วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 79

 บทที่ 79

จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเกิดพี่สาวของผมแล้ว ผมส่งพรเทวีไปให้ หวังว่าจะได้รับดีแล้ว

ตอนแรกผมตั้งใจจะเอามันไปทำเป็นสร้อยคอหรือเครื่องประดับอย่างอื่น แต่พลอยนั่นโด่งดังเกินไปจนผมไม่กล้าให้ช่างทำเครื่องประดับเห็น หรือถ้าผมทำเองก็กลัวจะทำเสียของ จึงส่งไปทั้งอย่างนั้น ไม่เหมือนผม ช่างของหมู่บ้านใช้มือเก่ง ผมเชื่อว่าเขาจะสามารถเอามันไปทำเป็นอะไรสักอย่างได้

“โอ้ ข้างในอุ่นนะ”

แฟลมสัมผัสลมอุ่นและสีหน้าผ่อนคลายลง

“ข้างในสะอาดกว่าที่คิด”

มันสะอาดกว่าที่ทำการอำเภอที่ผมเคยไปรายงานตัว

“ข้าอยู่แผนกสาม แฟลม เจ้าล่ะ?”

“ข้าอยู่แผนกสี่”

ที่ทำการเขตมีทั้งหมด 5 แผนก แต่ละแผนกรับเด็กฝึกงานหนึ่งคน ถ้าเป็นการฝึกต่างๆที่จะจัดขึ้นภายหลังก็จะเป็นการฝึกร่วมกับอีกหลายคนเหมือนเป็นชั้นเรียน แต่ในจักรวรรดิมีที่ทำการหลายที่จึงฝึกเป็นรายคนได้ แฟลมกับผมมีผลการฝึกอยู่ระดับบนจึงถูกส่งไปที่ทำการเขต คนที่ผลการฝึกต่ำลงไปก็ถูกส่งไปที่ทำการอำเภอ

เพื่อเป็นข้อมูล ผมเคยไปที่ทำการอำเภอครั้งหนึ่งเพื่อรายงานการส่งตัว แต่สภาพที่นั่นไม่ดีนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่ทำการเขต แต่ดูจากที่นี่มีเครื่องทำความร้อน ความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานระหว่างทั้งสองที่ก็ชัดเจนมาก อาคารสะอาดเรียบร้อยขนาดทำให้อยากยกผลการฝึกตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อมาทำงานในที่ทำการเขต

แฟลมกับผมขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปยังแผนกที่เราถูกส่งมาฝึกงาน ทันทีที่มาถึงชั้นสองเราก็เห็นป้ายแขวนเขียนว่า “ได้รับเลือกจากราชวงศ์ให้เป็นที่ทำการเขตยอดเยี่ยม” และตัวอักษรที่เล็กลงมาด้านล่าง “ขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับความพยายามของทุกคน”

ผมแทบหัวเราะลั่นเมื่อเห็นป้ายที่เหมาะกับการเอาไปแขวนในสถาบันแห่งชาติสักที่ ดูเหมือนทุกโลกมีของแบบนี้

ดูเหมือนในระดับที่ทำการเขต ราชวงศ์จะเป็นฝ่ายดูแล

“ข้าไปทางนั้นนะ” แฟลมชี้ไปที่ประตูที่เขียนว่าแผนกที่สี่

ผมดูด้วย

“ข้าทางนั้น”

ประตูข้างแผนกที่สี่คือแผนกที่สาม

“งั้นไว้เจอกัน เสร็จแล้วไปดื่มกันไหม?”

แฟลมทำท่าดื่มหน้าประตูและผมพยักหน้า

“เข้าท่า”

ในหอพักมันเสียงดังเกินกว่าจะดื่มคนเดียว แต่ถ้าจะดื่มกับคนอื่น... นอกจากผมแล้วก็มีแต่คุณนายอาซิลลาที่ดื่มเหล้าได้ แต่เธอชอบไวน์ซึ่งชั้นสูงเกินไปไม่ค่อยเหมาะกับผม และสำหรับผมที่ชอบดื่มเบียร์แก้วใหญ่ทำจากธัญพืชประเภทอื่นๆแล้วจะเอามันไปแนะนำให้เธอดื่มก็คงไม่ดี

ผมเข้าประตูที่เขียนว่าแผนกที่สาม

“หือ?”

ผมเห็นที่เปิดโล่ง ไม่ใช่ห้องเล็กๆ มีโต๊ะตั้งเป็นกลุ่มใต้ป้ายไม้แขวนลงมาจากเพดานเขียนว่า ‘แผนกที่สี่’ ข้างๆมีป้ายไม้เขียนว่า ‘แผนกที่สาม’

และเมื่อผมหันไปมองข้างๆ ก็สบตากับแฟลม ถ้าเป็นแบบนี้แล้วทำไมต้องทำประตูสองบาน?

แฟลมกับผมยิ้มเก้อๆและตรงไปที่โต๊ะที่มีป้ายชื่อ ‘หัวหน้าแผนก’

ที่โต๊ะ ชายอายุราว 40 ผอม ใส่แว่น กำลังนั่งอ่านเอกสาร ผมสีน้ำตาลเข้มที่แสกเป็น 2:8 และรอยย่นกลางหน้าผากทำให้ดูเป็นคนเข้มงวด

หัวหน้าแผนกที่สาม เพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ เมื่ออ่านป้ายชื่อแล้วผมก็คำนับ

“สวัสดีครับ! ผมเป็นผู้รับการฝึกที่ได้มาฝึกงานที่นี่ เดน วอน มาร์ค ครับ! หนึ่งสัปดาห์นี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ!” 

ดี คำนับ 60 องศา กับเสียงเข้มแข็งที่ไม่ดังหรือเบาเกินไปและฟังสุภาพ มือทั้งสองข้างอยู่เหนือสะดือ คะแนนเต็มสำหรับการทักทายครั้งแรก

เหลือบมองไป แฟลมกำลังทักทายเหมือนทักพี่น้อง ด้วยแขนที่กางออกเล็กน้อยกับเสียงดัง

แย่ล่ะ! ผมเป็นห่วงแฟลมเล็กน้อย แต่หัวหน้ายิ้มอย่างใจดี ผมคำนับ แต่หัวหน้าที่รับการคำนับจากผมไม่มีปฏิกิริยา

ผมเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองหน้าของหัวหน้า แต่เขามองต่ำใส่ผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“เจ้า... ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

เขาถามด้วยเสียงค่อนข้างหงุดหงิด ผมเหยียดหลังกลับขึ้นมาช้าๆพลางตอบ “เจ็ดโมงห้าสิบนาทีครับ!”

“ทำไมมาสายนัก!”

พูดบ้าอะไรของเขาน่ะ?!

ผมได้จดหมายบอกให้มาตอน 8:30 จึงตั้งใจจะมาตอนแปดโมง 30 นาทีก่อนเวลานัด แต่ยังมาเร็วไป 10 นาทีเพราะเดินเร็ว แต่อะไร? สาย? ผมน่ะนะ?

“สำหรับเจ้านี่เป็นวันเริ่มงานวันแรก เจ้าควรมาตอนเจ็ดโมงครึ่ง!” หัวหน้าคำราม

ผมก้มหัวอีกครั้ง “ขอโทษครับ!”

โชคร้ายชะมัด! นี่ไม่ใช่เวลาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว แม่งเอ๊ย ทำไมผมโชคร้ายแบบนี้!

นี่ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของผม แต่เพราะมาเจอคนแบบนั้น ทันใดนั้นผมก็อิจฉาแฟลมขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนกันจะช้าไปไหม?

“ขอโทษแล้วมันจบไหม!?”

ผมรับเสียงตวาดด้วยการจ้องเข็มติดเน็คไทของหัวหน้า ไม่ใช่หน้าของเขา

เวลาแบบนี้ ถ้ามองพื้นจะถูกตำหนิที่มองไปที่อื่น แต่ถ้ามองหน้าจะถูกตำหนิว่าไม่สำนึกผิด เราต้องมองไปยังที่ๆเขาตำหนิไม่ได้ พยักหน้าและตอบรับว่ากำลังฟังเสียงบ่นอยู่

“ไม่จบครับ”

“ชิ เพราะอย่างนี้เด็กสมัยนี้ถึงใช้ไม่ได้”

ผมอยากเตะหัวหน้าที่กำลังเดาะลิ้นให้เต็มแรง แต่คนนี้เป็นคนที่จะให้คะแนนผม ไม่สิ ถ้าผมเตะเต็มแรงเขาจะตายเอา ผมไม่แย่ขนาดจะฆ่าคนเพราะเรื่องแบบนี้ แน่อยู่แล้ว เอาแค่เบาะๆด้วยการถุยน้ำลายใส่น้ำชาที่เขาดื่มแทน

เมื่อผมยืนนิ่งรอฟังคำบ่น เขาตวาด “ไป!”

“ครับ!”

ผมจะทำหน้าน้อยใจไม่ได้ ข้อมูลยังมีไม่พอจะตัดสินว่าหัวหน้าคนนี้เป็นคนยังไง แต่มีกรณีที่ถ้าทำหน้าน้อยใจจะยิ่งถูกตำหนิมากขึ้น

ผมถอยอย่างระวัง ชายอ้วนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอยู่แผนกเดียวกับผมเดินมาหา

“เอ่อ ฮะๆ บอกว่าชื่อ เดน ใช่ไหม? นั่งตรงนี้นะครับ”

ที่นั่งที่เขาชี้ไปพร้อมกับรอยยิ้มขัดเขินคือที่ๆอยู่ใกล้หัวหน้าที่สุด

เมื่อผมมองด้วยสีหน้า ‘ไม่มีที่อื่นที่ไกลหน่อยแล้วเหรอ’ เขากระซิบ “ตรงนี้เป็นที่นั่งของเด็กฝึกงาน”

เพราะหัวหน้าเป็นคนประเมิน เด็กฝึกงานจึงต้องนั่งตรงนี้เพื่อให้เขามองเห็นง่ายๆ

“ร่าเริงไว้นะ!”

ชายอ้วนมองผมด้วยสายตาขอโทษและกลับไปนั่งที่ของเขา

ดูจากท่าทางแล้วของเขาแล้ว หัวหน้าคงเป็นคนแบบนั้น

แม่งเอ๊ย เวรแล้วไง!

***

ตอนเย็น เพลแกรนท์ลุกขึ้นเพื่อเลิกงาน

จากนั้นเด็กฝึกงานคนใหม่ที่นั่งใกล้เขาที่สุดก็หยุดทำธุระของเขาและลุกขึ้น

“หัวหน้า เลิกงานแล้วเหรอครับ!”

เพลแกรนท์ทวนชื่อของเด็กฝึกงานในใจ ชื่อเดนใช่ไหม? เห็นเขาทำงานแข็งขันและดูอารมณ์ดีแล้วทำให้รู้สึกดี

“ที่หยุดนี่เพราะทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”

“ครับ! ที่ท่านสั่งทำเสร็จหมดแล้วครับ”

เพลแกรนท์ประหลาดใจ ที่เขาสั่งให้เดนทำไม่ใช่ของที่จะทำให้เสร็จได้ในวันเดียว

“เอามาให้ดูสิ” เพลแกรนท์ขมวดคิ้วจริงๆ และยื่นมือไปยังเด็กฝึกงาน

ถ้าทำงานแบบครึ่งๆกลางๆเพราะอยากจะเลิกงานเร็ว เขาคงต้องดุจริงๆแทนที่จะเพียงตำหนิเล็กน้อย

“นี่ครับ”

เดนส่งกระดาษปึกหนาให้ เพลแกรนท์ตรวจเอกสารอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เพลแกรนท์ให้เด็กฝึกงานทำคือเรียงบัญชีสำหรับตรวจสอบสิ้นปี มันไม่ใช่งานที่เขาส่งให้ด้วยความตั้งใจจะเห็นมันเสร็จ

มันเป็นงานที่เพลแกรนท์ไม่ให้พนักงานใหม่ทำ เขาส่งงานนี้ให้เด็กฝึกงานคนใหม่ เดน พร้อมกับลูกคิดหนึ่งราง เพื่อว่าเมื่อเดนมาร้องไห้กับเขาว่าทำไม่ได้ เขาจะได้ปลดเดนออกจากหน้าที่นี้และไม่ให้เดนเข้าใกล้เขาได้อีก 

แต่ทว่า มองผ่านๆแล้ว บัญชีดูถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อให้แน่ใจ เขาต้องตรวจใบเสร็จและรายการเดินบัญชีธนาคาร แต่ดูคร่าวๆมันตรงกับที่เขาจำได้

“และนี่คือใบเสร็จกับเอกสารเบิกจ่ายเรียงตามวันที่ครับ”

เพลแกรนท์กลัว หมอนี่มันอะไรกัน?

ตอนเช้าเขาไปตลาดเพื่อซื้อชากับขนมให้คนในแผนก, ช่วยขนของหนัก, และทำงานจิปาถะตามที่สั่ง แต่ยังมีเวลาทำงานนี้เสร็จ?

สัตว์ประหลาดอะไรนี่?

จำนวนใบเสร็จและเอกสารขออนุมัตินั้นเยอะจนแม้แต่เขาเองทำทั้งวันยังไม่เสร็จ เขาสงสัยว่าเด็กฝึกงานได้รับความช่วยเหลือจากคนในแผนกหรือเปล่า แต่เด็กฝึกงานสายตาไร้เดียงสาคนนี้อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่เช้า เขาคิดว่าเขายอมแพ้ไปแล้วเพราะไม่เห็นแตะลูกคิด แต่ดูเหมือนเขาแค่คิดเลขในใจ

จะด่าดีไหม? สำนึกผิดชอบชั่วดีของเพลแกรนท์ไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น

“ฮึ่ม! ทุกคนเลิกงานได้”

เพลแกรนท์โยนปึกเอกสารลงบนโต๊ะของเขาและออกไป จากด้านหลังได้ยินเสียงร้องอย่างดีใจของคนในแผนก

หัวหน้ายิ้มและออกจากที่ทำการเขตอย่างรวดเร็ว เขาดูนาฬิกาและเร่งฝีเท้าผ่านถนนหลายๆสายพลางคิดว่าใกล้จะสายแล้ว

หยุดตรงหน้าร้านเหล้าที่ปิดอยู่ ในตรอกแห่งหนึ่ง เพลแกรนท์หายใจหอบและเอาบัตรข้าราชการของเขาไปยังประตู

ปี๊บ!

เมื่อเกิดเสียง ชายร่างบึกบึนคนหนึ่งก็ออกมาจากร้านเหล้า

“มาช้าไปนิดนะ”

“งานมันยุ่งช่วงสิ้นปีเจ้าก็รู้ เจ้าเป็นข้าราชการเหมือนกัน”

เขายิ้มเมื่อได้ยินเพลแกรนท์พูดอย่างนั้น “รู้ ช่วงนี้เจ้าทำข้าจะตายแล้ว”

เพลแกรนท์ยิ้มให้ความขวานผ่าซากของชายคนนั้น

“ถึงอย่างนั้น เจ้าได้เลิกงานเร็วเพราะชั่วโมงทำงานที่ท่านเป็นคนกำหนดนี่?”

“เพราะเจ้า จำนวนครั้งที่ข้าเลิกงานเร็วเลยนับได้ด้วยมือข้างเดียว”

ขณะพวกเขาคุยกัน เสียงก็ดังมาจากข้างในร้านเหล้า

“พวกเจ้าคุยอะไรกันตรงนั้น? เข้ามาสิ”

เพลแกรนท์เข้ามาข้างใน เมื่อประตูปิดก็ล็อกอัตโนมัติพร้อมเสียงดังแคล้ง

เพลแกรนท์ไม่รู้สึกถึงมัน แต่เขารู้ว่าข้างในร้านเหล้าถูกป้องกันด้วยเวทมนตร์หลายชนิด เขาก้าวเข้าไปอีกก้าวและคำนับ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ท่านนายกรัฐมนตรี”

อาร์คันทายิ้มให้เพลแกรนท์



สารบัญ                                 บทที่ 80



วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 78

 บทที่ 78 – แผนวางยาพิษของข้าราชการคนหนึ่ง (1)

ลึกเข้าไปในป่าโอลิมปัส ทูตคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในศาลากลางของหมู่บ้านเผ่ากา เขารีบเข้าไปในห้องทำงานที่เขียนว่า ‘ที่ทำงานหัวหน้าเผ่า’ ในมือมีกล่องอันเต็มไปด้วยจดหมาย

“รองหัวหน้าเผ่า! จดหมายจากหัวหน้าเผ่าน้อยมาแล้ว!”

เฮสเทียวางเอกสารลงและพูด “ข้าบอกหลายครั้งแล้วนะ ไม่ใช่รองหัวหน้าเผ่า แต่เป็นรองหัวหน้าหมู่บ้าน”

ด้วยความปรารถนาจะปฏิรูปเผ่ากาที่ค่อนข้างปิดกั้นจากภายนอก เธอเริ่มจากเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครเรียกชื่อตำแหน่งใหม่นี้

คิดว่าจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อตำแหน่งหัวหน้าเผ่าตามเดิมดีไหม เฮสเทียรับจดหมายจากทูต

เมื่อเดนเบอร์กหนีไป เขาทิ้งจดหมายบอกว่าจะส่งจดหมายมาทุกเดือนเพื่อไม่ให้พวกเธอเป็นห่วง นี่เป็นฉบับที่หกแล้ว

จดหมายของเดนเบอร์กถูกส่งมาถึงทูตผ่านกิจการหนึ่งในหลายๆกิจการที่เผ่ากามีส่วนร่วม แอสทีเรีย

ตลาดแอสทีเรียดำเนินการโดยดยุคแห่งแอสทีเรีย หนึ่งในสองดยุคใหญ่ของจักรวรรดิ แม้จะไม่เท่ากับตลาดดรูวาล ก็ยังถือว่ามีขนาดใหญ่ทีเดียว

เฮสเทียอ่านจดหมายและหัวเราะ มันเขียนว่าเดนเบอร์กกำลังออกล่าปีศาจในเขตแดนปีศาจ

“โกหกเก่งจริง” เฮสเทียอุทาน

ตั้งแต่เด็กแล้ว เดนเบอร์กโกหกเก่งอย่างประหลาด ในจดหมายเขาบรรยายทิวทัศน์ในแต่ละพื้นที่ของเขตแดนปีศาจ ซึ่งละเอียดจนเธอนึกภาพตามได้ มันเหมือนเขาท่องเที่ยวในเขตแดนปีศาจจริงๆ

จดหมายฉบับก่อนบรรยายทิวทัศน์ได้ละเอียดจนเธอสงสัยว่าหรือมันจะจริง ขนาดทำให้เธอขอให้ทางตลาดแอสทีเรียตามหาที่มาของจดหมาย แต่พวกเขาบอกว่าจดหมายบินมากับนกที่ทำจากเวทมนตร์มาที่สาขาเมืองวาแรนท์ ดังนั้นพวกเขาจึงตามรอยของจดหมายกลับไปไม่ได้

ครั้งหนึ่ง ตลาดแอสทีเรียพยายามจับนกเวทมนตร์เพื่อหาว่ามันมาจากไหน แต่นกของเดนเบอร์กอาละวาดและทำลายอาคาร ทิ้งไว้แต่จดหมาย โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่เผ่ากาจำได้ขึ้นใจเพราะพวกเขาต้องจ่ายค่าเสียหาย

เฮสเทีย ด้วยความนับถือในอุบายที่ฉลาดและดุดัน ล้มเลิกความพยายามตามรอยของเดนเบอร์กผ่านทางจดหมาย

“แหม เขาบอกว่าส่งของขวัญวันเกิดมาให้ข้า”

ทูตเหมือนนึกขึ้นได้และล้วงกล่องไม้กล่องหนึ่งออกจากกระเป๋า “อ้อ! ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือของขวัญถึงรองหัวหน้าเผ่า”

วันเกิดของเธอยังมาไม่ถึง แต่กว่าจดหมายฉบับต่อไปจะมาก็จะผ่านวันเกิดไปแล้ว

เธอรับกล่องไม้และถามเมื่อเห็นรอยไหม้บนกล่อง “นี่รอยไหม้ใช่ไหม?”

“ใช่ ตอนแรกมันมีเวทมนตร์ผนึกกล่องเพื่อป้องกันมันถูกเปิดออก แต่ตอนข้าเข้าป่าโอลิมปัส พลังเวทก็คลั่งทำให้มันระเบิด แต่ของข้างในไม่เป็นไร”

เห็นกล่องไม้ยังอยู่ดี เธอคิดว่าคงแค่เกิดประกายไฟนิดหน่อยแล้วเปิดต่อ

“จริงเหรอเนี่ย?”

เฮสเทียเปิดกล่อง ข้างในเป็นไพลินรูปกางเขน

“จดหมายบอกว่ามันเป็นอัญมณีชื่อ ‘พรเทวี’ ที่เขาบังเอิญได้มาจากตลาดมืด”

เธอมองปราดเดียวก็บอกได้จากประกายอ่อนๆของมันว่าเป็นอัญมณีราคาแพง

“อ้อ และนี่เป็นรายงานจากแลนซีลอต”

เมื่อเฮสเทียอ่านจดหมายของเดนเบอร์กจบ ทูตก็ส่งจดหมายอีกฉบับให้

จากรายงานของแลนซีลอต พวกเขาเดินทางไปเมืองหลวงกับเซนต์ฮิลลิส และบอกคร่าวๆถึงกิจกรรมประจำวันของพวกเขา เธออ่านและหัวเราะ

“พวกเขาดูสนุกกันดี ขอบใจนะ เจ้าไปทำธุระของเจ้าได้แล้ว”

ทูตคำนับและออกไป 

เฮสเทียเตรียมจะอ่านเอกสารต่อแต่แล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับมองไปนอกหน้าต่าง

“อยู่ที่ไหนคะ พ่อ?”

เฮสเทียอ่อนแอเกินกว่าจะจัดการกับงานทั้งหมดในหมู่บ้านได้

***

ผมตื่นในตอนเช้าและเปิดหน้าต่าง อากาศเย็นที่เป็นเอกลักษณ์ของหน้าหนาวเข้ามาในห้อง ลมหายใจของผมกลายเป็นไอ นอกหน้าต่าง มีหิมะเป็นแผ่นบางๆจากหิมะที่ตกเมื่อคืน เพราะยังเป็นต้นหนาวมันจึงไม่หนานัก แต่ถนนลื่นแบบนี้ทำให้การเดินทางไปศูนย์ฝึกลำบากขึ้น

อีกไม่กี่วันก็จะได้เวลาเปิดไปหน้าสุดท้ายของปฏิทิน แปลว่าผมออกจากหมู่บ้านหลังเป็นผู้ใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม มาอยู่ในเมืองหลวงได้ครึ่งปีแล้ว

รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว ผมปิดหน้าต่างเมื่อห้องระบายอากาศพอแล้วและลงบันไดไปที่ชั้นหนึ่ง

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เมื่อผมมาถึงห้องนั่งเล่น ลิสบอนทักผมเป็นคนแรก

“ใช่”

“เย้! เดนล่ะ!”

อัลฟอนร้องและวิ่งมากอดผมอย่างเคย และอย่างเคย ผมจับศีรษะของเขาและหยุดเขา

หลังจากเป็นนักเรียนโรงเรียนทหาร อัลฟอนเริ่มมีกล้ามเนื้อขึ้นมา ผมรู้สึกว่าตอนนี้จะใช้แรงหยุดเขามากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเขานี่เอง ทำให้ผมควบคุมแรงของตัวเองได้สำเร็จ

มันน่ารำคาญที่เขาวิ่งหาผมทุกเช้า แต่ก็ต้องขอบคุณเขาด้วยที่ทำให้ผมกะแรงถูก สมกับที่คิด เขามีร่างกายแข็งแรงเพราะเผ่าผีเสื้อก็เป็นชาติพันธุ์นักสู้เหมือนกัน

ผมพูดกับยูเรียที่ยิ้มมาจากด้านหลังอัลฟอนโซ

“ข้าอ่านหนังสือที่เจ้าให้ยืมหมดแล้ว อย่างที่คิดเลย เผ่าผีเสื้อมีเวทมนตร์แปลกใหม่หลายแบบ”

ผมยืมหนังสือเวทมนตร์ของเผ่าผีเสื้อแลกกับการสอนเทคนิคเล็กๆน้อยๆในการเล่นแร่แปรธาตุให้ยูเรีย ถึงจะเป็นเวทมนตร์ของเผ่าผีเสื้อ แต่มันเป็นเวทมนตร์ที่คนเผ่าผีเสื้อเรียนแค่ถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ กระนั้นก็ตาม สมกับที่เป็นพวกเขา มันมีหัวข้อกว้างขวางให้เรียนได้มากมาย เพราะเหตุนี้ ผมเลยสามารถพัฒนาเวทมนตร์ละลายคาร์บอเนชั่นในน้ำและสร้างน้ำอัดลมขึ้นมาได้ ผมรู้สึกว่าเกือบจะสร้างโค้กได้แล้ว

“แหม อ่านหมดแล้วเหรอ?”

ยูเรียประหลาดใจที่ได้หนังสือที่ผมส่งคืนให้ ผมยักไหล่พร้อมกับปล่อยศีรษะอัลฟอนโซ

“อืม ข้าแค่อ่านอย่างเดียว”

แน่นอน ผมเรียนรู้ได้หมดหลังจากอ่านจบหนึ่งรอบ แต่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับดีกว่าเพราะผมเป็นแค่คนธรรมดาที่มีความสนใจในเวทมนตร์

“ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามได้ตลอดนะ”

ผมขอบคุณยูเรียและตรงไปที่ห้องครัวเพื่อกินอาหารเช้ากับทุกคน คุณนายอาซิลลากับอลิซกำลังคุยกันที่โต๊ะ

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

ผมทักคุณนายอาซิลลาและนั่งลง เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว คนงานในบ้านพักก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร

“ค่ะ ขอบคุณเจ้าที่ทำให้เมื่อคืนข้าหลับสบาย” คุณนายอาซิลลาทักกลับในแบบของหญิงสูงศักดิ์และถาม “จะว่าไป เริ่มวันนี้แล้วใช่ไหม? การไปฝึกงานตามหน่วยงานต่างๆ?”

ผมพยักหน้า “ครับ เวลาดีๆได้หมดไปแล้วล่ะ” ผมพูดเล่นและหยิบมีดกับส้อม

แต่ที่จริงผมไม่ได้พูดเล่น ถึงตอนนี้มันไม่ถือว่าแย่เพราะเหมือนผมอยู่ในวิทยาลัยแบบชาติก่อน แต่ตอนนี้ผมต้องไปฝึกงาน ตั้งแต่วันนี้ไป ผมต้องไปตามหน่วยงานที่กำหนดแทนที่จะเป็นศูนย์ฝึก แต่ช่างมันก่อน อาหารเช้าที่นี่ยังอร่อยตามเคย ผมกัดขนมปังและพูดกับอลิซที่ดูเหนื่อยๆ

“เจ้าดูเหนื่อยนะ?”

“อือ เพราะการบ้านน่ะ ข้าต้องเตรียมสอบปลายเทอมแล้ว แย่แล้วล่ะ”

ช่างเป็นคำพูดที่เหมือนนักเรียน ผมมองยูเรียที่นั่งข้างอลิซ แต่เธอดูสดชื่นดี

ยูเรียเข้าใจสายตาของผมและหัวเราะส่วนดวงตาของยูเรียเปลี่ยนเป็นหดหู่

“อย่าเอาข้าไปเทียบกับยูเรีย นั่นเป็นเผ่าขี้โกงของโลกเวทมนตร์”

ยูเรียทำแก้มป่องใส่อลิซ “ถ้าพูดอย่างนั้นข้าไม่ช่วยเรื่องการบ้านนะ?”

อลิซจับแขนยูเรียอย่างสิ้นหวังมาก “ไม่นะ ขอร้องล่ะ!”

เห็นพวกคุยเล่นและเข้ากันได้ดีแล้วดีจัง แต่ว่า ผมไม่อยากไปทำงาน หวังว่าจะไม่มีคนขี้ข่มเหงในหน่วยงานนั้นนะ

***

การฝึกงานจะใช้เวลาทีละหนึ่งสัปดาห์ในหอคอยมนตรา, กิลด์นักผจญภัย, สมาพันธ์ทหารรับจ้าง, และหน่วยงานหนึ่งในพระราชวัง สุดท้ายแล้วผู้รับการฝึกจะสอบแล้วก็จะถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างๆของจักรวรรดิตามเกรดที่ได้

เป้าหมายของผมคือเป็นข้าราชการส่วนนอก ไม่ใช่แบบต้องเดินทางไปทั่วจักรวรรดิหรือทำงานส่วนในเหมือนหน่วยงานในพระราชวัง ถ้าคิดตามเปอร์เซ็นต์ ผมต้องอยู่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นแรกและอยู่เหนือ 70 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้รับการฝึกจะถูกส่งไปยังที่แบบที่ทำการเขตที่พวกเขาจะฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ คนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่เราจะคิดถึงเมื่อคิดถึงข้าราชการ ที่ผ่านมา ผมลอบเข้ากองคลังและศูนย์ฝึกเพื่อดูเกรดของผู้รับการฝึก ผมอยู่ที่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์แรก 

สาเหตุมาจากถูกลดคะแนนไปเยอะจากการทำยาเสน่ห์ทุกครั้งในวิชาเวทมนตร์ ผมไม่ชอบศาสตราจารย์ขี้เหนียวคนนั้น แต่เพราะเขาจึงทำให้ผมเลี่ยงหน่วยงานในพระราชวังมาได้ ต้องขอบคุณเขาในเรื่องนั้น

ผมกำลังจะเข้าที่ทำการเขตเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยจากที่ไกลๆ มันมาจากทางศูนย์ฝึก

“โอ้! มาเร็วจังนะ!”

ใช่เลย เด็กหนุ่มหน้าแก่ที่กำลังโบกมือให้ผมคือแฟลม จะว่าไปแล้ว เขาเป็นหนึ่งในผู้รับการฝึกห้าคนที่จะฝึกงานที่เดียวกัน

บอกให้รู้ไว้ แฟลมอยู่ใน 20 เปอร์เซ็นต์แรก รักษาผลการฝึกได้ค่อนข้างยอดเยี่ยม ผมยังจำคำตอบของเขาในข้อสอบประวัติศาสตร์ที่เก็บไว้ในตู้เซฟของศูนย์ฝึกได้ว่ามีความเฉพาะตัวมาก

จะว่ายังไงดี? มุมมองของเขาค่อนข้างมาจากทางฝ่ายผู้แพ้ มุมมองเฉพาะตัวของเขาได้รับการประเมินอย่างสูงจากวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งไปช่วยที่ถูกตัดคะแนนจากวิชาเวทมนตร์จากการปรุงยาเสน่ห์กับผม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ เขาก็จะได้ทำงานในเมืองหลวงเหมือนกัน

ผมรอเขาตรงทางเข้าที่ทำการเขต และเมื่อเขามาถึง ผมเข้าไปและพูด “เข้าไปกันเถอะ”

แฟลมตามเข้ามาและปัดหิมะออกจากเสื้อผ้าของเขา

“เกิดการจราจรติดขัดเพราะหิมะ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาหิมะตกต้องเอารถม้าออกมาด้วย”

ดูเหมือนเขาจะใช้ทางอ้อมมาที่นี่เพราะรถม้าไปติดบนถนน ทางจากศูนย์ฝึกมาที่นี่เป็นทางที่รถม้าใช้บ่อย วันแรกที่ผมมาถึงเมืองหลวงและถูกน้ำโคลนกระเซ็นใส่ก็อาจเป็นถนนเดียวกัน

พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ต้องไปเยี่ยมมาร์ควิสบัลเธียนสักหน่อย หวังว่าเขาจะเก็บเงินได้เยอะแล้วนะ



สารบัญ                                                    บทที่ 79


เฮสเทียเรียกการส่งจดหมายทางนกของเดนเบอร์ว่าเป็นอุบายที่ง่ายและดุดันเพราะเดนเบอร์กวางยาไว้ที่นกไม่ให้ตามรอยได้ค่ะ มันจะอาละวาดเวลาถูกจับ และเผ่ากาต้องจ่ายค่าเสียหาย แบบนี้ทำให้เผ่ากาเข็ดไม่กล้าจับมัน ไม่งั้นก็ต้องจ่ายแพงอีก lol

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 77.3

 บทที่ 77.3

ชายชรานักเวทดำผู้ทำพิธีเบื้องหน้าแท่นพิธีรู้สึกถึงพลังของมัน เมื่อไม่มีคริสตัลคานีเลียนที่ใช้สะกดพลังของพฤกษาโลกและรักษาเสถียรภาพของพิธีกรรมเอาไว้ พลังมหาศาลจึงถูกใช้ไป

ชายชรากระทั่งใช้พลังเวทและวิญญาณของคนของเขาเป็นเครื่องบูชายัญเพื่อบังคับเริ่มพิธี แต่ตอนนี้มันมาถึงขีดจำกัด เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพิธีกรรมจะล้มเหลว

จากนั้นเขารู้สึกถึงฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง

พวกนักเวทดำที่รออยู่ข้างนอกเหรอ?

ไม่ใช่ ถ้าเป็นนักเวทดำ พวกเขาต้องรู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งจากแท่นพิธีและไม่เข้าใกล้ ดังนั้น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาหมายถึงพวกพาลาดินกำลังมา

ชายชรากัดปาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาบุกเข้ามาตอนไหนเพราะจดจ่อกับพิธีกรรม แต่การมาถึงตรงนี้แปลว่าพวกเขาจัดการกับนักเวทดำข้างนอกไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พิธีกรรมต้องล้มเหลวแน่

ชายชราปัดความวิตกกังวลทิ้งไปและเลิกควบคุมพิธีกรรม

“ขอความรุ่งเรืองจงมาสู่ท่านผู้นั้น”

ชายชราสละตนเพื่อให้พิธีกรรมสำเร็จ พลังเวทจากแท่นพิธีรัดร่างของชายชราอย่างตะกละและกลืนเขาเข้าไป

แท่นพิธีเริ่มเปล่งแสงสีดำ

***

“หมอบลง!” เลชาร้องเมื่อรู้สึกว่าคลื่นพลังเวทรุนแรงขึ้นกะทันหัน

แลนซีลอตกับแมคหมอบลง

เลชาเสกเวทมนตร์ไม่ให้พวกเธอถูกคลื่นพลังเวทพัดปลิว เธอส่งเสียงหอบหลังจากต้านคลื่นพลังเวทนานนาที

“ฮ่า!”

เลชาผู้มีเหงื่อท่วมตัววิ่งไปยังต้นตอของพลังเวทโดยไม่แม้แต่หยุดพักปาดเหงื่อ ตึงเครียดจากพลังเวทดูไม่เป็นมงคล เธอเตรียมตัวพร้อม 

ในห้องลึกเข้าไปในวิหาร มีศพของพวกนักเวทดำ แท่นพิธี และชายชราคนหนึ่ง

ชายชรายืนเหม่อตรงแท่นพิธี จากนั้นหันแต่ศีรษะมามองพวกเธอ

เห็นชายชราหันศีรษะมาในมุมผิดธรรมชาติ พวกเธอตระหนักว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว

ตอนนั้นเอง แมคสะบัดดาบปล่อยรัศมีดาบใส่สัตว์ประหลาดในร่างชายชรา มันเป็นผลจากสัญชาติญาณที่รู้สึกไม่ดีและการตัดสินใจด้วยเหตุผลว่าสัตว์ประหลาดต้องถูกกำจัดทันที

สัตว์ประหลายยกมือและพยายามจะยิงพลังเวทดำออกมาหยุดรัศมีดาบ แต่แขนถูกฟันขาดก่อนจะเรียกพลังเวทดำออกมา

- (ร่างเหรอ?)

สัตว์ประหลาดสะบัดแขนด้วนพลางส่งเสียงฟังไม่ออกเหมือนพูดทวนจากหลังไปหน้า จากนั้นพลังเวทดำหุ้มแขนที่ถูกตัดออกและหันไปทางจุดที่ถูกตัด และในทันใดนั้น แขนที่ถูกตัดก็กลับไปติดที่ไหล่ตามเดิม

จากนั้นสัตว์ประหลาดมองเลชา

- (เจ้ามีคริสตัลคานีเลียน)

สัตว์ประหลาดส่งเสียงหัวเราะประหลาด

- (ขอบคุณ ข้าได้ร่างเพราะเจ้า)

เลชาไม่เข้าใจที่มันพูด แต่รู้สึกขนลุก เธอส่งพลังเวทจำนวนมากไปโจมตีมัน

- (มนุษย์ทำแบบนี้เมื่อได้ยินคำขอบคุณเหรอ? ข้ากำลังศึกษาเรื่องความคิดพื้นฐานของมนุษย์อยู่)

เลชาโจมตี แต่สัตว์ประหลาดฟื้นฟูบาดแผลอย่างรวดเร็ว

เลชาตัวสั่นจากการใช้พลังเวทมากเกินไป เธอรู้สึกเหมือนจะหมดสติเดี๋ยวนั้น แต่ยังสังเกตการฟื้นตัวของสัตว์ประหลาดอย่างใกล้ชิด

“แท่นพิธี...! แฮ่ก พลังเวทของสัตว์ประหลาดมาจากแท่นพิธีนั่น!”

เมื่อเลชาใช้มือสั่นระริกชี้ไปที่แท่นพิธี แมคพุ่งไปที่สัตว์ประหลาดโดยไม่พูดอะไร แลนซีลอตตามไป

สัตว์ประหลาดร้องเมื่อเห็นแลนซีลอตฟันดาบที่อาบด้วยรัศมีดาบใส่แท่นพิธี

- (เจ้าคิดจะทำอะไร?!)

สัตว์ประหลาดไม่สนใจแมคที่กำลังฟันร่างของมันและพยายามโจมตีแลนซีลอต แต่มันไล่ตามแลนซีลอตไม่ได้เพราะร่างของมันต้องฟื้นสภาพจากการถูกแมคฟันขาดครั้งแล้วครั้งเล่า

แท่นพิธีถูกรัศมีดาบของแลนซีลอต ทำให้เกิดรอยแตกและเริ่มพัง

- (ไม่! ข้าเพิ่งได้ร่างมา! ข้าจะตายแบบนี้ไม่ได้!)

แมคแทงดาบใส่ศีรษะของมัน สัตว์ประหลาดยิงพลังเวทออกมาอย่างสะเปะสะปะเพื่อกำจัดเขา

“เร็ว!”

รู้สึกถึงความเร่งด่วนทางด้านแมค แลนซีลอตโจมตีแท่นพิธีแรงกว่าเดิม

พลังเวทของสัตว์ประหลาดทำให้แมคลอยไปทางผนังห้อง สัตว์ประหลาดโจมตีใส่แลนซีลอต

กึง!

ขณะสัตว์ประหลาดจะโจมตีแลนซีลอต แท่นพิธีก็พังและแสงสีดำที่ปล่อยจากวงเวทบนแท่นพิธีเริ่มเลือนหาย พร้อมกันนั้น ร่างของสัตว์ประหลาดเปลี่ยนเป็นเถ้าโดยเริ่มจากส่วนปลาย พลังเวทของมันกระจายไป

- (ข้าแค่อยากได้ร่าง ข้าคงไม่ตายแบบนี้ถ้าข้าได้ร่างที่...)

เมื่อสัตว์ประหลาดหายไปอย่างหมดจด แลนซีลอตทรุดลงตรงนั้นหลังจากเห็นการโจมตีของมันที่มาหยุดตรงจมูกเขา

“เฮ้อ! น่ากลัวชะมัด” แลนซีลอตอยากจะร้องตรงนั้นด้วยความโล่งอกและหวาดกลัว

เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดหายไป เลชาที่พยายามรักษาสติเอาไว้ก็เป็นลม

“อุ๊บ!”

แมคถูกเหวี่ยงไปด้วยพลังรุนแรงขนาดทำลายผนังวิหารที่พลังของพฤกษาโลกค้ำจุนไว้ ถึงอย่างนั้นเขาก็วิ่งมารับร่างของเลชาไว้ทัน

“โอย ข้าปวดไปทั้งตัวเลย”

แมคค่อยๆวางร่างเลชาลงบนพื้นแล้วขยับตัว ซี่โครงเขาน่าจะหักไปสักสามซี่

แมคที่ซี่โครงหักไม่แค่หนึ่งหรือสองซี่ย่อมเอายาพิเศษของเมอร์ปาออกมาจากกระเป๋าที่เข็มขัดเป็นธรรมดา

“โอย แลนซีลอต เจ้าต้องแบกเธอเองแล้วล่ะ”

ขวดยาแตกไปตอนกระแทกกับผนัง

“ขาข้าขยับไม่ได้”

แลนซีลอตมองแมคน้ำตาคลอ แมคถอนหายใจ

***

เหล่าพาลาดินกำจัดนักเวทดำในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมด พวกเขาสะบัดดาบให้เลือดหลุดออกและใส่ดาบคืนฝัก

“ขอบคุณท่านเซนต์ เพราะท่านช่วยสนับสนุน พวกเราเลยกำจัดพวกมันได้เร็ว”

มาริโอทัก ฮิลลิสยิ้มอย่างเมตตา “ไม่หรอก นั่นเพราะพลังของพาลาดิน ข้าต่างหากที่กลายเป็นภาระของพวกเจ้า ต้องขอโทษด้วย”

รอยยิ้มที่จริงใจและศักดิ์สิทธิ์กว่าใคร เหมือนจะชำระล้างจิตใจของเขา

มาริโอเชื่อว่าข่าวลือว่าเซนต์ใจดีกับทุกคนและเกลียดคนชั่วเป็นความจริง วิบริโอผู้เป็นคนรักและเพื่อนร่วมงานของเขา มักจะยิ้มอย่างอึดอัดใจทุกครั้งที่มีคนพูดถึงฮิลลิส เขาเชื่อว่าเธอยิ้มอย่างนั้นเพราะกังวลว่าเธอจะดูน่าขำถ้าอวดน้องตัวเอง

“แต่พาลาดินมาริโอ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” อัลบาทอสถาม

มาริโอลังเลก่อนตอบ “ข้ามาตามคำสั่งของคาโด เฟอนันโด”

“พระคุณเจ้าคาดินัล เฟอนันโด?”

“ใช่ ท่านได้ข้อมูลว่ามีพวกนอกรีตที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิและให้พวกเรามาตรวจสอบ”

ในวิหาร เฟอนันโดเป็นผู้ยึดมั่นในศาสนา สมัยหนุ่มเขาเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนพวกนอกรีต ถ้ามีข่าวลือเกี่ยวกับพวกนอกรีตก็ไม่แปลกที่เขาจะส่งพาลาดินของตนเองมาตรวจสอบ

“แต่ทำไมท่านเซนต์ถึง-”

เมื่อมาริโอถามก็เกิดพลังเวทชั่วร้ายพลุ่งขึ้น

“ยังมีนักเวทดำรอดอยู่!”

ฮิลลิสและเหล่าพาลาดินรุดไปทางต้นตอของพลังเวทด้วยความโกรธ ต้นตอมาจากด้านในวิหารใจกลางซาฮาราม เหล่าพาลาดินยิ่งโกรธเคืองเพราะเหตุนั้นและตรงเข้าไป

เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องที่อยู่ลึกที่สุดของวิหาร พวกเขาเห็นศพของพวกนักเวทดำ ผนังแตกหัก และแท่นพิธีที่ถูกทำลาย

“โอ้ มาแล้วเหรอ? เซนต์หญิง ขอโทษนะแต่ช่วยรักษาข้าทีได้ไหม?”

เมื่อแมคยกมือขึ้นท่ามกลางศพนักเวท ฮิลลิสช็อคและรักษาเขาอย่างรวดเร็ว

“อา ขอบคุณ”

เมื่อซี่โครงของเขาประสานกลับในทีเดียว แมคขยับตัวไปมา เขาไม่รู้สึกผิดปกติ ดูเหมือนมันได้ผลดีกว่ายาของเมอร์ปาเสียอีก

ฮิลลิสถามถึงพลังเวทชั่วร้ายที่ยังเหลืออยู่ในห้อง แมคตอบตามความจริง

“แท่นพิธีพังไปแล้วจริงๆ”

มาริโอตรวจสอบหน้าแท่นพิธี

หลังจากฟังคำบอกเล่าของแมค ฮิลลิสพูดขึ้น “พวกเจ้ามาเซนต์เพอซิวาลกับพวกเราได้ไหม? ข้าอยากจะมอบรางวัลให้จริงๆ”

แมคมองแลนซีลอต ซึ่งส่ายหน้าอยู่แล้ว

“เราต้องตรงไปที่เมืองหลวง ไม่มีเวลาไปเพอซิวาลหรอก”

มาริโอและลูกน้องของเขากำลังจะโกรธที่แลนซีลอตกล้าปฏิเสธข้อเสนอของฮิลลิส แต่ฮิลลิสขยับก่อน

เธอไปหาแลนซีลอตและพูด “เจ้าจะหาใครในเมืองหลวงเหรอ? เมืองหลวงกว้างมากนะ มีแค่เจ้าสามคนหาคงลำบาก แต่วิหารของเรามีสาวกเยอะมาก ถ้าข้าร่วมมือกับเจ้า หาคนหนึ่งคนในทั้งจักรวรรดิได้ไม่ยาก อย่าว่าแต่แค่ในเมืองหลวงเลย”

แลนซีลอตตอบทันที “เราจะไป เซนต์เพอซิวาล”

ถ้าพวกเขาได้ฮิลลิสช่วยหาเดนเบอร์ก อาจใช้เวลาน้อยลง

ในอดีต ผู้เปรื่องปราดเดนเบอร์กเคยบอกเขาให้ใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้

***

ในเทือกเขาแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนขี่ม้ามาเยือนยังคฤหาสน์เก่าที่มีเถาวัลย์เกาะกำแพง

เมลเซีย ชายตาเดียว ขี่ม้าเป็นหลายวันโดยไม่ได้อาบน้ำ เขาผูกม้ากับต้นไม้แถวนั้นและตรงเข้าไปในคฤหาสน์

เขาเข้าคฤหาสน์โดยไม่เคาะประตูหรือเช็ดรองเท้าและตรงไปที่ชั้นสอง เขาหยุดสูดลมหายใจลึกหน้าห้องใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์

ก๊อกๆ!

ประตูเปิดออกเอง

ในห้อง ชายชราใส่หน้ากากดำนั่งนิ่งบนเก้าอี้ กำลังมองไปข้างนอกหน้าต่าง

เมื่อเมลเซียเข้าห้อง ประตูปิดเอง เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงนั้น

“ข้าขอโทษ ข้าทำ ‘การทดลอง’ ที่ท่านสั่งไม่สำเร็จ”

ชายชราพูดอย่างสงบ “อย่างนั้นหรือ”

ปฏิกิริยาตอบรับแสดงว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮารามเป็นไปด้วยดี เมลเซียลังเลว่าจะถามถึงชื่อของชายชราไหม แต่คำถามนั้นไร้ประโยชน์

“ข้าต้องเตรียมการทดลองชิ้นต่อไป”

ชายชราหน้ากากดำลุกขึ้นและหยิบจดหมายบนโต๊ะ กระดาษมีรูปของกลุ่มดาว 12 ราศี และแกะตัวหนึ่ง



สารบัญ                                                   บทที่  78


จบบทนอกเรื่องจนได้ TwT บทหน้ากลับไปทางพระเอกแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 77.2

 บทที่ 77.2

ฮิลลิสขี่เกวียนที่ตอนนี้กลายเป็นแบบเปิดโล่งไปยังซาฮาราม คนร่วมทางของเธอคือเลชา เธอกางโล่เวทมนตร์คลุมเกวียนไว้และมองด้วยความทึ่ง

“ว้าว ผนังมันเปิดได้ด้วยเหรอ?” 

ฮิลลิสยักไหล่ “มันเป็นเกวียนพิเศษสำหรับการแสวงบุญ แบบนี้เย็นแล้วก็เท่ห์ด้วย!”

“แต่ทรายจะเข้ามาหรือเปล่า?”

“ถ้าแค่นั้นยังกันไม่ได้ ก็ไม่คู่ควรกับคำว่าพิเศษ เจ้าเห็นตรงนั้นไหม?”

ตรงที่ฮิลลิสชี้มีวงเวทเขียนไว้ เลชาทึ่งกับวงเวทนั้น

“มันเป็นวงเวทที่กันได้กระทั่งฝุ่น ขึ้นอยู่กับขนาด ถ้าจะฝังวงเวทแบบนั้น ข้าอยากให้เป็นเวททำความเย็นมากกว่า” เลชาพูดตรงๆ

ไม่คุ้มจริงๆนั่นล่ะ ฮิลลิสฝืนยิ้ม ต่อให้เธออยากใช้ แต่เวทความเย็นอยู่ในรายการเวทมนตร์ที่ถูกห้ามใช้ในอดีต

“เห็นรั้วไม้แล้ว! ระวัง!”

เมื่อพาลาดินเตือน หญิงรับใช้ที่นั่งเกวียนมาด้วยก็ฟุบหลบระหว่างที่นั่ง พวกเขาเห็นว่าถ้าปล่อยหญิงรับใช้ไว้ข้างนอกซาฮารามคนเดียวเพราะเธอสู้ไม่ได้จะอันตรายกว่า เธอจึงต้องตามมาด้วย

เลชายืนข้างหน้า เล็งคทาไปที่รั้วไม้

“บอลไฟ! สิบลูก!”

ลูกบอลไฟใหญ่เท่าหัวอูฐยิงออกจากคทา

รั้วไม้ถูกยิงกระจายและไหม้หมดในทีเดียว

“แค่ก!”

เลชาต้านทานพลังของพฤกษาเวท เมื่อใช้เวทมนตร์ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย

ไฟจากลูกบอลไฟดับอย่างรวดเร็วภายใต้พลังของพฤกษาโลก

“คุณหนู เป็นยังไงบ้าง?!” แมคถาม เขาถือธนูอยู่เหนือรถคอยป้องกันรอบๆ

“พอไหว! ดีกว่าในป่าโอลิมปัสมาก!” เลชาตอบ

อย่างน้อยที่นี่ เธอไม่ต้องห่วงว่าเวทมนตร์จะเลี้ยวกลับมาโจมตีเธอ การใช้เวทมนตร์ในซาฮารามให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งในที่ๆมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติห้าเท่า ถึงจะยากแต่ไม่ถึงขั้นทำให้นักเวทระดับเธอใช้เวทมนตร์ไม่ได้

“แต่มันลำบากกว่าในหมู่บ้าน” เลชาพึมพำขณะเตรียมใช้เวทมนตร์อีก เธอต้องเตรียมตัวไว้เผื่อจะมีเวทมนตร์ยิงใส่พวกเขา

เหล่าพาลาดินที่แต่เดิมรู้สึกกังวลกลับต้องตะลึงงันเมื่อผ่านรั้วไม้ไปเห็นภาพข้างใน

นั่นเพราะเกิดการต่อสู้ระหว่างนักเวทดำกับพาลาดินอยู่แล้ว

“ตาย พวกนักเวทดำโสโครก!”

“ฮึ่ย! ดาบลมทำลาย!”

พาลาดินสิบคนถือโล่ใหญ่ป้องกันเวทมนตร์ของนักเวทดำพลางฟันใส่นักเวทดำ

อัลบาทอสคิดว่านี่จะเป็นการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวของพวกเขา พอตอนนี้เขาจึงงงอย่างปิดไม่อยู่

“นี่มันอะไร?”

พวกเขาไม่ได้แม้แต่รายงานวิหารและรีบมายึดแดนศักดิ์สิทธิ์คืนจากนักเวทดำ แต่กำลังเสริมมาก่อนแล้ว

ตอนนั้นเอง พาลาดินในสนามรบคนหนึ่งยกกะบังหน้าของหมวกเหล็กขึ้นด้วยความแปลกใจ

“พาลาดินอัลบาทอส?! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!”

ใบหน้านั้นเป็นของคนที่อัลบาทอสรู้จัก

“พาลาดินมาริโอ! เจ้ามายืนที่นี่ได้ยังไง?”

พวกคนที่กำลังสู้กับนักเวทดำคือพาลาดินที่ติดตามคาร์ดินัลเฟอนันโด

เฟอนันโดเป็นนักบวชผู้ยึดมั่นหลักการที่มีฐานในเมืองหลวง ดังนั้นอัลบาทอสจึงไม่คิดว่าจะมาเจอพวกเขาในซาฮาราม ไกลจากเมืองหลวงมาก

มาริโอจะพูดแต่หยุดเพื่อเอาโล่รับการโจมตีของนักเวท เห็นแบบนั้นแล้วอัลบาทอสก็รู้ตัวและชักดาบออกมา

“ก่อนอื่น พวกเราจัดการกับพวกนักเวทดำ!”

“โอ้!”

พาลาดินกระตุ้นอูฐให้วิ่งและจัดการฟันพวกนักเวทดำ พวกนักเวทดำโจมตีพาลาดินของฮิลลิสเป็นการตอบโต้

“พระเจ้า ปกป้องบุตรของท่านด้วย!”

พาลาดินของฮิลลิสไม่มีโล่มา ฮิลลิสใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ปกป้องพวกเขา

มาริโอตะลึง

“เซนต์...?! ไม่นะ! พาลาดินอัลบาทอส! เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? พาเซนต์เข้ามาในสนามรบได้ยังไง?” มาริโอตำหนิ

อัลบาทอสเหวี่ยงดาบด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“อั่ก!”

นักเวทดำคนหนึ่งตายด้วยดาบของอัลบาทอส

“ขอโทษ! พาลาดินมาริโอ!”

มาริโอกัดปากเมื่อได้ยินคำขอโทษของอัลบาทอส

“หน่วยอินทรี! ตอนนี้เราเปลี่ยนเป้าหลักจากทำลายแท่นพิธีเป็นปกป้องเซนต์หญิง!”

“รับทราบ!”

เหล่าพาลาดินในสังกัดมาริโอขยับมาป้องกันเกวียนที่ฮิลลิสอยู่

แมคบนหลังคาเกวียน มองหาเมลเซียในสนามรบที่เต็มไปด้วยพาลาดินและนักเวทดำ เขาเดาะลิ้น “ชิ ไม่อยู่จริงๆด้วย” แมคอยากสู้กับเมลเซียอีกจึงรู้สึกเสียดาย

แมคยิงธนูใส่นักเวทดำ ลูกธนูของเขาแต่ละดอกพุ่งทะลุหว่างคิ้วของนักเวทดำ

เหล่าพาลาดินอ้าปากค้างมองฝีมือยิงธนูของแมคเหมือนไม่เหลืองานให้ทำ

“พาลาดินอัลบาทอส เขาเป็นใคร?” มาริโอถามด้วยความชื่นชม

อัลบาทอสใช้เวลาครู่หนึ่งหาคำอธิบายที่เหมาะสมก่อนตอบ “เขาเป็นแขกของเซนต์”

มาริโอเป็นห่วงอย่างจริงใจ “เจ้าแน่ใจในตัวตนของเขาเหรอ?”

นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างมาริโอกับวิบริโอพี่สาวของฮิลลิสแล้ว ฐานะของเซนต์หญิงสำคัญต่อวิหารมาก การปล่อยให้คนไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัดเข้าใกล้เซนต์หญิงจึงเป็นไปไม่ได้ 

“แน่นอน ถ้าไม่รู้แน่ว่าเขาเป็นใคร พวกเราจะปล่อยให้เขาเข้าใกล้ท่านเซนต์เหรอ?”

หลังจากฮิลลิสเสนอให้พวกเธอร่วมทางด้วย อัลบาทอสก็ขอดูบัตรประชาชนของเลชาเป็นการยืนยันตัวตนโดยไม่ให้ฮิลลิสรู้ ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าพวกเธอมาจากเผ่ากา ยิ่งกว่านั้นเขาเชื่อเพราะแมค แข็งแกร่งขนาดนั้นตั้งแต่ตอนอายุเท่านี้ จะไม่เชื่อก็ทำไม่ได้

แมคยิงธนูจากข้างบน เขาลงมาเมื่อลูกธนูหมด

“ลูกธนูหมดเหรอ?” เลชาหยิบลูกธนูออกมาจากกระเป๋ามิติและถาม

แมคยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับของเขา “ใช่ แล้วมันดูไม่อันตรายมาก ข้าเลยจะไปร่วมวงด้วย” เขาชักดาบและเตรียมจะวิ่งใส่กลุ่มนักเวทดำ

“เดี๋ยว!”

เลชาหยุดแมค เขามองอย่างสงสัย เลชาลงจากเกวียนพลางพูด

“ข้าไปด้วย”

แมคมองเลชาอย่างไม่อยากเชื่อ “อันตรายนะ”

“จริงด้วยครับ!” แลนซีลอตเห็นด้วย

เลชาเห็นแลนซีลอตมองอย่างเป็นห่วงก็ลูบหัวเขา “ไม่เป็นไร ข้าแข็งแกร่งพอดูอยู่นะ รู้ไหม?”

“ข้ารู้ แต่-”

เลชายิ้มให้แลนซีลอต

“พวกเราก็สงสัยไม่ใช่เหรอว่านักเวทดำมาทำอะไรในที่แบบนี้?”

ที่เลชาอยากไปกับแมคเพราะความอยากรู้อยากเห็นของนักเวทในตัวเธอ

แลนซีลอตพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปด้วย!”

“อะไรนะ? แต่-”

แลนซีลอตไม่เชื่อมั่นในตัวแลนซีลอต

พูดให้ตรงคือ เขาเชื่อถือได้ในเรื่องสามัญสำนึกและความรู้นอกโอลิมปัส แต่เธอไม่อยากให้แลนซีลอตผู้บอบบางเห็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือด

แมครู้ว่าเลชาคิดอย่างไร เขาตบบ่าแลนซีลอต “ฝากเจ้าดูข้างหลังข้าด้วยนะ”

แลนซีลอตตอบอย่างแข็งขัน “ครับ!”

“พี่!” เลชามองแมคอย่างแปลกใจ ตอนแมคสู้ เขาจะสู้คนเดียวและไม่ฝากแผ่นหลังของเขาไว้กับใครง่ายๆ

แมคยักไหล่ “เห็นแลนซีลอตเป็นแบบนี้ เขาเก่งพอๆกับนักรบในหมู่บ้านนะ”

“จริงเหรอ?”

เมื่อเลชามองแลนซีลอตอย่างทึ่ง เขาก็เกาแก้มสีแดงเรื่ออย่างเขินๆ การเล่นกับเดนและโดนลูกหลงของการเรียนการสอนแบบดูมสโตนทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเป็นธรรมดา

“ข้ามั่นใจ”

คำพูดของแลนซีลอตทำให้เลชาพยักหน้า

“ท่านพาลาดิน! เดี๋ยวพวกเรามานะ จะไปเดินเล่นหน่อย!”

จากนั้นแมคก็ออกวิ่ง แลนซีลอตและเลชาวิ่งตาม

ไม่เหมือนข้างนอก ซาฮารามไม่ใช่ทะเลทรายแต่เป็นดินแข็ง จึงวิ่งง่าย

“เดี๋ยว! พาลาดินอัลบาทอส! ปล่อยพวกเขาไปจะไม่เป็นไรเหรอ?” มาริโอถาม

อัลบาทอสยิ้มอย่างมีความหมาย “ไม่เป็นไร แขกของท่านเซนต์แข็งแกร่ง”

มาริโอมองคนทั้งสามที่วิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาจดจ่อกับการต่อสู้ ยกโล่ป้องกันการโจมตีดุเดือดของพวกนักเวทดำ

***

แมควิ่งไปถึงกลางซาฮาราม ฟันนักเวทล้มไปหลายคน เขาถามเลชา “เอาล่ะ เราจะไปที่ไหนดี?”

เลชาใช้เวทมนตร์ขัดขวางเวทมนตร์ของนักเวทดำและยิงกระสุนเวทตอบโต้ เวทมนตร์ถูกพลังของพฤกษาโลกกดไว้ แต่นักเวทดำก็โดนเหมือนกัน

“ตรงนั้น! ข้ารู้สึกถึงคลื่นพลังเวทรุนแรงจากตรงนั้น!”

จุดที่เธอชี้คือวิหารกลางซาฮาราม พวกนักเวทดำขวางทางไปวิหารนั้นไว้

“อย่าปล่อยให้พวกมันเข้าไป!” นักเวทดำคนหนึ่งพูด

แมคผิวปาก

“ว้าว ใจดีจริง”

มันเหมือนบอกพวกเขาว่ามีของสำคัญในนั้น

“ไปกันเถอะ! แลนซีลอต!”

“ครับ!”

ขณะที่แมควิ่งใส่นักเวทดำ แลนซีลอตชักดาบและวิ่งตาม

“ขวางไว้!”

นักเวทดำยิงกระสุนเวทใส่ แต่แมคและแลนซีลอตหลบด้วยการขยับตัวเพียงเล็กน้อย เพราะอย่างนั้นกระสุนเวทจึงตรงไปที่เลชา

“บาเรีย! กรี๊ด!”

เลชาตะโกนพลางกางโล่ป้องกันกระสุนเวทมนตร์จำนวนมากที่ลอยเข้าหา

“เจ้าปัดมันไปได้! ปัดสิ!”

ถ้าเป็นนอกซาฮารามเธอจะไม่พูดแบบนี้ แต่ที่นี่ใช้เวทมนตร์ไม่สะดวก เหมือนวิ่งในน้ำ

“โอ้ ขอโทษ!”

แมคกับแลนซีลอตลืมไปว่าเลชาช้าเพราะเป็นนักเวท แทนที่จะหลบกระสุนเวท พวกเขาพุ่งใส่กลุ่มนักเวทดำ ฟันนักเวทดำล้มลงทีละคนพร้อมกับระวังหลังให้กัน

เวทมนตร์ของเลชายิงใส่กลุ่มนักเวทเป็นครั้งคราว นักเวทดำที่ขวางทางถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว

พวกแลนซีลอตตรงไปที่วิหารอย่างรวดเร็ว แต่หยุดเมื่อมาถึงหน้าวิหาร

“ฮู้ว! ชักตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว”

แมครู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเมื่อพลังเวทแข็งแกร่งซึมออกมาจากข้างในวิหาร มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เลชากำคทาแน่น เธอเจอพลังเวทแข็งแกร่งขนาดนี้แค่ตอนผู้เฒ่าเมอร์ปาโกรธ หรือตอนเดนเบอร์กใช้เวทมนตร์ถล่มระหว่างหนีออกจากป่า เมื่อรู้สึกถึงพลังเวทมากกว่าของเธอสองถึงสามเท่า เธอก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่

แลนซีลอตกระชับดาบสองเล่มในมือทั้งสองข้างและพูด “เข้าไปข้างในกันเถอะ”

แลนซีลอตก้าวเข้าไปในวิหารเป็นคนแรก เขารู้ดีว่าพลังที่ออกมาจากวิหารแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงอย่างนั้นก็ตาม เหตุผลที่เขาเข้าไปเป็นคนแรกก็ง่ายๆ

“เราไม่มีเวลาให้เสียเปล่าตรงนี้”

เขาต้องจัดการกับนักเวทดำข้างในให้เร็วเพื่อจะได้ไปหาเดน

มองแลนซีลอตที่เดินเข้าไปอย่างสง่า แมคกับเลชาก็ตามเข้าไปด้วยรอยยิ้ม



สารบัญ                                        บทที่ 77.3