บทที่ 40 – การสอบเข้า (4)
ไปดีกว่า ออกจะน่าเศร้าแต่ผมยังควบคุมแรงตัวเองไม่ได้ ถ้าผมเข้าไปช่วยพวกอันธพาลอาจถึงขั้นพิการ พูดจริงๆมันน่ารำคาญด้วย
ผมเห็นใจเด็กผมขาวที่กลัวจนหน้าซีด แต่การหลีกหนีเรื่องยุ่งยากเป็นสัญชาติญาณของข้าราชการ ขอโทษที่ผมเป็นแค่ชาวบ้านตาดำๆ
“ขอโทษแล้วมันหายเรอะ! นี่ข้าแขนหักนะ จ่ายมา 3,000 เบี้ย!”
นักเลงกล่าวคำคุ้นหูออกมาแล้วชกใส่เด็กหนุ่ม ผมเข้าไปขวางระหว่างเด็กหนุ่มกับนักเลงทันทีและปัดหมัดด้วยมือข้างเดียวและผลักเบาๆ
ตูม!
นักเลงกระเด็นไปชนกำแพงแล้วกระเด้งออกมาพร้อมกับกระอักเลือด
“อ๊าก!”
นักเลงคนหนึ่งมองเพื่อนที่ลอยไปทางกำแพง อีกคนร้องพลางชี้มาทางผม
“อะไร...อะไรของแก มาจากไหน!”
เอ้อ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้ว! ถึงอย่างนั้นสภาพของอันธพาลที่กระอักเลือดก็ยังดีกว่าที่ผมเจอนักเลงในกรันเวล
เมื่อผมไม่ตอบ นักเลงที่ตะโกนถามก็ด่า
“ไอ้xxนี่เมินข้าเหรอ?”
ด่าแบบนี้ก็เกินไปนะทั้งๆที่ผมเป็นผู้ช่วยชีวิตของนักเลงที่กระอักเลือดสลบไปคนนั้น เหตุผลที่ผมเข้ามาชวางก็เพราะเป็นห่วงชีวิตของเขาแท้ๆ
ตอนนักเลงจะชกเด็กผมขาว เด็กคนนั้นหลับตาปี๋เหมือนกลัวและพยายามจะต่อยกลับ ถ้าผมไม่เข้าไปขวาง เขาก็ถูกฆ่าไปแล้ว หมัดนั่นมีพลังมากพอที่จะฆ่าเขาเช่นแมลง
ผมจับนิ้วของนักเลงที่ชี้ใส่ผมแล้วงอมัน
เป๊าะ!
“อ๊า!”
ผมตั้งใจจะทำให้เจ็บสักหน่อยแต่กลายเป็นหักนิ้วเขาไปแทน แต่ไม่เป็นไรเพราะเป็นมือซ้าย
ถ้าถนัดซ้ายก็ขอโทษแล้วกัน เปลี่ยนไปใช้มือขวานะ
ผมเลิกสนใจนักเลงที่กำลังกุมมือซ้ายสะอึกสะอื้น หันไปสนใจนักเลงอีกคนที่กำลังมองเพื่อนที่สลบอยู่
“เฮือก!”
เขาดูคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ?
อ้อ! กรันเวล!!
ใช่แล้ว เขาคือคนที่ผมเจอตอนปลอมตัวเป็นลุงผู้มีแผลบนหน้า เขาคือนักเลงที่สัญญาว่าจะพาผมไปพบคนอาชีพเดียวกับเขาแต่หนีไปเสียก่อน
ลูกตาของเขาสั่นรัวเมื่อผมตะโกน ขณะผมเดินเข้าไปหาอย่างยินดี เขาก็ปัสสาวะรดกางเกง
“โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิต!”
เหมือนว่าผมทำให้เขาคิดถึงประสบการณ์เลวร้าย เขาดิ้นรนร้องขอชีวิต เมื่อผมเดินเข้าไปอีกก้าว เขาก็นิ่งไป รู้ตัวแล้วก็วิ่งหนีไป
“อ๊า!”
ผมจะไล่ตามแต่จู่ๆก็มีคนฉุดเสื้อผมเอาไว้
“ฮึกๆ ขอบคุณมากๆฮ้าบ!”
ด้านหลังผม เด็กร่มดำผมขาวร้องไห้และขอบคุณผม
เอาสักอย่างได้ไหม – จะร้องหรือพูดขอบคุณ? ไม่สิ ปล่อยก่อนได้ไหม? ข้าต้องไปทำให้เจ้าคนไม่รักษาสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง
ผมกลืนสิ่งที่อยากพูดกลับไป หยิบลูกอมออกมาแทน
“กินไหม?”
“ฮ้าบ!”
จะร้องไห้หรือตอบก็เลือกเอาสักอย่างสิ
เด็กผมขาวอมลูกอมทั้งน้ำตา ให้ลูกอมเขาเป็นความคิดที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เขาเงียบลง
อ๊ะ จะว่าไป นักเลงที่ร้องอยู่ไปไหนแล้ว? อาฮะ คลานไปโน่นแล้ว
รู้ตัวว่าถูกเห็นแล้ว นักเลงลุกขึ้นวิ่ง เขาวิ่งไวทีเดียวทั้งๆที่ต้องสะเทือนแผลนิ้วหัก
“ขอบ นะ ผมกัวมาก”
ตอนร้องก็พูดไม่ชัดอยู่แล้ว นี่อมลูกอมอยู่ด้วย ไม่รู้เรื่องเฟ้ย!
“เฮ้ คายลูกอมออกมาแล้วค่อยพูดได้ไหม?”
อาจเพราะไม่อยากคาย เขาเลยเคี้ยวลูกอมแล้วกลืน
“ขอบคุณมากครับ จู่ๆข้าก็ถูกคนน่ากลัวล้อม ฮึก”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนขี้แยขนาดนี้ เขามีน้ำตาเยอะเหมือนฟองน้ำ นอกจากนั้น ผมสงสัยว่าเขาสติดีหรือเปล่าที่กลัวคนอ่อนแอกว่า
“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปล่ะ”
ผมตั้งใจจะตามนักเลงจากกรันเวล แต่เด็กผมขาวคว้าเสื้อผมไว้อีก
“คราวนี้มีอะไร?”
เด็กผมขาวตอบอย่างลังเล “เอ่อ เอ่อ โรงเรียนอัศวิน... ไปทางไหน?”
“โรงเรียนอัศวิน?”
กลายเป็นว่าเด็กขี้แยกับผมจะไปทางเดียวกัน ผมคิดจะทิ้งเขาไว้เพราะน่ารำคาญ แต่เขามองผมอย่างน่าสงสารมากจนต้องถอนหายใจ
“ข้าก็กำลังไปที่นั่นเหมือนกัน ตามมาสิ”
ผมบอกแล้วเดินนำ ระหว่างทาง เด็กผมขาวถามผมหลายเรื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เอ่อ ขอโทษนะ เจ้าก็จะไปสอบโรงเรียนอัศวินเหมือนกันเหรอครับ?” เด็กผมขาวถามคำถามเหลวไหลขึ้นมา
ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดว่าคนอ่อนแออย่างผมอยากเข้าเรียนโรงเรียนมนุษย์บ้ากล้ามเหม็นเหงื่อได้อย่างไร? ถ้าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ทรงปัญญาก็ว่าไปอย่าง อีกอย่าง เขาเรียกผมอย่างกันเองว่า ‘เจ้า’
“หือ? ไม่ใช่ อีกอย่าง จะพูดแบบสุภาพหรือแบบกันเองก็เลือกสักอย่างสิ”
เด็กผมขาวยิ้มกว้างตอบ “ได้ ข้าจะพูดอย่างกันเอง”
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าพูดแบบกันเอง... เฮ้อ ช่างมันเถอะ!”
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะผมเป็นคนพูดแบบกันเองก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเราคงไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว
“ว่าแต่ ทำไมเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่คิดจะเข้าโรงเรียนอัศวิน?”
จะตอบดีไหมนะ แต่ผมคงตอบว่า “เพราะข้าเป็นคนของเผ่ากา หนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ เลยเกิดมาพร้อมกับความสามารถเข่นฆ่าผู้อื่น” ไม่ได้
“-ฟังว่าข้าแข็งแกร่งเพราะล้มนักเลงข้างถนนสามคนนี่มันแปลกๆนะ”
ผมตอบแต่ก็เหมือนไม่ตอบ แต่ดูเหมือนเด็กผมขาวจะไม่เห็นด้วย
“แต่พวกเขาดูอันตราย น่ากลัว แล้วก็ แล้วก็-”
เด็กผมขาวหาคำพูด เหมือนเขาจะรู้จักคำน้อย
“มีพวกเยอะ?”
เขาปรบมือ “ใช่! มีพวกเยอะ! ว่าแต่ ทำไมเจ้าแข็งแกร่งจัง?”
มันเริ่มน่ารำคาญเมื่อเขาถามด้วยตาระยิบระยับ
“ข้าไม่ได้แข็งแกร่ง นักเลงพวกนั้นอ่อนแอต่างหาก อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นเหมือนกัน?”
“ข้าเหรอ?!”
เขาจ้องผมอย่างตกใจเหมือนกระต่าย ตาสีแดงยิ่งทำให้เหมือนกระต่ายขึ้นอีก
“ใช่ เจ้าดูแข็งแกร่งกว่า”
หมัดที่ต่อยออกขณะหลับตาดูไม่แรง แต่พลังเวทที่อยู่ในหมัดแบบเป็นธรรมชาติทำให้มันทรงพลัง แต่หมัดของเขาดูลังเลเหมือนคนเคยแต่ฝึกไม่เคยต่อยจริง
“แข็งแกร่ง? ข้าเหรอ?”
เด็กผมขาวดีใจแต่เหมือนจะทำตัวไม่ถูกเพราะความเขิน เขาดูเหมือนคนที่ได้รับการยอมรับในทุกสิ่งที่ทำมา
“เฮ้ บางที เจ้าคิดว่าข้าจะได้เข้าเรียนโรงเรียนอัศวินไหม?”
“มั้ง? ไม่รู้สิ”
พูดตรงๆมันไม่ใช่เรื่องของผม บรรยากาศหดหู่เข้ามาครอบคลุมเด็กผมขาว ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเหมือนไปทำร้ายจิตใจคนเข้าสอบ
“แต่ว่า ถ้าเจ้าไม่กลัวและตั้งใจทำเต็มที่ต้องเข้าได้แน่”
บรรยากาศหดหู่สลายไป เด็กผมขาวมองผมด้วยสีหน้าแจ่มใส
“จริงเหรอ?”
“เอ่อ-”
“จริงเหรอ จริงเหรอ จริงเหรอ?”
เด็กผมขาวยื่นหน้ามาใกล้ทำให้ผมตกใจและดันหน้าเขาออก
“จริง เพราะงั้นถอยไปได้แล้ว!”
อะไรกัน! ยื่นหน้ามาแรงขนาดนี้เลย? หรือว่าเด็กนี่จะเป็นชาติพันธุ์นักสู้?
“อื้ม!”
เด็กผมขาวยิ้มทั้งๆที่ถูกดันหน้าจนพูดไม่ชัด
เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของโรงเรียนอัศวิน ผมเดินเลยไม่เข้าไปพลางโบกมือลาเด็กน่ารำคาญ
“จากตรงนี้ก็หาทางไปเองนะ”
ผมไปทางโรงเรียนเวทมนตร์ ถึงโรงเรียนจะอยู่ติดกันแต่ผมต้องเดินอ้อมหน่อยเพราะสนามโรงเรียนใหญ่ ตอนนั้นเอง เด็กผมขาวก็หยุดผม
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาอ้ำอึ้งด้วยความเขิน ให้อธิบายอย่างไรดี? เหมือนกำลังมองกระต่ายตกน้ำ
“คือว่า เอ่อ กรุณาเป็นเพื่อนกับข้าด้วย!”
คำพูดที่เด็กผมขาวเค้นออกมาจนได้คือประโยคที่เหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนในการ์ตูนพูด ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินในชีวิตจริง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“อ๊ะ อัลฟอนโซ”
เวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จะพูดว่าอะไรดีนะ? ลองพูดตามที่เคยเห็นในการ์ตูนแล้วกัน
“ข้าชื่อเดน ไว้พบกันใหม่ถ้าชะตาตรงกัน”
พูดแล้วก็อายสุดๆ ผมเร่งฝีเท้าตามความรู้สึกละอาย การเป็นเพื่อนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ถ้าชะตาตรงกันก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าชะตาไม่ตรงกันก็ไม่เป็น ผมตรงไปทางห้องสมุด
ผ่านไปสักพัก เหมือนเด็กผมขาวจะตะโกนว่า “ได้!” แต่ผมไม่แน่ใจเพราะเดินห่างมาไกลแล้ว รีบไปให้ห่างจากอดีตน่าอายที่เพิ่งสร้างขึ้นมาดีกว่า
ผมมาถึงห้องสมุดโรงเรียนเวทมนตร์และดูเวลา ยังมีเวลาเหลือพอสมควรก่อนการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์ น่าจะพอให้อ่านหนังสือสบายๆสักหนึ่งหรือสองเล่ม โรงเรียนเวทมนตร์มีนักเรียนจากครอบครัวขุนนางหรือคนของหอคอยเวทมนตร์เป็นหลัก ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยจึงเข้มงวด
การเข้าห้องสมุดต้องถูกตรวจสอบตัวตนครั้งที่สอง (ครั้งแรกก่อนเข้าโรงเรียน) และต้องตรวจอาวุธและวัตถุอันตราย ทำให้รู้สึกเหมือนตรวจคนเข้าประเทศที่สนามบิน เมื่อได้เข้ามาข้างใน ผมคาดว่าจะได้เห็นภาพที่สมเป็นห้องสมุดเวทมนตร์ แต่ข้างในธรรมดากว่าที่คิด ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับห้องสมุดของวิทยาลัยทั่วไปในชาติก่อนของผมแล้วก็ใหญ่กว่า 4-5 เท่า
อยากใส่ว่าพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการมากกกก
สวัสดีปีใหม่นะค้าบบ
ตอบลบ