บทที่ 20 – เดินทางสู่เมืองหลวง (7)
ในพื้นที่ใต้ดินของร้านเหล้ากรันเวล หญิงคลุมหน้ากำลังครุ่นคิด
คนที่มาซื้อข้อมูลคนนั้นเป็นใครกันแน่?
เธอได้ส่งคนตามเขาไป ดังนั้นแม้จะหาคำตอบไม่ได้ว่าชายผู้มีแผลบนหน้าเป็นใคร อย่างน้อยก็น่าจะได้เบาะแสของอำนาจที่หนุนหลังเขา
ขณะเธอกำลังครุ่นคิด ชายชุดดำคนหนึ่งก็เข้ามาในที่ลับ
“ขออภัย ข้าคลาดจากเขา”
ชายคนนี้คือคนที่เธอส่งไปสะกดรอย
“เจ้าคลาดจากคนที่กำลังแบกของหนัก 500 กิโล?”
“ขออภัย”
ชายผู้ปิดบังใบหน้าก้มศีรษะและขออภัยอีกครั้ง หญิงคลุมหน้าให้อภัยเขา
“ไม่เป็นไร ข้าเผื่อใจไว้เหมือนกันเพราะเขาแบกของหนัก 500 กิโลเหมือนมันเบามาก”
หญิงคลุมหน้าแตะริมฝีปากพลางถาม “ชายที่ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งเทียบเท่าคนของเผ่าพันธุ์นักสู้ ให้คนแบบเขามาทำงานง่ายๆแบบนี้ อำนาจเบื้องหลังเขาเป็นแบบไหนกันนะ?”
หญิงคลุมหน้าคาดเดาว่าเขาไม่ใช่คนของลูกค้าคนก่อนๆของเธอ เขาใช้เหรียญทองคำขาวอย่างไม่เสียดายจึงต้องไม่ได้เคลื่อนไหวคนเดียวแต่ทำงานให้องค์กรแห่งหนึ่งแน่ ในด้านการเงิน เขาต้องเป็นอย่างน้อยระดับเคานต์
จะว่าไป เขาไม่สนใจดาบที่เอามาให้ดูเลย แต่เอาอุปกรณ์เวทมนตร์และตำราเวทจำนวนมากไปพร้อมบอกว่าจะเอาไปให้คนอื่น
ถ้าอย่างนั้นพลังของนักเวทเบื้องหลังเขาก็มองผ่านไม่ได้ ทั้งยังเป็นไปได้ว่าเขารวบรวมอาวุธไว้มากพอจนต้านทานแรงดึงดูดใจของดาบที่เธอนำมาเสนอได้
ที่แปลกที่สุดคือคนระดับนั้นมาซื้อข้อมูลซึ่งถือเป็นงานง่ายๆ มันหมายความว่าเขามีตำแหน่งไม่สูงนัก แน่นอนว่าอาจเป็นได้ว่าชายคนนั้นเป็นคนสนิทที่ได้รับความเชื่อใจและหน้าที่ของเขาคือส่งข้อมูลสำคัญให้ไปถึงผู้รับแน่นอน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไม่ว่าข้อมูลจะสำคัญแค่ไหน หากไม่ใช่ว่าเป็นคนขายข่าวที่สำคัญเช่นเธอ คนส่งข่าวแบบเขาก็เป็นแค่ตัวหมาก แต่ตัวหมากนี้สามารถต้านทานจิตสังหารของกองกำลังอันดับหนึ่งของแม่ใหญ่และทนแรงกดดันของการใช้เหรียญทองคำขาวได้
คนแข็งแกร่งระดับเขาเป็นแค่ตัวหมาก...
เธอไม่อาจจินตนาการถึงขนาดองค์กรเบื้องหลังเขาได้เลย อาจเป็นมาร์ควิสหรือกระทั่งดยุค
“เจ้าได้วาดภาพเขาไว้หรือเปล่า?”
“วาดไว้ครับ”
“เตรียมภาพเขาที่ไม่มีหนวดกับภาพที่มีทรงผมทรงอื่นเผื่อไว้ด้วย เขามีแผลบนหน้าดังนั้นน่าจะจำได้ง่าย”
“ครับ แต่เรื่องวันนี้...”
“ข้าจะรายงานแม่ใหญ่เอง”
“หมายความว่าท่าน-”
“ใช่ ข้าจะเข้าเมืองหลวง”
***
ผมรู้ตัวว่ากำลังถูกสะกดรอยหลังออกจากร้านขายข่าว ผมสลัดเขาหลุดและคลายเวทลวงตาบนหน้าออก จากนั้นตรวจดูว่ามีคาถาติดตามบนของที่ได้มาหรือเปล่า โชคดีที่ไม่มี
ผมหาสถานที่ห่างไกลผู้คนและย้ายของจากในกระเป๋าขยายมิติไปยังกระเป๋ามิติทีละอัน ผมตั้งใจว่าจะดูของพวกนี้และข้อมูลที่ซื้อมาให้ละเอียดทีหลัง
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือเงิน ข้อมูลที่ซื้อมาน่าจะตรงเพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงขององค์กร แต่ตรวจอีกทีดีกว่าเสียใจภายหลังล่ะนะ
ผมยังอยากใช้เงินเร็วๆด้วย
อย่างแรก ผมเอาถุงสีเหลืองและหยิบเหรียญทอง 30 เหรียญออกมา ใส่พวกมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ
จากนั้นผมเอาถุงใส่เหรียญเงินออกมา มีเหรียญเงินบริสุทธิ์ 200 เหรียญและเหรียญเงิน 500 เหรียญจึงมีถุงใส่เหรียญเยอะพอควร ถุงใส่เหรียญเงินมองปราดเดียวก็เห็นครบ ตรงกันข้าม ถุงใส่เหรียญที่ด้านล่างเยอะจนนับไม่ไหว
ถุงสีดำที่ใส่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์มีประมาณ 400 ใบ ถุงสีน้ำเงินใส่เหรียญทองแดงมี 230 ใบ ถุงสีส้มใส่เหรียญเหล็กบริสุทธิ์มี 36 ใบ และถุงสีขาวใส่เหรียญเหล็กมี 40 ใบ
ถ้าถือว่าแต่ละถุงมี 100 เหรียญแบบเดียวกับถุงใส่เหรียญเงิน ก็จะมีเหรียญทอง 30 เหรียญมูลค่ารวม 7.5 ล้านเบี้ย เหรียญเงินบริสุทธิ์ 200 เหรียญมูลค่า 5 ล้านเบี้ย และเหรียญเงิน 400 เหรียญมูลค่า 1 ล้านเบี้ย
รวมกันแล้วได้ 13.5 ล้านเบี้ย เหรียญที่เล็กกว่านี้รวมมูลค่า 1.5 ล้านเบี้ยบวกกับของที่ได้มารวมกันเป็น 15 ล้านเบี้ย
แค่นับก็เหนื่อยแล้ว
ผมเก็บกระเป๋าขยายมิติเข้าไปในกระเป๋ามิติและมุ่งหน้าไปยังตลาด
ผมออกจากโรงแรมราวๆ 6 โมงเช้า แต่ตอนนี้เลยเที่ยงไปแล้ว ตอนเช้าผมกินอะไรรองท้องไปบ้างแล้ว แต่มื้อเที่ยงผมต้องการกินให้อิ่ม
ผมตรงไปหากินมื้อเที่ยงที่ตลาด ตลาดกำลังคึกคักต่างจากเมื่อวาน เมื่อวานผมมาถึงหมู่บ้านเกือบ 6 โมงเย็น ร้านรวงนอกจากร้านอาหารก็ปิดไปเกือบหมดแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่าย 2 โมง จึงไม่เห็นร้านไหนปิด
ระหว่างทางผมสะดุดตาเข้ากับร้านขายอุปกรณ์ท่องเที่ยว อาจดูเหมือนผมซื้อของไม่รอบคอบ แต่ผมรู้สึกว่าซื้อเครื่องมือพวกนี้ไว้ก็น่าจะดีขณะคิดถึงการไล่ล่าที่เป็นมาจนถึงเมื่อวาน
“ยินดีต้อนรับ!”
ชายไว้หนวดผู้มีสันกรามค่อนไปทางเหลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อผมเดินเข้าร้าน จากนั้นก็นั่งลงอย่างอารมณ์เสีย
“ฮึ่ม เด็กเรอะ? อย่าแตะของมั่วซั่วนะไม่งั้นข้าจะเตะเจ้าออกจากร้าน”
ท่าทางเขาจะคิดว่าผมเป็นเด็กที่ฝันอยากเป็นนักผจญภัย ผมไม่ชอบใจนักแต่ปล่อยไปเพราะทำอะไรกับเรื่องหน้าอ่อนไม่ได้
ผมหยิบถุงใส่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ออกมา “ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้ามาซื้อของ เอาออกมาให้ดูหน่อย”
คนขายลุกขึ้นใหม่ “โอ้ ขอโทษ เด็กแถวนี้เคยมาลักเล็กขโมยน้อยในร้านข้า ขอโทษจริงๆแต่ท่านดูเด็กมาก มาซื้ออะไรเหรอ?”
เปลี่ยนท่าทางได้น่าทึ่งมาก อูเดียร์มาเห็นยังนับถือ
“ก่อนอื่นขอดูแผนที่”
รายละเอียดบนแผนที่ที่ผมซื้อมานั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย ในยุคสมัยนี้การพกแผนที่แบบนี้อาจถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ
“แผนที่ เดี๋ยวนะ... อ้อ อยู่นี่”
กล่องที่คนขายหยิบออกมามีฝุ่นจับเต็ม เขาเปิดกล่องเบาๆไม่ให้ฝุ่นลอยคลุ้ง
ข้างในมีแผนที่เก่าหลายแผนที่ บางอันเสื่อมจนอ่านแทบไม่ออก ส่วนอันที่สภาพดีก็มีแต่ข้อมูลในบริเวณใกล้ๆ
“กรันเวล?”
“ชื่อหมู่บ้านนี้ไงล่ะ แล้วเจ้าหนู ไม่สิน้องชาย สนใจอันไหน?”
อ้อ หมู่บ้านนี้ชื่อกรันเวล! ผมเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก
เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊นายจะเรียกฉันว่าเจ้าหนูแต่เปลี่ยนใจไปเรียกน้องชายแทนนี่หว่า
ผมเป็นผู้ใหญ่แต่อายุสิบหกถือว่าน้อยจริง แต่ในใจผมถือว่าตัวเองอายุ 40 มาถูกเรียกว่าเด็กนั้นรู้สึกไม่ดีเลย
ผมสำรวจแผนที่ เน้นหาแผนที่ที่วาดเมืองหลวงไว้
“ระยะทางจากที่นี่ถึงเมืองหลวงห่างกันเท่าไหร่?”
“เมืองหลวง? 400 กิโลเมตรได้มั้ง?”
โอ้ ผมบินไป 4 ชั่วโมงก็ถึง
“แล้วหมู่บ้านนี่ล่ะ?”
ผมชี้ไปที่หมู่บ้านใกล้กับกรันเวลที่สุด
“นั่นไม่ใช่หมู่บ้านแต่เป็นเมือง อยู่ห่างไป 10 กิโล น้องชายไม่ใช่คนแถวนี้ มิน่าข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้า”
ผมไม่ตอบและวัดระยะทางบนแผนที่ต่อ
ผมหาแผนที่ที่ระยะห่างระหว่างกรันเวลกับเมืองหลวงเป็น 40 เท่าของระยะห่างระหว่างกรันเวลกับเมืองที่ผมเพิ่งชี้ไป
แผนที่อันนี้แค่ 20 เท่า อันนี้ประมาณ 25 เท่า อันที่ใกล้เคียงที่สุดคือประมาณ 35 เท่า
“ว่าแต่ แผนที่ราคาเท่าไหร่?” ผมถาม
“อืม 12 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์”
“ดูจากสภาพกล่องแล้วแผนที่คงขายไม่ดีเท่าไหร่ ลดหน่อยไหม?” ผมถามพลางปัดฝุ่นบนกล่องออก ผมไม่อยากถูกมองเป็นพวกหลอกง่าย
“ฮึ่ม 11 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์”
“4 เหรียญ”
“ช้าก่อน แผนที่พวกนี้ทำจากหนังคุณภาพดีนะ 4 เหรียญมันน้อยไป”
“แต่มันเก่าจนข้าอ่านแทบไม่ได้ ระยะห่างของแต่ละแผนที่ก็ไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นแผนที่สภาพดี นี่มันล็อตเตอรี่ชัดๆ”
คนขายอึ้งไป
“ล็อตเตอรี่คืออะไร? แต่ก่อนอื่น ข้าบอกระยะห่างของเมืองหลวงกับเมืองที่ใกล้ที่สุดไปแล้วนี่ ก็เทียบกับมันสิ”
โอ้ เถียงได้ตรงจุด!
ผมก็เลือกแบบนั้น
แต่ว่า...
“ระยะทางที่เจ้าบอกมันตรงจริงเหรอ? ได้วัดหรือเปล่า? ระยะทางระหว่างเมืองใกล้ๆคงถูกถ้าเจ้าเคยแวะไปที่นั่น แต่เจ้าเคยไปเมืองหลวงหรือเปล่า?”
“แน่...แน่นอน ข้าเคยไป”
โกหกแน่นอน
“กี่ครั้ง? ระหว่างไปก็วัดระยะทางไปด้วยเหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ได้พูดตามที่ฟังเขามา?”
“เอ่อ นั่น-”
“แล้วต่อให้ระยะห่างถึงเมืองหลวงจะตรง แน่ใจเหรอว่ากับหมู่บ้านอื่นจะตรงด้วย?”
“เอ่อ ข้า-”
“ห้าเหรียญ”
คนขายตอบเหมือนยอมแพ้
“สิบเหรียญ”
“หกเหรียญ”
“เก้าเหรียญ”
“หกเหรียญ”
“เฮ้ย ไม่เพิ่มให้เลยนี่หว่า! แปดเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ไม่ต้องต่อแล้ว ข้าลดไปตั้งสี่เหรียญนะ”
ผมคิดจะต่อจนเหลือเหรียญทองแดงแต่ตัดสินใจหยุดเพราะต้องซื้ออย่างอื่นด้วย
“ได้ แปดเหรียญทองแดงบริสุทธิ์”
ผมส่งเหรียญให้และรับแผนที่มา
“ต่อไป ข้าอยากดูผ้าห่มกับถุงนอน”
ผมไม่อยากตัวสั่นด้วยความหนาวขณะนอนกลางแจ้งอีกต่อไป แม้ตอนนี้ผมจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างอิสระและไม่ถูกไล่ล่าแต่อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน
“จะซื้ออีกเหรอ?”
หมายความว่ายังไงที่ว่าจะซื้ออีกเหรอ?
หมอนี่ยังอยากขายของอยู่หรือเปล่า?
ฉันออกตัวแรงไปหรือเปล่า?
แต่ผมไม่อยากซื้อของคุณภาพต่ำในราคาแพง เนื่องจากผมต้องซื้อของอย่างอื่นด้วย มานั่งต่อทีละชิ้นก็น่ารำคาญ
“พ่อค้า ต่อทีละชิ้นมันวุ่นวาย มาต่อแบบเหมาทีเดียวเลยดีไหม?”
“เอางั้นเหรอ?”
คนขายตอบรับคำของผมอย่างยินดี
เหนื่อยเหมือนกันสินะ
รวยขนาดนั้นก็ยังจะต่อราคาเค้าหนออ พ่อคู๊ณณณ
ตอบลบพระเอกนิสัยไม่ดี -3-
ลบ