วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 86

 บทที่ – 86

ขณะเดิน ผมเอาแผนที่เมืองหลวงจากในเสื้อคลุมออกมาและวาดเส้นทางเคลื่อนไหวของหัวหน้าเพลแกรนท์ทับลงไป

“รูปเขียนเล่นอะไร?” รองหัวหน้าอัศวินถาม แรงใจในการเมินภาระน่าหนวกหูของผมใกล้ถึงขีดจำกัด

“มันคือแผนที่เมืองหลวง”

ผมมองภาระเหมือนจะถามว่า ‘แค่นี้ก็ไม่รู้เหรอ?’ แต่ภาระหัวเราะใส่ผมเสียงดัง ‘ปู้ด’

“นั่นแผนที่? เด็กยังวาดได้ดีกว่านั้นเลย”

กล้าดียังไงถึงพ่นคำเหลวไหลขนาดนั้นออกมา? แผนที่นี้ลอกอย่างบรรจงจากอันที่ซื้อมาจากร้านขายข่าวแม่ใหญ่นะ นึกว่าตัวเองมีชีวิตเหลือพอเหรอ?

เห็นแผนที่หน้าตาแบบนี้ แต่ผมคิดอย่างภูมิใจว่าฝีมือผมดีกว่าลุงบลัดดี้ ชายผู้เป็นนักวาดที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน กล้าดียังไงมาทำลายศักดิ์ศรีผม? ยิ่งเป็นแค่ตัวถ่วงด้วย

“หุ โกรธเหรอ? แต่มันเกินไปนะ แผนที่อย่างน้อยควรดูเหมือนแบบนี้” พูดแล้วภาระก็ดึงกระดาษออกจากอก

ถึงผมจะโกรธ แต่มองแวบเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นแผนที่ที่ดูดีกว่าอันที่ผมวาด เทียบ ถึงจะไม่เท่ากับอันที่ผมซื้อจากร้านขายข่าว แต่มันมีรายละเอียดเช่นถนนสายเล็ก มันเป็นแผนที่ใช้ในการทหาร

ผมฉกแผนที่จากมือภาระ เขาช็อกไปอย่างน่าดูชม คงไม่คิดว่ามันจะถูกแย่งไป

“เฮ้ นั่นให้เฉพาะระดับผู้จัดการ!” ภาระพยายามแย่งแผนที่คืน แต่แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้

ชายคนนี้อ่อนแอกว่าพี่สาวคนโตของผมผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน คิดจะแย่งแผนที่นั้นเร็วไปร้อยปี อย่างน้อยเขาต้องมีแรงเท่าพี่ชายใหญ่ของผมหรือเร็วเท่าพี่ชายรองถึงจะทำได้

ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่นี้ต้องเป็นยุทโธปกรณ์ของกองทัพจริงๆ ถ้าผมบอกหัวหน้าอัศวินว่าผมเอาแผนที่ของรองหัวหน้าอัศวินไป แม้จะไม่ถึงขั้นถูกขังแต่น่าจะพอให้โดนลดขั้น ดังนั้นมาใช้มันอย่างขอบคุณดีกว่า ผมวาดเส้นทางเคลื่อนไหวของเพลแกรนท์ทับลงไป

“อ๊า! ข้าบอกแล้วไงว่ามันเป็นของกองทัพ! เวรเอ๊ย! ทำยุทโธปกรณ์เสียหายหรือสูญหายจะถูกลงโทษให้เดินทัพ 40 กิโลเมตรแบบไม่ใช้เวทมนตร์นะ!”

เหมือนมีเสียงกรีดร้องดังจากที่ไหน แต่ผมคงหูฝาด ถึงไม่ฝาดก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ยุทโธปกรณ์เลอะด้วยหมึกดำแล้ว ฮ่าๆๆ! รู้สึกดีมาก! เหมือนได้เดินบนหิมะที่ไม่เคยถูกใครเหยียบมาก่อน!

เพื่อเป็นข้อมูล การเดินทัพของจักรวรรดิใส่เกราะอาวุธครบ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนบอกมาแบบนี้ตอนสอนการเก็บยุทโธปกรณ์ในวิชาการใช้อาวุธ

ผมลอกเส้นทางเคลื่อนไหวของหัวหน้าเพลแกรนท์แล้ววาดวงกลมรัศมี 500 เมตรรอบมัน

“อ๊า! ไม่นะ!”

วาดเสร็จ ผมทิ้งภาระที่หัวเสียมากไว้ข้างหลังและอ่านรายชื่อคนที่ใช้ฮอร์นได้ วงกลมคือบริเวณที่พวกเขาสามารถพาฮอร์นไปได้ เวทที่ใช้ผนึกฤทธิ์ของฮอร์นนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น คงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะใช้เวทก่อนแล้วค่อยขนส่งฮอร์นออกมา 

ฮอร์นมีพิษสูงมาก ถ้าไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุระดับผู้เฒ่าเมอร์ปา หรือคนที่เคลื่อนไหวได้เร็วเท่าชาติพันธุ์นักสู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่นอกวงกลม ส่วนเรื่องเวลา รถม้าช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะถนนของเมืองหลวงไม่ใช่ถนนลาดยางแต่เป็นหินขรุขระ

ถ้าเวทที่ร่ายบนฮอร์นหลุดเพราะรถม้าโคลงเคลงก็ยิ่งแย่ เวทพิเศษนี้ไม่ยอมให้ขวดบรรจุสั่น

ไหนดูหน่อย ในสามสิบหกคนที่เข้าข่าย มียี่สิบคนเป็นนักเวทหลวงและอาศัยในพระราชฐานชั้นนอก สองคนหายสาบสูญและถือว่าเสียชีวิตไปแล้ว สี่คนออกนอกเมืองไปหาวัตถุดิบสำหรับทำยา ที่เหลือสิบคน เจ็ดคนอยู่ไกลเกินไป ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยจึงเหลือสามคน 

ถ้าผมรู้ว่าหัวหน้าเพลแกรนท์กินยาพิษเข้าไปที่ไหนก็รู้ตัวคนร้ายทันที แต่โชคร้ายที่ผมไม่มีอาเจียนของเขามาตรวจสอบ 

น่าเสียดาย แต่ต่อให้มี ผมว่าระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบกับระยะเวลาไปหาเรื่องผู้ต้องสงสัยสามคนที่ห้องปรุงยาของพวกเขาก็เท่ากัน

ผมส่งแผนที่ที่เขียนชื่อและวงที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยสามคนเอาไว้ให้ภาระ ภาระหัวเสียอีกรอบเมื่อเห็นแผนที่เปรอะเปื้อน

“เฮ้ ไม่ใช่เวลาลนลานนะ เราต้องรีบไปอัด แฮ่ม! ไปจับตัวคนร้ายกันเถอะ”

พูดถึงยุทโธปกรณ์ พวกมันเป็นของที่ต่อให้ตัดไปก็ยังโผล่มาได้อยู่ดี เป็นรองหัวหน้าอัศวินแต่มาร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ ถือว่าจิตใจอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“ฮึ่ม! หัวหน้าบอกจะฆ่าข้าถ้าทำของกองทัพพังอีก!”

โอ้ แบบนั้นก็ควรลนลานจริงๆ หัวหน้าอัศวินดูเป็นคนเวลาโกรธแล้วน่ากลัว

ผมยิ้มและยื่นมือให้ “คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็แล้วกัน”

เหมือนโบราณว่าไว้ ยอมแพ้สบายกว่า ถ้าเขาไม่ล้อแผนที่ของผมก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่ต้องขอบคุณเขา ผมจึงไม่ต้องเทียบแผนที่ในหัวกับแผนที่ที่ผมวาด ซึ่งทำให้สะดวกขึ้นเยอะ

ภาระไม่จับมือที่ผมยื่นให้แต่ดูยิ่งหมดหวังกว่าเดิม มองเขาแล้วผมก็คิด : ตัวถ่วงจริงๆ

 “ลุกขึ้นสิท่านผู้กล้า!” จำการควบคุมแรงที่ฝึกมาจากตอนจับหัวอัลฟอนโซ ผมเตะก้นภาระเบาๆ

“แอ๊ก!”

ในที่สุดผมก็มั่นใจเมื่อเห็นภาระกุมก้นของเขา ผมคุมแรงตัวเองได้แล้ว! เขาไม่ตาย และไม่รู้สึกว่ากระดูกหัก ผมแค่รู้สึกว่าเตะเขาได้ดี

“ไปกันเถอะ!” ผมพ่นลมทางจมูกอย่างภูมิใจและลากคอภาระ

รีบไปทรมานพวกผู้ต้องสงสัยกันเถอะ!

***

ผมถีบประตูห้องปรุงยา ซึ่งใช้เป็นที่พักของผู้ต้องสงสัยคนแรก และตะโกน “ออกมา!”

ตึง!

อาจเพราะแรงถีบ ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายและปลิวไป

“ประตูเปิดแล้ว เข้าไปกันเถอะ” ผมพูด

“เฮ้ แบบนี้คนเขาไม่เรียกว่าเปิดนะ”

เมินเด็กขี้แยที่ยังลูบก้นตัวเองไม่เลิก ผมเข้าไปในห้องปรุงยา เมื่อเข้ามาในบ้าน ชายคนหนึ่งที่คงจะเป็นเจ้าของรีบวิ่งออกมา

“อะไร นี่มันอะไรกัน?” เขาตกใจและมองสลับระหว่างประตูกับพวกเรา ก่อนจะชี้ไปที่ภาระข้างตัวผม

“เจ้าทำอะไร! ทำไมมาพังประตูบ้านคนอื่น!”

จู่ๆก็ถูกกล่าวหา ภาระมองผมด้วยน้ำตาคลอ ระหว่างคนผอมและดูไร้เดียงสาอย่างผม คนร่างบึกเหมือนอันธพาลอย่างเขาน่าสงสัยกว่าจริงๆ 

ผมพยักหน้า “ใช่แล้ว! อยู่ดีๆก็พังประตูมันเกินไป!”

“ไม่ใช่! เจ้า...!” ภาระสำลักคำพูดตัวเอง

ผมยิ้มให้ภาระและเข้าใกล้ชายที่เหมือนจะเป็นเจ้าของบ้าน “เจ้า ใช่คุณคาปอลหรือเปล่า?”

“ใช่ ข้าคาปอล แต่...” 

ผมแสดงตราทำจากแผ่นโลหะรูปสัญลักษณ์ของอัศวินกวางขาว “เรามาจากที่นี่”

ตราที่เหมือนตราตำรวจนี้ เป็นของภาระข้างหลังผม

“หา? หา?!” เมื่อผมแสดงตรา เขาตื่นตระหนกและล้วงกระเป๋า แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพราะตราของเขาอยู่ในมือผม

ตอนผมคืนแผนที่ ผมแอบล้วงตราของเขาออกมา เห็นเขาเพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามีอัศวินทื่อขนาดนี้อยู่เมืองหลวงจะปลอดภัยหรือเปล่า

“พวกเจ้าจากกองอัศวินกวางขาวมาที่นี่เพื่ออะไร?” นักเล่นแร่มองพวกเราอย่างค่อนข้างระแวง

“มีรายงานว่าห้องปรุงยาของเจ้าผลิตและจำหน่ายยาผิดกฎหมาย ยอมให้ค้นเสียดีๆ จะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรง” ผมพูด

ผู้ต้องสงสัยคนแรกและภาระต่างมองผมด้วยความช็อก ผมเข้าใจ แต่เรื่องมันยุ่งยากเกินกว่าจะอธิบายและมันใช้เวลานาน พูดตรงๆ มันน่ารำคาญ

“กล่าวหากันชัดๆ! ห้องปรุงยาของข้าไม่มีความผิด!”

ผมตบบ่าผู้ต้องสงสัยที่ตะโกนหน้าดำหน้าแดง “ไว้พวกเราเห็นข้างในแล้วก็รู้เอง รองหัวหน้า ค้น!”

ภาระมองผมเหมือนเรื่องมันบ้าไปกันใหญ่แล้วและกระซิบ “เฮ้ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าการค้ายาจะถูกลงโทษยังไง ขู่เขาแบบนี้?”

“แน่นอนข้ารู้ ที่ศูนย์ฝึก ข้าเป็นที่หนึ่งในวิชากฎหมายจักรวรรดิ ผู้กระทำความผิดครั้งแรกต้องโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปีหรือประหารชีวิต กระทำความผิดซ้ำจำคุก 30 ปีหรือประหารชีวิต”

เพื่อเป็นข้อมูล กฎหมายนี้สำหรับชนชั้นสูง คนธรรมดามีแต่ประหารชีวิต ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่สอง จักรวรรดิเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กฎหมายสำหรับคนธรรมดากับชนชั้นสูงจึงต่างกัน สำหรับความผิดค้ายา คนขายถูกลงโทษเหมือนกัน ยกเว้นชนชั้นสูงที่มีอำนาจมาก

พูดอีกอย่างคือ การก่อกบฏที่นี่หมายถึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขายยาและถูกส่งไปแท่นประหาร ในประเทศโบราณเช่นนี้ พิจารณาตัดสินโทษโดยเชื่อก่อนว่าผู้ต้องสงสัยเป็นผู้กระทำผิด ไม่ใช่เชื่อก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ พอมาคิดดูแล้ว ผมดีใจจริงๆที่ช่วยหัวหน้าเพลแกรนท์ไว้ได้

ถ้าเพลแกรนท์ตาย ผมจะออกมาหาคนร้ายเองไม่ได้ แต่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในคุก ทางเลือกอื่นคือทิ้งตำแหน่งผู้รับการฝึกเป็นข้าราชการและหนีไป

“ข้าต้องทำอย่างนี้เพื่อให้เขาร่วมมือง่ายขึ้น” ผมยิ้มสดใส

ภาระทำหน้าเหนื่อยใจ แต่ถ้าผู้ต้องสงสัยไม่ใช่คนที่ผมตามหาก็ไม่เป็นอะไรหรอก ยาคงไม่โผล่ออกมาตอนค้นจริงๆหรอก ใช่ไหม?

ผมเข้าไปในห้องปรุงยาและสังเกตการตกแต่งภายใน กลางห้องมีหม้อใหญ่หม้อหนึ่ง ถัดจากหม้อเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง มีสารต่างๆวางอยู่

“ไหนดูซิ” มองคร่าวๆแล้ว ผมเห็นสารที่ใช้ในการระงับฤทธิ์ของฮอร์น รวมถึงสารที่ไม่ใช่ด้วย

ผมเขย่งเท้าดูข้างในหม้อ มันว่างเปล่า แต่มีกลิ่นตกค้าง ผมตั้งสมาธิไปที่กลิ่น

“หญ้าแสงจันทร์, สารสกัดจากคางคกจันทร์, หญ้าเอนดรา, กลีบดอกแมนดราโกกลีบที่หก...”

ผมท่องชื่อสมุนไพรจากกลิ่นในหม้อ เจ้าของห้องปรุงยามองผมอย่างประหลาดใจ การระบุกลิ่นแบบนี้เป็นเรื่องปกติหลังจากถูกฝึกโดยผู้เฒ่าเมอร์ปา

“...เลือดสุนัขนรก, หืม ไม่รู้, ไม่รู้, ผงภูติ, ไม่รู้...”

สิ่งที่ผมไม่รู้คือมันไร้กลิ่น หรือผ่านไปสามวันแล้วและกลิ่นจางไปจนเกือบหมด

ในการผนึกพิษของฮอร์น น้ำสกัดเข้มข้นจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์กับเลือดโทรลน้ำแข็งเป็นสิ่งจำเป็น แต่ห้องปรุงยานี้ไม่มีกลิ่นของพวกมัน

ต่อให้พวกมันถูกเก็บไว้ในตู้เซฟหรือห้องลับ ถ้าพวกเขาใช้มันผนึกฮอร์นวันนี้ย่อมไม่มีทางไม่มีกลิ่น

โชคไม่ดี ผู้ต้องสงสัยคนแรกไม่ใช่คนร้าย เพื่อเป็นการเผื่อเอาไว้ก่อน ผมตัดสินใจเปิดช่องลับใต้ดินที่ถูกป้องกันด้วยเวทมนตร์ เวทมนตร์ที่ทับถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆเหมือนจะบอกว่า “ข้าอยู่นี่” แบบนั้นแล้วจะไม่ดูสักหน่อยก็เสียมารยาท

“ท่านรองหัวหน้า ช่วยดันหม้อนี่ออกให้ได้ไหม?”

“ทำไม?”

“ทำตามที่ข้าพูดเถอะ ท่านตามข้ามาเพื่อทำหน้าที่ออกแรงไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ใช่ ข้ามาเฝ้า...”

“ชู่ว!” ผมเบิกตากว้าง

ภาระแตะหม้อและบ่นงึมงำ “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย?” 

เจ้าของห้องปรุงยาร้อนรนขึ้นมาทันทีและห้ามภาระ “ขอโทษนะ! ตำแหน่งของหม้อสำคัญและมีความหมายทางเวท-”

“ไม่มีหรอก ผลักเลย” ผมตัดบทและเร่งภาระให้รีบผลัก

คิดว่ากำลังหลอกใครอยู่? หลังจากผลักหม้อแล้ว ประตูเล็กๆก็เห็นอยู่ข้างใต้

“เปิดกันเถอะ”

ผมหยิบเหล็กเสียบที่อยู่บนพื้นใกล้ๆและแทงใส่รอยแยกตรงประตู ผมขยับเหล็กเสียบไปรอบๆเพื่อทำให้คริสตัลที่เป็นใจกลางของเวทมนตร์แตก เวทมนตร์สลายเพราะเหล็กเสียบเหรอ... จะด้อยคุณภาพไปถึงไหน

ประตูยกขึ้นเมื่อเวทมนตร์สลายและสิ่งที่อยู่ข้างในคือสวรรค์

“...รสนิยมรุนแรงนะ”

หนังสือผู้ใหญ่หลากหลายเล่มภายในน่าสนใจขนาดทำให้ผมอยากอ่านสักรอบ

เจ้าของห้องปรุงยาตะโกนหน้าแดงก่ำ “ออกไป...! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

ผมกับภาระถูกไล่ออกจากห้องปรุงยาไปอย่างนั้น อยากอ่านสักหน่อยจัง น่าเสียดาย




สารบัญ                                                        บทที่ 87

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 85

 บทที่ 85

เมื่อผมรับเอกสารที่ขอและยืนขึ้น คนขายข่าวถาม “โอ้ ขอถามได้ไหม”

“อะไร?”

“เจ้าได้รหัสของร้านขายข่าวแม่ใหญ่มายังไง?”

ผมลนลานเมื่อได้ยินคำถาม รหัสนี้ได้มาตอนผมปลอมตัวในกรันเวลระหว่างเดินทางมาเมืองหลวง ถ้ามันเป็นรหัสเฉพาะ เธออาจเชื่อมโยงผมกับชายวัยกลางคนตอนนั้น

ถึงอย่างนั้น ถ้ามองผ่านๆก็ไม่เหมือนจะมีปัญหา ผมตอนปลอมตัวกับผมตอนนี้ดูต่างกันมาก เธอไม่มีทางคิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่สำหรับคนที่ทำงานกับข้อมูล เบาะแสนี้อาจนำไปใช้สรุปว่าผมเป็นเดนเบอร์ก

ตอนนั้นผมเดินแบกกระเป๋าหนัก 500 กิโลกรัมอย่างสบาย เรื่องนั้นเรื่องเดียวพวกเขาก็อาจสรุปได้แล้วว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของชาติพันธุ์นักสู้ รหัสนี้อาจเชื่อมโยงผมกับชายวัยกลางคนที่มีแผลที่หน้าและนำไปสู่การค้นพบตัวจริงของผม ในที่สุด ความระแวงของผมก็นำปัญหามาจนได้

ไม่เหมือนในใจ ผมตอบด้วยเสียงไม่สนใจ “คำถามนี้เจ้าจะจ่ายเท่าไหร่?”

“ขอโทษ?”

“นี่เป็นที่ขายข้อมูล เพราะฉะนั้นข้าก็ขายมันได้เหมือนกัน ใช่ไหม?”

คนขายข่าวไม่มีปฏิกิริยา เพราะผ้าคลุมหน้าผมจึงบอกไม่ได้ว่าเธออึ้งหรือกำลังสนุก

“ก็จริง เจ้าจะขายเท่าไหร่?” เธอถาม

ผมมองไปที่เหรียญทองสองเหรียญตรงหน้าเธอ

“สองเหรียญทอง? แพงจังนะ”

“จะซื้อไหม?”

คนขายข่าวหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ไม่ ถึงอย่างไรเราก็เป็นร้านขายข่าว เราจะหาคำตอบเอง”

“ก็ลองดู” ผมส่งยิ้มบางๆขณะเดินออกจากห้อง ภาระเดินตามผม

บ้าจริง ผมต้องระวังตัวไปสักพัก

***

เมื่อลูกค้าออกจากห้อง มิลเปียถอนหายใจอย่างโล่งอกและปลดผ้าคลุมหน้า “เฮ้อ ข้าไม่ถูกจับได้”

ไม่รู้ว่าเดนจะบุกเข้ามา มิลเปียลดเสียงให้ต่ำและพยายามอำพรางตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เธอไปหอพักของคุณนายอาร์ซิลลาบ่อยๆเพื่อหาข้อมูลจากยูเรียโดยใช้ฐานะเพื่อนสนิท ที่นั่นบางครั้งเธอก็เจอเดน ซึ่งทำให้เธอประหม่ามาก

เดน เป็นคนหัวไวอย่างประหลาดและตัดสินสถานการณ์ได้เร็ว เธอจึงเชื่อว่าจะถูกจับได้ ถ้าเธอถูกจับได้ที่นี่ มิตรภาพระหว่างเธอกับยูเรียอาจไม่เป็นอะไร แต่กับอารีเลียคงจบสิ้น

ข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ได้มายาก ถ้าเธอถูกจับได้ ผลจะไม่ใช่แค่ขาดแหล่งข้อมูล การที่เธอเข้าหาเจ้าหญิงนั้นมากพอจะถูกข้อหากบฏ ทำให้เธอต้องหนีออกจากเมืองหลวง

มันจะกลายเป็นการลดตำแหน่งจริงๆถ้าต้องไปต่างเมืองหลังจากได้เลื่อนตำแหน่งแบบนี้ ตำแหน่งในตอนนี้มีค่ามากสำหรับมิลเปียเพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เธอถูกลดตำแหน่งไปเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามและชีวิตต้องเสี่ยงอันตราย

ขณะมิลเปียจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆและเริ่มเหงื่อตก ภาพขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังด้านขวาก็เลื่อนขึ้น และแม่ใหญ่ ผู้นำขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่ก็เดินออกมาอย่างระวัง

“ทำได้ดี”

มิลเปียยืนขึ้นและก้มหัวรับคำชมของแม่ใหญ่ “ไม่หรอกค่ะ มันเป็นงานของข้า”

“แหม ข้าบอกแล้วนะว่าไม่ต้องสุภาพนัก” แม่ใหญ่ยิ้มและนั่งตรงข้ามมิลเปีย มิลเปียนั่งตามและเริ่มต้มน้ำด้วยการส่งพลังเวทเข้าไปในกาต้มน้ำเวทมนตร์บนโต๊ะ

“แล้ว เจ้าคิดว่ายังไง?”

แม้แม่ใหญ่จะถามอย่างกะทันหัน แต่มิลเปียไม่ตื่นตระหนกและเข้าใจคำถาม “ข้าคิดว่าเขาเป็นผู้สืบทอดของเพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ สายสืบที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจักรวรรดิ์”

มิลเปียรู้ว่าคำถามของแม่ใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเดน เพราะเขามากับรองหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาว ความเข้าใจของเธอไม่ผิด ที่จริงแล้วแม่ใหญ่ถามว่าเธอคิดอย่างไรกับเดน

“เหตุผลที่เจ้าคิดอย่างนั้นคือ?”

“มีสามข้อที่ทำให้ข้าเชื่ออย่างนั้นค่ะ” มิลเปียพูดพลางชงชา

แม่ใหญ่ถามพลางรับน้ำชา “ขอฟังหน่อยสิ”

“ค่ะ ข้อแรก เขาถูกจับเพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่า ‘วางยาพิษข้าราชการ’ แต่ถูกปล่อยตัวภายในไม่กี่ชั่วโมง ข้าคิดว่าเพราะพวกเขาเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนร้าย”

แม่ใหญ่พยักหน้าช้าๆ “และ?”

“และเขาร่วมทางมากับอัศวินคนหนึ่ง อัศวินคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจักรวรรดิ เพิ่มจากทำงานเป็นรองหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาว ถ้าต้องการจับตามองเขา แค่อัศวินธรรมดาก็พอแล้ว ดูจากการใช้เจ้าหน้าที่ระดับสูง ข้าตัดสินว่าไม่ใช่แค่เพื่อการจับตามองแต่เพื่อปกป้องเขาจากศัตรูของเพลแกรนท์, นายกรัฐมนตรี, หรือจักรพรรดิ”

แม่ใหญ่ดื่มน้ำชาช้าๆ รอเหตุผลข้อสุดท้ายของมิลเปีย

มิลเปียพูดอย่างจริงจัง “สุดท้าย เขารู้ว่าเพลแกรนท์มาซื้อข้อมูลเมื่อคืน เราสรุปแล้วว่าเพลแกรนท์ไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่ว่าเขาจะสนิทกับคนนั้นแค่ไหน แปลว่าเขาไม่ได้ไม่เกี่ยวข้องกับงานของเพลแกรนท์ เมื่อรวมกับอายุและจังหวะเวลาที่เขาถูกส่งไปฝึกงานกับเพลแกรนท์ เราสรุปว่าเขาเป็นผู้สืบทอดหรืออย่างน้อยก็เป็นศิษย์ของเขา”

หลังการอธิบายยาว มิลเปียดื่มน้ำชาให้หายคอแห้งและพูดต่อ “แต่ มีอย่างหนึ่งที่รบกวนใจข้า”

“อะไร?” แม่ใหญ่มองมิลเปียเหมือนกำลังประเมินเธอ

มิลเปียรู้สึกกลัวเล็กน้อยแต่พูดถึงสิ่งที่เธอสงสัยออกมา “เขาใช้รหัสติดต่อธรรมดา ไม่ใช่รหัสที่ตกลงกับราชวงศ์หรือนายกรัฐมนตรีอาคันทา”

ตรงข้ามกับที่เดนกังวล มิลเปียให้รหัสติดต่อแบบปกติกับเขา นั่นเพราะพวกเขาคิดว่ารหัสเฉพาะจะทำให้องค์กรของชายวัยกลางคนระวังตัวขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องไม่พึงประสงค์เนื่องจากพลังในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่พวกเขาเชื่อว่าองค์กรครอบครองเอาไว้

เดนเจอองค์กรข้อมูลแม่ใหญ่โดยบังเอิญ เขาไม่มีทางรู้ว่ารหัสที่ได้มาเป็นรหัสพิเศษหรือปกติ แต่มิลเปียไม่คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าอีกฝ่ายมาจากองค์กรขนาดใหญ่ เพราะเห็นเขาเดินเข้ามาในฐานสำคัญที่สุดขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่อย่างมั่นใจ และซื้อข้อมูลไปจำนวนมหาศาล

มิลเปียสรุปว่าถ้าองค์กรรู้ว่าฐานขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่ที่สำคัญและลับที่สุดอยู่ที่ไหน เขาย่อมรู้รหัสติดต่อแบบปกติ

ด้วยเหตุนั้น ถ้ามิลเปียให้รหัสที่ต่างจากปกติโดยไม่แจ้งก่อน อีกฝ่ายจะคิดอย่างไร? มิลเปียเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องระวังตัว

สิ่งสำคัญสำหรับองค์กรข้อมูลคือการไม่เป็นศัตรูกับกลุ่มใด แม้พวกเขาจะถูกโจมตีถ้าเผยจุดอ่อนออกมา พวกเขาต้องเลี่ยงการสร้างศัตรูแบบไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แม้องค์กรข้อมูลแม่ใหญ่จะมีความตื่นตัว รอบคอบ ระวังตัว แต่ศัตรูอาจไม่ใช่ นี่เป็นกฎการอยู่รอดและการทำธุรกิจขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่

“ข้าคิดว่าเพลแกรนท์ปิดกั้นเขาไม่ให้เข้าใกล้ ‘พิจิก’ ที่เขาไล่ตามอยู่ มันสมเหตุสมผลถ้าดูจากการตายของเด็กฝึกงานคนก่อนของเขาที่สร้างแผลใจให้เขาจนทำให้เขาถอนตัวจากแนวหน้า เพลแกรนท์คงไม่บอกเขาถึงวิธีติดต่อกับเรา แสดงว่าเขาหาวิธีนี้เจอด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้รหัสที่ตกลงกันไว้”

มิลเปียให้คำตอบที่เป็นไปได้กับคำถามของเธอและพูดต่อ “ดังนั้นข้าจึงอยากตรวจสอบว่าเขาหาวิธีติดต่อเราเจอได้ยังไง”

ที่มิลเปียพูดอย่างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา รหัสติดต่อขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด จะบอกว่าเป็นเส้นชีวิตของพวกเขาก็ไม่เกินไป การที่เดนรู้วิธีติดต่อองค์กรข้อมูลแม่ใหญ่หมายความว่าต่อไปจะมีลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญมาอีก ปัญหาคือไม่มีอะไรรับรองว่าลูกค้าคนนั้นจะไม่ประสงค์ร้ายกับพวกเขา

แต่แม่ใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ อย่ายุ่งกับเขา”

มิลเปียตะลึง แต่ไม่แสดงออกมา

“ถามได้ไหมคะว่าทำไม?” มิลเปียถามอย่างระวัง แต่แม่ใหญ่เพียงยิ้ม ไม่ตอบ

“นี่เป็นคำสั่ง อีกอย่าง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขาก็ห้ามรวบรวม”

มิลเปียมีสีหน้าแข็งค้าง เธอพยายามทบทวนว่ามองข้ามอะไรไป แต่หลังจากทบทวนหลายครั้งก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลของเธอถูกต้องและไม่มีความเสี่ยง

ถึงอย่างนั้น มิลเปียไม่มีทางอื่นนอกจากพูดว่า “รับทราบค่ะ”

การขัดขืนมีแต่ความตายที่รออยู่

แม่ใหญ่ลุกขึ้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก แต่มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย มิลเปียพลาดจุดนั้นไปขณะพยายามเรียบเรียงความคิดว้าวุ่น

***

ทันทีที่ผมออกจากร้านเหล้าก็เปิดข้อมูลที่ซื้อมา อย่างแรก ผมดูประวัติการเคลื่อนไหวของเพลแกรนท์ในหนึ่งเดือนมานี้ พูดจริงๆแล้ว ผมไม่ได้คาดหวังมากเมื่อถามถึงข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก

ถ้าเป็นการขอให้ตามสืบความเคลื่อนไหวภายหน้าก็ว่าไปอย่าง แต่เป็นเรื่องธรรมดาถ้าร้านขายข่าวจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของบุคคลไม่สำคัญ การให้ข้อมูลนี้ได้จึงหมายความว่าหัวหน้าเพลแกรนท์กำลังทำงานสำคัญคู่ควรให้องค์กรข้อมูลติดตาม

เมื่อได้ข้อมูล ผมคิดว่าต่อให้มีแค่เขาเคยไปเจอกับใครบ้างก็ยอมรับได้ แต่มันมีการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาละเอียดเป็นนาที

อะไรนี่? แอบไปเจอกับนายกรัฐมนตรีด้วยเหรอ? ความรู้สึกไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยยิ่งเพิ่มขึ้น ทำไมตอนนั้นผมต้องเสิร์ฟน้ำชานะ? เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมาแล้ว

ทั้งหมดนี่เพราะเจ้าคนที่บังคับให้ผมชงชานั่นเลย ขอให้เขาไม่ออกข้างนอกตอนกลางคืนแล้วกัน โชคร้ายจะเกิดขึ้นตอนไหนเราก็ไม่รู้ ผมอ่านเอกสารพลางจินตนาการว่าใช้หินทุบหัวผู้ช่วยที่อยากได้ชา

การเคลื่อนไหวของหัวหน้าเริ่มละเอียดหลังจากเขาเจอกับนายกรัฐมนตรีเมื่อสิบวันก่อน ก่อนนั้น มีบันทึกแค่เรื่องปกติเช่นไปที่ไหนมาบ้าง

แทนที่จะบอกว่าหัวหน้าเพลแกรนท์เป็นคนสำคัญจนต้องถูกติดตาม มันเหมือนเขาเริ่มอะไรที่ทำให้องค์กรข้อมูลแม่ใหญ่สนใจหลังจากเจอกับนายกรัฐมนตรีมากกว่า

ผมแค่เดา แต่การวางยาพิษอาจเกี่ยวกับมันด้วย ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผมน่าจะรู้ได้ถ้าดูจากข้อมูลที่เขาซื้อไปจากที่นี่ แต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่เกี่ยวข้องกับหญ้าฮอร์นต้องมาก่อน

ผมคิดเสร็จและกำลังจะดึงเอกสารเกี่ยวกับคนที่เกี่ยวข้องกับหญ้าฮอร์นออกมาเมื่อภาระตะโกน “เฮ้ย! สนใจข้าหน่อย!”

“ครับ?”

เมื่อผมหันไปหาภาระด้วยสีหน้าว่า ‘พูดบ้าอะไร’ เขาพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “อะไร? ทำไมทำหน้าแบบนั้น? ข้าพูดกับเจ้าตั้งหลายรอบ!”

“โอ้ ข้ากำลังคิดอยู่” ผมไม่ได้ฟังที่ภาระพูด ก็คงถามถึงเรื่องที่เกิดในร้านขายข่าวนั่นแล

“งั้นที่ข้าถาม...”

“ไปกันเถอะ พวกเรากำลังรีบ” ผมพูดและเดินต่ออย่างรวดเร็ว ภาระตะโกนบางอย่างไล่หลัง ผมไม่สนใจและอ่านเอกสารต่อ


สารบัญ                                         บทที่ 86


วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 84

 บทที่ 84

หัวหน้าอัศวินเหมือนถูกค้อนทุบหัว “ฟังมีเหตุผลนะ”

“ครับ หญ้าฮอร์นที่เจอในท้องของหัวหน้าออกฤทธิ์ทันทีที่กินเข้าไป แต่มันมีวิธีทำให้เกิดพิษช้าลง”

“วิธีอะไร?”

“วิธีพื้นฐานที่สุดคือห่อกับเยื่อบางๆเพื่อยืดเวลาสัมผัสกับกระเพาะออกไป แต่หัวหน้าจะรู้ตัวถ้าใช้วิธีนี้”

“ทำไม?”

“เวลากินอาหาร นอกจากตั้งใจกลืนเข้าไปทั้งอย่างนั้น ปกติเราจะเคี้ยวก่อน เยื่อบางจะขาดและกลายเป็นไร้ประโยชน์ แต่สำหรับฮอร์น มีวิธีพิเศษในการลดพิษและทำให้ออกฤทธิ์ช้าลง แต่วิธีนั้นอยู่ได้ไม่นาน หมายความว่าถ้าเราสามารถหาคนที่ใช้วิธีนั้นได้ภายในเวลาหนึ่งวัน เราจะสามารถตามรอยคนร้ายหรือคนที่ติดต่อกับเขา”

หัวหน้าอัศวินยังมีความสงสัย “แล้วเจ้ารู้เหรอว่ามีใครกี่คนในเมืองที่รู้วิธีนี้?”

ผมยิ้ม “ท่านรู้จักร้านขายข่าวแม่ใหญ่ไหมครับ?”

หัวหน้าอัศวินมองผมอย่างประหลาดใจ

***

สุดท้ายแล้วผมก็ได้รับการปล่อยตัวหนึ่งวันแต่ต้องมีอัศวินหนึ่งคนไปกับผมด้วย นี่ทำให้หนีได้ง่ายถ้าผมจับตัวคนร้ายไม่ได้ แน่นอน ผมต้องจับเขาแน่ พอจับได้ผมจะทิ่มเฮอกามอร์ฟินที่รูก้น เอาให้ขี้รั่วไปเลย

แต่ มันไม่จำเป็นต้องซื่อบื้อยึดติดแต่ตัวเลือกเดียว ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราหวังเสมอไป ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมก็จะหนีแบบไม่เหลียวหลัง การหนีเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด

“เจ้าคิดหนักอะไรอยู่?” เสียงเหมือนชวนคุยเรื่อยเปื่อยปลุกผมจากความคิด

“ข้ากำลังคิดว่าจะจับคนร้ายยังไง” ผมพูด

อัศวินที่หัวหน้าอัศวินส่งมาพยักหน้า เขาดูเหมือนอันธพาลแต่ที่จริงแล้วคือรองหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาว

“แล้วต่อไปเจ้าจะทำอะไร?” เขาถาม

“ก่อนอื่น ไปร้านขายข่าวแม่ใหญ่กันเถอะ”

รองหัวหน้าถอนหายใจ แสดงความรำคาญออกมา และถาม “เจ้ารู้ไหมว่าร้านขายข่าวแม่ใหญ่อยู่ไหน?”

ผมรู้แน่นอน ตอนเดินทางมาเมืองหลวง ผมบังเอิญไปเจอร้านสาขาเข้า พวกเขาบอกว่าถ้าต้องการข้อมูลก็ให้ไปหาและให้แผนที่กับวิธีติดต่อไว้

มีอย่างหนึ่งที่กวนใจผมเกี่ยวกับการไปร้านขายข่าว นั่นก็คืออัศวินที่พ่วงมากับผม แต่มันไม่มีทางเลือก

“รู้ โปรดเดินตามข้า” เมื่อผมออกเดิน รองหัวหน้าก็ตามผมด้วยความรำคาญ

ผมตรงไปตลาดพร้อมกับทบทวนแผนที่เมืองหลวงและที่ตั้งของร้านขายข่าวในหัว เมื่อมาถึงตลาดผมก็เดินตามถนนเข้าไปในตรอกด้านหลัง

มาคิดดูแล้ว มันแถวนี้เองที่ผมเห็นหัวหน้าเพลแกรนท์เมื่อคืน ผมสงสัยว่าหัวหน้าก็แวะไปที่ร้านขายข่าวแม่ใหญ่หรือเปล่า มันเป็นความคิดที่เหลวไหล แต่ถ้าเขาแวะไปจริง ถ้าผมรู้ว่าทำไมหัวหน้าเพลแกรนท์ไปที่นั่นก็จะช่วยในการหาตัวคนร้ายได้

“ต้องเดินอีกนานไหม?”

รองหัวหน้าถาม ผมถามกลับ “เจ้าไม่รู้เหรอ?”

รองหัวหน้าพูดอย่างภูมิใจ “ข้าจะไปรู้เรื่องขององค์กรผิดกฎหมายอย่างนั้นได้ยังไง?”

ขอประทานโทษ? อย่างน้อยนายก็ควรรู้สิว่าองค์กรผิดกฎหมายอย่างนั้นมีฐานอยู่ตรงไหนในเมืองหลวง

เรื่องที่หมอนี่เป็นรองหัวหน้าของหน่วยงานที่ดูแลความปลอดภัยของเมืองหลวงทำให้ผมเป็นห่วงเมืองหลวงขึ้นมา แต่เอาเถอะ ความปลอดภัยของเมืองหลวงจะดีหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับผม

“ใกล้ถึงแล้ว”

จากนั้นพวกเราเข้าไปในร้านเหล้าแห่งหนึ่งในมุมตรอก ในร้านมีขวดเหล้าเกลื่อนกลาดบนพื้น ให้ความรู้สึกเป็นสวรรค์ของอันธพาล แต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นแบบที่ผมคิดว่าจะมีในที่แบบนี้ แต่จะว่าไป ไม่ว่าลูกค้าจะมาเพราะเหล้าหรือข่าว ผมว่าพวกเขาคงไม่อยากเข้าร้านเหม็นๆหรอก โล่งอกไปที ดูเหมือนผมจะมาถูกที่

เมื่อผมเดินเข้าไป พวกอันธพาลในร้านก็ลุกขึ้นและระวังตัว ผมงงไปครู่หนึ่งก่อนจะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองผมแต่เป็นคนข้างหลัง รองหัวหน้าดูเหมือนพวกอันธพาลแต่ที่จริงแล้วเขาเป็นอัศวิน

“เจ้าออกไปรอข้างนอกได้ไหม?” ผมพูดเพราะถ้าพวกอันธพาลระวังตัวกับผมมันจะยุ่งยาก แต่รองหัวหน้ามองผมเหมือนจะถามว่าล้อเล่นใช่ไหม ผมเดาะลิ้นในใจ หมอนี่มันภาระจริงๆ

เพราะอย่างนี้การเป็นผู้ต้องสงสัยถึงน่ารำคาญ ไม่มีทางเลือกอื่น ผมนำภาระตรงไปที่บาร์เทนเดอร์

“ต้องการอะไร?” บาร์เทนเดอร์ถามโดยไม่ยอมสบตากับผมด้วยความระแวงภาระด้านหลังของผม

“เหล้า” ผมพูด

“แล้วอยากดื่มอะไร?” เมื่อบาร์เทนเดอร์ถามทื่อๆ ผมนึกถึงรหัส อะไรแล้วนะ?

“พรมารดา?” ผมจำไม่ได้ว่านี่เป็นรหัสสำหรับสาขาในเมืองหลวงหรือสาขาเมืองของเมืองอื่นที่อยู่ใกล้ๆ

ได้ยินที่ผมสั่ง บาร์เทนเดอร์มองผมทันที เขามองด้วยสายตาไม่แน่ใจและถาม “ท่านอยากกินอะไรครับ?”

เขาเปลี่ยนไปพูดด้วยคำสุภาพทันที โชคดี ดูเหมือนรหัสจะถูก

“ปรุงเนื้อส่วนหลังแบบฉ่ำน้ำ” ผมตอบ

“เนื้อส่วนหลังจะมีกลิ่นแรง” บาร์เทนเดอร์ตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินตรงอื่น”

มองภาระด้านหลังผม บาร์เทนเดอร์หยุดการสนทนาที่กำลังลื่นไหล “รอสักครู่ ข้าจะไปดูว่ามีเนื้อส่วนหลังอยู่ไหม”

บาร์เทนเดอร์เข้าไปยังพื้นที่เฉพาะของพนักงานด้านหลังของเขา แต่ประโยคที่บอกจะไปดูว่ามีเนื้อหรือเปล่าไม่ใช่รหัส แปลก

จากนั้นภาระก็จิ้มหลังผมและถามอย่างสงสัย “ใช่ที่นี่เหรอ?”

“คงใช่ ข้าไม่รู้แน่เพราะข้าเจอที่นี่โดยบังเอิญ”

“ไม่รู้เหรอ? เจ้าไม่เคยมาที่นี่เหรอ?”

“นี่เป็นครั้งแรก” ผมพูดพลางยักไหล่ ภาระขมวดคิ้ว

ภาระกำลังจะพูดอะไรขึ้นมา แต่บาร์เทนเดอร์เดินออกมาและนำทางพวกเราไปประตูหลังร้าน

“มีเนื้อส่วนหลัง ข้าจะพาท่านไปที่โต๊ะ ท่านข้างหลัง... ก็ตามมาด้วยนะครับ”

ผมตามบาร์เทนเดอร์โดยไม่มีปัญหาอะไรขณะที่ภาระมากับผมด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจ เมื่อผ่านประตูหลังร้าน ผมก็เห็นบันไดลงชั้นใต้ดิน เมื่อเดินลงบันไดก็ไปถึงประตูที่มีด้ามจับสำหรับดึงบานประตู

ผมคิดว่าประตูจะเป็นแบบเลื่อนเปิดเสียอีก แต่เมื่อบาร์เทนเดอร์เคาะประตูด้วยจังหวะเฉพาะ ประตูก็เลื่อนเปิด

“อะไรกันนี่?!” ภาระด้านหลังผมประหลาดใจมากที่เห็นประตูเลื่อน ทำเหมือนเขาเพิ่งเคยเห็นประตูเลื่อนเป็นครั้งแรก ผมมองเขาแบบคนในเมืองมองคนบ้านนอกเข้าเมืองแล้วเดินเข้าไป

ว้าว! ที่กรันเวล มีแต่โต๊ะเก้าอี้ในห้องขนาดห้องอพาร์ทเมนท์ แต่อาจเพราะที่นี่เป็นเมืองหลวง จึงเป็นห้องกว้างและเครื่องตกแต่งหรูหราตามผนัง ถึงอย่างนั้น นอกจากรูปขนาดใหญ่บนผนังแล้วก็มีเวทมนตร์หลายแบบฝังอยู่ และผมรู้สึกถึงคนที่ซ่อนตัวอยู่ คิดแล้วห้องนี้ก็ไม่ต่างจากห้องในกรันเวลเท่าไหร่

“เชิญนั่ง”

ผมรู้สึกเหมือนกำลังเข้ามาในห้องคนรวยเมื่อผู้หญิงที่นั่งกลางห้องชี้ไปที่ที่นั่งตรงหน้าเธอ นี่มันคนที่ผมเจอที่กรันเวลนี่นา? หรือว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีกในเมืองหลวง

ผมนั่งลงอย่างสบายพลางคิดว่าย้ายจากห้องเล็กๆในกรันเวลมายังห้องหรูหราแบบนี้มันเป็นการเลื่อนตำแหน่งจริงๆ

“ยินดีต้อนรับสู่ร้านขายข่าวแม่ใหญ่ เจ้าเป็นลูกค้าใหม่ทั้งคู่สินะ?” เธอพูดเสียงต่ำ ไม่เหมือนคนกำลังค้าขายเท่าไหร่

แต่ผมรู้สึกใกล้ชิดกับเสียงของเธอ มันเป็นเสียงที่ผมได้ยินเมื่อครึ่งปีก่อน

“ใช่ ข้ามาเพื่อซื้อข้อมูล” เอาเถอะ ไม่ว่าเสียงของเธอคุ้นหรือไม่ เรื่องสำคัญคือหาหลักฐานคนร้าย

“ข้าต้องการข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่ๆเกี่ยวข้องกับฮอร์นและการเคลื่อนไหวของเพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ ในหนึ่งเดือนนี้ นอกจากนั้น ข้าต้องการข้อมูลทุกอย่างที่เพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอซื้อจากที่นี่”

ภาระที่นั่งข้างผมกับคนขายข่าวประหลาดใจ ที่จริง ข้อสุดท้ายนั่นผมโยนถามไปอย่างนั้น เมื่อคืนหัวหน้าเพลแกรนท์ทำตัวมีพิรุธ ผมเลยลองถามดูโดยไม่หวังอะไร แต่ดูเหมือนจะตกได้ปลาตัวใหญ่แล้ว

“เจ้าหมายความว่า-”

ผมมองคนขายข่าว หยุดคำถามที่ภาระจะถาม

คนขายข่าวคิดและพูดอย่างสนใจ “คาดไม่ถึงเลย ข้าคิดว่าเขาไม่ได้ฝึกผู้สืบทอดเสียอีก ยิ่งเป็นเด็กฝึกงานด้วย”

เธอพูดบ้าอะไร? ที่สำคัญกว่านั้นคือดูเหมือนจะรู้ว่าผมเป็นผู้รับการฝึกเป็นข้าราชการ แต่เอาธุระของผมให้จบก่อนดีกว่า

“ข้าแน่ใจว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว แต่หัวหน้าเพลแกรนท์เกือบถูกพิษวันนี้” ที่นี่คือที่ขายข่าว ผมจึงสรุปว่าพวกเขาคงรู้อยู่แล้วแม้มันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อน

“ใช่ และเจ้าถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย คุณเดน วอน มาร์ค”

อะไร? รู้ชื่อผมด้วย? แต่เห็นว่าพวกเขาไม่รู้ชื่อจริงของผมแล้วรู้สึกภูมิใจขึ้นมา ถ้าจู่ๆเรียกชื่อจริงผม ผมคงหนีจากเมืองหลวงไปประเทศอื่นเลย

“ได้ ข้าจะให้ข้อมูลทุกอย่างที่เจ้าเรียก” คนขายข่าวเคลื่อนไหวอย่างสง่า ขณะผมกำลังเลื่อมใส เธอก็หยิบลูกคิดขึ้นมาดีด แน่นอน มันไม่ฟรี

“เอาล่ะ แค่สองเหรียญทองเท่านั้น”

บอกให้รู้ไว้ เหรียญทองหกเหรียญเป็นงบประมาณหนึ่งเดือนของดินแดนขนาดเล็ก

ผมมองภาระ “ตามนั้น”

“อะไร? ข้าไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก!” ภาระมองผมด้วยสายตาตกตะลึง

ภาระก็เป็นภาระตลอด ผมกลับไปมองคนขายข่าวและพูด “ค่อยไปเก็บที่หน่วยอัศวินกวางขาวเถอะ”

“เฮ้ย!” ภาระตะโกนอย่างร้อนรน แต่โชคไม่ดี คนขายข่าวช่วยเขา

“ขอโทษค่ะ แต่ไม่มีการซื้อเชื่อ” เธอพูด

“ฮู้ว” ภาระถอนหายใจอย่างโล่งอก ชิ แย่ชะมัด

ผมทำเป็นล้วงหาในกระเป๋าหน้าอกและหยิบเหรียญทองสองเหรียญออกมาจากกระเป๋ามิติ เงินไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะผมจะไปเอาคืนจากหัวหน้าเพลแกรนท์และคนร้ายทีหลัง บวกดอกเบี้ย ถ้าพวกเขาไม่ยอมจ่าย ผมก็แค่ต้องไปเยี่ยมบ้านสักรอบ

เมื่อผมเอาเงินออกมาอย่างสะดวกใจ ภาระก็มองผมอย่างแปลกใจในขณะที่คนขายข่าวเพียงรับเงินไปเหมือนคาดไว้แล้ว

มันผิดปกติ ทำไมคนขายข่าวจึงไม่แปลกใจและทำเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั้งๆที่ผมมีเงินมากขนาดนั้น? ผมต้องตรวจสอบร้านขายข่าวแม่ใหญ่ทีหลัง มันต้องมีอะไรแน่ๆ


สารบัญ                                                      บทที่ 85