วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

แปลเพลง - No Use For A Name - International You Day

เอาเพลงเก่ามานำเสนออีกแล้ว

คราวนี้เป็นเพลง International You Day ของวง No Use For A Name ค่ะ

ชื่อเพลงแปลว่า วันเธอแห่งชาติ ฟังงงๆแปลกๆ แต่ถ้าพูดต่อว่าเป็นวันที่รำลึกถึงการจากไปของเธอ ก็จะเข้าใจง่ายขึ้นเนอะ

ลิงค์เพลงจากยูทูปค่ะ No Use For A Name - International You Day

เพิ่มเติม เวอร์ชั่นไว้อาลัยให้นักร้องนำ The Songs of Tony Sly: A Tribute - International You Day


I'm sorry that it took so long

To write this song

But I gave up

ขอโทษที่ใช้เวลานานเหลือเกินเพื่อเขียนเพลงนี้ขึ้นมา แต่ฉันยอมแพ้แล้ว

You see one million words can't describe

How it feels

To know your love

รู้ไหม หนึ่งล้านคำไม่อาจบรรยายความรู้สึกของฉัน ที่ได้รู้จักรักของเธอ

Where did I go wrong?

I should have told you from the start

That I'm closer then you think

When we're apart

Nothing that I've tried

Is as simple as this line

ฉันเริ่มทำผิดพลาดไปตอนไหน?

ฉันควรบอกเธอแต่แรก ว่าฉันอยู่ใกล้กว่าที่คิดนะ ตอนที่เราห่างกัน

สิ่งที่ฉันพยายามทำลงไป ไม่ได้เรียบง่ายเท่าประโยคนี้เลย

But without you

My life is incomplete

My days are absolutely gray

And so I'll try

Let your heart know for sure

That I have so much more to tell you

Every single day

แต่ขาดเธอ ชีวิตฉันไม่สมบูรณ์ วันคืนของฉันเป็นสีหม่นเทา

และดังนั้นฉันจะพยายาม

ให้ดวงใจเธอรับรู้ ว่าฉันมีอีกมากมายอยากบอกเธอ ทุกๆวัน

I swear I'm giving up my inside

To the one

That I adored

I know this world is big enough

For you and I

But I'll give you more

ฉันสาบาน ว่าพลีใจให้หนึ่งเดียวที่ฉันรักและบูชา

ฉันรู้ โลกนี้กว้างใหญ่เพียงพอสำหรับเธอและฉัน แต่ฉันจะให้เธอมากกว่านั้น

I'm coming home today

To wipe the tear drop from your eyes

I'm totally enamoured by your life

Nothing that I've done

Has ever been for one

วันนี้ฉันกลับบ้าน เพื่อปาดน้ำตาให้เธอ

ฉันลุ่มหลงในชีวิตของเธอ

ฉันไม่เคยได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกันเลย

But without you

My life is incomplete

My days are absolutely gray

And so I'll try

Let your heart know for sure

That I have so much more to tell you

Every single day

แต่ขาดเธอ ชีวิตฉันไม่สมบูรณ์ วันคืนของฉันเป็นสีหม่นเทา

และดังนั้นฉันจะพยายาม

ให้ดวงใจเธอรับรู้ ว่าฉันมีอีกมากมายอยากบอกเธอ ทุกๆวัน

My life is incomplete

My rights are absolutely wrong

So wake me up

Before you leave today

Something I need to say

Cause they'll be nothing when you're gone

ชีวิตฉันไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ฉันเชื่อว่าถูกกลายเป็นผิด

ดังนั้นปลุกฉันนะ ก่อนเธอจะจากไปวันนี้

มีสิ่งที่ฉันต้องบอกเธอ เพราะหากเธอไปแล้วฉันจะไม่ได้บอกอีกเลย


ชีวิตข้าฯ - บทที่ 25

บทที่ 25 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (2)


เฮสเทียกำลังช่วยเลชาจัดกระเป๋าเตรียมออกจากหมู่บ้านไปจับเดนเบอร์ก

“ไม่เห็นต้องใส่ขนาดนั้นเลย ใส่ในกระเป๋ามิติบ้างก็ได้”

เฮสเทียจัดกระเป๋าโดยไม่ให้เหลือช่องว่างท่ามกลางเสียงบ่นของเลชา

“อยู่ในป่าเจ้าใช้กระเป๋ามิติไม่ได้ นี่ยากันยุง นี่ยากันสัตว์ร้าย อาหารนี่ไว้ใส่ทีหลัง”

“ตอนไล่ตามเดนเบอร์กข้าไม่เห็นต้องใช้ของพวกนั้นเลย อย่างยากันสัตว์ร้ายนี่ไม่ต้องใส่หรอก”

“ตอนไล่ตามเดนเบอร์กเจ้าไปกันหลายร้อยคน คราวนี้พวกเจ้ามีกันแค่สามคน เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับอันตรายทุกอย่างที่อาจเจอ”

“แต่ พี่ชายรองแม่ทัพเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ข้าจะเจออันตรายได้เหรอ?”

เฮสเทียส่ายหน้าและใส่ของเพิ่มอีก “เจ้าเป็นนักเวท ในป่าเจ้าแค่แข็งแรงกว่าเด็กสิบขวบนิดหน่อย”

“ฮึ่ม ข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าพี่อยู่ดี”

เฮสเทียตีมือเลชาที่พยายามดึงของในกระเป๋าออก “หยุด เชื่อฟังพี่สิ พอออกจากป่าเจ้าก็เอาของใส่กระเป๋ามิติได้แล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้หนักสักหน่อย”

เลชายกกระเป๋าหนัก 50 กิโลกรัมด้วยมือข้างเดียว “เบา แต่กระเป๋ามันใหญ่เกินไป เกือบสามเท่าของตัวข้าเลยนะ”

“ช่วยไม่ได้ พวกเสื้อผ้ามันใช้พื้นที่มาก ข้างในมีเสื้อคลุมกันฝนกับผ้าเช็ดตัว เจ้าใส่เสื้อตัวเดิมไปสิบวันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

“ก็จริง แต่พี่ชายรองแม่ทัพกับคนของกระทรวงต่างประเทศน่าจะเอาคบไฟกับเชือกไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ถ้าเจ้าหวังให้คนอื่นเอาของไป สุดท้ายอาจพบว่าไม่มีใครเอาของนั้นไปเลย”

เลชาทำปากยื่นใส่คำพร่ำบ่นของเฮสเทีย “ก็เปิดกระเป๋าทุกคนก่อนออกเดินทางไม่ได้เหรอ?”

“เจ้าจะเปิดกระเป๋าที่มีชุดชั้นในให้ทุกคนดูเหรอ? ว่าแต่ ทำไมเจ้าไม่เอาหนังสือเล่มนี้ใส่กระเป๋ามิติ? ไหนดูซิ เขากับเขา...”

เลชารีบคว้าหนังสือคืนมาเมื่อเฮสเทียจะอ่านและตัดสินใจยอมแพ้

“อ๋า? อย่าอ่านนะ เข้าใจแล้ว ข้าแค่ต้องเอาของไปใช่ไหม”

หนังสืออยู่ในกระเป๋าสำหรับเลชาอ่านเวลาพักเพราะเวลาอยู่ในป่าเธอเปิดกระเป๋ามิติไม่ได้ มันคือนิยายที่เธอแอบขอให้คนของกระทรวงต่างประเทศหาให้

“เฮ้อ ข้าล่ะเป็นห่วงเจ้าเวลาอยู่ข้างนอก”

เฮสเทียถอนหายใจ เลชาทำแก้มป่อง

“เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองนะ”

“ข้ารู้ ข้าน่าจะไปเอง”

“ฮ่าๆ หยุดคิดเลย เดนเบอร์กข้าไม่รู้ แต่ถ้าเจ้าออกจากหมู่บ้านแล้วหายตัวไป พ่อต้องออกไปตามเจ้าแน่”

เฮสเทียถอนหายใจ ถ้าเป็นเดนเบอร์กก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะถูกรังแกที่ไหน แต่เธอเป็นคนอ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน ยิ่งกว่านั้น เธอเป็นคนดูแลจัดการแทบทุกอย่างในหมู่บ้านจึงออกจากหมู่บ้านไม่ได้นอกจากจะจัดการส่วนนี้เสร็จ

“จัดของเสร็จแล้วเจ้าก็ควรไปได้แล้ว รองแม่ทัพรออยู่”

“จ้ะ อย่าห่วงนักเลยพี่สาว ข้าอาจอ่อนแอตอนอยู่ในป่า แต่พอออกจากป่าข้าอาจแข็งแกร่งกว่าพวกพี่ๆ”

“อือฮึ”

เฮสเทียไม่ถือคำพูดของเลชาเป็นจริงเป็นจังนัก

“ข้าพูดจริงนะ”

เลชาแลบลิ้นใส่และทำเป็นงอน

เลชาพูดไม่ผิด นอกป่าโอลิมปัส พลังเวทเสถียรถึงขั้นสร้างความแตกต่างอย่างมากจากพลังเวทในหมู่บ้าน ถ้าเธออยู่นอกป่าโอลิมปัส เธอสามารถใช้เวทที่ทรงพลังพอจะหยุดยั้งนักรบเผ่ากาที่เรียนวรยุทธ์ วิชาที่พัฒนาเพื่อให้ใช้พลังเวทได้อย่างปลอดภัยในป่า

เฮสเทียไม่รู้เรื่องนี้เพราะเธอเรียนแต่เวทที่ใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันและไม่เคยออกจากหมู่บ้านเลย ไม่ต้องพูดถึงป่า

เมื่อเลชาแบกกระเป๋าไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน แมคที่รออยู่ก็เอ่ยทัก “ท่านเลชา ไปกันเถอะครับ”

“พี่ชาย อย่าพูดแบบนั้นได้ไหมแล้วก็เลิกเรียกข้าว่าท่านด้วย?” เลชาตวัดเสียงใส่

แมคยักไหล่ “เสียงแบบนี้เหมาะกับหนวดของข้า แล้วข้าจะเรียกท่านว่าอย่างไรถ้าไม่เรียกท่าน? ใช่ไหมครับ ผู้บัญชาการ?”

เฮสเทียยิ้มแล้วพูด “โกนหนวดสิ”

“ข้าคิดว่าอย่างน้อยผู้บัญชาการคงเข้าใจข้า ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ”

“ฮ่าๆ ไปกันเถอะ พี่สาว ข้าไปล่ะนะ”

เฮสเทียกอดลาน้องสาวแน่นๆ

“อย่าโกรธล่ะที่ทุกคนไม่มาส่ง พ่อมีเรื่องด่วนต้องไปทำที่เขาโอลิมปัส กาเวนกับกัลลาฮาดก็ไปกับท่าน”

แม้แต่เฮสเทียก็ไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอแค่จำได้ว่าพ่อของเธอพูดว่าช่วงนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอได้แต่สงสัยว่าเหตุผลที่เขาเลือกผู้สืบทอดไว้แล้วอาจเป็นเพราะความกังวลนี้

“ข้ารู้ คิดว่าข้าเป็นเด็กหรือไง? ข้าเป็นผู้ใหญ่เหมือนกันนะ” เลชาบ่น

เฮสเทียใช้น้ำเสียงแบบที่พูดกับเด็กถาม “โอ้ เป็นผู้ใหญ่เหรอ?”

“แน่นอน!”

เฮสเทียหัวเราะมองน้องสาวยืดอกอย่างภูมิใจ

“โฮะๆ เข้าใจแล้ว รองแม่ทัพ ข้าฝากเลชาด้วยนะ”

แมคพยักหน้ารับ

แล้วกลุ่มคนที่ออกจากหมู่บ้านเพื่อตามเดนเบอร์กกลับก็จากไปเช่นนี้เอง

***

ผมอ่านแผนที่จากร้านขายข่าวและตรงไปยังที่ๆเหมือนบริษัทอสังหาริมทรัพย์

“เอ”

แผนที่ๆผมถืออยู่เป็นอันที่ผมลอกอย่างหยาบๆ มันอ่านยากแต่ช่วยไม่ได้เพราะผมถือแผนที่ตัวจริงเดินร่อนไปมาไม่ได้ ระหว่างทำการลอกผมจำเส้นทางต่างๆเอาไว้แล้วจึงน่าจะไปถูกเหมือนตอนเดินหาธนาคาร

ระหว่างตั้งใจอ่านแผนที่ผมได้ยินเสียงล้อรถจากข้างหลัง เมื่อผมเงยหน้าเพื่อมองไปยังต้นเสียง รถม้าก็วิ่งผ่านอย่างรวดเร็วและทำให้น้ำโคลนที่เกิดจากฝนเมื่อคืนสาดทั่วตัวผม 

คนขับรถรู้ตัวก็หยุดรถม้าและมองกลับมาที่ผม

เสียงตวาดดังจากข้างในรถ “ทำอะไรของเจ้า? รีบไปสิ!”

คนขับรถม้าพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านมาร์ควิส มีคนถูกน้ำโคลนสาดเพราะรถ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?”

“เราน่าจะจ่ายค่าซักล้างให้เขา...”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรถึงต้องหยุดรถ? เจ้าอยากถูกไล่ออกหรือไง?”

“ไม่ ข้าขออภัย”

คนขับรถมองผมอย่างขอโทษแล้วขับรถต่อไป

ผมปัดโคลนบนชุดแล้วมองตราขนาดใหญ่ข้างตัวรถ – หมาป่าเงินกับใบลอเรล

ผมจะจำไว้ พูดจริงนะ ความรำคาญสุดๆที่ผมรู้สึกอยู่นี้อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย ผมตัดสินใจจะอ่านข้อมูลเกี่ยวกับขุนนางที่ซื้อจากนายหน้าขายข่าว

ผมเข้าไปในตรอกไร้ผู้คนเพื่อจัดการกับเสื้อผ้าเปียก ผมเสกน้ำเพื่อซักน้ำโคลนออก แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่ดี

“ฮึ่ม!”

ผมจำตราหมาป่าเงินกับใบลอเรลเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นก็เดินหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันเป็นที่หมายตั้งแต่ต้น

“ขอโทษครับ”

ผมเปิดประตูเข้าไปและเห็นแผนที่ส่วนหนึ่งของเมืองหลวงแขวนบนผนัง และชุดโต๊ะโซฟาตั้งตรงกลางห้อง

“ยินดีต้อนรับค่ะ มาหาบ้านหรือคะ?”

“ครับ”

ผู้หญิงดูน่าคบหาคนหนึ่งทักทายผม ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าของร้านหรือพนักงาน

เมื่อผมนั่งบนโซลาตามคำชวน เธอก็กางแผนที่แบบเดียวกับแผนที่บนผนังลงบนโต๊ะและนั่งลงริมสุดของโซฟา

“นี่แยกครอบครัวมาอยู่เอง หรือมาทั้งครอบครัวคะ? มาจากที่อื่นเหรอ? อยู่คนเดียวหรือมีครอบครัวคะ? ครอบครัวกี่คนคะ?”

เมื่อเห็นผมอ้ำอึ้งกับคำถามที่โยนใส่ คุณป้ายิ้มแล้วชงชาให้

“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ ข้าถามเร็วไปสินะ? ดื่มชาไปแล้วค่อยๆตอบก็ได้”

ผมจิบชาแล้วตอบ “ข้ามาจากที่อื่นและมาคนเดียว”

“อ๋อ ถ้ามาคนเดียว มาหางานหรือคะ? ได้แล้วยัง?”

“เปล่า ข้าตั้งใจจะสอบรับราชการ”

“สอบรับราชการ... ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องอยู่ที่นี่อย่างน้อยหนึ่งเดือน ถ้าสอบผ่านก็ต้องเรียนต่ออีกหกเดือน”

“อะไรนะ?”

เห็นผมแปลกใจ คุณป้าก็อธิบาย

“เจ้าไม่รู้สินะ ข้าสังเกตว่าคนที่มาจากที่อื่นไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ รู้ใช่ไหมคะว่าสอบรับราชการมีในเดือนมกรากับกรกฎา?”

“ครับ”

“ถ้าสอบผ่าน เจ้าจะถูกฝึกครึ่งปี ฝึกเสร็จเจ้าจะถูกส่งไปรับตำแหน่งตามที่ต่างๆโดยยึดตามเกรดที่ได้ระหว่างฝึก ตำแหน่งศูนย์กลางในพระราชวัง  ส่วนนอกในเมืองหลวง หรือส่วนท้องถิ่นตามเขตต่างๆ ที่จริงลูกชายข้าสอบผ่านช่วงหน้าหนาวและตอนนี้กำลังเรียนอยู่ เฮ้อ โรงเรียนฝึกไปกับโรงเรียนฝึกอัศวินกับโรงเรียนเวทมนตร์ นักเรียนส่วนใหญ่เลยมาจากตระกูลขุนนาง ข้าหวังว่าลูกชายข้าจะไหวนะ แต่ลำบากไปครึ่งปีก็จะได้งานดีๆทำ โอ๊ะ ขอโทษค่ะ ข้าพูดแต่เรื่องตัวเองไปเสียแล้ว”

คุณป้าพูดอย่างเร็วแล้วขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าข้าสอบผ่านก็จะเจอแบบนั้นด้วย”

“ใช่ๆ ฟังไว้ก็มีประโยชน์กับเจ้านะ นี่เป็นเรื่องที่ข้าได้ยินมาจากลูกชาย แต่-”

คุณป้าพูดต่อไป สรุปจากที่นางพูด ได้ความว่า ถ้าผมสอบผ่านก็ต้องเข้าโรงเรียนและอยู่ในหอพักเป็นเวลาครึ่งปี

คนที่สอบส่วนใหญ่เป็นบุตรคนที่สามหรือสี่ของขุนนางระดับไวส์เคานท์ลงไป แต่สามัญชนก็สอบได้เหมือนกัน ไม่มีการเกี่ยงชนชั้นเพราะการสอบจัดโดยกระทรวงการคลังซึ่งนำโดยดยุค ซึ่งในจักรวรรดิมีตำแหน่งดยุคแค่สองคน

กระทรวงการคลังเป็นกระทรวงหนึ่งที่เข้มแข็งที่สุดของจักรวรรดิ ข่าวลือว่าหากจะติดสินบนคนของกระทรวงนี้ ต้องใช้เงินขนาดทำให้ที่ดินเล็กๆถึงขั้นล้มละลายได้ พูดอีกอย่างคือ รับประกันได้ว่าการสอบยุติธรรมเพราะขุนนางระดับไวส์เคานท์ไม่มีเงินขนาดนั้นให้ลูกชายคนที่สามหรือสี่หรอก

ถ้ารู้อย่างนี้ผมไม่ต้องปลอมบัตรประชาชนด้วยกระดูกโอเกอร์ก็ได้

อีกอย่าง การสอบราชการมีการแข่งขันสูงเพราะถ้าสอบผ่านและฝึกผ่าน ก็จะได้ตำแหน่งเท่าอัศวิน แม้ตำแหน่งจะไม่สืบทอดถึงลูกหลาน แต่สามัญชนที่หัวดีต่างเข้าสอบเพื่อโอกาสได้เป็นขุนนาง

อย่างไรก็ตาม การที่กระทรวงการคลังรับหน้าที่จัดสอบถือเป็นข่าวดี

ตอนนี้ผมแค่ต้องลอบเข้าไปในกระทรวงการคลังแล้วดูข้อสอบ จากนั้นผมก็จะได้เป็นข้าราชการไม่ว่าการสอบจะดุเดือดแค่ไหนก็ตาม

เหตุที่ผมคิดจะขโมยข้อสอบไม่ใช่เพราะไม่แน่มั่นใจว่าจะสอบผ่านนะ ผมมั่นใจว่าสอบผ่านแน่

เหตุผลคือผมกลัวว่าจะสอบได้ที่ดีเกินไปแล้วต้องไปทำงานในราชวังที่ลุงของผมไปบ่อยๆ ถ้าผมทำงานในเมืองหลวง นั่นเรียกว่าซ่อนแสงไฟใต้ตะเกียง แต่ถ้าทำงานในราชวัง นั่นคือผมส่องแสงเหนือตะเกียงแล้ว

“เวลาผ่านไปนานขนาดแล้วหรือนี่? ข้าทำให้เจ้าเสียเวลาเสียแล้ว”

จริง คุณป้าพูดเป็นชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ถ้าผมไม่ได้ข้อมูลสำคัญระหว่างฟังนางพูดผมหนีไปแล้ว



สารบัญ                               บทที่ 26



 

เวลาฝนตก น้ำจะชอบท่วมข้างถนน ตรงศาลาที่คนแปลยืนรอรถนี่น้ำนองเลย รถบางคันเห็นคนยืนข้างทางจะเลี่ยงไปเลนกลาง หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จะขับช้าๆ บางคันไม่สนจ้าวิ่งมาเต็มที่... เวลาฝนตกที่คนแปลกลับบ้านเสื้อกางเกงเปียกซ่กนี่ไม่ใช่เพราะน้ำฝนนะ น้ำข้างทางที่รถเหยียบกระเซ็นใส่มากกว่า ฮึ่ม ป้าฝากด้วยนะเดน 

เอ่อ... เจ้าข้ากับครับค่ะนี่มาใช้รวมกันแล้วแปล๊ก แปลก...

ต่างโลกก็ยังมีบอยเลิฟ 55+



วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 24

บทที่ 24 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (1)


รถไฟหยุดและเสียงประกาศดังขึ้น

สถานีตะวันออก สถานีตะวันออก

ประตูจะเปิดเป็นเวลา 20 นาที กรุณาเดินออกด้วยความระมัดระวัง

ลิสบอนยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย

“ถึงเมืองหลวงแล้วเหรอ?”

ลิสบอนไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับผม

ที่ตู้นอนชั้นหนึ่งแพงนั้นมันมีเหตุผลอยู่ ผมแทบไม่รู้สึกแรงสั่นสะเทือนจากรถไฟเลย และภัตตาคารบนรถไฟก็ดูหรูหรากว่าที่โรงแรม อาจเพราะค่าอาหารส่วนหนึ่งรวมอยู่ในค่าตั๋วด้วย อาหารจึงไม่แพงเมื่อเทียบกับรสชาติและคุณภาพ ยังมีคาสิโนขนาดเล็กกับที่อาบน้ำ จึงไม่เกินเลยไปหากจะเรียกว่าเป็นรถไฟเที่ยวหรูหรา

ตามที่อลิซบอก คุณภาพของอาหารและบริการจะน้อยลงในชั้นรองๆลงไป ผมสงสัยว่าทำไมเธอจึงรู้มากนักทั้งๆที่ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่แล้วก็เห็นหนังสือนำเที่ยวด้วยรถไฟโผล่ออกมาจากกระเป๋าของเธอ

ผมลังเลแต่ก็ตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็น ที่ผ่านมาเธอดูระแวงไปหมด (เพราะผม) แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ท่าทางของเธอจึงดูน่ารักดีเหมาะกับวัย

เมื่อลงจากรถไฟ ผมเห็นภาพที่คนละชั้นกับหมู่บ้านอื่นๆที่ผ่านมาเลย ด้วยสถานีรถไฟอยู่บนที่สูง พวกเราจึงเห็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง

ตรงกลางเมือง ราชวังใหญ่โตงดงามอวดโฉมของมันจากด้านหลังกำแพงสูง ด้านตะวันตกมีหอคอยเวทมนตร์สูงประมาณ 20-30 ชั้น ตลาดที่อยู่ระหว่างราชวังกับสถานีรถไฟเหมือนจะส่องไฟให้ทั้งเมืองสว่างไสว

“ว้าว!” 

ลิสบอนกับอลิซก็ทึ่งกับเมืองใหญ่และมองไปรอบๆด้วยตาเป็นประกาย ท่าทางเหมือนกันเป๊ะสมเป็นพี่น้องกันจริงๆ

“ช่วยออกห่างจากราวกั้นด้วยครับ มันอันตราย”

เมื่อพนักงานประจำสถานีลนลานบอกคู่พี่น้องให้ถอยไป ป้ายที่ถูกลิสบอนบังอยู่ก็เข้าสู่สายตา

-โปรดระวัง!

ราวล้มง่าย – เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง – อย่าพิงราว

เมื่อนั้นเองคู่พี่น้องจึงเห็นป้ายและขอโทษ จากนั้นพวกเขาก็หนีออกจากสถานีรถไฟเพื่อหลบสายตาของพนักงานประจำสถานี

“ไปที่ธนาคารกันก่อนเถอะ”

เมื่ออลิซออกจากสถานีรถไฟก็ข่มความตื่นเต้นลง เธอดูจะอยากไปธนาคารทันที จะเป็นเพราะอยากคืนเงินผมทันทีหรือเพราะไม่มีเงินในมือเลยก็ไม่ทราบ น่าจะเพราะอย่างหลัง เธอดึงแผนที่ออกมาแล้วมุ่งหน้าไปทางธนาคาร

แผนที่ของอลิซวาดไว้เพียงหยาบๆ แต่มันช่วยไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาเมืองหลวง อาจจะได้แผนที่มาจากบ้านหรือระหว่างเดินทาง ที่แบบนั้นไม่มีทางหาแผนที่ของเมืองหลวงแบบละเอียดได้ ในยุคนี้ แผนที่จัดเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหาร

เมืองหลวงคือที่ๆจักรพรรดิประทับในพระราชวัง แค่ได้แผนที่แบบนี้จากหมู่บ้านห่างไกลก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แน่นอน ยกเว้นคนอย่างผมที่ได้แผนที่มาจากร้านขายข่าวใต้ดิน

“เอ๊ะ?”

จนได้ อลิซอ่านแผนที่แล้วเอียงคอ

“ตรงนี้กับตรงนี้เหมือนตรงนั้นเลย น่าจะอีกหนึ่งช่วงตึกแล้วเลี้ยวขวา”

ผมเหลือบมองแผนที่แล้วเทียบกับแผนที่ที่ผมจำไว้ก่อนหน้านี้ แล้วชี้ทางให้อลิซอย่างใจดี

อลิซหน้าแดง “ข้า ข้ารู้น่า”

เธอทำเสียงดังฮึ่มแล้วเดินหน้า

ลิสบอนยิ้มมองน้องสาว คนผ่านมาคงนึกว่าเขากำลังมองลูกสาวออกไปทำธุระแทนพ่อแม่เป็นครั้งแรก

หลังจากวนเวียนอยู่ประมาณสามครั้ง อลิซก็นำพวกเรามาถึงธนาคาร เธอเดินเข้าไปอย่างภูมิใจและตรงไปที่เคาน์เตอร์

“ขออภัยค่ะ ลูกค้ากำลังต่อแถวอยู่ กรุณาไปรับบัตรคิวที่ประตูทางเข้าได้ไหมคะ?”

“อ๊ะ...ได้”

มันเป็นธนาคารที่ทันสมัยทีเดียว อลิซหน้าแดงและรีบไปหยิบบัตรคิว เธออาจคิดว่าทำตัวเหมือนคนบ้านนอกแต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมหยิบบัตรคิวต่อจากเธอ

พวกเรานั่งตรงที่นั่งจัดไว้ข้างหน้าต่าง อลิซตรงไปที่เคาน์เตอร์เมื่อถึงคิวของเธอ เธอยื่นแผ่นโลหะขนาดใหญ่อันหนึ่งที่เคาน์เตอร์ พนักงานธนาคารรับและใช้เครื่องมือเวทบางอย่างกับมัน ไม่นาน พนักงานธนาคารก็คืนแผ่นโลหะพร้อมกับถุงใหญ่เล็กอย่างละหนึ่งถุง

แผ่นโลหะน่าจะเหมือนสมุดบัญชีธนาคาร เมื่อตั้งใจมองก็จะเห็นเวทหลายๆบทถูกร่ายเอาไว้ ดูเหมือนมันจะสามารถเชื่อมโยงกับเครื่องมือเวทเพื่อแสดงเงินในบัญชีและสามารถอัพเดทข้อมูลเงินใหม่ เป็นไปได้ว่ามันยังสามารถใช้เป็นบัตรเครดิต

อลิซกลับมาและหยิบเหรียญเงินสี่เหรียญจากถุงเล็ก

ดูจากที่ถุงแฟบไปครึ่งหนึ่ง ถุงเล็กน่าจะมีเหรียญเงินสิบเหรียญ

จากนั้นอลิซหยิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์กำหนึ่งออกมาจากถุงใหญ่

“20 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์เป็นดอกเบี้ย” อลิซหลบตาผมและกระซิบ “ขอบคุณมาก”

ผมคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจเสียอีก แต่น่าแปลกใจที่มีด้านดีด้วย

ผมเอาเหรียญทองแดงบริสุทธิ์เข้ากระเป๋า “ขอบคุณ”

ผมไม่คิดว่าเธอจะให้ดอกเบี้ยด้วย แต่การปฏิเสธดอกเบี้ยที่เธอเป็นคนเสนอเองนั้นเป็นเรื่องที่มีแต่คนโง่อย่างลิสบอนทำ เมื่อพนักงานเรียกคิวของผม ผมก็ไปที่เคาน์เตอร์

“มาทำอะไรคะ?” พนักงานยิ้มไม่เป็นธรรมชาตินัก การยิ้มทั้งวันก็ใช้พลังงานเยอะเหมือนกัน

“เปิดบัญชีธนาคารครับ”

“ค่ะ ถ้าจะเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารต้องการข้อมูลส่วนตัวของท่าน อนุญาตไหมคะ?”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นขอดูบัตรประชาชนด้วยค่ะ”

ผมหยิบบัตรประชาชนออกมาอย่างกระวนกระวายใจ บัตรที่ผมใช้เป็นบัตรปลอม ไม่ใช่บัตรที่ผมได้มาจากเฮสเทีย ผมรอด้วยใจเต้นตึกตัก กลัวว่าจะถูกจับได้ ถ้าถูกจับได้ผมคงหนีหรือไม่ก็เอาบัตรจริงออกมา เพราะว่าบัตรประชาชนอีกใบของผมดูมีอำนาจมากทีเดียว พวกเขาน่าจะยอมไม่เอาความเรื่องปลอมบัตรนะ?

พนักงานรับบัตร วางในเครื่องมือเวทแล้วเคาะคีย์บอร์ด จากนั้นก็หยิบบัตรส่งคืนให้ผม

“คุณเดน มาร์ค ยืนยันตัวตนสำเร็จค่ะ การเปิดบัญชีต้องมีเงินฝากขั้นต่ำหนึ่งเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ตกลงไหมคะ?”

โชคดีที่ดูเหมือนผมจะปลอมบัตรได้สมบูรณ์แบบ ผมแอบถอนหายใจโล่งอกพลางยื่นเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ให้พนักงาน

พนักงานรับเหรียญไปและเริ่มเคาะคีย์บอร์ด แล้วยื่นป้ายโลหะที่เหมือนของอลิซให้ผม จากนั้นก็ยื่นแผ่นป้ายที่มีตัวเลขหนึ่งถึงเก้าให้

“ช่วยตั้งรหัสหกหลักด้วยค่ะ”

ผมใส่วันเกิดของผมในชาติก่อนลงไป

“ขอบคุณค่ะ เปิดบัญชีเสร็จแล้วค่ะ หากท่านต้องการฝากเงินก็แค่นำแผ่นป้ายคู่ฝากมา แต่หากต้องการถอนเงินหรือโอนเงินให้บุคคลอื่น ท่านต้องใช้บัตรประชาชนและรหัสด้วย”

“เข้าใจแล้ว”

ธนาคารพัฒนากว่าที่ผมคิด นึกไม่ถึงว่าจะโอนเงินได้ด้วย ผมคิดว่าจะปลอมตัวแล้วกลับมาเปิดอีกบัญชีเพื่อจะได้ฝากเหรียญทองคำขาวแล้วถอนเป็นเหรียญย่อยออกมา

ธนาคารไม่น่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวฉันออกไปนะ

ถึงอย่างนั้น ระวังตัวไว้จะดีกว่าเพราะผมอาจถูกตรวจสอบหากมีคนพบว่าผมมีเงินถึงขั้นเหรียญทองคำขาว เหตุผลหนึ่งก็เพราะคนที่บ้านอาจเจอผมได้

หลังจากเสร็จเรื่องธนาคาร ผมพูดกับลิสบอนและอลิซ “ในเมื่อเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว แยกย้ายกันเถอะ”

“หา?ทำไมล่ะ?ไปเดินเที่ยวตลาดกันเถอะ” ลิสบอนแปลกใจแล้วรั้งผมไว้

แต่ผมส่ายหน้า

“ไม่ล่ะ ข้ามาเมืองหลวงเพราะมีธุระต้องทำ ข้าต้องไปแล้ว”

“ทำธุระเสร็จแล้วเจ้าจะไปจากเมืองหลวงเหรอ?”

น่าแปลก คราวนี้อลิซเป็นคนถามผม

ฉันเข้าใจผิดไปหรือเปล่า เธอดูเสียใจนิดหน่อย?

“ไม่ ถ้าเป็นไปได้ข้าตั้งใจจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง”

ลิสบอนฟังผมแล้วเกิดความคิดดีๆขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นมาอยู่กับพวกเราไหมล่ะ?”

ขุ่นพระ! อยู่กับเจ้าโง่นี่ฉันอาจติดเชื้อเจ้าโง่ตายได้!

อลิซอาจมีภูมิคุ้มกันเพราะเป็นน้องสาวของเขา แต่ผมไม่มีเซลล์ต้านทานมะเร็งเจ้าโง่นะ

ผมส่ายหน้า

“ข้ารบกวนขนาดนั้นไม่ได้หรอก พวกเจ้าคงอยู่ในเมืองหลวงอีกนาน ถ้าชะตาต้องกันพวกเราคงพบกันอีก ไว้เจอกันนะ”

ผมก้มหัวน้อยๆแล้วจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ

ห้าวันที่ผ่านมานี้ ผมเรียนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของจักรวรรดิมาเกือบหมดแล้ว พูดอีกอย่างคือผมไม่ต้องการสารานุกรมลิสบอนอีกต่อไป การจากคนโง่ไปหลังจากไม่มีอะไรจะใช้ประโยชน์จากเขาแล้วเป็นพฤติกรรมที่ดีไม่ใช่เหรอ? และเป็นการร่ำลาที่ดีไม่น้อยเลย เพราะผมไม่ได้ขโมยเงินหรือข้าวของของเขาหนีไป

ผมตั้งใจฟังเผื่อพวกเขาจะตามมา แต่โชคดีที่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ทำแบบนั้น

ตอนนี้มีสามเรื่องที่ผมต้องทำ หนึ่ง ผมต้องหาบ้านอยู่, สอง หาวันสอบรับข้าราชการ, สาม เตรียมสอบ

ที่บ้านเกิดของผม เฮสเทียสะสมและศึกษาหนังสือของจักรวรรดิเกี่ยวกับกฎหมาย, การบริหารและจัดการอยู่เสมอ ในนั้นมีกล่าวถึงข้าราชการ ยกเว้นทหารที่รับสมัครทุกวัน ข้าราชการถูกคัดเลือกปีละสองครั้งช่วงหน้าหนาวกับหน้าร้อน ตอนนี้เป็นเดือนพฤษภาคม การสอบหน้าหนาวเดือนมกราคมจึงจบไปแล้วและเหลือแต่การสอบหน้าร้อนเดือนกรกฎาคม

ผมมีเวลาเหลือก่อนถึงช่วงสอบหนึ่งเดือนกว่า ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเหรียญทองคำขาวที่มีนั้นเป็นเงินมหาศาล มันทำให้ผมสงสัยว่ายังต้องเข้าสอบอีกเหรอ แต่ถึงอย่างไร ทำงานก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ

แต่หาบ้านพักก่อนดีกว่า


สารบัญ                                           บทที่ 25

 







วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 23

บทที่ 23 – เดินทางสู่เมืองหลวง (10)


พระราชวังคือสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ

ในท้องพระโรง บลัดดี้ค้อมคำนับจักรพรรดิและเดินเข้าไปใกล้ ปกติแล้ว ตามระเบียบราชสำนักคนเข้าเฝ้าต้องรักษาระยะห่าง คุกเข่าข้างหนึ่งและถวายพระพรพระราชวงศ์และสรรเสริญจักรวรรดิ

แต่บลัดดี้เป็นบุคคลหนึ่งในห้าที่ไม่ต้องทำเช่นนั้น ห้าคนที่ว่าประกอบด้วยคนสนิทของจักรพรรดิ เจ้าชายซานเตส,นายกรัฐมนตรีอาร์คันตา,นักเวทหลวงและผู้บัญชาการทหาร วิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อ,แม่ทัพออร์ฟินาแห่งเผ่ามังกรและแม่ทัพบลัดดี้แห่งเผ่ากา

ข้างกายจักรพรรดิมีคนสนิทสามคนยืนอยู่ ขาดแต่ออร์ฟินาที่ถูกส่งไปเฝ้าเขตแดนปีศาจ

“ยินดีต้อนรับ สหายรักของข้า บลัดดี้ วอน ดิ คานตา เบลด ขอบใจที่ปกป้องจักรวรรดิจากเขตแดนปีศาจ”

คำว่าวอนที่ติดกับชื่อบลัดดี้คือคำนำหน้าสำหรับขุนนางและคานตาเป็นชื่อของดินแดนที่มอบให้เขา

คานตาอยู่นอกเมืองหลวงและแม้จะเป็นดินแดนที่มอบให้มาร์ควิสเช่นเขา มันกลับเล็กกว่าดินแดนที่บารอนครอบครอง บลัดดี้ตั้งใจจะกลับบ้านเกิดอยู่แล้ว มันจึงเป็นดินแดนที่ไม่ค่อยมีความหมายนัก

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”

คำกล่าวทักทายพวกนี้เป็นคำกล่าวตามธรรมเนียมทุกครั้งที่เขากลับจากเขตแดนปีศาจ เมื่อคำเยินยอน่าเบื่อจบลง จักรพรรดิปรบมือเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ

“เอาล่ะ ไปที่ห้องประชุมกันเถอะ วิลเลียม ช่วยที”

“ขอรับ”

เมื่อวิลเลียมยกมือขึ้น พลังเวทก็ทำงานและส่งพวกเขาไปในห้องลับที่มีโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้หกตัว

บลัดดี้เห็นว่าการเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเป็นขั้นตอนที่ยืดเยื้อหากพวกเขาตั้งใจจะมาคุยกันที่ห้องลับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ขั้นตอนเข้าเฝ้าจะถูกตัดไปบ้างแต่ก็ยังจำเป็นต้องไปที่ท้องพระโรง เพราะพวกเขายังต้องแสดงให้ขุนนางคนอื่นเห็น

จักรพรรดิต้องให้เกียรติข้าราชบริพารที่ผ่านความลำบากในเขตแดนปีศาจ และบลัดดี้ต้องพิสูจน์ว่ายังจงรักภักดีต่อจักรพรรดิไม่เสื่อมคลายแม้เขาจะจากไปนาน

บลัดดี้รู้เช่นกันว่านี่เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้แม้จะน่ารำคาญ ถึงกระนั้น ไม่มีใครทำตัวเป็นการเป็นงานอีกต่อไปหลังจากมาถึงห้องประชุม

“บลัดดี้ ข้าอ่านจากรายงานว่าช่วงหลังมานี้ การเคลื่อนไหวของพวกปีศาจเกิดถี่กว่าเดิมเหรอ?” จักรพรรดิถามพลางถอดผ้าคลุมหน้าน่าอึดอัดออก มันผิดกฎแต่ไม่มีใครพูดอะไร

ถ้าเหล่าข้าหลวงในวังมาเห็นคงบ่นจนน้ำลายเป็นฟอง โชคดีที่พวกนั้นไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุม

“ใช่ ถี่มาก แต่ยังไม่พอให้พวกเราลงมือ มารอดูไปก่อนดีกว่า ข้าคิดว่าเราควรรอฟังรายงานจากยัยคนบูชากิ้งก่า”

บลัดดี้ประสานมือรองท้ายทอยและเอาเท้าวางบนโต๊ะ ถ้าเขาทำแบบนี้ข้างนอก เขาคงต้องโทษประหารทั้งครอบครัวฐานหมิ่นเบื้องสูง

แน่อยู่แล้ว ถ้าจักรวรรดิพยายามล้างครอบครัวบลัดดี้ก็ไม่พ้นเป็นจักรวรรดิเองที่ล่มสลาย บลัดดี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของเผ่าพันธุ์นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและสืบสายเลือดของนักรบที่สังหารราชาปีศาจเมื่อ 120 ปีก่อน

“ถ้าออร์ฟินาได้ยิน ห้องประชุมนี่คงพังไปแล้ว บลัดดี้ เจ้าเรียกมังกรว่ากิ้งก่าได้อย่างไร?” นายกรัฐมนตรีอาร์คันตาฝืนยิ้มแล้วบ่น ในมุมมองของเผ่ามังกรที่เคารพบูชามังกร เรียกมังกรว่ากิ้งก่าก็ไม่ต่างจากการดูหมิ่นศาสนา

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ออร์ฟินาไม่อยู่สักหน่อย อีกอย่างนางก็เที่ยวบอกคนอื่นว่าข้าเป็นเจ้าโง่ที่ใช้ช้อนไม่เป็นเหมือนกัน”

อาร์คันตาถอนหายใจแล้วเริ่มอบรม “ระวังเถอะ สำหรับนางแล้วมันเลวร้ายกว่าด่าบุพการีเสียอีก เพราะเจ้าโอ้อวดว่าสังหารมังกรด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้น ใช้มีดแทงหัวมันอย่างนี้ ถึงได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายุ่งเหยิง”

บลัดดี้เคยเป็นนายพลของหน่วยนักรบมาก่อน เมื่อเขามาอยู่เมืองหลวง กาเวน พี่ชายของเดนเบอร์กก็ขึ้นเป็นนายพลแทน

“ตอนนั้นข้าไม่รู้นี่ว่าเผ่ามังกรนับถือมังกร ถ้าข้ารู้ข้าไม่พูดหรอก” บลัดดี้โต้กลับอย่างไม่จริงจังก่อนจะเปลี่ยนไปนั่งตัวตรง

“พูดถึงมังกร ข้ามีข่าวมาบอก”

“อะไร?”

จักรพรรดิถาม บลัดดี้ล้วงจดหมายในกระเป๋าออกมา

“คืออย่างนี้ หลานชายข้า เดนเบอร์ก หนีออกจากบ้าน”

เมื่อวิลเลียมได้ยินก็ยิ้ม “ฮ่าๆ เหมือนจะแย่แล้วนะ เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่าเดนเบอร์กหลานเจ้าเป็นนักเวท?”

จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีผู้เริ่มกังวลคลายความกังวลลงเมื่อได้ยินที่วิลเลียมพูด ป่าโอลิมปัสมีอีกชื่อว่านรกของจอมเวทและมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนเวทมนตร์ อีกอย่าง คนที่เรียนเวทมนตร์ก็ฝึกฝนร่างกายน้อยกว่านักรบ ดังนั้นแม้พวกเขาจะก่อเรื่องก็สะสางปัญหาได้ง่าย

จักรพรรดิหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย ต่อให้เขาเป็นนักเวทก็ยังเป็นคนของเผ่ากา คงไม่ไปโดนรังแกที่ไหนหรอก”

พวกเขาจินตนาการสมาชิกของเผ่ากาถูกรังแกแทบไม่ออก

บลัดดี้พูดเสริมขึ้นกลางบรรยากาศสงบสุขนี้

“แต่เดนเบอร์กถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดของพี่ข้า”

เผ่ากามีธรรมเนียมเลือกสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นหัวหน้าเผ่า ธรรมเนียมนี้ยังคงเดิมแม้จะเปลี่ยนชื่อตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเริ่มกังวลว่าฝันร้ายอย่างดูมสโตน เบลดจะปรากฏตัวอีกครั้ง

“เดี๋ยว เจ้าบอกว่าเขาเป็นนักเวท เขาเรียนเวทเป็นงานอดิเรกเหรอ?” วิลเลียมถามอย่างฉงน

บลัดดี้ส่ายศีรษะ “เปล่า เขาใช้เวทมนตร์เป็นหลัก แต่ข้าไม่คิดว่าด้านวรยุทธ์หรือเพลงดาบจะด้อยกว่าพี่ๆของเขาเท่าไหร่”

เดนเบอร์กรู้สึกเช่นนั้นจากเดนเบอร์กตอนเขากลับบ้านช่วงหยุดยาว เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูเชี่ยวชาญด้านวรยุทธ์และเพลงดาบ แต่ออกจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับพี่ชายทั้งสอง ถึงอย่างนั้นเขาก็คาดหวังกับเด็กคนนี้ไว้สูงเพราะแม้จะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ก็ไล่ตามพี่ชายทั้งสองที่นำหน่วยยามและหน่วยนักรบเกือบทันแล้ว

“แต่ถ้าเขาเน้นด้านเวทมนตร์ การต่อสู้ด้วยร่างกายก็น่าจะไม่พัฒนาเท่าไหร่ใช่ไหม?”

“ก็อาจจะใช่ แต่จดหมายบอกว่าตอนเขาอายุสิบสอง เขาใช้เวทมนตร์ล้มมังกรด้วยตัวคนเดียว”

“อะไรนะ? สิบสอง? ใช้เวทมนตร์? เป็นไปได้เหรอ?”

วิลเลียมตะลึง นั่นเพราะกระทั่งเขาผู้มาจากเผ่าผีเสื้อที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ยังกลายเป็นแค่คนที่แข็งแรงกว่าอัศวินไม่เท่าไหร่เมื่ออยู่ในป่าโอลิมปัส พยายามจะล้มมังกรที่นั่นก็เหมือนฆ่าตัวตาย ที่เผ่ามังกรซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากเผ่ากานับถือมังกรไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“เพราะอย่างนี้คำถามคือ นักเวทที่ล้มมังกรตอนอายุสิบสองจะแข็งแกร่งขนาดไหนเมื่อออกจากโอลิมปัส”

วิลเลียมไม่รู้คำตอบที่บลัดดี้ถาม เขาจะไปวัดพลังของนักเวทที่ล่ามังกรเพียงลำพังได้อย่างไรในเมื่อเขายังทำไม่ได้? ถึงกระนั้นเขาก็ต้องตอบ เพราะในจักรวรรดิไม่มีนักเวทคนไหนเก่งกว่าเขา

“-เมื่อออกจากป่าโอลิมปัส เขาควรจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า หลานของเจ้าอายุเท่าไหร่?”

“สิบหก”

“เขาเริ่มเรียนเวทมนตร์ตอนอายุเท่าไหร่?”

“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ”

“นี่สำคัญนะ คิดสิ”

“ห้าหรือหกขวบมั้ง?”

ที่จริงคือเดนเบอร์กเริ่มเรียนเวทมนตร์ตอนอายุสองขวบ แต่บลัดดี้จะไปรู้ได้อย่างไร

ขณะเดียวกัน วิลเลียมคิดว่าเขาได้ยินคำตอบที่เลวร้ายที่สุด เวทมนตร์ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ และยิ่งพรสวรรค์ถูกพัฒนาตั้งแต่อายุน้อย ศักยภาพที่จะเติบโตไปยิ่งไม่สิ้นสุด

พูดง่ายๆว่า แม้จะมีพรสวรรค์เท่าๆกัน ขีดจำกัดของคนที่เรียนเวทตอนอายุห้าขวบ สิบขวบ และสิบห้าปีก็จะต่างกัน ยิ่งเริ่มเรียนเวทเร็วเท่าไหร่ยิ่งไปได้ไกลกว่า

ผ่านไปสี่ปีแล้ว คนที่เรียนเวทตอนอายุหกเจ็ดขวบล้มมังกรด้วยตัวคนเดียวตอนอายุสิบสอง ด้วยพรสวรรค์และเวลาขนาดนั้น ตอนนี้เขาน่าจะสังหารมังกรได้ง่ายๆแล้ว

ไม่แน่เขาอาจจะรับมือกับมังกรสองตัวพร้อมกันยังได้?

หมายถึงตอนเขาอยู่ในป่าโอลิมปัสนะ

“ถ้าเป็นนอกโอลิมปัส บางทีเราอาจเทียบเขากับหัวหน้าเผ่ากาที่ข้าเคยพบก็ได้?”

วิลเลียมเคยพบกับดูมสโตนเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนเขาไปกับบลัดดี้เพื่อเอาวัตถุดิบเวทมนตร์ที่มีแต่ในป่าโอลิมปัส ตอนนั้นเขาเชื่อว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์ มันทำให้เขาสงสัยว่ามีสิ่งมีชีวิตใดในโลกที่แข็งแกร่งกว่าดูมสโตนอีก

เมื่อได้ยินดังนั้น บลัดดี้ก็พูด “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกลับเขตแดนปีศาจ”

“ไม่? เขาเป็นหลานเจ้าไม่ใช่เหรอ? คิดจะไปไหน?”

บลัดดี้หลั่งน้ำตาเมื่อถูกจักรพรรดิตำหนิ

“แล้วไงเล่า? เขาเก่งพอๆกับพี่ใหญ่นะ! ข้ากลัว”

“ไม่ได้ ขนาดเจ้ายังกลัวแล้วคิดว่าพวกเราไม่เป็นไรเหรอ? รีบหาตัวเขาให้เจอแล้วส่งเขากลับโอลิมปัส”

“ทำยังไงเหรอฝ่าบาท?” อาร์คันตาถามอย่างระมัดระวัง

“อะไรนะ?”

“ต่อให้เราหาเดนเบอร์กพบ เราไม่มีวิธีจับเขาหากเขาแข็งแกร่งเท่าคนผู้นั้น”

จักรพรรดิพูดไม่ออก

วิลเลียมช่วยคิด “ถ้าให้เผ่ากามาเอาตัวเขากลับล่ะ?”

จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นความคิดที่ดี แต่บลัดดี้หน้าเครียดลง

“เรื่องก็คือ... พวกเขาคิดว่านอกจากพี่ใหญ่แล้วไม่มีใครจับเดนเบอร์กได้”

ภายในห้องลับเงียบไปทันที พวกเขาเรียกหายนะภัยอย่างดูมสโตนมาที่จักรวรรดิไม่ได้จริงๆ

จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเริ่มทรมานจากอาการเครียดถึงขีดสุด

“เฮ้อ...ปัญหานี้ไม่สามารถจัดการได้ในทันที ตอนนี้ปิดข่าวไปก่อน”

“ฝ่าบาท แล้วออร์ฟินาล่ะ?”

“ไม่ต้องบอกนางด้วย แค่เขตแดนปีศาจนางก็ยุ่งพอแล้วไม่ควรบอกข่าวร้ายกับนาง อีกอย่างก็ใช่ว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปถ้านางมา”

“ทราบแล้ว” พวกเขาพูดพร้อมกัน จบการประชุมเท่านี้

แต่ทว่า ไม่กี่วันถัดมา พวกเขาได้ข่าวจากแม่ใหญ่คนขายข่าวว่ามีการเคลื่อนไหวจากองค์กรที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ จักรพรรดิและนายกรัฐมนตรีต้องทำงานจนแทบสลบอย่างเลี่ยงไม่ได้

ว่ากันว่าความเครียดเป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันควรของราชาหลายๆรุ่น


สารบัญ                                           บทที่ 24


แปลท่อนสุดท้ายแล้วเพลง viva la vida ผุดขึ้นในหัวเลย XD

“Oh who would ever want to be king?” – Coldplay


บทต่อไป เหตุเกิดที่เมืองหลวง มี 7 ตอนค่ะ 








 


วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 22

บทที่ 22 - เดินทางสู่เมืองหลวง (9)

“ไม่เป็นไร ข้ามีเงินพอใช้ตลอดการเดินทาง”

แค่เงินทอนผมก็มีเท่ากับรายจ่าย 10 เดือนของดินแดนขนาดเล็กแล้ว

ลิสบอนดูละอายใจแต่เขาก็เหมือนจะสนใจว่าผมจะไปไหน

“เจ้าตั้งใจจะไปไหน?”

“ข้าจะตรงไปเมืองหลวง”

“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นจะมากับพวกเราไหม?”

“พี่!” อลิซตะโกนคัดค้าน

แต่ลิสบอนยิ้มเหมือนไม่ได้ยินเสียงของน้องสาว

“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกเท่าไหร่ ถ้าได้ไปกับพวกเจ้าก็ยินดี แต่พวกเจ้าสะดวกหรือเปล่า?”

เมื่อผมถามอย่างเกรงใจตรงข้ามกับความตื่นเต้นในใจ อลิซสวนอย่างเย็นชาทันที “ไม่สะดวก”
แต่ที่อยู่ข้างเธอคือเจ้าโง่ขี้ใจอ่อน

“สะดวกสิ ไปกันหลายๆคนดีออก”

“พี่!”

ผมพูดให้อลิซที่กำลังโกรธใจเย็นลง

“ถ้าเรื่องเงิน ไม่ต้องห่วงว่าต้องแบ่งข้านะ ข้าพูดไปแล้วแต่ตอนนี้ข้ามีเงินพอ”

“ไม่ เจ้าแค่ไปให้...”

“ข้าช่วยออกเงินให้ด้วยก็ได้”

ผมพูดเสริมก่อนอลิซจะบอกให้ผมไปให้พ้น

“-เท่าไหร่?”

เมื่อเธอถามด้วยสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ลิสบอนเรียกเธอเสียงเบา

“อลิซ”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่รู้แผนการเดินทางของพวกเจ้า ดังนั้นจะให้บอกจำนวนเงินแน่นอนไปเลยคงยาก”

ผมยิ้มให้ลิสบอน

“ถ้าพวกเจ้าไม่ได้จะตรงไปเมืองหลวงเลยแต่จะแวะเที่ยวที่อื่น ข้าก็ต้องเดินทางไกลขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นเงินที่ข้าจะช่วยออกก็จะลดลงไปด้วย”

ก่อนฟังแผนการเดินทางของพวกเขา ผมเรียกสาวเสิร์ฟมาสั่งอาหาร

“ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี 5 ก้อน ซุปเห็ดกับขาไก่อบ 1 ที่ ซุปมะเขือเทศเนยแข็งกับสเต็กกระเทียม 2 ที่”

ผมนึกได้ว่าสั่งอาหารให้ลิสบอนแบบเดียวกับที่น้องสาวของเขาสั่ง

“โอ๊ะ ข้าสั่งอาหารเหมือนของน้องสาวเจ้าให้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“แต่ถ้าทำแบบนั้นเงินเจ้าจะไม่พอนะ...”

ลิสบอนดูกังวลพลางมองเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ที่ผมเอาออกมา

ช่างโง่แท้! เขาห่วงเรื่องเงินของผมทั้งๆที่แค่บอกขอบคุณและกินอาหารที่ผมสั่งให้ก็ได้
ผมหยิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ออกมาวางเพิ่มอีกสามเหรียญ

“ข้าบอกแล้วว่ามีเงินพอ เอาตามที่ข้าสั่งครับ”

“ค่ะ”

สาวเสิร์ฟจดรายการอาหารแล้วจากไปและลิสบอนมองมาอย่างขอโทษ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เจ้าบอกว่าอยากเป็นอัศวินใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงแข็งแกร่งพอดู งั้นช่วยคุ้มครองข้าไปถึงเมืองหลวงด้วยแล้วกัน”

ผมพูดต่อ 

“ถ้าถือว่าให้เงินที่ข้าช่วยออกเป็นการขอบคุณที่เจ้าช่วยคุ้มครองข้าไปถึงเมืองหลวงจะทำให้เจ้ารู้สึกดีกว่าเดิมไหม?”

“แต่ว่า...”

อาจเพราะรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะรับเงินไปเปล่าๆหรืออาจแค่เพราะหงุดหงิดกับพี่ชาย อลิซพูดขึ้น “พี่ พี่กำลังช่วยคุ้มครองคนอ่อนแอตามหลักการของอัศวิน คนๆนี้แค่แสดงความขอบคุณ เขาไม่ได้บอกตรงๆว่าจะจ่ายเงินให้เท่าไหร่นะ เขาแค่ช่วยออกเงินให้เพิ่มเติมจากเงินที่เขาต้องใช้ในส่วนของตัวเอง มันอาจเป็นแค่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ไม่กี่เหรียญ” อลิซพยายามโน้มน้าวพี่ชายเต็มที่

เจ้าโง่นี่โยนเงินทิ้งไปเท่าไหร่นะถึงทำให้ลูกขุนนางอย่างเธอพูดแบบนี้? ผมสงสัยขึ้นมานิดๆแต่ตัดสินใจไม่ถามตอนนี้

ลิสบอนยังเงียบ อลิซส่งสายตาพิฆาตให้เขา

“ทำไม? พี่ไม่ยอมรับเงินเพราะคำขอบคุณจากคนอ่อนแอเป็นสิ่งไม่มีค่าเหรอ? นั่นคือหลักการอัศวินของพี่เหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“งั้นอย่างไหน?”

“---”

ผมตัดสินใจช่วยอีกแรง

“หรือว่าเจ้ารู้สึกอึดอัดที่จะเดินทางร่วมกับข้า?”

“เปล่านะ ข้าแค่... ข้าไม่สบายใจถ้าจะเอาเงินจากเจ้า...”

ทนฟังไม่ไหวแล้ว ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ถ้าบอกให้อลิซยึดกระทั่งเหรียญเหล็กไปจากพี่ของเธอ ถ้าไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยคงเป็นบทเรียนกับลิซบอนได้บ้าง

“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม? ข้าให้เจ้ายืมเงิน พอเจ้าไปถึงเมืองหลวงแล้วก็หาเงินได้ใช่ไหม?”

เขาเป็นขุนนาง น่าจะมีบ้านอยู่ที่เมืองหลวงนะ?

ต่อให้ไม่มี พวกเขาสามารถบอกให้ครอบครัวส่งเงินมาให้ เรื่องเงินจึงไม่น่าจะมีปัญหา

“ถ้าเป็นการยืมเงิน ข้าสามารถให้เจ้ายืมเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นการเดินทางจะสะดวกสบายกว่า คิดว่ายังไง คุณอลิซ?”

อลิซยิ้มเหมือนไม่เคยเป็นศัตรูกับผมมาก่อน “ข้าเห็นด้วย ขอบคุณ พี่ก็เห็นด้วยเหมือนกันใช่ไหม?”

“อะ...อืม”

กว่าเจ้าโง่จะยอม อาหารก็ถูกนำมาวางเต็มโต๊ะแล้ว

“กินกันก่อนเถอะ”

กระเพาะของผมกำลังร้องขออาหาร

***

หลังกินเสร็จ พวกเราซื้ออาหารสำหรับกินไปสามวันแล้วตรงไปยังท่ารถม้านอกหมู่บ้าน

พวกเราเหมารถม้าหนึ่งคันและมุ่งหน้าไปยังท่ารถม้าของอีกหมู่บ้าน

ตามตารางการเดินทางของอลิซ เราต้องนั่งรถม้าจากที่นี่ เดินทางสองวันจึงถึงหมู่บ้านอีกแห่งแล้วขึ้นรถไฟตรงไปเมืองหลวง

ผมทึ่งที่โลกนี้มีรถไฟด้วย โลกนี้พัฒนาไปมากกว่าที่คิด

แต่จะว่าไป รถไฟไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไรในโลกที่เราบินได้ด้วยเวทมนตร์

พวกเราต้องอยู่เบื่อๆในรถม้าสองวัน ค่าโดยสารก็แพง 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อวัน พวกเราไม่เจอโจรดักปล้น และรถม้าคันนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งลักพาตัว พวกเราจึงมาถึงที่หมายอย่างไม่เจอเหตุการณ์ตื่นเต้นเลย

เหตุการณ์ตื่นเต้นอย่างเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางคืออลิซอาเจียนเพราะเมารถ สำหรับผมที่มีร่างกายแข็งแรงและลิสบอนที่ฝึกฝนตัวเองเพื่อเป็นอัศวิน การเมารถเป็นเรื่องที่ไกลตัว

ระหว่างช่วงเวลาน่าเบื่อนั้น ผมใช้มันไปอย่างคุ้มค่าโดยถามลิสบอนเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปของเมืองหลวง

เมื่อถึงหมู่บ้าน อลิซลงจากรถม้าทันทีแล้วสูดลมหายใจลึก ลิสบอนกับผมหัวเราะลั่น

“อย่าหัวเราะนะ!”

เห็นอลิซเช็ดน้ำลายพลางทำตาโตทำให้ผมนึกถึงแมวถูกมอมยา

เมื่อผมกับลิสบอนลงจากรถม้า ทหารเดินเข้ามาขอดูบัตรประชาชน

รอบๆพวกเรามีรถม้าหลายคันเหมือนท่ารถที่เราจากมา ยังมีอาคารเล็กๆที่ดูเหมือนสำนักงาน
สำหรับรถม้าแล้วการผ่านประตูหมู่บ้านปกติบ่อยๆเป็นเรื่องลำบาก ให้คนลงจากรถม้า,ตรวจบัตรประชาชนแล้วกลับขึ้นรถม้าก็เสียเวลา ด้วยเหตุนี้ รถม้าจึงถูกส่งมาแยกตรวจที่ลานนอกหมู่บ้าน
การตรวจก็เพียงแต่ดูว่าหน้าตรงกับบัตรประชาชนหรือเปล่า ลิสบอนผู้เป็นสารานุกรมของผม บอกว่าเพื่อป้องกันอาชญากรมีค่าหัวเข้าเมือง

เมื่อพวกเราเอาบัตรประชาชนออกมา ลิสบอนกับอลิซประหลาดใจเมื่อเห็นบัตรประชาชนของผมกันทั้งคู่ อลิซนั้นมองผมอย่างไม่อยากเชื่อว่าชายที่ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกจะเป็นขุนนางเหมือนเธอ

เจ้าโง่ที่เข้าใจว่าผมเป็นเด็กกำพร้าขอโทษที่เคยมองผมอย่างเวทนา ช่างเป็นเจ้าโง่นิสัยดีจริงๆ

เราพักผ่อนหนึ่งวันเพื่อคลายเครียดจากการนั่งรถม้าและขึ้นรถไฟในวันถัดมา ค่าโดยสารรถไฟแพงกว่ารถม้ามาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะอลิซจองตั๋วชั้นหนึ่งแบบที่ค่าโดยสารไปเมืองหลวงสามวันราคาตั๋วละสองเหรียญเงิน พวกเรามีสามคนจึงเป็นหกเหรียญเงินซึ่งแพงกว่าค่าโดยสารรถม้า 30 เท่า

“อลิซ จองที่ถูกกว่านี้หน่อยดีไหม?”

ลิสบอนพยายามหยุดอลิซไม่ให้จองตู้ชั้นหนึ่งโดยการยืมเหรียญเงินเพิ่มจากผมอีกหนึ่งเหรียญ ซึ่งผมส่งให้ไปสามเหรียญแล้ว นั่นเพราะสามเหรียญเงินพอแค่จองตู้ชั้นหนึ่งแบบไม่มีเตียง แต่อลิซถลึงตาใส่ลิสบอนเหมือนจะถามว่ายังกล้าพูดอีกเหรอ

“ตอนแรกเรามีเงินพอจ่ายเท่านี้ ถ้าพี่ไม่บริจาคเงินให้วัด”

“แต่เจ้าก็เห็นว่าเด็กที่นั่นไม่ได้กินอาหารเต็มอิ่ม”

“ทำไมถึงแอบบริจาคไม่บอกข้า ถ้าบอกข้าก่อน อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ใช้เงินค่าเดินทางไปหมด”

“ขอ...ขอโทษ”

ลิสบอนรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตาอลิซ

แม้ผมจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ฟังจากที่ได้ยิน ลิสบอนเป็นฝ่ายผิด ผมสงสัยว่าด้วยเงินที่มีสองคนนี้จะเดินทางไปเมืองหลวงอย่างไรถ้าไม่ได้พบกับผม

อลิซบอกให้ลิสบอนเงียบก่อนจะถอนหายใจพูดกับผม

“พอถึงเมืองหลวงข้าจะไปที่ธนาคารคืนเงินให้เจ้าทันที”

มีธนาคารในเมืองหลวงด้วย ซึ่งก็สมควรอยู่ ถ้ามีโรงกษาปณ์ผลิตเงินออกมา แน่นอนว่าต้องมีธนาคารสำหรับถ่ายเทและรวบรวมเงินในเศรษฐกิจ แต่ไม่เหมือนโลกในชาติก่อนของผมที่ธนาคารมีอยู่ทุกถนน ที่นี่การถ่ายเทเงินตราไม่คล่องเท่าส่วนใหญ่แล้วจะมีธนาคารหนึ่งแห่งต่อเมืองใหญ่หนึ่งเมือง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ธนาคารมีระบบเครือข่ายของตัวเองโดยใช้เวทมนตร์ และเงินก็ถูกส่งไปยังธนาคารใกล้ๆผ่านหน่วยนักเวท ดังนั้นจึงเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องถูกโจรปล้นระหว่างส่งเงินไปให้ธนาคารอื่น

อีกอย่าง ธนาคารทำสัญญากับกลุ่มนักรบรับจ้างหรือกลุ่มนักผจญภัยและใช้พวกเขาเป็นสาขาของธนาคาร องค์กรเหล่านี้เชื่อถือได้เรื่องความปลอดภัยและได้ยินว่าพวกเขามีความน่าเชื่อถือถึงขั้นมีขุนนางขั้นสูงใช้

ฟังแล้วพวกเขาน่าจะมีประโยชน์กับการแลกเหรียญทองที่นอนอยู่ในกระเป๋ามิติของผม

ขึ้นรถไฟ พวกเราก็ประหลาดใจกับตู้นอนชั้นหนึ่งและการที่มันเดินทางเร็วกว่ารถม้าหลายเท่า และสะเทือนน้อยกว่ามาก

ผมประหลาดใจกับความเร็วที่ไม่แพ้กับรถไฟในชาติก่อนของผมรวมทั้งตู้นอนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คู่พี่น้องทำเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นรถไฟมาก่อน

คิดแล้วมันก็จริง ผมนึกถึงแผนที่ที่ซื้อมาจากนายหน้าขายข่าว ตอนนี้ทางรถไฟเพิ่งจะเชื่อมต่อเมืองหลวงกับอาณาเขตของขุนนางขั้นสูง ไวส์เคานท์ย่อมไม่ใช่ขุนนางระดับต่ำ แต่ไม่สูงพอให้จักรวรรดิสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกับอาณาเขตของพวกเขา

ผมยิ้มนิดๆขณะมองพี่น้องตื่นเต้นกับวิวที่เคลื่อนไหวรวดเร็วนอกหน้าต่าง พวกเราจบการเดินทางลงตรงการขึ้นรถไฟไปเมืองหลวงเช่นนี้


สารบัญ                                            บทที่ 23