วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 74.2

 บทที่ 74.2

โดยส่วนตัวแล้ว เมลเซียคิดว่าคนร้ายจะต้องพักที่โรงแรมถ้าพวกมันมาที่หมู่บ้านนี้ ตอนกลางคืนของทะเลทรายไม่ใช่เรื่องที่จะทนกันได้ง่ายๆ ต่อให้เป็นนักรบที่ฝึกมาดีเท่าไหร่ก็ตาม

“ว่าแต่ว่ากัปตันครับ เซนต์หญิงอาจพักอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า เพราะมันใกล้แดนศักดิ์สิทธิ์ ซาฮาราม?” ลูกน้องคนหนึ่งถามด้วยความกังวล

เมลเซียส่ายหน้า “ไม่ น่าจะอีกสองสามวันเซนต์จึงจะมาถึงที่นี่ คิดตามเหตุผลแล้ว เซนต์จะต้องเดินทางกับพาลาดินเป็นกลุ่มใหญ่ ย่อมต้องเดินทางช้าลง เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเซนต์ตราบใดที่นางไม่ได้เดินทางกับกลุ่มเล็กๆ ถ้าเซนต์เห็นพวกเรา พิธีกรรมและทุกอย่างจะล้มเหลวหมด”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรามีกัปตันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ลูกน้องเชื่อว่าถ้าเป็นเมลเซีย แม้แต่เซนต์หญิงก็แพ้เขา

ความเชื่อทำให้เมลเซียฝืนยิ้ม “อย่าดูถูกนาง เซนต์ฮิลลิสเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งพระนักรบเฟอนันโดผู้โด่งดังยังต้องถอยให้นาง”

เหล่าลูกน้องกลืนน้ำลาย เหตุผลเพราะคนของพวกเขาตายในมือของคาดินัล เฟอนันโดมาหลายคนแล้ว

ในสายตาของวิหาร พวกเขาคือศัตรูนอกรีต และพิธีกรรมที่พวกเขากำลังจะทำในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นสิ่งชั่วร้ายที่จะต้องไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เมลเซียสงสัยวิหารที่สุดว่าเป็นองค์กรที่อยู่เบื้องหลังคนร้าย

รวมถึงการแสวงบุญของเซนต์หญิงที่ไม่มีการประกาศเป็นทางการ ทำให้วิหารยิ่งน่าสงสัยเป็นอันดับหนึ่ง

“ข้าได้ยินข่าวลือว่าเซนต์สามารถสู้กับวิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อได้อย่างเท่าเทียม”

“ปีศาจขาวนั่นเหรอ!”

เหล่าลูกน้องตะลึงกับคำพูดของเมลเซีย บางคนเริ่มวิตกเพราะพวกเขาเคยเห็นวิลเลียมในสนามรบ

“อย่ากังวลเกินไป มันเป็นแค่ข่าวลือ แค่ระวังไว้” เมลเซียพูด

“เข้าใจแล้วครับ”

ถึงเมลเซียจะพูดแล้ว แต่ลูกน้องของเขายังไม่หายวิตกกังวล เขาเดินเข้าโรงแรมพลางคิดว่าไม่ควรพูดเลย

“ยินดีต้อนรับ!” เจ้าของโรงแรมทักทายพวกเขาขณะเก็บโต๊ะอย่างขยันขันแข็ง

เมลเซียขมวดคิ้ว “แปลก มีกลิ่นไหม้”

โรงแรมสะอาดและไม่มีเศษเถ้าถ่านทั้งๆที่มีกลิ่นไหม้ เมลเซียเลยคิดว่าในครัวคงทำอาหารไหม้และเลิกคิดมาก

มองไปรอบๆ เขาไม่รู้สึกถึงคนอื่นนอกจากเจ้าของโรงแรม ดูเหมือนเซนต์หญิงจะยังมาไม่ถึง เขาคิดมากเกินไป เซนต์ไม่มีทางเดินทางได้เร็วขนาดนั้น

ตอนนี้เขาห่างจากแท่นบูชาเพื่อตามคริสตัลคานีเลียนที่ถูกขโมย เขาไม่อาจโต้ตอบการเคลื่อนไหวของเซนต์หญิงได้ในทันที

การแสวงบุญเป็นการตัดสินใจกะทันหัน เขาเลยพาคนที่สามารถหลอกพวกพาลาดินมาด้วยไม่ได้ เพราะอย่างนั้นจึงจับตามองเซนต์หญิงใกล้ชิดไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร

“เถ้าแก่ ข้ามีเรื่องอยากถาม” เมลเซียพูด

เจ้าของโรงแรมยิ้มกว้าง “ครับๆ แน่นอน ค่าที่พักคืนละ-”

“ไม่ใช่-” เมลเซียตัดบท “เราไม่ได้จะพักที่นี่”

เจ้าของโรงแรมหยุดยิ้ม ถอนหายใจแล้วกลับไปเช็ดโต๊ะ

ลูกน้องของเมลเซียโกรธขึ้นมาทันที

“แก!”

“หยุด!” เมลเซียสั่ง

เมื่อเมลเซียโบกมือ ลูกน้องของเขาก็ลดกำปั้นลง เมลเซียเข้าไปใกล้เจ้าของโรงแรม

“เฮ้ เถ้าแก่” 

เมื่อดวงตาข้างเดียวของเมลเซียจ้องเจ้าของโรงแรม เจ้าของโรงแรมก็ทำผ้าเช็ดโต๊ะในมือตก

“เห็นคนผมดำสามคน เป็นคนหนุ่ม เด็กหนุ่ม และเด็กสาวไหม?”

ทันทีที่เห็นดวงตาของเมลเซีย เจ้าของโรงแรมรู้สึกเหมือนผมตัวเองกำลังเปลี่ยนเป็นสีขาว

เจ้าของโรงแรมพูดติดๆขัดๆด้วยความกลัวเหมือนเจอกับหมาป่า “นั่น นั่น”

เมลเซียมองเจ้าของโรงแรมด้วยสายตาอบอุ่น

“ค่อยๆคิด” เมลเซียพูดอย่างสุภาพ แต่เจ้าของโรงแรมเข่าอ่อน เขาล้มก้นกระแทกพื้นด้วยความกลัว

“อ๊า! มี มี! กลุ่มสามคนผมดำ!”

มองเจ้าของโรงแรมที่หน้าซีด เมลเซียยื่นมือเพื่อช่วยเขาลุกขึ้น “พวกเขาออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่?”

เมื่อเมลเซียยื่นมือ เจ้าของโรงแรมร้องและยกแขนปิดหน้าเหมือนขอร้องว่าอย่าตีเขา

“อ๊า! บ่าย! พวกเขาออกไปตอนบ่ายกับกลุ่มของเซนต์หญิง อย่าทำข้า!”

เมลเซียตีหน้าเครียดเพื่อปิดบังความกระอักกระอ่วนเพราะปฏิกิริยาของเจ้าของโรงแรม ด้วยความร้อนรน เขาจึงพูดเสียงดังกว่าเดิม “อะไรนะ! เซนต์?! พวกเขาบอกหรือเปล่าว่าไปไหน!”

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์! ซาฮาราม! อ๊า!”

เมลเซียเลิกสนใจเจ้าของโรงแรมที่พยายามคลานหนี เขาตะโกน “เรากลับไปที่แท่นบูชาเดี๋ยวนี้!”

เมลเซียกำหมัด เขาคิดว่าระวังการเคลื่อนไหวของเซนต์หญิงดีแล้ว แต่เธอเดินทางเร็วเกินไป

ตามเหตุผลของเมลเซีย พวกเขาควรเดินทางช้าเพราะเซนต์หญิงเดินทางมากับพาลาดินเป็นกลุ่มใหญ่

แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ทำไมเขาจึงไม่รู้ตัวในเมื่อเซนต์อยู่ใกล้ขนาดนี้?

ในที่โล่งกว้างอย่างทะเลทราย เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนกลุ่มเดินทางขนาดใหญ่

“ครับ!” คนของเขาตอบพร้อมกัน ทันทีที่พวกเขาออกจากโรงแรมก็ปล่อยสัญญาณฉุกเฉินขึ้นฟ้า

ควันแดงเรืองรองในท้องฟ้า เมลเซียรวบรวมคนของเขาและตรงไปซาฮารามด้วยความเร็วเต็มที่

***

ในเกวียนเดินทางสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ ซาฮาราม ที่นั่งอยู่ไม่ได้มีแต่ฮิลลิสและหญิงรับใช้ของเธอ แต่มีเลชาและแลนซีลอตด้วย แมคบอกว่าการไม่ได้ขยับตัวไม่เข้ากับนิสัยของเขาและเลือกขี่อูฐกับพวกพาลาดินแทนที่จะนั่งในเกวียนสบายๆ อาจเพราะนิสัยใจกว้างของพวกพาลาดิน พวกพาลาดินเข้ากับแมคได้ดี แม้จะผ่านนรกฮิลลิสตอนเมาเพราะเขา 

แลนซีลอตได้แต่อึ้งเมื่อมองพาลาดินกับแมค

คิดอีกทาง สำหรับพาลาดินที่ศรัทธาและติดตามฮิลลิสจากใจจริง การปลุกนรกอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของแมคอาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยของพวกเขาก็ได้

แน่นอน สมมติฐานว่าพวกพาลาดินเป็นพวกโรคจิตชอบอะไรแปลกๆยังคงไม่หมดไปแม้แต่น้อย

“อา... สบายจัง”

ฮิลลิสซาบซึ้งกับความเย็นในเกวียนและพูด “ขอบใจมาก!”

เลชารู้สึกอึดอัดเมื่อถูกฮิลลิสกุมมือและมองเธอด้วยดวงตาชุ่มน้ำตา “ไม่หรอก มันแค่เวทมนตร์ธรรมดา”

สำหรับเลชา เวทมนตร์ระดับนี้ง่ายมาก การฝึกโหดของครูเมอร์ปาทำให้เธอใช้เวทมนตร์ที่ยากกว่านี้ได้ง่ายเท่าหายใจ อีกอย่าง พลังเวทที่นี่นิ่งสงบ ไม่เหมือนตอนที่เธอเรียนกับครูเมอร์ปา บางครั้ง เธอนั่งเหม่อในเกวียนที่นั่งสบายและลืมไปว่ากำลังใช้เวทมนตร์อยู่

“ข้าได้ยินว่าเซนต์ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่มีเวทมนตร์แบบนี้ในเวทศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”

ฮิลลิสยิ้มและส่ายหน้า “เปล่าหรอก เท่าที่ข้ารู้ มันมี แต่ข้ายังไม่ได้ฝึก”

ที่จริงแล้ว สมัยจักรพรรดิชาร์ลอตมีอำนาจ เขาสั่งห้ามเวทมนตร์ที่สร้างความสะดวกสบาย ให้เหตุผลว่าเวทมนตร์เหล่านี้ทำให้เกิดความแตกแยกในจักรวรรดิ ในความเป็นจริง เขาไม่ต้องการให้ประชาชนจดจำความรุ่งเรืองในอดีตของวิหาร

เหตุผลนี้เป็นความลับ แต่คนที่รู้ประวัติศาสตร์สามารถเดาได้ง่ายดาย

“โอ้ เข้าใจแล้ว”

เลชาไม่คิดมาก แต่แลนซีลอตรู้เรื่องจักรวรรดิดีเพราะเขาถูกสอนมาหลายอย่างในฐานะทูต

แลนซีลอตยิ้มเก้อและหลบตาฮิลลิส ฮิลลิสรู้ว่าแลนซีลอตรู้เมื่อเห็นท่าทางของเขา แต่เธอทำเป็นไม่รู้

ไม่จำเป็นต้องให้คนรู้ถึงสถานการณ์ของจักรวรรดิ แต่เมื่อเธอเห็นแลนซีลอตก็รู้สึกอยากแหย่เล่น “แลนซีลอตสงสัยอะไรหรือเปล่า?”

“ครับ?!” แลนซีลอตตกใจเมื่อฮิลลิสพูดกับเขา

เห็นเขาสะดุ้งแบบนั้น ฮิลลิสก็แอบหัวเราะในใจ

“เอ่อ ข้ากำลังสงสัยว่า พาลาดินที่คุ้มกันเซนต์หญิงน้อยไปหรือเปล่า?” แลนซีลอตถาม

กลุ่มของฮิลลิส มีฮิลลิส หญิงรับใช้ของเธอ และพาลาดิน 13 คน รวมเป็น 15 คน มันน้อยเกินไปเมื่อคิดถึงฐานะของเซนต์หญิงแห่งจักรวรรดิ ตามกฎของจักรวรรดิ อัศวินแต่ละคนจะมีอัศวินฝึกหัด 2 คน หรือก็คือ กลุ่มของฮิลลิสมีแค่หนึ่งในสามของที่ควรจะเป็น

เลชาคิดว่า 13 คนก็เยอะแล้วและเอียงคอด้วยความสงสัย

ที่เธอสงสัยเพราะผู้เข้มแข็ง 13 คนของเผ่ากาสามารถทำลายนิคมของสัตว์ประหลาดก่อนน้ำร้อนในแก้วหนึ่งใบจะหายร้อน เพื่อเอาไว้เปรียบเทียบ ถ้าสัตว์ประหลาดปรับตัวเข้ากับป่าโอลิมปัสและสร้างนิคมขึ้นมา ประชากรมักจะมีไม่น้อยกว่า 1,000 ตัว

เลชาไม่ถามเพราะโลกนอกป่าโอลิมปัสมีหลายเรื่องที่เกินสามัญสำนึก บางทีในประเทศที่เรียกว่าจักรวรรดิ 13 คนคงถือว่าน้อย

เลชารอฟังคำตอบของฮิลลิสระหว่างที่ตอบคำถามของตัวเองพร้อมกับยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมไปด้วย

ฮิลลิสทำหน้าแปลกใจเหมือนไม่คิดว่าเขาจะถามเรื่องนี้ แต่เธอรีบกลับไปยิ้มใจดีเหมือนเดิมและตอบ “ที่จริงคือ ข้าทิ้งกองอัศวินปกติที่จะมากับข้าไปเพราะมันน่ารำคาญ”

อัศวินที่ฮิลลิสพูดถึง ไม่ใช่กลุ่มอัศวินไม่เป็นทางการที่กำลังคุ้มกันเธออยู่ ต้องมีอัศวินอย่างน้อยสองกลุ่มถึงจะถือเป็นกองอัศวินอย่างเป็นทางการ รวมถึงอัศวินฝึกหัดด้วย

กองอัศวินของจักรวรรดิโดยทั่วไปมีห้ากลุ่มรวมกัน แต่กองอัศวินเป็นหน่วยพิเศษ จำนวนกลุ่มสามารถแตกต่างกันไปได้ขึ้นอยู่กับหัวหน้ากองอัศวิน

“เอ๋? แบบนั้นก็ได้เหรอ?”

เลชาไม่รู้ขนาดจริงๆของกองอัศวิน แต่เธอสงสัยว่าคนที่มีฐานะอย่างเซนต์หญิงจะเดินทางในทะเลทรายหลังจากทิ้งขบวนคุ้มกันได้โดยไม่เกิดปัญหา สำหรับเลชา ถ้ามันเป็นกฎ เธอจะไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ไม่ว่าจะมีฐานะสูงขนาดไหน

“แน่นอนว่าไม่ ฮุๆๆ”

เลชาคิดว่าฮิลลิสหัวเราะเหมือนเดนเบอร์ก

ด้วยความคิดที่ถ้าแลนซีลอตได้ยินคงไม่เห็นด้วยแน่นอน เลชามองฮิลลิสด้วยสายตาสงสัย


สารบัญ                                                         บทที่ 75.1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น