บทที่ 55 - งานเลี้ยง (6)
วิลเลียมไปที่ห้องประชุมลับตามการนัดหมายปกติ วิธีไปยังที่นั่นมีหลายวิธี วิธีโปรดของเขาคือเทเลพอร์ท
แต่ว่าเทเลพอร์ทนั้นเหมือนบอสใหญ่ของเวทมนตร์มิติ ต้องการพลังเวทมหาศาลและสูตรซับซ้อน แม้แต่วิลเลียมเองก็ไม่สามารถใช้เวทมิติที่ซับซ้อนเช่นนี้หากไม่มีวงเวท อีกอย่าง ห้องประชุมลับอยู่ตรงใจกลางวัง ทำให้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช้วงเวทลับที่อยู่ในท้องพระโรง
หากมีคนพยายามเทเลพอร์ทจากนอกวังเข้ามาข้างในวัง วงเวทขนาดใหญ่ที่ล้อมวังจะทำให้คนนั้นสลายเป็นโมเลกุลไปอย่างไม่ต้องสงสัย วงเวทขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่แม้แต่วิลเลียมก็ทำอะไรมันไม่ได้ หากไม่มีรหัสผ่านที่สวมบนมือขวาแล้วเขาจะไม่อาจแม้แต่ขยับตัวเมื่ออยู่ใกล้จักรพรรดิ
วิลเลียมไปยังห้องประชุมลับด้วยทางลับที่มีมากมาย เขามักจะคิดถึงงานไปด้วยระหว่างเดินทางเพราะมันใช้เวลานานในทางลับยาวเหยียด
แต่ครั้งนี้ เขาสงสัยว่าใครคือคนที่ยูเรีย หลานของเขา สนใจ
ก่อนส่งยูเรียกับอัลฟอนโซไปพักหออาร์ซิลลา เขาได้ข้อมูลของผู้พักอาศัยจากนายกรัฐมนตรีอาร์คันทา ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อสองชื่อผุดขึ้นมาในฐานะผู้เข้าข่าย ลิสบอนและเดน
ข้อมูลของลิสบอนมีรายละเอียดดี แต่คืออัศวินธรรมดา การเป็นอัศวินเป็นของที่อัลฟอนโซอาจสนใจ แต่ยูเรียไม่ ส่วนอีกด้าน ข้อมูลของเดนมีน้อยเกินไป เท่าที่มีคือแค่ชื่อ ถิ่นกำเนิด และอายุ
วิลเลียมนึกถึงตอนที่พบเดนเมื่อไม่นานมานี้ ท่าทางอันเป็นทางการ และน้ำเสียงของเขาดูมีการศึกษา ซึ่งมันแสดงออกทันทีที่เขาพูด ถ้าไม่มีการศึกษาสูงก็แสดงท่าทางเป็นทางการขนาดนั้นไม่ได้
เพื่อนสนิทของวิลเลียม บลัดดี้ เกิดและโตในหมู่บ้านเผ่ากาที่มีอิสระเสรีสูง เพราะอย่างนั้น เขาจึงต้องใช้เวลาเรียนเรื่องมารยาทเป็นนานและยังคงเรียนอยู่
เมื่อวิลเลียมกับเดนจับมือทักทาย มีหน้าต่างกั้นระหว่างพวกเขา ภัตตาคารออกแบบให้คนฐานะสูงนั่งตรงที่สูง เมื่อมีสิ่งกีดขวางระหว่างพวกเขาย่อมทำให้การจับมือเป็นเรื่องยาก
คนปกติจะก้าวเข้ามาใกล้เพื่อให้จับมือได้สะดวกขึ้น แต่เดนยืนที่เดิม มันอาจเป็นแค่ก้าวเดียว แต่ส่วนใหญ่คนจะขยับไปยังที่ๆรู้สึกสะดวกสบายกว่า
นั่นหมายถึงเดนไม่สะดวกใจที่จะขยับเข้าใกล้เขา หลักฐานอีกอย่างคือ เด็กหนุ่มพยายามไม่สบตาเขาเวลาพูดด้วย
วิลเลียมคิดว่าต้องเป็นเพราะเดนรู้สึกอึดอัดเวลาสบตาเขา สรุปว่าข้อสังเกตของเขาไม่ทำให้รู้อะไรเพิ่มขึ้น แน่นอน พวกเขาเจอกันแค่ชั่วครู่ นี่อาจเป็นเรื่องปกติ
แต่ท่าทางของคนเปิดเผยหลายๆอย่าง ข้อสังเกตของวิลเลียมเป็นอย่างนี้
- สรุปได้ว่ายูเรียมีความรู้สึกดีๆต่อคนๆหนึ่ง
-ในสองคนที่พบปะกับยูเรีย เด็กชื่อลิสบอนไม่มีคุณสมบัติที่ดึงดูดความสนใจของยูเรีย
-และไม่มีข้อมูลของเดนเพียงพอ
-ถ้ารวมพลังเวทที่เขารู้สึกและรูปร่างเพรียวบางของเดน เป็นไปได้สูงว่าเขาเรียนเวทมนตร์
-ถ้าเช่นนั้น คนที่มีคุณสมบัติได้รับความสนใจจากยูเรียควรเป็นเดน
-ดูจากท่าทางของเดน เขาดูมีการศึกษาและอึดอัดเวลาอยู่กับวิลเลียม
เมื่อรวมข้อสังเกตทั้งหมด วิลเลียมได้ข้อสันนิษฐานหนึ่งข้อ
เดนชอบยูเรีย?
มันเป็นข้อสันนิษฐานที่เหลวไหล แต่วิลเลียมรู้สึกมั่นใจแปลกๆเมื่อเริ่มคุ้นกับความคิดนี้ รู้สึกอึดอัดแต่ทำตัวสุภาพและมีมารยาทตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
ดูสิ นี่ไม่ใช่พฤติกรรมตอนเจอพ่อแม่ของคนที่ชอบเหรอ?
เขาสนับสนุนข้อสันนิษฐานของตัวเองต่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนตกหลุมรักแรกพบกับเด็กหน้าตางดงามอย่างยูเรีย
แต่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ
วิลเลียมตัดสินใจหยุดข้อสันนิษฐานไว้เท่านี้ก่อน แต่เห็นเด็กแอบมีใจให้แก่กันก็รู้สึกไม่เลว เขาตัดสินใจจับตามองเดนอย่างใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลมาสนับสนุนข้อสันนิษฐานของเขาต่อ
วิลเลียมคิดเรื่องที่ถ้าเดนรู้คงตะโกน “อย่า! เข้าใจผิดแล้ว” จนมาถึงห้องประชุมลับ
***
วันแห่งการปฏิบัติการมาถึง กลางเดือนสิงหาคมเข้าไปแล้ว ผมใช้เวลาหาข้อมูลเบื้องต้นนานกว่าที่คิด
หลังจากหลบออกมาจากหอ ผมสำรวจพื้นที่จากยอดหอระฆังใกล้กับมหาวิหารที่อยู่กลางเมืองหลวง เพราะเป็นตอนเช้าตรู่ ทิวทัศน์จึงต่างไปจากตอนกลางวันมาก
ผมสะบัดผ้าคลุมไหล่ที่ซื้อจากกรันเวลและโพสท่าเหมือนเทพในเทพนิยาย
คืบคลานสู่กองสมบัติเสมอ! เขาคือลูแปง!
เพราะลูแปงเงียบมาสักพักแล้ว จำนวนคนลาดตระเวนตลอดคืนจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด พรุ่งนี้จะมีคนเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีใครกวนโมโหผมอีกก็ไม่ต้องห่วง
เปลี่ยนเรื่อง มหาวิหารเป็นวิหารขนาดใหญ่ตามชื่อ มันใหญ่ขนาดผมมองจากยอดหอระฆังยังมองไม่เห็นยอดวิหาร ส่วนเรื่องการแอบเข้าไป มีจุดให้เข้าไปได้มากมาย แต่อาคารมันใหญ่จนการหาเป้าหมายของผมคงต้องใช้เวลา
เป้าหมายครั้งนี้คือรูปปั้นเทพีสีทอง ก่อนหน้านี้ผมไม่มีเป้าหมายในการขโมยชัดเจน แต่ครั้งนี้ผมตัดสินใจมี จุดประสงค์ของผมคือตีวิหารให้แรงที่สุด เพื่อให้พวกเขาโกรธและไปกดดันกองคลัง
พวกขุนนางที่ผมเคยขโมยมาแค่บุกเข้าไปขโมยของก็ทำให้พวกเขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีแล้ว แต่วิหารเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะไปหากองคลังแค่เพราะผมขโมยเล็กๆน้อยๆ อีกอย่าง ถึงขโมยเงินไปเท่าไหร่ไม่นานก็ได้เงินบริจาคคืน ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้วิหารโกรธได้
ในอดีต วิหารเสื่อมจนถึงขั้นคอรัปชั่น เบ่งอิทธิพลยิ่งกว่าราชวงศ์ แต่ประมาณ 120 ปีก่อน อำนาจของวิหารตกไปเพราะไม่สามารถยับยั้งราชาปีศาจคังลิมได้
ราชวงศ์ฉวยโอกาสนี้รวมอำนาจตัวเองและควบคุมผู้ปกครองท้องถิ่น เพราะเหตุนี้ การปกครองของจักรวรรดิจึงเปลี่ยนจากระบบเจ้าครองนครเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช
ถึงอย่างนั้น อำนาจของวิหารมาจากศรัทธาของประชาชน ไม่เหมือนประเทศที่อำนาจมาจากดินแดน หรือก็คือ ตราบใดที่มีคนศรัทธา วิหารก็จะมีอิทธิพลล้นเหลือในจักรวรรดิ นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงไปก่อกวนวิหาร
ผมใช้วิทยายุทธ์ก่อนเข้ามหาวิหาร เตรียมพร้อมไว้ก่อนดีกว่าเพราะไม่รู้ว่าจะมีวงเวทแบบไหนซ่อนอยู่เหมือนในวัง
ผมลบตัวตนและแอบเข้าไปในมหาวิหาร
***
ในห้องสวดภาวนาขนาดใหญ่ ในชั้นใต้ดินของมหาวิหาร รูปปั้นหินรูปเทพีมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตากำลังก้มมองลงมา
สิงห์ ชายชราผู้สวมหน้ากากทอง มองรูปปั้นเทพีขนาดใหญ่กำลังมองเขาจากความห่าง 5 เมตรและพึมพำด้วยความโกรธ
แต่เดิม รูปปั้นตรงหน้าสิงห์ถูกเคลือบด้วยทอง แต่ตอนนี้ทองถูกลอกออกไป แสงเจิดจ้าและศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเต็มห้องสวดไม่มีอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขาต้องยืนตรงนี้ เขาต้องกล้ำกลืนความโกรธที่พลุ่งพล่าน
ขณะลีโอมองรูปปั้นเทพี ชายสามสิบคนใส่หน้ากากสีดำและเสื้อคลุมปิดศีรษะก็คุกเข่าด้านหลังเขา ท่าทางแสดงความเคารพนบนอบ
“คาร์โด เฟอนานโด เรารวบรวมทุกคนมาตามคำสั่งของท่านแล้ว”
คาร์โดเป็นคำโบราณหมายถึงบานพับ แต่ก็หมายถึงพระคาดินัลด้วย ลีโอถอดหน้ากากทองและหันมา ไม่มีความจำเป็นต้องใส่มันในมหาวิหาร ถิ่นของเขา
“ทำได้ดี พาลาดินมาลิฟ และนักรบผู้ทรงเกียรติทุกคน”
“ไม่ครับ ทุกอย่างเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”
คนสามสิบคนก้มกราบเหมือนตัวแทนของพวกเขา มาลิฟ จากนั้นก็รายงานงานของตัวเอง
“พาลาดินวิบริโอและคนอื่นอีก 9 คนกลับมาจากฝั่งตะวันตกของจักรวรรดิหลังจากทำตามคำสั่งของคาร์โดเสร็จแล้วครับ”
“พาลาดินมาริโอและคนอื่นอีก 9 คนกลับมาจากชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ หลังจากปราบปรามพวกนอกรีต 300 คนตามคำสั่งของคาร์โดเสร็จแล้วครับ”
“พาลาดินมาลิฟและคนอื่นอีก 9 คน ในส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ พบฐานหลักของร้านขายข้อมูลแม่ใหญ่ ตามคำสั่งของคาร์โดแล้วครับ”
เฟอนานโดสนใจรายงานของมาลิฟ
“ในที่สุดก็เจอฐานหลักของแมลงสาปพวกนั้นแล้วเหรอ? ที่ไหน?”
“ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อกรันเวลครับ” มาลิฟตอบ
เฟอนานโดระเบิดเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ ทำได้ดี! ทำได้ดี! ในที่สุดก็ได้เรื่องฐานของพวกน่ารำคาญนั่นมา!”
เฟอนานโดพอใจอย่างแท้จริง มันเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถกวาดล้างพวกหนูน่ารำคาญที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลและการทำงานของเฟอนานโดและนักษัตรคนอื่นๆแก่ราชวงศ์
ที่จริงแล้ว ข้อมูลของนักษัตรคนอื่นๆไม่สำคัญอะไร ในสายตาของเฟอนานโด การมีอิทธิพลในใจกลางจักรวรรดิที่จักรพรรดิมีอำนาจมากที่สุดเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย
ขณะเฟอนานโดหัวเราะ จู่ๆเขาก็รู้สึกผิดปกติ
“ใคร!” เฟอนานโดโบกคทาที่ใช้ในการประกอบพิธี เพื่อเสกเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ฝ้าเพดาน
“แอ๊ก!”
คนๆหนึ่งตกลงจากฝ้าบางๆที่หักเพราะถูกเวทมนตร์
คนปริศนา ใส่ผ้าคลุมไหล่สีดำและหน้ากากขาวครึ่งหน้า มีรูปปั้นเทพีสีทองความสูงประมาณ 60 ซม.ในมือ
“นั่น นั่นมัน!”
รูปปั้นสีทองนั้นคือของสำคัญในอดีตที่อำนาจของเทพีครอบคลุมทั้งทวีป ระหว่างช่วงวิหารตกต่ำ ตอนที่พวกเขาเสียความมั่งคั่งร่ำรวยเพื่อพยายามเอาตัวรอดอยู่นั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ยังคงหลงเหลือ
“บังอาจ! เจ้าคิดว่ากำลังถืออะไรอยู่ด้วยมือสกปรกนั่น!!”
ความโกรธของเฟอนานโดถึงจุดสูงสุด รูปปั้นเทพีนั้นเป็นของล้ำค่าไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ของวิหาร ไม่ใช่ของให้โจรต่ำต้อยอยากได้
รูปปั้นเทพีอันนั้นเป็นจุดอ่อนไหวของเฟอนานโดที่ต้องการความรุ่งเรืองในอดีตคืนมา
ชายปริศนามองกลับไปมาระหว่างรูปปั้นเทพีกับเฟอนานโดแล้วพูดขึ้น
“ฮิๆ พลาดซะแล้ว”
“ไอ้ชั่ว!!!”
มองชายปริศนาที่ทำท่าเคาะหัวตัวเอง เฟอนานโดระเบิดความเกรี้ยวกราด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น