วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 72.2

 บทที่ 72.2 – แลนซีลอตผจญภัย

ทะเลทรายซาฮารัม อยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิในยุคเลือดของจักรพรรดิชาร์ล็อตและนโยบายขยายดินแดนของเขา

ชาร์ล็อตเป็นบิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นอดีตจักรพรรดิผู้ยึดถือการสงคราม ผู้รวบรวมอำนาจของราชวงศ์ด้วยการขยายดินแดนและกวาดล้างศัตรู

ชาร์ล็อตมีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างจักรวรรดิให้เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด ขณะเดียวกันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำสงครามทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต

ผลงานที่ได้รับการยกย่องที่สุดของชาร์ล็อตคือการยึดครองทะเลทรายซาฮารัม ที่ตลกคือ ซาฮารัมเป็นดินแดนแห้งแล้งปลูกพืชผักแทบไม่ขึ้น  เหตุผลเดียวที่ได้รับการชื่นชมคือเหตุผลทางศาสนา

ในอดีตกาล ซาฮารัมเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรจุน้ำแห่งโลก วิหาร ศาสนาหลักของจักรวรรดิ ถือมันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยที่วิหารหลีกเลี่ยงจากจักรวรรดิ วิหารประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อ และรุกรานอาณาจักรที่อยู่ในซาฮารัม

แต่พาลาดินของวิหารแพ้ตลอดเพราะสภาพแวดล้อมของทะเลทรายอันโหดร้าย หนำซ้ำสงครามกองโจรของนักรบทะเลทรายยังทำให้พลังรบของวิหารอ่อนลง นำไปสู่การล่มสลายในช่วงสมัยของราชาปีศาจคังลิม

ในยุคเลือด ชาร์ล็อตทำในสิ่งที่วิหารช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดทำไม่ได้ นั่นทำให้เขาได้แสดงพลังของจักรวรรดิและสร้างบุญคุณใหญ่หลวงกับวิหาร

มีขบวนอูฐกำลังข้ามดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

“โอ๊ย ร้อน!”

ในรถม้าที่ถูกลากด้วยอูฐ ปรับแต่งให้เปิดให้ลมผ่าน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอย่างห่อเหี่ยว

“เซนต์! ไม่ว่าจะร้อนยังไงก็นั่งแบบนั้นไม่ได้นะคะ! ระวังสายตาคนอื่นด้วย” หญิงรับใช้บ่นและพยายามทำให้เธอยืดหลังขึ้น

หญิงรับใช้ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอ เพราะเธอเป็นเซนต์หญิงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิ เซนต์ฮิลลิส

ฮิลลิสกำลังเดินทางไปแสวงบุญที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางซาฮารัม

รู้สึกเหมือนกำลังจะร้อนตายอยู่แล้ว ฮิลลิสยิ้มงดงามให้หญิงรับใช้และพูดค่อยๆ “เงียบซะ ก่อนที่ข้าจะใช้ปากของเจ้าเป็นที่ทุบวอลนัท”

“แต่ แต่ว่าเซนต์-” หญิงรับใช้หุบปากเมื่อฮิลลิสหยิบเม็ดวอลนัทออกมา

เห็นหญิงรับใช้กำลังจะร้องไห้ ฮิลลิสยืดหลังขึ้นแล้วพูด “รอบๆมีแต่ทราย ใครจะมาเห็น?”

“แต่พาลาดินคนอื่นๆ...”

ฮิลลิสตบบ่าหญิงรับใช้ “พูดไร้สาระ”

จากนั้นเธอเอนหลังกลับ ไขว่ห้าง แล้วถามเสียงดัง “เฮ้! มีใครจะเอาเรื่องของข้าไปพูดไหม?”

เหล่าพาลาดินที่เฝ้ารอบๆหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ! ไม่มีคนแบบนั้นหรอก!”

“ใช่! ใครจะเอากิริยาของท่านเซนต์ไปพูด?”

ฮิลลิสยกนิ้วกลางขึ้น

“เจ้าบ้า หมายความว่ายังไง ‘กิริยา’ กิริยาของข้ามันยังไง? อยากตายเหรอ?”

พาลาดินคนหนึ่งยิ้มตอบ

“ฮ่าๆ ถือเป็นเกียรติที่ได้ตายในมือของท่านเซนต์”

“ใช่แล้ว!”

“อีกอย่าง ถ้าเราพูดไปคงถูกหาว่าเป็นคนโกหกใช่ไหม?”

ฮิลลิสหัวเราะให้พาลาดินที่พูดประจบเธอ

“จริง จริงโคตรๆ!”

ฮิลลิสถอดรองเท้าส้นสูงแล้วโยนใส่พาลาดิน เขารับรองเท้าเหมือนเคยชินแล้ว

ถ้ารองเท้าประจุพลังเวทด้วยก็อีกเรื่อง แต่ตัวเธอที่นั่งรถม้าตลอดเวลาอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดา รองเท้าที่ถูกเซนต์แบบนี้โยนใส่จึงทำร้ายพาลาดินไม่ได้

“โอ้! สำหรับพวกเราแล้วนี่คือรางวัล!”

ฮิลลิสถอนหายใจกุมขมับเมื่อพาลาดินที่รับรองเท้าไปยิ้มร่าและยกนิ้วโป้งให้

“เพราะมีคนพวกนี้อยู่รอบๆนี่แหละ ฤดูใบไม้ผลิของข้าจึงไม่เคยมาถึง”

อายุ 18 พอคิดว่าในวัยแรกแย้มเธอต้องอยู่กับพวกพาลาดินผู้โผงผางแบบนี้ทำให้รู้สึกขนลุก ฮิลลิสแลบลิ้นใส่พวกเขา

“ฮ่าๆๆ! ถ้าใครกล้าเข้าหาท่านเซนต์ก็ต้องเจอกับพวกเราก่อน!”

“ใช่!”

“ฮ่าๆๆๆ!”

ฮิลลิสถลึงตาใส่พวกพาลาดินที่กำลังหัวเราะ “ข้าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แบบพวกเจ้า! ถ้าเล่นตลกกับข้าได้ยิ่งดี”

พูดเสร็จ ฮิลลิสกลับไปนอนต่อ “อีกนานไหมกว่าเราจะถึงหมู่บ้านโอเอซิส?”

หญิงรับใช้ดึงแผนที่ออกมาอย่างงุ่มง่าม “อย่างเร็วที่สุดคงถึงตอนเย็นค่ะ”

“จริงเหรอ? เฮ้อ! ถ้าข้ารู้ว่ามันจะร้อนอย่างนี้ ข้าน่าจะพานักเวทมาด้วย!”

ในเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ฮิลลิสใช้ได้นั้น โชคร้ายที่ไม่มีเวทมนตร์เกี่ยวกับน้ำแข็งหรืออุณหภูมิเลย

***

เมื่อถึงหมู่บ้านโอเอซิสก่อนตกกลางคืนพอดี กลุ่มแลนซีลอตไปยังโรงแรมที่อยู่ลึกที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้พวกเขาจ้างคนนำทางตอนนี้ คนนำทางก็เดินทางตอนกลางคืนไม่ได้นอกจากจะเป็นคนเผ่ากา

“ทะเลทรายตอนกลางคืนเย็นจัง ถ้าตกดึกคงหนาวเลยใช่ไหม?” เลชาถาม

“คงอย่างนั้น” แมคเห็นด้วย เลชาใช้เวทมนตร์ทำความอบอุ่นให้รอบๆ

“ขอโทษครับ” แลนซีลอตพูดหลังจากเปิดประตูโรงแรมเข้าไป อุณหภูมิในโรงแรมสูงกว่าข้างนอกเพราะความร้อนตอนกลางวันยังเหลืออยู่

กลางโรงแรม หินที่อาบแสงดวงอาทิตย์ไว้ตอนกลางวัน ดูเหมือนกำลังปล่อยความร้อนตลอดกลางคืน

“โอ้ มันคือเวทมนตร์” เลชาพูดอย่างอยากรู้ขณะเข้าใกล้หินกลางห้อง หินมีเวทมนตร์สำหรับสะสมความร้อน รวมกับเวทมนตร์เก็บกักความร้อน

เวทมนตร์บนหินเป็นเวทหยาบๆที่เพียงศึกษาเวทมนตร์มาเล็กน้อยก็ใช้ได้ ถึงอย่างนั้น เลชาผู้ไม่คิดว่าจะได้เห็นเวทมนตร์ในที่อย่างนี้ก็ดีใจ

“ขอโทษครับ มีห้องสำหรับสองคนกับห้องเดี่ยวไหมครับ?” แลนซีลอตไปถามที่เคาน์เตอร์

โชคไม่ดี เจ้าของโรงแรมส่ายหน้าอย่างยุ่งยากใจ “อา ทำยังไงดีล่ะ แขกคนหนึ่งจ่ายค่าเงินค่าห้องทั้งหมดแล้วครับ”

“จริงเหรอ? แต่ แล้วเราจะไปนอนที่ไหนล่ะ?” แลนซีลอตถาม

หมู่บ้านโอเอซิสนี้เล็ก มีโรงแรมคือที่นี่ที่เดียว

ตอนกลางคืน อุณหภูมินอกโรงแรมจะลดลงต่ำกว่าศูนย์องศา นอนข้างนอกจะลำบาก

เจ้าของโรงแรมคิดว่าพวกพ่อค้ากับนักแสวงบุญที่เดินทางข้ามทะเลทรายต้องผ่านที่นี่เพราะเป็นหมู่บ้านโอเอซิส แต่ อาจเนื่องมาจากที่ตั้ง ที่นี่แทบไม่มีลูกค้า

ด้วยเหตุนี้ เจ้าของโรงแรมจึงต้อนรับแขกอย่างดีเท่าที่จะทำได้และคิดเงินสูง แต่ไม่รู้ทำไม แขกคราวนี้ขอจองโรงแรมทั้งหลัง ในความคิดของเจ้าของโรงแรมที่หาเงินจากแขกที่มาเป็นครั้งคราว แทนที่จะคิดเผื่อถึงแขกคนอื่นที่เป็นไปได้มากว่าจะไม่มา เขาตัดสินใจทำสัญญาให้เช่าโรงแรมทั้งหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถรับแขกคนอื่นได้

“นั่น ข้าขอโทษด้วย”

เมื่อเจ้าของโรงแรมขอโทษอย่างจริงใจ แลนซีลอตถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นให้เราใช้คอกสัตว์ได้ไหม?”

มีที่บังลมยังดีกว่าต้องอยู่ที่โล่งทั้งคืน

“นั่น คอกเต็มเพราะอูฐที่แขกคนอื่นพามา...”

เจ้าของโรงแรมเกาศีรษะ แลนซีลอตขมวดคิ้ว ขณะเขากำลังคิดจะไปเจรจากับแขกที่เช่าโรงแรม ชายคนหนึ่งก็เดินลงบันไดมา

ชายคนนั้นใส่ชุดลำลองแต่คาดดาบไว้ที่เอว เขาเป็นหนึ่งในพาลาดินที่คุ้มกันเซนต์หญิง

“มีอะไรกันเหรอ?” เขาถาม

ดูเหมือนเขาลงมาดูเมื่อได้ยินเสียงคุยจากชั้นหนึ่ง ซึ่งควรจะเงียบ

“โอ้! คุณลูกค้า! เรื่องมันเป็นอย่างนี้...”

เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ชายผู้มาใหม่ถอนหายใจ “ข้าขอโทษ ถ้ามีแต่พวกเราข้าคงแบ่งห้องให้พวกท่าน แต่วันนี้ มีแขกสำคัญพักที่นี่”

เขาพูดพลางมองดาบของแมค “เราไม่อาจปล่อยให้คนนอกพักที่เดียวกับแขกคนสำคัญ โดยเฉพาะคนที่มีอาวุธ ขอโทษจริง แต่พวกท่านช่วยถอยไปได้ไหม?”

แลนซีลอตลังเลเมื่อชายคนนั้นก้มศีรษะให้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่าแขกคนสำคัญที่ว่าเป็นใคร แต่กลุ่มของเขาก็มีคนสำคัญมากเช่นกัน

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสุภาพแค่ไหน คำพูดของเขาก็เด็ดขาด ขณะที่แลนซีลอตกำลังจะแสดงความโกรธออกมาแมคก็หยุดเขาไว้

เหตุผลที่แมคอยู่ในกลุ่มก็เพื่อเป็นคนคุ้มกัน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้แลนซีลอตเป็นคนโจมตีก่อนในสถานการณ์ที่อาจมีการปะทะอาวุธ

“แหม ข้าไม่รู้ว่าคนสำคัญนี่สำคัญขนาดไหน แต่การไล่คนออกไปแบบไม่เห็นใจกันเลยนี่มันไม่เหมาะนะ” แมคพูด

เมื่อแมคมองชายอีกคนอย่างเคร่งขรึม คนถูกมองก็ถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกละอายที่ถอยหลังทั้งๆที่ไม่ได้ถูกขู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกกระวนกระวายที่เห็นแมคยืนขวางหน้าเขา ไม่ใช่ทุกคนที่มีรัศมีสามารถกดดันคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้

เขาคาดเดาอายุของแมค

20 กว่าๆ ไม่สิ หนวดทำให้ดูแก่ น่าจะเกือบ 20

“ท่านเป็นใคร?” ชายคนนั้นปลุกปลอบใจตัวเองแล้วถาม

แมคหัวเราะเมื่อรู้สึกถึงพลังงานแผ่ออกมาจากร่างของชายคนนั้น ถ้าปล่อยความคิดต่อสู้ออกมา มันจะเป็นรัศมี ถ้าปล่อยความคิดสังหาร มันจะกลายเป็นรังสีสังหาร

โลกนอกหมู่บ้านดูเปราะบางเหมือนเต้าหู้ แมคจึงรู้สึกดีเล็กน้อยที่เห็นมันยังมีคนแข็งแกร่ง

แม้เขาจะแข็งแกร่งเท่าเด็ก 10 ขวบในหมู่บ้าน อย่างน้อยถ้าแมคเผลอออกแรงมากไปเขาก็ไม่ตาย

“เกิดอะไรขึ้น!?”

เมื่อรู้สึกถึงเจตนาต่อสู้ เพื่อนร่วมงานของชายคนนั้นก็วิ่งลงมา ทุกคนมีดาบ

พวกเขาลงมาถึงชั้นแรกของโรงแรมที่ไม่กว้างนักและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ล้อมคนที่กำลังเผชิญหน้ากับเพื่อนของพวกเขาตามการฝึก แต่พวกเขาไม่รู้สึกถึงความคุกรุ่นก่อนเกิดการต่อสู้อย่างที่มักจะเป็น

แต่ ชายผู้ปล่อยรัศมีและทำให้เพื่อนร่วมงานของเขาวิ่งลงมากำลังเหงื่อตกด้วยความเครียด

“หุๆๆ น่าสนุก” แมคพูด

แมคมองคนรอบๆและกะระยะดาบของเขา เขาสามารถสังหารได้กี่คนในการฟันครั้งเดียว?

แมคเปรียบเทียบพลังของเขากับศัตรูตามความเคยชิน

ตอนนั้นเอง เหล่าพาลาดินที่ล้อมแมครู้สึกเหมือนสถานการณ์มันกลับกัน พวกเขาเป็นฝ่ายล้อมชัดๆ แต่รู้สึกขนหัวลุกเหมือนแกะที่อยู่ต่อหน้าหมาป่า

ด้วยประสาทสัมผัสที่ถูกลับด้วยการฝึกซ้อมและการต่อสู้นับไม่ถ้วน ความกลัวที่พวกเขารู้สึกอยู่เหมือนกำลังตกอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย

พาลาดินที่ล้อมแมคเร่งรัศมีของตัวเองขึ้น นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขาแต่มันเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่สะสมมาจากประสบการณ์

เมื่อตกอยู่ใต้การกดดันจากทุกด้าน เลชากับแลนซีลอตก็เครียดและแตะอาวุธของตน แม้จะเป็นคนเผ่ากา แต่เลชากับแลนซีลอตไม่เคยใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดกับการต่อสู้

แมคกลับตรงกันข้าม เขารู้สึกคิดถึงสมัยก่อนขึ้นมาเล็กน้อยจากแรงกดดันและผ่อนคลายเหมือนกำลังอาบน้ำอุ่น ร่างกายของเขาเครียดมาตลอดตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านเพราะกลัวว่าจะไปเผลอทำร้ายคนอื่น หรือทำข้าวของพัง ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายหลังจากเครียดมานาน

แต่ความสบายใจของเขาคงอยู่ได้ไม่นาน


สารบัญ                                       บทที่ 73.1



วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 72.1

 บทที่ 72.1 – แลนซีลอตผจญภัย

ปลายเดือนกรกฎาคม หนึ่งเดือนครึ่งก่อนงานฉลองวันเกิดของอารีเลีย

หลังจากออกจากป่าโอลิมปัสและแลกเงินในวาแรนท์ กลุ่มของแลนซีลอตก็เดินทางไปเมืองหลวงไล่ตามเดนเบอร์ก เบลดผู้หนีออกจากบ้าน อย่างน้อยนั่นคือแผน

“เราอยู่ที่ไหนเนี่ย!?” เลชากรี๊ดพลางทึ้งผม  

ไม่ว่าจะมองไปทางไหนสักกี่ครั้ง สิ่งที่เห็นก็มีแต่ทรายกับท้องฟ้าสดใส อากาศร้อนเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นต้นฤดูร้อน ประสบการณ์ในทะเลทรายอันโหดร้ายที่เธอเคยอ่านแต่ในหนังสือ ทิ้งให้เลชารู้สึกหดหู่

“ขะ ขอโทษครับ” แลนซีลอตขอโทษเสียงเบา

เลชาถอนหายใจ “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่ไหม ท่านรองกัปตัน!”

เลชาถลึงตาร้อนแรงเหมือนดวงอาทิตย์เหนือทะเลทรายใส่แมค

“แฮ่ม ถูกต้อง ท่านทูตไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่แล้ว” แมคหลบสายตาเลชาแล้วกระแอมไอ

ตอนแรก แมคเป็นคนทำให้พวกเขาเดินผิดทางและลงมาทางใต้จนถึงทะเลทราย แทนที่จะเป็นตะวันตกเฉียงใต้ไปเมืองหลวง ทั้งๆที่แลนซีลอตเสนอให้จ้างคนนำทางและนั่งรถไฟเมื่อไปได้ครึ่งทาง แมคมั่นใจว่าพวกเขาไม่ต้องมีคนนำทาง

แลนซีลอตไม่ควรเชื่อเมื่อแมคตบหน้าอก บอกให้เขาเชื่อในความสามารถของรองกัปตันผู้มีประสบการณ์เดินทางในป่าโอลิมปัส

ไม่เหมือนในป่า แมคไม่รู้วิธีปรับตัวในที่ราบและค่อยๆเบนเส้นทางไปทางใต้แทนที่จะเป็นตะวันตกเฉียงใต้อย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

แต่แมคมีข้ออ้าง “แต่คุณหนูก็พูดไม่ได้นะว่าตัวเองไม่ผิด”

“นั่น นั่นเป็นอุบัติเหตุที่เลี่ยงไม่ได้ ใช่แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ” เลชาหน้าแดงเหมือนรู้สึกผิดและหันหน้าหนี

ใช่แล้ว เลชามีส่วนทำให้พวกเขาหลงมาถึงทะเลทราย

หลังจากไปถึงหมู่บ้านแรกในทุ่งราบ กลุ่มก็รู้ตัวว่าพวกเขาเดินผิดทาง

พูดให้ชัดคือ แลนซีลอตรู้ตัว แต่อีกสองคนไม่ แลนซีลอตอธิบายและเสนออีกครั้งให้จ้างคนนำทางพากลับไปทางเหนือ แล้วหลังจากนั้นก็หารถรับจ้างไปยังเมืองที่มีสถานีรถไฟ

แต่แล้ว เมื่อเลชาเห็นขบวนพ่อค้าหยุดพักที่หมู่บ้าน เธอบอกว่าเดินทางไปกับขบวนพ่อค้าน่าจะปลอดภัยกว่าและจ้างพวกเขาด้วยเหรียญทองหนึ่งเหรียญ แลนซีลอตรู้สึกกังวลกับการปล่อยให้เห็นเงินจำนวนมากขนาดนั้นง่ายๆ แต่เขาปลอบใจตัวเองว่าคิดมากไป คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก

เขาเชื่อว่าพ่อค้าที่เดินทางไปหลายที่น่าจะเหมาะกับการนำทางมากกว่าคนที่ไม่ได้ออกจากหมู่บ้านบ่อยๆ แต่ คราวนี้เขาไม่ควรเพิกเฉยต่อความกังวลของตัวเอง

แทนที่จะพากลับไปทางเมืองหลวง ขบวนพ่อค้าพากลุ่มแลนซีลอตไปยังทะเลทราย ด้วยความละโมบเมื่อเห็นถุงเงินที่เลชาและแมคแขวนข้างเอวอย่างไม่ระวังแกว่งไปมา พ่อค้าเปลี่ยนเป็นโจรเมื่อพวกเขามาถึงกลางทะเลทราย

มันเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยของคนทั้งสองที่โตในป่าและไม่รู้ค่าของเงิน พวกโจรหาเรื่องผิดคน และพวกเขาทุกคนก็ถูกหมัดของแมคส่งลงหลุม

แมคควบคุมแรงไม่เก่ง เขาตั้งใจละเว้นชีวิตไว้หนึ่งคนเพื่อทำหน้าที่เป็นคนนำทาง แต่ไม่รู้เลยว่าพวกพ่อค้าจะตายง่ายขนาดนั้น จากการนี้เราจึงรู้ว่าเดนเบอร์กคุมแรงของตัวเองได้ดีเพียงใดตอนสู้กับพวกนักเลงเป็นครั้งแรก อย่างน้อยนักเลงพวกนั้นก็รอดตาย

เลชากล่าวโทษแมคที่ไม่เหลือใครไว้ ส่วนแมคอ้างว่าไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทั้งหมด นี่คือความหมายของบทพูดก่อนหน้านี้

“ถ้าข้ายืนยันให้ชัดเจนกว่านี้...” แลนซีลอตตำหนิตัวเอง

เลชากับแมครีบปลอบเขา “ไม่! เจ้าทำได้ดีแล้ว!”

“ใช่! ถ้าไม่มีแลนซีลอต ข้าคงร้องไห้ไปกับอนาคตที่มืดมน!”

เลชามองแมคอย่างไม่เห็นด้วย “คนโตแล้วมาร้องไห้นี่มันออกจะ...”

“เฮ้ย ข้าแค่พูด” แมคยิ้มเจ้าเล่ห์ แลนซีลอตหลุดหัวเราะ

“เห็นเจ้าหัวเราะได้ก็ดีแล้ว”

“ใช่ๆ เขาว่าโชคดีจะตามมากับเสียงหัวเราะ มาฟังกันเถอะว่าท่านทูตมีคำแนะนำสูงส่งว่าพวกเราควรจะไปต่อยังไง”

แลนซีลอตหน้าแดงด้วยความอาย “ไม่ได้สูงส่งอะไรนะครับ แต่ข้าคิดว่าเราควรหาเมืองใกล้ๆ”

“ความคิดดี!”

“ใช่แล้ว!”

ด้วยรู้ตัวว่าเป็นคนผิด เลชากับแมคจึงพยายามให้กำลังใจแลนซีลอต

“พี่เลชาเป็นนักเวท ลองบินขึ้นไปมองหาจากข้างบนดีไหม?” แลนซีลอตเสนอ

เลชามองรอบๆอย่างขัดเขินแล้วปฏิเสธ “เอ่อ วิธีนี้ไม่เลว แต่มันมีปัญหาอยู่สองเรื่อง”

“อะไร?” แมคถาม

“อย่างแรก ที่นี่เป็นทะเลทราย ต่อให้ข้าเห็นหมู่บ้าน มันอาจจะอยู่ผิดทางเพราะภาพลวงตาที่เกิดจากอุณหภูมิต่างกัน” เลชาอธิบาย

“งั้นข้าไปหาเองคนเดียวก็ได้” แมคตอบ

เลชาส่ายหน้า “ถ้าเราคุ้นเคยกับแถบทะเลทรายนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่ข้าคิดว่าถ้าเราแยกจากกลุ่ม คงหาทางกลับมาเจอกันไม่ได้”

หมู่บ้านมีขนาดใหญ่ เลชาคงสามารถเจอได้อย่างเร็ว แต่เธอไม่มีทางเห็นคนสองคนในทะเลทรายที่ทุกอย่างดูเหมือนกันไปหมด

“ถ้าอย่างนั้นพี่พาพวกเราบินไปด้วยดีไหม?” แลนซีลอตถาม

เลชาก้มหน้าแล้วพูดค่อยๆ “ขอโทษ ที่จริงแล้วข้าไม่เคยใช้เวทบิน”

แมคฟังเสียงเบาเท่ายุงแล้วคิดว่าเลชาแค่พูดเล่น “อะไร? นายน้อยบินทั่วหมู่บ้านตั้งแต่เด็กเลยนะ”

แมคยื่นหน้ามองหน้าเลชาที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น เมื่อสบตากัน เลชากรี๊ดเหมือนอายความสามารถของตัวเอง

“นั่นเพราะเขาเป็นอัจฉริยะ! ตอนอยู่หมู่บ้านข้าทำได้อย่างมากก็แค่ลอยเหนือพื้น!” เลชาเกือบจะร้องไห้แล้วเริ่มครวญ

“อย่างแรกเลยนะ คนไม่ควรบินได้! คนควรจะอยู่บนพื้นสิ! คนบินได้นั่นแหละที่แปลก!”

“คุณหนู หรือว่า-” เมื่อแมคพูดอย่างตกตะลึง เลชาหันหน้าไปทางอื่น

“ใช่! ข้ากลัวความสูง! ข้าไม่เคยใช้เวทบินอีกเลยตั้งแต่ตอนที่ตกจากความสูง 20 เมตร ตอนฝึกเวทบินสมัยเด็ก!”

ตอนนั้นเองแมคถึงได้เข้าใจว่าทำไมเลชาไม่บินเหมือนเดนเบอร์กตอนตามจับเดนเบอร์ก ไม่ใช่เธอไม่บิน เธอบินไม่ได้

แน่นอน เธออาจจะบินได้ถ้าตั้งใจจริง ไม่เหมือนตอนเด็กและอยู่ในป่าโอลิมปัส ที่นี่พลังเวทไม่โกลาหลเหมือนในป่า อีกอย่าง ความสามารถทางเวทมนตร์ของเลชาถือว่าอยู่ในกลุ่มจอมเวทอย่างชัดเจน

แต่เลชาผู้กลัวความสูง รู้สึกไม่มั่นใจแม้แต่ลอยเหนือพื้น

ฟังเสียงครวญของเลชาแล้วแมคหยุดมองหน้าแล้วเอนตัวกลับ ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองกลัว”

สายตาจริงใจอย่างกะทันหันรวมกับหน้าหล่อของเขาทำให้เลชาใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ เมื่อเห็นเขาเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พลางลูบหนวด ความรู้สึกนั้นก็หมดไป

หรืออาจจะยังรู้สึกอยู่บ้าง เลชาหน้าแดงเล็กน้อยขณะที่ถามแมค “แล้วพี่ล่ะกลัวอะไรบ้างไหม?”

แมคคิดครู่หนึ่งก่อนจะขยิบตาแล้วเอานิ้วชี้แตะปาก “หุหุ ความลับ”

แมคยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ และความรู้สึกอยากต่อยหน้าของเลชาก็เริ่มรุนแรงตาม แต่ ฝ่ายตรงข้ามเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มหนุ่มสาวของหมู่บ้านเผ่ากา เขาสามารถหลบหมัดของเลชาทั้งๆที่ยังหลับตา

เลชาได้แต่อดทน “แล้วเราจะทำยังไงดี”

เลชาถอนหายใจ แลนซีลอตนิ่งคิดอีกครั้ง

“อืม ตอนนั้นเดนใช้เวทมนตร์หาทางน้ำใช่ไหมนะ? พี่ใช้เวทมนตร์แบบนั้นได้ไหม?” เขาถาม

เลชาเข้าใจอย่างรวดเร็ว “ทางน้ำ? อ๋อ! เจ้าจะหาหมู่บ้านข้างโอเอซิส! ฉลาดจัง”

เลชาขยี้ศีรษะแลนซีลอตระหว่างชมอย่างภูมิใจในตัวเขา

“เฮะๆ เปล่า ข้าแค่จำที่เดนพูดได้”

“เดนพูดอะไร?”

แลนซีลอตตอบคำถามเลชาด้วยรอยยิ้มสดใส “เมื่อก่อน เดนเคยบอกว่าถ้าเราหลงทางในที่เปลี่ยว อย่างแรกต้องหาแหล่งน้ำจากนั้นก็อาหาร”

ระหว่างที่คิดว่าจะหาน้ำได้อย่างไร แลนซีลอตก็นึกได้ถึงหมู่บ้านที่สร้างตามโอเอซิส ซึ่งเขาเคยเรียนที่กระทรวงต่างประเทศ ในวัตถุดิบเวทมนตร์ที่ผู้เฒ่าเมอร์ปาต้องการ มีบางอย่างที่หาได้แต่ในทะเลทราย เขาจึงได้เรียนเรื่องนี้ด้วย

“เหรอ?”

“ใช่! แล้วก็ แล้วก็นะ! เดนเคยสอนวิธีเอาตัวรอดในทะเลทรายด้วยล่ะ!”

ขณะที่แลนซีลอตตื่นเต้นและมีทีท่าจะร่ายยาว แมคขัดคออย่างเป็นธรรมชาติ “งั้นหากันเถอะ! คุณหนู!”

เหมือนจะไม่อยากฟังแลนซีลอตสรรเสริญเดนเบอร์กเช่นกัน เลชาตอบด้วยเสียงตื่นเต้นเกินเหตุ “เอาเลยนะ!”

เมื่อแลนซีลอตพูดชมเดนเบอร์กแล้วไม่มีทางหยุดได้ ช่างมหัศจรรย์ที่ความสามารถของเขาไม่เหมือนเดนเบอร์กเลย ทั้งๆที่ชื่นชมเขาขนาดนั้น ทั้งแมคและเลชารู้ว่าแลนซีลอตกับเดนเบอร์กแตกต่างกันมาก

แลนซีลอตดูผิดหวังมากขณะที่เลชาตั้งสมาธิไปที่เวทมนตร์ของเธอ เขาเลือกที่จะรอจนเธอใช้เวทมนตร์เสร็จ ต่อให้ไม่เจอหมู่บ้าน การหาแหล่งน้ำในทะเลทรายก็สำคัญเช่นกัน

“เจอแล้ว” เลชาพูด

“โอ้! อยู่ไหน?”

เลชาชี้ไปทางใต้ “ทางนั้น”

ก่อนจะออกเดินทาง พวกเขาก็จัดการกับสิ่งของของพ่อค้าเร่ร่อนก่อน พวกเขาเก็บของของพ่อค้าเข้ากระเป๋ามิติของเลชาตามข้อเสนอของแลนซีลอต เลชารู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอทำตามเพราะรู้สึกผิด

“เราต้องเอาด้วยเหรอ?” เลชาถาม

เมื่อเลชาพูดขึ้นเมื่อเก็บของเสร็จแล้ว แลนซีลอตพยักหน้าเหมือนชมเชยที่ถาม

“เดนบอกว่าทุกการกระทำย่อมมีจุดประสงค์ และถ้ามีจุดประสงค์ จะใช้วิธีไหน-”

“เอาล่ะ! เราไปกันเลยเถอะ ไม่งั้นจะมืดก่อน” เลชาตัดบท

แมคเห็นด้วย

“ความคิดดี!”

เลชากับแมคจับแขนแลนซีลอตเหมือนควบคุมตัว เดินไปทางโอเอซิสอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ?เอ๋?”

แลนซีลอตงงพลางเร่งฝีเท้าตามคนทั้งสอง ไม่เข้าใจว่าทำไมเดินกันเร็วนัก ท้องฟ้าทะเลทรายกระจ่างใสขนาดที่เห็นดาวเหนือได้แล้ว

แลนซีลอตเชื่อว่าทุกคำของเดนสามารถใช้เป็นสิ่งนำทาง เหมือนดาวเหนือบนท้องฟ้านั่นเอง จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าที่พวกเขาเดินเร็วก็เพื่อให้ไปถึงโอเอซิสก่อนตกกลางคืน

แน่นอน มีแต่แลนซีลอตที่เข้าใจเช่นนั้น



สารบัญ                                              บทที่ 72.2



วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 71

 บทที่ 71 – งานเลี้ยง (22)

งานเลี้ยงกำลังเป็นไปอย่างครึกครื้นเมื่อมิลเปียได้คำสั่งด่วนให้ออกจากโรงเรียนเวทมนตร์ หลังการเดินเป็นนาน มิลเปียหยุดที่ตรอกไร้ผู้คนและดึงนาฬิกาออกมาดูเวลา เธอคิดว่าเมื่อเธอกลับไปที่ห้องโถงคงเลยเที่ยงคืนและงานเลี้ยงคงจบไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่

ถ้ามีคำสั่งมา เธอต้องทำตาม

เข็มวินาทีค่อยๆชี้ไปที่เลขสิบสอง ในทันใดนั้น คนสวมหน้ากากก็ล้อมเธอไว้ไม่ให้หนี หลังคาเหนือตรอกก็ถูกปิดเช่นกัน มิลเปียรู้สึกกดดันจากทุกทาง เหมือนเหยื่อที่ติดใยแมงมุม

มิลเปียไม่ตกใจ พวกเขาทั้งหมดคือสมาชิกของหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่ 

ปัญหาคือ-

“พวกเจ้ามือสังหารมาทำอะไรที่นี่?”

มือสังหารเหล่านี้คือคนลงโทษคนทรยศหรือคนที่เป็นอันตรายต่อหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่

“เจ้าถามเพราะไม่รู้เหรอ? ผู้จัดการสาขา มิลเปีย”

คนที่เดินออกมาจากตรอกมืดคือผู้บริหารของสำนักงานใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลวง

“ไม่ใช่สิ เจ้าไม่ใช่ผู้จัดการสาขาอีกต่อไป แต่เป็นแค่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ใช่ไหม? เจ้าหน้าที่มิลเปีย” ผู้บริหารยิ้ม เขาแต่งตัวเหมือนบาร์เทนเดอร์ตามปกติ

มิลเปียรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าเข้าใกล้ “มีใครโง่ถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วบ้างล่ะ? ผู้บริหารสำนักงานใหญ่” มิลเปียตอบเสียงเอื่อย

ผู้บริหารยืนต่อหน้ามิลเปียและมองอย่างตำหนิ “ถ้าเจ้าไม่รู้ข้าก็จะตอบ เจ้าถูกสงสัยว่าเป็นคนทรยศ”

“คนทรยศ?”

มิลเปียสังหรณ์ว่าสถานการณ์สมมติที่เลวร้ายที่สุดเป็นจริงแล้ว

“ถ้าแค่สงสัย คงไม่มีคนมามากขนาดนี้ ได้ ไหนล่ะหลักฐาน”

มิลเปียพูดอย่างสงบ การแสดงความร้อนรนออกมามีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง รักษาสติเอาไว้เป็นทางเดียวที่จะฝ่าปัญหาไปได้

ผู้บริหารหัวเราะเยาะ “มิลเปีย เจ้าขายข้อมูลของสาขาสำคัญเช่นกรันเวลให้ฝ่ายศัตรู”

“ข้าไม่เคยทำเรื่องนั้น”

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้น ทำไมมีคนไปซื้อข่าวถึงสำนักงานของกรันเวลล่ะ?”

“นั่น...”

มิลเปียไม่มีข้อแก้ตัว “ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องนั้นอย่างเดียวพิสูจน์ไม่ได้ว่าข้าขายข้อมูลของสาขากรันเวล”

ผู้บริหารมองมิลเปียอย่างสงสารแล้วส่ายหน้า “ใช่ แค่นั้นทำให้เกิดความสงสัยแต่ไม่มากพอพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคนผิด แม่ใหญ่จึงทดสอบเจ้า”

“แม่ใหญ่เหรอ?”

มิลเปียกลืนน้ำลาย ถ้าแม่ใหญ่ลงมือเองแทนที่จะเป็นผู้บริหาร ก็ไม่ต่างกับตัดสินแล้ว

“ใช่ แม่ใหญ่จงใจส่งเจ้าเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ นางอยากรู้ว่าเจ้าจะขายข้อมูลลับอีกไหม?”

ประโยคนั้นทำให้ท่าทางสงบของมิลเปียหมดลง

“เจ้าขายข้อมูลให้สิงห์ หนึ่งใน 12 ราศี องค์กรที่เป็นศัตรูกับหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่ของพวกเรา

สิงห์เป็นคนที่มิลเปียรู้จักดี

แม้จะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา พวกเขารู้เกี่ยวกับจุดประสงค์และอำนาจของสิงห์อย่างคร่าวๆ ข้อมูลนี้ผู้จัดการสาขาทุกคนรู้

“เดี๋ยวก่อน! ข้าให้ข้อมูลอะไร?”

“โฮ่ เจ้ายังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?”

มิลเปียสับสนจริงๆ หลังจากหล่นมาเป็นระดับเจ้าหน้าที่ เธอก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรอีก

แล้วข้อมูลอะไรที่ข้าขายไป?

“หึๆ เจ้าหญิง เจ้าขายข้อมูลของเจ้าหญิงไปใช่ไหมล่ะ? เจ้าคิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอ ว่าเจ้าอยู่ใกล้กับเจ้าหญิงตั้งแต่เข้าโรงเรียนเวทมนตร์?”

มิลเปียได้คำตอบในเรื่องที่เธอสงสัย

ด้วยสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เธอจึงรู้ว่าอาเรียเป็นเจ้าหญิงลำดับสาม อารีเลีย จริงๆ

เธอยังตระหนักว่าเธอถูกวางกับดับ

จากคำพูดของผู้บริหาร มิลเปียจงใจเข้าหาเจ้าหญิงเพื่อข้อมูลและส่งมันให้สิงห์ แต่มิลเปียไม่เคยได้ข้อมูลอะไรทั้งนั้น

เขาปิดข่าวเรื่องอารีเลียเพื่อผลักดันให้มิลเปียเข้าใกล้เจ้าหญิง มั่นใจว่ามิลเปียจะเข้าหายูเรีย คนของเผ่าผีเสื้อก่อน 

เขาปิดกั้นข่าวของอารีเลียไม่ให้มาถึงมิลเปีย รู้ว่าเธอจะทำตามการคาดการณ์ของเขาโดยไม่ต้องลงมือโดยตรง... การที่ผู้บริหารสามารถวางแผนรัดกุมแบบนี้ได้ทำให้เธอขนลุก

จากนั้นเสียงรองเท้าส้นสูงแตะพื้นก็ดังขึ้นจากตรอกมืดที่ผู้บริหารเดินออกมา คนที่เดินออกมาเป็นคนที่มิลเปียรู้จักดี

“ทำความเคารพแม่ใหญ่!”

มิลเปียและผู้บริหารคุกเข่าลง คนใส่หน้ากากรอบๆก็คุกเข่าลงพร้อมกัน

“ทำความเคารพแม่ใหญ่!”

ทุกคนลุกขึ้นเมื่อแม่ใหญ่โบกมือ แต่มิลเปียลุกไม่ได้

“มิลเปีย”

ได้ยินเสียงไร้อารมณ์ มิลเปียรู้สึกเศร้ามากกว่ากลัว

“ค่ะ โปรดออกคำสั่ง...แม่”

มิลเปียคุกเข่า เตรียมใจตาย คำสุดท้ายที่เธอพูดเพราะรู้ว่าเธอจะไม่ได้พูดคำนั้นอีกแล้ว

“เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม?”

“...ค่ะ”

แม่ใหญ่โบกมือด้วยสายตาเย็นชา

“ฆ่า”

มิลเปียหลับตาแน่น เธอได้ยินเสียงดาบฟันผ่านอากาศ แต่ เธอลืมตาขึ้นเพราะไม่รู้สึกเจ็บ

“อั่ก! ทะ ทำไม!”

ผู้บริหารมองแม่ใหญ่อย่างไม่เชื่อ เขาถูกดาบแทงที่ท้อง

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เหรอว่าคนที่ขายข้อมูลของกรันเวลกับเจ้าหญิงคือเจ้า?”

“แค่ก ดะ ได้ยังไง?”

เห็นท้องที่ถูกแทงของเขาและเห็นว่าเขาไม่อาจแม้แต่พูดเป็นประโยค แม่ใหญ่ชี้นิ้ว

แล้วคนใส่หน้ากากที่แทงท้องผู้บริหารก็ถอดหน้ากากออก

“จะ เจ้า แค่ก!” ผู้บริหารตกใจที่เห็นหน้าคนใส่หน้ากากและกระอักเลือด

“เป็นอย่างไร? เขาคือลูกน้องของสิงห์ ที่เจ้าส่งข่าวของเจ้าหญิงให้ ใช่ไหม?”

ผู้บริหารมองแม่ใหญ่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ นางยิ้มเย็น

“อ้อ ข่าวเกี่ยวกับกรันเวลไปถึงสิงห์จริง สบายใจได้ ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าทรยศ”

“แค่ก!”

“บอกให้รู้ไว้ ข้าเป็นคนหยุดข่าวเรื่องเจ้าหญิงที่เจ้าตั้งใจส่งให้มิลเปียเอง แย่จริง เจ้าไม่ควรให้ข้อมูลไปง่ายๆถ้าอยากให้มิลเปียเคลื่อนไหว เฮ้อ ไร้ความสามารถ รู้ไหมว่าข้าต้องพยายามแค่ไหนเพราะกลัวว่ามิลเปียจะรู้ตัว?”

แม่ใหญ่หันหน้าไปทางมิลเปียช้าๆ “แค่นี้ล่ะ ลาก่อน”

ศีรษะของผู้บริหารหลุดลงเมื่อจบคำลา แม่ใหญ่ยื่นมือให้มิลเปียที่ยังคงคุกเข่า

“เอาล่ะ เจ้าพร้อมแล้วใช่ไหม?”

มิลเปียจับมือแม่ใหญ่และถาม “พร้อมอะไรคะ?”

“เจ้าถามอะไร? พร้อมที่จะเป็นผู้บริหารสำนักงานใหญ่คนถัดไปแล้วใช่ไหม?”

มองแม่ใหญ่ยิ้มสดใส มิลเปียรู้สึกความเครียดค่อยๆหลุดไปจากตัวเธอ

“บอกให้ข้ารู้ก่อนไม่ได้เหรอ?” มิลเปียถาม

แม่ใหญ่เขินเล็กน้อยแล้วแก้ตัว

“ตก- ตกใจไหมล่ะ?”

มิลเปียคิดว่าคนเป็นแม่กับลูกกันไม่น่าจะต้องพูดแก้ตัว

***

ตรงกลางภาคใต้ของจักรวรรดิมีเมืองหนึ่งชื่อ ‘เซนต์ เพอร์ซิวาล’ มันเป็นที่ตั้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ‘เพอร์ซิวาล’ ที่พำนักของโป๊ป ผู้นำวิหาร

วิหารศักดิ์สิทธิ์ เพอร์ซิวาล เป็นวิหารใหญ่ที่สร้างตอนวิหารทรงอำนาจที่สุด และ จนถึง 120 ปีที่แล้ว มันถูกยกย่องว่าใหญ่กว่าและหรูหรากว่าพระราชวัง

120 ปีให้หลัง เพราะอำนาจของวิหารยังคงอยู่ในเมือง เซนต์ เพอร์ซิวาลจึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจวิหาร

โป๊ปและเซนต์กำลังพบกันเป็นการส่วนตัวในใจกลางวิหาร

“ยินดีต้อนรับ เซนต์ฮิลลิส” โป๊ปพูดและยิ้มเมตตาขณะที่เซนต์ทำมือเป็นรูปไม้กางเขนทักทาย

“ขอบคุณที่ต้อนรับทั้งๆที่ดึกเช่นนี้ค่ะ”

“ไม่หรอก ข้าจะเมินเฉยเซนต์ที่กลับมาจากการแสวงบุญได้อย่างไร? ท่านคงเหนื่อยสินะ เชิญนั่ง”

เซนต์หญิงขอบคุณโป๊ปและนั่งบนโซฟา

“การแสวงบุญครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” โป๊ปรินน้ำชา

เซนต์รับถ้วยชาด้วยท่วงท่าละเมียดละไม “ข้าได้พบกับคนสำคัญ”

“โฮ่ ขอโทษที่ถามทั้งๆที่ท่านเหนื่อยอยู่ แต่ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม?”

“แน่นอนค่ะ”

ระหว่างการคุยอย่างสนิทสนมและยาวนาน เซนต์หญิงก็เริ่มหลั่งน้ำตา

“โอ้! เป็นอะไรไป?” โป๊ปตกตะลึงและส่งผ้าเช็ดหน้าให้

เซนต์เช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วมองโป๊ปด้วยดวงตาเศร้า “ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาวของข้า”

“พี่สาวของท่าน พาลาดิน วิบริโอ?” 

คำบอกกะทันหันของเซนต์ทำให้แม้แต่โป๊ปผู้มีชื่อเสียงเรื่องความนิ่งสงบยังตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร? พาลาดินวิบริโอมี ‘ปาฏิหาริย์’ ที่เซนต์ใช้เวลาหนึ่งปีสร้างขึ้นมา”

ปาฏิหาริย์เป็นเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด ที่ในยุคนี้มีแต่เซนต์ฮิลลิสที่สร้างได้ มันเป็นเวทมนตร์ที่มีความยากจนเซนต์หญิงต้องใช้เวลาหนึ่งปีสร้างขึ้นมาด้วยความอุตสาหะและห้ามผิดพลาดแม้แต่น้อย

สามารถบอกได้ว่าคนที่มีปาฏิหาริย์มีเพียง โป๊ป เซนต์หญิง และวิบริโอ

นอกเหนือจากสามคนนี้แล้ว ปาฏิหาริย์อีกอันอยู่ในอัญมณีที่ฝังในดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่ดาบศักดิ์สิทธิ์สูญหายไปพร้อมกับ กาลัค เบลด ผู้สังหารราชาปีศาจเมื่อ 120 ปีก่อน

“ปาฏิหาริย์ถูกใช้ไปแล้ว ข้าต้องไปเมืองหลวงค่ะ”

“เซนต์!”

โป๊ปไม่สามารถพูดให้เซนต์หญิงเปลี่ยนใจได้ เขาถอนหายใจ “เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งคนคุ้มกันไปกับท่านด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าเจอพวกเขาระหว่างการแสวงบุญ”

“ท่านหมายถึงใคร...?”

แปะ!

เซนต์ปรบมือ ประตูเปิดออก และคนสามคนเดินเข้ามา

“อา ข้ารออยู่ตั้งนาน”

“พี่แมค!”

“ท่านรองกัปตัน!”

โป๊ปอึ้งและมองเซนต์ เซนต์ปาดน้ำตาและแนะนำตัว “พวกเขาเป็นคนของเผ่ากาค่ะ”

โป๊ปทำตาโตอย่างตกใจ กาตรงหน้าเขายิ่งน่าตกใจกว่าเรื่องที่อาจเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของปาฏิหาริย์ วิบริโอ




สารบัญ                                    บทที่ 72


...เค้าคุยกันปล่อยให้แขกรออยู่นอกห้องเหรอ?

บทต่อไป แลนซีลอตผจญภัย มี 13 ตอนค่ะ บทนี้เปลี่ยนพระเอก เพราะงั้นเราจะไม่เจอเดนไปอีก 13 สัปดาห์ >A< 

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 70

 บทที่ 70 – งานเลี้ยง (21)

วันแรกของงานฉลองวันเกิด ซึ่งใช้เป็นพิธีฉลองการเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงอันดับสาม อารีเลีย จบอย่างปลอดภัย

อารีเลียปรากฏตัวช้ากว่ากำหนดการแต่ได้รับเสียงปรบมือและคำอวยพร

งานวันแรกจบลงด้วยการเต้นรำระหว่างอารีเลียและบรรดาทายาทขุนนางชั้นสูง

วันที่สองเป็นวันเกิดของอารีเลีย งานฉลองจะจัดในปราสาทตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา

ตามธรรมเนียมแล้วงานฉลองวันเกิดของราชวงศ์จะจัดในที่ๆกำหนดไว้ ดังนั้นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในโรงเรียนเวทมนตร์กลายเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ในกลุ่มขุนนาง

ด้วยเวทมนตร์ของวิลเลียมและคนของเขา ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น มีบางคนที่สังเกตเห็น แต่ต้องเก็บเงียบไว้เพราะมันเกิดในงานสำคัญ

ตั้งแต่งานวันที่สองไป นักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์ อัศวินของโรงเรียนอัศวิน และผู้รับการฝึกเป็นข้าราชการไม่ได้รับเชิญ เพราะจัดในพระราชวัง

ได้ยินข่าวน่าผิดหวังจากอารีเลีย คุณนายอาซิลลาพยายามเชิญคนที่พักในหอของเธอทั้งหมด รวมถึงยูเรียและอลิซ

แต่ เพื่อเป็นการลงโทษที่ตามลูแปงไปอย่างไม่รอบคอบ ยูเรียถูกตำหนิและไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมงาน ทั้งๆที่เธอควรได้รับเชิญ มันทำให้เจ้าหญิงอารมณ์ไม่ดีมาก

เมื่อได้ยินข่าว เจ้าชายซันเตสมาเยี่ยมอารีเลียเพื่ออวยพรวันเกิดและปลอบใจ หลังจากคุยกันสั้นๆ เขาบอกให้เธอพักและออกจากห้องของเธอ และตรงไปที่ห้องประชุมลับ

หลังจากเดินไปตามทางลับเป็นเวลานาน เขาก็มาถึงห้องประชุมลับและเห็นว่านอกจากที่นั่งของเขากับออร์ฟินาแล้ว ที่นั่งอื่นมีคนนั่งครบ

“มาสายนะ” จักรพรรดิทักทายซันเตสด้วยรอยยิ้มเมตตา

“ข้าไปเยี่ยมอารีเลียมา ขอโทษครับ”

เห็นซันเตสก้มศีรษะขออภัย จักรพรรดิก็พยักหน้า

“ดี ข้าภูมิใจที่เจ้าดูแลน้องๆ”

คิ้วของซันเตสกระตุก เขารู้ว่าจักรพรรดิไม่ไปหาอารีเลีย พูดให้ถูกคือไม่ใช่ว่าเขาไม่ไป แต่ไปไม่ได้ ซึ่งซันเตสเข้าใจ

ถึงอย่างนั้น เขารู้สึกโกรธขึ้นมาที่เห็นพ่อของเขาใช้อารีเลียเป็นเหยื่อล่อแต่ไม่พูดอะไร เขาไม่ชอบการใช้น้องสาวของเขาเป็นเหยื่อตั้งแต่แรกแล้ว

ซันเตสสงบใจลงแล้วนั่งลง จากนั้นจู่ๆก็เห็นภาพที่แขวนบนผนังของห้องประชุมลับ

“นั่นรูปอะไร?”

รูปที่ซันเตสชี้คือภาพวาดของเดนเบอร์กที่บลัดดี้ให้ศิลปินวาดขึ้น

“โอ้ นั่นคือภาพร่างของหลานคนที่หนีออกจากบ้านของเจ้านั่น”

“อย่างนั้นเหรอ?” ซันเตสมองภาพของเดนเบอร์กอย่างสนใจ

“ไม่ ข้าบอกอยู่นี่ไงว่ามันไม่เหมือนเขาเลย!”

“อ้าว?”

เห็นซันเตสทำหน้าแปลกๆ วิลเลียมกับอาร์คันทาก็หัวเราะ

“อยากเห็นภาพที่บลัดดี้วาดไหมล่ะ?”

อาร์คันทาเอากระดาษยับๆออกมาและให้ซันเตสดู

“เฮ้! เขาเป็นแบบนั้นจริงๆนะ!”

ซันเตสคิดว่าภาพร่างที่ได้มาดูเลอะเทอะขนาดเด็กยังวาดได้ดีกว่า เขาลังเลว่าจะตอบอย่างไรดี

“วันนี้เรามาเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม? เริ่มกันเถอะ” เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องไปเลย

วิลเลียมไม่สนใจบลัดดี้ที่บ่นว่าภาพร่างนี้เหมือนจริง และส่งพลังเวทของเขาเข้าวงเวทบนโต๊ะ

วงเวทบนโต๊ะส่องแสงสว่าง และภาพสามมิติของโรงเรียนเวทมนตร์ก็ลอยขึ้นเหมือนภาพโฮโลแกรม

“ข้าจะรายงานปฏิบัติการจอมปลวกเดี๋ยวนี้”

วิลเลียมเริ่มอธิบาย แผนคือใช้อารีเลีย ผู้มีรหัสผ่าน เป็นเหยื่อล่อ 12 ราศีเข้ามาในโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อจับกุมหรือสังหาร

“ครั้งแรกเราปล่อยข้อมูลไปยังคนที่มีฉายา ‘สิงห์’ ที่สวมหน้ากากทอง แต่ที่มาโรงเรียนเวทมนตร์มี สิงห์, หน้ากากแดงพิจิก และหน้ากากน้ำตาลพฤษภ

“พิจิกกับพฤษภ? คนที่เรายังประเมินพลังไม่ได้ก็มาด้วย?”

วิลเลียมพยักหน้าให้อาร์คันทาคนถาม

“ใช่ แม้เราจะจงใจปล่อยข้อมูล พวกเขามีเครือข่ายข่าวสารที่แข็งแกร่งก็เป็นเรื่องไม่ดี”

วิลเลียมบังคับวงเวทให้เปลี่ยนภาพโฮโลแกรม

ในภาพมีพฤษภกับพิจิกยืนบนยอดหอนาฬิกา เพราะหน้ากากปิดหน้าจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันหรือเปล่า แต่ขณะที่พวกเขากำลังยืนเผชิญหน้ากัน จู่ๆพิจิกก็หายตัวไป

“ข้าเชื่อว่าพิจิกใช้เวทมนตร์ล่องหน จากนั้นก็ไม่เห็นคนผู้นั้นอีก”

“แล้วพฤษภล่ะ?”

วิลเลียมเปลี่ยนภาพอีกครั้งเป็นการตอบคำถามของบลัดดี้

ในอีกภาพ ชายวัยกลางคนที่ศีรษะเริ่มล้าน ใส่เสื้อคอวีคว้านลึกอยู่กับพฤษภ

“หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยนี่” ซันเตสเรียกชายวัยกลางคนในภาพ

วิลเลียมพยักหน้า “หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยได้รับเชิญมาเป็นพิเศษเพื่อปฏิบัติการนี้”

วิลเลียมรายงานซันเตส รัชทายาทด้วยภาษาง่ายๆ ฝ่ายหลังพยักหน้าเหมือนการไม่ใช้ราชาศัพท์เป็นเรื่องปกติ

ในห้องประชุมลับ มีกฎที่ไม่เป็นทางการว่าคนเข้าร่วมประชุมจะไม่สนใจเรื่องยศศักดิ์

“อีกอย่าง วิดีโอนี้มีเสียง” วิลเลียมพูด

“เป็นไปได้เหรอ? ไม่ใช่เจ้าบอกว่าการอัดเสียงมันยากเกินไปเพราะระยะทางมันกว้างมากเหรอ?” อาร์คันทาถาม

ภาพโฮโลแกรม ที่ถ่ายทั้งโรงเรียนเวทมนตร์เป็นงานใหญ่พอสมควร แต่เพราะวิลเลียม การอัดเสียงด้วยจึงไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้

“ใช่ แต่ถ้าคนในวิดีโอมีเครื่องอัดเสียงก็เป็นอีกเรื่อง” วิลเลียมตอบ

ในภาพ หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยพกเครื่องอัดเสียง นอกจากนั้น วิลเลียมกับบลัดดี้ก็พกเครื่องอัดเสียง ดังนั้นบทสนทนาของพวกเขากับสิงห์ก็มีในวิดีโอด้วย

เสียงดังขึ้นจากในวิดีโอ

-เฮ้ เจ้าหนุ่ม! เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?

หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยเลียริมฝีปากและถามพฤษภ

-แค่ก! เจ้า เจ้าจำผิดคนแล้ว

พฤษภพยายามหนีเหมือนเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น

-อุ๊ยแหม ไม่จริง ข้าแน่ใจว่าเคยเห็นเจ้ากับชายชราที่ใส่หน้ากากน้ำเงิน ชายชราคนนั้นเป็นหนึ่งใน ‘12 ราศี’ ใช่ไหม?

-ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!

พฤษภตัวสั่นและถอยห่าง

บลัดดี้กับอาร์คันทาเข้าใจความรู้สึกพฤษภดี

หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยเป็นคนดี แต่เขาไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากอยู่ใกล้ พวกเขาแน่ใจว่าท่าทางและน้ำเสียงเป็นสิ่งที่หัวหน้ากิลด์จงใจแสดงออกเพื่อทำให้อีกฝ่ายอึดอัด พวกเขาแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น

-แต่ว่านะ ข้าผิดหวังในตัวเจ้า! ทำไมถึงทำให้มือตัวเองแปดเปื้อนงานสกปรกอย่างการลักพาตัว?

อาร์คันทาไม่รู้ว่าหัวหน้ากิลด์พูดเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรที่เป็นศัตรูกับจักรวรรดิหรือเปล่า

-ใคร...ใครทำเรื่องขี้ขลาดอย่างการลักพาตัว? ข้าไม่ทำเรื่องตรงข้ามกับหลักการของข้า! แล้วก็อย่าเข้ามานะ! ถ้าเจ้าเข้ามาใกล้กว่านี้อีกก้าวเดียว ข้าไม่ปล่อยไว้แน่!

เสียงของพฤษภฟังกลัวๆ

-อุ๊ย แหมๆ เจ้าไม่ปล่อยข้า? ซนนะเรา!

ทุกคนที่ดูวิดีโอ เว้นแต่วิลเลียม ต่างเห็นใจพฤษภ ช่างโชคร้ายที่ถูกคนแบบนั้นจับได้

เหตุผลที่วิลเลียมไม่เห็นใจพฤษภเพราะเขาไม่เข้าใจที่หัวหน้ากิลด์นักผจญภัยพูด

หัวหน้ากิลด์เข้าใกล้พฤษภเหมือนรถดับเพลิงแล่นฝ่าสัญญาณไฟจราจร พฤษภแลกหมัดสองสามทีแล้วหนีไปด้วยความสยอง

“พฤษภหนีไปและไม่มีใครเห็นเขาอีก”

จักรพรรดิลูบคาง เขาไม่เชื่อที่พฤษภบอกว่าจะไม่ทำเรื่องขี้ขลาดอย่างการลักพาตัว แต่ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจคนที่ไม่ปรากฏตัวอีก


“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ามีแต่สิงห์ที่งับเหยื่อตามแผน”

วิลเลียมพยักหน้าให้จักรพรรดิ จากนั้นเขาฉายภาพโฮโลแกรมของสิงห์กับลูกน้อง อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

ซันเตสชี้ไปที่คนๆหนึ่งที่ดูเลือนราง

“ทำไมภาพคนนี้เป็นแบบนี้ล่ะ?”

เมื่อซันเตสถามถึงความผิดปกติ วิลเลียมดูลังเล

“เขาน่าจะใช้เวทมนตร์ที่รบกวนการมองเห็นหรืออาจมีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ให้ผลแบบนั้น”

“เจ้าจะบอกว่าเราไม่มีทางรู้ตัวตนของเขา?”

“ไม่เชิง ตามที่อารีเลียบอก คนผู้นั้นแนะนำตัวว่าเป็นลูแปง”

“ลูแปง? ใช่โจรที่ออกอาละวาดในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า? ทำไมเขาอยู่ที่นั่น? เขาไม่ใช่สมาชิกใหม่ของ 12 ราศีใช่ไหม?”

วิลเลียมส่ายหน้าให้คำถามของซันเตส

“ข้าไม่รู้ มันเป็นไปได้ แต่มีบางจุดที่น่าสงสัย”

“น่าสงสัย?”

“ดูไปก่อนเถอะ”

พวกเขาเล่นวิดีโอที่ถูกหยุดเพื่อตอบคำถาม เมื่อภาพเปลี่ยนไป ซันเตสก็ตกใจกลัว

“ทำไมเขาแบกอารีเลียบินไปมาแบบนั้น?”

ท่ามกลางการโจมตีน่าหวาดเสียว ลูแปงแบกอารีเลียไว้บนหลังและแสดงการบินผาดโผน

วิลเลียมปลอบซันเตสให้สงบลงและรายงานทุกอย่างกับจักรพรรดิ

หลังจากได้ยินรายงาน จักรพรรดิครางและตัดสิน

“สรุปว่าล้มเหลว”

เป็นไปอย่างที่จักรพรรดิพูด

นี่คือปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่มีเผ่าพันธุ์นักสู้สองเผ่าร่วมด้วย เพื่อสังหาร 12 ราศี

ในปฏิบัติการกับดักแมงมุมครั้งก่อน พวกเขาสังหารได้ 2 ราศี แต่ครั้งนี้ล้มเหลว

โชคดีที่อารีเลียปลอดภัย และไม่เกิดความสูญเสียใด แต่ล้มเหลวก็คือล้มเหลว

ซันเตสตบโต๊ะ สะกดความโกรธไว้ไม่อยู่

“ท่านพูดได้แค่นี้เหรอ?”

จักรพรรดิถอนหายใจเมื่อเห็นซันเตสโกรธ

“ท่านพ่อ อารีเลียในฐานะเหยื่อ ต้องตกอยู่ในอันตราย! ท่านพูดได้แค่ว่า ‘ล้มเหลว’ หลังจากเห็นภาพนั่นอย่างนั้นเหรอ!?”

“อารีเลียรู้ตั้งแต่แรกแล้ว”

“อารีเลียเป็นลูกสาวของท่าน แต่ท่าน!”

“องค์รัชทายาท!”

เสียงอาร์คันทาทำให้ซันเตสรู้ตัว แต่ความโกรธของเขาไม่หมดไป

“ท่านพ่อเลือดเย็นเกินไป!”

เขาขบกรามแล้วเดินกระแทกเท้าออกจากห้องประชุมลับ

“องค์รัชทายาท!”

อาร์คันทาลุกขึ้นและพยายามหยุดซันเตส แต่จักรพรรดิโบกมือห้าม

“ไม่เป็นไร เขาพูดไม่ผิด”

“เขาควรรู้ไม่ใช่เหรอว่าฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรกับแผนนี้?”

จักรพรรดิยิ้มฝืด

“ความรู้สึกส่วนตัวเป็นของเปล่าประโยชน์สำหรับจักรพรรดิ เขาไม่จำเป็นต้องรู้”

พูดไปแล้วเขาก็ชะงัก ไม่ทันรู้ตัวเขาก็บอกกับตัวเองในสิ่งที่พ่อของเขาเคยพูด

มองกลับไปสมัยที่เขาเป็นรัชทายาท เขาเองก็ไม่ต่างจากซันเตส

เขาแสดงความโกรธต่อสิ่งผิดและเอ่ยสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ แต่สุดท้ายเขาก็พูดในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูด

ในปากของเขาขมปร่า



สารบัญ                                                 บทที่ 71