วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 13

บทที่ 13 – หนีออกจากบ้าน (13)

เดนเบอร์กหนีไปได้

ภายหลังเมื่อหน่วยไล่ตามกลับถึงหมู่บ้าน เฮสเทียพยายามหาสาเหตุที่ทำให้เดนเบอร์กหนีไปได้ แม้เธอจะได้ยินว่าเขาปลอมจดหมายถึงกาเวนเพื่อทำให้วงล้อมบางลงก็ยังมีสิ่งที่เธอไม่เข้าใจสองข้อ หนึ่ง เขารู้ได้อย่างไรว่านักรบกลุ่ม 3 อยู่ตรงไหน และสอง เขาไปถึงรอบนอกของวงล้อมก่อนเวลาที่เธอคาดไว้ได้อย่างไร?

คำตอบอยู่ในกองข้อความที่ส่งไปมาระหว่างหน่วยไล่ตามกับศูนย์บัญชาการ เดนเบอร์กอาศัยข้อได้เปรียบจากเรื่องที่ว่าเฮสเทียและหน่วยไล่ตามใช้เหยี่ยวสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เขาดักจับข้อความบางแผ่นตั้งแต่ตอนที่เขาข้ามรอยแยกและเมื่อวงล้อมเริ่มถูกสร้าง

นี่หมายความว่าเขารู้แผนของเธอมาตลอด

เขารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเดนเบอร์กได้โอกาสดักจับเหยี่ยวสื่อสารตั้งแต่เมื่อไหร่?

หลังจากใคร่ครวญแล้วเฮสเทียก็ได้คำตอบ

หลังจากเขาข้ามรอยแยก เฮสเทียเจาะจงเคลื่อนกองกำลังเพื่อบังคับให้เขาเคลื่อนไหวไปในทิศทางหนึ่ง ไปยังจุดตั้งแคมป์ที่ 7 มีแต่ตอนนั้นที่เธอระดมพลทั้งหน่วยไปที่จุดตั้งแคมป์ที่ 7

นั่นเป็นตอนเดียวที่เดนเบอร์กได้โอกาสเห็นข้อความของเธอ เพราะไม่เหมือนก่อนหน้านั้น ณ เวลานั้นแม้เดนเบอร์กจะรู้แผนของเธอ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม อีกอย่าง เส้นทางที่เธอวางแผนไว้ก็ใกล้เคียงกับเส้นทางที่เขาเลือกเพื่อออกจากป่าในเวลาสั้นที่สุด

เดนเบอร์กค่อยๆเปลี่ยนเส้นทางในแผนที่ที่เฮสเทียส่งให้หน่วยไล่ตาม ให้เบี่ยงไปยังชายป่าและเลือกจุดที่วางกองกำลังได้ยาก แผนที่ที่เขาเปลี่ยนไม่มีทางส่งกลับมายังเฮสเทียเพราะหน่วยไล่ตามต้องเก็บไว้ดู

เมื่อเขาตระหนักถึงจุดสำคัญนี้ เดนเบอร์กแทนที่จะฆ่าเหยี่ยวสื่อสารและทำให้เฮสเทียตื่นตัว เขากลับตัดสินใจใช้มัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้สร้างทางหลบหนีโดยการเดินตามแผนของเธอ

ตลอดเวลา หน่วยไล่ตามเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเดนเบอร์ก ไม่ใช่เธอ แน่นอนเขาเลียนแบบลายมือเธอไม่ได้ ที่เขาแตะต้องได้มีเพียงจุดและเส้นที่วาดบนแผนที่ ถึงอย่างนั้น ด้วยการใช้แผนที่ เขาทำให้ส่วนหนึ่งของวงล้อมบางลงและส่งจดหมายปลอมทำให้คนสับสนก่อนจะฝ่าวงล้อมไป

ฮ่าๆๆ!

มันเป็นความผิดข้าเอง! เฮสเทียตำหนิตัวเอง

เธอไม่มีข้อแก้ตัวที่ถูกรุกฆาต การลืมว่าเดนเบอร์กสามารถบินไปดักจับเหยี่ยวเป็นความเลินเล่ออย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าเส้นทางหลบหนีของเดนเบอร์กกับเส้นทางของเหยี่ยวสื่อสารซ้อนกันเธอก็ควรรู้ตัวเร็วกว่านี้

แผนของเฮสเทียมีช่องโหว่ – เธอสรุปว่าเดนเบอร์กถูกต้อนจนมุมแล้ว

อย่างไรก็ดี ดูมสโตนโมโหกับข่าวที่เดนเบอร์กหนีไปได้ ด้วยเหตุนี้ กัลลาฮาดกับกาเวนจึงต้องรับโทษแทนเดนเบอร์ก

กัลลาฮาดร้องขณะถูกตีก้น

“ทำไมพ่อไม่ตีเลชาด้วยล่ะ?”

เลชาหน้าซีด

เฮสเทียเดาะลิ้น คิดในใจ ‘พี่คิดจะให้เลชาตายเหรอ’

“เจ้าคิดว่าคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ไม่ถนัดในป่าสมควรได้รับโทษเดียวกับคนที่ใช้ดาบได้ไม่มีปัญหาเหรอ? แต่ก็จริงที่เจ้าเสียเดนเบอร์กไปตรงนอกป่า เลชา ไปนั่งคุกเข่ายกแขน”

คำพูดตรงจุด ลงโทษมีเหตุผล

“-ค่ะ”

ด้วยสีหน้าโล่งอกแต่หม่นหมอง เลชาไปนั่งพับเข่าตรงมุมห้อง ชูสองแขนขึ้นสูง

“งั้น...แล้วเฮสเทียล่ะ?”

ว้ายตายแล้ว! เจ้าคิดจะทำร้ายข้าคนอ่อนแอที่สุดในหมู่บ้านได้อย่างไร? เฮสเทียตกตะลึง

“โอ๊ย โอย ข้าเวียนหัว-”

เฮสเทียที่กำลังยืนข้างเดนเบอร์ก ค่อยๆนอนบนโซฟาพลางยกมือแตะหน้าผาก

เมื่อเห็นเฮสเทียทำท่าอย่างนั้น ดูมสโตนยิ่งโมโหกว่าเดิม

“คิดจะโยนความผิดให้น้องเหรอ? อยากโดนหนักกว่านี้สินะ!”

“พะ...พ่อ? อ๊า! อ๊า! อ๊า!”

เสียงโหยหวนของกัลลาฮาดกับเสียงตีดังก้องห้อง

เฮสเทียคิดว่าสมควรแล้วหลังจากที่กัลลาฮาดพยายามจะลากเธอไปรับโทษด้วย

ต่อมาก็ถึงคราวของกาเวน

“มานี่”

ป้าบ!

“อื้อ!”

แปะ?

“อื้อ”

ด้วยศักดิ์ศรีกาเวนเลยไม่โหยหวนเหมือนกัลลาฮาด แต่เสียงครางยังหลุดจากปากเขา อาจเพราะเขาเงียบกว่าจึงโดนตีน้อยกว่าพี่ชาย

กัลลาฮาดดูไม่ยินดี เฮสเทียจึงหวังว่าพี่ของเธอจะเรียนรู้ว่าถ้าเขาอยู่เงียบๆ การลงโทษก็จะไม่นานขนาดนั้น

“เฮ้อ”

ดูมสโตนถอนหายใจพลางนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน เขาถามลูกสาวคนโต “เฮสเทีย เจ้าคิดว่าเราจะตามเดนเบอร์กทันอีกไหม?”

เฮสเทียส่ายศีรษะ “พ่อ ข้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ขนาดผู้เฒ่าเมอร์ปาพอฟังเรื่องจากเลชาแล้วยังบอกให้ตัดใจ”

ดูมสโตนหน้ามุ่ย

“ข้าพูดตรงๆนะ ข้าไม่คิดเลยว่าเวทมนตร์จะแข็งแกร่งขนาดนั้น นอกจากผู้เฒ่าเมอร์ปากับเดนเบอร์กแล้ว นักเวทคนอื่นในหมู่บ้านช่วยเรื่องพัฒนาคุณภาพชีวิตภายในหมู่บ้านได้ดีก็จริง แต่ไม่ได้เรื่องตอนออกล่าปีศาจ”

ดูมสโตนพูดถูก

“แต่พ่อ ถ้าท่านไม่รู้มาก่อน ทำไมถึงให้เดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอดล่ะ?”

ดูมสโตนตอบคำถามของเฮสเทียโดยไม่ลังเล

“เพราะตอนเขาอายุแค่สิบสอง เขาจับมังกรได้ด้วยตัวเองไม่มีใครช่วย”

“อะไรนะ?!” 

ทุกคนในห้องตกตะลึง เฮสเทียแม้ช่วยงานพ่อของเธอแทบทุกวันยังเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก กัลลาฮาดกับกาเวน หลังจากผ่านวัยเป็นผู้ใหญ่มา 4-5 ปี ยังไม่กล้าล่ามังกรคนเดียวแต่มักจะไปกับคนสนิทของพวกเขา 3-4 คน

ถ้าไม่ใช่ดูมสโตนเป็นคนพูด พวกเธอคงโกรธเพราะคิดว่าคนนั้นกำลังโกหก

เฮสเทียจึงเพิ่งรู้ว่าทำไมเหล่าผู้เฒ่าจึงยอมรับเรื่องผู้สืบทอดโดยไม่โต้แย้ง จะว่าไปแล้ว อย่างนี้ก็เข้าใจได้ว่าทำไมพ่อของเธอจึงมั่นใจมากว่าเดนเบอร์กจะจับปีศาจตัวที่มีพลังระดับเดียวกับมังกรได้

เฮสเทียสูดลมหายใจเฮือกเพื่อสงบใจลงและพูดต่อ “ความสามารถด้านดาบของเดนเบอร์กตอนนี้ต่ำกว่ากาเวน พลังกายของเขาก็น้อยกว่ากัลลาฮาด ดังนั้นตอนเขาสู้กับมังกรก็ย่อมน้อยกว่านี้ใช่ไหม?”

“อ้อใช่ ตอนนั้น เดนเบอร์กสู้ด้วยเวทมนตร์และวรยุทธ์”

“เป็นไปไม่ได้!” เลชาที่นั่งพับเข่าชูแขนอยู่เงียบๆ ตะโกนขึ้น

“อะไรเป็นไปไม่ได้?”

เมื่อกัลลาฮาดถาม เลชาตอบทันที

“ใช้เวทมนตร์กับวรยุทธ์พร้อมกันๆจะทำให้พลังเวทในตัวบิดเบี้ยว เจ้าตายได้นะ!”

“เจ้าพูดอะไร?”

“ฟังนะ เวทมนตร์คือการปล่อยพลังเวทออกมาและควบคุมมัน ตรงกันข้าม วรยุทธ์คือการกักพลังเวทให้โคจรในร่างกาย ยกเว้นว่าเจ้ามีสมองสองก้อน ใช้พลังสองอย่างพร้อมๆกันจะทำให้พลังเวทในตัวเจ้าบิดเบี้ยวและอาจถึงตาย”

“แต่การปล่อยรัศมีดาบก็มีพลังเวทปล่อยออกมา ก็เห็นใช้กับวรยุทธ์ได้ไม่มีปัญหานี่” กาเวนพูด

“เวทมนตร์กับรัศมีดาบไม่เหมือนกัน รัศมีดาบปล่อยพลังเวทออกมาขณะคิดว่าดาบเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พลังเวทจึงโคจรกลับไปที่ร่างกายอีก พูดอีกอย่างคือ เจ้าใช้วรยุทธ์โดยถือว่าดาบเป็นส่วนที่งอกเงยจากแขน เพราะเหตุนี้การเสียพลังเวทจึงต่ำเมื่อใช้รัศมีดาบ แต่เวทมนตร์เป็นการปล่อยพลังเวทออกมาจากร่างกายก่อนแล้วจึงควบคุมมัน รากฐานมันต่างจากวรยุทธ์”

“...”

เฮสเทียเชื่อมั่นว่าในห้องมีเธอคนเดียวที่เข้าใจคำอธิบายของเลชา

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ ผ่านไปเถอะ” 

เลชาทำหน้าเหมือนจะร้องว่ามันสำคัญมาก แต่มันไม่มีความหมายอะไรเพราะเดนเบอร์กไม่อยู่ที่นี่

“ในเมื่อตอนนั้นเขาเก่งด้านเวทมนตร์อยู่แล้ว ตอนนี้คงเก่งกว่าเดิม เลชา ตอนเจ้าใช้เวทมนตร์นอกป่า ประสิทธิภาพของมันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่?”

เลชาตอบทั้งยังยกแขน “อืม สิบเท่ามั้ง? เพราะว่าเวทมนตร์ที่ข้าร่ายนอกป่ามีพลังเท่ากับที่อาจารย์ร่ายในหมู่บ้าน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าถือว่าเดนเบอร์กแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่ในหมู่บ้านสิบเท่าได้ใช่ไหม?”

กาเวนกับกัลลาฮาดหวาดผวากับคำถามของเฮสเทีย

คนที่สามารถล้มมังกรเมื่ออายุสิบสองขวบเก่งกว่าเดิมสิบเท่า! ถ้าเดนเบอร์กอายุมากขึ้นเขาจะกลายเป็นดูมสโตนที่สองจริงๆ

“ไม่ เดนเบอร์กใช้เวทได้อย่างอิสระในป่า ยิ่งเจ้าเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทรงพลังขึ้นเท่านั้น”

“งั้น?”

“ข้าไม่แน่ใจ แต่เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมร้อยเท่ามั้ง?”

“อึ๋ย...”

กาเวนกับกัลลาฮาดคราง นี่เท่ากับบอกว่านอกจากดูมสโตนแล้วไม่มีใครจัดการกับเดนเบอร์กได้

“พ่อ คิดอย่างไรกับข้อสรุปว่าท่านเป็นคนเดียวที่จับเดนเบอร์กที่อยู่นอกป่าได้?”

“ให้ข้าออกไปจับเขาก็ลำบากอยู่นะ”

ไม่น่าประหลาดใจ 

ประเทศที่อยู่นอกหมู่บ้านหลายประเทศปฏิบัติกับดูมสโตนในระดับเดียวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ พูดง่ายๆว่า หากเขาออกนอกหมู่บ้าน ก็ไม่พ้นว่าเขาจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดโดยหลายๆประเทศ ประเทศที่เขาแวะไปจะตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ในเมื่อเขาไม่สามารถไปไหนมาไหนให้เป็นปัญหาระหว่างประเทศได้ ดูมสโตนจึงออกจากหมู่บ้านไปจับเดนเบอร์กได้ยาก

“ทำยังไงดี?” ดูมสโตนมองเฮสเทียด้วยสายตาเศร้าสร้อย

ธรรมเนียมของหมู่บ้านคือเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นหัวหน้าเผ่า... ไม่ใช่ หัวหน้าหมู่บ้าน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดให้คนอื่นมาแทนเดนเบอร์ก

เฮสเทียเคยเข้าใจว่าเดนเบอร์กถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดของดูมสโตนเพราะเขามีความฉลาดมาชดเชยกับความแข็งแกร่งด้านอื่น แต่มันผิดจากที่เธอเข้าใจไปมาก

“-ในเมื่อตอนนี้ไม่มีวิธีจับเดนเบอร์ก ทางเดียวคือหาเขาให้เจอและค่อยๆเกลี้ยกล่อมเขา”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำยังไงดี?”

“ตอนนี้ เราควรส่งข่าวไปหาลุง ขอให้ท่านช่วยหาเดนเบอร์ก ทางเราก็ส่งคนออกไปด้วย”

“ให้ใครไปดี?”

“แม้ข้าอยากไป แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าข้าออกจากหมู่บ้าน โครงการต่างๆจะหยุดชะงัก” เฮสเทียพูดพลางมองพี่ชายสองคน

“กัลลาฮาดกับกาเวนเป็นกำลังสำคัญที่สุดของหมู่บ้าน และพวกเขาไม่มีความรู้เรื่องโลกภายนอก พวกเขาก็ไปไม่ได้เช่นกัน” เธอถอนหายใจ

เธอนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะก่ออุบัติเหตุแบบไหนขึ้นมาถ้าอยู่นอกหมู่บ้าน

เฮสเทียมองเลชาที่กำลังคุกเข่ายกมือ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ในเมื่อเดนเบอร์กเป็นนักเวท เราส่งเลชาไปเถอะค่ะเพราะเธอเข้าใจเรื่องเวทมนตร์ดี ให้นักรบที่เก่งที่สุดจำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย แล้วก็ส่งคนในกระทรวงต่างประเทศที่มีความรู้เรื่องสถานการณ์และวัฒนธรรมโลกภายนอก”

“เดี๋ยวก่อน?! ข้าเหรอ?!” เลชายืนขึ้น

เฮสเทียพยักหน้า

“เจ้าบอกว่าการฝึกเวทมนตร์กำลังตันอยู่ใช่ไหมล่ะ ถือโอกาสนี้ไปดูโลกภายนอกและศึกษาจากเดนเบอร์ก”

“ดี ส่งเธอไปตามที่เจ้าว่า”

ดูมสโตนสรุปเป็นครั้งสุดท้าย

“ติดต่อกลับมาบ่อยๆนะ ไม่ต้องกลัว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านจะออกไปช่วยเจ้า”

“พ่อ ข้ากลัวเรื่องที่ทั้งหมู่บ้านจะออกมามากกว่า”

เลชา ค่อยๆลดแขนลงด้วยน้ำตานองหน้า



สารบัญ                                            บทที่ 14



ผู้ชายอายุ 20-21 ถูกพ่อตีก้น... เค้า(ใคร?)ว่าในสายตาพ่อแม่คน ลูกยังเด็กเสมอ - -"

กว่าจะหลุดจากป่า... บทหน้า อย่าไปเลยบางกอก... เอ๊ย... เดินทางสู่เมืองหลวง มี 10 ตอนค่ะ







วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 12

บทที่ 12 หนีออกจากบ้าน (12)


เหยี่ยวสื่อสารบินมาหากาเวน ดูจากปลอกคอ มันไม่ได้มาจากเฮสเทียแต่เป็นกัลลาฮาด ที่กำลังสร้างวงล้อมด้านหน้าเดนเบอร์ก

ตอนนี้เป็นเวลา 11.30 น. และไม่มีคำสั่งจากเฮสเทีย ในข้อความสุดท้ายที่เธอส่งมา เธอออกคำสั่งใหม่ๆให้หน่วยไล่ตามและบอกให้จากนี้ไปพวกเขาตัดสินใจเคลื่อนไหวกันเอง

มันมีเหตุผลเพราะด้วยระยะเพียง 50 กิโลเมตรที่เหลือนี้ หากหน่วยไล่ตามยังลังเลรอคำสั่งจากเฮสเทีย เป้าหมายของพวกเขาจะหนีจากป่าไปได้ แม้พวกเขาจะไม่ได้คำแนะนำจากเธออีกต่อไป เธอก็ให้แผนสร้างวงล้อมอย่างดีแล้ว หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เดนเบอร์กไม่มีทางหนีจากวงล้อมระดับนี้

“กัปตันกาเวน กัปตันกัลลาฮาดบอกว่าเขาจะรวมหน่วยยามที่หนึ่งกับสองเข้าด้วยกันเพื่อปิดวงล้อม”

“บอกกัลลาฮาดว่าทราบแล้วและสั่งให้หน่วยนักรบที่สามเข้าไปในวงล้อมโดยไม่ให้รบกวนพวกเขา”

“ได้”

คนๆหนึ่งรีบร้อนมาทางกาเวนที่กำลังฟังแมคอ่านจดหมาย

“กัปตัน! มีข้อความด่วนจากหน่วยที่สาม! พวกเขากำลังสู้กับนายน้อยเดนเบอร์ก”

“อะไรนะ!”

ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น

มันเร็วกว่าที่เฮสเทียคำนวณไว้ 20 นาที!

“บ้าจริง! ติดต่อกัลลาฮาดขอให้เขาส่งกำลังเสริมให้หน่วยที่สาม”

หน่วยที่สามเชื่อมต่อกับด้านซ้ายและขวาของวงล้อม มันทำหน้าที่เป็นปลั๊กอุดรูหนึ่งเดียวในวงล้อม นั่นก็คือ ถ้าเดนเบอร์กฝ่าหน่วยที่สามไปได้ก็ไม่มีใครหยุดเขาออกจากป่า

แน่นอน หน่วยนี้มีนักรบ 100 นาย ไม่ใช่กำลังรบที่เดนเบอร์กสามารถฝ่าไปได้ด้วยแรงล้วนๆ แต่ด้วยความสามารถทั้งด้านเวทมนตร์และกำลังกาย ถ้าเขาอยากเลี่ยงการสู้ตรงๆและหนีไป ความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จนั้นสูงทีเดียว

“ทุกคน ใช้ความเร็วเต็มที่ตรงไปที่หน่วยสาม!”

***

ผมกลั้นลมหายใจขณะเข้าไปใกล้วงล้อม จากนั้นผมเฝ้ามองยามที่กำลังสร้างวงล้อมอยู่

มองจากยอดไม้ วงล้อมดูไม่หนาเพราะมีเพียงสามชั้น แต่เพราะระยะห่างระหว่างยามแต่ละคนไม่กว้างมากทำให้ขบวนตั้งในแบบที่ยามในบริเวณนั้นสามารถเข้ามาช่วยได้รวดเร็วหากเกิดเหตุปกติ

โชคร้าย การป้องกันธนูผสมด้วยพลังเวทมหาศาลและการบินอย่างรีบร้อนทำให้พลังเวทของผมเหลือน้อยกว่า 10% ด้วยพลังเวทปริมาณเท่านั้น ถ้าผมบินคงไปตกในวงล้อม หรือต่อให้บินผ่านไปได้และฝ่าวงล้อมไปได้อย่างปาฏิหาริย์ก็ต้องถูกจับเพราะอาการหมดแรงจากใช้พลังเวทหมดอยู่ดี

ขณะผมมองวงล้อมอย่างวุ่นวายใจอยู่นั้น ยามก็หยุดสร้างวงล้อมและเปลี่ยนทิศทาง

ได้ผลเหรอ?

แผนฉันสำเร็จเหรอ?

ยามตรงไปทางหน่วยนักรบที่สาม ผมพุ่งไปยังวงล้อมที่บางลงทันที จุดที่ผมอยู่ตอนนี้ไม่ไกลจากจุดที่หน่วยนักรบที่สามอยู่ แปลว่าอีกไม่นานพวกเขาจะรู้ว่าจดหมายเป็นของปลอมที่ผมส่งไป

สิ่งสำคัญที่สุดคือผมต้องฝ่าวงล้อมและหนีออกจากป่าให้ได้ก่อนมันจะกลับมาหนาอีกครั้ง

เวลาไม่เข้าข้างผม

***

กาเวนกำลังนำนักรบไปยังหน่วยนักรบที่สามเมื่อเขาได้ข้อความจากยาม

-ด่วน นายน้อยเดนเบอร์กกำลังโจมตีวงล้อมและเตรียมฝ่าออกไป ขอกำลังเสริม

กาเวนอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาได้ข้อความว่าเดนเบอร์กกำลังสู้กับหน่วยนักรบที่สามอยู่ชัดๆ เขาจะไปโจมตีวงล้อมในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?

“กัปตัน ทำยังไงดี?”

เมื่อถูกแมคถาม กาเวนตัดสินใจไม่ลังเล

“-แยกเป็นสองกลุ่ม เจ้าไปทางวงล้อม ข้าจะไปหน่วยนักรบที่สาม”

“ได้ พวกเราไป”

“ครับ!”

แมคพานักรบครึ่งหนึ่งไปอีกทาง

***

หลังจากฝ่าวงล้อมได้ผมก็วิ่งเต็มที่ เหลืออีกไม่ถึง 5 กม.ก่อนผมจะหลุดจากป่า ถ้าออกจากป่าได้ผมก็สามารถบินด้วยพลังเวทที่เหลืออยู่เล็กน้อย ในที่สุด ผมจะได้ใช้ชีวิตสงบสุขห่างจากการล่าพวกมอนสเตอร์และปีศาจ

ผมกำลังประสบกับความรู้สึกสุขสมของนักวิ่งมาราธอนขณะวิ่งรอบสุดท้าย ภายใต้ความกดดันของการถูกไล่ล่าและใช้ร่างกายของผมจนเกินขีดจำกัด ผมรู้สึกถึงอดรีนาลีนกำลังไหลทั่วร่าง

ตอนนั้นเอง...

ฟิ้ว!

ผมดึงดาบออกมาตามสัญชาติญาณป้องกันลูกธนูที่บินมาทางผม

กึง!

ผมรู้ทันทีว่าข้อความปลอมถูกแฉเสียแล้วและหน่วยไล่ตามกำลังไล่ตามผมมาติดๆ ความตื่นเต้นที่มีเริ่มร่วงลง

เกือบไป ผมทำเหมือนออกจากป่าได้แล้วทั้งๆที่ยัง

ผมวิ่งให้เร็วที่สุด

ฟิ้ว! กึง! ฟิ้ว! กึง! ฟิ้ว! กึง!

ลูกธนูคอยบินมาทางผม ผมวิ่งสุดแรงพลางปัดมันออกโดยไม่หลบ ถ้าขยับหลบเกินความจำเป็นก็เป็นไปได้ว่าผมอาจถูกจับ

แรงที่แฝงมากับลูกธนูแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกกดดันมากขึ้นทุกครั้งที่ลูกธนูพุ่งมาด้วยมันแสดงว่าระยะห่างกำลังหดสั้นลง

ดูจากที่ผมเป็นหนึ่งในคนที่เร็วที่สุดในหมู่บ้าน คนเดียวที่สามารถยิงธนูใส่ผมจากระยะห่างขนาดนี้ได้คือนักธนู แมค

แต่ตอนนี้ผมจวนเจียนจะหลุดจากป่าแล้ว พื้นที่รอบๆเริ่มสว่างขึ้นเมื่อต้นไม้ใหญ่หายไป ผมเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวตรงหน้า

ออกมาแล้วเหรอ?

ผมไม่เคยเห็นทุ่งหญ้าแบบนี้ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ ที่จริง แม้แต่ในชาติก่อนผมก็ไม่เคยเห็นที่ราบครอบคลุมทั้งดินแดนแบบนี้ ผมเกือบตกสู่ภวังค์แปลกๆขณะมองภาพมหัศจรรย์เบื้องหน้า

บูม!

ผมสร้างบาเรียขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวป้องกันเปลวไฟรุนแรง ผมรู้สึกมึนไปวูบหนึ่ง พลังเวทที่ยิงใส่ผมใกล้กับระดับของผู้เฒ่าเมอร์ปา นักเวทที่เข้มแข็งที่สุดในหมู่บ้าน

ผู้เฒ่าเมอร์ปาร่วมล่าด้วยเหรอ?

ถ้าใช่ก็จบกัน ด้วยสภาพของผมตอนนี้ สู้กับผู้เฒ่าเมอร์ปาเท่ากับฆ่าตัวตาย

ผมลุกลี้ลุกลนมองรอบตัว มาคิดดูแล้ว ผมสร้างบาเรียอย่างไม่ทันคิดแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย ปกติแล้วมันจะทำให้ผมทรุดลงกระอักเลือด แต่เปลวไฟเพียงถูกป้องกันด้วยบาเรียของผม

ผมสงบใจลงกับความจริงว่าบาเรียของผมแข็งแกร่งกว่าที่คิด ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักถึงความจริงสองข้อ

ข้อแรกคือพลังเวทที่ไหลเวียนในบรรยากาศนั้นสงบซึ่งต่างมากจากในป่าและกระทั่งต่างจากการไหลเวียนอย่างเสถียรในหมู่บ้าน ข้อสอง ผมใช้เวทได้โดยไม่ต้องร่ายคาถาหรือใช้มือ

ผมรู้มาว่าพลังเวทที่นี่จะไหลเวียนอย่างมั่นคงกว่าในป่าหรือในหมู่บ้าน แต่คาดไม่ถึงว่ามันจะขนาดนี้

ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ถ้าพลังเวทในป่าเป็นพายุไซโคลนที่ฆ่าทุกคนที่มันพัดใส่ พลังเวทในหมู่บ้านคือพายุอ่อนที่ไม่ทำร้ายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้าม พลังเวทนอกป่าเหมือนสายลมสดชื่น แน่นอนว่าในสภาพแวดล้อมแบบนี้ คาถาหรือท่ามือไม่ใช่ของจำเป็นในการใช้พลังเวท

“เฮ้ เวลาถูกลอบทำร้ายก็ช่วยทำเป็นตกใจให้หน่อยไม่ได้เหรอ?!”

เลชาหยุดใช้เวทและประท้วงจากที่ห่างออกไป

ทำไมเลชาอยู่ที่นี่?

มีคนอื่นซุ่มอยู่อีกหรือเปล่า?

“โอ๊ะ ตกใจ” ผมพูดง่ายๆขณะระวังตัว

“อย่ามาโกหกนะ”

“จริงนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอพลังเวทที่สงบแบบนี้”

ที่จริงคือผมแปลกใจที่พี่สาวปล่อยพลังเวทระดับนี้ออกมา ผมคิดว่าเป็นผู้เฒ่าเมอร์ปาเสียอีก

“แค่นั้นเหรอ? ไม่สงสัยว่าทำไมข้ามาอยู่ที่นี่เหรอ?”

“ก็ เพราะเฮสเทียส่งเจ้ามาใช่ไหมล่ะ”

ที่จริงผมไม่รู้ว่าเลชาจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรถ้าไม่ใช่คำแนะนำจากเฮสเทีย ถ้าเป็นเธอก็ไม่น่าแปลกใจที่เธอสามารถคาดเดาจุดที่ผมออกจากป่า

พี่สาวของผมบ่นพึมพำหน้างอ “เฮสเทียส่งข้ามาจริงๆ แต่เจ้าก็แสดงสีหน้าท่าทางน้อยไปอยู่ดี”

หลังจากสงบใจลงผมก็เห็นว่าเธอแค่กำลังพยายามถ่วงเวลา ตรงนี้มีเลชาที่เพิ่งใช้พลังเวทในระดับที่เธอไม่อาจฝันถึงถ้าอยู่ในหมู่บ้าน และผมที่ป้องกันพลังเวทนั้นได้อย่างไม่รู้ตัว ถ้าพลังเวทของเลชาแข็งแกร่งตรงนี้ แน่นอนว่าพลังเวทของผมก็ด้วย

“งั้น ข้าไปล่ะ”

ผมโบกมือลา เลชาพยายามยื้อผมด้วยเสียงร้อนรน

“ทำไมไม่อยู่คุยกับข้าต่ออีกนิดล่ะ?”

เลชาทำมือและร่ายคาถา ขอนไม้ขยับตัวจากพื้นดินและมาล้อมตัวผม

ดูเหมือนจะไม่มีคนอื่นดักซุ่มอยู่นอกจากเลชา การสร้างวงล้อมก็ใช้จำนวนคนไปมากแล้ว ให้หาคนมาซุ่มโจมตีอีกคงลำบาก คงได้เวลาที่คนอื่นจะมาถึงแล้ว

“ไม่ล่ะขอบใจ ไว้ข้าจะเขียนจดหมายมาหานะ”

ผมสูดหายใจลึกเอาพลังเวทรอบตัวเข้าไป เทียบกับในป่าและหมู่บ้าน พลังเวทที่นี่เชื่อฟังกว่า แค่หายใจครั้งเดียว พลังเวทของผมก็เพิ่มอย่างรวดเร็ว เหมือนผมเปลี่ยนจากเครื่องชาร์จคุณภาพไม่ดีมาเป็นเครื่องชาร์จความเร็วสูง ผมรู้สึกเหมือนกำลังรักษาร่างกายที่ฝืนใช้เวทมานาน

“ฟุส โร ด้า!”

นี่ไม่ใช่เวทยากอะไร ในลมหายใจเดียวผมปล่อยพลังเวทที่ดูดเข้าไปออกมาทั้งหมด แม้จะแค่นั้นแต่บรรดาท่อนไม้ที่ล้อมผมก็กระเด็นไปเหมือนถูกไต้ฝุ่นพัด

เลชาก็โดนพลังเวทของผมเข้าไปด้วย เธอปักไม้เท้ากับพื้นเพื่อหยุดไม่ให้ตัวถูกพัดปลิว

“โอ๊ะ ขอโทษ ข้าเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้เลยควบคุมไม่ได้”

แม้ผมจะพูดง่ายๆแบบนี้ ต่อให้เป็นในหมู่บ้านก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังเวทน้อยขนาดนี้แต่ให้ผลถึงขั้นนี้ อีกอย่าง ตัวผมก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่เสียด้วย จากนี้ไปผมควรพยายามควบคุมพลังเวทเอาไว้ ดูเหมือนที่ลุงบอกว่าช้อนมันงอทุกครั้งที่เขารับประทานอาหารจะไม่ใช่การพูดเกินจริง

เมื่อผมรวบรวมพลังเวทอีกครั้ง เลชาที่เผ้าผมกระเซิงมองผมอย่างเหม่อๆ

“เป็นไปได้ยังไง-”

เลชาดูสับสนเหมือนไม่รู้จะพูดยังไง ปฏิกิริยาแบบนั้นมันออกจะเกินไป คาถาแบบนี้เธอก็ทำได้

แม้ผมจะมีความสามารถเหนือกว่าเลชาเล็กน้อย เลชาเป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเมอร์ปา นักเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ถ้าพยายามอีกหน่อยเธอสามารถเอาชนะผมได้ง่ายๆเพราะผมต้องฝึกทั้งดาบ หมัดมวย และเวทมนตร์

“นายน้อย-?”

ผมได้ยินแมคเรียกเสียงดังจากด้านหลัง

ไม่มีลูกธนูลอยมาอีกตั้งแต่ผมออกจากป่า ดูเหมือนหลังจากรู้ว่าผมถูกเลชาหยุดไว้ แมคก็รีบมาที่นี่

“บิน!”

ผมใช้เวทส่งร่างตัวเองให้ลอยขึ้น เทียบกับตอนผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดยกร่างตัวเองขึ้นในป่า ตอนนี้การบินให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก

“นายน้อย อย่าไป”

แมคมองผมด้วยสายตาน่าสงสาร ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าจับผมไม่ได้ถ้าอยู่นอกป่า

“นายน้อย ขอร้องล่ะ ถ้าข้าจับท่านไม่ได้ กัปตันกาเวนต้องทึ้งหนวดข้าแน่”

กาเวนต้องทำอย่างนั้นแน่ไม่ต้องสงสัย แต่ผมต้องไป

จริงอยู่ที่ผมไปเพราะไม่อยากกลับไปจับพวกมอนสเตอร์และปีศาจ แต่เมื่อเจอพลังเวทที่ว่าง่ายเรียบร้อยแบบนี้ ผมก็ไม่อยากกลับไปในป่าที่พลังเวทไหลเวียนอย่างดุร้าย 

“แมค อย่าทำร้ายใบหน้าหล่อๆ โกนหนวดเถอะ”

ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมไม่เคยเห็นใครหล่อกว่าแมคมาก่อนในทั้งสองชาติ เขาเกิดผิดที่แท้ๆ ถ้าไปเกิดเป็นขุนนางเขาจะเป็นคนงามหายาก

“นายน้อยก็พูดอย่างนี้เหรอ? อย่าไปเลย เห็นแก่หนวดของข้า”

“ข้าไม่กล้าเจอหน้าพ่ออีกแล้ว ช่วยส่งความเคารพให้ท่านแทนข้าและบอกว่าข้าจะเขียนจดหมายมาบ่อยๆ”

ผมดึงพลังเวทเข้ามาให้มากขึ้น

“ไม่!”

“ใช่”

และผมบินไป...

สู่เสรี



สารบัญ                                     บทที่ 13






Skyrim: What Fus Ro Dah is really for  เกมน่าเล่นจัง





วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้า - บทที่ 11

บทที่ 11 – หนีออกจากบ้าน (11)


มาคิดดูแล้ว ร่องรอยที่เดนเบอร์กทิ้งไว้ก็เด่นกว่าที่เคย ขนาดที่ทำให้กาเวนสงสัยว่ามันอาจเป็นกับดัก

“ตูปวดหัว” กาเวนพึมพำ

แมคไขว้มือไว้ข้างหลังแล้วเอ่ย “คิดอะไรมาก? ก็ส่งข่าวไปบอกผู้บัญชาการสิ”

กาเวนเห็นด้วยว่าเป็นความคิดที่ดี ถึงอย่างไร ความฉลาดเฉลียวก็ไม่ได้อยู่ในความเชี่ยวชาญของเขา

“นั่นสิ ติดต่อเฮสเทีย เราสะสางพื้นที่”

“ทราบ!”

เหล่านักรบกระจายออกไปตรวจสอบพื้นที่

แมคมาหากาเวนแล้วถามเสียงเบา “กัปตัน เราต้องยิงนายน้อยจริงๆเหรอ?” มือของเขาแตะกระบอกบรรจุลูกศรไว้เต็มที่ด้านหลัง

“ใช่ เพราะเฮสเทียบอกอย่างนั้น”

“แต่นายน้อยเป็นทายาทของเจ้านาย ถ้าเขาบาดเจ็บขึ้นมา-”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คนที่บินข้ามเหวได้จะบาดเจ็บเพราะลูกศรจิ๊บจ๊อยเหรอ?”

***

จดหมายจากกาเวนมาถึง มันบอกว่ามีร่องรอยของกองไฟ แต่ไม่มีร่องรอยว่าเดนเบอร์กเคลื่อนไหวหรือหลับที่นั่น

หรือว่ามันจะเป็นกับดักของเดนเบอร์ก?

เฮสเทียคิดว่าไม่น่าจะใช่ หากน้องชายคนเล็กของเธอไม่โง่ เขาจะต้องหาวิธีรับมือหลังจากถูกบีบให้สร้างกองไฟเนื่องจากความหนาว เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้เวทมนตร์บินหลบไปหรือลบร่องรอยการเคลื่อนไหวของเขาอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีร่องรอยว่าเขานอนที่นั่นก็เพราะเขาไม่ได้นอนที่นั่น

เดนเบอร์กกำลังถูกไล่ล่า แม้เขาจะสลัดการติดตามของผู้ล่ามาได้จนถึงตอนนี้แต่เขาจะไม่ก่อกองไฟนอนจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่ได้ถูกไล่ล่า หากให้เธอเดา เขาคงก่อกองไฟขึ้นมา เอาหินหรือก้อนกรวดไปเผาและเดินทางต่อเมื่อได้ความร้อนเพียงพอ มันอาจไม่ดีเท่ากองไฟ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

ดังนี้แล้วเฮสเทียจึงเขียนเหตุผลของเธอลงไป บอกพวกเขาให้ไม่ต้องกังวลเรื่องกับดัก จากนั้นก็เขียนคำสั่งและส่งเหยี่ยวสื่อสารออกไป

ปัญหาใหญ่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเดนเบอร์กได้วางกับดักไว้หรือไม่ แต่เป็นระยะห่างระหว่างศูนย์บัญชาการกับหน่วยไล่ตามทำให้เกิดความล่าช้าในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร การที่เหยี่ยวสื่อสารได้พักผ่อนเพียงเล็กน้อยก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความล่าช้าเช่นกัน แม้ป่าจะเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับเดนเบอร์ก ความล่าช้าของการแลกเปลี่ยนข่าวสารก็เป็นอุปสรรคใหญ่เช่นกันสำหรับผู้ไล่ล่า

แน่นอน มันยังไม่เท่าอุปสรรคของเดนเบอร์ก

ถ้าเขาใช้เวทมนตร์ได้ตามใจชอบก็ไม่มีใครนอกจากดูมสโตนแล้วที่จะจับเขาได้

***  

บ่ายโมงกว่า

ผมกำลังถูกไล่ตามอย่างหนัก คิดว่าระยะห่างระหว่างผมกับผู้ล่าคงประมาณ 1 กม.

ทำไมผมรู้ทั้งๆที่อยู่ในป่ารกเห็นได้ไม่ไกลอย่างนั้นเหรอ?

ฟุ่บ! แก๊ง!

นั่นเพราะลูกธนูที่บินมาทางผมเป็นครั้งคราว ในป่ากระทั่งผมสักเส้นยังมองไม่เห็น แต่ลูกธนูบ้าพวกนี้พุ่งตรงมาทางผมอย่างแม่นยำ คนๆเดียวที่สามารถทำเรื่องบ้าบอแบบนี้ได้ก็มีแต่พี่แมค เขาอยู่ในหน่วยนักธนูและเป็นนักธนูอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน

เวร ผมไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะยิงจริงๆ!

ฟุ่บ! แก๊ง!

ลูกธนูถูกดาบของผมปัดออก ข้อมือผมชาเล็กน้อยจากการปัดลูกธนู ดูเหมือนระยะห่างจะลดลงอีก 50 ม. ถ้าระยะห่างลดลงเรื่อยๆจนน้อยกว่า 500 เมตรเมื่อไหร่ผมก็ปัดธนูออกด้วยดาบอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ถ้าผมตั้งใจฝึกดาบมากกว่านี้ผมคงใช้รัศมีคลุมดาบแล้วปัดลูกธนู แต่ที่สำคัญกว่าคือ คนยิงธนูมีความสามารถเกินไป

หากระยะห่างลดต่ำกว่า 500 เมตร ปฏิกิริยาของผมคงไม่รวดเร็วเท่าความเร็วของลูกธนู แน่นอน ผมสามารถใช้รัศมีดาบปัดลูกธนู แต่ใช้เวทสร้างบาเรียจะปลอดภัยกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน หากไม่มีเหตุผลเฉพาะ ผมจะใช้ดาบแก้ปัญหา แต่หลังจากผมเข้าใจเวทมนตร์ดีขึ้นเรื่อยๆ เวทมนตร์กลายเป็นทางเลือกที่เร็วกว่าปลอดภัยกว่าสำหรับผมในป่า

สรุปว่า เพิ่มระยะห่างจากผู้ล่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาพลังเวทของผม ถ้าเพิ่มระยะห่างไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้มันลดมากกว่านี้

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงน่าหวาดเสียวดังจากข้างหลัง

ฟ้าว!

เชี่ย!

ลูกธนูที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานพุ่งตรงมาทางผม ต้องใส่พลังมานาไปเท่าไหร่ถึงทำให้มันฟังเหมือนอากาศถูกฉีกออกนะ? ครั้งนี้ผมไม่คิดว่าจะใช้ดาบปัดได้

บาเรีย! บาเรีย!

พ่อของผมคงต่อยมันได้ แต่ร่างกายของผมไม่ได้รับการฝึกฝนถึงขั้นนั้นในเมื่อผมเป็นนักเวท

หือ?

อัตราการใช้พลังเวทดูน่าเป็นห่วงเมื่อดึงพลังเวทออกมา แต่ผมต้องสร้างบาเรียป้องกันหากไม่อยากตาย

บาเรีย! บาเรีย!

ผมรู้สึกตาลายเมื่อพลังเวทลดลงพรวดๆ หากผมอยู่ในสภาพดีพร้อมคงไม่เป็นไร แต่สภาพร่างกายและจิตใจของผมย่ำแย่เพราะไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ยืดเยื้อนี้

บาเรีย! บาเรีย! บาเรีย!

หลังจากสร้างบาเรียเจ็ดชั้น ผมห้ามตัวเองไม่ให้กระอักเลือด ดึงดาบออกมาตั้งรับ เผื่อว่าบาเรียจะถูกทำลาย

บูม! บูม! บูม! บูม! บูม! กึง?

ลูกธนูทะลุบาเรียห้าชั้นและสร้างรอยร้าวให้ชั้นที่หกซึ่งกระแทกมันออกไปอย่างหวุดหวิด

ห๊า?

ลูกธนูที่กระเด้งออกไปทะลวงพื้นและทำให้เกิดการสั่น

อั่ก!

แม้จะเตรียมตัวไว้แล้วผมยังถูกแรงสั่นทำให้ล้ม อาการวิงเวียนจากการใช้เวททำให้ผมไม่ได้ลุกขึ้นทันที ผมหยิบขวดน้ำที่แขวนข้างกระเป๋าด้วยมือสั่นระริก ดื่มให้หายคอแห้ง หายใจเข้าลึกๆ ผมล้างปากและมองไปตรงที่ลูกธนูปักอยู่

ลูกธนูสร้างหลุมขนาดใหญ่เหมือนมาจากลูกระเบิดมากกว่าลูกธนู นี่ไม่มีทางเป็นพลังที่พี่แมคปล่อยออกมาเพียงคนเดียว เพราะรัศมีก็เหมือนเวทมนตร์ เป็นท่าที่ต้องใช้พลังเวทสร้างขึ้น แต่ถ้าเป็นในหมู่บ้านที่พลังเวทเสถียรเขาอาจทำได้

มันอาจเป็นไปได้ถ้าใช้ท่าที่ไม่ต้องให้พลังเวทออกจากร่างกาย เพราะเมื่อพลังเวทออกจากร่างกายย่อมไม่พ้นถูกพลังเวทรุนแรงในป่าก่อกวน โดยเฉพาะรัศมีที่ยิ่งออกห่างจากร่างกายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสียพลังมากเท่านั้น

การปล่อยลูกธนูที่พลังขนาดนี้ คงไม่แปลกที่คนสัก 20 คนถอนตัวออกไปเนื่องจากพลังเวทหมด ผมเองก็ใช้พลังเวทที่เหลือไป 50% เพื่อหยุดมัน ถึงกระนั้นผลลัพธ์ก็ไม่แย่นัก เพราะต้องมีคนออกจากหน่วยไล่ตามอีกเพื่อส่งนักรบที่พลังเวทหมดกลับบ้าน

ผมลุกขึ้นและวิ่งหนีต่อ ผมตัดสินใจวิ่งให้เร็วขึ้นก่อนการไล่ตามจะเข้มข้นเข้าไปใหญ่ จากจุดที่ผมอยู่ใช้เวลาไม่นานก็ออกจากป่าได้

“เจอนายน้อยแล้ว!”

“จับเขา!”

เวรแล้วไง!

เพราะว่าผมเอาแต่สนใจหน่วยไล่ตามด้านหลังจึงลืมหน่วยที่อยู่ข้างหน้าเสียสนิท พลังเวทเหลือไม่มากแต่ไม่มีทางเลือกนัก

“บิน!”

ผมลอยกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ที่หน้าผา ผมสามารถออมพลังเวทได้ด้วยการควบคุมแรงโน้มถ่วงและลมหนุน แต่การบินแบบนั้นมันช้าและต้องคำนวณซับซ้อนซึ่งไม่เหมาะกับการใช้ในตอนที่ผมรวบรวมสมาธิไม่ได้แบบนี้

ผมรู้สึกขมในปากจากการใช้พลังเวทมากจนรู้สึกเหมือนจะกระอักเลือด

“ยิงเขาลงมา!”

ด้านล่าง ผู้ไล่ตามยิงธนูใส่ผม แต่ผมหลบและบินจากไปอย่างรวดเร็ว ในหมู่บ้านมีนักธนูที่สามารถยิงนกที่บินบนท้องฟ้าลงมาไม่กี่คน ดังนั้นผมจึงหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย

***

เฮสเทียรอข่าวจากหน่วยไล่ตาม พักผ่อนดื่มน้ำชาในศูนย์บัญชาการ เธอเหลือบมองพ่อของเธอ

ดูมสโตนกำลังพิจารณาเอกสารเกี่ยวกับการติดต่อค้าขายระหว่างจักรวรรดิและสาธารณรัฐ

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของป่าโอลิมปัส ติดกับเขตเผ่ากาคือสาธารณรัฐ มันเป็นที่ๆถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนร้างเพราะราชาปีศาจ ดังนั้นจึงกลายเป็นดินแดนแยกตัวโดดเดี่ยว ผลคือการค้าขายทางทะเลพัฒนา แต่พวกเขายังด้อยประสบการณ์ด้านการค้าขายบนบกจึงมักมาหาเผ่ากาให้คุ้มครองขบวนสินค้าบ่อยๆ

ถึงจะบอกว่าอยู่ติดกัน แต่ในทางภูมิศาสตร์แล้วจักรวรรดิกับสาธารณรัฐห่างกันมากเพราะป่าโอลิมปัสและเขตแดนของปีศาจ การค้าขายทางบกระหว่างทั้งสองดินแดนประกอบด้วยเส้นทางค้าขายผ่านเขตแดนของปีศาจ

แม้เผ่ากาที่พวกเขาจ้างมาคุ้มครองขบวนสินค้าจะชำนาญพื้นที่ในป่าโอลิมปัส เหตุผลที่เส้นทางค้าขายต้องอยู่ในเขตแดนของปีศาจก็เพราะรถม้าไม่สามารถผ่านป่าต้นไม้หนาทึบ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันยังปลอดภัยกว่าป่าโอลิมปัสมาก

เขตแดนของปีศาจไม่มีสัตว์ป่าที่เข้มแข็งกว่าปีศาจพวกเขาจึงแค่ต้องเป็นห่วงแต่เรื่องปีศาจ จำนวนปีศาจก็น้อย อาจเพราะพิษของพวกมันทำให้แพร่พันธุ์ยาก ไม่เหมือนกับสัตว์ป่าที่มีจำนวนมาก มากๆ

ก๊อกๆๆ

“ผู้บัญชาการ เราได้ข้อความมา”

เสียงจากข้างนอกดังขึ้น

“เข้ามาได้”

จดหมายจากเจ้าหน้าที่ที่เปิดประตูเข้ามาบอกว่ากลุ่ม 2 ขัดขวางเดนเบอร์ก นายน้อยพยายามบินหนีแต่ต้องหักเลี้ยวไปอีกทางเพื่อหลบลูกธนูจากยามที่รุมยิงเขาจากด้านหลังกลุ่ม 2 สุดท้ายเขาบินไปทางจุดที่กลุ่ม 3 อยู่ตามความตั้งใจของเฮสเทีย

แม้ไม่รู้ว่าเขามีพลังเวทเหลือเท่าไหร่ หลังจากหักเลี้ยวไปแบบนั้นเขาต้องเสียพลังเวทจนทำให้เขารู้สึกเหนื่อยมากๆแน่

“ดูเหมือนว่าใกล้จะถึงตอนจบแล้ว”

นักรบกลุ่ม 2 อยู่ห่างจากชายป่าประมาณ 50 กิโลเมตร กว่าข้อความจะมาถึงหมู่บ้านก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือก็คือ ณ ตอนนี้ เหตุการณ์ที่จะตัดสินชะตาของเดนเบอร์กกำลังดำเนินไป

เอาล่ะ เดนเบอร์ก...

เจ้าจะหนีจากสถานการณ์นี้อย่างไร?

***

สิ่งที่ผมตระหนักขณะบินบนฟ้าคือผมถูกล้อมไว้เรียบร้อย ด้านหลังผม หน่วยนักรบที่นำโดยกาเวนไล่ตามมา ขณะที่ยามที่นำโดยกัลลาฮาดกำลังสร้างวงล้อม

มองลงมาจากด้านบน ผมมองแผนของเฮสเทียออกทันที

การล่าเป็นฝูง!

ผมตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเลยล่ะ สาเหตุที่หน่วยไล่ตามยิงใส่ผมไม่ใช่เพื่อดึงพลังเวทของผม แต่พวกเขาทำตัวเป็นหางเสือควบคุมการเคลื่อนไหวของผม

ป่ากว้าง กว้างขนาดไม่มีทางสร้างวงล้อมได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นก่อนผมข้ามหน้าผา ใช้หน้าผาเป็นตัวกักก็สามารถสร้างวงล้อมได้ง่าย ผมคิดว่าหลังจากข้ามหน้าผาแล้วก็ไม่มีทางล้อมผมได้อีก

ผมคิดผิด ผมลืมไปว่ากำลังถูกไล่ตามโดยนายพรานผู้เชี่ยวชาญและนายพรานที่ว่านั้นถูกสั่งการโดยคนที่ถือเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี

ขณะที่ผมเคลื่อนที่ไปทางชายป่า วงล้อมก็เคลื่อนตามและแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ห่างจากหมู่บ้านเป็นร้อยกิโลเมตร แต่ละหน่วยจึงไม่ได้ติดต่อกับพี่สาวคนโตของผมอย่างใกล้ชิด แต่พวกเขายังทำงานสอดประสานกันอย่างดี

นั่นหมายความว่าพี่สาวคนโตอ่านการเคลื่อนไหวของผมได้สมบูรณ์แบบและส่งคำสั่งออกมาล่วงหน้า

ขณะกำลังบิน ผมรู้สึกว่าพลังเวทลดลงเรื่อยๆจึงตัดสินใจลงพื้น เวลาไม่ได้อยู่ข้างผมเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของผู้ไล่ตาม ชะตากรรมของผมจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าผมจะออกจากป่าได้เร็วหรือไม่

เอาล่ะ นี่คือการผจญภัย




สารบัญ                                        บทที่ 12


ย้ำอีกครั้ง บทหนีออกจากบ้านมี 13 ตอนจ้า ^0^





วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 10

บทที่ 10 – หนีออกจากบ้าน (10)


สามวันแล้วนับแต่วันที่ผมหนี มันเป็นเช้าที่สดใส ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเต็มที่และท้องฟ้าเพิ่งจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า

ผมเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากทำการอบอุ่นร่างกาย

แม้จะมีสุมทุมพุ่มไม้หนาแน่นรอบตัว ผมยังแอบเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่บินขึ้นฟ้า บางครั้งก็เห็นเงาของกวางตัวสามเมตรและแมวตัวห้าเมตร (ขนาดนี้น่าจะเรียกพวกมันว่าเสือเขี้ยวดาบกับเบเฮมอทมากกว่า)

ตอนนี้ ผมกำลังรีบเร่งหาชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข

เมื่อคืน หลังจากใคร่ครวญอย่างหนักถึงวิธีเลี่ยงการแข็งตายโดยไม่ทิ้งร่องรอย ผมก็ตัดสินใจขุดหลุมก่อกองไฟ

การก่อกองไฟเป็นวิธีโง่เง่าที่จะทิ้งร่องรอยชัดเจนให้หน่วยไล่ตามและดึงดูดปีศาจในแถวนั้น แต่ผมไม่มีทางเลือกนัก

หลังจากจุดไฟทิ้งไว้สามชั่วโมง ผมเก็บกรวดหินที่วางในกองไฟเข้ากระเป๋าหนังก่อนออกเดินทาง

ผมนอนตรงที่ห่างจากจุดที่ก่อกองไฟ ใช้ความร้อนจากกรวดหินอบอุ่นร่างกาย ผมเติมฟืนเพิ่มอีกก่อนจากเพียงเพื่อทำให้หน่วยไล่ตามสับสนว่าผมออกเดินทางตอนไหนแน่

ผมกางแผนที่และตรวจทานตำแหน่งที่ผมอยู่อีกครั้ง ตอนนี้แนวป่าอยู่ใกล้ผมมากกว่าหมู่บ้านมาก ถ้าผมอ่านแผนที่ถูกต้อง จุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดที่เป็นจุดตั้งแคมป์ที่ใกล้ตำแหน่งของผมที่สุดนั้นห่างไป 100 กม. หากต้องเลี่ยงเส้นทางบนแผนที่เพื่อหลบหลีกหน่วยไล่ตาม ผมยังต้องเดินทางอีกประมาณ 200 กม.ถึงจะหลุดจากป่า

การบินข้ามเหวทำให้ระยะทางสั้นลงมาก ด้วยระยะทางที่เหลืออยู่เท่านี้ก็เป็นไปได้ที่จะหนีผู้ไล่ตามและออกจากป่าก่อนหมดวัน และเมื่อผมออกจากป่าได้ ไม่ว่าหน่วยไล่ตามจะพยายามวางกับดักสักเท่าไหร่ผมก็มั่นใจว่าจะหนีพ้น

ไม่แค่หนีพ้น ผมยังมีเวลาเล่นกับพวกเขาด้วย แน่นอน มีข้อแม้ว่าผมต้องมีพลังเวทเหลืออีกเยอะ

ตอนนี้ผมมีพลังเวทสำรองอยู่ประมาณ 56% ผมคงฟื้นพลังเวทเต็มไปแล้วถ้าเป็นในหมู่บ้าน แต่เพราะพลังเวทที่พลุ่งพล่านในป่า ผมจึงฟื้นพลังเวทได้ช้าลง

***

นอกจากแนวหน้าหยิบมือหนึ่ง ทุกคนมารวมกันที่จุดตั้งแคมป์ที่เจ็ด นักรบที่กาเวนนำมา กัลลาฮาดและยามของเขา กระทั่งหน่วยที่ไปไกลที่สุดที่ถูกส่งไปตามทางบนแผนที่ ทั้งหมดมารวมกันที่นี่ตามคำสั่งของเฮสเทีย

แม้หน่วยนักรบของกาเวนจะได้นอนเพียงสี่ถึงห้าชั่วโมงเพราะพลาดจากเดนเบอร์กที่เหว มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพวกเขา พวกเขาสามารถไม่นอนติดต่อกันสองคืนขณะออกล่าในป่า

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ เช่นเดียวกับกัลลาฮาดที่อยู่ต่อหน้ากาเวน

“เฮ้ เราจะจับเดนเบอร์กได้ไหม?” เสียงกัลลาฮาดขาดความเชื่อมั่น

กัลลาฮาดไม่ได้เห็นแม้แต่เสี้ยวหน้าของเดนเบอร์กตลอดการไล่ตาม เขาคงกำลังคิดว่าตัวเองไม่มีส่วนช่วยในการไล่ตาม แต่เขาไม่อาจแยกจากตำแหน่งที่ถูกมอบหมายได้ น่าเสียดายแต่นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้

ป่าเป็นบ้านของนักรบ และยามไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในที่นี้ อีกอย่าง วงล้อมของกัลลาฮาดเป็นส่วนสำคัญของแผนที่ไม่อาจเอาออก

แทนที่จะปลอบใจพี่ชาย กาเวนส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้ การไล่ตามมันเปลี่ยนเป็นเกมระหว่างเดนเบอร์กกับเฮสเทียไปแล้ว ข้ากับเจ้าไม่ได้ฉลาดนัก”

“จริง เลชา เจ้าคิดว่าไง?” กัลลาฮาดหันไปทางเลชา เธอติดมาด้วยเพื่อแนะนำเรื่องเวทมนตร์ของเดนเบอร์กให้พวกเขา

เดิมที กาเวนสงสัยว่าเดนเบอร์กหรือเลชาจะทำอะไรได้ในป่าที่พลังเวทพยศแบบนี้ แต่การเห็นน้องชายของเขาบินข้ามหน้าผาเปลี่ยนความคิดเขาและตอนนี้เขาดีใจที่มีน้องสาวอยู่แนะนำเขา

“ข้าก็อยากฟังเหมือนกัน คำแนะนำจากนักเวทเหมือนเดนเบอร์กจะช่วยได้มาก”

เลชาเป็นนักเวทและฉลาด พวกเขาจึงคาดหวังนิดๆว่าเธออาจอ่านความคิดของเฮสเทียและเดนเบอร์กได้

แต่เธอส่ายศีรษะเคร่งขรึม “ข้าไม่รู้ พูดตรงๆนะ ข้าไม่เชื่อตอนฟังว่าเดนเบอร์กบินข้ามรอยแยก”

“มันน่าประทับใจจริงๆนั่นล่ะ แต่เจ้าก็เป็นนักเวทเหมือนเขา” กาเวนพูด

เลชาส่ายหน้าอีกครั้ง ดูเหนื่อย “ไม่ พวกเราคนละระดับกันเลย เดนเบอร์กเป็นจอมเวทที่ข้าไม่มีทางไล่ตามทัน กาเวน เจ้าก็รู้สินะเพราะเจ้าก็เคยเรียนเวทมนตร์มา”

“ไม่ ความรู้ของข้าก็แค่จุดไฟหรือเสกน้ำ ข้าจึงไม่เข้าใจท่าทีของเจ้า แต่ข้าเข้าใจดีว่ามันน่าประทับใจขนาดไหนที่เดนเบอร์ก-”

เลชาพูดขัดกาเวน “ไม่ พี่ไม่เข้าใจ สิ่งที่เดนเบอร์กทำตรงรอยแยกไม่ใช่แค่มหัศจรรย์ ด้วยความสามารถแบบนั้น ถ้าเดนเบอร์กร่ายเวทด้วยทุกอย่างที่เขามีนอกป่า ภัยพิบัติที่เขียนไว้แต่ในตำนานจะเกิดขึ้น”

ดวงตาเลชาเต็มไปด้วยความเกรงขาม เหมือนของกัลลาฮาดและกาเวนยามพวกเขามองดูมสโตน หรืออาจจะยิ่งกว่า

ถ้าเดนเบอร์กอยู่ที่นี่ เขาจะคิดว่าเป็นปฏิกิริยาที่เกินเลยไปแล้วกับแค่การบินบนท้องฟ้า

ทันใดนั้นเอง คนจากกระทรวงต่างประเทศก็วิ่งมาพร้อมกับจดหมายในมือ

“แม่ทัพ มีข้อความจากผู้บัญชาการครับ”

กัลลาฮาดรับจดหมายมาอ่านออกเสียง

ตอนนี้ นักรบ 300 คนจะแบ่งเป็นสามกลุ่มเท่ากัน

นักรบกลุ่ม 1 ให้ไล่ตามร่องรอยของเดนเบอร์กต่อไป เมื่อพบตัวเขาแล้วอย่าเข้าไปใกล้เกินไป

นักรบกลุ่ม 2 ให้ตรงไปจุดสีน้ำเงินบนแผนที่ก่อน 9 น. และรอ

นักรบกลุ่ม 3 ให้ไปที่จุดสีแดงก่อน 10 น.

ยามให้แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน ยามกลุ่มแรกให้สร้างวงล้อมเริ่มจากจุดเริ่มต้นของนักรบกลุ่ม 1 ถึงจุดหมายของนักรบกลุ่ม 3 ก่อนเที่ยง ให้รักษาตำแหน่งนั้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งอื่น

ยามกลุ่มที่สองให้ตามนักรบกลุ่ม 2 ไปและสร้างวงล้อม ระยะห่างระหว่างสองกลุ่มควรไม่น้อยกว่า 1 กม.

แผนผังที่เฮสเทียวาดบนแผนที่มองเหมือนสามเหลี่ยมที่รอยแยกและเส้นทางของกระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่เป็นด้าน แม้ว่ามันจะดูโค้งเกินกว่าจะเป็นสามเหลี่ยมจริงๆ

“เฮ้ รู้ไหมทำไมพวกเราเคลื่อนที่แบบนี้?”

กัลลาฮาดกระซิบถามใส่หูกาเวน คนหลังส่ายศีรษะ

“ถ้าข้ารู้ ตอนนี้ข้าก็อยู่ในหมู่บ้านไปแล้ว”

***

10:03 น.

ผลจากการผลีผลามบินข้ามรอยแยกของผม เมื่อวานหน่วยไล่ตามจึงเสนอการท้าทายใหม่ ผมเชื่อว่าควรจะวางแผนใหม่เพื่อตอบรับการท้าทายของพวกเขา

ผมสำรวจแผนที่และพยายามอ่านแผนการของเฮสเทีย ถ้าผมเป็นเธอ ผมจะพยายามตรวจสอบตำแหน่งของผมใหม่

ก่อนผมข้ามรอยแยก รอยแยกทำหน้าที่เป็นบาเรียที่ทำให้ปิดล้อมผมได้ง่าย ตอนนี้ นอกจากทิศของรอยแยก ด้านสามด้านที่เหลือเป็นพื้นที่ว่างและต้องใช้กำลังคนมากเกินไปถ้าจะปิดล้อมผมอย่างสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้ เธอต้องหาตำแหน่งของผมให้ชัดเจนเพื่อสร้างวงล้อมที่มีประสิทธิภาพ และดึงเรี่ยวแรงไปจากผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมเป็นสิ่งผิดปกติที่สามารถบินข้ามรอยแยก 10 กม.ทั้งๆที่ควบคุมพลังได้ไม่เต็มที่ พูดอีกอย่างคือ ผมสามารถบินข้ามวงล้อมได้ตราบใดที่ยังมีพลังเวทเหลืออยู่ เพราะเหตุนี้ เฮสเทียต้องดึงพลังเวทไปจากผมให้มากที่สุด

แม้ผมจะมีพลังเวทเหลือมากกว่าที่คิด การใช้มันแบบไม่ยั้งคิดในสภาพแวดล้อมที่อัตราฟื้นฟูน้อยกว่าหนึ่งในร้อยของอัตราการใช้ย่อมส่งไปสู่การถูกจับ

ข้อได้เปรียบเดียวสำหรับผมหากเฮสเทียใช้แผนดูดพลังเวทไปจากผม นั่นคือ เธอต้องสร้างวงล้อมให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถ้าให้อธิบาย มาตอบคำถามกัน ‘สภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการใช้เวทเป็นแบบไหน?’

แม้คำตอบจะประกอบด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ถ้าเราไม่สนเรื่องความยากง่ายของการร่ายเวท ปัจจัยเด่นชัดที่สุดคือสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนไล่ตามผม ผมคงไม่อยากใช้เวทมนตร์เพราะอาจไปทำร้ายคนไล่ตาม แต่ถ้าผู้ไล่ตามอยู่ห่าง ผมก็สามารถร่ายเวทได้ง่ายๆเพื่อถ่วงเวลาพวกเขาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ถ้าพวกเขาแค่จะไล่ตามผม ผมก็สามารถวิ่งหนีเหมือนเดิม แต่ถ้าเป้าหมายของพวกเขาคือทำให้ผมเสียพลังเวท คอยโจมตีผมย่อมดีกว่า

และผมก็จะไม่มีทางอื่นนอกจากโต้กลับ

ความคิดแรกที่ผุดในหัวของผมคือพวกเขาอาจยิงธนูใส่ แต่พวกเขาจะยิงใส่คนในครอบครัวเชียวเหรอ

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปที่ได้คือถ้าพวกเขาขยายวงล้อม วงล้อมย่อมบางลงด้วย

แต่ผมสงสัย... พวกเขาจะยิงธนูใส่ฉันเลยทีเดียวเชียวรื้อ?

***

กาเวนนำนักรบกลุ่มแรกไปถึงจุดที่ยามเจอเดนเบอร์กครั้งล่าสุด เป็นเรื่องดีที่เขาสามารถลงจากเหวและมาถึงตรงนี้รวดเร็วโดยไม่ต้องฝ่าป่า

ร่องรอยของเดนเบอร์กตรงนี้หาพบง่าย เพราะหลังจากใช้พลังเวทและเข้าสู่การปะทะครั้งใหม่ทันที ทำให้เขาเดินทางโดยไม่ได้ลบร่องรอย ผิดจากตอนเริ่มไล่ตาม คราวนี้หน่วยไล่ตามสามารถเคลื่อนที่ตามร่องรอยของเดนเบอร์กที่มีอยู่ทั่วได้อย่างรวดเร็ว

“กองไฟ?” นักรบที่นำทางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

กาเวนยิ้มเมื่อเห็นร่องรอยการก่อกองไฟ นี่แสดงว่าเดนเบอร์กทนความหนาวไม่ไหวและพ่ายแพ้ต่อป่า ดูเหมือนเหตุผลที่ร่องรอยของเขาก่อนหน้านี้ชัดเจนนักเพราะเดนเบอร์กรู้ว่าพวกเขาจะเห็นกองไฟที่นี่ ดังนั้นการลบร่องรอยจึงเปล่าประโยชน์

กองไฟเป็นตัวบอกว่ากาเวนและนักรบตามมาถูกทาง นี่คือเหตุผลว่าทำไมกองไฟจึงเป็นสิ่งต้องห้ามขณะหลบหนี มันทำหน้าที่เหมือนหลักกิโลเมตร

กระทั่งนักล่าที่จัดเจนยังไม่สามารถลบร่องรอยการใช้กองไฟได้หมด แม้จะใช้ดินกลบ แต่สีดินก็จะเปลี่ยนไปชัดเจน

ที่จริงแล้ว ร่องรอยของเดนเบอร์กที่ผ่านมานั้นถูกอำพรางอย่างดีจนบางครั้งร่องรอยจะนำไปสองทางตรงข้ามกันหรือจู่ๆก็หายไป บางครั้งก็ไม่รู้ว่าร่องรอยมันเป็นของเดนเบอร์กหรือสัตว์ป่า สัตว์ประหลาดหรือปีศาจ

“แปลก”

แปลก กองไฟไม่มีร่องรอยของการกลบเกลื่อนเลย

“ร่องรอยของเดนเบอร์กไปทางไหน?”

“เอ่อ... ข้าหาไม่เจอ”

“อะไร? เขาลบร่องรอยไปเหรอ? หรือเขาบิน?”

การบินในป่าเป็นข้อสันนิษฐานไร้สาระจนกระทั่งเมื่อวาน ตอนนี้มันต้องถูกนำมาคิดแล้ว

กาเวนเริ่มปวดศีรษะเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้น

“แม่ทัพ ไม่มีร่องรอยว่านายน้อยนอนอยู่ที่นี่เลย”

กาเวนสับสนกับคำพูดของแมค

กับดักเหรอ?



สารบัญ                                              บทที่ 11