วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 21

บทที่ 21 เดินทางสู่เมืองหลวง (8)


“ข้าอยากได้เครื่องครัวกับเสื้อคลุม มีดสั้น แล้วก็ มีเสื่อไหม?”

“เสื่อ? มี แต่เจ้าจะเดินทางหรือไปปิคนิคแน่?”

“ยังไงมีไว้ก็ดีอยู่แล้ว ข้ายังอยากได้เสื้อกันฝน โซ่รองเท้ากันลื่น เชือก ผ้าพันแผล เข็มกับด้าย-”

“เดี๋ยวก่อน ขอข้าจดก่อน”

คนขายเอากระดานดำอันเล็กออกมาและใช้ชอล์กจด

“กระโจมด้วย”

“กระโจมนี่ เจ้าต้องการแค่ผ้าปู เสาแล้วก็หมุดยึดใช่ไหม?”

“ถ้ามีค้อนเล็กกับเชือกบางก็เอาด้วย”

“ได้”

“เลื่อยกับพลั่ว อ้อ พลั่วขอสองเล่มนะ”

ในชาติก่อนของผม นายทหารมิลดุคเคยกล่าวว่า “มีพลั่วเพิ่มหนึ่งเล่มก็เหมือนมีชีวิตเพิ่มหนึ่งชีวิต” พลั่วมีประโยชน์แน่นอน

สมัยผมอยู่ในกองทหาร ผมใช้พลั่วตัดต้นไม้เพื่อตั้งเต็นท์ มันเป็นต้นไม้ต้นเล็กแต่ก็ยังหนาเท่าข้อมือ ผมยังเคยใช้พลั่วทุบหินแตกตอนขุดหลุมเวลาตั้งค่ายพักแรม

หลายครั้งที่ผมต้องใช้พลั่วทุบหิน ยกตัวอย่างเช่นเวลาตั้งค่ายบนหน้าผา เวลาอยู่ในพื้นที่แคบเหวี่ยงอีเต้อไม่ได้ เวลาไม่มีอีเต้อ หรือเวลามีเวลาไม่พอให้ใช้อีเต้อ พลั่วนับว่าเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์

“แค่นี้ล่ะ”

“รอเดี๋ยวนะ ข้าไปเอาของก่อน”

เขาเข้าไปในห้องเก็บของ ผ่านไปหลายพักก็กลับมาพร้อมกล่องหนึ่งใบ

“ลองดูสิ นี่เป็นของทุกอย่างที่เจ้าสั่ง”

ผมตรวจดูสิ่งของที่ผมสั่งไป ไม่เห็นรอยเสื่อมสภาพหรือข้อบกพร่องอะไร

“อืม ครบ ทั้งหมดเท่าไหร่?”

“ขอคิดก่อน... 34 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ 2 เหรียญทองแดงและ 2 เหรียญเหล็ก”

“เอาแค่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์เป็นไง? ขาดตัว”

ผมต่อราคาแผนที่เพราะมันผิดเยอะและขายไม่ดี แต่จะให้ต่อราคาของที่ไม่มีตำหนิก็ทำร้ายมโนธรรมตัวเองเกินไป

“ได้เลย” คนขายดีใจ

มันทำให้ผมสงสัยว่าเขาบอกราคาเผื่อต่อหรือเปล่า แต่ของมันถูกมากเพราะราคาแค่หนึ่งในสามของรายจ่ายต่อเดือนของครอบครัวขนาดสี่คน โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าระบบผลิตสินค้าครั้งละมากๆยังไม่มีในโลกนี้ อีกอย่าง ผมกะไว้คร่าวๆว่าราคาของน่าจะเกิน 50 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ มันจึงถูกกว่าที่คิด

ผมจ่ายเงินแล้วยกกล่องขึ้น

“ฮ้า เจ้าแข็งแรงกว่าที่เห็นนะ”

“อืม ข้าเป็นแบบนี้แหละ สวัสดี”

ออกจากร้าน ผมหาที่ลับสายตาคนและเก็บของเข้าไปในกระเป๋ามิติ จากนั้นก็เข้าร้านเสื้อผ้าเพื่อซื้อชุดมาเปลี่ยน

*** 

กลางห้องมืดแห่งหนึ่ง กลุ่มคนห้าคนนั่งรอบโต๊ะตัวใหญ่ เทียน 5 เล่มตรงหน้าพวกเขาเป็นสิ่งเดียวที่ให้แสง เก้าอี้อีก 7 ตัวและเทียนอีก 7 เล่มที่ไม่ได้จุดรอบโต๊ะใหญ่บ่งบอกว่าที่นี่เตรียมไว้เพื่อคนสิบสองคน

“คนที่มาคือ มีน พฤศจิก พฤษภ ตุล และราชสีห์ใช่ไหม?” ชายชราผมหงอกขาวพูดพร้อมหายใจแรง

เสียงของชายชราเต็มไปด้วยความกดดัน แต่คนในห้องไม่สะทกสะท้าน

“ขอโทษนะ สิงห์ เจ้าเรียกตัวเองว่าราชสีห์นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

ผู้หญิงมีผมสีแดงที่หลายคนใฝ่ฝันอยากได้ ปอยผมยาวระใบหน้าด้านซ้ายขณะมองอย่างยั่วแหย่ไปที่ดวงตาสีน้ำเงินหลังหน้ากากทองของชายชรา

“หืม? พฤศจิก เจ้ากำลังยั่วยุข้าอย่างไม่จำเป็น”

ชายชราถลึงตาใส่ดวงตาสีม่วงหลังหน้ากากแดง

สิงห์กับพฤศจิกเริ่มต่อสู้กันเพื่อชิงความเหนือกว่าอันไม่มีจริง

ชายผมสั้นสีน้ำตาลใส่หน้ากากสีน้ำตาลทุบโต๊ะ “หยุด! พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรถึงส่งพลังชั่วช้าแบบนั้นออกมาในที่สูงส่งแห่งนี้?”

ชายหน้ากากน้ำตาลส่งพลังออกไปปะทะและสร้างสมดุลในพลังของทั้งสาม เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครแพ้ไป

“หืม? พฤศจิก เจ้าควรขอบคุณพฤษภ”

สิงห์เป็นคนแรกที่รั้งพลังกลับ พฤศจิกไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับพฤษภ เธอจึงรั้งพลังกลับเมื่อชายชราถอย

“คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงพูดอย่างนั้น สิงห์?” พฤศจิกกัดฟันแล้วยิ้มอย่างไม่น่าดู

สิงห์ไม่พอใจท่าทางของพฤศจิก แต่ถ้าสู้กันอีกพฤษภต้องเข้ามาขวางพวกเขาแน่

เมื่อสถานการณ์สงบลง คนในหน้ากากครึ่งขาวครึ่งดำก็พูดขึ้น ไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อ่อนวัยหรือสูงวัย

“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน”

“ตุลพูดถูก” พฤษภพยักหน้า

ตุลไม่สนใจเขาและพูดต่อ “เราคือปัจเจกบุคคลที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนกัน เช่นนั้นแล้วเรามารวมกันเพื่ออะไร?”

“เพื่อศักดิ์ศรีของข้า” สิงห์ตอบ

“เพื่อความโลภของข้า” พฤศจิกตอบ

“เพื่อความเชื่อของข้า” พฤษภตอบ

มีนเงียบ

แต่การอยู่ตรงนี้หมายถึงพวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน

“เป้าหมายของเราคืออะไร?”

ตุลถาม คราวนี้คำตอบของทุกคนเหมือนกัน

“การล่มสลายของจักรวรรดิ”

ทุกคนลุกขึ้น หยิบเทียนและเป่ามันดับ

“บูชาเทพของเรา! โปรซิท!”

***

ผมเปลี่ยนชุดที่ซื้อมาแล้วแวะเข้าไปในร้านอาหารใกล้ๆเพื่อกินมื้อเที่ยง

“หา? เดน?”

ผมประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง เมื่อหันไปก็เห็นเจ้าโง่เมื่อวานกำลังโบกมือให้ผม ผมวางแผนจะเดินทางไปอาร์คิเพลาโกเมื่อกินข้าวเสร็จ แต่โดนจับได้เสียก่อน

เจ้าโง่หน้าหล่อยิ้ม “เดน? เจ้าไปไม่ลาข้าเลย ข้าเสียใจนะ”

“อย่างน้อยเขาก็มีสามัญสำนึกที่ไม่รบกวนพวกเรามากไปกว่านี้” อลิซผู้เป็นน้องสาวบ่นพึมพำ

“อย่าพูดอย่างนั้นสิอลิซ ฮ่าๆ ขอโทษนะ เธอแค่อารมณ์ไม่ดีเพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง”

“พี่?”

อลิซถลึงตาใส่พี่ชาย แต่ลิสบอนยิ้ม “ฮ่าๆ เห็นนายเพิ่งเดินเข้าร้านมาแสดงว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงสินะ มากินด้วยกันสิ”

เมื่อถูกลิสบอนชวนผมก็มองรอบร้าน มันเลยเที่ยงไปแล้วจึงมีที่ว่างมากมาย ผมคิดจะปฏิเสธและไปร้านอื่น แต่เจ้าโง่มองผมด้วยสายตาที่เตือนให้ผมคิดถึงตอนที่เขาให้ที่พักและอาหารเย็นเมื่อวาน

หรือก็คือ เขามองผมด้วยความเวทนา พูดจริงๆแล้วมันรู้สึกไม่ดี ตอนนั้นผมไม่มีเงินแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

สงสารฉันเหรอ จะให้เงินฉันไหมล่ะ?

ตรงข้ามกับสายตาเวทนาของเจ้าโง่ น้องสาวของเขาจ้องผมเหมือนจะถามว่าจะเอาเงินของพวกเขาไปอีกแล้วเหรอ

สายตาของเธอทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะผมรับความช่วยเหลือจากพวกเขาจริงๆ ผมคิดคำปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังเดินทางไปเมืองหลวงเหมือนกัน

ว่ากันอย่างยุติธรรม ความรู้เรื่องโลกภายนอกของผมมีไม่พอเพราะเคยอยู่แต่ในบ้านนอก แม้ว่าผมจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ การเมืองและปรัชญาของจักรวรรดิทุกเล่มมาแล้ว แต่หนังสือนั้นเขียนขึ้นโดยถือว่าคนอ่านเข้าใจในประเพณีและบรรทัดฐานสังคมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีหลายอย่างที่ทำความเข้าใจยากสำหรับผม

ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีของจักรวรรดิใช่ไหม? อย่างเจ้าโง่ ต่อให้ผมถามคำถามที่ใครๆก็รู้เขาก็ต้องอธิบายอย่างใจดีแน่

ผมวางเหรียญทองแดงบริสุทธิ์สองเหรียญบนโต๊ะแล้วพูด “เอางั้นเหรอ?”

เจ้าโง่มองผมงงๆ และน้องสาวของเขามองด้วยความทึ่งเมื่อผมหยิบเงินออกมา คงประหลาดใจกันมากเพราะพวกเขาคิดว่าผมเป็นขอทานจนๆ

“เจ้าเอาเงินมาจากไหน?”

เจ้าโง่มองผมงงๆ บางทีคงคิดว่าผมขโมยมา

“ข้าพกเงินติดตัวตอนออกจากบ้าน เมื่อวานข้าไม่รู้เรื่องค่าเงินเลยยังไม่กล้าใช้”

ผมใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ถามลิสบอนเรื่องราคาตลาดเมื่อวาน โชคดีที่เจ้าโง่เชื่อและถอนหายใจโล่งอก เขาเคยบอกว่าอยากเป็นอัศวินแต่ดูท่าแล้วในสมองจะมีแต่กล้ามเนื้อจริงๆ

อลิซต่างหากที่มองผมอย่างไม่ไว้ใจ

“พี่เชื่อเขาด้วยเหรอ?”

“แน่นอน! เดนเป็นเด็กดี”

เขารู้จักฉันนานแค่ไหนถึงบอกว่าฉันเป็นคนดี? ช่างเป็นเจ้าโง่จนอยากถอนหายใจให้จริงๆ แต่มันก็จริงที่ผมเป็นคนดี ผมไม่ได้ทำเป็นไม่รู้จักเขาหรือขโมยเงินเขาหนีไป

“คงไม่ดีเหมือนอาหารกับที่พักเมื่อวาน แต่วันนี้ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงเอง”

ลิสบอนจะรีบปฏิเสธ แต่เงียบไปทันทีเมื่อถูกอลิซตี

“ขอบคุณนะ”

แม้คนพี่จะเป็นเจ้าโง่ ผมก็มีหลายอย่างให้เรียนรู้จากคนน้อง ถ้าอยากเรียนเรื่องต่างถิ่น วิธีที่เร็วที่สุดคือตีสนิทกับคนท้องถิ่น

ผมมองรายการอาหารแล้วสั่ง “ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี ซุปเห็ด ขาไก่อบ พวกเจ้าสั่งไปแล้วยัง?”

“ยัง ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี ซุปมะเขือเทศกับเนยแข็ง กับสเต็กกระเทียม”

อลิซสั่งของแพงอย่างไม่ลังเล

สเต็กกระเทียมอย่างเดียวก็ 15 เบี้ย รายการอาหารของเธอรวม 23 เบี้ย มันแพงกว่ามื้อที่ผมกับลิสบอนกินเมื่อวาน

“อลิซ?”

“ทำไม? มันยังน้อยกว่าค่าเปลี่ยนห้องเดี่ยวเป็นห้องเตียงคู่เมื่อวานนะ”

“เอ่อ นั่น-”

“และด้วยงบของเรา เราสองคนกินแบบนี้ได้ไม่มีปัญหาตลอดการเดินทาง แต่เพราะพี่ชายของข้า เราต้องทนกินขนมปังข้าวสาลีทาแยม”

“ขอโทษ”

ลิสบอนก้มหัวขอโทษเหมือนละอายใจ เขาขอโทษอลิซและผมด้วย


สารบัญ                                           บทที่ 22 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น