บทที่ 23 – เดินทางสู่เมืองหลวง (10)
พระราชวังคือสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ
ในท้องพระโรง บลัดดี้ค้อมคำนับจักรพรรดิและเดินเข้าไปใกล้ ปกติแล้ว ตามระเบียบราชสำนักคนเข้าเฝ้าต้องรักษาระยะห่าง คุกเข่าข้างหนึ่งและถวายพระพรพระราชวงศ์และสรรเสริญจักรวรรดิ
แต่บลัดดี้เป็นบุคคลหนึ่งในห้าที่ไม่ต้องทำเช่นนั้น ห้าคนที่ว่าประกอบด้วยคนสนิทของจักรพรรดิ เจ้าชายซานเตส,นายกรัฐมนตรีอาร์คันตา,นักเวทหลวงและผู้บัญชาการทหาร วิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อ,แม่ทัพออร์ฟินาแห่งเผ่ามังกรและแม่ทัพบลัดดี้แห่งเผ่ากา
ข้างกายจักรพรรดิมีคนสนิทสามคนยืนอยู่ ขาดแต่ออร์ฟินาที่ถูกส่งไปเฝ้าเขตแดนปีศาจ
“ยินดีต้อนรับ สหายรักของข้า บลัดดี้ วอน ดิ คานตา เบลด ขอบใจที่ปกป้องจักรวรรดิจากเขตแดนปีศาจ”
คำว่าวอนที่ติดกับชื่อบลัดดี้คือคำนำหน้าสำหรับขุนนางและคานตาเป็นชื่อของดินแดนที่มอบให้เขา
คานตาอยู่นอกเมืองหลวงและแม้จะเป็นดินแดนที่มอบให้มาร์ควิสเช่นเขา มันกลับเล็กกว่าดินแดนที่บารอนครอบครอง บลัดดี้ตั้งใจจะกลับบ้านเกิดอยู่แล้ว มันจึงเป็นดินแดนที่ไม่ค่อยมีความหมายนัก
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”
คำกล่าวทักทายพวกนี้เป็นคำกล่าวตามธรรมเนียมทุกครั้งที่เขากลับจากเขตแดนปีศาจ เมื่อคำเยินยอน่าเบื่อจบลง จักรพรรดิปรบมือเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศ
“เอาล่ะ ไปที่ห้องประชุมกันเถอะ วิลเลียม ช่วยที”
“ขอรับ”
เมื่อวิลเลียมยกมือขึ้น พลังเวทก็ทำงานและส่งพวกเขาไปในห้องลับที่มีโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้หกตัว
บลัดดี้เห็นว่าการเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเป็นขั้นตอนที่ยืดเยื้อหากพวกเขาตั้งใจจะมาคุยกันที่ห้องลับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้ขั้นตอนเข้าเฝ้าจะถูกตัดไปบ้างแต่ก็ยังจำเป็นต้องไปที่ท้องพระโรง เพราะพวกเขายังต้องแสดงให้ขุนนางคนอื่นเห็น
จักรพรรดิต้องให้เกียรติข้าราชบริพารที่ผ่านความลำบากในเขตแดนปีศาจ และบลัดดี้ต้องพิสูจน์ว่ายังจงรักภักดีต่อจักรพรรดิไม่เสื่อมคลายแม้เขาจะจากไปนาน
บลัดดี้รู้เช่นกันว่านี่เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้แม้จะน่ารำคาญ ถึงกระนั้น ไม่มีใครทำตัวเป็นการเป็นงานอีกต่อไปหลังจากมาถึงห้องประชุม
“บลัดดี้ ข้าอ่านจากรายงานว่าช่วงหลังมานี้ การเคลื่อนไหวของพวกปีศาจเกิดถี่กว่าเดิมเหรอ?” จักรพรรดิถามพลางถอดผ้าคลุมหน้าน่าอึดอัดออก มันผิดกฎแต่ไม่มีใครพูดอะไร
ถ้าเหล่าข้าหลวงในวังมาเห็นคงบ่นจนน้ำลายเป็นฟอง โชคดีที่พวกนั้นไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุม
“ใช่ ถี่มาก แต่ยังไม่พอให้พวกเราลงมือ มารอดูไปก่อนดีกว่า ข้าคิดว่าเราควรรอฟังรายงานจากยัยคนบูชากิ้งก่า”
บลัดดี้ประสานมือรองท้ายทอยและเอาเท้าวางบนโต๊ะ ถ้าเขาทำแบบนี้ข้างนอก เขาคงต้องโทษประหารทั้งครอบครัวฐานหมิ่นเบื้องสูง
แน่อยู่แล้ว ถ้าจักรวรรดิพยายามล้างครอบครัวบลัดดี้ก็ไม่พ้นเป็นจักรวรรดิเองที่ล่มสลาย บลัดดี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของเผ่าพันธุ์นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและสืบสายเลือดของนักรบที่สังหารราชาปีศาจเมื่อ 120 ปีก่อน
“ถ้าออร์ฟินาได้ยิน ห้องประชุมนี่คงพังไปแล้ว บลัดดี้ เจ้าเรียกมังกรว่ากิ้งก่าได้อย่างไร?” นายกรัฐมนตรีอาร์คันตาฝืนยิ้มแล้วบ่น ในมุมมองของเผ่ามังกรที่เคารพบูชามังกร เรียกมังกรว่ากิ้งก่าก็ไม่ต่างจากการดูหมิ่นศาสนา
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ออร์ฟินาไม่อยู่สักหน่อย อีกอย่างนางก็เที่ยวบอกคนอื่นว่าข้าเป็นเจ้าโง่ที่ใช้ช้อนไม่เป็นเหมือนกัน”
อาร์คันตาถอนหายใจแล้วเริ่มอบรม “ระวังเถอะ สำหรับนางแล้วมันเลวร้ายกว่าด่าบุพการีเสียอีก เพราะเจ้าโอ้อวดว่าสังหารมังกรด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้น ใช้มีดแทงหัวมันอย่างนี้ ถึงได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายุ่งเหยิง”
บลัดดี้เคยเป็นนายพลของหน่วยนักรบมาก่อน เมื่อเขามาอยู่เมืองหลวง กาเวน พี่ชายของเดนเบอร์กก็ขึ้นเป็นนายพลแทน
“ตอนนั้นข้าไม่รู้นี่ว่าเผ่ามังกรนับถือมังกร ถ้าข้ารู้ข้าไม่พูดหรอก” บลัดดี้โต้กลับอย่างไม่จริงจังก่อนจะเปลี่ยนไปนั่งตัวตรง
“พูดถึงมังกร ข้ามีข่าวมาบอก”
“อะไร?”
จักรพรรดิถาม บลัดดี้ล้วงจดหมายในกระเป๋าออกมา
“คืออย่างนี้ หลานชายข้า เดนเบอร์ก หนีออกจากบ้าน”
เมื่อวิลเลียมได้ยินก็ยิ้ม “ฮ่าๆ เหมือนจะแย่แล้วนะ เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่าเดนเบอร์กหลานเจ้าเป็นนักเวท?”
จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีผู้เริ่มกังวลคลายความกังวลลงเมื่อได้ยินที่วิลเลียมพูด ป่าโอลิมปัสมีอีกชื่อว่านรกของจอมเวทและมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนเวทมนตร์ อีกอย่าง คนที่เรียนเวทมนตร์ก็ฝึกฝนร่างกายน้อยกว่านักรบ ดังนั้นแม้พวกเขาจะก่อเรื่องก็สะสางปัญหาได้ง่าย
จักรพรรดิหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย ต่อให้เขาเป็นนักเวทก็ยังเป็นคนของเผ่ากา คงไม่ไปโดนรังแกที่ไหนหรอก”
พวกเขาจินตนาการสมาชิกของเผ่ากาถูกรังแกแทบไม่ออก
บลัดดี้พูดเสริมขึ้นกลางบรรยากาศสงบสุขนี้
“แต่เดนเบอร์กถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดของพี่ข้า”
เผ่ากามีธรรมเนียมเลือกสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นหัวหน้าเผ่า ธรรมเนียมนี้ยังคงเดิมแม้จะเปลี่ยนชื่อตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเริ่มกังวลว่าฝันร้ายอย่างดูมสโตน เบลดจะปรากฏตัวอีกครั้ง
“เดี๋ยว เจ้าบอกว่าเขาเป็นนักเวท เขาเรียนเวทเป็นงานอดิเรกเหรอ?” วิลเลียมถามอย่างฉงน
บลัดดี้ส่ายศีรษะ “เปล่า เขาใช้เวทมนตร์เป็นหลัก แต่ข้าไม่คิดว่าด้านวรยุทธ์หรือเพลงดาบจะด้อยกว่าพี่ๆของเขาเท่าไหร่”
เดนเบอร์กรู้สึกเช่นนั้นจากเดนเบอร์กตอนเขากลับบ้านช่วงหยุดยาว เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูเชี่ยวชาญด้านวรยุทธ์และเพลงดาบ แต่ออกจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับพี่ชายทั้งสอง ถึงอย่างนั้นเขาก็คาดหวังกับเด็กคนนี้ไว้สูงเพราะแม้จะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ก็ไล่ตามพี่ชายทั้งสองที่นำหน่วยยามและหน่วยนักรบเกือบทันแล้ว
“แต่ถ้าเขาเน้นด้านเวทมนตร์ การต่อสู้ด้วยร่างกายก็น่าจะไม่พัฒนาเท่าไหร่ใช่ไหม?”
“ก็อาจจะใช่ แต่จดหมายบอกว่าตอนเขาอายุสิบสอง เขาใช้เวทมนตร์ล้มมังกรด้วยตัวคนเดียว”
“อะไรนะ? สิบสอง? ใช้เวทมนตร์? เป็นไปได้เหรอ?”
วิลเลียมตะลึง นั่นเพราะกระทั่งเขาผู้มาจากเผ่าผีเสื้อที่เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ยังกลายเป็นแค่คนที่แข็งแรงกว่าอัศวินไม่เท่าไหร่เมื่ออยู่ในป่าโอลิมปัส พยายามจะล้มมังกรที่นั่นก็เหมือนฆ่าตัวตาย ที่เผ่ามังกรซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากเผ่ากานับถือมังกรไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“เพราะอย่างนี้คำถามคือ นักเวทที่ล้มมังกรตอนอายุสิบสองจะแข็งแกร่งขนาดไหนเมื่อออกจากโอลิมปัส”
วิลเลียมไม่รู้คำตอบที่บลัดดี้ถาม เขาจะไปวัดพลังของนักเวทที่ล่ามังกรเพียงลำพังได้อย่างไรในเมื่อเขายังทำไม่ได้? ถึงกระนั้นเขาก็ต้องตอบ เพราะในจักรวรรดิไม่มีนักเวทคนไหนเก่งกว่าเขา
“-เมื่อออกจากป่าโอลิมปัส เขาควรจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า หลานของเจ้าอายุเท่าไหร่?”
“สิบหก”
“เขาเริ่มเรียนเวทมนตร์ตอนอายุเท่าไหร่?”
“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ”
“นี่สำคัญนะ คิดสิ”
“ห้าหรือหกขวบมั้ง?”
ที่จริงคือเดนเบอร์กเริ่มเรียนเวทมนตร์ตอนอายุสองขวบ แต่บลัดดี้จะไปรู้ได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน วิลเลียมคิดว่าเขาได้ยินคำตอบที่เลวร้ายที่สุด เวทมนตร์ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ และยิ่งพรสวรรค์ถูกพัฒนาตั้งแต่อายุน้อย ศักยภาพที่จะเติบโตไปยิ่งไม่สิ้นสุด
พูดง่ายๆว่า แม้จะมีพรสวรรค์เท่าๆกัน ขีดจำกัดของคนที่เรียนเวทตอนอายุห้าขวบ สิบขวบ และสิบห้าปีก็จะต่างกัน ยิ่งเริ่มเรียนเวทเร็วเท่าไหร่ยิ่งไปได้ไกลกว่า
ผ่านไปสี่ปีแล้ว คนที่เรียนเวทตอนอายุหกเจ็ดขวบล้มมังกรด้วยตัวคนเดียวตอนอายุสิบสอง ด้วยพรสวรรค์และเวลาขนาดนั้น ตอนนี้เขาน่าจะสังหารมังกรได้ง่ายๆแล้ว
ไม่แน่เขาอาจจะรับมือกับมังกรสองตัวพร้อมกันยังได้?
หมายถึงตอนเขาอยู่ในป่าโอลิมปัสนะ
“ถ้าเป็นนอกโอลิมปัส บางทีเราอาจเทียบเขากับหัวหน้าเผ่ากาที่ข้าเคยพบก็ได้?”
วิลเลียมเคยพบกับดูมสโตนเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนเขาไปกับบลัดดี้เพื่อเอาวัตถุดิบเวทมนตร์ที่มีแต่ในป่าโอลิมปัส ตอนนั้นเขาเชื่อว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์ มันทำให้เขาสงสัยว่ามีสิ่งมีชีวิตใดในโลกที่แข็งแกร่งกว่าดูมสโตนอีก
เมื่อได้ยินดังนั้น บลัดดี้ก็พูด “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกลับเขตแดนปีศาจ”
“ไม่? เขาเป็นหลานเจ้าไม่ใช่เหรอ? คิดจะไปไหน?”
บลัดดี้หลั่งน้ำตาเมื่อถูกจักรพรรดิตำหนิ
“แล้วไงเล่า? เขาเก่งพอๆกับพี่ใหญ่นะ! ข้ากลัว”
“ไม่ได้ ขนาดเจ้ายังกลัวแล้วคิดว่าพวกเราไม่เป็นไรเหรอ? รีบหาตัวเขาให้เจอแล้วส่งเขากลับโอลิมปัส”
“ทำยังไงเหรอฝ่าบาท?” อาร์คันตาถามอย่างระมัดระวัง
“อะไรนะ?”
“ต่อให้เราหาเดนเบอร์กพบ เราไม่มีวิธีจับเขาหากเขาแข็งแกร่งเท่าคนผู้นั้น”
จักรพรรดิพูดไม่ออก
วิลเลียมช่วยคิด “ถ้าให้เผ่ากามาเอาตัวเขากลับล่ะ?”
จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นความคิดที่ดี แต่บลัดดี้หน้าเครียดลง
“เรื่องก็คือ... พวกเขาคิดว่านอกจากพี่ใหญ่แล้วไม่มีใครจับเดนเบอร์กได้”
ภายในห้องลับเงียบไปทันที พวกเขาเรียกหายนะภัยอย่างดูมสโตนมาที่จักรวรรดิไม่ได้จริงๆ
จักรพรรดิกับนายกรัฐมนตรีเริ่มทรมานจากอาการเครียดถึงขีดสุด
“เฮ้อ...ปัญหานี้ไม่สามารถจัดการได้ในทันที ตอนนี้ปิดข่าวไปก่อน”
“ฝ่าบาท แล้วออร์ฟินาล่ะ?”
“ไม่ต้องบอกนางด้วย แค่เขตแดนปีศาจนางก็ยุ่งพอแล้วไม่ควรบอกข่าวร้ายกับนาง อีกอย่างก็ใช่ว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปถ้านางมา”
“ทราบแล้ว” พวกเขาพูดพร้อมกัน จบการประชุมเท่านี้
แต่ทว่า ไม่กี่วันถัดมา พวกเขาได้ข่าวจากแม่ใหญ่คนขายข่าวว่ามีการเคลื่อนไหวจากองค์กรที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ จักรพรรดิและนายกรัฐมนตรีต้องทำงานจนแทบสลบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ว่ากันว่าความเครียดเป็นสาเหตุการตายก่อนวัยอันควรของราชาหลายๆรุ่น
แปลท่อนสุดท้ายแล้วเพลง viva la vida ผุดขึ้นในหัวเลย XD
“Oh who would ever want to be king?” – Coldplay
บทต่อไป เหตุเกิดที่เมืองหลวง มี 7 ตอนค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น