วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 185


บทที่ 185 – ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย (1)


เฮเรส เทพแห่งเวลา
เทพผู้มีบันทึกว่าเกิดพร้อมกับอัลเฟน แต่ไม่มีสาวกมากนัก ที่จริงแล้วตัวตนของเขาไม่ถูกเล่าขานจนคนธรรมดาไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ
มีแต่เหล่านักบวชของเขาที่บูชาเฮเรส การเผยแพร่ความเชื่อก็เป็นไปอย่างลับๆ พวกเขาแอบเดินทางไปทั่วดินแดนและเปิดประตูต้อนรับแต่ผู้สืบทอดของเหล่านักบวช
มีแต่บรรดานักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวที่รู้ถึงตัวตนของเฮเรส
นิกายอันลึกลับของเทพอยู่บนดินแดนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
ม้าปีศาจตัวหนึ่งกำลังวิ่งบนดินแดนนี้
“ฮ้า”
ลมหายใจสีขาวออกมาจากปากลาตาชา
ลอร์ดแห่งเอลฟ์ถูกเลือกให้เป็นคนนำทางอีกครั้งเพราะรู้ที่ตั้งของวิหารเฮเรสและมีสายตาดี
“เธอแน่ใจนะว่าเรามาถูกทางแล้ว?”
“แน่ใจ”
“ฉันไม่เห็นที่นี่มีอะไรเลย”
วูจินงง แต่ชิงชิงไม่หยุดวิ่ง
“มันอยู่บนดินแดนน้ำแข็ง วิหารเฮเรสอยู่ตรงที่ลึกและหนาวที่สุด”
“มันควรจะเป็นที่ไหนล่ะ?”
“เห็นแล้ว”
วูจินตาเป็นประกายเมื่อมองตามที่ๆลาตาชาชี้ ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเหนือดินแดนราบเรียบ
พอเข้าไปใกล้มากขึ้น วูจินก็ตาโตขึ้นเรื่อยๆ
มันไม่ใช่ภูเขา
“ปราสาทน้ำแข็ง?”
“ถูกต้อง”
ปราสาทน้ำแข็งตั้งบนที่หนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่ปราสาทมีขนาดใหญ่เท่าภูเขาเซารุส
“ฮ้า”
มันเกินกว่าใหญ่ ขนาดอันมหึมาทำให้แม้แต่วูจินยังอึ้ง เช่นเดียวกับลาตาชา
ข้อมูลของสถานที่นี้สืบต่อมาด้วยการบอกเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นที่นี่
“เข้าไปข้างในเถอะ”
พวกเขาเดินรอบปราสาทจนเจอทางเข้าสูงครึ่งหนึ่งของปราสาท เมื่อม้าปีศาจเดินไปใกล้ก็เห็นประตูเล็กมากแค่พอให้คนเดินผ่านบานหนึ่ง
ลาตาชาเคาะประตูแล้วหันไปบอกวูจิน
“ข้าว่ามันถูกล็อก”
“หลีกหน่อย”
เขาไม่เห็นลูกบิดหรือรูกุญแจ เมื่อแตะประตู เขารู้สึกถึงความเย็น
วิ้ง
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”
ลาตาชาพยายามหยุดวูจินเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของพลังเวท
วูจินรวมพลังไปที่ฝ่ามือแล้วระเบิดประตู มันกระเด็นไปข้างใน
“เปิดแล้ว”
“ทำไมเจ้าหยาบคายนัก?”
“เธออยากให้ฉันเคาะประตูแล้วรอให้คนมาเปิดเหรอ?”
“...”
ลาตาชาไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม
ผู้ไม่ตายไม่ใช่คนที่เหมาะแก่การให้เธอสอนเรื่องมารยาท ลาตาชาทำแก้มป่องแล้วหันหน้าไปทางอื่น
วูจินไม่สนใจ เขาเริ่มเดินขึ้นบันไดน้ำแข็งยาว
“ทำไมมืดจัง?”
“รอสักครู่”
ลาตาชาสะบัดมืออย่างสง่างามแล้วเอามาซ้อนกัน
ภูติตัวเล็กๆที่สร้างจากแสงปรากฏบนฝ่ามือ มันยิ้มสดใสแล้วลอยไปนำทาง
“มันคือภูติแสง”
“ฉันไม่ได้ขอ”
“เฮ้อ...”
ลาตาชาส่ายหน้าพลางเดินนำหน้า พวกเขาเดินขึ้นบันไดจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เมื่อไปสุดทางก็มีประตูบานหนึ่ง
ประตูเหล็กมีที่จับฝังลึกไม่เหมือนประตูบานก่อน ลาตาชาดึงสุดแรงแต่มันไม่เปิด
“เจ้าจะระเบิดมันอีกไหม?”
“แน่นอน”
วูจินแตะประตู รวมพลัง แต่ประตูเปิดก่อนจะทันระเบิด
“...”
ลาตาชามองผ่านรอยแง้มแล้วถามผู้ไม่ตาย
“จะเอายังไง? เราเข้าไปไหม?”
“เข้า”
เมื่อพวกเขาเข้าไป ประตูปิดและลงกลอนเอง
“...”
วูจินขมวดคิ้ว ลาตาชาตกใจ
“ก...เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้ยินเสียงของลม”
วิหารตัดขาดคนที่อยู่ข้างในจากข้างนอก ดูเหมือนไม่ได้มีแต่ผู้ไม่ตายที่ถูกริบพลังไป ลาตาชาก็สูญเสียพลัง ความรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
“ออก... ออกไปกันเถอะ นี่มันอันตรายเกินไป”
“ไม่เป็นไร มันเป็นแบบนี้ทุกที เราจะออกไปหลังจากได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“แต่...”
ลาตาชาขมวดคิ้ว แต่ยอมรับเมื่อเห็นสีหน้าผู้ไม่ตายว่านี่เป็นเรื่องปกติ
วูจินเดินเหมือนเขาคุ้นกับเรื่องนี้
“ไม่ใช่ยานอวกาศ...”
แสงสว่างจากเพดานทำให้เขานึกถึงวิหารอาเรีย
เขาไม่ต้องไปวิหารของสเกีย,ลีเซีย,และคัวร์เพื่อดูว่าข้างในเป็นอะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังสงสัยว่าทำไมเทพ 5 องค์นี้จึงมีรหัสหลักของอัลเฟน...
พวกเขาเดินไปตามทางเดินยาวมาถึงทางแยก พื้นที่แบ่งเป็นส่วนต่างๆ พวกเขามาถึงประตูแต่ไม่มีบานไหนเปิด
วูจินลองต่อยประตู แต่เขารู้ว่ามันไม่พังง่ายๆ
“เรา...จะไปต่อไหม? หรือว่าเทพเฮเรสโกรธที่เราบุกเข้ามา?”
“ไม่รู้สิ”
อาจเป็นเพราะว่าขาดพลัง ลาตาชาพูดเก่งผิดปกติ
นักบวชต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง พวกเขาตามหาต่อไป
“เฮ้อ”
ถ้าเขามีพลัง...เขาจะให้กาเกบิสำรวจพื้นที่ น่าเสียดายที่ทำไม่ได้
วูจินเดินไปทั่วทางเดินและร่างแผนที่ขึ้นในหัว เขามาถึงประตูที่มีลูกบิดแปลกไปจากประตูอื่น เขาเปิดมัน
แค่ออกแรงเบาๆประตูก็เปิดออก ภาพในห้องคุ้นตาวูจินแต่ไม่คุ้นตาลาตาชา
“โต๊ะพูลกับตู้เย็น...”
มันเป็นห้องค่อนข้างกว้าง มองปราดเดียวก็รู้ว่าใช้เป็นห้องพักผ่อน วูจินเปิดตู้เย็นและเห็นโค้ก
“นี่...”
วูจินเปิดกระป๋องดื่ม ลาตาชาตกใจ
“ถ้า...มันมีพิษล่ะ”
“เธอลองดื่มสิ”
วูจินโยนกระป๋องโค้กอีกกระป๋องให้ลาตาชา เธอรับไว้แล้วมองมันอย่างสงสัย
ลาตาชาพยายามเปิดกระป๋องอย่างงุ่มง่าม วูจินยิ้มแล้วมองรอบๆ
เขาเห็นโซฟาและโทรทัศน์ ถัดจากจอโทรทัศน์เขาเห็นห้องล็อกเกอร์ เขาเห็นตัวอักษรคุ้นตาบนล็อกเกอร์แต่ละตู้ วูจินหรี่ตา
เขาอ่านบางตัวออก
“เซาเรีย อิเอลโล กัง นาตามูเบ...”
ล็อกเกอร์ 8 ตู้ ตัวอักษรที่คล้ายภาษาอังกฤษ แต่วูจินไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เขาไม่แน่ใจว่าอ่านถูกหรือเปล่า
ถ้านี่เป็นยานอวกาศก็ควรจะมีลูกเรือ ถ้าเป็นอาคารก็ต้องมีคนดูแล
เขาเปิดล็อกเกอร์ทั้งหมดแต่มันว่างเปล่า
เขาสำรวจทุกอย่างในห้องพักและแน่ใจได้อย่างหนึ่ง
ที่นี่กับโลกมีความเกี่ยวข้องกัน
วูจินสำรวจห้องเสร็จและกำลังจะออกไปเมื่อลาตาชาเปิดกระป๋องได้
“ว้าว”
เธอมองมันด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม ดื่มไปสองอึกแล้วพ่นน้ำออกมา
“อั่ก! ว่าแล้ว มันมีพิษ!
ลาตาชารู้สึกคันคอเมื่อคาร์บอเนตโจมตี เธอกุมคอกลิ้งไปบนพื้น เธอรู้สึกถึงแรงที่ขึ้นมาจากท้องและอ้าปาก
เรอ
ลาตาชาหยุดกลิ้งและนอนนิ่งมองเพดานอย่างแปลกใจ วูจินถอนหายใจ
“เลิกเล่นได้แล้ว ไปเถอะ”
“...”
“มัวทำอะไรอยู่?”
ลาตาชาหน้าแดงด้วยความอายแต่เธอลืมตาโต
“ตรงนั้นมีอะไรเคลื่อนไหวด้วย!
“หา?”
วูจินมองไปที่ลาตาชาชี้ เขาเห็นกล้องเล็กๆติดบนเพดานใกล้ครัว
“โฮ่”
ดูเหมือนมีใครบางคนอยู่ที่นี่
วูจินเดินไปใกล้กล้องและยิ้มกว้าง
“ในเมื่อเชิญฉันมา เราควรจะคุยกันต่อหน้าดีไหม?”
พูดตรงๆไม่มีใครเชิญเขา แต่วูจินส่งคำเตือนไปยังเจ้าของวิหารที่ไม่เป็นมิตร
“ฉันเห็นเครื่องมือตรงนั้น ถ้านายไม่ออกมา ฉันจะทำลายทุกอย่าง”
เขาขยิบตาให้กล้องแล้วเดินไปทางถุงใส่เครื่องมือ
“ทำอะไรอยู่? มาถือด้วยสิ”
“ได้”
วูจินดึงค้อนถอนตะปูแล้วส่งถุงให้ลาตาชา...
“อา”
ถุงค่อนข้างหนัก เธอเป็นผู้หญิงแต่รับน้ำหนักได้อย่างไม่กินแรงนัก
พลังเวทของลาตาชาหายไป แต่พละกำลังของลอร์ดเอลฟ์ยังอยู่
“เอาล่ะ เริ่มเลยดีไหม?”
ถ้าประตูถูกล็อก เขาจะฝืนเปิดมัน
วูจินออกจากห้องเพื่อไปพังประตู
ตอนนี้เองที่แสงสว่างขึ้นบนทางเดิน
ลูกศรเรืองแสงนำทางบนพื้น
“โฮ่ น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก”
วูจินกับลาตาชาเดินผ่านทางเดินที่เหมือนเขาวงกตไปตามลูกศรบอกทาง พวกเขามาถึงโถงใหญ่
ประตูสองข้างเปิดออก พวกเขาเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง
“พื้น...พื้นกำลังสั่น”
“มันเรียกว่าลิฟต์”
“...”
ลาตาชาจับที่จับแน่นเหมือนกำลังตกใจ วูจินมองแล้วรู้สึกตลก
เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง พวกเขาออกมายังห้องโถงขนาดใหญ่
วูจินเดินต่อ ถือค้อนหงอนยาวเท่าไม้เบสบอลไปด้วย
เขาเห็นจอคอมพิวเตอร์วางอยู่เต็ม
มีจอหนึ่งที่วางตรงตำแหน่งสำคัญที่สุด จอกำลังฉายภาพอยู่
ชายหัวล้านยืนในจอด้วยรอยยิ้มสงบ
“ทำยังไงดี? ข้าคิดว่าเขาถูกขังไว้ในนั้น”
“เธอไปยืนตรงนั้นเถอะ...”
“ได้...”
วูจินให้ลาตาชาไปอยู่ห่างๆ จากนั้นเรียกคนในจอ
“เฮเรส?”
[ใช่]
“ไม่สิ ฉันควรจะเรียกนายเป็นหนึ่งในลูกเรือไหม?”
[...ที่จริงมันไม่เหมาะทั้งสองอย่าง ถ้าเจ้าถามว่าทำไมที่นี่ไม่มีใคร พวกเขาไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว]
“ฉันไม่คิดจะเล่นถามปัญหาเชาว์กับนาย ส่งเข็มขัดมา”
[หืม เจ้าคงมีคำถามหลายข้อ ไม่ถามข้าเหรอ?]
“นายจะตอบไหมล่ะ?”
[แน่นอน]
“อารยธรรมโบราณของอัลเฟนเกี่ยวข้องกับโลกหรือเปล่า?”
[ข้าแค่บันทึก ข้าไม่มีสิทธิ์อ่านบันทึก]
“นาย...”
เฮ้อ ด่าไปก็ไม่ได้อะไร แทนที่จะด่าให้เหนื่อย เฉยไว้ดีกว่า
ต่อให้ไม่ได้คำตอบ เขาก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่นัก
“เอาเข็มขัดมา”
[ข้าให้ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้]
“พูดไร้สาระอะไรอยู่?”
[ข้าจะให้เจ้าเมื่อถึงเวลา]
“เวลาอะไร?”
[...]
ชายหัวล้านไม่ตอบ วูจินเริ่มสบถ
“นายอยากตายเรอะ?”
[เจ้าทำลายระบบของข้าไม่ได้ เจ้าไม่อาจเข้าใกล้ตัวตนของเซอร์เวอร์ข้าได้]
“...”
วูจินขมวดคิ้วแน่น
“เซอร์เวอร์? เทพอย่างพวกนายมีเป้าหมายอะไร?”
[เราต้องการรักษาและปกป้องอัลเฟน แค่นั้น]
“เฮ้อ”
วูจินส่ายหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอเทพที่คุยด้วยยากกว่าอาเรีย
สรุปว่าเทพเหมือนไฟร์วอลที่ปกป้องโลกนี้
แต่เทพชอบพูดให้คลุมเครือ ยิ่งเทพองค์นี้พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมทำให้วูจินเลือดร้อน
“ถ้านายไม่ให้ ฉันจะไปหามันเอง”
[เจ้าไม่อาจหา...]
วูจินเอาค้อนฟาดหน้าจอ
หน้าจอเกิดประกายไฟ และจอถัดจากมันก็ติดขึ้น
[เจ้าไม่อาจหาเจอ]
“ฮะ”
วูจินพังอีกจอ และอีกจอก็ติดอีก
[กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงเวลา ข้าจะมอบ กุญแจให้]
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะหาเอง!
วูจินทำลายหน้าจอต่อไป ลาตาชาจ้องเขาจากมุมห้องตาโต
เธอไม่เคยเห็นผู้ไม่ตายดูตื่นเต้นขนาดนี้

***

ต้นไม้โลก ภูเขาเซารุส
“เด็กพวกนี้นี่! ถ้ามาทำอาหารที่นี่จะถูกลงโทษนะ!
“ว้าก ทหารมา”
เชฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อมมาถึงหน้าไฟที่ไม่มอดดับ มันถูกเรียกว่าลมหายใจสุดท้ายของราชาภูติไฟ เด็กๆที่เล่นแถวนั้นหัวเราะพลางวิ่งหนี
“เฮ้อ เมื่อไหร่กรรมการของเราจะกลับมานะ”
ตั้งแต่ข้ามมายังอัลเฟน พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับวูจินนัก โดเจมินก็กลับโลกไปแล้วและซุงกูกลายเป็นไฟดวงนี้
วิ้ง
อุโมงค์สั่นและเรืองแสง มันอยู่ตรงหน้านี้เองแต่พวกเขาข้ามไปไม่ได้
“ใครน่ะ! เอ๋? สตรีศักดิ์สิทธิ์”
ฮีซอลยิ้มให้เมโลดี้ที่เดินช้าๆมาทางต้นไม้โลก ไม่ว่าจะเป็นที่โลกหรืออัลเฟน พลังรักษาของเธอเป็นพลังที่ยอดเยี่ยม ทุกคนในสหพันธ์ชอบเธอ
“ฉันมาเพราะอยากจะคุยกับต้นไม้โลก”
“เอ๋? เอ่อ... เชิญค่ะ”
ต้นไม้โลกสำหรับฮีซอลแล้วเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอาณานิคม แต่ต้นไม้โลกมีความหมายพิเศษสำหรับชาวอัลเฟน
“ขออยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหม?”
“อืม ก็ได้ค่ะ”
ฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อมมองเมโลดี้พลางเดินออกห่างจากต้นไม้โลก
เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงคนเดียวต่อหน้าต้นไม้โลก เธอเงยหน้ามองมันด้วยใจหนักอึ้ง

สารบัญ                                   บทที่ 186




4 ความคิดเห็น:

  1. รออ่านทุกอาทิตย์เลยครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่น้าาา ถ้าวูจินโกรธจะทำลายโลกก่อนจะช่วยเสร็จซะมากกว่ามั้ย คิดดีๆนะเมโลเดี้

    ตอบลบ