วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 55

บทที่ 55 - งานเลี้ยง (6)

วิลเลียมไปที่ห้องประชุมลับตามการนัดหมายปกติ วิธีไปยังที่นั่นมีหลายวิธี วิธีโปรดของเขาคือเทเลพอร์ท

แต่ว่าเทเลพอร์ทนั้นเหมือนบอสใหญ่ของเวทมนตร์มิติ ต้องการพลังเวทมหาศาลและสูตรซับซ้อน แม้แต่วิลเลียมเองก็ไม่สามารถใช้เวทมิติที่ซับซ้อนเช่นนี้หากไม่มีวงเวท อีกอย่าง ห้องประชุมลับอยู่ตรงใจกลางวัง ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช้วงเวทลับที่อยู่ในท้องพระโรง

หากมีคนพยายามเทเลพอร์ทจากนอกวังเข้ามาข้างในวัง วงเวทขนาดใหญ่ที่ล้อมวังจะทำให้คนนั้นสลายเป็นโมเลกุลไปอย่างไม่ต้องสงสัย วงเวทขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่แม้แต่วิลเลียมก็ทำอะไรมันไม่ได้ หากไม่มีรหัสผ่านที่สวมบนมือขวาแล้วเขาจะไม่อาจแม้แต่ขยับตัวเมื่ออยู่ใกล้จักรพรรดิ 

วิลเลียมไปยังห้องประชุมลับด้วยทางลับที่มีมากมาย เขามักจะคิดถึงงานไปด้วยระหว่างเดินทางเพราะมันใช้เวลานานในทางลับยาวเหยียด

แต่ครั้งนี้ เขาสงสัยว่าใครคือคนที่ยูเรีย หลานของเขา สนใจ

ก่อนส่งยูเรียกับอัลฟอนโซไปพักหออาร์ซิลลา เขาได้ข้อมูลของผู้พักอาศัยจากนายกรัฐมนตรีอาร์คันทา ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อสองชื่อผุดขึ้นมาในฐานะผู้เข้าข่าย ลิสบอนและเดน

ข้อมูลของลิสบอนมีรายละเอียดดี แต่คืออัศวินธรรมดา การเป็นอัศวินเป็นของที่อัลฟอนโซอาจสนใจ แต่ยูเรียไม่ ส่วนอีกด้าน ข้อมูลของเดนมีน้อยเกินไป เท่าที่มีคือแค่ชื่อ ถิ่นกำเนิด และอายุ

วิลเลียมนึกถึงตอนที่พบเดนเมื่อไม่นานมานี้ ท่าทางอันเป็นทางการ และน้ำเสียงของเขาดูมีการศึกษา ซึ่งมันแสดงออกทันทีที่เขาพูด ถ้าไม่มีการศึกษาสูงก็แสดงท่าทางเป็นทางการขนาดนั้นไม่ได้

เพื่อนสนิทของวิลเลียม บลัดดี้ เกิดและโตในหมู่บ้านเผ่ากาที่มีอิสระเสรีสูง เพราะอย่างนั้น เขาจึงต้องใช้เวลาเรียนเรื่องมารยาทเป็นนานและยังคงเรียนอยู่

เมื่อวิลเลียมกับเดนจับมือทักทาย มีหน้าต่างกั้นระหว่างพวกเขา ภัตตาคารออกแบบให้คนฐานะสูงนั่งตรงที่สูง เมื่อมีสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขาย่อมทำให้การจับมือเป็นเรื่องยาก

คนปกติจะก้าวเข้ามาใกล้เพื่อให้จับมือได้สะดวกขึ้น แต่เดนยืนที่เดิม มันอาจเป็นแค่ก้าวเดียว แต่ส่วนใหญ่คนจะขยับไปยังที่ๆรู้สึกสะดวกสบายกว่า

นั่นหมายถึงเดนไม่สะดวกใจที่จะขยับเข้าใกล้เขา หลักฐานอีกอย่างคือ เด็กหนุ่มพยายามไม่สบตาเขาเวลาพูดด้วย

วิลเลียมคิดว่าต้องเป็นเพราะเดนรู้สึกอึดอัดเวลาสบตาเขา สรุปว่าข้อสังเกตของเขาไม่ทำให้รู้อะไรเพิ่มขึ้น แน่นอน พวกเขาเจอกันแค่ชั่วครู่ นี่อาจเป็นเรื่องปกติ

แต่ท่าทางของคนเปิดเผยหลายๆอย่าง ข้อสังเกตของวิลเลียมเป็นอย่างนี้

- สรุปได้ว่ายูเรียมีความรู้สึกดีๆต่อคนๆหนึ่ง

-ในสองคนที่พบปะกับยูเรีย เด็กชื่อลิสบอนไม่มีคุณสมบัติที่ดึงดูดความสนใจของยูเรีย

-และไม่มีข้อมูลของเดนเพียงพอ

-ถ้ารวมพลังเวทที่เขารู้สึกและรูปร่างเพรียวบางของเดน เป็นไปได้สูงว่าเขาเรียนเวทมนตร์

-ถ้าเช่นนั้น คนที่มีคุณสมบัติได้รับความสนใจจากยูเรียควรเป็นเดน

-ดูจากท่าทางของเดน เขาดูมีการศึกษาและอึดอัดเวลาอยู่กับวิลเลียม

เมื่อรวมข้อสังเกตทั้งหมด วิลเลียมได้ข้อสันนิษฐานหนึ่งข้อ

เดนชอบยูเรีย?

มันเป็นข้อสันนิษฐานที่เหลวไหล แต่วิลเลียมรู้สึกมั่นใจแปลกๆเมื่อเริ่มคุ้นกับความคิดนี้ รู้สึกอึดอัดแต่ทำตัวสุภาพและมีมารยาทตั้งแต่เจอกันครั้งแรก

ดูสิ นี่ไม่ใช่พฤติกรรมตอนเจอพ่อแม่ของคนที่ชอบเหรอ?

เขาสนับสนุนข้อสันนิษฐานของตัวเองต่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนตกหลุมรักแรกพบกับเด็กหน้าตางดงามอย่างยูเรีย

แต่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ

วิลเลียมตัดสินใจหยุดข้อสันนิษฐานไว้เท่านี้ก่อน แต่เห็นเด็กแอบมีใจให้แก่กันก็รู้สึกไม่เลว เขาตัดสินใจจับตามองเดนอย่างใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลมาสนับสนุนข้อสันนิษฐานของเขาต่อ

วิลเลียมคิดเรื่องที่ถ้าเดนรู้คงตะโกน “อย่า! เข้าใจผิดแล้ว” จนมาถึงห้องประชุมลับ

***

วันแห่งการปฏิบัติการมาถึง กลางเดือนสิงหาคมเข้าไปแล้ว ผมใช้เวลาหาข้อมูลเบื้องต้นนานกว่าที่คิด

หลังจากหลบออกมาจากหอ ผมสำรวจพื้นที่จากยอดหอระฆังใกล้กับมหาวิหารที่อยู่กลางเมืองหลวง เพราะเป็นตอนเช้าตรู่ ทิวทัศน์จึงต่างไปจากตอนกลางวันมาก

ผมสะบัดผ้าคลุมไหล่ที่ซื้อจากกรันเวลและโพสท่าเหมือนเทพในเทพนิยาย

คืบคลานสู่กองสมบัติเสมอ! เขาคือลูแปง!

เพราะลูแปงเงียบมาสักพักแล้ว จำนวนคนลาดตระเวนตลอดคืนจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด พรุ่งนี้จะมีคนเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีใครกวนโมโหผมอีกก็ไม่ต้องห่วง

เปลี่ยนเรื่อง มหาวิหารเป็นวิหารขนาดใหญ่ตามชื่อ มันใหญ่ขนาดผมมองจากยอดหอระฆังยังมองไม่เห็นยอดวิหาร ส่วนเรื่องการแอบเข้าไป มีจุดให้เข้าไปได้มากมาย แต่อาคารมันใหญ่จนการหาเป้าหมายของผมคงต้องใช้เวลา

เป้าหมายครั้งนี้คือรูปปั้นเทพีสีทอง ก่อนหน้านี้ผมไม่มีเป้าหมายในการขโมยชัดเจน แต่ครั้งนี้ผมตัดสินใจมี จุดประสงค์ของผมคือตีวิหารให้แรงที่สุด เพื่อให้พวกเขาโกรธและไปกดดันกองคลัง

พวกขุนนางที่ผมเคยขโมยมาแค่บุกเข้าไปขโมยของก็ทำให้พวกเขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีแล้ว แต่วิหารเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะไปหากองคลังแค่เพราะผมขโมยเล็กๆน้อยๆ อีกอย่าง ถึงขโมยเงินไปเท่าไหร่ไม่นานก็ได้เงินบริจาคคืน ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้วิหารโกรธได้

ในอดีต วิหารเสื่อมจนถึงขั้นคอรัปชั่น เบ่งอิทธิพลยิ่งกว่าราชวงศ์ แต่ประมาณ 120 ปีก่อน อำนาจของวิหารตกไปเพราะไม่สามารถยับยั้งราชาปีศาจคังลิมได้

ราชวงศ์ฉวยโอกาสนี้รวมอำนาจตัวเองและควบคุมผู้ปกครองท้องถิ่น เพราะเหตุนี้ การปกครองของจักรวรรดิจึงเปลี่ยนจากระบบเจ้าครองนครเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช

ถึงอย่างนั้น อำนาจของวิหารมาจากศรัทธาของประชาชน ไม่เหมือนประเทศที่อำนาจมาจากดินแดน หรือก็คือ ตราบใดที่มีคนศรัทธา วิหารก็จะมีอิทธิพลล้นเหลือในจักรวรรดิ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงไปก่อกวนวิหาร

ผมใช้วิทยายุทธ์ก่อนเข้ามหาวิหาร เตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าจะมีวงเวทแบบไหนซ่อนอยู่เหมือนในวัง

ผมลบตัวตนและแอบเข้าไปในมหาวิหาร

***

ในห้องสวดภาวนาขนาดใหญ่ ในชั้นใต้ดินของมหาวิหาร รูปปั้นหินรูปเทพีมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตากำลังก้มมองลงมา

สิงห์ ชายชราผู้สวมหน้ากากทอง มองรูปปั้นเทพีขนาดใหญ่กำลังมองเขาจากความห่าง 5 เมตรและพึมพำด้วยความโกรธ

แต่เดิม รูปปั้นตรงหน้าสิงห์ถูกเคลือบด้วยทอง แต่ตอนนี้ทองถูกลอกออกไป แสงเจิดจ้าและศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเต็มห้องสวดไม่มีอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขาต้องยืนตรงนี้ เขาต้องกล้ำกลืนความโกรธที่พลุ่งพล่าน

ขณะลีโอมองรูปปั้นเทพี ชายสามสิบคนใส่หน้ากากสีดำและเสื้อคลุมปิดศีรษะก็คุกเข่าด้านหลังเขา ท่าทางแสดงความเคารพนบนอบ

“คาร์โด เฟอนานโด เรารวบรวมทุกคนมาตามคำสั่งของท่านแล้ว”

คาร์โดเป็นคำโบราณหมายถึงบานพับ แต่ก็หมายถึงพระคาดินัลด้วย ลีโอถอดหน้ากากทองและหันมา ไม่มีความจำเป็นต้องใส่มันในมหาวิหาร ถิ่นของเขา

“ทำได้ดี พาลาดินมาลิฟ และนักรบผู้ทรงเกียรติทุกคน”

“ไม่ครับ ทุกอย่างเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”

คนสามสิบคนก้มกราบเหมือนตัวแทนของพวกเขา มาลิฟ จากนั้นก็รายงานงานของตัวเอง

“พาลาดินวิบริโอและคนอื่นอีก 9 คนกลับมาจากฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิหลังจากทำตามคำสั่งของคาร์โดเสร็จแล้วครับ”

“พาลาดินมาริโอและคนอื่นอีก 9 คนกลับมาจากชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ หลังจากปราบปรามพวกนอกรีต 300 คนตามคำสั่งของคาร์โดเสร็จแล้วครับ”

“พาลาดินมาลิฟและคนอื่นอีก 9 คน ในส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ พบฐานหลักของร้านขายข้อมูลแม่ใหญ่ ตามคำสั่งของคาร์โดแล้วครับ”

เฟอนานโดสนใจรายงานของมาลิฟ

“ในที่สุดก็เจอฐานหลักของแมลงสาปพวกนั้นแล้วเหรอ? ที่ไหน?”

“ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อกรันเวลครับ” มาลิฟตอบ

เฟอนานโดระเบิดเสียงหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ ทำได้ดี! ทำได้ดี! ในที่สุดก็ได้เรื่องฐานของพวกน่ารำคาญนั่นมา!”

เฟอนานโดพอใจอย่างแท้จริง มันเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถกวาดล้างพวกหนูน่ารำคาญที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลและการทำงานของเฟอนานโดและนักษัตรคนอื่นๆแก่ราชวงศ์

ที่จริงแล้ว ข้อมูลของนักษัตรคนอื่นๆไม่สำคัญอะไร ในสายตาของเฟอนานโด การมีอิทธิพลในใจกลางจักรวรรดิที่จักรพรรดิมีอำนาจมากที่สุดเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย

ขณะเฟอนานโดหัวเราะ จู่ๆเขาก็รู้สึกผิดปกติ

“ใคร!” เฟอนานโดโบกคทาที่ใช้ในการประกอบพิธี เพื่อเสกเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ฝ้าเพดาน

“แอ๊ก!”

คนๆหนึ่งตกลงจากฝ้าบางๆที่หักเพราะถูกเวทมนตร์

คนปริศนา ใส่ผ้าคลุมไหล่สีดำและหน้ากากขาวครึ่งหน้า มีรูปปั้นเทพีสีทองความสูงประมาณ 60 ซม.ในมือ

“นั่น นั่นมัน!”

รูปปั้นสีทองนั้นคือของสำคัญในอดีตที่อำนาจของเทพีครอบคลุมทั้งทวีป ระหว่างช่วงวิหารตกต่ำ ตอนที่พวกเขาเสียความมั่งคั่งร่ำรวยเพื่อพยายามเอาตัวรอดอยู่นั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ยังคงหลงเหลือ

“บังอาจ! เจ้าคิดว่ากำลังถืออะไรอยู่ด้วยมือสกปรกนั่น!!”

ความโกรธของเฟอนานโดถึงจุดสูงสุด รูปปั้นเทพีนั้นเป็นของล้ำค่าไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ของวิหาร ไม่ใช่ของให้โจรต่ำต้อยอยากได้

รูปปั้นเทพีอันนั้นเป็นจุดอ่อนไหวของเฟอนานโดที่ต้องการความรุ่งเรืองในอดีตคืนมา

ชายปริศนามองกลับไปมาระหว่างรูปปั้นเทพีกับเฟอนานโดแล้วพูดขึ้น

“ฮิๆ พลาดซะแล้ว”

“ไอ้ชั่ว!!!”

มองชายปริศนาที่ทำท่าเคาะหัวตัวเอง เฟอนานโดระเบิดความเกรี้ยวกราด



สารบัญ                                         บทที่ 56


วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 54

บทที่ 54 – งานเลี้ยง (5)

“มาแล้วเหรอ?”

ก่อนผมจะได้ทัก แฟลมก็พูดก่อน

“สวัสดี เจ้ามาเร็วนะ”

มีเวลาอีกสิบนาทีก่อนเริ่มเรียน รอบๆเงียบสงบ ดูเหมือนผมก็มาเร็วไปหน่อยเหมือนกัน

ขนาดวิชาดาบเป็นวิชาบังคับและแบ่งเป็นระดับ ที่ลานว่างนี้ยังมีคนน้อยกว่า 20 คน

“ฮ่าๆ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากหอเท่าไหร่ เจ้าอยู่ห้องไหนเหรอ? ข้าหาเจ้าตั้งแต่ตอนแยกกันหลังมื้อเที่ยง แต่ไม่เจอ”

ดูเหมือนเขาจะหาผมตั้งแต่สามวันก่อน

วันนั้นแฟลมลาไปก่อน บอกว่านัดกับคนอื่นไว้ ผมจึงไม่ได้บอกว่าผมเดินทางไปกลับ ผมรู้สึกผิดนิดๆ

“โอ๊ะ ลำบากเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้อยู่หอ”

แฟลมตาโตด้วยความแปลกใจ “แต่ผู้รับการฝึกทุกคนต้องอยู่หอไม่ใช่เหรอ?”

ผมถอนหายใจ “ใช่ ข้าก็อยากอยู่หอ แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้”

อำนาจเป็นของน่ากลัว

“หมายความว่ายังไง?”

จะอธิบายยังไงดีล่ะ? ถ้าบอกความจริงไปก็น่ารำคาญ

ตอนนั้นพอดี ผู้ฝึกสอนและทาส ผมหมายถึงผู้ช่วยแบกกล่องหนัก ก็มายังลานว่างที่พวกเราอยู่

“มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ ผู้ฝึกสอนจะมาแล้ว เอาไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ”

หลังจากเบี่ยงประเด็นไปได้อย่างราบรื่น ผมหันไปมองผู้ฝึกสอน

ยังมีเวลาอีกห้านาทีก่อนเริ่มเรียน แต่ดูเหมือนพวกเขามาก่อนเวลาเพื่อแจกดาบ

พอผมมองรอบๆ ผู้เข้าฝึกเกือบทุกคนก็มารวมกันที่ลานว่างแล้ว

ผู้ฝึกสอนตะโกนใส่เหล่าผู้เข้าฝึกที่ยืนคุยกันอยู่

“เข้าแถว แถวตอน 5 แถว!”

ผู้เข้าฝึกเหม่อมองผู้ฝึกสอน คนส่วนใหญ่คือนักเขียนหรือลูกคนรองๆของขุนนาง พูดอีกอย่างคือพลเมืองไม่ใช่ทหาร ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ขยับตัวตามคำสั่ง เห็นได้ว่าเคยถูกฝึกมาก่อน

“เข้าแถว!”

แต่คนพวกนี้ปกติเคยแต่นั่งโต๊ะ การเคลื่อนไหวจึงงุ่มง่าม จะหวังให้คนที่เคยแต่ฝึกทหารมาอย่างพื้นฐานแต่ไม่เคยเข้ากองทัพขยับตัวว่องไวคงเป็นไปไม่ได้

ผู้ฝึกสอนก็คงรู้เหมือนกันจึงมองอย่างความคาดหวังเป็นศูนย์ คนจากตระกูลขุนนางที่ไม่ใช่ทหารมองคนอื่นๆและทำตาม ผู้ช่วยฝึกแบ่งผู้เข้าฝึกเป็นห้าแถว ส่งคนที่ตั้งแถวที่หกกลับไป

แฟลมกับผมไปเข้าแถว จากที่เห็น ผู้ฝึกสอนเป็นอัศวินที่ถูกลดขั้นและผู้ช่วยเคยเป็นทหารมาก่อน ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนอัศวิน การจ้างอัศวินจริงๆมาสอนคนพวกนี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองเกินไป

ขอให้ชั้นเรียนเวทมนตร์ไม่ใช่แบบนี้

ขอร้องล่ะ ฉันคาดหวังกับชั้นเรียนเวทมนตร์อยู่นะ

ผู้ฝึกสอนไม่ได้ยินคำขอร้องจริงใจของผม แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกที่ไม่ต้องการอะไรนอกจากความมุ่งมั่น

“ต่อไป ก่อนเริ่มเรียน เราจะเข้าแถวกันแบบนี้! เข้าใจไหม!”

“เข้าใจ!”

บรรดาผู้เข้าฝึกตะโกนด้วยสีหน้ากังวล เหมือนเห็นทหารใหม่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ผมเดาได้ว่าถึงพรุ่งนี้พวกเขาก็จะชิน ช่วยไม่ได้เพราะตั้งแต่แรกที่นี่ก็ไม่ใช่กองทัพ

“ก่อนเริ่มเรียนวิชานี้ พวกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าที่นั่งหลังโต๊ะถือปากกา ต้องเรียนด้วย!”

ส่วนใหญ่พยักหน้า

ดูพยักหน้ากันสิ! มองอย่างไรก็ไร้วิญญาณชัดๆ ถ้ามีความมุ่งมั่นจริง พวกเขาต้องตะโกน “ไม่!” จะไม่คิดพยักหน้าด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกหดหู่เหมือนมาอยู่ในกองทหารเกณฑ์อย่างไรไม่รู้ ผมไม่ชอบเพราะมันเหมือนกลับไปตอนสมัยอยู่ในกองทัพอีกครั้ง

“วิชานี้มีเป้าหมายหลักคือการฝึกฝนร่างกายเพื่อเพิ่มพลังกายของพวกเจ้าและทนทานต่องานในภายภาคหน้า”

สั้นๆ เป้าหมายคือเพิ่มความอึดเพื่อให้ทำงานหนักได้นานๆ

“และสอนทักษะป้องกันตัวที่เหมาะกับงานของพวกเจ้า เพื่อให้ปกป้องตัวเองได้” ผู้ฝึกสอนกล่าวต่อ

หมายความว่าพวกเราต้องเรียนเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะพวกเขาจะไม่ช่วย

“วิชานี้เปิดเพื่อพวกเจ้า คนที่จะถูกเรียกเป็นกลุ่มแรกหากจักรวรรดิตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน”

ถ้าเกิดสงคราม พวกเราจะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ากองทัพ ที่นั่นดาบจำเป็นด้วยเหรอถ้าเราแค่ต้องทำงานกับเอกสาร?

“เอาล่ะ ข้าอธิบายจบแล้ว ต่อไปจะแจกอุปกรณ์จำเป็นในการเรียน อย่าลืมคืนหลังหมดคาบเรียนล่ะ”

กล่องที่เหล่าผู้ช่วยฝึกแบกอยู่ถูกเปิด ของข้างในถูกแจกให้ผู้เข้าฝึก ส่งจากหน้าไปหลัง ทุกคนได้มันมาถือไว้ในมือ

แต่ตอนนี้ในมือผมเป็นปืนคาบศิลา ไม่ใช่ดาบ

“ขอโทษครับ? นี่ไม่ใช่วิชาดาบเหรอ?”

“อ้อ วิชาดาบเปลี่ยนเป็นวิชาอาวุธรวมตั้งแต่สามปีก่อน” ผู้ช่วยฝึกตอบเหมือนชินแล้ว

“หา? แต่คู่มือเขียนว่า...”

“อ้อ เมื่อสักห้าปีก่อน พนักงานในโรงพิมพ์คนหนึ่งพิมพ์คู่มือออกมาเยอะเกินไป พวกเขาเลยบอกว่าจะแจกมันไปเรื่อยๆ ดูเหมือนจะยังไม่หมดนะ”

เหล่าผู้เข้าฝึกพูดไม่ออก

“พนักงานคนนั้นถูกไล่ออกหรือเปล่าครับ?”

คราวนี้ผมเป็นคนถาม

ผู้ช่วยฝึกยิ้มเจื่อน “ข้าราชการจะถูกไล่ออกง่ายๆได้เหรอ? โรงพิมพ์เป็นหน่วยงานราชการเหมือนกันนะ แต่ข้าได้ยินข่าวลือว่าเขาคงไม่ได้เลื่อนขั้นไปตลอดกาล”

เขาไม่โดนไล่ออกทั้งๆที่ทำพลาดขนาดคู่มือของห้าปีก่อนยังคงแจกอยู่

ว่าแล้ว! ดีที่ผมเลือกเป็นข้าราชการ

“เพราะเหตุนั้น พวกวิชาที่ควรจะเลิกสอนไปแล้วจึงยังมีต่อ” ผู้ช่วยฝึกเปรยต่อ

“ทำไมครับ?”

“ถ้าวิชาเปลี่ยนไปจากคู่มือมากเกินไป งั้นคู่มือก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ”

เยี่ยม! ประเทศแก้ปัญหาไม่เหมือนชาวบ้านจริงๆ

ถึงอย่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่นเปลี่ยนวิชาดาบเป็นการฝึกใช้อาวุธและล้มเลิกวิชาที่ไม่มีใครเข้าฝึกจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะเรียนวิชาดาบหรือเปล่า?” ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งถาม

ผู้ช่วยยักไหล่ตอบ “อย่างที่ข้าบอก มันเป็นการฝึกใช้อาวุธรวม เจ้าจะเรียนใช้ดาบ ยิงธนู และหมัดมวย เอาจริงๆนะ ถ้าข้าสอนดาบพวกเจ้า เวลาสั้นๆพวกเจ้าก็ไม่ได้อะไรนักหรอก ใช่ไหม? เราเปลี่ยนไปฝึกใช้ปืน ที่ฝึกง่ายกว่า อาวุธอื่นก็สอนแค่นิดๆหน่อยๆ”

ถ้าผู้ช่วยพูดจริง ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาเปลี่ยนไปยึดหลักความจริงเลยทีเดียว ผู้เข้าฝึกส่วนใหญ่เป็นพวกอ่อนแอที่รบบนโต๊ะ มันชวนให้สงสัยว่าจะเรียนดาบได้แค่ไหน ดังนั้นเปลี่ยนไปฝึกปืนจึงมีประสิทธิภาพกว่า

ปัญหาคือปืนที่พวกเราได้เป็นปืนที่ใช้ในขบวนพาเหรดแบบที่มีล็อคล้อ

หรือจะดีใจที่ไม่ใช่ปืนไฟ โล่งใจที่ไม่ใช่ปืนแก๊ป?

ในโลกเวทมนตร์ ปืนที่ใช้ในตอนลมแรงหรือฝนตกไม่ได้ถือว่าไร้ประโยชน์ในการรบระหว่างประเทศ นอกจากจะเอาไว้ใช้ล่าสัตว์ แน่นอน พลังงานจลน์ของปืนคาบศิลามันประมาณ 1,500 J ซึ่งแรง แต่ถ้าลงคาถาบนชุดเกราะที่สร้างปฏิกิริยารุนแรงเมื่อโดนปรอท หรือถึงขั้นหักล้างกับแรงของกระสุนปืน

ถ้าสร้างปฏิกิริยากับสารทุกอย่าง เวทมนตร์ที่ต้องใช้คงซับซ้อนแย่ แต่ถ้าจำกัดแค่ “ปรอท” ก็สร้างชุดเกราะจำนวนมากได้เลย แน่นอน ถ้าเป็นการผลิตจำนวนมาก เวทมนตร์จะหายไปเมื่อกันกระสุนไปหกหรือเจ็ดนัด แต่พอยิงไปห้านัดแล้วปืนคาบศิลาก็กลายเป็นไม้เท้าเพราะดินปืนหมด

แน่นอน ถ้าสร้างกระสุนปืนจากสารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ปรอทก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าเป็นสารแข็งกว่าปรอท กระบอกปืนจะทนความแรงของกระสุนไม่ได้ ถ้าเป็นสารอ่อนกว่าปรอทก็คงยิงอะไรไม่เข้า

เหนืออื่นใด ถ้าใช้เวทมนตร์สร้างลมขึ้นมาก็ยิงไม่ได้ มันจึงเป็นของไร้ประโยชน์

นอกจากจะมีการพัฒนาปลอกกระสุนและทำให้ยิงได้รัว ไม่มีตอนไหนเลยที่ปืนจะใช้เป็นอาวุธหลักได้ ดูจากสภาพการณ์แล้ว ปืนคงไม่ได้รับการพัฒนาไปถึงขั้นนั้น

“เอาล่ะ เลิกคุยได้แล้ว”

เกิดความเงียบทันที

“ทุกคนจะได้เรียนวิธีใช้ปืนตามคำแนะนำของผู้ช่วย ผู้ช่วยฝึกทีละแถว”

เหล่าผู้ช่วยพาแถวไปฝึกทีละแถว

*** 

หลังจากวิชาดาบ ไม่ใช่สิ วิชาอาวุธรวมจบลง วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ผู้เข้าฝึกทุกคนเลือกเรียนอย่างต่ำสุด 7 วิชาและสูงสุด 9 วิชา แต่วันนี้พวกอ่อนแอเรียนวิชาที่ต้องขยับร่างกาย จึงไม่มีเรียนวิชาอื่นอีก

ศูนย์ฝึกคงรู้จึงจัดตารางสอนไม่ให้นักเรียนเรียนวิชาอื่นในวันที่มีวิชาอาวุธรวม หลังจากเรียนวิธีใช้ปืน พวกเราก็แค่แบกปืนวิ่งรอบลานว่างเล็กๆ 10 รอบ

เมื่อหมดคาบ เห็นแค่แฟลมกับผมที่ยังปกติดี ก็กะได้ว่าพวกเขาอ่อนแอกันขนาดไหน

แฟลมกลับหอและผมกลับไปคนเดียว จะว่าไปแล้ว เหมือนผมไม่ได้อยู่คนเดียวแบบนี้มานานมาก

ในหอพัก พี่น้องคาร์เตอร์กับฝาแฝดเผ่าผีเสื้อจะหนวกหูเสมอ ทำให้เวลาอยู่คนเดียวแบบนี้รู้สึกหายาก อลิซผมไม่รู้ แต่ยูเรียมีประสาทสัมผัสไวต่อเวทมนตร์ ผมจึงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ง่ายๆตั้งแต่เธอมา หลายอย่างๆทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆ หรือจะบอกว่าผมแค่อารมณ์บูดก็ได้

ผมล้วงหน้ากากสีขาวออกมาจากกระเป๋ามิติ จะว่าไป ผมสาบานว่าจะลงโทษพนักงานกองคลัง แต่ผัดผ่อนไป

ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผมเคยเรียนมาจากโรงเรียนเมื่อชาติก่อนไม่ใช่เหรอว่าการผัดวันประกันพรุ่งเป็นสิ่งไม่ดี?

ใช่แล้ว เด็กในประเทศใหม่ไม่ควรผลักงานของวันนี้ไปทำพรุ่งนี้

ผมหลบไปที่ลับตาคนและสวมหน้ากาก

แต่จะทำอะไรดีระหว่างรอให้ถึงกลางคืน?

ผมถอดหน้ากากและกลับบ้าน ถึงจะเป็นผม ขโมยตอนกลางวันแสกๆก็ยังเกินไปหน่อย อีกอย่าง ผมยังไม่ได้ทำการสำรวจล่วงหน้าเลย ผมต้องผัดไปก่อน

แย่ชะมัด!



สารบัญ                                         บทที่ 55


แล้วโรงเรียนไม่สอนเหรอว่าการขโมยไม่ดี? :3


 

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 53

บทที่ 53 – งานเลี้ยง (4)

พูดถึงเผ่าผีเสื้อแล้วผมก็เริ่มสนใจ แต่ชีวิตสงบสุขต้องมาก่อน อีกอย่างถึงถามไปผมก็ไม่คิดว่าเขาจะตอบ

“พิธีเปิดเป็นยังไงบ้าง อัลฟอนโซ?” ยูเรียถาม

อัลฟอนโซพยักหน้า “อื้ม! แต่นแต๊น! ข้าได้นี่มาล่ะ” เขาหยิบกล่องเล็กๆจากกระเป๋าให้ฝาแฝดดู

ในกล่องคืออินทรธนูที่จะติดบนบ่าตอนใส่เครื่องแบบ มันเป็นรูปดาวหกแฉกบนไม้เท้า ยศของจักรวรรดิกับชาติก่อนของผมเรียกไม่เหมือนกัน แต่คงเทียบได้กับจ่าสิบเอก

ถึงลิสบอนไม่เอาออกมาให้ดูแต่เขาก็ได้เหมือนกัน โรงเรียนอัศวินขั้นกลางถือว่าสูงกว่าของอัลฟอนโซ แต่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน แต่พอพวกเขากลายเป็นจ่าสิบเอกแล้วดูแก่มากยังไงไม่รู้

“ในที่สุดเจ้าก็มาสู่ก้าวแรกของการเป็นอัศวิน ยินดีด้วย อัลฟอนโซ”

วิลเลียมปรบมือแสดงความยินดี อัลฟอนโซเกาศีรษะอย่างอายๆ

“เฮะๆๆ ขอบคุณครับลุง”

มาคิดดูแล้ว อนาคตของอัลฟอนโซมั่นคงดี ลุงของเขาผู้เป็นผู้ปกครองตอนอยู่เมืองหลวงก็เป็นคนตำแหน่งสูงในกองทัพ เด็กนี่ตอนเข้ากองทัพอาจพูดประมาณ “เจ้าเป็นจ่าสิบตรีของที่นี่เหรอ?” ก็ยังได้

ถ้าเขารู้จักใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ การเลื่อนขั้นก็ไปได้เร็ว มันเป็นไปได้เพราะจักรวรรดิเหมือนยุคศักดินาสมัยเก่าไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ยิ่งผมอยู่กับลุงก็ทำให้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ลุงของอัลฟอนโซคงไม่บังคับให้เขาไปเขตแดนปีศาจเหมือนลุงของผม

ถ้าลุงมีสามัญสำนึกของคนทั่วไป ไม่ใช่ของเผ่ากาคงดี แย่ชะมัด

พวกเขายังไม่มองมาที่ผม หลบก่อนดีกว่า

“ว่าแต่คนตรงนั้นคือใครเหรอ?”

ชิบ สายเกินไป!

วิลเลียมถามชี้มาที่ผม อัลฟอนโซตอบเสียงแจ่มใส

“เขาเป็นเพื่อนข้า!”

ผมไม่อยากเป็นจุดเด่น แต่ถ้าหนีไปโดยไม่ทักทายจะยิ่งสะดุดตากว่า 

“สวัสดีครับ ข้า เดน วอน มาร์ค”

“...เดน?”

วิลเลียมดูสงสัย ปฏิกิริยานี้ตัดสินได้ว่าข่าวการหลบหนีของผมคงไปถึงวังแล้ว

ตอนขโมยข้อสอบ ผมไม่เห็นเอกสารเกี่ยวกับวิธีรับมือตอนผมอาละวาด แสดงว่าคนที่รู้เรื่องของผมมีน้อยมาก

ที่เรื่องการหลบหนีของผมถูกเก็บเป็นความลับนี่ ผมคิดเหตุผลได้สองข้อ หนึ่ง ป้องกันความโกลาหล ดูจากที่พ่อของผมทำไว้สมัยหนุ่มๆ ต้องมีหลายกลุ่มคนแน่ที่จะตื่นตระหนกเมื่อรู้ข่าวทายาทของเขาหนีออกมา สอง เพื่อไม่ยุแหย่ผมโดยใช่เหตุ ถ้าจู่ๆพวกเขาติดประกาศจับผม พวกเขาไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร จึงตัดสินใจอยู่เฉยๆ นี่เป็นหลักการเดียวกับการไม่แหย่รังผึ้ง

“ข้าพักที่เดียวกับอัลฟอนโซและยูเรียครับ”

ต้องพูดอย่างนั้นวิลเลียมถึงเลิกสงสัย ยิ้มและเขย่ามือกับผม

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อวิลเลียม ลุงของพวกเขา ขอบคุณที่มาเล่นกับอัลฟอนโซ”

เป็นการทักทายที่ธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง ไม่แปลกที่ผมจะคิดอย่างนั้นเมื่อนึกถึงบ้านเกิดผมที่พิธีรีตองต่างๆถูกจัดไปข้างหลัง

ผมก้มศีรษะลงเล็กน้อยและตอบกลับ “เป็นเกียรติที่ได้พบนายพลวิลเลียมผู้โด่งดังครับ”

ผมต้องยกมือเสมอตาเพราะหน้าต่างอยู่สูงกว่าหน่อย เขาคงไม่คิดว่าเดนเบอร์กจะอยู่หอพัก
ของคุณนายอาร์ซิลลา แม่ของนายกรัฐมนตรี คนหลบหนีสติดีคงไม่ไปที่นั่นซึ่งตรวจสอบตัวตนและมีการจับตาดู

แต่ไม่ได้หมายความว่าผมสติไม่ดีนะ มาใช้ภาพลักษณ์ของเผ่ากาที่บ้าการต่อสู้ เปลี่ยนเป็นพูดอย่างมีการศึกษาเพื่อไม่ให้เขาคิดว่าผมเป็นเดนเบอร์กดีกว่า

เพื่อเป็นการรับมือสถานการณ์แบบนี้ ผมย้อมผมเป็นสีน้ำตาลเข้มแบบที่พบเห็นง่าย แต่ปล่อยดวงตาเป็นสีเดิมเพราะนอกจากใช้เวทมนตร์แล้วไม่มีทางอื่น ฝ่ายตรงข้ามมาจากเผ่าผีเสื้อ การใช้เวทมนตร์ต้องหลีกเลี่ยง

“ไม่ต้องพูดเป็นทางการแบบนั้นหรอก เพื่อนของหลานข้าก็เหมือนหลานข้าด้วย”

วิลเลียมยิ้มสดใสพูดเหมือนตอนแฟลมพูดกับอัลฟอนโซ สมเป็นคนในครอบครัวเดียวกับอัลฟอนโซและยูเรีย เขายิ้มเหมือนกัน

“เดน อัลฟอนโซ ทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” ลิสบอนกับแฟลมตามมาข้างหลังและถาม

พวกเขาคงตามมาหลังจากพวกเราหายไปไม่บอก

วิลเลียมมองสองคนที่ตามมาและถามหลาน “แล้วคนพวกนี้ล่ะ?”

“เพื่อนผม!”

วิลเลียมตบหัวอัลฟอนโซเบาๆดูตื้นตันใจหน่อยๆ “สวัสดี! ข้าเป็นลุงเขา ช่วยเป็นเพื่อนกับอัลฟอนโซของเราต่อไปด้วยนะ”

ลิสบอนตอบกลับอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมชื่อ ลิสบอน วอน คาร์เตอร์”

ผ่านไปสักพักเหมือนเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า เขาดูตกใจ

“!”

คงจำได้แล้วว่าลุงของอัลฟอนโซคือใคร

เฮ้ย ปฏิกิริยานายช้ามาก!

แฟลมดูไม่สนใจ อาจเพราะเขาไม่รู้ความเป็นมาของอัลฟอนโซเพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก เผ่าผีเสื้อมีผมสีขาวเป็นความรู้ทั่วไป แต่เพราะคนเผ่านักสู้ไม่ได้มีอยู่ที่นี่เยอะ จึงไม่ค่อยคิดกันว่าคนที่อยู่ข้างๆเป็นชาติพันธุ์นักสู้

“ฮ่าๆๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ถ้าท่านเป็นลุงของเพื่อนก็เป็นลุงของข้าด้วย”

ผมรู้จักกับแฟลมแค่ช่วงสั้นๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนบ้าขนาดนี้

นายรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร? ไม่รู้ล่ะสิ ถ้ารู้คงไม่พูดแบบนั้น

แต่ถ้าเขาไม่พูดแบบนั้น เขาจะดูเหมือนเพนกวินใส่แว่นน้อยลงหรือเปล่า แต่ถ้าดูจากขนาดตัวของเขา เขาดูเหมือนหมีขั้วโลกมากกว่าเพนกวิน

“ขอบใจที่คิดอย่างนั้น” วิลเลียมดูไม่ถือสาท่าทางของแฟลมและพูดตอบสบายๆ

หรือเขาไม่ถือเพราะแฟลมดูแก่ ข้อดีหนึ่งข้อของการมีหน้าแก่!

“พวกเราเจอกันถือว่าชะตาต้องกัน เข้ามาสิ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”

ปกติแล้วสถานการณ์แบบนี้ เจ้าโง่จะปฏิเสธ แต่เขายืนนิ่ง

เห็นลิสบอนแบบนี้ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ทันทีที่เริ่มการฝึกเป็นอัศวิน เขาก็ได้เจอนายพลที่เขานับถือเหมือนฝันเป็นจริง แต่กลับรู้สึกเขินที่จะเข้าไปนั่งด้วย

“ข้าสงสัยด้วยว่าใครเป็นคนทำให้ยูเรียหัวเราะคิกคัก”

“ลุง!” ยูเรียหน้าแดงและโจมตีวิลเลียมที่ซี่โครง

“อ๊อก!”

วิลเลียมร้องแล้วล้มลงเมื่อถูกต่อยด้วยหมัดที่เพิ่มพลังด้วยเวทมนตร์ ถ้าเป็นคนปกติคงไม่จบแค่อวัยวะฉีกขาด

เอ่อ ยัง โอเค อยู่ หรือเปล่า?

ไม่มีคำตอบ เหมือนถามคนตายเลย

“โฮะๆๆ แหม ลุงก็ อย่าแกล้งกันสิ”

ถึงจะมีหน้าต่างบังไว้ แต่ยูเรียหัวเราะและใช้เท้าสะกิดวิลเลียมให้รีบลุกขึ้น ผมไม่คิดว่าเขาแกล้งตายนะ การโจมตีของยูเรียเชี่ยวชาญขนาดถ้าเผ่ากาโดนเข้าไปโดยไม่ป้องกันก็ลุกขึ้นยากเหมือนกัน

ผมระวังไม่ยุ่งกับยูเรียจนถึงตอนนี้ และจะไม่ยุ่งกับเธอเช่นเดิมต่อไป

“อั่ก”

วิลเลียมลุกขึ้นพร้อมคราง เขาส่งถุงเงินให้ยูเรียด้วยสีหน้าซีดขาว

“ข้ามีงานต้องทำ ต้องไป...ก่อน...เอานี่ไปซื้ออาหาร”

การหายใจของเขาติดขัด เขาคงคิดว่าถ้ายังเล่นอยู่ต่ออาจตายได้ จึงหนีไปโดยทิ้งเงินไว้ให้

นี่มันการปราบมอนสเตอร์หาเงินแบบในเกมนี่?

พวกเราเข้าไปในภัตตาคารและกินมื้อเที่ยงด้วยเงินที่ยูเรียได้จากการปราบมอนสเตอร์

***

จากยอดปราสาทที่อยู่ชานเมือง ชายแก่ผมสีเทาใส่หน้ากากทอง กับชายร่างบึกบึนใส่หน้ากากสีน้ำตาลกำลังมองเมืองหลวงที่อยู่เบื้องล่าง

“มันดูเปล่าประโยชน์ใช่ไหม? สิงห์” ชายในหน้ากากสีน้ำตาลที่ถูกเรียกว่าพฤษภ ถอนหายใจขณะที่ความมืดค่อยๆเข้าครอบคลุมเมืองหลวง

ชายแก่ใส่หน้ากากทอง สิงห์ ยิ้มเฝื่อน “มันอาจดูเปล่าประโยชน์ ใช่ มันเปล่าประโยชน์” จากนั้นเขากระโดดไปบนกำแพงปราสาทชั้นนอก

“แต่เจ้าก็รู้ พฤษภ”สิงห์มองกลับไปที่พฤษภและหัวเราะด้วยความโลภ “ถ้าเจ้าสามารถได้ทั้งหมดนี่มาไว้กับมือมันจะเป็นอะไรไปเล่า?”

พฤษภปีนกำแพงปราสาทขึ้นมาเหมือนกันและพูด “เพื่อเอาทุกอย่างมาไว้ในมือ นั่นคือความโลภ สิงห์” เขานั่งหันไปทางเมืองหลวงและพูดต่อ “มันฟังเหมือนคำพูดของพิจิก”

สิงห์หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆๆ” จากนั้นเขาหยุดและทำหน้าเคร่งขรึม “เจ้าบ้าหรือ? กล้าดียังไงเอาผู้หญิงโลภมากนั่นมาเทียบกับข้า!”

พฤษภยิ้มไม่แยแสกับท่าทางเดือดพล่านของอีกฝ่าย “เพราะฉะนั้นจงทำตัวให้ดี สิงห์ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนตกไปสู่ความโลภที่เจ้าเกลียดชัง”

สิงห์ทำเสียงฮึ่ม “ไม่ตลกเลยนะ ทำตัวให้ดีเหรอ สำหรับเจ้าจักรวรรดิมันง่ายนักเหรอ?”

“ไม่ จักรวรรดิเข้มแข็ง ยิ่งกว่าประเทศอื่น”

“แล้วจะยังให้ทำตัวให้ดีเหรอ?” สิงห์ถาม

พฤษภพยักหน้า

“เจ้ามันโง่ เจ้าเป็นคนที่อยากให้จักรวรรดิถูกทำลายยิ่งกว่าใคร” สิงห์ร้อง

“ถ้ามันดูโง่ก็ช่วยไม่ได้ มันคือความเชื่อของข้า”

สิงห์ถอนหายใจ เขาดูโง่ แต่สิงห์ชอบความเรียบง่ายและอ่อนโลกของพฤษภ

“เจ้าคนโง่ ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่าขัดขวางงานข้า”

พูดเช่นนั้นแล้วสิงห์ก็กระโดดลงจากกำแพงปราสาท พฤษภมองตรงที่อีกฝ่ายหายไปในความมืดแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ

“ข้าจะทำถ้าหลักการของข้ายินยอม”

***

วันนี้เป็นวันแรกของการฝึกข้าราชการ

เมื่อมาถึง ผมตรงไปที่ลานว่างในศูนย์ฝึกตามกำหนดการ วิชาแรกในตารางเรียนของผมคือการใช้ดาบ

หนังสือคู่มือเขียนว่าศูนย์ฝึกจะเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการเรียนให้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเอาดาบมา อาวุธที่อยู่ในกระเป๋ามิติของผมมีแต่ที่ทำจากโลหะหายากมากเช่นมิธริล โอริฮัลคัม อดามันเที่ยม ยิ่งกว่านั้นผมยังสลักเวทลงไปเพื่อฝึกเวทมนตร์ เอามาใช้ตอนเรียนจึงโอเว่อร์เกินไป ผมคิดจะซื้อของถูกๆในร้านอาวุธแถวนี้ ดีแล้วที่ไม่ต้องทำอย่างนั้น

เมื่อมาถึงลานว่าง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแฟลมที่ดูแก่มาก

หน้าอย่างนั้นคือคนอายุเท่ากัน... เหมือนเห็นนักแสดงอายุ 30 ใส่เครื่องแบบนักเรียนมาแสดงบทวัยรุ่นเลย



สารบัญ                                   บทที่ 54





เรื่องนี้เป็นการ์ตูนแล้ว อ่านตอน 0 กับตอน 1 ไป ไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ พ่อพระเอกนี่ไม่ใช่เลย... ตอนประชุมผู้เฒ่าเมอร์ปาก็ไม่มีบทอ่า... QwQ ...แต่ถ้าไม่ได้อ่านนิยายมาก่อนก็คงไม่รู้สึกขัดๆ...

 

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 52

บทที่ 52 - งานเลี้ยง (3)

“ว่าแต่ เจ้าจะเลือกวิชาไหนเหรอครับ?” แฟลมถาม

“ข้าว่าจะเลือกภาษาจักรวรรดิกับผจญภัยศึกษาเพิ่มจากห้าวิชาหลัก” ผมตอบอย่างสบายใจ

“โอ้! จริงเหรอ? ข้าก็ตั้งใจจะเลือกผจญภัยศึกษาเหมือนกันครับ ผู้ชายฝันอยากเป็นนักผจญภัยกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ? มันเป็นวิชาที่ปลุกเร้าความฝันเนอะ?”

แฟลมดูเป็นคนเข้าใจอะไรดี ผมคิดว่าเขาเป็นคนใช้ได้ไม่ใช่แค่แก่

“และข้าจะเลือกประวัติศาสตร์ด้วย”

“ประวัติศาสตร์เหรอ?”

“ใช่ เขาว่าการรู้ประวัติศาสตร์ก็เหมือนเตรียมตัวสำหรับอนาคต และข้าอยากรู้ว่าผู้ชนะเขียนอะไร”

รอยยิ้มของแฟลมเหมือนจะเฝื่อนๆ

“ผู้ชนะ?”

แฟลมดูยุ่งยากใจเมื่อผมเอียงคอถาม

“ไม่ คือว่า ผู้ชนะคือบันทึกประวัติศาสตร์ไงล่ะครับ!”

ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ ไม่ใช่เหรอ? ก่อนผมจะได้แก้ประโยคนั้น แฟลมก็เดินไปก่อน เออ ว่าไงก็ว่าตามแล้วกัน

“ไปด้วยกันสิ!”

ผมตามเขาทันอย่างรวดเร็ว

ห้องประชุมที่เราเพิ่งออกมากับที่สมัครลงเรียนวิชาต่างๆอยู่ไม่ห่างกันพวกเราจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาหลังกรอกแบบฟอร์มเสร็จก็เจอคนรู้จัก

“ว้าว! เดน!”

เขากระโจนเข้าหาผมเหมือนจะกอด แต่ผมจับศีรษะเขาเพื่อหยุด

“มันร้อน อย่าเข้ามาเกาะ”

“ฮึก เย็นชาจังเลย”

“เย็นก็ดีเพราะมันร้อน”

ทำไมเจ้านี่จะมาเกาะแกะในอากาศเดือนสิงหาคมด้วย?

ผมเมินหน้าเศร้าของอัลฟอนโซและถามลิสบอนที่มากับเขา “วันนี้ก็มีพิธีเปิดของโรงเรียนอัศวินด้วยใช่ไหม?”

ลิสบอนยิ้มสดใสตามเคยและพยักหน้า เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน พิธีเปิดของโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำกับขั้นกลางคงทำไปด้วยกัน

“เริ่มเรียนตอนเดือนกันยายน ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“แต่ข้าอิจฉาที่เจ้าได้หยุดนาน” ผมพูด

โรงเรียนเปิดเทอมในเดือนมีนาคมกับกันยายน เหมือนโรงเรียนในชาติก่อนของผม การฝึกข้าราชการจะเริ่มในอีกสามวันอย่างไม่ปราณี ผมจึงอิจฉาพวกเขา

ก็จริงนะ ผมแค่รับการฝึกก่อนถูกส่งไปประจำหน่วยงานต่างๆ แต่สองคนนี้จะกลายเป็นนักเรียนจริงๆ มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว

“สวัสดีครับ ขอโทษนะครับ แต่พวกเจ้าเป็นใครกันเหรอ?” แฟลมถาม

เขาถูกทิ้งระหว่างผมกำลังคุยกับลิสบอน “โอ้ นี่ลิสบอน เป็นพี่ชายคนหนึ่งที่พักบ้านเดียวกับข้า เขาเข้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง”

“ลิสบอน วอน คาร์เตอร์ครับ”

เมื่อลิสบอนยื่นมือให้ แฟลมหัวเราะและจับมือ

“ฮ่าๆ ข้าแฟลม เดนเตอร์ ถ้าเจ้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นกลางคงต้องแก่กว่าข้า พูดตามสบายเถอะครับ”

ลิสบอนเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลางตอนอายุ 20 จึงแก่กว่า

“หา? ขอโทษนะครับ แต่อายุ...”

“ปีนี้ข้าอายุ 17 ปี” แฟลมตอบ

แต่หน้าอย่างกับ 37

ช็อกไปกับคำตอบของแฟลมเหมือนผม ลิสบอนจ้องไม่หยุด “อ้อ ครับ เอ๊ย ได้”

เขาดูอึดอัดมากเมื่อบังคับตัวเองให้พูดตามสบาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาปั่นป่วนแบบนี้ เขาเป็นประเภทที่แค่หัวเราะเฉยๆเวลาถูกอลิซดุ

“แล้วนี่อัลฟอนโซ เขาก็พักที่เดียวกับข้า เข้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำปีนี้” ผมพูดแทรก

อัลฟอนโซทักทายอย่างร่าเริง “สวัสดี!”

“โอ้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ดีจังที่ได้เพื่อนวัยเดียวกัน” แฟลมจับมืออัลฟอนโซอย่างดีใจ

“เพื่อนเหรอ?”

อัลฟอนโซมองแฟลมด้วยตาเป็นประกายเพราะคำว่าเพื่อน เขาเหมือนเด็กถูกล่อด้วยลูกอม

บางทีผมน่าจะสอนให้เขาปฏิเสธเวลาชายวัยกลางคนเข้าหาและพูด “อยากเป็นเพื่อนลับกับลุงไหม?”

“ครับ พ่อแม่ของเพื่อนคือพ่อแม่ของข้า เพื่อนของเพื่อนคือเพื่อนของข้า ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับเดน ก็ไม่ต่างจากเป็นเพื่อนกับข้า”

ลุง ผมไปเป็นเพื่อนกับลุงตอนไหน?

ผมเป็นพวกเก็บตัว แต่ไม่รู้ทำไมพวกชอบตีสนิทกับคนอื่นเอาแต่เข้าหาผม

“เจอกันที่นี่คงเป็นโชคชะตา มื้อเที่ยงนี้ข้าเลี้ยงเอง” แฟลมพูด

แต่เจ้าโง่ลิสบอนโบกมือ

“อย่าเลย...”

เมื่อเจ้าโง่ปฏิเสธ แฟลมหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องปฏิเสธ ถึงจะอยู่ในช่วงฝึกแต่เราก็ได้เงินเดือนนะ”

อย่างที่แฟลมบอก กระทั่งเด็กฝึกก็ได้เงินเดือนข้าราชการเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ใช่วันนี้เลย แต่เป็นวันที่ 25

แฟลมยืนยันและสุดท้ายพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน

***

ยูเรียมาถึงภัตตาคารที่ทำเหมือนร้านกาแฟใกล้โรงเรียนเวทมนตร์เพื่อเจอกับวิลเลียม ลุงของเธอ นั่งข้างหน้าต่างกับเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว เธอรอผู้อาวุโสกว่าที่มาช้ากว่าเวลานัดหมาย

พิธีเปิดของโรงเรียนเวทมนตร์เป็นวันถัดไป อัลฟอนโซ,เดนและลิสบอนเข้าโรงเรียนวันนี้และตอนนี้คงอยู่ที่โรงเรียน

ยูเรียตั้งใจจะไปพิธีเปิดของอัลฟอนโซด้วย แต่เขาปฏิเสธ บอกว่าแม้แต่ลุงวิลเลียมก็ไม่มา ส่วนหนึ่งยูเรียเป็นห่วง แต่อีกส่วนดีใจที่ฝาแฝดเติบโตขึ้น

เขาเคยโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสักคนในหมู่บ้าน จึงต้องพึ่งยูเรียเสมอ แต่เห็นเขาหาเพื่อนได้เองทันทีที่มาถึงเมืองหลวง เธอรู้สึกโล่งใจ

เผ่าผีเสื้อมีสัมพันธ์กับเวทมนตร์มากจนเผยให้เห็นความยึดติดของพวกเขา ในที่แห่งนั้น อัลฟอนโซผู้ไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์จึงได้แต่ถูกโดดเดี่ยว แน่นอน ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเป็นปู่ของพวกเขา คนในหมู่บ้านจึงไม่ได้แสดงความรังเกียจเขาอย่างเปิดเผย แต่กระทั่งยูเรียยังรู้สึกถึงการดูถูกลับๆ 

ที่ยูเรียรู้สึกโชคดีที่ได้มาเมืองหลวงไม่ใช่แค่เพราะฝาแฝด การเป็นคนมีพรสวรรค์เป็นพิเศษแม้แต่ในเผ่าและมีผู้อาวุโสสูงสุดเป็นปู่ทำให้เธอเป็นคนที่ถูกอิจฉา ดังนั้นเธอจึงใช้ชีวิตอย่างรู้สึกว่าการกระทำทุกอย่างถูกตัดสิน

ออกจากหมู่บ้านที่น่าอึดอัดและได้เจอเพื่อนคนแรก เดน ในเมืองหลวง เธอกังวลว่าเมื่อเขารู้ว่าปู่ของเธอเป็นใคร เขาจะมองเธออย่างอิจฉา

ปู่ของยูเรียเป็นนักเวทธาตุในตำนาน ‘ปีศาจเยือกแข็ง’ เป็นหนึ่งในหลายๆสมญานามของเขา และเธอสืบทอดสายโลหิตที่ยิ่งใหญ่นั้น

สำหรับใครก็ตามที่เรียนเวทมนตร์ ชื่อนั้นชื่อเดียวก็เพียงพอให้พวกเขาก้มหัวให้ แต่เดนแค่พูดว่าเธอกับปู่เป็นคนละคนกันเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เหมือนนักเวทที่ให้คุณค่าการสืบทอดเวทมนตร์ ไม่เหมือนคนนอกหมู่บ้านที่ให้คุณค่าการสืบสายเลือด เขามองเธอเป็นคนๆหนึ่ง

มันทำให้เธอดีใจมาก

“หัวเราะคิกคักอะไรอยู่ ขนาดไม่รู้ตัวว่าข้ามาถึงแล้ว?”

ยูเรียร้องอย่างตกใจใส่วิลเลียมที่จู่ๆก็มานั่งตรงหน้า

“อ๊า! ตกใจหมด! มาเมื่อไหร่คะ?”

“อืม ตอนที่เจ้าเปลี่ยนจากหน้านิ่งๆเป็นหน้าแดงแล้วก็หัวเราะ?” วิลเลียมพูดพลางยักไหล่ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ยูเรียโกรธทุบโต๊ะ “ข้า...ข้าหน้าแดงหัวเราะตอนไหน!”

“เจ้าไม่หยุดยิ้มก่อนเหรอ?”

ยูเรียหยุดยิ้มทันที

“เห็นไหม เจ้าก็รู้ตัวว่ากำลังหัวเราะ”

“ลุง!”

วิลเลียมหัวเราะเมื่อยูเรียหน้าแดงและทำแก้มป่อง

“ฮ่าๆๆ แล้วพักที่หอเป็นยังไงบ้าง ดีไหม?” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ก็ดีค่ะ” เธอตอบ ถลึงตาใส่เขาด้วยยังไม่หายโกรธ

“ถ้าดีก็ดีแล้ว”

“มันช่วยไม่ได้เพราะลุงต้องไปเขตแดนปีศาจในอีกไม่กี่เดือน”

วิลเลียมต้องเปลี่ยนกับนายพลออร์ฟินาแห่งเผ่ามังกร อีกอย่าง เขายุ่งและไม่สามารถกลับบ้านมาดูแลฝาแฝดได้บ่อยๆ จึงต้องส่งพวกเธอไปหอของอาร์ซิลลา

“ขอบใจที่เข้าใจ ต้องการอะไรก็บอกข้าก่อนไปเขตแดนปีศาจนะ ข้าจะเตรียมให้ได้มากที่สุด”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“และขอบใจที่เป็นผู้คุ้มกัน ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น”

“ไม่หรอก ลุงเป็นคนออกเงินค่าเรียนและค่าครองชีพ เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่ แค่คุ้มกันเวลาเธออยู่ในโรงเรียนใช่ไหม?”

ยูเรียก็สนใจในตัวต้านทานนักเวทที่หายากมากเช่นกัน ในฐานะนักเวท การพลาดโอกาสได้สังเกตเจ้าตัวที่อยู่ระหว่างต้านทานเวทกับเวทมนตร์เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

“ใช่ และข้าจะขอบใจมากถ้าเจ้าสอนเวทมนตร์ให้เธอบ้าง”

“ได้สิคะ ฮุๆๆ”

“ใช่ ฮ่าๆๆ”

จู่ๆยูเรียกับวิลเลียมก็มีประกายตาแบบนักทดลอง

ขณะทั้งสองวางแผนและหัวเราะชั่วร้ายเหมือนจอมเวทสติเฟื่อง เสียงเหมือนถูกกำแพงกั้นก็ดังจากนอกหน้าต่าง

“ยูเรียย! ลุงง!”

อัลฟอนโซกำลังปีนหน้าต่างและโบกมือ

***

ที่ๆแฟลมลากพวกเรามาคือภัตตาคารที่ทำเหมือนร้านกาแฟใกล้ศูนย์ฝึก

“ข้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง อาหารอร่อยดี”

ที่ภัตตาคาร ผมรู้สึกถึงพลังเวทที่คุ้นเคยแปลกๆ จึงแอบเดินไปทางมัน

“เดน ไปไหนเหรอ?”

อัลฟอนโซตามผม เด็กนี่เป็นลูกเจี๊ยบเหรอ? ถ้าอย่างนั้นลิสบอนน่าจะเป็นแม่ไก่มากกว่าฉันนะ

คิดแบบนั้นพลางแอบมองไปทางหน้าต่างภัตตาคาร ผมเห็นยูเรียตรงที่นั่งข้างหน้าต่าง พลังเวทที่คุ้นเคยคือของเธอนี่เอง

ปกติเธอจะควบคุมพลังเวทได้ดีมาก เกิดอารมณ์แปรปรวนเหรอ?

หนุ่มผมขาวที่นั่งตรงข้ามเป็นเหตุเหรอ?

เขาดูแก่เกินกว่าจะเรียกชายหนุ่ม แต่ดูอ่อนกว่าแฟลม จึงน่าจะอายุประมาณ 20 ปลายๆถึง 30 ต้นๆ

“อ๊ะ ยูเรียกับลุงล่ะ”

อัลฟอนโซ ที่หันหน้าไปมองเหมือนผม พูดอย่างดีใจ

แต่ ลุง? ถ้าเป็นลุงเขา...ก็นายพลวิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อ?

ไปที่อื่นดีกว่า วิลเลียมเป็นเพื่อนสนิทของลุงบลัดดี้ เจอเขาไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ยูเรียย! ลุงง!”

อัลฟอนโซที่อยู่ข้างผม เปลี่ยนไปเกาะหน้าต่างโบกมือ

“ดะ-เดี๋ยว!”

ก่อนผมจะหยุดเขาได้ ทั้งคู่ก็เห็นและเปิดหน้าต่าง

เวร! ก่อนอื่น ซ่อนพลังเวทไว้ดีแล้วหรือยัง เยี่ยม

ผมควบคุมพลังเวทให้อยู่ในระดับคนปกติที่คุ้มกันคุณนายอาซิลลา ผมไม่รู้เกี่ยวกับคนอื่นเพราะสังเกตแต่ผู้คุ้มกันเหล่านั้น แต่เท่านี้คงน่าจะถือเป็นพลังเวทระดับปกติ แต่พูดจริงๆนะ ผมกังวล

ผมไม่รู้ว่านายพลวิลเลียมอยู่ในระดับไหน แต่เขาถูกเผ่าผีเสื้อส่งมาสร้างสัมพันธไมตรีกับจักรวรรดิจึงน่าจะแข็งแกร่งกว่าผม ผมเรียนเวทมนตร์ด้วยตัวเองยกเว้นเรื่องการแปรธาตุและเวทมนตร์พื้นฐาน แต่เขาคงเรียนจากเผ่าผีเสื้อที่เต็มไปด้วยคนมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ยิ่งกว่าผม



สารบัญ                                     บทที่ 53