วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 54

บทที่ 54 – งานเลี้ยง (5)

“มาแล้วเหรอ?”

ก่อนผมจะได้ทัก แฟลมก็พูดก่อน

“สวัสดี เจ้ามาเร็วนะ”

มีเวลาอีกสิบนาทีก่อนเริ่มเรียน รอบๆเงียบสงบ ดูเหมือนผมก็มาเร็วไปหน่อยเหมือนกัน

ขนาดวิชาดาบเป็นวิชาบังคับและแบ่งเป็นระดับ ที่ลานว่างนี้ยังมีคนน้อยกว่า 20 คน

“ฮ่าๆ เพราะที่นี่อยู่ไม่ไกลจากหอเท่าไหร่ เจ้าอยู่ห้องไหนเหรอ? ข้าหาเจ้าตั้งแต่ตอนแยกกันหลังมื้อเที่ยง แต่ไม่เจอ”

ดูเหมือนเขาจะหาผมตั้งแต่สามวันก่อน

วันนั้นแฟลมลาไปก่อน บอกว่านัดกับคนอื่นไว้ ผมจึงไม่ได้บอกว่าผมเดินทางไปกลับ ผมรู้สึกผิดนิดๆ

“โอ๊ะ ลำบากเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้อยู่หอ”

แฟลมตาโตด้วยความแปลกใจ “แต่ผู้รับการฝึกทุกคนต้องอยู่หอไม่ใช่เหรอ?”

ผมถอนหายใจ “ใช่ ข้าก็อยากอยู่หอ แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้”

อำนาจเป็นของน่ากลัว

“หมายความว่ายังไง?”

จะอธิบายยังไงดีล่ะ? ถ้าบอกความจริงไปก็น่ารำคาญ

ตอนนั้นพอดี ผู้ฝึกสอนและทาส ผมหมายถึงผู้ช่วยแบกกล่องหนัก ก็มายังลานว่างที่พวกเราอยู่

“มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ ผู้ฝึกสอนจะมาแล้ว เอาไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ”

หลังจากเบี่ยงประเด็นไปได้อย่างราบรื่น ผมหันไปมองผู้ฝึกสอน

ยังมีเวลาอีกห้านาทีก่อนเริ่มเรียน แต่ดูเหมือนพวกเขามาก่อนเวลาเพื่อแจกดาบ

พอผมมองรอบๆ ผู้เข้าฝึกเกือบทุกคนก็มารวมกันที่ลานว่างแล้ว

ผู้ฝึกสอนตะโกนใส่เหล่าผู้เข้าฝึกที่ยืนคุยกันอยู่

“เข้าแถว แถวตอน 5 แถว!”

ผู้เข้าฝึกเหม่อมองผู้ฝึกสอน คนส่วนใหญ่คือนักเขียนหรือลูกคนรองๆของขุนนาง พูดอีกอย่างคือพลเมืองไม่ใช่ทหาร ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ขยับตัวตามคำสั่ง เห็นได้ว่าเคยถูกฝึกมาก่อน

“เข้าแถว!”

แต่คนพวกนี้ปกติเคยแต่นั่งโต๊ะ การเคลื่อนไหวจึงงุ่มง่าม จะหวังให้คนที่เคยแต่ฝึกทหารมาอย่างพื้นฐานแต่ไม่เคยเข้ากองทัพขยับตัวว่องไวคงเป็นไปไม่ได้

ผู้ฝึกสอนก็คงรู้เหมือนกันจึงมองอย่างความคาดหวังเป็นศูนย์ คนจากตระกูลขุนนางที่ไม่ใช่ทหารมองคนอื่นๆและทำตาม ผู้ช่วยฝึกแบ่งผู้เข้าฝึกเป็นห้าแถว ส่งคนที่ตั้งแถวที่หกกลับไป

แฟลมกับผมไปเข้าแถว จากที่เห็น ผู้ฝึกสอนเป็นอัศวินที่ถูกลดขั้นและผู้ช่วยเคยเป็นทหารมาก่อน ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนอัศวิน การจ้างอัศวินจริงๆมาสอนคนพวกนี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองเกินไป

ขอให้ชั้นเรียนเวทมนตร์ไม่ใช่แบบนี้

ขอร้องล่ะ ฉันคาดหวังกับชั้นเรียนเวทมนตร์อยู่นะ

ผู้ฝึกสอนไม่ได้ยินคำขอร้องจริงใจของผม แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกที่ไม่ต้องการอะไรนอกจากความมุ่งมั่น

“ต่อไป ก่อนเริ่มเรียน เราจะเข้าแถวกันแบบนี้! เข้าใจไหม!”

“เข้าใจ!”

บรรดาผู้เข้าฝึกตะโกนด้วยสีหน้ากังวล เหมือนเห็นทหารใหม่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ผมเดาได้ว่าถึงพรุ่งนี้พวกเขาก็จะชิน ช่วยไม่ได้เพราะตั้งแต่แรกที่นี่ก็ไม่ใช่กองทัพ

“ก่อนเริ่มเรียนวิชานี้ พวกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าที่นั่งหลังโต๊ะถือปากกา ต้องเรียนด้วย!”

ส่วนใหญ่พยักหน้า

ดูพยักหน้ากันสิ! มองอย่างไรก็ไร้วิญญาณชัดๆ ถ้ามีความมุ่งมั่นจริง พวกเขาต้องตะโกน “ไม่!” จะไม่คิดพยักหน้าด้วยซ้ำ

ผมรู้สึกหดหู่เหมือนมาอยู่ในกองทหารเกณฑ์อย่างไรไม่รู้ ผมไม่ชอบเพราะมันเหมือนกลับไปตอนสมัยอยู่ในกองทัพอีกครั้ง

“วิชานี้มีเป้าหมายหลักคือการฝึกฝนร่างกายเพื่อเพิ่มพลังกายของพวกเจ้าและทนทานต่องานในภายภาคหน้า”

สั้นๆ เป้าหมายคือเพิ่มความอึดเพื่อให้ทำงานหนักได้นานๆ

“และสอนทักษะป้องกันตัวที่เหมาะกับงานของพวกเจ้า เพื่อให้ปกป้องตัวเองได้” ผู้ฝึกสอนกล่าวต่อ

หมายความว่าพวกเราต้องเรียนเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะพวกเขาจะไม่ช่วย

“วิชานี้เปิดเพื่อพวกเจ้า คนที่จะถูกเรียกเป็นกลุ่มแรกหากจักรวรรดิตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน”

ถ้าเกิดสงคราม พวกเราจะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ากองทัพ ที่นั่นดาบจำเป็นด้วยเหรอถ้าเราแค่ต้องทำงานกับเอกสาร?

“เอาล่ะ ข้าอธิบายจบแล้ว ต่อไปจะแจกอุปกรณ์จำเป็นในการเรียน อย่าลืมคืนหลังหมดคาบเรียนล่ะ”

กล่องที่เหล่าผู้ช่วยฝึกแบกอยู่ถูกเปิด ของข้างในถูกแจกให้ผู้เข้าฝึก ส่งจากหน้าไปหลัง ทุกคนได้มันมาถือไว้ในมือ

แต่ตอนนี้ในมือผมเป็นปืนคาบศิลา ไม่ใช่ดาบ

“ขอโทษครับ? นี่ไม่ใช่วิชาดาบเหรอ?”

“อ้อ วิชาดาบเปลี่ยนเป็นวิชาอาวุธรวมตั้งแต่สามปีก่อน” ผู้ช่วยฝึกตอบเหมือนชินแล้ว

“หา? แต่คู่มือเขียนว่า...”

“อ้อ เมื่อสักห้าปีก่อน พนักงานในโรงพิมพ์คนหนึ่งพิมพ์คู่มือออกมาเยอะเกินไป พวกเขาเลยบอกว่าจะแจกมันไปเรื่อยๆ ดูเหมือนจะยังไม่หมดนะ”

เหล่าผู้เข้าฝึกพูดไม่ออก

“พนักงานคนนั้นถูกไล่ออกหรือเปล่าครับ?”

คราวนี้ผมเป็นคนถาม

ผู้ช่วยฝึกยิ้มเจื่อน “ข้าราชการจะถูกไล่ออกง่ายๆได้เหรอ? โรงพิมพ์เป็นหน่วยงานราชการเหมือนกันนะ แต่ข้าได้ยินข่าวลือว่าเขาคงไม่ได้เลื่อนขั้นไปตลอดกาล”

เขาไม่โดนไล่ออกทั้งๆที่ทำพลาดขนาดคู่มือของห้าปีก่อนยังคงแจกอยู่

ว่าแล้ว! ดีที่ผมเลือกเป็นข้าราชการ

“เพราะเหตุนั้น พวกวิชาที่ควรจะเลิกสอนไปแล้วจึงยังมีต่อ” ผู้ช่วยฝึกเปรยต่อ

“ทำไมครับ?”

“ถ้าวิชาเปลี่ยนไปจากคู่มือมากเกินไป งั้นคู่มือก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ”

เยี่ยม! ประเทศแก้ปัญหาไม่เหมือนชาวบ้านจริงๆ

ถึงอย่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่นเปลี่ยนวิชาดาบเป็นการฝึกใช้อาวุธและล้มเลิกวิชาที่ไม่มีใครเข้าฝึกจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะเรียนวิชาดาบหรือเปล่า?” ผู้ฝึกสอนคนหนึ่งถาม

ผู้ช่วยยักไหล่ตอบ “อย่างที่ข้าบอก มันเป็นการฝึกใช้อาวุธรวม เจ้าจะเรียนใช้ดาบ ยิงธนู และหมัดมวย เอาจริงๆนะ ถ้าข้าสอนดาบพวกเจ้า เวลาสั้นๆพวกเจ้าก็ไม่ได้อะไรนักหรอก ใช่ไหม? เราเปลี่ยนไปฝึกใช้ปืน ที่ฝึกง่ายกว่า อาวุธอื่นก็สอนแค่นิดๆหน่อยๆ”

ถ้าผู้ช่วยพูดจริง ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาเปลี่ยนไปยึดหลักความจริงเลยทีเดียว ผู้เข้าฝึกส่วนใหญ่เป็นพวกอ่อนแอที่รบบนโต๊ะ มันชวนให้สงสัยว่าจะเรียนดาบได้แค่ไหน ดังนั้นเปลี่ยนไปฝึกปืนจึงมีประสิทธิภาพกว่า

ปัญหาคือปืนที่พวกเราได้เป็นปืนที่ใช้ในขบวนพาเหรดแบบที่มีล็อคล้อ

หรือจะดีใจที่ไม่ใช่ปืนไฟ โล่งใจที่ไม่ใช่ปืนแก๊ป?

ในโลกเวทมนตร์ ปืนที่ใช้ในตอนลมแรงหรือฝนตกไม่ได้ถือว่าไร้ประโยชน์ในการรบระหว่างประเทศ นอกจากจะเอาไว้ใช้ล่าสัตว์ แน่นอน พลังงานจลน์ของปืนคาบศิลามันประมาณ 1,500 J ซึ่งแรง แต่ถ้าลงคาถาบนชุดเกราะที่สร้างปฏิกิริยารุนแรงเมื่อโดนปรอท หรือถึงขั้นหักล้างกับแรงของกระสุนปืน

ถ้าสร้างปฏิกิริยากับสารทุกอย่าง เวทมนตร์ที่ต้องใช้คงซับซ้อนแย่ แต่ถ้าจำกัดแค่ “ปรอท” ก็สร้างชุดเกราะจำนวนมากได้เลย แน่นอน ถ้าเป็นการผลิตจำนวนมาก เวทมนตร์จะหายไปเมื่อกันกระสุนไปหกหรือเจ็ดนัด แต่พอยิงไปห้านัดแล้วปืนคาบศิลาก็กลายเป็นไม้เท้าเพราะดินปืนหมด

แน่นอน ถ้าสร้างกระสุนปืนจากสารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ปรอทก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าเป็นสารแข็งกว่าปรอท กระบอกปืนจะทนความแรงของกระสุนไม่ได้ ถ้าเป็นสารอ่อนกว่าปรอทก็คงยิงอะไรไม่เข้า

เหนืออื่นใด ถ้าใช้เวทมนตร์สร้างลมขึ้นมาก็ยิงไม่ได้ มันจึงเป็นของไร้ประโยชน์

นอกจากจะมีการพัฒนาปลอกกระสุนและทำให้ยิงได้รัว ไม่มีตอนไหนเลยที่ปืนจะใช้เป็นอาวุธหลักได้ ดูจากสภาพการณ์แล้ว ปืนคงไม่ได้รับการพัฒนาไปถึงขั้นนั้น

“เอาล่ะ เลิกคุยได้แล้ว”

เกิดความเงียบทันที

“ทุกคนจะได้เรียนวิธีใช้ปืนตามคำแนะนำของผู้ช่วย ผู้ช่วยฝึกทีละแถว”

เหล่าผู้ช่วยพาแถวไปฝึกทีละแถว

*** 

หลังจากวิชาดาบ ไม่ใช่สิ วิชาอาวุธรวมจบลง วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ผู้เข้าฝึกทุกคนเลือกเรียนอย่างต่ำสุด 7 วิชาและสูงสุด 9 วิชา แต่วันนี้พวกอ่อนแอเรียนวิชาที่ต้องขยับร่างกาย จึงไม่มีเรียนวิชาอื่นอีก

ศูนย์ฝึกคงรู้จึงจัดตารางสอนไม่ให้นักเรียนเรียนวิชาอื่นในวันที่มีวิชาอาวุธรวม หลังจากเรียนวิธีใช้ปืน พวกเราก็แค่แบกปืนวิ่งรอบลานว่างเล็กๆ 10 รอบ

เมื่อหมดคาบ เห็นแค่แฟลมกับผมที่ยังปกติดี ก็กะได้ว่าพวกเขาอ่อนแอกันขนาดไหน

แฟลมกลับหอและผมกลับไปคนเดียว จะว่าไปแล้ว เหมือนผมไม่ได้อยู่คนเดียวแบบนี้มานานมาก

ในหอพัก พี่น้องคาร์เตอร์กับฝาแฝดเผ่าผีเสื้อจะหนวกหูเสมอ ทำให้เวลาอยู่คนเดียวแบบนี้รู้สึกหายาก อลิซผมไม่รู้ แต่ยูเรียมีประสาทสัมผัสไวต่อเวทมนตร์ ผมจึงใช้เวทมนตร์ไม่ได้ง่ายๆตั้งแต่เธอมา หลายอย่างๆทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาหน่อยๆ หรือจะบอกว่าผมแค่อารมณ์บูดก็ได้

ผมล้วงหน้ากากสีขาวออกมาจากกระเป๋ามิติ จะว่าไป ผมสาบานว่าจะลงโทษพนักงานกองคลัง แต่ผัดผ่อนไป

ทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผมเคยเรียนมาจากโรงเรียนเมื่อชาติก่อนไม่ใช่เหรอว่าการผัดวันประกันพรุ่งเป็นสิ่งไม่ดี?

ใช่แล้ว เด็กในประเทศใหม่ไม่ควรผลักงานของวันนี้ไปทำพรุ่งนี้

ผมหลบไปที่ลับตาคนและสวมหน้ากาก

แต่จะทำอะไรดีระหว่างรอให้ถึงกลางคืน?

ผมถอดหน้ากากและกลับบ้าน ถึงจะเป็นผม ขโมยตอนกลางวันแสกๆก็ยังเกินไปหน่อย อีกอย่าง ผมยังไม่ได้ทำการสำรวจล่วงหน้าเลย ผมต้องผัดไปก่อน

แย่ชะมัด!



สารบัญ                                         บทที่ 55


แล้วโรงเรียนไม่สอนเหรอว่าการขโมยไม่ดี? :3


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น