บทที่ 72.2 – แลนซีลอตผจญภัย
ทะเลทรายซาฮารัม อยู่ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิในยุคเลือดของจักรพรรดิชาร์ล็อตและนโยบายขยายดินแดนของเขา
ชาร์ล็อตเป็นบิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นอดีตจักรพรรดิผู้ยึดถือการสงคราม ผู้รวบรวมอำนาจของราชวงศ์ด้วยการขยายดินแดนและกวาดล้างศัตรู
ชาร์ล็อตมีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างจักรวรรดิให้เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด ขณะเดียวกันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำสงครามทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต
ผลงานที่ได้รับการยกย่องที่สุดของชาร์ล็อตคือการยึดครองทะเลทรายซาฮารัม ที่ตลกคือ ซาฮารัมเป็นดินแดนแห้งแล้งปลูกพืชผักแทบไม่ขึ้น เหตุผลเดียวที่ได้รับการชื่นชมคือเหตุผลทางศาสนา
ในอดีตกาล ซาฮารัมเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่บรรจุน้ำแห่งโลก วิหาร ศาสนาหลักของจักรวรรดิ ถือมันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยที่วิหารหลีกเลี่ยงจากจักรวรรดิ วิหารประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อ และรุกรานอาณาจักรที่อยู่ในซาฮารัม
แต่พาลาดินของวิหารแพ้ตลอดเพราะสภาพแวดล้อมของทะเลทรายอันโหดร้าย หนำซ้ำสงครามกองโจรของนักรบทะเลทรายยังทำให้พลังรบของวิหารอ่อนลง นำไปสู่การล่มสลายในช่วงสมัยของราชาปีศาจคังลิม
ในยุคเลือด ชาร์ล็อตทำในสิ่งที่วิหารช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดทำไม่ได้ นั่นทำให้เขาได้แสดงพลังของจักรวรรดิและสร้างบุญคุณใหญ่หลวงกับวิหาร
มีขบวนอูฐกำลังข้ามดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
“โอ๊ย ร้อน!”
ในรถม้าที่ถูกลากด้วยอูฐ ปรับแต่งให้เปิดให้ลมผ่าน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอย่างห่อเหี่ยว
“เซนต์! ไม่ว่าจะร้อนยังไงก็นั่งแบบนั้นไม่ได้นะคะ! ระวังสายตาคนอื่นด้วย” หญิงรับใช้บ่นและพยายามทำให้เธอยืดหลังขึ้น
หญิงรับใช้ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอ เพราะเธอเป็นเซนต์หญิงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิ เซนต์ฮิลลิส
ฮิลลิสกำลังเดินทางไปแสวงบุญที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางซาฮารัม
รู้สึกเหมือนกำลังจะร้อนตายอยู่แล้ว ฮิลลิสยิ้มงดงามให้หญิงรับใช้และพูดค่อยๆ “เงียบซะ ก่อนที่ข้าจะใช้ปากของเจ้าเป็นที่ทุบวอลนัท”
“แต่ แต่ว่าเซนต์-” หญิงรับใช้หุบปากเมื่อฮิลลิสหยิบเม็ดวอลนัทออกมา
เห็นหญิงรับใช้กำลังจะร้องไห้ ฮิลลิสยืดหลังขึ้นแล้วพูด “รอบๆมีแต่ทราย ใครจะมาเห็น?”
“แต่พาลาดินคนอื่นๆ...”
ฮิลลิสตบบ่าหญิงรับใช้ “พูดไร้สาระ”
จากนั้นเธอเอนหลังกลับ ไขว่ห้าง แล้วถามเสียงดัง “เฮ้! มีใครจะเอาเรื่องของข้าไปพูดไหม?”
เหล่าพาลาดินที่เฝ้ารอบๆหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ! ไม่มีคนแบบนั้นหรอก!”
“ใช่! ใครจะเอากิริยาของท่านเซนต์ไปพูด?”
ฮิลลิสยกนิ้วกลางขึ้น
“เจ้าบ้า หมายความว่ายังไง ‘กิริยา’ กิริยาของข้ามันยังไง? อยากตายเหรอ?”
พาลาดินคนหนึ่งยิ้มตอบ
“ฮ่าๆ ถือเป็นเกียรติที่ได้ตายในมือของท่านเซนต์”
“ใช่แล้ว!”
“อีกอย่าง ถ้าเราพูดไปคงถูกหาว่าเป็นคนโกหกใช่ไหม?”
ฮิลลิสหัวเราะให้พาลาดินที่พูดประจบเธอ
“จริง จริงโคตรๆ!”
ฮิลลิสถอดรองเท้าส้นสูงแล้วโยนใส่พาลาดิน เขารับรองเท้าเหมือนเคยชินแล้ว
ถ้ารองเท้าประจุพลังเวทด้วยก็อีกเรื่อง แต่ตัวเธอที่นั่งรถม้าตลอดเวลาอ่อนแอยิ่งกว่าคนธรรมดา รองเท้าที่ถูกเซนต์แบบนี้โยนใส่จึงทำร้ายพาลาดินไม่ได้
“โอ้! สำหรับพวกเราแล้วนี่คือรางวัล!”
ฮิลลิสถอนหายใจกุมขมับเมื่อพาลาดินที่รับรองเท้าไปยิ้มร่าและยกนิ้วโป้งให้
“เพราะมีคนพวกนี้อยู่รอบๆนี่แหละ ฤดูใบไม้ผลิของข้าจึงไม่เคยมาถึง”
อายุ 18 พอคิดว่าในวัยแรกแย้มเธอต้องอยู่กับพวกพาลาดินผู้โผงผางแบบนี้ทำให้รู้สึกขนลุก ฮิลลิสแลบลิ้นใส่พวกเขา
“ฮ่าๆๆ! ถ้าใครกล้าเข้าหาท่านเซนต์ก็ต้องเจอกับพวกเราก่อน!”
“ใช่!”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ฮิลลิสถลึงตาใส่พวกพาลาดินที่กำลังหัวเราะ “ข้าชอบคนหล่อ ไม่ใช่แบบพวกเจ้า! ถ้าเล่นตลกกับข้าได้ยิ่งดี”
พูดเสร็จ ฮิลลิสกลับไปนอนต่อ “อีกนานไหมกว่าเราจะถึงหมู่บ้านโอเอซิส?”
หญิงรับใช้ดึงแผนที่ออกมาอย่างงุ่มง่าม “อย่างเร็วที่สุดคงถึงตอนเย็นค่ะ”
“จริงเหรอ? เฮ้อ! ถ้าข้ารู้ว่ามันจะร้อนอย่างนี้ ข้าน่าจะพานักเวทมาด้วย!”
ในเวทศักดิ์สิทธิ์ที่ฮิลลิสใช้ได้นั้น โชคร้ายที่ไม่มีเวทมนตร์เกี่ยวกับน้ำแข็งหรืออุณหภูมิเลย
***
เมื่อถึงหมู่บ้านโอเอซิสก่อนตกกลางคืนพอดี กลุ่มแลนซีลอตไปยังโรงแรมที่อยู่ลึกที่สุดในหมู่บ้าน ต่อให้พวกเขาจ้างคนนำทางตอนนี้ คนนำทางก็เดินทางตอนกลางคืนไม่ได้นอกจากจะเป็นคนเผ่ากา
“ทะเลทรายตอนกลางคืนเย็นจัง ถ้าตกดึกคงหนาวเลยใช่ไหม?” เลชาถาม
“คงอย่างนั้น” แมคเห็นด้วย เลชาใช้เวทมนตร์ทำความอบอุ่นให้รอบๆ
“ขอโทษครับ” แลนซีลอตพูดหลังจากเปิดประตูโรงแรมเข้าไป อุณหภูมิในโรงแรมสูงกว่าข้างนอกเพราะความร้อนตอนกลางวันยังเหลืออยู่
กลางโรงแรม หินที่อาบแสงดวงอาทิตย์ไว้ตอนกลางวัน ดูเหมือนกำลังปล่อยความร้อนตลอดกลางคืน
“โอ้ มันคือเวทมนตร์” เลชาพูดอย่างอยากรู้ขณะเข้าใกล้หินกลางห้อง หินมีเวทมนตร์สำหรับสะสมความร้อน รวมกับเวทมนตร์เก็บกักความร้อน
เวทมนตร์บนหินเป็นเวทหยาบๆที่เพียงศึกษาเวทมนตร์มาเล็กน้อยก็ใช้ได้ ถึงอย่างนั้น เลชาผู้ไม่คิดว่าจะได้เห็นเวทมนตร์ในที่อย่างนี้ก็ดีใจ
“ขอโทษครับ มีห้องสำหรับสองคนกับห้องเดี่ยวไหมครับ?” แลนซีลอตไปถามที่เคาน์เตอร์
โชคไม่ดี เจ้าของโรงแรมส่ายหน้าอย่างยุ่งยากใจ “อา ทำยังไงดีล่ะ แขกคนหนึ่งจ่ายค่าเงินค่าห้องทั้งหมดแล้วครับ”
“จริงเหรอ? แต่ แล้วเราจะไปนอนที่ไหนล่ะ?” แลนซีลอตถาม
หมู่บ้านโอเอซิสนี้เล็ก มีโรงแรมคือที่นี่ที่เดียว
ตอนกลางคืน อุณหภูมินอกโรงแรมจะลดลงต่ำกว่าศูนย์องศา นอนข้างนอกจะลำบาก
เจ้าของโรงแรมคิดว่าพวกพ่อค้ากับนักแสวงบุญที่เดินทางข้ามทะเลทรายต้องผ่านที่นี่เพราะเป็นหมู่บ้านโอเอซิส แต่ อาจเนื่องมาจากที่ตั้ง ที่นี่แทบไม่มีลูกค้า
ด้วยเหตุนี้ เจ้าของโรงแรมจึงต้อนรับแขกอย่างดีเท่าที่จะทำได้และคิดเงินสูง แต่ไม่รู้ทำไม แขกคราวนี้ขอจองโรงแรมทั้งหลัง ในความคิดของเจ้าของโรงแรมที่หาเงินจากแขกที่มาเป็นครั้งคราว แทนที่จะคิดเผื่อถึงแขกคนอื่นที่เป็นไปได้มากว่าจะไม่มา เขาตัดสินใจทำสัญญาให้เช่าโรงแรมทั้งหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถรับแขกคนอื่นได้
“นั่น ข้าขอโทษด้วย”
เมื่อเจ้าของโรงแรมขอโทษอย่างจริงใจ แลนซีลอตถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นให้เราใช้คอกสัตว์ได้ไหม?”
มีที่บังลมยังดีกว่าต้องอยู่ที่โล่งทั้งคืน
“นั่น คอกเต็มเพราะอูฐที่แขกคนอื่นพามา...”
เจ้าของโรงแรมเกาศีรษะ แลนซีลอตขมวดคิ้ว ขณะเขากำลังคิดจะไปเจรจากับแขกที่เช่าโรงแรม ชายคนหนึ่งก็เดินลงบันไดมา
ชายคนนั้นใส่ชุดลำลองแต่คาดดาบไว้ที่เอว เขาเป็นหนึ่งในพาลาดินที่คุ้มกันเซนต์หญิง
“มีอะไรกันเหรอ?” เขาถาม
ดูเหมือนเขาลงมาดูเมื่อได้ยินเสียงคุยจากชั้นหนึ่ง ซึ่งควรจะเงียบ
“โอ้! คุณลูกค้า! เรื่องมันเป็นอย่างนี้...”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ชายผู้มาใหม่ถอนหายใจ “ข้าขอโทษ ถ้ามีแต่พวกเราข้าคงแบ่งห้องให้พวกท่าน แต่วันนี้ มีแขกสำคัญพักที่นี่”
เขาพูดพลางมองดาบของแมค “เราไม่อาจปล่อยให้คนนอกพักที่เดียวกับแขกคนสำคัญ โดยเฉพาะคนที่มีอาวุธ ขอโทษจริง แต่พวกท่านช่วยถอยไปได้ไหม?”
แลนซีลอตลังเลเมื่อชายคนนั้นก้มศีรษะให้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่าแขกคนสำคัญที่ว่าเป็นใคร แต่กลุ่มของเขาก็มีคนสำคัญมากเช่นกัน
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสุภาพแค่ไหน คำพูดของเขาก็เด็ดขาด ขณะที่แลนซีลอตกำลังจะแสดงความโกรธออกมาแมคก็หยุดเขาไว้
เหตุผลที่แมคอยู่ในกลุ่มก็เพื่อเป็นคนคุ้มกัน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้แลนซีลอตเป็นคนโจมตีก่อนในสถานการณ์ที่อาจมีการปะทะอาวุธ
“แหม ข้าไม่รู้ว่าคนสำคัญนี่สำคัญขนาดไหน แต่การไล่คนออกไปแบบไม่เห็นใจกันเลยนี่มันไม่เหมาะนะ” แมคพูด
เมื่อแมคมองชายอีกคนอย่างเคร่งขรึม คนถูกมองก็ถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกละอายที่ถอยหลังทั้งๆที่ไม่ได้ถูกขู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกกระวนกระวายที่เห็นแมคยืนขวางหน้าเขา ไม่ใช่ทุกคนที่มีรัศมีสามารถกดดันคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้
เขาคาดเดาอายุของแมค
20 กว่าๆ ไม่สิ หนวดทำให้ดูแก่ น่าจะเกือบ 20
“ท่านเป็นใคร?” ชายคนนั้นปลุกปลอบใจตัวเองแล้วถาม
แมคหัวเราะเมื่อรู้สึกถึงพลังงานแผ่ออกมาจากร่างของชายคนนั้น ถ้าปล่อยความคิดต่อสู้ออกมา มันจะเป็นรัศมี ถ้าปล่อยความคิดสังหาร มันจะกลายเป็นรังสีสังหาร
โลกนอกหมู่บ้านดูเปราะบางเหมือนเต้าหู้ แมคจึงรู้สึกดีเล็กน้อยที่เห็นมันยังมีคนแข็งแกร่ง
แม้เขาจะแข็งแกร่งเท่าเด็ก 10 ขวบในหมู่บ้าน อย่างน้อยถ้าแมคเผลอออกแรงมากไปเขาก็ไม่ตาย
“เกิดอะไรขึ้น!?”
เมื่อรู้สึกถึงเจตนาต่อสู้ เพื่อนร่วมงานของชายคนนั้นก็วิ่งลงมา ทุกคนมีดาบ
พวกเขาลงมาถึงชั้นแรกของโรงแรมที่ไม่กว้างนักและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ล้อมคนที่กำลังเผชิญหน้ากับเพื่อนของพวกเขาตามการฝึก แต่พวกเขาไม่รู้สึกถึงความคุกรุ่นก่อนเกิดการต่อสู้อย่างที่มักจะเป็น
แต่ ชายผู้ปล่อยรัศมีและทำให้เพื่อนร่วมงานของเขาวิ่งลงมากำลังเหงื่อตกด้วยความเครียด
“หุๆๆ น่าสนุก” แมคพูด
แมคมองคนรอบๆและกะระยะดาบของเขา เขาสามารถสังหารได้กี่คนในการฟันครั้งเดียว?
แมคเปรียบเทียบพลังของเขากับศัตรูตามความเคยชิน
ตอนนั้นเอง เหล่าพาลาดินที่ล้อมแมครู้สึกเหมือนสถานการณ์มันกลับกัน พวกเขาเป็นฝ่ายล้อมชัดๆ แต่รู้สึกขนหัวลุกเหมือนแกะที่อยู่ต่อหน้าหมาป่า
ด้วยประสาทสัมผัสที่ถูกลับด้วยการฝึกซ้อมและการต่อสู้นับไม่ถ้วน ความกลัวที่พวกเขารู้สึกอยู่เหมือนกำลังตกอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย
พาลาดินที่ล้อมแมคเร่งรัศมีของตัวเองขึ้น นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเขาแต่มันเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่สะสมมาจากประสบการณ์
เมื่อตกอยู่ใต้การกดดันจากทุกด้าน เลชากับแลนซีลอตก็เครียดและแตะอาวุธของตน แม้จะเป็นคนเผ่ากา แต่เลชากับแลนซีลอตไม่เคยใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดกับการต่อสู้
แมคกลับตรงกันข้าม เขารู้สึกคิดถึงสมัยก่อนขึ้นมาเล็กน้อยจากแรงกดดันและผ่อนคลายเหมือนกำลังอาบน้ำอุ่น ร่างกายของเขาเครียดมาตลอดตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านเพราะกลัวว่าจะไปเผลอทำร้ายคนอื่น หรือทำข้าวของพัง ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายหลังจากเครียดมานาน
แต่ความสบายใจของเขาคงอยู่ได้ไม่นาน