วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 50

 บทที่ 50 – ที่ราบสูงทาริวท์

วูจินชี้ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งขนาดพอๆกับตัวเขา
“ลองโยนสิ”
“โก”
โดลเซใช้แรงโยนเต็มที่ ก้อนหินไปได้เกือบถึงอีกฝั่งแต่หล่นเสียก่อน ขว้างก้อนหินข้ามที่ว่าง 200 เมตรยังเป็นไปได้ แต่ถ้าจะขว้างให้พ้นกำแพงหน้าผา 300 เมตรยังต้องใช้แรงอีกมาก
“รอแป๊บ”
วูจินเพิ่มเลเวลให้ทักษะเรียกโกเลมจนถึงเลเวล 10
ทักษะเรียกโกเลม
ใช้สื่อกลางเรียกหัวใจโกเลมมาสถิต จากหัวใจก่อรูปเป็นร่างกาย
ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่ไว้ใจได้
สื่อกลางที่ใช้ได้ : ดิน,หิน,? (เลเวล 20 ปลดล็อก)
ต้องใช้เวทย์ 30 ต้องใช้บงการ 0 ( -99 จากค่าความซื่อสัตย์, -99 จากค่าความเชื่อใจ)
“โกโอๆๆ”
แสงปาดผ่านโดลเซหลายครั้ง และร่างเขาเริ่มโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสูงเขาเกือบถึง 8 เมตรแล้ว วูจินเงยมองโดลเซโดยนวดคอตัวเองไปพลาง
“โฮ้ย โดลเซ ไปหาหินกินกัน”
“โก”
ดินที่สร้างเป็นร่างของโดลเซร่วงลงมา เหมือนรถขนดิน 10 คันเทดินลงมาพร้อมกัน วูจินกระโดดหลบโดยมีบิบิติดมือมาด้วย
“อ่า น่าจะหลบไปทิ้งทางอื่นนะ”
วูจินบ่น ทำให้ร่างจริงของโดลเซ หรือก็คือแกนกลางของโกเลมสั่น บิบิแตะโดลเซอย่างอ่อนโยน
“โดลเซจินเสียใจเหรอ เราจะส่งเจ้านายไปนอนเดี๋ยวนี้เลย จุ๊บๆ”
วิ้งๆ
วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นแสงกระพริบรับถี่ๆ
“เล่นอะไรของพวกเธอ”
“ฮิๆ พวกมนุษย์เค้าเล่นแบบนี้”
วูจินจดไว้ในใจว่าต้องดูว่ามาเชี่ยนไวรัสเป็นรายการแบบไหน ระหว่างที่คิดแบบนั้นเขาชี้ไปที่หินใหญ่ก้อนหนึ่ง
“โดลเซ เลิกเล่น กินหินได้แล้ว”
วิ้ง
แกนกลางของโกเลมดูดหินเข้าไป หินขยับและเริ่มแตกตัวออกช้าๆ แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ มันสูงประมาณ 4 เมตร ไม่สูงเท่าเดิม ส่วนพละกำลังเยอะกว่าตอนเป็นโกเลมดินมาก
วู่ม
โดลเซโยนหินอีกก้อน มันข้ามไปถึงอีกฝั่ง แต่ไม่สูงพอ
“แบบนี้ไม่ไหว”
ถ้าเพิ่มเลเวลให้ทักษะเรียกโกเลมอีก โดลเซจะมีพลังมากพอหรือไม่? เลเวลของโดลเซจะเพิ่มขึ้นเองตอนช่วยเขาสู้ ถ้าด่วนใช้แต้มทักษะไปตอนนี้เขารู้สึกเปลืองเปล่าๆ
“ถึงยังไงก็ต้องอัพเวลให้ตัวเองอยู่แล้ว”
ถ้าวูจินเลเวลถึง 40 เขามีวิธีข้ามผานี้ ป่ากว้างและมีมอนสเตอร์มากมาย สิ่งเดียวที่เขากังวลคือดันเจี้ยนเบรก เขาลองคำนวณว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน
หินรีเทิร์นสโตนจะออกมาเมื่อถึงวันที่ 30 ของเวลานอกดันเจี้ยน ในดันเจี้ยนคือ 120 วันมอนสเตอร์ถึงจะหลุดออกไป ต้องเก็บหินรีเทิร์นสโตนมาให้ได้ก่อนถึงตอนนั้น
“ฉันเข้ามาตอนไหนนะ?”
ประมาณ 1 ถึง 2 ทุ่ม ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดพรุ่งนี้ตอนบ่าย 2 โมง 11 นาที ดังนั้นเขามีเวลาประมาณ 18? 19 ชั่วโมง?
ไม่รู้เวลาไหนแน่
เวลาในนี้จะช้ากว่าข้างนอก 4 เท่า ดังนั้นเขาน่าจะมีเวลาประมาณ 3 วันกับอีก 4 ชั่วโมง
เปอร์เซ็นคลาดเคลื่อนกว้างมาก
“งั้นเอาเป็น 3 วัน”
นั่นคือเวลาที่เขาต้องได้หินรีเทิร์นสโตนมาแล้ว เขาคงไม่อาจใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกระโดดข้ามหน้าผา
“ประเด็นหลักคือต้องเก็บให้ได้ถึงเลเวล 40”
เขาต้องไปถึงเลเวล 40 ภายในวันเดียว วูจินมองป่า โดลเซใช้หินเป็นสื่อกลางก่อร่าง ดังนั้นสู้กับพวกโอเกอร์คงง่ายพอดู
ต้องเก็บเลเวลให้ถึง 40 โดยเร็วที่สุด เมื่อได้อสูรตัวใหม่มาก็ใช้ข้ามหน้าผานี้ การเก็บหินรีเทิร์นสโตนมาก่อนเกิดดันเจี้ยนเบรกเป็นเป้าหมายหลักของเขา
เมื่อวูจินกำหนดแผนได้แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว
***
สถานีจูกจุง เขตตั้งรับดันเจี้ยนเบรกเส้นที่หนึ่ง จุดตรวจที่สาม
“อ๊ะ สิบเอกคิมครับ”
“อะไร”
“อุ อุโมงค์มันหายไป”
“พูดบ้าๆ”
สิบเอกคิมกำลังนอนหันข้าง เขายันตัวขึ้นแล้วมองไปทางสถานีจูกจุงทางออกที่สาม อุโมงค์ที่เคยอยู่ตรงหน้าบันไดหายไปแล้ว
“หะ..มันหายไปตอนไหน?”
“เมื่อกี๊ครับ ชายหนึ่งคนเข้าไปก่อนจากนั้นผู้หญิงหนึ่งคนก็ตามเข้าไป แล้วอุโมงค์ก็...”
“ห่า นายเฝ้าไว้”
“ครับ”
สิบเอกคิมเรียกทหารสื่อสารทันที รายงานของเขาส่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และไปถึงผู้บัญชาการหน่วยที่ 50 ในไม่นาน
นายทหารผู้ช่วยเข้าไปในห้องพักโรงแรมที่ผู้บัญชาการหน่วยพักอยู่
“ใครเข้าไป?”
“เราส์ครับ คุณคังวูจิน กับคุณลียุนฮี”
ลีจุนเท ผู้บัญชาการหน่วยขมวดคิ้ว ตั้งแต่แรกสองคนนั้นก็มีท่าทางอวดดี คราวนี้ก็เข้าอุโมงค์ไปทั้งคู่
“คิดจะเล่นเป็นวีรบุรุษหรือไง?”
ลีจุนเทมองทหารผู้ช่วย
“แล้วพวกนักข่าวล่ะ?”
“ยังไม่ทราบเรื่องครับ รอบๆพื้นที่ปฏิบัติการมีแต่ทหาร แต่คงรู้เรื่องในอีกไม่นาน”
อุโมงค์ปล่อยแสงออกมา ต่อให้อยู่ไกลก็เห็นได้ถ้าใช้กล้องส่องทางไกล ถ้าพวกนักข่าวสังเกตเห็นแล้วถามเขาก็ปิดเรื่องนี้ไม่ได้
“ฮึ่ย”
ลีจุนเทกลุ้มใจ เรื่องนี้จะส่งผลกับเขาอย่างไร? เขาคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆแล้วสรุปว่าความเสียหายที่เขาจะได้รับมีน้อย
“ถ้าพวกเขาเคลียร์ดันเจี้ยนได้ล่ะ?”
“ผมคิดว่าไม่น่า...”
“งั้นคงต้องถือว่าพวกเขาตายไปแล้ว”
ดังนั้นดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนด ไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือการสูญเสียน้องสาวของประธานกิลด์ฮวาราง ลียุนฮี?
คังวูจินเป็นประธานกิลด์อลันดาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่กี่วัน ลีจุนเทไม่สนใจนักถ้าจะขาดเขาไป
“ไม่มีอะไรเปลี่ยน ลงโทษทหารที่เฝ้าอยู่แล้วเตรียมตัวตามแผน”
“รับทราบครับ”
เมื่อทหารผู้ช่วยออกไป ลีจุนเทหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรออก เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเขา
“ฉันเอง”
[ครับ ทำไมผู้บัญชาการหน่วยถึงโทรหาผมตอนดึกดื่น...?]
อวดดี ไอ้เวรนี้พูดจาอวดดีเสมอ
“ลียุนฮีเพิ่งเข้าอุโมงค์ไป ฉันแน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่แผนที่วางไว้”
[...]
เขารู้ว่าความเงียบของอีกฝ่ายมาพร้อมกับความสับสนไม่น้อย ลีจุนเทยิ้ม
“นักข่าวคงเริ่มหาข่าวแล้ว จะเอายังไง?”
[ผมจะโทรหาอีกทีหลังจากทำความเข้าใจกับสถานการณ์แล้ว]
“เข้าใจแล้ว”
[กรุณารั้งนักข่าวไว้ ผมจะไปที่นั่นทันที]
หลังจบการสนทนาลีจุนเทหัวเราะ ไอ้นี่หยิ่งนักเพราะได้เป็นประธานกิลด์ตั้งแต่อายุน้อย ลีจุนเทรู้สึกดีกับสถานการณ์ตอนนี้
ชายผู้วางแผนนี้ ตอนนี้น้องสาวร่วมสายเลือดของชายคนนั้นกำลังถูกใช้เป็นเบี้ย
***
“เตรียมเฮลิคอปเตอร์ให้ฉัน”
“ครับ”
ใบหน้าลีซังโฮกระด้าง เขาโทรศัพท์หารองหัวหน้าทีมของลียุนฮี
[ครับท่านประธาน]
“เจ้าบื้อ หัวหน้าทีมนายอยู่ไหน?”
[อะไรครับ? หัวหน้าทีมตามคุณคังวูจินไป]
หน้าผากของลีซังโฮมีเส้นประสาทนูนขึ้นมา
“ไอ้ห่า! ฉันบอกให้คอยจับตาดู ไม่ให้ยัยยุนฮีหาเรื่องใส่ตัว!
[อะไรครับ?]
รองหัวหน้าทีมตอบงงๆเพราะไม่รู้ทำไมถึงถูกด่า ยิ่งทำให้ลีซังโฮเสียงดังขึ้นอีก
“ไอ้ห่าเอ๊ย ยุนฮีเข้าไปในอุโมงค์แล้ว!
[...]
“ฉันกำลังเดินทางไปที่นั่น ก่อนฉันไปถึง หาให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวนี้!
[ครับ]
ตู๊ดๆ
“เฮ้อ”
ลีซังโฮสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความโกรธ หน้าเขาแดง ตาเป็นสีเลือด ความโกรธเขาไม่มีทีท่าลดลงเลย
ตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีก ลีซังโฮขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา
“ทำไมตาแก่นี่หูผีนัก”
ลีซังโฮกดรับสาย
“ครับท่านประธาน”
[ประธานลี เกิดอะไรขึ้น]
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
[หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ น้องสาวคุณเข้าดันเจี้ยนไป เธอคิดจะเคลียร์ดันเจี้ยนเรอะ? คุณคิดจะทำให้ผมอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหรอ?]
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ? เงินที่ผมลงทุนไปก็ไม่น้อยเหมือนกัน ยุนฮีทำตามใจตัวเอง นี่ไม่ใช่จุดยืนของฮวาราง”
[ฮึ่ม รอดูแล้วกันว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง]
“ดันเจี้ยนเบรกจะเป็นไปตามกำหนดการแน่ครับ”
[ก็ได้ เสียใจด้วยเรื่องน้องสาวคุณ]
“ขอโทษที่ทำให้ท่านกังวลใจครับ”
เมื่อวางสาย หน้าของลีซังโฮเป็นสีแดงก่ำจวนเจียนจะระเบิด
“ไอ้สัตว์ เสียใจด้วย กล้าพูดว่าเสียใจด้วยเหรอ?”
น้องสาวเขากำลังจะตายกลับพูดแค่เสียใจ? ลีซังโฮกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก
เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ลีซังโฮหัวเราะเสียงเย็น
“ร้อนใจน่าดูเลยสิ นี่วางหูตาไว้เท่าไหร่วะเนี่ย ข่าวไวยังกับ 4G
แถลงการณ์ถึงสื่อมวลชนยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ ทำไมคนๆนี้ถึงรู้แล้วโทรหาลีซังโฮเร็วขนาดนี้ ต้องมีคนของเขาเยอะแน่
แน่นอน เรื่องแบบนี้ไอ้พวกนี้เก่งนักล่ะ
ลีซังโฮรับสาย
“ครับ ท่านสมาชิกรัฐสภาปาร์ก”
[คิดจะเล่นตลกกับผมเหรอ! ฮวารางคิดจะเล่นตุกติกใช่ไหม!]
“เราไม่คิดจะเล่นตุกติกอะไรเลยครับ ดันเจี้ยนเบรกต้องเกิดขึ้นแน่”
[หลังเมืองถูกทำลายจนหมด เราจะต้องพัฒนาเมืองนั่นใหม่! เข้าใจที่ฉันกำลังพูดอยู่ใช่ไหม รู้หรือเปล่าว่าฉันใช้เงินลงทุนไปเท่าไหร่ เงินของฉัน!]
“แน่นอนครับ กรุณาอย่ากังวลเลย”
ตู๊ดๆ
หลังคุยเสร็จ ลีซังโฮไม่เหลือแรงโกรธแล้ว
เขานั่งแปะลงกับพื้นแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ฮะๆ ฮะ...”
ลียุนฮี ลียุนฮี
ลีซังโฮเป็นแค่เราส์แรงค์ B ดังนั้นลียุนฮีต่างหากเป็นหน้าเป็นตาของกิลด์ฮวาราง ถ้าเธอไม่อยู่ ฮวารางในตอนนี้ก็ไม่มีเช่นกัน
ลีซังโฮ หัวหน้ากิลด์ของกิลด์ที่ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามกิลด์ของเกาหลีก็ไม่มีเช่นกัน
“ยัยประสาท ไม่รู้จักสงบสติอารมณ์เลย ห่า...”
เขาทั้งปลอบทั้งล่อจนยัยจอมหยาบคายนั่นมาไกลถึงจุดนี้ แต่แล้วยัยนั่นก็ทำเรื่องจนได้ ยิ่งกว่านั้นยังฆ่าตัวตาย...
“ถึงอยากตายขนาดไหนก็ไม่น่ามาฆ่าตัวตายเอาตอนสำคัญแบบนี้...”
ใบหน้าลีซังโฮเย็นชา
ลีซังโฮได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังแว่วมา เขาจึงลุกขึ้น
ในใจลีซังโฮไม่ใช่ความโศกเศร้า แต่เป็นความโกรธ
เรื่องที่เขาสูญเสียเราส์แรงค์ A ไปหนึ่งคนสำคัญกับเขามากกว่าเรื่องที่เขาเสียน้องสาวไป
ปีกที่นำเขาไปยังสิ่งที่เขาทะเยอทะยานอยากหักเสียแล้ว
“เฮ้อ”
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจืดจางเกินกว่าเขาจะรู้สึกโศกเศร้าให้น้องสาว
***
“ฮึ่ย ปวดฉี่”
ลียุนฮีมองลอดแท่งกระดูกที่หนาเท่าแขนเธอไปรอบๆ แต่ไม่เห็นวูจินอยู่ที่ไหนเลย ผ่านไปก็นานแล้ว วูจินคงไปไกลมากแล้ว
“ไอ้ประสาท ลงมือกับผู้หญิงได้ไงวะ ยิ่งสวยๆแบบฉันด้วย?”
ยุนฮีด่าวูจินแล้วหักคุกกระดูกออกมาแท่งหนึ่ง
เธอเป็นเราส์แรงค์ A ที่มีความสามารถทางกายภาพ
กับคุกกระดูกแค่นี้เธอแหกออกมาได้ไม่มีปัญหา เธอแข็งแรงกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
“อะไรวะ มันเป็นนักเวทย์ไม่ใช่เหรอ ทำไมไปเร็วนัก”
นึกถึงวูจินแล้วทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
เมื่อหักกระดูกแท่งที่สอง รูก็กว้างพอให้ผู้หญิงคนหนึ่งลอดออกไปได้
เมื่อออกมาได้แล้ว ยุนฮีเก็บดาบของเธอที่หล่นอยู่แล้วมองสำรวจรอบๆ จากนั้นถอดกางเกงจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
เธอมองทางที่วูจินไป และเห็นรอยเท้าบนพื้น
“ไอ้นักเลงเอ๊ย ทำเป็นเดินวางก้าม”
ลียุนฮีอยู่ในวงการมานาน แต่ไม่เคยเห็นเนโครแมนเซอร์แบบวูจินมาก่อน แต่จริงๆแล้วเธอไม่เคยเคลียร์ดันเจี้ยนกับเราส์คนอื่นนอกจากทีมตัวเอง
เมื่อดึงกางเกงขึ้น ยุนฮีเอียงคออย่างสงสัย
“หรือมันคิดจะเคลียร์ดันเจี้ยนเองคนเดียวจริงๆ”
นึกถึงท่าทางเชื่อมั่นเหลือล้นของวูจิน ยุนฮีแน่ใจว่าเขาคิดอย่างนั้น
ยิ่งคิดถึงสายตาของวูจินที่จ้องมาที่เธอ ร่างของยุนฮีสั่นเทิ้ม
“ห่า”
ศักดิ์ศรีเธอถูกหยาม เธอรู้สึกจะบ้า มันแย่ยิ่งกว่าความตาย แต่ตอนนั้นความกลัวจับใจกับความต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปทำให้เธอทำตาม ตอนนี้ความรู้สึกว่าถูกหยามทำให้เธอทนรับไม่ได้
“เฮอะ ถ้าคิดว่าฆ่าฉันได้ก็ลองสิ”
แน่นอน เธอไม่คิดตาย
แต่แรกก็ไม่ใช่ว่าเธอเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ไม่ได้ เธอเลือกที่จะไม่เคลียร์มัน
กลุ่มของเธอพักในส่วนแรกของดันเจี้ยน และไม่แม้แต่จะลองเข้าไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าโอกาสเคลียร์ดันเจี้ยนนี้สำเร็จเป็นเท่าไหร่
ถ้าทีมของเธอตั้งใจจริงๆ โอกาสล้มเหลวก็ยังมี แต่ลียุนฮีเองมั่นใจว่าเธอทำได้
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของพี่ ทีมสีชาดของเธอคงเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ไปแล้ว
“คนที่ออกจากที่นี่คนแรกต้องเป็นฉัน”
เธอไม่มั่นใจว่าจะสู้กับมอนสเตอร์ได้ทุกตัว แต่มั่นใจว่าเธอจะหารีเทิร์นสโตนเจอและหนีไปได้
เธอเป็นนักดาบแรงค์ A
เป็นนักล่าในเงา ลียุนฮี






วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 49

บทที่ 49 – ดันเจี้ยนเบรก (3)

วูจินระวังตัวทันทีที่ออกจากอุโมงค์
ทีมจู่โจมทีมก่อนรีบหนีออกไปทางอุโมงค์อย่างรีบเร่งขณะถูกศัตรูไล่ล่า มีร่องรอยของการต่อสู้ขัดขืน และวูจินเห็นซากศพมอนสเตอร์กระจายอยู่รอบๆ
“กี๊ กิ๊ก!
วูจินเหลือบเห็นกอบลินในระหว่างต้นไม้ เขาเรียกหอกกระดูกออกมาอย่างว่องไว
ฟิ้ว ปึก!
หอกกระดูกพุ่งไปทางกอบลินสามตัวที่ซ่อนอยู่และสังหารในคราวเดียว วูจินมองรอบตัว ขยายประสาทสัมผัสออกไป แต่ไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีก
มอนสเตอร์ระดับสูงคงถอนตัวกลับไปแล้ว เหลือแต่กอบลินที่ทำหน้าที่ลาดตระเวน
ซากศพรอบๆส่วนใหญ่เป็นพวกกอบลิน แต่ยังมีศพของโทรลสองซาก ศพของโทรลมีค่าดังนั้นเมื่อทีมก่อนไม่ได้เก็บมันไปแสดงว่าต้องรีบหนีมาก
“เห็นว่าทีมก่อนหน้ามาจากญี่ปุ่นใช่ไหมนะ?”
วูจินจะเอากระดาษที่มีข้อมูลดันเจี้ยนออกมาแต่มันไม่อยู่ในกระเป๋าของเขา เขาคลำกระเป๋ากางเกงอีกข้างก็พบว่าโทรศัพท์มือถือก็ไม่อยู่แล้ว
“อ้อ เอาของจากข้างนอกเข้ามาไม่ได้นี่นา”
เสื้อผ้าวูจินไม่หายไปเพราะมันทำมาจากวัสดุในดันเจี้ยน เราส์ที่เข้าดันเจี้ยนแรงค์สูงบ่อยๆจะใส่เสื้อแบบนี้อยู่แล้ว
เพราะอย่างนี้เองจุงมินชานจึงซื้อเสื้อมาให้วูจินกับซุงกู... จุงมินชานที่สามารถจัดการไปถึงรายละเอียดยิบย่อยแบบนี้ วูจินคิดว่ามินชานมีความสามารถสูงมาก
“วู่ม”
ทันใดนั้นอุโมงค์มิติก็หายไป แสงจากอุโมงค์หายไป พ่นมนุษย์คนหนึ่งออกมา
ลียุนฮี เมื่อพ้นอุโมงค์เธอก็ตะโกนอีก
“บ้าจริง เอาอีกแล้วฉัน!
วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นลียุนฮี
“อะไรอีก?”
“อะไรอีก?อะไรของนายอะไรอีก?ฉันเกิดเพี้ยนจนกระโดดเข้ามาในเพราะนาย ทำไมนายต้องมาเสียสติตรงหน้าฉันด้วยวะ?”
“...”
“เวร อยากตายก็ไปตายคนเดียวสิวะ ทำไมต้องมาหาที่ตายตรงหน้าฉันด้วย?”
“ประสาท”
เข้าก็เข้ามาเอง ไม่มีใครสั่ง
วูจินเลิกสนใจลียุนฮีแล้วออกเดิน
ยุนฮีคว้าไหล่วูจินไว้
“คิดจะไปคนเดียวเหรอไอ้บ้า ฉันจะเป็นคนนำ นายเป็นนักเวทย์ก็สนับสนุนฉัน”
“...”
วูจินมองมือของลียุนฮีที่จับไหล่เขา นานแล้วนะ! ไม่เคยมีใครแตะตัวเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตมานานแล้ว
“อยากโดนเหรอ?”
“ฮะ อะไร?”
วูจินหันมา จ้องยุนฮีตรงๆ
วูจินตบหน้ายุนฮี
เธอไม่มีแม้แต่เวลาหลบ แก้มของยุนฮีเป็นรอยแดง
เธองงและตกใจไปครู่ แล้วก็โกรธจัด
“ไอ้สัตว์!
ชิ้ง!
แหวนของลียุนฮีเปลี่ยนเป็นดาบทันที เธอเหวี่ยงมันไปทางวูจิน แต่เขาเรียกหอกเหล็กมากันไว้
วูจินตวัดขาเตะคางลียุนฮี
“อั่ก!
ลียุนฮีล้มพร้อมกับเสียงกรี๊ด แต่ก่อนร่างเธอจะถูกพื้นก็ถูกยกตัวขึ้น วูจินคว้าคอของเธอแล้วตบหน้าอีกที
ร่างของลียุนฮีลอยกระแทกพื้น
“กรี๊ด ไอ้...”
กึง!
วูจินกระโดดแล้วปักไม้เท้าเหล็กลงบนพื้น เฉียดจมูกของลียุนฮีไป
“ดูซะว่าจะเป็นยังไงถ้าพูดมากกว่านี้อีกคำ”
“...”
“ถ้าอยากเป็นเหมือนคนขี่ม้าหัวขาดก็ได้นะ”
“ฮื่อ...”
ยุนฮีกัดฟัน ส่งเสียงขู่ แต่เธอทำอะไรไม่ได้ เห็นดวงตาของวูจินเธอก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
ไอ้คนใจดำ ตบผู้หญิงได้
ตบเธอ?
วูจินตบเธอ ลียุนฮีคนนี้?
เธอไม่เคยถูกผู้ชายตบมาก่อน เธอเคยสู้กับมอนสเตอร์จนเกือบตาย แต่ไม่เคยคิดว่าจะถูกมนุษย์ทำร้ายได้
“ฉันเกลียดผู้หญิงแบบเธอ”
“...”
วูจินเรียกหอกกระดูก เขาปักมันบนพื้นโดยเฉียดตัวยุนฮีไป เธอเสียวสันหลังวาบ
“อย่าเที่ยวไปโทษคนอื่นอีก”
ใครบอกให้เธอเข้าดันเจี้ยน? เธอเข้ามาเองแล้วจะไปโทษคนอื่นได้เหรอ? ที่จริงคือเธอเข้ามาแย่งค่าประสบการณ์กับเขา แล้วยังจะมาเกาะ...
“เธอถูกตบเพราะอ่อนแอ อย่าโทษฉันที่ไม่อยากปกป้องเธอ”
“...”
วูจินเรียกหอกกระดูกด้ามที่สอง ปักลงตรงอีกข้าง
“วิญญาณเธอเหม็นหึ่ง คิดแต่เรื่องทุเรศ”
“...”
วูจินถอยหลัง
“ถ้าอยากโดนอีกก็ตามมา ถ้าไม่อยากตายก็รอตรงนี้ดีๆ ตอนฉันออกไปจะพาเธอไปด้วย”
“ฮึ่ม”
ลียุนฮีขบปากแน่น ไม่ตอบ
เธอแพ้ แพ้เขา
มันทำให้เธอรู้สึกอยากจะอ้วก!
วูจินยิ้มเยาะเมื่อเห็นเธอคำรามเหมือนสัตว์ป่า
ไม่ใช่ว่าฆ่าไม่ได้ เขาแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นหนึ่งในวิญญาณอาฆาตตามสิงเขา
เคร้ง!
หอกกระดูกที่ปักด้านซ้ายขวาของลียุนฮียืดออก กลายเป็นคุกกระดูก
วูจินหันกลับ
“อะ ไอ้บ้า คนเดียวจะทำอะไรได้วะ นี่มันดันเจี้ยน 6 ดาว!
วูจินเหยียดแขนออกแทนคำตอบ พลังเวทย์จำนวนมากพุ่งออกจากร่างเขา
โผละๆๆ!
ซากกอบลินระเบิดออก โครงกระดูกจำนวนมากถูกเรียกออกมา
“เคะๆๆๆ”
เสียงชวนขนหัวลุกดังจากโครงกระดูก พวกมันโซซัดโซเซตามมาข้างหลังวูจิน
“ยัยบ้า ฉันบอกตอนไหนว่าฉันตัวคนเดียว”
“...”
ฮ้า คังวูจิน นายใจเย็นลงมากเลยนะ
เมื่อก่อนผู้หญิงแบบนี้ไม่กล้าเงยหน้าต่อหน้าเขาด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นทหารร่วมรบ ราชาราชินี หรือนักบวช ไม่เคยมีใครกล้าเงยหน้าต่อหน้าเขา
“ซุงกู ไอ้เด็กเวร กำลังพักผ่อนวันหยุดสบายใจอยู่สิท่า แม่ง รู้สึกโกรธหน่อยๆว่ะ”
ขาดซุงกูวันนี้ทำให้เขารู้สึกว่างโหวงมาก
วูจินผูกพันกับวิญญาณบริสุทธิ์และอบอุ่นของซุงกู อีกอย่างตอนสั่งให้ทำโน่นนี่ก็สนุกดี...
วูจินนำทัพโครงกระดูกไปทางป่า
***
เมื่อกลุ่มขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว มันจะทิ้งร่องรอยไว้ ถ้าอยู่ในเขตของศัตรูก็จะพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดีที่สุด
สัตว์กินพืชจะเคลื่อนที่อย่างระมัดระวังและลบกลิ่นและร่องรอยของตัวเอง นี่เป็นสัญชาติญาณเอาตัวรอดของพวกมัน สัตว์กินเนื้อจะเคลื่อนที่อย่างลึกลับไล่ตามร่องรอยจางๆพวกนั้น พวกมันมีสัญชาติญาณของนักล่า
“กึงๆ”
โทรลสองตัวตามรอยเท้าที่ทิ้งไว้ชัดเจนไป ร่องรอยนำพวกมันไปยังถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
กลิ่นกระจายไปทั่ว
มีผู้บุกรุกอยู่ใกล้พวกมัน มีเหยื่ออยู่ตรงปลายจมูกของพวกมัน
โทรลทั้งสองเข้าถ้ำ เมื่อเข้าไปในถ้ำมืดพวกมันเห็นมนุษย์คนหนึ่งกำลังกินเนื้อตรงกองไฟ และมีดวงตาส่องแสงสีแดงเรียงรายอยู่ลึกเข้าไปในความมืดของถ้ำ
“หืม มาอีกแล้ว เอ้าเด็กๆ รับแขก”
“ฟู่วๆ”
เวทย์มนตร์ปรากฏโดยไม่มีการเตือน สาดแสงในถ้ำจนสว่างเห็นนักเวทย์โครงกระดูกตาสีแดงจ้า โครงกระดูกเปล่งแสงเพียง 3 วินาที
เวทย์มนตร์ที่ยิงมาฉีกโทรลเป็นชิ้นๆส่งพวกมันลอยออกจากถ้ำ
วูจินลืมไปเลย
เขาทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ แต่คนแบบเขาไม่สนเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น
“บิบิ ไปเก็บของ”
“แหงะ เจ้านายจะให้เราทำอีกเหรอ? เรียกโดลเซมาเร็วๆเถอะ”
“อ่าฮะ ไปเก็บของ พวกมันใกล้ตายแล้ว”
บิบิในร่างเด็กผู้หญิงทำแก้มป่อง แล้วสาวเท้าออกจากถ้ำ
ปีศาจน้อยจัดการเก็บเลือดจากโทรลใกล้ตายใส่ขวด
“ฮิๆ เจ็บมากเลยล่ะสิ? ไว้ในฝันเราจะลงโทษเจ้านายแทนพวกเจ้าเองนะ”
ขณะสติของพวกโทรลกำลังเลือนหาย สายตาพวกมันหยุดตรงมนุษย์คนหนึ่งกำลังยืนขึ้นยืดกล้ามหน้า
“เอาล่ะ อิ่มแล้วก็เก็บเวลต่อดีกว่า...”
เขาไม่ปิดบังร่องรอยตัวเองให้ยุ่งยากและป่าก็เริ่มจมไปในความบ้าคลั่งเมื่อนักล่าเจอกับนักฆ่า
***
โอเกอร์
เป็นหนึ่งในเผ่าที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่ายักษ์
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าเพียงได้ยินเสียงเดินโครมครามของพวกมันก็จะหนีไป พวกมันเป็นสุดยอดนักล่าของป่า สิ่งมีชีวิตอื่นเกรงกลัวไม่ต้องการเผชิญหน้ามัน
แต่มีกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่านักล่าแห่งป่านี้
“เคะๆๆๆ”
ทหารโครงกระดูกวิ่งผ่านพวกกอบลินและโคบอลด์อย่างรวดเร็ว ฟันพวกมันล้มลง ทหารโครงกระดูกถางทางให้วูจิน เขาวิ่งโดยมีบิบิเกาะบนหัว และนักเวทย์โครงกระดูกตามอยู่ด้านหลัง
“โอ!
ปัก ปัก!
วูจินได้ยินเสียงดัง ทหารโครงกระดูกกลุ่มหน้าคงเจอโอเกอร์แล้ว เมื่อสุดทางป่าเขาเห็นโอเกอร์ตรงพื้นที่โล่ง
มันสูงประมาณ 4 เมตร ใส่ผ้าที่แทบปิดอวัยวะเพศไม่มิด มันมีหัวแข็งมาก และท่าเฮดบัดของมันก็อันตราย พวกมันสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายักษ์ดังนั้นแค่กำปั้นเปล่าๆของพวกมันก็ถือเป็นอาวุธทรงอาณุภาพ
ถ้ามันหยิบก้อนหิน ก้อนหินก็กลายเป็นกระสุน ถ้ามันคว้าต้นไม้ ต้นไม้ก็กลายเป็นกระบองขนาดใหญ่
“เจอจนได้!
มันให้ค่าประสบการณ์และค่าความสำเร็จจำนวนมาก นอกจากนี้มันยังมีบลัดสโตนก้อนเป้ง
“โอ!
โอเกอร์คำราม แต่เสียงของมันไม่ทำให้ทหารโครงกระดูกชะงัก ทหารโครงกระดูกลืมไปแล้วว่าความกลัวคืออะไร
แต่ มือของโอเกอร์ทรงพลังพอจะทำลายพวกทหารโครงกระดูก
เสียงคำรามของมันวูจินสู้ไม่ได้ แต่กับร่างใหญ่โตของมันวูจินมีวิธี
“เฮ้ย โดลเซ”
โดลเซ อสูรของวูจินออกมาตามเสียงตะโกนเรียก
แสงเหมือนหิ่งห้อยเรืองแสงขึ้น แล้วเริ่มหมุนไปรอบๆที่ว่าง แสงเข้มขึ้นจางลงเหมือนหัวใจกำลังเต้น แสงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา จากนั้นมันซึมเข้าไปในดิน
ครืน
ดินสั่นสะเทือน จากนั้นกองดินกองหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น ศีรษะปรากฏออกมาก่อน จากนั้นก็เป็นแขนและขา มันคำราม
“โอ”
บิบิกระโดดไปยังหัวของโกเลมดิน โดลเซ
“โดลเซจิง!
หัวของโกเลมเป็นที่โปรดของบิบิ
“จัดการซะ!
“โดลเซจิง ลุยเลย!
“โอ!
โดลเซพุ่งไป โกเลมสูงกว่าโอเกอร์ถึง 1 เมตร
เศษดินหินหญ้าหลุดจากตัวโดลเซทุกก้าวเดิน
หมัดของโดลเซอัดใส่หน้าโอเกอร์ แต่มันเป็นโกเลมเลเวล 1 จึงอ่อนแอมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างความเสียหาย แต่เพียงพอดึงความสนใจ
“ฮึบ!
วูจินกระโดดขึ้นไปบนหลังโดลเซ เขาวิ่งแล้วกระโจนขึ้น วูจินเปลี่ยนอาวุธเป็นค้อน
“ก่ะ?”
ร่างมหึมาของโดลเซรวบร่างของโอเกอร์ไว้ โอเกอร์ส่งเสียงแปลกใจ แล้วค้อนของวูจินก็ทุบหัวมัน
โอเกอร์เซ วูจินทิ้งตัวลงบนพื้น พาดค้อนไว้บนไหล่ จากนั้นกะระยะทาง
“จับมันไว้แน่นๆโดลเซ ฉันจะทุบมันอีกรอบ”
“โก”
“เจ้านาย ใช้แรงมากกว่านี้หน่อย ทุบทีเดียวให้ปลิวเลย”
วูจินวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาใช้หลังของโดลเซเป็นที่กระโดด วูจินกระโดดสูงกว่าครั้งแรก แล้วค้อนก็ทุบใส่โอเกอร์อีกครั้ง
เสียงกะโหลกแตกดังลั่น ร่างของโอเกอร์เริ่มโอนเอน ด้วความที่มันมีหนังเหนียวมากดาบส่วนใหญ่จึงแทงไม่เข้า และเวทย์ของนักเวทย์โครงกระดูกก็ไม่มีผลกับมันเพราะมันมีความต้านทานเวทย์สูง
กองทัพโครงกระดูกในตอนนี้สู้กับโอเกอร์ไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีสองอาชีพคงสู้กับมอนสเตอร์ตัวนี้ยาก
“บิบิ ไปกับโดลเซ ดูทางไว้”
“จ้า โดลเซจิง ไปเดินเล่นกัน”
“โดลเซจิงอะไรของเธอ ทำไมเรียกโดลเซที่น่ารักของพวกเราแบบนั้น... อ๊ะ ตอนนี้เป็นฮุคเซสินะ” (โดล=หิน ฮุค=ดิน)
“เห็นจากทีวีน่ะ ถ้าเห็นอะไรน่ารักๆให้เรียกว่า-จิง”
“เฮ้อ ดูของแปลกๆอะไรอีกล่ะ”
“มาร์เชียนไวรัส เจ้านายก็น่าจะดูด้วยนา เราเรียนรู้เรื่องมนุษย์โลกจากรายการนี้ล่ะ” (Martian Virus รายการทีวีของเกาหลีใต้ที่นำเสนอชีวิตคนแปลกๆ)
“ไว้คราวหน้าฉันจะดูด้วย รีบไปสำรวจรอบๆเถอะ”
“โดลเซจิง ออกเดินทาง!
วูจินเริ่มชำแหละศพโอเกอร์เอาชิ้นส่วนของมันไปสร้างยา งานไม่ยุ่งยากซับซ้อน บิบิก็ทำได้ แต่วูจินตัดสินใจลงมือเอง
“เฮ้อ ไม่น่าให้ซุงกูหยุดเลยฉัน”
วูจินบ่นไปตัดเนื้อโอเกอร์ไป
“จะ...เจ้านาย มานี่เร็วๆ มาดูนี่”
“อะไร?”
วูจินเก็บชิ้นส่วนต่างๆเข้าไปในคลัง จากนั้นเดินไปหาบิบิ เขาเห็นสิ่งที่อยู่พ้นป่าไป
“เอ๊ะ?”
ป่าสิ้นสุดลงดื้อๆ
รอยแยกจากแผ่นดินไหว? หุบเขา? หน้าผา?
มันแยกออก
วูจินมองลงไปข้างล่าง มันเป็นผาลึกไม่เห็นก้น ห่างไป 200 เมตร เขาเห็นหน้าผาสูงจากที่เขาอยู่อีก 300 เมตร
วูจินมองซ้ายมองขวา แต่ช่องว่างห่างเท่ากันตลอด ทำให้เขานึกถึงคูน้ำรอบปราสาทที่มีไว้ป้องกันข้าศึก
เขาเดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่เห็นทางข้ามไปยังอีกฝั่ง
ที่นั่นมีรูปร่างเป็นวงแหวนโดนัท มีเสาขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง จากเสามาขอบหน้าผาก็เป็นระยะทาง 200 เมตรเช่นกัน
ในความทรงจำของวูจิน เขาเคยได้ยินถึงดินแดนที่มีผังคล้ายๆกันนี้
“ที่ราบสูงทาริวท์”
วูจินหน้าเครียด
มันมีอีกชื่อ
“วิหารเผ่ายักษ์”
สายตาของวูจินมองผ่านกำแพงสูงชะลูดของเหวไปยังดินแดนเบื้องหลังมัน



ตอนที่แล้วเราอ่านโอเกอร์ (ogre) เป็นออร์ค (orc) ซะงั้น ผิดๆ กลับไปแก้แล้วค่ะ
มองเห็นสภาพพื้นที่ๆอยู่ห่างไป 200 เมตรสูงกว่าตัวเอง 300 เมตรได้ด้วยแฮะ ตึกกี่ชั้นนั่น 70? สมเป็นพระเอก