วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 24

บทที่ 24 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (1)


รถไฟหยุดและเสียงประกาศดังขึ้น

สถานีตะวันออก สถานีตะวันออก

ประตูจะเปิดเป็นเวลา 20 นาที กรุณาเดินออกด้วยความระมัดระวัง

ลิสบอนยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย

“ถึงเมืองหลวงแล้วเหรอ?”

ลิสบอนไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับผม

ที่ตู้นอนชั้นหนึ่งแพงนั้นมันมีเหตุผลอยู่ ผมแทบไม่รู้สึกแรงสั่นสะเทือนจากรถไฟเลย และภัตตาคารบนรถไฟก็ดูหรูหรากว่าที่โรงแรม อาจเพราะค่าอาหารส่วนหนึ่งรวมอยู่ในค่าตั๋วด้วย อาหารจึงไม่แพงเมื่อเทียบกับรสชาติและคุณภาพ ยังมีคาสิโนขนาดเล็กกับที่อาบน้ำ จึงไม่เกินเลยไปหากจะเรียกว่าเป็นรถไฟเที่ยวหรูหรา

ตามที่อลิซบอก คุณภาพของอาหารและบริการจะน้อยลงในชั้นรองๆลงไป ผมสงสัยว่าทำไมเธอจึงรู้มากนักทั้งๆที่ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่แล้วก็เห็นหนังสือนำเที่ยวด้วยรถไฟโผล่ออกมาจากกระเป๋าของเธอ

ผมลังเลแต่ก็ตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็น ที่ผ่านมาเธอดูระแวงไปหมด (เพราะผม) แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ท่าทางของเธอจึงดูน่ารักดีเหมาะกับวัย

เมื่อลงจากรถไฟ ผมเห็นภาพที่คนละชั้นกับหมู่บ้านอื่นๆที่ผ่านมาเลย ด้วยสถานีรถไฟอยู่บนที่สูง พวกเราจึงเห็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง

ตรงกลางเมือง ราชวังใหญ่โตงดงามอวดโฉมของมันจากด้านหลังกำแพงสูง ด้านตะวันตกมีหอคอยเวทมนตร์สูงประมาณ 20-30 ชั้น ตลาดที่อยู่ระหว่างราชวังกับสถานีรถไฟเหมือนจะส่องไฟให้ทั้งเมืองสว่างไสว

“ว้าว!” 

ลิสบอนกับอลิซก็ทึ่งกับเมืองใหญ่และมองไปรอบๆด้วยตาเป็นประกาย ท่าทางเหมือนกันเป๊ะสมเป็นพี่น้องกันจริงๆ

“ช่วยออกห่างจากราวกั้นด้วยครับ มันอันตราย”

เมื่อพนักงานประจำสถานีลนลานบอกคู่พี่น้องให้ถอยไป ป้ายที่ถูกลิสบอนบังอยู่ก็เข้าสู่สายตา

-โปรดระวัง!

ราวล้มง่าย – เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง – อย่าพิงราว

เมื่อนั้นเองคู่พี่น้องจึงเห็นป้ายและขอโทษ จากนั้นพวกเขาก็หนีออกจากสถานีรถไฟเพื่อหลบสายตาของพนักงานประจำสถานี

“ไปที่ธนาคารกันก่อนเถอะ”

เมื่ออลิซออกจากสถานีรถไฟก็ข่มความตื่นเต้นลง เธอดูจะอยากไปธนาคารทันที จะเป็นเพราะอยากคืนเงินผมทันทีหรือเพราะไม่มีเงินในมือเลยก็ไม่ทราบ น่าจะเพราะอย่างหลัง เธอดึงแผนที่ออกมาแล้วมุ่งหน้าไปทางธนาคาร

แผนที่ของอลิซวาดไว้เพียงหยาบๆ แต่มันช่วยไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาเมืองหลวง อาจจะได้แผนที่มาจากบ้านหรือระหว่างเดินทาง ที่แบบนั้นไม่มีทางหาแผนที่ของเมืองหลวงแบบละเอียดได้ ในยุคนี้ แผนที่จัดเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหาร

เมืองหลวงคือที่ๆจักรพรรดิประทับในพระราชวัง แค่ได้แผนที่แบบนี้จากหมู่บ้านห่างไกลก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แน่นอน ยกเว้นคนอย่างผมที่ได้แผนที่มาจากร้านขายข่าวใต้ดิน

“เอ๊ะ?”

จนได้ อลิซอ่านแผนที่แล้วเอียงคอ

“ตรงนี้กับตรงนี้เหมือนตรงนั้นเลย น่าจะอีกหนึ่งช่วงตึกแล้วเลี้ยวขวา”

ผมเหลือบมองแผนที่แล้วเทียบกับแผนที่ที่ผมจำไว้ก่อนหน้านี้ แล้วชี้ทางให้อลิซอย่างใจดี

อลิซหน้าแดง “ข้า ข้ารู้น่า”

เธอทำเสียงดังฮึ่มแล้วเดินหน้า

ลิสบอนยิ้มมองน้องสาว คนผ่านมาคงนึกว่าเขากำลังมองลูกสาวออกไปทำธุระแทนพ่อแม่เป็นครั้งแรก

หลังจากวนเวียนอยู่ประมาณสามครั้ง อลิซก็นำพวกเรามาถึงธนาคาร เธอเดินเข้าไปอย่างภูมิใจและตรงไปที่เคาน์เตอร์

“ขออภัยค่ะ ลูกค้ากำลังต่อแถวอยู่ กรุณาไปรับบัตรคิวที่ประตูทางเข้าได้ไหมคะ?”

“อ๊ะ...ได้”

มันเป็นธนาคารที่ทันสมัยทีเดียว อลิซหน้าแดงและรีบไปหยิบบัตรคิว เธออาจคิดว่าทำตัวเหมือนคนบ้านนอกแต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมหยิบบัตรคิวต่อจากเธอ

พวกเรานั่งตรงที่นั่งจัดไว้ข้างหน้าต่าง อลิซตรงไปที่เคาน์เตอร์เมื่อถึงคิวของเธอ เธอยื่นแผ่นโลหะขนาดใหญ่อันหนึ่งที่เคาน์เตอร์ พนักงานธนาคารรับและใช้เครื่องมือเวทบางอย่างกับมัน ไม่นาน พนักงานธนาคารก็คืนแผ่นโลหะพร้อมกับถุงใหญ่เล็กอย่างละหนึ่งถุง

แผ่นโลหะน่าจะเหมือนสมุดบัญชีธนาคาร เมื่อตั้งใจมองก็จะเห็นเวทหลายๆบทถูกร่ายเอาไว้ ดูเหมือนมันจะสามารถเชื่อมโยงกับเครื่องมือเวทเพื่อแสดงเงินในบัญชีและสามารถอัพเดทข้อมูลเงินใหม่ เป็นไปได้ว่ามันยังสามารถใช้เป็นบัตรเครดิต

อลิซกลับมาและหยิบเหรียญเงินสี่เหรียญจากถุงเล็ก

ดูจากที่ถุงแฟบไปครึ่งหนึ่ง ถุงเล็กน่าจะมีเหรียญเงินสิบเหรียญ

จากนั้นอลิซหยิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์กำหนึ่งออกมาจากถุงใหญ่

“20 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์เป็นดอกเบี้ย” อลิซหลบตาผมและกระซิบ “ขอบคุณมาก”

ผมคิดว่าเธอเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจเสียอีก แต่น่าแปลกใจที่มีด้านดีด้วย

ผมเอาเหรียญทองแดงบริสุทธิ์เข้ากระเป๋า “ขอบคุณ”

ผมไม่คิดว่าเธอจะให้ดอกเบี้ยด้วย แต่การปฏิเสธดอกเบี้ยที่เธอเป็นคนเสนอเองนั้นเป็นเรื่องที่มีแต่คนโง่อย่างลิสบอนทำ เมื่อพนักงานเรียกคิวของผม ผมก็ไปที่เคาน์เตอร์

“มาทำอะไรคะ?” พนักงานยิ้มไม่เป็นธรรมชาตินัก การยิ้มทั้งวันก็ใช้พลังงานเยอะเหมือนกัน

“เปิดบัญชีธนาคารครับ”

“ค่ะ ถ้าจะเปิดบัญชีธนาคาร ธนาคารต้องการข้อมูลส่วนตัวของท่าน อนุญาตไหมคะ?”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นขอดูบัตรประชาชนด้วยค่ะ”

ผมหยิบบัตรประชาชนออกมาอย่างกระวนกระวายใจ บัตรที่ผมใช้เป็นบัตรปลอม ไม่ใช่บัตรที่ผมได้มาจากเฮสเทีย ผมรอด้วยใจเต้นตึกตัก กลัวว่าจะถูกจับได้ ถ้าถูกจับได้ผมคงหนีหรือไม่ก็เอาบัตรจริงออกมา เพราะว่าบัตรประชาชนอีกใบของผมดูมีอำนาจมากทีเดียว พวกเขาน่าจะยอมไม่เอาความเรื่องปลอมบัตรนะ?

พนักงานรับบัตร วางในเครื่องมือเวทแล้วเคาะคีย์บอร์ด จากนั้นก็หยิบบัตรส่งคืนให้ผม

“คุณเดน มาร์ค ยืนยันตัวตนสำเร็จค่ะ การเปิดบัญชีต้องมีเงินฝากขั้นต่ำหนึ่งเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ตกลงไหมคะ?”

โชคดีที่ดูเหมือนผมจะปลอมบัตรได้สมบูรณ์แบบ ผมแอบถอนหายใจโล่งอกพลางยื่นเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ให้พนักงาน

พนักงานรับเหรียญไปและเริ่มเคาะคีย์บอร์ด แล้วยื่นป้ายโลหะที่เหมือนของอลิซให้ผม จากนั้นก็ยื่นแผ่นป้ายที่มีตัวเลขหนึ่งถึงเก้าให้

“ช่วยตั้งรหัสหกหลักด้วยค่ะ”

ผมใส่วันเกิดของผมในชาติก่อนลงไป

“ขอบคุณค่ะ เปิดบัญชีเสร็จแล้วค่ะ หากท่านต้องการฝากเงินก็แค่นำแผ่นป้ายคู่ฝากมา แต่หากต้องการถอนเงินหรือโอนเงินให้บุคคลอื่น ท่านต้องใช้บัตรประชาชนและรหัสด้วย”

“เข้าใจแล้ว”

ธนาคารพัฒนากว่าที่ผมคิด นึกไม่ถึงว่าจะโอนเงินได้ด้วย ผมคิดว่าจะปลอมตัวแล้วกลับมาเปิดอีกบัญชีเพื่อจะได้ฝากเหรียญทองคำขาวแล้วถอนเป็นเหรียญย่อยออกมา

ธนาคารไม่น่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวฉันออกไปนะ

ถึงอย่างนั้น ระวังตัวไว้จะดีกว่าเพราะผมอาจถูกตรวจสอบหากมีคนพบว่าผมมีเงินถึงขั้นเหรียญทองคำขาว เหตุผลหนึ่งก็เพราะคนที่บ้านอาจเจอผมได้

หลังจากเสร็จเรื่องธนาคาร ผมพูดกับลิสบอนและอลิซ “ในเมื่อเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว แยกย้ายกันเถอะ”

“หา?ทำไมล่ะ?ไปเดินเที่ยวตลาดกันเถอะ” ลิสบอนแปลกใจแล้วรั้งผมไว้

แต่ผมส่ายหน้า

“ไม่ล่ะ ข้ามาเมืองหลวงเพราะมีธุระต้องทำ ข้าต้องไปแล้ว”

“ทำธุระเสร็จแล้วเจ้าจะไปจากเมืองหลวงเหรอ?”

น่าแปลก คราวนี้อลิซเป็นคนถามผม

ฉันเข้าใจผิดไปหรือเปล่า เธอดูเสียใจนิดหน่อย?

“ไม่ ถ้าเป็นไปได้ข้าตั้งใจจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่ไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง”

ลิสบอนฟังผมแล้วเกิดความคิดดีๆขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นมาอยู่กับพวกเราไหมล่ะ?”

ขุ่นพระ! อยู่กับเจ้าโง่นี่ฉันอาจติดเชื้อเจ้าโง่ตายได้!

อลิซอาจมีภูมิคุ้มกันเพราะเป็นน้องสาวของเขา แต่ผมไม่มีเซลล์ต้านทานมะเร็งเจ้าโง่นะ

ผมส่ายหน้า

“ข้ารบกวนขนาดนั้นไม่ได้หรอก พวกเจ้าคงอยู่ในเมืองหลวงอีกนาน ถ้าชะตาต้องกันพวกเราคงพบกันอีก ไว้เจอกันนะ”

ผมก้มหัวน้อยๆแล้วจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ

ห้าวันที่ผ่านมานี้ ผมเรียนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของจักรวรรดิมาเกือบหมดแล้ว พูดอีกอย่างคือผมไม่ต้องการสารานุกรมลิสบอนอีกต่อไป การจากคนโง่ไปหลังจากไม่มีอะไรจะใช้ประโยชน์จากเขาแล้วเป็นพฤติกรรมที่ดีไม่ใช่เหรอ? และเป็นการร่ำลาที่ดีไม่น้อยเลย เพราะผมไม่ได้ขโมยเงินหรือข้าวของของเขาหนีไป

ผมตั้งใจฟังเผื่อพวกเขาจะตามมา แต่โชคดีที่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ทำแบบนั้น

ตอนนี้มีสามเรื่องที่ผมต้องทำ หนึ่ง ผมต้องหาบ้านอยู่, สอง หาวันสอบรับข้าราชการ, สาม เตรียมสอบ

ที่บ้านเกิดของผม เฮสเทียสะสมและศึกษาหนังสือของจักรวรรดิเกี่ยวกับกฎหมาย, การบริหารและจัดการอยู่เสมอ ในนั้นมีกล่าวถึงข้าราชการ ยกเว้นทหารที่รับสมัครทุกวัน ข้าราชการถูกคัดเลือกปีละสองครั้งช่วงหน้าหนาวกับหน้าร้อน ตอนนี้เป็นเดือนพฤษภาคม การสอบหน้าหนาวเดือนมกราคมจึงจบไปแล้วและเหลือแต่การสอบหน้าร้อนเดือนกรกฎาคม

ผมมีเวลาเหลือก่อนถึงช่วงสอบหนึ่งเดือนกว่า ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเหรียญทองคำขาวที่มีนั้นเป็นเงินมหาศาล มันทำให้ผมสงสัยว่ายังต้องเข้าสอบอีกเหรอ แต่ถึงอย่างไร ทำงานก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ

แต่หาบ้านพักก่อนดีกว่า


สารบัญ                                           บทที่ 25

 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น