วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 21

บทที่ 21 เดินทางสู่เมืองหลวง (8)


“ข้าอยากได้เครื่องครัวกับเสื้อคลุม มีดสั้น แล้วก็ มีเสื่อไหม?”

“เสื่อ? มี แต่เจ้าจะเดินทางหรือไปปิคนิคแน่?”

“ยังไงมีไว้ก็ดีอยู่แล้ว ข้ายังอยากได้เสื้อกันฝน โซ่รองเท้ากันลื่น เชือก ผ้าพันแผล เข็มกับด้าย-”

“เดี๋ยวก่อน ขอข้าจดก่อน”

คนขายเอากระดานดำอันเล็กออกมาและใช้ชอล์กจด

“กระโจมด้วย”

“กระโจมนี่ เจ้าต้องการแค่ผ้าปู เสาแล้วก็หมุดยึดใช่ไหม?”

“ถ้ามีค้อนเล็กกับเชือกบางก็เอาด้วย”

“ได้”

“เลื่อยกับพลั่ว อ้อ พลั่วขอสองเล่มนะ”

ในชาติก่อนของผม นายทหารมิลดุคเคยกล่าวว่า “มีพลั่วเพิ่มหนึ่งเล่มก็เหมือนมีชีวิตเพิ่มหนึ่งชีวิต” พลั่วมีประโยชน์แน่นอน

สมัยผมอยู่ในกองทหาร ผมใช้พลั่วตัดต้นไม้เพื่อตั้งเต็นท์ มันเป็นต้นไม้ต้นเล็กแต่ก็ยังหนาเท่าข้อมือ ผมยังเคยใช้พลั่วทุบหินแตกตอนขุดหลุมเวลาตั้งค่ายพักแรม

หลายครั้งที่ผมต้องใช้พลั่วทุบหิน ยกตัวอย่างเช่นเวลาตั้งค่ายบนหน้าผา เวลาอยู่ในพื้นที่แคบเหวี่ยงอีเต้อไม่ได้ เวลาไม่มีอีเต้อ หรือเวลามีเวลาไม่พอให้ใช้อีเต้อ พลั่วนับว่าเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์

“แค่นี้ล่ะ”

“รอเดี๋ยวนะ ข้าไปเอาของก่อน”

เขาเข้าไปในห้องเก็บของ ผ่านไปหลายพักก็กลับมาพร้อมกล่องหนึ่งใบ

“ลองดูสิ นี่เป็นของทุกอย่างที่เจ้าสั่ง”

ผมตรวจดูสิ่งของที่ผมสั่งไป ไม่เห็นรอยเสื่อมสภาพหรือข้อบกพร่องอะไร

“อืม ครบ ทั้งหมดเท่าไหร่?”

“ขอคิดก่อน... 34 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ 2 เหรียญทองแดงและ 2 เหรียญเหล็ก”

“เอาแค่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์เป็นไง? ขาดตัว”

ผมต่อราคาแผนที่เพราะมันผิดเยอะและขายไม่ดี แต่จะให้ต่อราคาของที่ไม่มีตำหนิก็ทำร้ายมโนธรรมตัวเองเกินไป

“ได้เลย” คนขายดีใจ

มันทำให้ผมสงสัยว่าเขาบอกราคาเผื่อต่อหรือเปล่า แต่ของมันถูกมากเพราะราคาแค่หนึ่งในสามของรายจ่ายต่อเดือนของครอบครัวขนาดสี่คน โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าระบบผลิตสินค้าครั้งละมากๆยังไม่มีในโลกนี้ อีกอย่าง ผมกะไว้คร่าวๆว่าราคาของน่าจะเกิน 50 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ มันจึงถูกกว่าที่คิด

ผมจ่ายเงินแล้วยกกล่องขึ้น

“ฮ้า เจ้าแข็งแรงกว่าที่เห็นนะ”

“อืม ข้าเป็นแบบนี้แหละ สวัสดี”

ออกจากร้าน ผมหาที่ลับสายตาคนและเก็บของเข้าไปในกระเป๋ามิติ จากนั้นก็เข้าร้านเสื้อผ้าเพื่อซื้อชุดมาเปลี่ยน

*** 

กลางห้องมืดแห่งหนึ่ง กลุ่มคนห้าคนนั่งรอบโต๊ะตัวใหญ่ เทียน 5 เล่มตรงหน้าพวกเขาเป็นสิ่งเดียวที่ให้แสง เก้าอี้อีก 7 ตัวและเทียนอีก 7 เล่มที่ไม่ได้จุดรอบโต๊ะใหญ่บ่งบอกว่าที่นี่เตรียมไว้เพื่อคนสิบสองคน

“คนที่มาคือ มีน พฤศจิก พฤษภ ตุล และราชสีห์ใช่ไหม?” ชายชราผมหงอกขาวพูดพร้อมหายใจแรง

เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความกดดัน แต่คนในห้องไม่สะทกสะท้าน

“ขอโทษนะ สิงห์ เจ้าเรียกตัวเองว่าราชสีห์นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

ผู้หญิงมีผมสีแดงที่หลายคนใฝ่ฝันอยากได้ ปอยผมยาวระใบหน้าด้านซ้ายขณะมองอย่างยั่วแหย่ไปที่ดวงตาสีน้ำเงินหลังหน้ากากทองของชายชรา

“หืม? พฤศจิก เจ้ากำลังยั่วยุข้าอย่างไม่จำเป็น”

ชายชราถลึงตาใส่ดวงตาสีม่วงหลังหน้ากากแดง

สิงห์กับพฤศจิกเริ่มต่อสู้กันเพื่อชิงความเหนือกว่าอันไม่มีจริง

ชายผมสั้นสีน้ำตาลใส่หน้ากากสีน้ำตาลทุบโต๊ะ “หยุด! พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรถึงส่งพลังชั่วช้าแบบนั้นออกมาในที่สูงส่งแห่งนี้?”

ชายหน้ากากน้ำตาลส่งพลังออกไปปะทะและสร้างสมดุลในพลังของทั้งสาม เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครแพ้ไป

“หืม? พฤศจิก เจ้าควรขอบคุณพฤษภ”

สิงห์เป็นคนแรกที่รั้งพลังกลับ พฤศจิกไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับพฤษภ เธอจึงรั้งพลังกลับเมื่อชายชราถอย

“คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงพูดอย่างนั้น สิงห์?” พฤศจิกกัดฟันแล้วยิ้มอย่างไม่น่าดู

สิงห์ไม่พอใจท่าทางของพฤศจิก แต่ถ้าสู้กันอีกพฤษภต้องเข้ามาขวางพวกเขาแน่

เมื่อสถานการณ์สงบลง คนในหน้ากากครึ่งขาวครึ่งดำก็พูดขึ้น ไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อ่อนวัยหรือสูงวัย

“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน”

“ตุลพูดถูก” พฤษภพยักหน้า

ตุลไม่สนใจเขาและพูดต่อ “เราคือปัจเจกบุคคลที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนกัน เช่นนั้นแล้วเรามารวมกันเพื่ออะไร?”

“เพื่อศักดิ์ศรีของข้า” สิงห์ตอบ

“เพื่อความโลภของข้า” พฤศจิกตอบ

“เพื่อความเชื่อของข้า” พฤษภตอบ

มีนเงียบ

แต่การอยู่ตรงนี้หมายถึงพวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน

“เป้าหมายของเราคืออะไร?”

ตุลถาม คราวนี้คำตอบของทุกคนเหมือนกัน

“การล่มสลายของจักรวรรดิ”

ทุกคนลุกขึ้น หยิบเทียนและเป่ามันดับ

“บูชาเทพของเรา! โปรซิท!”

***

ผมเปลี่ยนชุดที่ซื้อมาแล้วแวะเข้าไปในร้านอาหารใกล้ๆเพื่อกินมื้อเที่ยง

“หา? เดน?”

ผมประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง เมื่อหันไปก็เห็นเจ้าโง่เมื่อวานกำลังโบกมือให้ผม ผมวางแผนจะเดินทางไปอาร์คิเพลาโกเมื่อกินข้าวเสร็จ แต่โดนจับได้เสียก่อน

เจ้าโง่หน้าหล่อยิ้ม “เดน? เจ้าไปไม่ลาข้าเลย ข้าเสียใจนะ”

“อย่างน้อยเขาก็มีสามัญสำนึกที่ไม่รบกวนพวกเรามากไปกว่านี้” อลิซผู้เป็นน้องสาวบ่นพึมพำ

“อย่าพูดอย่างนั้นสิอลิซ ฮ่าๆ ขอโทษนะ เธอแค่อารมณ์ไม่ดีเพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง”

“พี่?”

อลิซถลึงตาใส่พี่ชาย แต่ลิสบอนยิ้ม “ฮ่าๆ เห็นนายเพิ่งเดินเข้าร้านมาแสดงว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงสินะ มากินด้วยกันสิ”

เมื่อถูกลิสบอนชวนผมก็มองรอบร้าน มันเลยเที่ยงไปแล้วจึงมีที่ว่างมากมาย ผมคิดจะปฏิเสธและไปร้านอื่น แต่เจ้าโง่มองผมด้วยสายตาที่เตือนให้ผมคิดถึงตอนที่เขาให้ที่พักและอาหารเย็นเมื่อวาน

หรือก็คือ เขามองผมด้วยความเวทนา พูดจริงๆแล้วมันรู้สึกไม่ดี ตอนนั้นผมไม่มีเงินแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

สงสารฉันเหรอ จะให้เงินฉันไหมล่ะ?

ตรงข้ามกับสายตาเวทนาของเจ้าโง่ น้องสาวของเขาจ้องผมเหมือนจะถามว่าจะเอาเงินของพวกเขาไปอีกแล้วเหรอ

สายตาของเธอทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะผมรับความช่วยเหลือจากพวกเขาจริงๆ ผมคิดคำปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังเดินทางไปเมืองหลวงเหมือนกัน

ว่ากันอย่างยุติธรรม ความรู้เรื่องโลกภายนอกของผมมีไม่พอเพราะเคยอยู่แต่ในบ้านนอก แม้ว่าผมจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ การเมืองและปรัชญาของจักรวรรดิทุกเล่มมาแล้ว แต่หนังสือนั้นเขียนขึ้นโดยถือว่าคนอ่านเข้าใจในประเพณีและบรรทัดฐานสังคมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่ทำความเข้าใจยากสำหรับผม

ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีของจักรวรรดิใช่ไหม? อย่างเจ้าโง่ ต่อให้ผมถามคำถามที่ใครๆก็รู้เขาก็ต้องอธิบายอย่างใจดีแน่

ผมวางเหรียญทองแดงบริสุทธิ์สองเหรียญบนโต๊ะแล้วพูด “เอางั้นเหรอ?”

เจ้าโง่มองผมงงๆ และน้องสาวของเขามองด้วยความทึ่งเมื่อผมหยิบเงินออกมา คงประหลาดใจกันมากเพราะพวกเขาคิดว่าผมเป็นขอทานจนๆ

“เจ้าเอาเงินมาจากไหน?”

เจ้าโง่มองผมงงๆ บางทีคงคิดว่าผมขโมยมา

“ข้าพกเงินติดตัวตอนออกจากบ้าน เมื่อวานข้าไม่รู้เรื่องค่าเงินเลยยังไม่กล้าใช้”

ผมใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ถามลิสบอนเรื่องราคาตลาดเมื่อวาน โชคดีที่เจ้าโง่เชื่อและถอนหายใจโล่งอก เขาเคยบอกว่าอยากเป็นอัศวินแต่ดูท่าแล้วในสมองจะมีแต่กล้ามเนื้อจริงๆ

อลิซต่างหากที่มองผมอย่างไม่ไว้ใจ

“พี่เชื่อเขาด้วยเหรอ?”

“แน่นอน! เดนเป็นเด็กดี”

เขารู้จักฉันนานแค่ไหนถึงบอกว่าฉันเป็นคนดี? ช่างเป็นเจ้าโง่จนอยากถอนหายใจให้จริงๆ แต่มันก็จริงที่ผมเป็นคนดี ผมไม่ได้ทำเป็นไม่รู้จักเขาหรือขโมยเงินเขาหนีไป

“คงไม่ดีเหมือนอาหารกับที่พักเมื่อวาน แต่วันนี้ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงเอง”

ลิสบอนจะรีบปฏิเสธ แต่เงียบไปทันทีเมื่อถูกอลิซตี

“ขอบคุณนะ”

แม้คนพี่จะเป็นเจ้าโง่ ผมก็มีหลายอย่างให้เรียนรู้จากคนน้อง ถ้าอยากเรียนเรื่องต่างถิ่น วิธีที่เร็วที่สุดคือตีสนิทกับคนท้องถิ่น

ผมมองรายการอาหารแล้วสั่ง “ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี ซุปเห็ด ขาไก่อบ พวกเจ้าสั่งไปแล้วยัง?”

“ยัง ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี ซุปมะเขือเทศกับเนยแข็ง กับสเต็กกระเทียม”

อลิซสั่งของแพงอย่างไม่ลังเล

สเต็กกระเทียมอย่างเดียวก็ 15 เบี้ย รายการอาหารของเธอรวม 23 เบี้ย มันแพงกว่ามื้อที่ผมกับลิสบอนกินเมื่อวาน

“อลิซ?”

“ทำไม? มันยังน้อยกว่าค่าเปลี่ยนห้องเดี่ยวเป็นห้องเตียงคู่เมื่อวานนะ”

“เอ่อ นั่น-”

“และด้วยงบของเรา เราสองคนกินแบบนี้ได้ไม่มีปัญหาตลอดการเดินทาง แต่เพราะพี่ชายของข้า เราต้องทนกินขนมปังข้าวสาลีทาแยม”

“ขอโทษ”

ลิสบอนก้มหัวขอโทษเหมือนละอายใจ เขาขอโทษอลิซและผมด้วย


สารบัญ                                           บทที่ 22 






วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แปลเพลง - Five Finger Death Punch - A Little Bit Off

อาทิตย์นี้งดแปลนิยายนะคะ ขอลงแปลเพลงแทนละกัน

วันพฤหัสไปฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่ 2 มา เสาร์นี้มานั่งแปล ปรากฏว่ามือซ้ายไม่มีแรงกดคีย์บอร์ดเลย แปลมือเดียวมันไม่ทันใจน่ะ >< (ไม่น่าจะทันด้วย...)

เพลงนี้เราได้ฟังครั้งแรกตอนวันก่อนวันหยุดยาว (เดือนไหนแล้วนะ เดือนที่แล้วมั้ง?) วันนั้นอารมณ์ดีมากเพราะเป็นวันทำงานวันสุดท้าย เปิดเพลงนี้วนทั้งวันเลยค่ะเพราะตรงข้ามกับความรู้สึกดี XD ตอนฟังก็บอกตัวเองว่า วันที่เอ็งจะอารมณ์ดีแบบนี้ไม่มีทุกวันหรอกนะ อีกหน่อยเอ็งจะรู้สึกแบบในเพลง (อย่างเช่นวันสุดท้ายของวันหยุดยาว) 


Five Finger Death Punch - A Little Bit Off ลิงค์เพลงในยูทูปค่ะ


I'm a little bit off today, something down inside me's different

Woke up a little off today, I can tell that something's wrong

I'm a little thrown off today, there's something going on inside me

I'm a little bit off today, a little bit off today

(I'm a little bit off today, a little bit off)


วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปกติ บางอย่างในตัวฉันไม่เหมือนเดิม

วันนี้ตื่นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ บอกได้เลยว่ามีบางอย่างผิดไป

วันนี้ฉันรู้สึกสับสนไปบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นข้างในฉัน

วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปกติ ไม่ค่อยปกติ

(วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปกติ ไม่ค่อยปกติ)


See, I'm a little bit off today, I cannot put my finger on it

Got up a little off today, just to play that same old song

I don't really wanna try today, I see nothing in my reflection

I'm a little bit dry today, feel like I could die today

Feel like I could die today


เห็นไหมล่ะ วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปกติ บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร

ลุกขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ แค่เพื่อเล่นเพลงเก่าเพลงเดิมนั้น

วันนี้ฉันไม่อยากพยายามเลยจริงๆ ฉันมองเงาของตัวแล้วไม่เห็นอะไร

วันนี้ฉันรู้สึกค่อนข้างแห้งเหือด วันนี้รู้สึกเหมือนจะตาย

วันนี้รู้สึกเหมือนจะตาย


Hey yeah, hey yeah

Hey yeah, don't ya know? (I'm a little bit off)

Hey yeah, hey yeah

Hey, you gotta let it go (I'm a little, just a little bit off)


เฮ้เย่ๆ เธอไม่รู้เหรอ? (ว่าฉันไม่ค่อยปกติ)

เฮ้เย่ๆ เธอต้องปล่อยมันไป (ฉันก็แค่ แค่ไม่ค่อยปกติ)


I'm a little pissed off today and there ain't nothing you can do about it

I'm a little put off today and I could not tell you why

Got a really short fuse today, everyone around me's fucking crazy

I'm a little ticked off today, a little pissed off today

(I'm a little bit off today)


วันนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิดและเธอช่วยอะไรไม่ได้หรอก

วันนี้ฉันรู้สึกเนือยๆและบอกไม่ได้ว่าทำไม

วันนี้ฉันมีความอดทนน้อยมาก ทุกคนรอบตัวฉันแม่งโคตรบ้า

วันนี้ฉันขี้โมโหไปหน่อย ขี้โมโหไปหน่อย

(วันนี้ฉันไม่ค่อยปกติ)


I told a little white lie today, I smiled and told someone I loved them

I had to say goodbye today to someone that I love

I couldn't even cry today, I think my heart is finally broken

Didn't need a reason why today, I don't need a reason why today


วันนี้ฉันโกหกเล็กๆไป ยิ้มและบอกคนๆนั้นว่ารัก

ฉันต้องกล่าวลากับคนๆนั้นที่ฉันรัก

วันนี้ฉันไม่อาจแม้แต่ร้องไห้ หัวใจฉันคงแหลกสลายไปจนได้

วันนี้ไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไม วันนี้ฉันไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไม


Hey yeah, hey yeah

Hey yeah, don't ya know? (I'm a little bit off)

Hey yeah, hey yeah

Hey, you gotta let it go (I'm a little, just a little bit off)


เฮ้เย่ๆ เธอไม่รู้เหรอ? (ว่าฉันไม่ค่อยปกติ)

เฮ้เย่ๆ เธอต้องปล่อยมันไป (ฉันก็แค่ แค่ไม่ค่อยปกติ)


I got a little too high today, got lost inside a sea of madness

Crashed a little bit hard today, crashed a little too hard today


วันนี้ฉันเมาหนักไปหน่อย หลงในทะเลแปรปรวน

วันนี้ถูกกระแทกพังเกินไปหน่อย ถูกกระแทกพังเกินไปหน่อย


Everybody sing

Hey yeah, hey yeah

Hey yeah, don't ya know? (I'm a little bit off)

Hey yeah, hey yeah

Hey, you gotta let it go (I'm a little, just a little bit off)

Hey, you gotta let it go (I'm a little, just a little bit off)


ทุกคนร้อง

เฮ้เย่ๆ เธอไม่รู้เหรอ? (ว่าฉันไม่ค่อยปกติ)

เฮ้เย่ๆ เธอต้องปล่อยมันไป (ฉันก็แค่ แค่ไม่ค่อยปกติ)


I'm a little bit off today

Something down inside me feels so different

Just a little bit off today

You can all fuck off today


วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยปกติ

บางอย่างในตัวฉันช่างไม่เหมือนเดิม

วันนี้ก็แค่รู้สึกไม่ค่อยปกติ

วันนี้พวกเธอไสหัวไปให้หมดได้เลย

  


วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 20

บทที่ 20 – เดินทางสู่เมืองหลวง (7)


ในพื้นที่ใต้ดินของร้านเหล้ากรันเวล หญิงคลุมหน้ากำลังครุ่นคิด

คนที่มาซื้อข้อมูลคนนั้นเป็นใครกันแน่?

เธอได้ส่งคนตามเขาไป ดังนั้นแม้จะหาคำตอบไม่ได้ว่าชายผู้มีแผลบนหน้าเป็นใคร อย่างน้อยก็น่าจะได้เบาะแสของอำนาจที่หนุนหลังเขา

ขณะเธอกำลังครุ่นคิด ชายชุดดำคนหนึ่งก็เข้ามาในที่ลับ

“ขออภัย ข้าคลาดจากเขา”

ชายคนนี้คือคนที่เธอส่งไปสะกดรอย

“เจ้าคลาดจากคนที่กำลังแบกของหนัก 500 กิโล?”

“ขออภัย”

ชายผู้ปิดบังใบหน้าก้มศีรษะและขออภัยอีกครั้ง หญิงคลุมหน้าให้อภัยเขา

“ไม่เป็นไร ข้าเผื่อใจไว้เหมือนกันเพราะเขาแบกของหนัก 500 กิโลเหมือนมันเบามาก”

หญิงคลุมหน้าแตะริมฝีปากพลางถาม “ชายที่ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งเทียบเท่าคนของเผ่าพันธุ์นักสู้ ให้คนแบบเขามาทำงานง่ายๆแบบนี้ อำนาจเบื้องหลังเขาเป็นแบบไหนกันนะ?”

หญิงคลุมหน้าคาดเดาว่าเขาไม่ใช่คนของลูกค้าคนก่อนๆของเธอ เขาใช้เหรียญทองคำขาวอย่างไม่เสียดายจึงต้องไม่ได้เคลื่อนไหวคนเดียวแต่ทำงานให้องค์กรแห่งหนึ่งแน่ ในด้านการเงิน เขาต้องเป็นอย่างน้อยระดับเคานต์

จะว่าไป เขาไม่สนใจดาบที่เอามาให้ดูเลย แต่เอาอุปกรณ์เวทมนตร์และตำราเวทจำนวนมากไปพร้อมบอกว่าจะเอาไปให้คนอื่น

ถ้าอย่างนั้นพลังของนักเวทเบื้องหลังเขาก็มองผ่านไม่ได้ ทั้งยังเป็นไปได้ว่าเขารวบรวมอาวุธไว้มากพอจนต้านทานแรงดึงดูดใจของดาบที่เธอนำมาเสนอได้

ที่แปลกที่สุดคือคนระดับนั้นมาซื้อข้อมูลซึ่งถือเป็นงานง่ายๆ มันหมายความว่าเขามีตำแหน่งไม่สูงนัก แน่นอนว่าอาจเป็นได้ว่าชายคนนั้นเป็นคนสนิทที่ได้รับความเชื่อใจและหน้าที่ของเขาคือส่งข้อมูลสำคัญให้ไปถึงผู้รับแน่นอน

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไม่ว่าข้อมูลจะสำคัญแค่ไหน หากไม่ใช่ว่าเป็นคนขายข่าวที่สำคัญเช่นเธอ คนส่งข่าวแบบเขาก็เป็นแค่ตัวหมาก แต่ตัวหมากนี้สามารถต้านทานจิตสังหารของกองกำลังอันดับหนึ่งของแม่ใหญ่และทนแรงกดดันของการใช้เหรียญทองคำขาวได้

คนแข็งแกร่งระดับเขาเป็นแค่ตัวหมาก...

เธอไม่อาจจินตนาการถึงขนาดองค์กรเบื้องหลังเขาได้เลย อาจเป็นมาร์ควิสหรือกระทั่งดยุค

“เจ้าได้วาดภาพเขาไว้หรือเปล่า?”

“วาดไว้ครับ”

“เตรียมภาพเขาที่ไม่มีหนวดกับภาพที่มีทรงผมทรงอื่นเผื่อไว้ด้วย เขามีแผลบนหน้าดังนั้นน่าจะจำได้ง่าย”

“ครับ แต่เรื่องวันนี้...”

“ข้าจะรายงานแม่ใหญ่เอง”

“หมายความว่าท่าน-”

“ใช่ ข้าจะเข้าเมืองหลวง”

***

ผมรู้ตัวว่ากำลังถูกสะกดรอยหลังออกจากร้านขายข่าว ผมสลัดเขาหลุดและคลายเวทลวงตาบนหน้าออก จากนั้นตรวจดูว่ามีคาถาติดตามบนของที่ได้มาหรือเปล่า โชคดีที่ไม่มี

ผมหาสถานที่ห่างไกลผู้คนและย้ายของจากในกระเป๋าขยายมิติไปยังกระเป๋ามิติทีละอัน ผมตั้งใจว่าจะดูของพวกนี้และข้อมูลที่ซื้อมาให้ละเอียดทีหลัง

สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือเงิน ข้อมูลที่ซื้อมาน่าจะตรงเพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงขององค์กร แต่ตรวจอีกทีดีกว่าเสียใจภายหลังล่ะนะ

ผมยังอยากใช้เงินเร็วๆด้วย

อย่างแรก ผมเอาถุงสีเหลืองและหยิบเหรียญทอง 30 เหรียญออกมา ใส่พวกมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ

จากนั้นผมเอาถุงใส่เหรียญเงินออกมา มีเหรียญเงินบริสุทธิ์ 200 เหรียญและเหรียญเงิน 500 เหรียญจึงมีถุงใส่เหรียญเยอะพอควร ถุงใส่เหรียญเงินมองปราดเดียวก็เห็นครบ ตรงกันข้าม ถุงใส่เหรียญที่ด้านล่างเยอะจนนับไม่ไหว

ถุงสีดำที่ใส่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์มีประมาณ 400 ใบ ถุงสีน้ำเงินใส่เหรียญทองแดงมี 230 ใบ ถุงสีส้มใส่เหรียญเหล็กบริสุทธิ์มี 36 ใบ และถุงสีขาวใส่เหรียญเหล็กมี 40 ใบ

ถ้าถือว่าแต่ละถุงมี 100 เหรียญแบบเดียวกับถุงใส่เหรียญเงิน ก็จะมีเหรียญทอง 30 เหรียญมูลค่ารวม 7.5 ล้านเบี้ย เหรียญเงินบริสุทธิ์ 200 เหรียญมูลค่า 5 ล้านเบี้ย และเหรียญเงิน 400 เหรียญมูลค่า 1 ล้านเบี้ย

รวมกันแล้วได้ 13.5 ล้านเบี้ย เหรียญที่เล็กกว่านี้รวมมูลค่า 1.5 ล้านเบี้ยบวกกับของที่ได้มารวมกันเป็น 15 ล้านเบี้ย

แค่นับก็เหนื่อยแล้ว

ผมเก็บกระเป๋าขยายมิติเข้าไปในกระเป๋ามิติและมุ่งหน้าไปยังตลาด

ผมออกจากโรงแรมราวๆ 6 โมงเช้า แต่ตอนนี้เลยเที่ยงไปแล้ว ตอนเช้าผมกินอะไรรองท้องไปบ้างแล้ว แต่มื้อเที่ยงผมต้องการกินให้อิ่ม

ผมตรงไปหากินมื้อเที่ยงที่ตลาด ตลาดกำลังคึกคักต่างจากเมื่อวาน เมื่อวานผมมาถึงหมู่บ้านเกือบ 6 โมงเย็น ร้านรวงนอกจากร้านอาหารก็ปิดไปเกือบหมดแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่าย 2 โมง จึงไม่เห็นร้านไหนปิด

ระหว่างทางผมสะดุดตาเข้ากับร้านขายอุปกรณ์ท่องเที่ยว อาจดูเหมือนผมซื้อของไม่รอบคอบ แต่ผมรู้สึกว่าซื้อเครื่องมือพวกนี้ไว้ก็น่าจะดีขณะคิดถึงการไล่ล่าที่เป็นมาจนถึงเมื่อวาน

“ยินดีต้อนรับ!”

ชายไว้หนวดผู้มีสันกรามค่อนไปทางเหลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อผมเดินเข้าร้าน จากนั้นก็นั่งลงอย่างอารมณ์เสีย

“ฮึ่ม เด็กเรอะ? อย่าแตะของมั่วซั่วนะไม่งั้นข้าจะเตะเจ้าออกจากร้าน”

ท่าทางเขาจะคิดว่าผมเป็นเด็กที่ฝันอยากเป็นนักผจญภัย ผมไม่ชอบใจนักแต่ปล่อยไปเพราะทำอะไรกับเรื่องหน้าอ่อนไม่ได้

ผมหยิบถุงใส่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ออกมา “ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้ามาซื้อของ เอาออกมาให้ดูหน่อย”

คนขายลุกขึ้นใหม่ “โอ้ ขอโทษ เด็กแถวนี้เคยมาลักเล็กขโมยน้อยในร้านข้า ขอโทษจริงๆแต่ท่านดูเด็กมาก มาซื้ออะไรเหรอ?”

เปลี่ยนท่าทางได้น่าทึ่งมาก อูเดียร์มาเห็นยังนับถือ

“ก่อนอื่นขอดูแผนที่”

รายละเอียดบนแผนที่ที่ผมซื้อมานั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย ในยุคสมัยนี้การพกแผนที่แบบนี้อาจถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ

“แผนที่ เดี๋ยวนะ... อ้อ อยู่นี่”

กล่องที่คนขายหยิบออกมามีฝุ่นจับเต็ม เขาเปิดกล่องเบาๆไม่ให้ฝุ่นลอยคลุ้ง

ข้างในมีแผนที่เก่าหลายแผนที่ บางอันเสื่อมจนอ่านแทบไม่ออก ส่วนอันที่สภาพดีก็มีแต่ข้อมูลในบริเวณใกล้ๆ

“กรันเวล?”

“ชื่อหมู่บ้านนี้ไงล่ะ แล้วเจ้าหนู ไม่สิน้องชาย สนใจอันไหน?”

อ้อ หมู่บ้านนี้ชื่อกรันเวล! ผมเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก

เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊นายจะเรียกฉันว่าเจ้าหนูแต่เปลี่ยนใจไปเรียกน้องชายแทนนี่หว่า
ผมเป็นผู้ใหญ่แต่อายุสิบหกถือว่าน้อยจริง แต่ในใจผมถือว่าตัวเองอายุ 40 มาถูกเรียกว่าเด็กนั้นรู้สึกไม่ดีเลย

ผมสำรวจแผนที่ เน้นหาแผนที่ที่วาดเมืองหลวงไว้

“ระยะทางจากที่นี่ถึงเมืองหลวงห่างกันเท่าไหร่?”

“เมืองหลวง? 400 กิโลเมตรได้มั้ง?”

โอ้ ผมบินไป 4 ชั่วโมงก็ถึง

“แล้วหมู่บ้านนี่ล่ะ?”

ผมชี้ไปที่หมู่บ้านใกล้กับกรันเวลที่สุด

“นั่นไม่ใช่หมู่บ้านแต่เป็นเมือง อยู่ห่างไป 10 กิโล น้องชายไม่ใช่คนแถวนี้ มิน่าข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้า”

ผมไม่ตอบและวัดระยะทางบนแผนที่ต่อ

ผมหาแผนที่ที่ระยะห่างระหว่างกรันเวลกับเมืองหลวงเป็น 40 เท่าของระยะห่างระหว่างกรันเวลกับเมืองที่ผมเพิ่งชี้ไป

แผนที่อันนี้แค่ 20 เท่า อันนี้ประมาณ 25 เท่า อันที่ใกล้เคียงที่สุดคือประมาณ 35 เท่า

“ว่าแต่ แผนที่ราคาเท่าไหร่?” ผมถาม

“อืม 12 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์”

“ดูจากสภาพกล่องแล้วแผนที่คงขายไม่ดีเท่าไหร่ ลดหน่อยไหม?” ผมถามพลางปัดฝุ่นบนกล่องออก ผมไม่อยากถูกมองเป็นพวกหลอกง่าย

“ฮึ่ม 11 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์”

“4 เหรียญ”

“ช้าก่อน แผนที่พวกนี้ทำจากหนังคุณภาพดีนะ 4 เหรียญมันน้อยไป”

“แต่มันเก่าจนข้าอ่านแทบไม่ได้ ระยะห่างของแต่ละแผนที่ก็ไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นแผนที่สภาพดี นี่มันล็อตเตอรี่ชัดๆ”

คนขายอึ้งไป

“ล็อตเตอรี่คืออะไร? แต่ก่อนอื่น ข้าบอกระยะห่างของเมืองหลวงกับเมืองที่ใกล้ที่สุดไปแล้วนี่ ก็เทียบกับมันสิ”

โอ้ เถียงได้ตรงจุด! 

ผมก็เลือกแบบนั้น

แต่ว่า...

“ระยะทางที่เจ้าบอกมันตรงจริงเหรอ? ได้วัดหรือเปล่า? ระยะทางระหว่างเมืองใกล้ๆคงถูกถ้าเจ้าเคยแวะไปที่นั่น แต่เจ้าเคยไปเมืองหลวงหรือเปล่า?”

“แน่...แน่นอน ข้าเคยไป”

โกหกแน่นอน

“กี่ครั้ง? ระหว่างไปก็วัดระยะทางไปด้วยเหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ได้พูดตามที่ฟังเขามา?”

“เอ่อ นั่น-”

“แล้วต่อให้ระยะห่างถึงเมืองหลวงจะตรง แน่ใจเหรอว่ากับหมู่บ้านอื่นจะตรงด้วย?”

“เอ่อ ข้า-”

“ห้าเหรียญ”

คนขายตอบเหมือนยอมแพ้

“สิบเหรียญ”

“หกเหรียญ”

“เก้าเหรียญ”

“หกเหรียญ”

“เฮ้ย ไม่เพิ่มให้เลยนี่หว่า! แปดเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ไม่ต้องต่อแล้ว ข้าลดไปตั้งสี่เหรียญนะ”

ผมคิดจะต่อจนเหลือเหรียญทองแดงแต่ตัดสินใจหยุดเพราะต้องซื้ออย่างอื่นด้วย

“ได้ แปดเหรียญทองแดงบริสุทธิ์”

ผมส่งเหรียญให้และรับแผนที่มา

“ต่อไป ข้าอยากดูผ้าห่มกับถุงนอน”

ผมไม่อยากตัวสั่นด้วยความหนาวขณะนอนกลางแจ้งอีกต่อไป แม้ตอนนี้ผมจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างอิสระและไม่ถูกไล่ล่าแต่อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน

“จะซื้ออีกเหรอ?”

หมายความว่ายังไงที่ว่าจะซื้ออีกเหรอ? 

หมอนี่ยังอยากขายของอยู่หรือเปล่า?

ฉันออกตัวแรงไปหรือเปล่า?

แต่ผมไม่อยากซื้อของคุณภาพต่ำในราคาแพง เนื่องจากผมต้องซื้อของอย่างอื่นด้วย มานั่งต่อทีละชิ้นก็น่ารำคาญ

“พ่อค้า ต่อทีละชิ้นมันวุ่นวาย มาต่อแบบเหมาทีเดียวเลยดีไหม?”

“เอางั้นเหรอ?”

คนขายตอบรับคำของผมอย่างยินดี

เหนื่อยเหมือนกันสินะ


สารบัญ                                      บทที่ 21




  




วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 19

บทที่ 19 – เดินทางสู่เมืองหลวง (6)


“ข้อมูลของขุนนางมีทั้งถูกมีทั้งแพง เจ้าต้องการแบบไหน?”

“เริ่มจากขุนนางที่ทำงานให้ราชวงศ์ รวมถึงขุนนางที่อาศัยในเมืองหลวงและเดินทางเข้าเมืองหลวงประจำ อ้อ ถ้าเป็นขุนนางท้องถิ่นชนบทที่มีอิทธิพลข้าก็ต้องการข้อมูลของพวกเขาเหมือนกัน”

ต่อให้เป็นขุนนางจากชนบท หากมีอิทธิพลพอตัวผมคงเอาชนะคนที่พวกเขาแนะนำมาลำบาก

“ได้ สรุปว่าเจ้าต้องการข้อมูลแบบแพง มีอย่างอื่นอีกไหม?”

“ข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์ในเมืองหลวง”

“กว้างไปนะ เจาะจงกว่านี้ได้ไหม?”

“ข้าอยากได้ข้อมูลทุกอย่าง”

เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นนักเวทชั้นหนึ่งของหมู่บ้าน ปัญหาคือเวทมนตร์ที่หมู่บ้านผมไม่ค่อยพัฒนานัก แต่ในฐานะนักเวทผมย่อมสนใจเรียนรู้เวทใหม่ๆ

“ก็ได้ แต่เยอะขนาดนั้นต้องใช้เวลาหน่อย ต้องการอะไรอีกไหม?”

“ข้าต้องการคนที่ใช้มือเก่ง”

“ใช้มือเก่ง?”

“ใช่ เก่งพอปลอมบัตรประชาชนได้”

“ปลอมบัตร? เราปลอมบัตรของสามัญชนจนถึงชั้นอัศวินได้ พอไหม?”

“บารอนขึ้นไปไม่ได้เหรอ?”

ผู้หญิงตอบผมทันที

“ไม่ได้”

“ทำไม?”

“เราปลอมตัวบัตรได้ถ้าหากระดูกของโอเกอร์หรือกระดูกปีศาจขึ้นมาได้ แต่มันจะไม่สมบูรณ์แบบเพราะเวทป้องกันการเลียนแบบที่ร่ายบนตัวบัตร พูดตรงๆนะ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวทที่ร่ายบนบัตรมีกี่อย่าง”

ผู้หญิงยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้

“เรื่องเวทมนตร์ไม่มีปัญหา ข้าจะหาทางเอง”

แค่ร่ายเวท 15 อย่างลงบนบัตรไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ผมทำเป็นควานในกระเป๋าแล้วดึงกระดูกโอเกอร์ออกมาจำนวนหนึ่ง

“โอ้ เจ้าคงมีความสามารถพอตัวถึงเอาของแพงพวกนี้ออกมาได้โดยไม่กระพริบตา ส่งมาให้พวกข้าเลยไหม? เสร็จใน 10 นาที”

“เอาไปสิ”

“ถ้ามีชื่อกับข้อมูลให้เราแกะสลักลงไปด้วยก็ได้นะ”

“ไม่ต้อง ข้าก็ไม่รู้เรื่องพวกนั้นเหมือนกัน”

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ เอาเถอะ พวกชื่อกับข้อมูลส่วนตัวนี่ผมสามารถใช้เวททำให้เหมือนมันถูกแกะสลักบนบัตรได้

“ได้ รอสักครู่ อย่างไรเสียการรวบรวมข้อมูลที่เจ้าต้องการก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว”

ครืด

ชายคนหนึ่งออกมาจากอีกด้านของประตู รับกระดูกโอเกอร์และจากไป

“ต้องการอะไรอีกไหม บอกตามตรงนะ ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดีเพราะไม่เคยเจอใครซื้อข้อมูลมากมายขนาดนี้มาก่อน ถ้ามีของที่ต้องการบอกได้นะ ข้าจะแถมให้”

ในเมื่อมีข้อเสนอ ผมก็ย่อมต้องสนอง

“ถ้าอย่างนั้น... มีเงินไหม?”

“อะไรนะ?”

ฟังคำพูดของผมแล้วเธออึ้งไป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโกรธ ดูเหมือนคิดว่าผมกำลังดูถูกหรือไม่ก็คิดว่าผมไม่มีเงินจริงๆ

คิดแล้วเหมือนจะเป็นข้อสองที่ถูก

“เพราะว่าข้าไม่มีเศษเหรียญเลย ทำไมโรงแรมถึงไม่รับเหรียญทองคำขาวนะ?”

“ฮุ?”

นายหน้าขายข่าวหัวเราะ คงคิดว่าผมเล่าเรื่องตลก

แต่มันคือความจริง

“คุณชาย กำลังอวดรวยอยู่เหรอ เป็นคนตลกดีนะ ฮิๆ”

เธอยิ้มแล้วเอาลูกคิดออกมาวางบนโต๊ะ

“เอาล่ะ มาคิดค่าใช้จ่ายก่อนข้อมูลจะมาถึงกันดีกว่า”

เธอจดจ่อกับลูกคิดอยู่หลายนาที

“ดีล่ะ ในที่สุดก็คิดเลขเสร็จ เฮ้อ ข้าไม่เคยคำนวณค่าใช้จ่ายนานขนาดนี้เลยนะ ฮิๆ”

“รวมแล้วเท่าไหร่?”

“85 ล้านเบี้ย จ่ายไหวไหม? เจ้าไม่เหมือนคนมีเหรียญทองหรือเงินมากมายขนาดนั้นอยู่กับตัว”

เสียงเธอฟังร่าเริง แต่หนักหน่วง เหมือนจะฆ่าผมตรงนั้นเลยถ้าผมไม่จ่ายทันที

“อ้อ ผ่อนจ่ายได้นะ แต่เราก็จะส่งข้อมูลแบบผ่อนเหมือนกัน”

นั่นเรียกผ่อนเรอะ

เมื่อผมล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบเหรียญ คนที่ซ่อนอยู่ในช่องลับตรงกำแพงด้านขวาก็เริ่มปล่อยแรงกดดัน

พวกเขาเหมือนจะออกมาทันทีที่ผมเอาอาวุธออกมา ว่าแต่ปล่อยแรงกดดันขนาดนี้ ไม่คิดจะซ่อนตัวกันแล้วเหรอ?

ผมหยิบเหรียญทองคำขาวออกมาสี่เหรียญแล้ววางบนโต๊ะ

ตึง!

ไม่ดังขนาดนั้นหรอก แต่มันให้ความรู้สึกหนักหน่วงกว่าเสียงอื่นใด

“ต้องการเวลาหาเงินทอนด้วยไหม?”

“-นี่คือเหรียญทองคำขาวจริงๆเหรอ?”

“จริงแท้แน่นอน”

“เหมือนของจริงจริงๆ ถ้ามันหลอกสายตาข้าได้ก็เอาไปใช้ที่อื่นได้แน่นอน”

ผู้หญิงมีผ้าคลุมหน้าปิดทั้งศีรษะ แต่ผมยังรู้สึกได้ว่าเธอกำลังมองไปที่เหรียญอย่างเหม่อลอย

“ตกลงว่าอีกนานไหมกว่าข้อมูลจะมาถึง?”

ผมให้เงินแล้ว ของก็ควรจะได้ใช่ไหม? มารยาทพื้นฐาน

“อา มาแล้ว”

ครืด

คนห้าคนถือกองเอกสารคนละปึกเข้ามา

“เอกสารเหล่านี้ 70% เกี่ยวกับเวทมนตร์ ข้าบอกแล้วว่ามันเยอะ”

มันเยอะกว่าที่ผมคาดจริงๆ แผนที่และบัตรประชาชนอยู่กองบนสุด

“รอเงินทอนสักครู่ เรากำลังรวบรวมเหรียญเท่าที่จะหาได้ของสาขานี้”

ผู้หญิงที่เคยถามว่าผมมีเงินจ่ายไหม ตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเก็บทุกเหรียญเท่าที่หาได้มาทอนผม

แบบนี้ล่ะนะที่เขาเรียกว่าเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

หลายนาทีผ่านไปประตูก็เปิดออกอีกครั้งและถุงเงินก็ถูกนำมาวางกองบนโต๊ะ 

เงินทอนคือ 15 ล้านเบี้ย เหรียญทองมีค่า 250,000 เบี้ย ดังนั้นทอนด้วยเหรียญทอง 60 เหรียญก็ได้แล้ว แต่ตรงหน้าผมมีถุงเงินเยอะเกินไป

“ไม่เยอะไปเหรอ?”

“-ขออภัย เรามีเหรียญทองแค่ 30 เหรียญ ที่เหลือต้องทอนด้วยเหรียญอื่น”

เหรียญทอง 30 เหรียญเท่ากับเหรียญเงินบริสุทธิ์ 300 เหรียญ ก็ยังเยอะไปอยู่ดี มันหนักจนโต๊ะตรงหน้าผมสั่นแล้ว

“เหรียญเงินบริสุทธิ์ถึงเหรียญทองแดงบริสุทธิ์?”

ผู้หญิงหลบตาเมื่อผมถาม

“ไม่ใช่... เหรียญเงินบริสุทธิ์ถึงเหรียญเหล็ก”

เอาทุกเหรียญที่หาได้จริงๆ

“ไม่มีเช็คเหรอ?”

“เช็ค? อ๋อ พวกพันธบัตรใช่ไหม? คติขององค์กรเราคือ ‘เงินสดสิดีที่สุด’

องค์กรระดับนี้ไม่น่าจะไม่มีการใช้เช็ค ผมสงสัยว่าเธออาจไม่มีอำนาจออกเช็ค

“แบบนี้คงไม่ต้องนับเงินทอนว่าครบไหมแล้วล่ะนะ”

“เอ่อ ที่จริงเรายังขาดอีกหนึ่งล้านสองแสน... ขอจ่ายเป็นของได้ไหมคะ?”

จู่ๆผู้หญิงก็หว่านเสน่ห์ผมเล็กน้อยและใช้คำสุภาพด้วย

องค์กรแบบนี้จ่ายเป็นของด้วยเหรอ? ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่

“ไหนบอกว่าเงินสดสิดีที่สุด?”

“เอ่อ ก็ ก็-

ท่าทางอึกอักแบบนี้แปลว่าข้อสงสัยของผมถูกต้อง ในเมื่อพวกเขาบอกตรงๆว่าเงินทอนไม่ครบผมจึงตัดสินใจไม่เอาเรื่อง

“เอาก็ได้แต่ต้องดูสภาพของก่อน”

“เย้! คุณชายดีที่สุดเลย! เอาของมา!”

คนลำเลียงของมาวางตรงหน้าผม

“ดาบนี้ราคา 20,000 เบี้ย ...ตำราเวทราคา 30,000... กระเป๋าขยายมิติ 10,000... ไม้เท้า 50,000... มีดสั้น 13,000... หอก 40,000... ลูกแก้วคริสตัล 3,000... พลอย 5,000... ผงแฟรี่ 10,000...”

ของมูลค่าสามล้านเบี้ยทยอยเข้าทยอยออกห้องเล็กๆทำให้จำกันไม่ไหว

มองภายนอก ผมทำเหมือนไม่สนใจ แต่ที่จริงผมมองของแต่ละชิ้นอย่างตั้งใจ

เทียบกับอาวุธที่สร้างโดยช่างทำอาวุธของหมู่บ้าน ของพวกนี้ก็ขยะดีๆนี่เอง ผมมีอาวุธของช่างทำอาวุธที่ว่ากองเป็นภูเขาในกระเป๋ามิติ ผมจึงไม่สนใจอาวุธพวกนี้

ของที่ผมสนใจคือเครื่องมือเวทมนตร์ที่ในหมู่บ้านไม่มีและตำราเวท

“อ้อ ข้าจะแถมกระเป๋าขยายมิติให้ ข้ารู้สึกไม่ดีที่มีปัญหาเรื่องเงินทอนกับคุณลูกค้าที่ซื้อข้อมูลมากมายแบบนี้ ข้าจะใส่เอกสารและเงินทอนไว้นะ”

กระเป๋าขยายมิติไม่ใช่ของจำเป็นเลยเพราะผมมีกระเป๋ามิติที่สะดวกกว่าอยู่แล้ว แต่ผมไม่ปฏิเสธเพราะมันเป็นของแถม

“ถ้าอย่างนั้น นี่,นี่,นี่,นี่...แล้วก็ นั่น,นั่น,นั่น,... อ้อ นั่น,นั่นด้วย,นี่ นั่นกับโน่น แค่นี้แหละ”

“ตำราเวทกับวัตถุดิบเวทมนตร์ทั้งนั้นเลย เจ้าเป็นนักเวทเหรอ?”

ถูกต้อง 

“เปล่า ข้าจะเอาไปให้คนอื่น”

ห้องแคบดูกว้างขึ้นเมื่อผมเก็บของทั้งหมดเข้ากระเป๋าขยายมิติและของที่เหลือถูกย้ายออกไป

“กระเป๋านี้เพิ่มพื้นที่เก็บของแต่ไม่เปลี่ยนน้ำหนักของ เจ้ายกไหวเหรอ?”

ผมลองยกกระเป๋าดู มันน่าจะไม่เกิน 500 กิโลกรัม ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของศพปีศาจที่ผมพาเข้าห้องก่อนออกจากบ้าน ไม่หนักเลย

เมื่อเห็นผมยกกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย ผู้หญิงก็ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้ามาจากเผ่านักสู้เหรอ? ไม่สิ เผ่ากามีผมสีดำ เผ่าผีเสื้อมีผมสีขาว เผ่ามังกรก็มีผมสีทอง”

กล่าวกันว่าโลกนี้มีดินแดนต้องห้าม 10 แห่ง และเผ่านักสู้ 7 เผ่า ในจำนวนนั้น ที่อยู่ในจักรวรรดิมี 3 เผ่า 3 ดินแดน

“น้ำหนักเท่านี้ถึงไม่ได้มาจากเผ่านักสู้ก็ยกได้ถ้าฝึก”

น่าจะจริง เพราะในจดหมาย ลุงบลัดดี้เล่าว่าลูกศิษย์ของเขาสามารถสวมเกราะหนัก 100 กิโลกรัมเล่นกายกรรมห้อยโหน

“หมดธุระแล้ว ข้าไปก่อน”

“เดี๋ยวก่อน”

“อะไร?”

“นอกจากแผนที่ที่เจ้าต้องการแล้วเรายังใส่แผนที่บอกที่อยู่ของสาขาองค์กรเราไว้ในกระเป๋าด้วย อย่าทำหายล่ะ”

“เข้าใจแล้ว”

ผมปีนบันไดแคบๆจนมาถึงร้านเหล้าเก่าโทรม สายตาจ้องมาที่ผมอีกครั้ง แต่ผมไม่สนใจ

กลายเป็นว่าคนที่อยู่ที่นี่มีส่วนร่วมช่วยขนของลงห้องใต้ดินแทบทั้งหมด ดูเหมือนทุกคนในที่นี้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ทำให้ผมสงสัยว่าอันธพาลที่พาผมมาที่นี่ก็เป็นสมาชิกเหมือนกันหรือเปล่า

อืม ไม่ใช่มั้ง? เขาอาจเป็นแค่ตัวหมากเล็กๆที่ใช้รวบรวมข้อมูล... ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับผม

ผมหยิบขวดเหล้าที่เรียงบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งขวด “ข้าเอาขวดนี้ไปแทนเบียร์ดำแล้วกัน”

ผมเอามันเพราะอยากดื่มเหล้าสักหน่อย แต่จนผมออกจากร้านเหล้าไปแล้วก็ไม่มีใครพยายามจับผม

ไม่รู้ว่าเพราะผมเป็นลูกค้าวีไอพีหรือเพราะผมกำลังแบกกระเป๋าหนัก 500 กิโลกรัมอยู่ แต่ตอนนี้ผมมีเงินและมีเหล้าแล้ว ผมอยากหาห้องพักสักห้องและดื่มให้เมาคืนนี้




สารบัญ                                         บทที่ 20


ถ้าตัดคำบรรยายของพระเอกออกไป ตอนนี้จะเข้มมากเลยนะ XD










วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 18

บทที่ 18 – เดินทางสู่เมืองหลวง (5)

ไม่ตาย หรือเปล่า?

ผมยังไม่เคยฆ่าคนนะ

“โอ๊ย”

โชคดี อันธพาลคนนั้นยังไม่ตาย ดูเหมือนเขาต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปตลอดชีวิต แต่คงไม่เป็นไรหรอกเพราะไม่ใช่ชีวิตผม

ที่ผมโล่งใจที่เขาไม่ตายก็เพราะไม่อยากรู้สึกผิด

“กล้าทำร้ายพวกเราเหรอ? พวกเรา ลุย!”

เมื่อคนหนึ่งตะโกน สามคนที่เหลือก็พุ่งใส่ผมพร้อมกัน คราวนี้ผมตั้งใจออมแรงอย่างดี

บูม!บูม!บูม!

พลาดอีกแล้ว

เวลากะแรงเพื่อถือช้อนหรือปากกาก็ทำได้ง่ายอยู่หรอก แต่มันยากกว่าเวลาพยายามจะทุบตีคน โชคดีว่าผมรู้แล้วว่าตัวเองไม่เก่งเรื่องควบคุมแรงคราวหน้าจะได้ระวังไว้มากกว่านี้

เมื่ออันธพาลสามคนลอยไปชนกับกำแพง อันธพาลคนสุดท้ายก็หวาดกลัว เขาพยายามวิ่งหนี
ผมเกือบจะใช้เวทมนตร์จับเขา แต่เปลี่ยนไปใช้มือจับด้านหลังเสื้อของเขาแทน

“อ๊า ได้โปรดเมตตาด้วย!”

ผมมองสีหน้าหวาดกลัวจนกลายเป็นสีเขียวแล้วรู้สึกสงสารจึงยิ้มปลอบ

“อี๊ก?”

มาคิดดูแล้ว หน้าผมตอนนี้เป็นของชายวัยกลางคนที่มีแผลบนหน้า ดูเหมือนรอยยิ้มของผมจะให้ผลตรงกันข้ามเพราะเขาไม่พูดหรือมองหน้าผมเลย

มารวบรัดกันเลยดีกว่า

“หัวหน้าพวกเจ้าอยู่ไหน?”

เสียงแหบห้าวดังขึ้นแทนเสียงเดิมของผม มันต่ำกว่าที่ผมคิดไว้

อันธพาลตัวสั่นและถามตะกุกตะกัก “หัว-หัว-หัวหน้าเหรอ?”

“ใช่ หัวหน้าเจ้าเป็นคนสั่งให้เล่นงานข้าใช่ไหม?”

ที่จริงผมเป็นคนหาเรื่องก่อน แต่อันธพาลผู้น่าสงสารเหล่านี้ตัวสั่นเทาเหมือนรู้ตัวว่าพวกเขาทำพลาดไปมาก

“หัวหน้า ไม่ ไม่มี...”

“อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่มีหัวหน้า ข้ารู้หมดแล้ว”

“อี๊ก?”

ที่จริง ผมไม่รู้อะไรเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมออกจากบ้านเกิด จะไปรู้เรื่องของอันธพาลในหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้อย่างไร แต่ตอนนี้ อันธพาลคนนี้ต้องบอกว่าหัวหน้าของเขาอยู่ไหนแม้หัวหน้าที่ว่าจะไม่มีตัวตน! ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงตามเพื่อนของเขา

“เอ่อ คือว่า...”

“หือ?”

“พี่ใหญ่? พี่ใหญ่รู้”

ดูเหมือนเขาตัดสินใจขายคนรู้จักแลกกับชีวิตตัวเอง เป็นการเลือกที่ฉลาดมาก

“พาข้าไปหาเขาอย่างเงียบที่สุด”

“ครับ!”

อันธพาลตัวสั่นพลางนำทางผมลึกเข้าไปในตรอก ที่หมายสุดท้ายคือร้านเหล้าที่ดูยุ่งเหยิงร้านหนึ่ง

“พี่-พี่ใหญ่อยู่ในนั้น ข้าไปก่อนล่ะ-”

อันธพาลต้องการหนีไป

ผมคิดว่าปล่อยเขาไปก็ได้เพราะเขาคงไม่รู้อะไรมากกว่านี้

ผมมองเขา เขาดูแก่กว่าผมมาก “เจ้าไปได้”

“จริงเหรอ? ขอบ-ขอบคุณ”

“แต่ ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหน ระวังตัวไว้ให้ดี”

ที่จริงมันไม่เป็นอะไรหรอกเพราะผมปลอมตัวอยู่ แต่อยากพูดเพราะมันเท่ดี

อันธพาลไม่มีชื่อวิ่งหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับ

หนีแบบนั้น ถ้าผมวิ่งตามไปแล้วหลอกให้ตกใจกลัวตอนเขาคิดว่าในที่สุดก็หนีพ้นคงสนุกดีนะ แต่ครั้งนี้ผมอดใจไม่ทำ

เมื่อเปิดประตูร้านที่เหมือนมาจากหนังคาวบอย ที่ผมเห็นคือภาพของอันธพาลหน้าตาน่ากลัวกำลังดื่มและเล่นการพนัน อาจเพราะคนแปลกหน้าเข้ามา เสียงจ้อกแจ้กจอแจจึงหายไปและสายตาหลายคู่มองมาที่ผม

ผมนึกขึ้นได้ว่าอันธพาลคนนั้นไม่ได้บอกว่าพี่ใหญ่ของเขาเป็นใคร แต่ก็นะ ผมแค่ต้องหานักปลอมแปลงเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าผมเจอเขาอีกผมจะทำให้คนแยกไม่ออกว่าเขาเป็นคนหรือกำแพง

ทางเลือกของผมตอนนี้คือขู่เข็ญเอาข้อมูลจากคนในนี้หรือแจ้งธุระของผมอย่างสงบ ผมอยากแก้ปัญหาอย่างเรียบง่ายที่สุด ผมเดินผ่านโต๊ะวางขวดเหล้าตรงไปที่ชายที่ดูเหมือนเจ้าของร้านหรืออาจเป็นลูกจ้าง

ผมนั่งตรงหน้าชายคนนั้นและสั่ง “เบียร์เย็น ไม่สิ เบียร์ดำ ถ้ามี”

“สำหรับเบียร์ดำ ข้ามีที่มาจากค่ายเขาแบมกับเขาโกลเวย์ อยากได้แบบไหน?”

เอ่อ ผมไม่รู้จักทั้งสองภูเขาที่ว่า เลือกมั่วๆแล้วกัน

“ค่ายเขาแบม”

“เลือกได้ดี โกลเวย์เหมาะกับกินกับอาหารทะเลมากกว่า ซึ่งหากินที่นี่ไม่ได้ เอาไส้กรอกเป็นกับแกล้มไหม?”

“ที่นี่ไม่มีอาหารทะเลเหรอ?”

เส้นทางไปเมืองหลวงอยู่ห่างจากชายฝั่งซึ่งแน่นอนว่าไกลทะเล แต่ผมถามเพราะไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน อีกอย่าง นี่เป็นเหล้าขวดแรกของผมในรอบสิบหกปี

ไม่สิ ผมหยุดดื่มช่วงเตรียมตัวสอบข้าราชการ มันจึงนานกว่าสิบหกปี นี่เป็นการดื่มเหล้าครั้งแรกนับจากที่ผมแอบดื่มเหล้าของพ่อและถูกลงโทษเกือบตาย

เร็วหน่อยไม่ได้เหรอครับ? 

จะว่าไป ผมลืมไปว่าไม่มีเงิน

อืม ไม่เป็นไร ที่นี่ดูเหมือนไม่ใช่ที่ๆดี ผมจะดื่มสักหน่อย รวบรวมข่าวสารแล้วหนี

“มีอยู่บ้าง ตามข้ามา”

ทันใดนั้น เขาก็เปิดประตูเล็กที่ซ่อนระหว่างขวดเหล้าและทำท่าให้ผมเข้าไป ผมประหลาดใจแต่ก็ตามเขาไปโดยไม่แสดงสีหน้าท่าทีอะไร

เขาพาผมลงไปยังชั้นใต้ดิน ระหว่างทางมีเวทมนตร์สำหรับตรวจจับ ผมจึงขัดขวางเวทมนตร์นั้น
เมื่อผมโบกมือเพื่อใช้เวทมนตร์ ชายที่นำทางผมมองมาเหมือนถามว่ากำลังทำอะไร

“ฝุ่นเยอะชะมัด ได้ทำความสะอาดบ้างหรือเปล่า?”

ทางเดินเหมือนไม่ได้รับการทำความสะอาดบ่อยเท่าไหร่ ฝุ่นจับเป็นกอง

ชายที่นำทางผมดูเขิน “แค่ก ขออภัย”

เมื่อเดินลงไปเรื่อยๆก็มาถึงประตูเล็กอีกบานหนึ่ง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

เมื่อเขาเคาะประตูด้วยจังหวะเฉพาะ มันก็เลื่อนเปิดเหมือนประตูเลื่อน

แล้วจะมีลูกบิดประตูไว้ทำไม?

ชายผู้นั้นกวักมือให้ผมเข้าไป ข้างในห้องเล็กมีโต๊ะไม้เล็กๆตัวหนึ่ง เก้าอี้ตัวหนึ่ง และผู้หญิงคลุมหน้าคนหนึ่ง

ประตูปิดเมื่อผมเข้าไปในห้อง ผู้หญิงที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะพูด “เชิญนั่ง”

ผมนั่งลงและสำรวจรอบๆ

ในห้องมีเวทมนตร์ 6 อย่าง เป็นเวทมนตร์สำหรับขัดขวางไม่ให้คนจำผู้หญิงคนนั้นได้สองอย่าง เวทมนตร์สำหรับปกป้องเธอสองอย่าง เวทมนตร์อีกอย่างเป็นการโจมตีเล็งมาที่ผม อย่างสุดท้ายใช้ปิดบังคนที่ซ่อนอยู่ด้านขวาของกำแพง

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ

“ไหนเบียร์”

ไม่เห็นมีเบียร์เลย ผมคาดหวังกับมันสูงมาก

“ฮึ เจ้าจะบอกว่าที่มาถึงที่นี่เพราะความบังเอิญเหรอ? แก้ตัวได้ตลกดี”

พูดอะไรของเค้าฟะ?

“ถ้าเจ้าอยากจะถอยก็ควรทำแต่แรก ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง แม้แต่ระบบทำความเย็นยังไม่มีแล้วเจ้าจะหาเบียร์เย็นกับอาหารทะเลได้อย่างไร? ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รหัสผ่านมาจากที่ไหน แต่ขอชมที่หลบสายตาของแม่ใหญ่และมาถึงที่นี่ได้”

ฟังคำของเธอแล้วผมสะดุ้งแต่ไม่แสดงออก

มาวิเคราะห์สถานการณ์ตอนนี้ก่อน

ผมเจอร้านเหล้านี้ระหว่างเสาะหาผู้เชี่ยวชาญปลอมบัตรประชาชนให้ผม ผมสั่งเบียร์เพราะอยู่ในร้านเหล้า แต่จู่ๆก็มีแม่ใหญ่โผล่มา?

แล้วสิ่งที่ผมสั่งก็กลายเป็นรหัสผ่านและผมมาอยู่ตรงนี้ สั่งเบียร์เย็นคือรหัสผ่าน รหัสผ่านบ้านไหนฟะ?

มาคิดอีกที ที่นี่เป็นร้านเหล้าโทรมๆในตรอกไม่ใช่บ้านขุนนาง ที่ไม่มีระบบทำความเย็นก็สมเหตุสมผลอยู่

“เจ้ามาที่นี่คงเพราะมีข้อมูลที่ต้องการซื้อ อยากได้อะไรล่ะ?”

มองข้ามเหตุผลจริงที่ผมมาที่นี่ไปก่อน ดูเหมือนจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ข้อมูลที่ผมกำลังต้องการมาก

เอาล่ะ ถือโอกาสนี้เอาทุกอย่างที่จำเป็นเลยแล้วกัน

“อย่างแรก ข้าต้องการแผนที่”

“แผนที่ของแถบไหน? ต้องการแบบละเอียดขั้นไหน?”

“แผนที่ของเมืองหลวงและทั้งจักรวรรดิ เรื่องรายละเอียด... สำหรับเมืองหลวง ข้าต้องการแผนที่ที่อย่างน้อยต้องมีข้อมูลของเมือง ถนนหลักทุกสาย และสถานที่ราชการที่สำคัญ สำหรับจักรวรรดิ ข้อมูลที่ตั้งของแต่ละเมืองก็ดี หรือถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ข้อมูลของเมืองใหญ่แต่ละแห่ง”

“เจ้ากำลังเรียกร้องของแพงทีเดียวนะ ต้องการมันไปเพื่ออะไร?”

เพื่อให้รู้ว่าผมกำลังอยู่ตรงไหนและภูมิศาสตร์ของพื้นที่ๆผมจะไปอยู่ในอนาคต

“มีเหตุผลที่เจ้าต้องรู้ด้วยเหรอ?”

“ไม่มี เจ้าต้องมีคนหนุนหลังที่ใหญ่พอตัวแน่ๆ” ผู้หญิงพูดกลั้วหัวเราะ

ผมยักไหล่เพราะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร

“ได้ เราจะเตรียมให้ อย่างอื่นล่ะ?”

“ข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพของจักรวรรดิ”

“กองทัพจักรวรรดิ?”

“พูดอย่างเจาะจงคือ ข้อมูลของบลัดดี้ เบลด ข้าต้องการรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน หน่วยที่ขึ้นตรงกับเขา และจำนวนทหารที่เขาสามารถเรียกมาได้”

ผมต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพราะไม่รู้ว่าเขาจะใช้กองทัพนั่นมาจับผมเมื่อไหร่

“-คราวนี้เจ้าต้องการข้อมูลที่แพงมากและอันตรายมาก เจ้าขอข้อมูลนี้ทั้งๆที่รู้ใช่ไหมว่านายพลบลัดดี้มาจากเผ่ากาแห่งโอลิมปัสในตำนาน?”

ผมพยักหน้า รู้สิ เขาเป็นคนในครอบครัวของผม!

“เจ้าต้องการข้อมูลของทหารใต้บัญชาการของเขาหนึ่งล้านคน ซึ่งก็คือทั้งกองทัพของจักรวรรดินั่นเอง?”

พระเจ้า! ผมได้ยินว่าลุงกำลังไปได้สวยในกองทัพจักรวรรดิ แต่ถึงขั้นเคลื่อนไหวได้ทั้งกองทัพเลย

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

“ข้าไม่ต้องการข้อมูลของทั้งกองทัพ เอาแค่คนสนิทของเขาและทหารระดับอัศวินขึ้นไปก็พอ”

“มันก็ยังเป็นข้อมูลที่อันตรายอยู่ดี”

“จะบอกว่าไม่ขาย?”

ผู้หญิงยิ้ม “ไม่ เราจะขาย แต่เจ้าต้องเตรียมตัวไว้เพราะมันแพงมาก”

ผมไม่แน่ใจว่าจะจ่ายได้ไหมเพราะผมมีแค่เหรียญทองคำขาว ถ้าพวกเขาบอกว่าไม่พอ ผมว่าจะเอาข้อมูลหนีไปเลย

“ต้องการข้อมูลอื่นอีกไหม? ข้าไม่รู้ว่าใครหนุนหลังเจ้า แต่ต้องจ่ายก่อนนะ ถ้าจ่ายตรงนี้ไม่ได้ก็เตรียมใจไว้ด้วย”

ผมรู้สึกถึงรังสีอันตรายรอบๆ ในเมื่อผมตกอยู่ในอันตรายแล้ว เอาข้อมูลมาให้มากที่สุดดีกว่า

“ข้าต้องการรู้ราคาตลาดในเมืองหลวง”

“ราคาตลาด จู่ๆก็ขอข้อมูลราคาถูก ได้ เราจะให้เป็นของแถมถ้าเจ้าจ่ายค่าข้อมูลอื่นได้”

เย้ ของฟรี!

ถึงอย่างนั้นผมก็ยังลังเลว่าจะจ่ายดีไหม

“ข้ายังต้องการข้อมูลของพวกขุนนาง”

ถ้าเกิดมีใครไม่ชอบหน้าผมขึ้นมา ชีวิตข้าราชการของผมคงลำบาก ด้วยเหตุนี้การมีข้อมูลของคนที่ผมอาจพบในอนาคตไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ


สารบัญ                                           บทที่ 19