วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 186


บทที่ 186 – ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย (2)

ทวยเทพถูกต้องเสมอหรือ?
เมื่อเมโลดี้เกิดความคิดขัดแย้งนี้ขึ้นก็รู้สึกทรมาน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จนทำให้เธอสั่นไหวไปถึงข้างใน
“เฮ้อ”
แม้จะกังวลอยู่กับปัญหานี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็มีแต่ถอนหายใจ
เทพีต้องการให้เธอเผาต้นไม้โลก...
ทำไมจึงส่งคำสั่งแบบนี้มา?
ต้องการกีดกันไม่ให้คังวูจินกลับโลก? หรือต้องการเป็นศัตรูกับเขา?
เพราะเธอไม่เข้าใจจึงทรมาน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเกิดความสงสัย
เธอเคยถือคำของเทพีว่าถูกต้องเสมอ และเธอปฏิบัติตามเสมอ
เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพีแห่งการทำนาย หรือเธอเป็นเพียงหุ่นเชิด...
เมโลดี้ยืนนิ่งมองต้นไม้โลก
สีหน้าเธอเปลี่ยนไปมา สุดท้ายเธอส่ายศีรษะ
“นี่ไม่ถูกต้อง”
การเผาต้นไม้โลกหมายถึงอะไร?
ดันเจี้ยนวิหารของราห์ทถูกเซลรัคพิชิตไปแล้ว คังวูจินจึงเหลือแต่อาณานิคมเซารุส
ถ้าเธอเผาต้นไม้โลก การเชื่อมต่อระหว่างโลกกับอัลเฟนจะขาดไป
ยิ่งกว่านั้นเธอไม่แน่ใจว่าจะทนความโกรธของผู้ไม่ตายได้ถ้าเขารู้ทีหลัง ประตูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับให้เขากลับโลก
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เมโลดี้ก็สรุปไม่ได้ว่าการเผาต้นไม้โลกเป็นการทำเพื่อโลกและอัลเฟน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เมโลดี้ตัดสินใจไม่ทำตามเสียงของเทพี
ยิ่งกว่านั้น...
“ข้าทำไม่ได้...”
ผลกระทบจากการตัดสินใจของเธอไม่เล็กเลย
“อา...”
การถูกเทพลงโทษรู้สึกแบบนี้หรือ?
มันเหมือนวิญญาณของเธอสั่นสะเทือน
ความรู้สึกต่างไปจากความเจ็บปวด เธอรู้สึกร่างของเธอถูกครอบงำด้วยความรู้สึกไร้พลังและเปล่าประโยชน์ เหมือนบางสิ่งที่สำคัญถูกดึงออกไป เมื่อความรู้สึกดังกล่าวสงบลง เมโลดี้รู้ทันทีว่าอะไรหายไป
พลังที่เธอเคยมีเสมอ พลังที่เธอรู้จักดี
“ข้าหันหลังให้เทพี...”
เธอไม่รู้สึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ
เมโลดี้มองมืออย่างอ่อนแรง เทพีไม่ได้ทิ้งเธอ เธอทิ้งเทพีก่อน...
เธอรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกยึดคืนไป การลงโทษทำให้เธอรู้สึกผิดน้อยลง
“จบแล้ว”
ผู้ไม่ตายไม่เสียทางกลับบ้าน เทพยากรณ์ของเทพีพลาดไป ไม่ใช่ เมโลดี้เป็นคนทำให้มันผิดพลาด
เมื่อคังวูจินยังสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกได้ เขาจะไม่เสียสิ่งสำคัญไป
“เฮ้อ”
เมโลดี้ทรุดลงและเงยหน้ามองต้นไม้โลก
ลมพัดใบไม้ไหวเหมือนคลื่น เหมือนต้นไม้กำลังปลอบใจเธอ
เช่นเดียวกับไฟของซุงกูที่กำลังสั่นไหว...
วิ้ง
ตอนนั้นเอง อุโมงค์ส่องแสงและคนๆหนึ่งออกมา
“ผู้ไม่...”
เมโลดี้คิดว่าเป็นผู้ไม่ตายจึงยืนขึ้นต้อนรับเขา แต่ที่ออกมาจากอุโมงค์เป็นคนอื่น ไม่ใช่แค่คนเดียว
“โฮ่ ที่นี่คืออัลเฟนเหรอ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปถามพวกเขา
“พวกคุณเป็นใคร?”
“อ๊ะ คุณคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ ผมเคยเห็นคุณที่อเมริกา ผมชื่อนากามูระ”
“อา...”
เมโลดี้จำเขาได้
เธอเคยรวบรวมเราส์ของโลกเพื่อขอให้พวกเขาเดินทางมาช่วยเหลืออัลเฟน แต่กิลด์ดาเคนของญี่ปุ่นต่อต้านความคิดนี้ พวกเขายกเรื่องผลประโยชน์ขึ้นมาคัดค้าน
แต่ด้วยการปรากฏตัวของคังวูจิน แผนการตั้งกองกำลังส่งมาอัลเฟนก็หมดไป นี่คือสิ่งที่เมโลดี้จำได้...
“ดูเหมือนทีมทำความสะอาดมาถึงแล้ว”
“ใช่แล้ว ผมเป็นทีมทำความสะอาดจากโลก เรามาช่วยซ่อมแซมอัลเฟน”
นากามูระหัวเราะจนเห็นฟันขาว
“ผมชื่อ มาสุโระ นากามูระ ผมรับผิดชอบทีมจากกิลด์ดาเคน”
เมโลดี้เขย่ามือกับนากามูระอย่างงงๆ เธอรู้สึกอันตราย แม้จะไม่มีพรจากเทพีแห่งการทำนายแล้ว สัญชาติญาณของเธอบอกให้ระวังชายคนนี้ไว้
“เราเป็นทีมทำความสะอาดชุดแรก ไม่นานจะมีทีมที่สองและสามตามมา”
“...นั่นเป็นข่าวดี”
นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือ? เราส์จากโลกมาสู้เพื่ออัลเฟน เธอควรขอบคุณพวกเขา
แต่บางสิ่งรบกวนใจเธอ มันคือดวงตาที่ส่อแววละโมภของพวกเขา
“ช่วยอธิบายสภาพพื้นที่รอบๆนี้เลยได้ไหมครับ?”
“พื้นที่แถบนี้ถูกกองทัพของผู้ไม่ตายกวาดล้างไปแล้วจึงไม่ควรมีอันตรายอีก แต่...”
เมโลดี้หยุดพูด เธอลังเลแล้วพูดต่อ
“คุณควรไปคุยกับผู้กล้าของสหพันธ์”
“อา...ครับ ผมลืมไปว่าที่นี่มีผู้กล้า พวกเขาคือเราส์แรงค์ S สินะ...”
นากามูระหันไปมองด้านหลัง
เขามากับกองทหารชั้นนำเทียบได้กับนักรบ 100 คน นอกจากนั้นยังมีนักวิจัย
“เอาล่ะ เริ่มงานฟื้นฟูอัลเฟนกันเลยไหม?”
ชาวญี่ปุ่นจากกิลด์ดาเคนเริ่มสำรวจรอบๆอย่างไม่รอช้า
***
[ปี๊บ เกิดความเป็นไปได้นอกเหนือจากโปรแกรมคำนวณ]
คนพูดที่ตอบคำตอบเดิมๆอย่างน่าโมโหมาตลอดเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่น วูจินขมวดคิ้ว
“พูดอะไรของนาย?”
ร่างวูจินเต็มไปด้วยเหงื่อจากการพังจอ
เทพแห่งกาลเวลาไม่เหนื่อย แต่คนเหนื่อยง่าย
[เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปจากบันทึก ความเป็นไปได้แขนงใหม่เริ่มขึ้นแล้ว]
“...”
วูจินหน้ามุ่ย
เขาไม่สนใจว่าพวกนี้เป็นเทพหรือสิ่งมีชีวิตอื่น
พวกมันเป็นอะไร?
มีคำถามหลายข้อที่ไม่ได้คำตอบ แต่เขาแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง
พวกนี้คุยด้วยไม่รู้เรื่อง พวกนี้เอาแต่พล่ามตามใจชอบ
พวกนี้ไม่เป็นมิตร และเขาไม่รู้ว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไร
“แล้วมันหมายความว่าอะไร!
[ถึงเวลาแล้ว]
“...”
เกิดเสียงอากาศถูกดูดออกไป ประตูเล็กบนเพดานเปิดออก บางอย่างที่เหมือนลิฟต์ลงมา มันเล็กเกินกว่าคนจะเข้าไปได้
ช่องเล็กๆเหนือลิฟต์ถูกคลุมด้วยแก้วมองเห็นข้างใน
ไอเทมนี้ถูกทำเหมือนโบราณวัตถุที่แสดงในพิพิธภัณฑ์
“เข็มขัดเฮเรส”
[ข้าให้กุญแจดอกสุดท้าย]
หน้าต่างแก้วเปิดออก
“...”
ทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร?
ทุกอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์กัน มันอาจเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่ถ้ามองกลับไปก็จะเห็นสาเหตุ ถ้าเฮเรสจะมอบไอเทมให้ง่ายๆขนาดนี้ ทำไมต้องทำให้เขาเสียเวลาด้วย?
ขนาดวูจินรื้อวิหาร เฮเรสก็ไม่ห้าม มันเอาแต่พูดว่ายังไม่ถึงเวลา
แล้วทำไมจู่ๆสถานการณ์จึงเปลี่ยนไป?
“ขอถามอะไรสักข้อ”
[นี่เป็นการเริ่มแขนงใหม่ ข้าจึงไม่มีความรู้ ข้าแค่บันทึก การทำนายไม่ใช่ความถนัดของข้า]
“...”
ชายหัวล้านในจอช่างน่าอัดแท้ น่าชิงชังจนวูจินคงจะอัดเขาทันทีที่เห็น
ใครพูดว่าอยากรู้อนาคตกันวะ?
“เหอะ ถึงฉันถามเรื่องเก่าๆก็ไม่เห็นนายจะตอบ”
[จริง]
“นายกำลังหาเรื่อง...”
[ข้าไม่อาจบอกว่าความเป็นไปได้จะส่งผลกับเจ้าอย่างไร ข้าเพียงบันทึก ข้าจะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการเดินทางของเจ้า]
คำพูดของเทพแห่งเวลาไม่ทำให้วูจินโกรธกว่าเดิม เขายอมแพ้แล้ว มันตอบอย่างเดิมมาหลายชั่วโมง
“ฉันว่านายเปลี่ยนสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำมามากพอแล้วล่ะ”
[…]
เงียบอีกแล้ว
“เฮ้อ ลืมที่พูดไปเถอะ”
วูจินคว้าเข็มขัดเฮเรส
เขารวบรวมไอเทมสำหรับสร้างเซ็ทไอเทมทราชครบ 5 ชิ้น ที่เหลือสามารถซื้อผ่านร้านค้าของมิติหรือหาจากที่อื่น เขาไม่ต้องอยู่อัลเฟนอีกต่อไป
ได้เวลากลับโลกแล้ว
เมื่อได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินยาว วูจินเดินออกจากห้องและลาตาชาที่ยืนรออยู่ก็มายืนตรงหน้าเขา
“ไปกันเถอะ”
“...”
ลาตาชาตะลึงมองหน้าผู้ไม่ตาย ทำไมคนที่บ้าทุบข้าวของอยู่เป็นชั่วโมงกลับพูดแบบนี้
“เจ้าควรจะคลี่คลายปัญหาของเจ้าก่อนไปไม่ใช่เหรอ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“เจ้ามีเรื่องอยากถาม”
“ถามไปมันก็ไม่ตอบ ฉันจะทำอะไรได้?”
“...”
เขาตอบอย่างสง่าผ่าเผยจนลาตาชาไม่รู้จะพูดอะไร เธออดถามเขาไม่ได้
“เจ้าทำลายข้าวของที่นี่เพื่อเอาคำตอบไม่ใช่เหรอ?”
“แค่คิดว่าถ้าได้คำตอบก็ดี อีกอย่าง ถ้าอยู่เฉยๆฉันจะเบื่อเอา”
“...”
อย่างที่คิดจริงๆ ผู้ไม่ตายเป็นคนชอบความรุนแรง
ลาตาชาต้องประเมินคังวูจินใหม่อีกรอบ
“ฉันได้ของที่ต้องการแล้ว”
เขาไม่ได้มาเพื่อคุยกับเฮเรส เขาแค่ต้องการไอเทมศักดิ์สิทธิ์
เขาคิดว่าจะหาคำตอบได้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะยิ่งซับซ้อนขึ้น
แต่ คังวูจินด้านชาเกินกว่าจะกังวลเรื่องนี้มากเกินไป
“รีบกลับเถอะ”
“ได้...”
เขาแค่รำคาญที่เฮเรสทำเรื่องไม่จำเป็น
ลาตาชารีบตามวูจินขึ้นไป
ชายศีรษะล้านปรากฏบนหน้าจอทุกจอยกเว้นอันที่ถูกทำลาย
[ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะประสบความสำเร็จในการเดินทาง...]
[... คังวูจิน...]
เสียงของเฮเรสฟังจริงใจเกินกว่าจะเป็นเสียงของเครื่องจักร
***
หน่วยแฟนธ่อม
พวกเขาคือคนมีความสามารถที่คัดเลือกจากการสัมภาษณ์...
ที่จริงแล้วพวกเขาคือคนที่หนีไม่ทันตอนคังวูจินกับคิมคังชุลสู้กัน พวกเขาเคยเป็นเราส์แรงค์ต่ำ แต่ไม่ใช่อีกแล้ว
สมาชิกหน่วยแฟนธ่อมที่มีแรงค์ต่ำสุดคือ B
มันคือแรงค์ที่สามารถไปเป็นกรรมการในกิลด์ส่วนใหญ่ได้เลย
พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในเวลารวดเร็วเพียงไม่กี่เดือน สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่อลันดาลเป็นที่รู้จักในด้านฝึกเราส์ให้เก่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่จึงไม่ใช่ความฝัน
หินเพิ่มพลังถูกใช้เพื่อเพิ่มค่าสถานะ และอลันดาลมีตำราทักษะให้พวกเขาใช้ไม่ขาดแคลน พวกเขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E และ F แต่ได้รับสิ่งเหล่านี้
เชฮีซอลเป็นหัวหน้าของหน่วยแฟนธ่อมที่เพิ่งสร้างใหม่ เพราะเธอสมาชิกหน่วยแฟนธ่อมจึงได้รับการฝึกอย่างดีและมีความจงรักภักดี
ถึงกระนั้น พวกเขาอ่อนแอกว่ากองทัพผีดิบ จึงรับหน้าที่ช่วยเหลือคนของสหพันธ์ พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยฟื้นฟูสหพันธ์
มีงานมากมายต้องทำในอาณานิคมเซารุส แต่...
ช่วงหลายวันนี้พวกเขาเจอปัญหามากมาย
พวกเขาไม่มีปัญหากับคนของดาวนี้ที่แตกต่างกันด้านเผ่าพันธุ์ หรือมีปัญหากับกองกำลังของสหพันธ์ ปัญหามาจากคนที่มาจากที่เดียวกับพวกเขา คนของโลกกำลังสร้างปัญหา
สมาชิกสำคัญคนหนึ่งของหน่วยแฟนธ่อมชื่อคิมจุนยองมองคนของกิลด์ดาเคนอย่างไม่ชอบใจ
“พวกนั้นเป็นใครวะ? ทหารที่ไหนเป็นแบบนั้น?”
“พวกนั้นไม่ใช่ทหาร”
“แล้วเป็นอะไร?”
“นักวิจัย”
“...นักวิจัยมาทำอะไรที่นี่ ตอนที่พวกเราต้องกอบกู้อิสรภาพให้อัลเฟน?”
“อืม...ก็มาวิจัยไง?”
“เฮ้อ วิจัยอะไร?”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงวะ?”
“...”
เขาไม่รู้แล้วคนอื่นในหน่วยจะรู้ได้เหรอ? โง่จริง คิมจุนยองกระแอมแก้เก้อกับเพื่อนในหน่วยที่เริ่มโมโห จากนั้นเขาเริ่มเดิน
“อ้าว นายจะไปไหน?”
“ฉันเป็นคนสงสัยก็ต้องเป็นคนไปถาม”
“หา?”
“ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า”
คิมจุนยองเป็นคนขี้สงสัย เมื่อเขาสงสัยอะไรเขาจะไม่พอใจจนกว่าได้ถามให้หายสงสัย
“ขอโทษนะครับ”
“...”
นักวิจัยของกิลด์ดาเคนมองชายที่โผล่หน้าเข้ามาอย่างระแวง
“อะไรเหรอ?”
“พวกคุณค้นคว้าเรื่องอะไรอยู่?”
“...เรากำลังสำรวจสภาพดิน”
นั่นเขารู้อยู่แล้ว
มันเป็นกฎพื้นฐาน อุโมงค์ไม่ยอมให้วัตถุจากโลกผ่านเข้าไป
เพราะเหตุนี้พวกนักวิจัยจึงสร้างเครื่องฟังหน้าตาประหลาดที่ใช้บลัดสโตนเป็นแหล่งพลังงาน พวกเขาใช้เครื่องมือนี้จิ้มไปทั่วพื้นดิน
เพราะอย่างนี้เขาจึงสงสัย
“ทำไม?”
“ไม่งั้นแล้วเราจะสร้างปราสาทที่มั่นคงได้ยังไงล่ะ?”
“แต่เรามีปราสาทแล้วนี่?”
“...”
ภูเขาเซารุสมีกำแพงปราสาทเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอยู่แล้ว
“แหม ทำไมคุณช่างถามนัก? เขาบอกให้ผมสำรวจที่นี่ผมก็สำรวจ”
“อ้อ”
อีกฝ่ายเริ่มโกรธ จุนยองจึงรู้สึกเก้อและถอย เมื่อจุนยองถอยไป นักวิจัยของกิลด์ดาเคนมองรอบตัวก่อนกระซิบคุยกัน
“พวกนั้นสงสัยเราแล้วเหรอ?”
“ไม่หรอก ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเราทำอะไรก็ต้องแสดงท่าทีอะไรออกมา”
“อืม ว่าแต่ปริมาณน้ำมันใต้ดินเยอะกว่าที่คาดไว้ เราอาจต้องขอความช่วยเหลือจากอเมริกา”
“ก็ดีสิ ปกติพวกนั้นไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ เราจะพาคนจากอเมริกากับกิลด์อื่นๆมาช่วย”
“ฮ่าๆ กิลด์เราโชคดีที่ถูกเลือกเป็นกลุ่มแรก”
“ต้องโชคดีอยู่แล้ว? นี่เป็นสวรรค์เข้าข้างองค์จักรพรรดิ มันบอกให้พวกเรานำความรุ่งเรืองมาสู่จักรวรรดิของเราอีกครั้ง”
“จดข้อมูลไว้ดีๆล่ะ”
นักวิจัยยุ่งอยู่กับการหาแหล่งทรัพยากรใต้ดินและจดข้อมูล
ฝ่ายจักรวรรดินิยมผงกหัวขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาเดินทางมายังโลกอัลเฟน ใช้การช่วยสหพันธ์ของอัลเฟนเป็นข้ออ้าง...

สารบัญ                                                    บทที่ 187


วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 185


บทที่ 185 – ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย (1)


เฮเรส เทพแห่งเวลา
เทพผู้มีบันทึกว่าเกิดพร้อมกับอัลเฟน แต่ไม่มีสาวกมากนัก ที่จริงแล้วตัวตนของเขาไม่ถูกเล่าขานจนคนธรรมดาไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ
มีแต่เหล่านักบวชของเขาที่บูชาเฮเรส การเผยแพร่ความเชื่อก็เป็นไปอย่างลับๆ พวกเขาแอบเดินทางไปทั่วดินแดนและเปิดประตูต้อนรับแต่ผู้สืบทอดของเหล่านักบวช
มีแต่บรรดานักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวที่รู้ถึงตัวตนของเฮเรส
นิกายอันลึกลับของเทพอยู่บนดินแดนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
ม้าปีศาจตัวหนึ่งกำลังวิ่งบนดินแดนนี้
“ฮ้า”
ลมหายใจสีขาวออกมาจากปากลาตาชา
ลอร์ดแห่งเอลฟ์ถูกเลือกให้เป็นคนนำทางอีกครั้งเพราะรู้ที่ตั้งของวิหารเฮเรสและมีสายตาดี
“เธอแน่ใจนะว่าเรามาถูกทางแล้ว?”
“แน่ใจ”
“ฉันไม่เห็นที่นี่มีอะไรเลย”
วูจินงง แต่ชิงชิงไม่หยุดวิ่ง
“มันอยู่บนดินแดนน้ำแข็ง วิหารเฮเรสอยู่ตรงที่ลึกและหนาวที่สุด”
“มันควรจะเป็นที่ไหนล่ะ?”
“เห็นแล้ว”
วูจินตาเป็นประกายเมื่อมองตามที่ๆลาตาชาชี้ ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านเหนือดินแดนราบเรียบ
พอเข้าไปใกล้มากขึ้น วูจินก็ตาโตขึ้นเรื่อยๆ
มันไม่ใช่ภูเขา
“ปราสาทน้ำแข็ง?”
“ถูกต้อง”
ปราสาทน้ำแข็งตั้งบนที่หนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่ปราสาทมีขนาดใหญ่เท่าภูเขาเซารุส
“ฮ้า”
มันเกินกว่าใหญ่ ขนาดอันมหึมาทำให้แม้แต่วูจินยังอึ้ง เช่นเดียวกับลาตาชา
ข้อมูลของสถานที่นี้สืบต่อมาด้วยการบอกเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นที่นี่
“เข้าไปข้างในเถอะ”
พวกเขาเดินรอบปราสาทจนเจอทางเข้าสูงครึ่งหนึ่งของปราสาท เมื่อม้าปีศาจเดินไปใกล้ก็เห็นประตูเล็กมากแค่พอให้คนเดินผ่านบานหนึ่ง
ลาตาชาเคาะประตูแล้วหันไปบอกวูจิน
“ข้าว่ามันถูกล็อก”
“หลีกหน่อย”
เขาไม่เห็นลูกบิดหรือรูกุญแจ เมื่อแตะประตู เขารู้สึกถึงความเย็น
วิ้ง
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”
ลาตาชาพยายามหยุดวูจินเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของพลังเวท
วูจินรวมพลังไปที่ฝ่ามือแล้วระเบิดประตู มันกระเด็นไปข้างใน
“เปิดแล้ว”
“ทำไมเจ้าหยาบคายนัก?”
“เธออยากให้ฉันเคาะประตูแล้วรอให้คนมาเปิดเหรอ?”
“...”
ลาตาชาไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม
ผู้ไม่ตายไม่ใช่คนที่เหมาะแก่การให้เธอสอนเรื่องมารยาท ลาตาชาทำแก้มป่องแล้วหันหน้าไปทางอื่น
วูจินไม่สนใจ เขาเริ่มเดินขึ้นบันไดน้ำแข็งยาว
“ทำไมมืดจัง?”
“รอสักครู่”
ลาตาชาสะบัดมืออย่างสง่างามแล้วเอามาซ้อนกัน
ภูติตัวเล็กๆที่สร้างจากแสงปรากฏบนฝ่ามือ มันยิ้มสดใสแล้วลอยไปนำทาง
“มันคือภูติแสง”
“ฉันไม่ได้ขอ”
“เฮ้อ...”
ลาตาชาส่ายหน้าพลางเดินนำหน้า พวกเขาเดินขึ้นบันไดจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เมื่อไปสุดทางก็มีประตูบานหนึ่ง
ประตูเหล็กมีที่จับฝังลึกไม่เหมือนประตูบานก่อน ลาตาชาดึงสุดแรงแต่มันไม่เปิด
“เจ้าจะระเบิดมันอีกไหม?”
“แน่นอน”
วูจินแตะประตู รวมพลัง แต่ประตูเปิดก่อนจะทันระเบิด
“...”
ลาตาชามองผ่านรอยแง้มแล้วถามผู้ไม่ตาย
“จะเอายังไง? เราเข้าไปไหม?”
“เข้า”
เมื่อพวกเขาเข้าไป ประตูปิดและลงกลอนเอง
“...”
วูจินขมวดคิ้ว ลาตาชาตกใจ
“ก...เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้ยินเสียงของลม”
วิหารตัดขาดคนที่อยู่ข้างในจากข้างนอก ดูเหมือนไม่ได้มีแต่ผู้ไม่ตายที่ถูกริบพลังไป ลาตาชาก็สูญเสียพลัง ความรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
“ออก... ออกไปกันเถอะ นี่มันอันตรายเกินไป”
“ไม่เป็นไร มันเป็นแบบนี้ทุกที เราจะออกไปหลังจากได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“แต่...”
ลาตาชาขมวดคิ้ว แต่ยอมรับเมื่อเห็นสีหน้าผู้ไม่ตายว่านี่เป็นเรื่องปกติ
วูจินเดินเหมือนเขาคุ้นกับเรื่องนี้
“ไม่ใช่ยานอวกาศ...”
แสงสว่างจากเพดานทำให้เขานึกถึงวิหารอาเรีย
เขาไม่ต้องไปวิหารของสเกีย,ลีเซีย,และคัวร์เพื่อดูว่าข้างในเป็นอะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังสงสัยว่าทำไมเทพ 5 องค์นี้จึงมีรหัสหลักของอัลเฟน...
พวกเขาเดินไปตามทางเดินยาวมาถึงทางแยก พื้นที่แบ่งเป็นส่วนต่างๆ พวกเขามาถึงประตูแต่ไม่มีบานไหนเปิด
วูจินลองต่อยประตู แต่เขารู้ว่ามันไม่พังง่ายๆ
“เรา...จะไปต่อไหม? หรือว่าเทพเฮเรสโกรธที่เราบุกเข้ามา?”
“ไม่รู้สิ”
อาจเป็นเพราะว่าขาดพลัง ลาตาชาพูดเก่งผิดปกติ
นักบวชต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง พวกเขาตามหาต่อไป
“เฮ้อ”
ถ้าเขามีพลัง...เขาจะให้กาเกบิสำรวจพื้นที่ น่าเสียดายที่ทำไม่ได้
วูจินเดินไปทั่วทางเดินและร่างแผนที่ขึ้นในหัว เขามาถึงประตูที่มีลูกบิดแปลกไปจากประตูอื่น เขาเปิดมัน
แค่ออกแรงเบาๆประตูก็เปิดออก ภาพในห้องคุ้นตาวูจินแต่ไม่คุ้นตาลาตาชา
“โต๊ะพูลกับตู้เย็น...”
มันเป็นห้องค่อนข้างกว้าง มองปราดเดียวก็รู้ว่าใช้เป็นห้องพักผ่อน วูจินเปิดตู้เย็นและเห็นโค้ก
“นี่...”
วูจินเปิดกระป๋องดื่ม ลาตาชาตกใจ
“ถ้า...มันมีพิษล่ะ”
“เธอลองดื่มสิ”
วูจินโยนกระป๋องโค้กอีกกระป๋องให้ลาตาชา เธอรับไว้แล้วมองมันอย่างสงสัย
ลาตาชาพยายามเปิดกระป๋องอย่างงุ่มง่าม วูจินยิ้มแล้วมองรอบๆ
เขาเห็นโซฟาและโทรทัศน์ ถัดจากจอโทรทัศน์เขาเห็นห้องล็อกเกอร์ เขาเห็นตัวอักษรคุ้นตาบนล็อกเกอร์แต่ละตู้ วูจินหรี่ตา
เขาอ่านบางตัวออก
“เซาเรีย อิเอลโล กัง นาตามูเบ...”
ล็อกเกอร์ 8 ตู้ ตัวอักษรที่คล้ายภาษาอังกฤษ แต่วูจินไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เขาไม่แน่ใจว่าอ่านถูกหรือเปล่า
ถ้านี่เป็นยานอวกาศก็ควรจะมีลูกเรือ ถ้าเป็นอาคารก็ต้องมีคนดูแล
เขาเปิดล็อกเกอร์ทั้งหมดแต่มันว่างเปล่า
เขาสำรวจทุกอย่างในห้องพักและแน่ใจได้อย่างหนึ่ง
ที่นี่กับโลกมีความเกี่ยวข้องกัน
วูจินสำรวจห้องเสร็จและกำลังจะออกไปเมื่อลาตาชาเปิดกระป๋องได้
“ว้าว”
เธอมองมันด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม ดื่มไปสองอึกแล้วพ่นน้ำออกมา
“อั่ก! ว่าแล้ว มันมีพิษ!
ลาตาชารู้สึกคันคอเมื่อคาร์บอเนตโจมตี เธอกุมคอกลิ้งไปบนพื้น เธอรู้สึกถึงแรงที่ขึ้นมาจากท้องและอ้าปาก
เรอ
ลาตาชาหยุดกลิ้งและนอนนิ่งมองเพดานอย่างแปลกใจ วูจินถอนหายใจ
“เลิกเล่นได้แล้ว ไปเถอะ”
“...”
“มัวทำอะไรอยู่?”
ลาตาชาหน้าแดงด้วยความอายแต่เธอลืมตาโต
“ตรงนั้นมีอะไรเคลื่อนไหวด้วย!
“หา?”
วูจินมองไปที่ลาตาชาชี้ เขาเห็นกล้องเล็กๆติดบนเพดานใกล้ครัว
“โฮ่”
ดูเหมือนมีใครบางคนอยู่ที่นี่
วูจินเดินไปใกล้กล้องและยิ้มกว้าง
“ในเมื่อเชิญฉันมา เราควรจะคุยกันต่อหน้าดีไหม?”
พูดตรงๆไม่มีใครเชิญเขา แต่วูจินส่งคำเตือนไปยังเจ้าของวิหารที่ไม่เป็นมิตร
“ฉันเห็นเครื่องมือตรงนั้น ถ้านายไม่ออกมา ฉันจะทำลายทุกอย่าง”
เขาขยิบตาให้กล้องแล้วเดินไปทางถุงใส่เครื่องมือ
“ทำอะไรอยู่? มาถือด้วยสิ”
“ได้”
วูจินดึงค้อนถอนตะปูแล้วส่งถุงให้ลาตาชา...
“อา”
ถุงค่อนข้างหนัก เธอเป็นผู้หญิงแต่รับน้ำหนักได้อย่างไม่กินแรงนัก
พลังเวทของลาตาชาหายไป แต่พละกำลังของลอร์ดเอลฟ์ยังอยู่
“เอาล่ะ เริ่มเลยดีไหม?”
ถ้าประตูถูกล็อก เขาจะฝืนเปิดมัน
วูจินออกจากห้องเพื่อไปพังประตู
ตอนนี้เองที่แสงสว่างขึ้นบนทางเดิน
ลูกศรเรืองแสงนำทางบนพื้น
“โฮ่ น่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก”
วูจินกับลาตาชาเดินผ่านทางเดินที่เหมือนเขาวงกตไปตามลูกศรบอกทาง พวกเขามาถึงโถงใหญ่
ประตูสองข้างเปิดออก พวกเขาเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง
“พื้น...พื้นกำลังสั่น”
“มันเรียกว่าลิฟต์”
“...”
ลาตาชาจับที่จับแน่นเหมือนกำลังตกใจ วูจินมองแล้วรู้สึกตลก
เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง พวกเขาออกมายังห้องโถงขนาดใหญ่
วูจินเดินต่อ ถือค้อนหงอนยาวเท่าไม้เบสบอลไปด้วย
เขาเห็นจอคอมพิวเตอร์วางอยู่เต็ม
มีจอหนึ่งที่วางตรงตำแหน่งสำคัญที่สุด จอกำลังฉายภาพอยู่
ชายหัวล้านยืนในจอด้วยรอยยิ้มสงบ
“ทำยังไงดี? ข้าคิดว่าเขาถูกขังไว้ในนั้น”
“เธอไปยืนตรงนั้นเถอะ...”
“ได้...”
วูจินให้ลาตาชาไปอยู่ห่างๆ จากนั้นเรียกคนในจอ
“เฮเรส?”
[ใช่]
“ไม่สิ ฉันควรจะเรียกนายเป็นหนึ่งในลูกเรือไหม?”
[...ที่จริงมันไม่เหมาะทั้งสองอย่าง ถ้าเจ้าถามว่าทำไมที่นี่ไม่มีใคร พวกเขาไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว]
“ฉันไม่คิดจะเล่นถามปัญหาเชาว์กับนาย ส่งเข็มขัดมา”
[หืม เจ้าคงมีคำถามหลายข้อ ไม่ถามข้าเหรอ?]
“นายจะตอบไหมล่ะ?”
[แน่นอน]
“อารยธรรมโบราณของอัลเฟนเกี่ยวข้องกับโลกหรือเปล่า?”
[ข้าแค่บันทึก ข้าไม่มีสิทธิ์อ่านบันทึก]
“นาย...”
เฮ้อ ด่าไปก็ไม่ได้อะไร แทนที่จะด่าให้เหนื่อย เฉยไว้ดีกว่า
ต่อให้ไม่ได้คำตอบ เขาก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่นัก
“เอาเข็มขัดมา”
[ข้าให้ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้]
“พูดไร้สาระอะไรอยู่?”
[ข้าจะให้เจ้าเมื่อถึงเวลา]
“เวลาอะไร?”
[...]
ชายหัวล้านไม่ตอบ วูจินเริ่มสบถ
“นายอยากตายเรอะ?”
[เจ้าทำลายระบบของข้าไม่ได้ เจ้าไม่อาจเข้าใกล้ตัวตนของเซอร์เวอร์ข้าได้]
“...”
วูจินขมวดคิ้วแน่น
“เซอร์เวอร์? เทพอย่างพวกนายมีเป้าหมายอะไร?”
[เราต้องการรักษาและปกป้องอัลเฟน แค่นั้น]
“เฮ้อ”
วูจินส่ายหน้า เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอเทพที่คุยด้วยยากกว่าอาเรีย
สรุปว่าเทพเหมือนไฟร์วอลที่ปกป้องโลกนี้
แต่เทพชอบพูดให้คลุมเครือ ยิ่งเทพองค์นี้พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมทำให้วูจินเลือดร้อน
“ถ้านายไม่ให้ ฉันจะไปหามันเอง”
[เจ้าไม่อาจหา...]
วูจินเอาค้อนฟาดหน้าจอ
หน้าจอเกิดประกายไฟ และจอถัดจากมันก็ติดขึ้น
[เจ้าไม่อาจหาเจอ]
“ฮะ”
วูจินพังอีกจอ และอีกจอก็ติดอีก
[กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงเวลา ข้าจะมอบ กุญแจให้]
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะหาเอง!
วูจินทำลายหน้าจอต่อไป ลาตาชาจ้องเขาจากมุมห้องตาโต
เธอไม่เคยเห็นผู้ไม่ตายดูตื่นเต้นขนาดนี้

***

ต้นไม้โลก ภูเขาเซารุส
“เด็กพวกนี้นี่! ถ้ามาทำอาหารที่นี่จะถูกลงโทษนะ!
“ว้าก ทหารมา”
เชฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อมมาถึงหน้าไฟที่ไม่มอดดับ มันถูกเรียกว่าลมหายใจสุดท้ายของราชาภูติไฟ เด็กๆที่เล่นแถวนั้นหัวเราะพลางวิ่งหนี
“เฮ้อ เมื่อไหร่กรรมการของเราจะกลับมานะ”
ตั้งแต่ข้ามมายังอัลเฟน พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับวูจินนัก โดเจมินก็กลับโลกไปแล้วและซุงกูกลายเป็นไฟดวงนี้
วิ้ง
อุโมงค์สั่นและเรืองแสง มันอยู่ตรงหน้านี้เองแต่พวกเขาข้ามไปไม่ได้
“ใครน่ะ! เอ๋? สตรีศักดิ์สิทธิ์”
ฮีซอลยิ้มให้เมโลดี้ที่เดินช้าๆมาทางต้นไม้โลก ไม่ว่าจะเป็นที่โลกหรืออัลเฟน พลังรักษาของเธอเป็นพลังที่ยอดเยี่ยม ทุกคนในสหพันธ์ชอบเธอ
“ฉันมาเพราะอยากจะคุยกับต้นไม้โลก”
“เอ๋? เอ่อ... เชิญค่ะ”
ต้นไม้โลกสำหรับฮีซอลแล้วเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอาณานิคม แต่ต้นไม้โลกมีความหมายพิเศษสำหรับชาวอัลเฟน
“ขออยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหม?”
“อืม ก็ได้ค่ะ”
ฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อมมองเมโลดี้พลางเดินออกห่างจากต้นไม้โลก
เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงคนเดียวต่อหน้าต้นไม้โลก เธอเงยหน้ามองมันด้วยใจหนักอึ้ง

สารบัญ                                   บทที่ 186