มีคุณสมบัติพอจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมรบของเขา

‘ฉันจะเลือกคนที่มีแววมาสอนสักสองสามคน’

แล้วคนเหล่านั้นก็จะสอนเราส์รุ่นต่อๆไปอีกที ซุงกูอาจเป็นคนเดียวที่วูจินสอนตรงๆ ที่เหลือก็ให้ซุงกูดูแลต่อ

วูจินยิ้มพลางมองซุงกูรีบกินราเม็ง

“กินช้าๆก็ได้”

“แฮะๆ ครับ”

เจ้าโง่

เขากลายเป็นคนใจดีขนาดนี้ไปแล้วหรือนี่? เมื่อมาสอนซุงกู วูจินแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นซุงกูต่อสู้ได้ดี เขามีเซนส์ด้านการต่อสู้ดีทีเดียว

วูจินหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ ผู้หญิงที่เขาเห็นก่อนหน้านั้นกำลังใช้เวทย์ เธอทำให้คนเดินไม่ได้ลุกขึ้นยืน เธอทำให้ชายแขนขาดมีแขนงอกขึ้นมาใหม่...

“หือ?”

ผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าตาจะเหมือนผู้หญิงในความทรงจำของวูจินมากแล้วยังมีพลังเหมือนกันอีก วูจินหยุดพึมพำกับตัวเองแล้วอุทานเมื่ออ่านคำบรรยายข้างใต้ภาพ

“หา?เมโลดี้?”

อะไร? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?

หรือไปเจอกับแอดมินแห่งห้วงมิติเหมือนเขา?

ถ้าเธอยอมแพ้ทราห์เน็ตเหมือนเผ่าออร์คกับไซคลอป อย่างนั้นเธออาจมาที่โลกนี้เพื่อ... สำหรับเขา เธอก็ไม่ต่างจากมอนสเตอร์

หลายๆคำถามผุดขึ้นในหัววูจิน ซึ่งเขาสรุปได้อย่างเดียว

“ก็ต้องไปถามกับเจ้าตัวสินะ?”

เขาคงต้องไปอเมริกา

***

“เก่งมาก”

“เฮ้อ ขอบคุณครับ”

ซุงกูจอดรถที่ตึกสำนักงาน วูจินส่งวิญญาณเพิ่มพลังให้อีกดวง ตอนนี้เป็นตีสอง แต่สมาชิกกิลด์ทุกคนกำลังรอพวกเขาอยู่

“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”

จุงมินชานทักวูจิน และดูเหมือนมีบางอย่างจะบอก แต่วูจินบอกเขาก่อน

“หาเครื่องบินไปอเมริกาให้ที...”

“เอ๊ะ ท่านรู้ได้ยังไง?”

“เอ๊ะ?”

พูดอะไรเนี่ย?

มินชานมองสีหน้างงๆของวูจินแล้วถาม

“ไม่ใช่กำลังพูดเรื่องการเชิญจากสหพันธ์อยู่หรอกเหรอ?”

“อะไร? ขอรายละเอียดหน่อยสิ”

“ก่อนหน้านี้ไม่นานกิลด์ไททันช่วยเหลือคนๆหนึ่งออกมาจากดันเจี้ยน เธอเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ หลังจากท่านประธานเข้าดันเจี้ยนไปไม่นานก็มีวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องของเธอ กลายเป็นข่าวใหญ่เลย กิลด์ไททันเป็นคนเปิดเผยข้อมูลพวกนี้”

เรื่องนี้วูจินรู้ เขาเพิ่งเห็นในโทรทัศน์มาไม่นาน

“กิลด์ไททันเสนอให้กิลด์ทุกกิลด์ไปรวมกันที่สหพันธ์เพื่อคุยเรื่องนี้ ผมกำลังจะถามท่านพอดีว่าจะรับคำเชิญหรือเปล่า แต่ท่าทางท่านวางแผนจะไปอยู่แล้ว?”

“อืม ซื้อตั๋วให้ฉันสักใบ ฉันต้องไปเจอเมโลดี้”

ฟังคำตอบแล้วมินชานก็ห่วงว่าวูจินจะไปทำเรื่องอะไรอีก แต่เขาจะทำอะไรได้นอกจากภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่อง

“แล้วมีอะไรแปลกไปจากปกติไหม? ได้ของที่ฉันสั่งครบหรือเปล่า?”

“ครบ อืม มีอีกสองสามเรื่องที่ผมต้องบอก”

จะเช้ามืดแล้วแต่จุงมินชานยังไม่เลิกงานเพราะเขามีเรื่องต้องบอกวูจินทันทีที่มาถึงโซล

“เรื่องอะไร?”

“คุณแม่ท่านรู้แล้วนะ ผมพยายามปิดแล้วแต่มันเป็นเรื่องใหญ่...”

“รู้เรื่องอะไร?”

“เรื่องท่านประธานเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวได้สำเร็จ”

“อ๊าก แล้วเค้าว่าไง?”

“ท่านเป็นห่วงมาก ท่านประธานควรกลับบ้านแทนที่จะไปบ้านของนักเรียนเจมินนะ อ้อ เราย้ายบ้านเสร็จแล้วเมื่อวาน”

นี่เป็นข่าวดีที่สุดของเขาช่วงนี้ เขาไม่ต้องนอนร่วมกับครอบครัวในห้องแคบๆ จะไม่มีใครเห็นเขาถูกวิญญาณร้ายรังควาน ถึงเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้อยู่กับเจมินผู้น่ารักแต่เขาจะได้อยู่กับครอบครัวเขาอีกครั้ง

“แล้วมีอะไรอีกไหม?”

“มี”

“อะไรอีกล่ะ?”

มินชานยื่นกระดาษ A4 ใบหนึ่งมาให้

“อะไรวะนี่ หมายเรียก?”

วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นคำว่าหมายเรียก จากนั้นมองมินชาน

“นี่อะไร?”

“เขาอยากให้ท่านประธานไปที่สถานีตำรวจ...”

“ทำไม?”

“ประธานกิลด์ฮวารางแจ้งตำรวจว่าถูกทำร้ายร่างกาย”

อ้อ ไอ้ขี้ขลาดนั่น

วูจินขมวดคิ้ว






สารบัญ                                       บทที่ 58


วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 56

บทที่ 56 – กรรมการผู้จัดการ – ฮงซุงกู


แท่นบูชาสำหรับเทพีอาเรียสร้างเสร็จสิ้น

เทคนิคการแกะสลักของที่โลกถือว่ายอดเยี่ยม งานที่แกะตามคำอธิบายของเมโลดี้จึงเสร็จสมบูรณ์ในหนึ่งวัน

ทุกวันเมโลดี้จะอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นหินอ่อนของเทพี

ฮามิลตันเข้ามาเงียบๆ

ฮามิลตันไม่ต้องใช้เก้าอี้รถเข็นอีกแล้ว ถ้าอยากจะไปที่ไหน ขาสองข้างสามารถพาเธอไปได้

เธอเป็นจิตแพทย์ เชื่อในความตั้งใจของมนุษย์ แต่แล้วตอนนี้เธอเป็นผู้ศรัทธาแรงกล้าในองค์เทพี

“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์คะ หัวหน้ากิลด์ขอพบค่ะ”

[เข้าใจแล้ว]

เมื่อได้ยินเสียงนอบน้อมของฮามิลตัน เมโลดี้ตอบรับพร้อมลุกขึ้นจากท่าคุกเข่า เธอยังใช้เสียงของเทพีสื่อสารกับคนอื่น

หากใครไม่เชื่อในองค์เทพี คนนั้นจะไม่สามารถรับข้อความและรับพลังจากเมโลดี้

เมโลดี้มองฮามิลตันแล้วยิ้มอ่อนโยน

[ในอนาคตอันใกล้ พลังขององค์เทพีจะอวยพรเธอ]

“โอ้ ดีเหลือเกิน ขอบคุณมากค่ะ”

ฮามิลตันตัวสั่น เธอเดินตามหลังเมโลดี้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ ไม่มีอะไรที่สาวกแห่งอาเรียจะภาคภูมิใจยิ่งกว่าการได้มีพลังช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอีกแล้ว

มีคนจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือ เมื่อพระเจ้าตัวจริงปรากฏตัว คนจะมารวมกัน พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของ‘พลัง’

เมโลดี้มุ่งหน้าไปที่ห้องรับรอง

เมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอาเรียผู้มาจากโลกอัลเฟน ประหลาดใจในอารยธรรมและสิ่งของที่ชาวโลกครอบครอง เธอยังต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นเคยกับโลกนี้ และยังต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมพร้อม

กิลด์ไททันสนับสนุนเธออย่างดี ซึ่งเมโลดี้ก็ตอบแทนด้วยการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และพลังเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเพื่อพวกเขา

เมื่อเมโลดี้มาถึงห้องรับรอง หัวหน้ากิลด์ เดคอนและเลขานุการของเขาลุกขึ้นต้อนรับ

“กรุณาปฏิบัติต่อท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างเหมาะสมด้วยค่ะ”

“...”

เดคอนฟังคำของฮามิลตันแล้วเดินไปหาเมโลดี้จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลง เมโลดี้ยกมือให้เดคอนจูบที่หลังมือ เลขานุการผมทองทำแบบเดียวกัน เสร็จแล้วเมโลดี้ก็เพียงแต่ยิ้ม (TN- เง้อ ลืมไปเลยว่าเลขาเป็นสาวผมทอง)

[คุณหาฉันอยู่หรือ?]

เดคอนและเลขานุการได้ยินเสียงของเมโลดี้

ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของนิกายอาเรีย เมื่อได้เห็นปาฏิหาริย์ต่อหน้าก็ยากที่จะปฏิเสธการคงอยู่ของเทพีอาเรีย

เดคอนตอบ

“ครับ ผมต้องคุยกับคุณเรื่องกองทหารศักดิ์สิทธิ์”

[ไปคิดมาแล้วหรือ?]

เมโลดี้ถามด้วยท่าทางถือตัว แต่น้ำเสียงกลับตื่นเต้น แม้แต่ใบหน้าหยิ่งทะนงก็ปรากฏรอยยิ้ม

“ผมจะช่วยคุณจัดตั้งกองทหารรวมทั้งอนุญาตให้สมาชิกกิลด์เข้าร่วมตามความสมัครใจ...”

[เทพีต้องยินดีมากแน่]

ไม่แม้แต่ขอบคุณ เธอพูดเหมือนการทำเพื่อเทพีเป็นเรื่องปกติ

นั่นเป็นสิ่งที่เดคอนไม่ชอบ

เขายังไม่ได้เข้าลัทธิ แต่เธอพยายามเปลี่ยนเขาเป็นทาสรับใช้เทพีอาเรีย เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความคิดของเมโลดี้หรือเป็นความประสงค์ของเทพีของเธอ

ถ้าต้องยอมอ่อนข้อให้กับอะไร เขาก็ต้องการบางอย่างชดเชย

[อีก 3 วัน กองทัพของทราห์เน็ตจะบุกสถานีวิลเชอร์ฝั่งตะวันตก]

เดคอนฟังแล้วปรายตาไปทางเลขานุการของเขาทันที เลขานุการออกจากห้องแล้วติดต่อสาขาตะวันตก

“มีบางอย่างที่ผมสงสัย คุณเมโลดี้”

[...]

เธอยืนนิ่ง ฮามิลตันตำหนิเดคอน

“สำรวมกิริยาด้วยค่ะ คุณต้องปฏิบัติกับท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งองค์เทพี”

เดคอนถอนหายใจ

“ผมมีเรื่องอยากถามครับ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์”

[พูด]

“ท่านต้องการอะไรจากกองทหารศักดิ์สิทธิ์?”

[เพื่อปกป้องเหล่าคนที่ติดตามอาเรีย]

แต่กิลด์ไททันก็ทำอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ตำรวจก็ปกป้องประชาชนอยู่ไม่ใช่เหรอ?

“ผมหมายถึงจุดประสงค์ของท่านจริงๆ”

[ฉันโกหกไม่ได้]

เดคอนเปลี่ยนวิธี ถ้าเธอพูดได้แต่ความจริง สุดท้ายเธอก็ต้องตอบคำถามเขาจนได้

“หลังจากปกป้องนิกายแล้วท่านจะทำอย่างไรต่อครับ?”

[...]

“กิลด์ไททันจะหาทางสนับสนุนท่านได้ดีกว่าเดิมถ้าผมเข้าใจจุดประสงค์ของท่านครับ”

เมโลดี้นิ่ง ไม่นานเธอก็ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม

[ฉันจะปกป้องโลกนี้ จากนั้นจะกลับไปเอาบ้านเกิดของฉันกลับคืน ฉันจะก่อสงครามศักดิ์สิทธิ์]

“บ้านเกิดของท่าน?”

[อัลเฟน ฉันจะช่วยเหลือเด็กๆของอาเรียที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่น กองทหารศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่จะถูกส่งไปปกป้องอัลเฟน]

“ฮืม”

เดคอนคราง คิดใคร่ครวญ

ด้วยพลังหยั่งรู้อนาคตของสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำให้จำนวนดันเจี้ยนระดับสูงที่กิลด์ไททันครอบครองเพิ่มขึ้นมาก บลัดสโตนกับอาร์ติแฟคจากดันเจี้ยนพวกนี้เพิ่มอำนาจให้กิลด์ไททัน

สำหรับกิลด์ไททัน เมโลดี้ก็คือห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ สร้างกองทหารศักดิ์สิทธิ์ให้เธอไม่ใช่ภาระหนักอะไร

แต่ เดคอนกังวลถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับผลกำไรมหาศาล เหมือนช็อกโกแลตที่ทำให้ฟันผุ

[ดันเจี้ยนระดับสูงไม่ใช่ทางตัน มันเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง]

“ฮืม”

เขาได้ยินเธอพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

[การบุกยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ]

ถ้านี่ไม่ใช่การบุกแล้วอะไรล่ะ...

เดคอนคิดว่าเขาอาจต้องแบ่งช็อกโกแลตนี้ให้กิลด์อื่นๆ หรือกระทั่งทั้งโลก

***


วูจินนั่งตรงทุ่งราบที่เต็มไปด้วยโกเลมพังๆ ข้างๆเขา บิบิกับโดลเซกำลังเล่นกันอย่างสบายใจ
พลังและความเร็วของซุงกูเพิ่มขึ้นด้วยหินเพิ่มพลัง เขากำลังมีความสุขมาก

“ฮ่าๆๆ ลูกพี่ ผมว่าผมแข็งแรงขึ้นนะ ดูสิ”

ความเร็วในการแงะหินบลัดสโตนของซุงกูเร็วกว่าเดิม

วูจินมองซุงกูอย่างครุ่นคิด

บลัดสโตนกลายเป็นที่นิยม เราส์ทำงานเพื่อให้ดันเจี้ยนเบรกเกิดน้อยลง แต่ดันเจี้ยนเบรกกับค่อยๆเพิ่มขึ้น

ลูกน้องของทราห์เน็ต

สมมติว่าโลกยังมีมานาอยู่น้อย ทำให้พวกมันไม่สามารถก่อรูปขึ้นมาได้

แต่สักวันพวกมันต้องมาถึง

วูจินรู้สึกว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกไม่นาน

แม่ทัพ 72 นายของทราห์เน็ต

วูจินเรียกพวกนั้นว่าลูกน้อง แต่แม่ทัพคือผู้อัญเชิญที่บงการสัตว์ประหลาดจำนวนมาก พวกมันทั้งอันตรายและมีถึง 72 นาย

ถ้าโผล่มาที่โลกพร้อมกันหมด เขาจะป้องกันได้หรือเปล่า?

‘เป็นไปไม่ได้’

ที่อัลเฟน ไม่ได้มีแค่เขา แต่มีเผ่าอื่นๆด้วย เขายังเป็นพันธมิตรกับมนุษย์ด้วยซ้ำ

ขุมพลังทั้งหลายร่วมมือกันจู่โจมทราห์เน็ต แต่ทำได้เพียงถ่วงดุลอำนาจเอาไว้

ดินแดนของวูจิน อลันดาล เป็นเพียงส่วนเล็กๆของโลก

ถ้าไม่นับกองทัพผีดิบของเขา วูจินมีผู้ติดตามไม่กี่หมื่น เขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการคานอำนาจเท่านั้นเอง

ยิ่งตอนนี้เขามีผู้ติดตาม 4 คน มีเพียงฮงซุงกูที่เป็นเราส์

“เฮ้ย ซุงกู”

“ครับลูกพี่”

“หยุดแงะหินแล้วมาตรงนี้”

“ครับผม”

ซุงกูวิ่งมา เหงื่อซกแต่มีความสุขเพราะค่าความอึดกับความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น เขากำลังดีใจที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง

“ว่าไงครับ?”

หมอนี่ไร้เดียงสาและโอบอ้อมอารี เพราะอย่างนี้วูจินจึงชอบซุงกู

“ปกติกรรมการกิลด์อื่นที่เป็นเราส์ เขาเป็นเราส์แรงค์ไหนกัน?”

“แรงค์ B กันทั้งนั้นครับ”

“รองประธานกิลด์ล่ะ”

“ก็ควรจะแรงค์ A นะครับ”

“หืม...”

รองประธานอยู่แถวๆระดับวงแหวนที่ 6 กรรมการอยู่แถวๆวงแหวนที่ 5

ดูจากข้อนี้แล้วคนที่อยู่ระดับวงแหวนที่ 5 คงน้อยมาก เราส์ที่มีพลังเท่ากับผู้ใช้พลังระดับวงแหวนที่ 5 เยอะพอดู แต่ตามมาตรฐานของวูจินแล้วถือว่าอ่อนแอ

ใช่ เขาเทียบกับมาตรฐานของโลกอัลเฟน

แต่พลังต่อสู้ของคนที่โลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมานามีอุดมสมบูรณ์ เราส์ที่มีพลังเทียบเท่าผู้ใช้พลังระดับวงแหวนที่ 7 และ 8 ก็จะเกิดขึ้น

ปัญหาคือเขาควรจะเชื่อใจคนพวกนี้เหรอ เราส์อย่างลียุนฮี?

วิญญาณของพวกนี้เน่าเหม็น

เขาต้องการพวก ต้องการคนที่มีความสามารถสูง...

“นายอยากเป็นรองประธานไหม?”

“อะไรนะครับ?”

“ฉันถามว่านายอยากเป็นวงแหวนระดับ 6... อยากเป็นเราส์แรงค์ A หรือเปล่า?”

“...!”

ซุงกูตาค้าง

เป้าหมายแท้จริงของซุงกูคืออะไร? คือพัฒนาตนเองให้เป็นเราส์แรงค์สูง เขาเคยอยากเข้ากิลด์ใหญ่
เพราะกิลด์เหล่านั้นมีระบบสนับสนุนที่ดี

“อยากครับ ผมอยากจริงๆ”

คนไร้เดียงสานี่ล่ะที่มักจะอยากถีบตัวเองขึ้นไปให้สูง ความโลภระดับเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแรงกล้า

คนที่มีแรงบันดาลใจและอดทนไม่ท้อถอย

“เหนื่อยนะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำ”

“แน่นะ?”

“เอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยครับ”

“โอเค”

วูจินยิ้ม มองซุงกูที่มีดวงตาลุกโชน

***

ที่นี่ที่ไหน? ฉันคือใคร?

เหงื่อไหลโชกจากซุงกูเหมือนน้ำตก แต่ซุงกูไม่อยากเสียสมาธิ ถ้าเขาเสียสมาธิแม้แต่นิดเดียวชีวิตเขาจะตกอยู่ในอันตราย ซุงกูนิ่งรออย่างเคร่งเครียด

“เคะๆๆๆ”

ทหารโครงกระดูกส่งเสียงร้องชวนขนลุก มันฝ่าพุ่มไม้เข้ามา มีดกระดูกของมันเล็งมาที่หน้าซุงกู

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าหลบไม่พ้น เขาตาย

“ฮึบ”

ซุงกูสูดหายใจสั้นๆแล้วกลิ้งตัว ขว้างบอลไฟไปที่ขมับขวาของทหารโครงกระดูก

พลังของบอลไฟแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน แต่ยังไม่พอจัดการทหารโครงกระดูกในทีเดียว

“เคะๆ”

หัวของทหารโครงกระดูกไหม้ดำ มันพุ่งมาหมายสับคอซุงกูอย่างบ้าบิ่น

ซุงกูกลิ้งหลบไปข้างหน้า จากนั้นขยับเข้าหาทหารโครงกระดูก

ถ้าครั้งเดียวไม่พอ เขาก็จะใช้สองครั้ง

มือขวาของซุงกูห่างจากหมวกเกราะของทหารโครงกระดูกเพียงระยะฝ่ามือเดียวในตอนที่บอลไฟถูกปล่อยออกจากมือข้างนั้น

กะโหลกของทหารโครงกระดูกแตกเป็นชิ้นๆ

“เคะๆๆๆ”

ไม่ทันซุงกูจะโล่งใจ ทหารโครงกระดูกอีกตัวก็โผล่มา ซุงกูตะโกนอย่างสิ้นหวัง

“ลูกพี่ ขอพักหน่อยไม่ได้เหรอ?”

“เคะๆๆ”

ทหารโครงกระดูกอีกสองตัวฝ่าพุ่มไม้ออกมาแทนคำตอบ ซุงกูกลืนน้ำลาย สองตัวยังเกือบตาย นี่วูจินจะให้เขาสู้ทีเดียวสามตัว...

ลูกพี่ประเมินผมสูงเกินไปแล้ว

ซุงกูรู้สึกสิ้นหวัง แต่เขาเริ่มตั้งสติ

วูจินมองทุกอิริยาบถของซุงกูจากบนต้นไม้ต้นหนึ่ง เขาใช้ทักษะ ‘สำรวจ’ ‘ประสาทสัมผัสของนักรบ’ และ ‘วิเคราะห์ข้อมูล’ เพื่อให้วิเคราะห์ซุงกูได้เต็มที่

[ฮงซุงกู]

ทั้งกลัวทั้งนับถือ ทั้งรักทั้งเกลียดคุณ

อาชีพ : นักเวทย์สายบู๊

ทักษะ : บอลไฟ, ความสามารถในการตรวจจับสิ่งอันตราย

วูจินฝึกซุงกูอย่างหนัก

ผลคือ ก่อนหมดวัน ซุงกูเพิ่มเลเวลมา 3 เลเวล เขายังได้ความสามารถตรวจจับอันตราย

วูจินมองตำราทักษะที่จะให้ซุงกูเรียน ซุงกูเรียนตำราทักษะที่ซื้อจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จไม่ได้
วูจินได้แต่เลือกทักษะเหมาะๆจากตำราทักษะที่เขาเก็บได้ในดันเจี้ยนซึ่งมีไม่มากนัก

‘มีทั้งอันที่เรียนได้เรียนไม่ได้’

ทักษะใช่ว่าจะเข้ากันได้กับทุกคน ต่อให้ส่งเวทย์เข้าไปตำราทักษะก็อาจไม่มีปฏิกิริยา วูจินเดาว่าอาชีพเป็นตัวจำกัดว่าเรียนอะไรได้หรือไม่ได้

เมื่อวูจินใช้ ‘สำรวจ’ และ ‘วิเคราะห์ข้อมูล’ ก็รู้ข้อมูลสำคัญว่าซุงกูมีอาชีพอะไร จากนั้นเขาเลือกตำราทักษะที่ซุงกูเรียนได้ บางทักษะเรียนไม่ได้เพราะเลเวลของซุงกูน้อยไป สุดท้ายก็เหลือสองทักษะ

“แฮ่กๆ”

ขณะวูจินยุ่งอยู่กับอย่างอื่น ซุงกูก็จัดการทหารโครงกระดูกทั้ง 3 ตัวเสร็จเรียบร้อย กำลังหอบแฮ่ก

คนเราเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจึงจะแสดงความสามารถออกมาเต็มที่

วูจินเปลี่ยนศพที่อยู่ใกล้ๆเป็นทหารโครงกระดูก 4 ตัว

รอบๆมีศพก็อบลินเต็ม เวลาในดันเจี้ยนก็ช้ากว่าข้างนอก 4 เท่า ความสามารถของซุงกูจะเติบโตได้ขนาดไหน ช่างน่าจับตามอง





สารบัญ                           บทที่ 57




...คงไม่ตายซะก่อนนะ