บทที่ 186 – ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ชิ้นสุดท้าย (2)
ทวยเทพถูกต้องเสมอหรือ?
เมื่อเมโลดี้เกิดความคิดขัดแย้งนี้ขึ้นก็รู้สึกทรมาน
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จนทำให้เธอสั่นไหวไปถึงข้างใน
“เฮ้อ”
แม้จะกังวลอยู่กับปัญหานี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็มีแต่ถอนหายใจ
เทพีต้องการให้เธอเผาต้นไม้โลก...
ทำไมจึงส่งคำสั่งแบบนี้มา?
ต้องการกีดกันไม่ให้คังวูจินกลับโลก? หรือต้องการเป็นศัตรูกับเขา?
เพราะเธอไม่เข้าใจจึงทรมาน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเกิดความสงสัย
เธอเคยถือคำของเทพีว่าถูกต้องเสมอ และเธอปฏิบัติตามเสมอ
เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพีแห่งการทำนาย
หรือเธอเป็นเพียงหุ่นเชิด...
เมโลดี้ยืนนิ่งมองต้นไม้โลก
สีหน้าเธอเปลี่ยนไปมา สุดท้ายเธอส่ายศีรษะ
“นี่ไม่ถูกต้อง”
การเผาต้นไม้โลกหมายถึงอะไร?
ดันเจี้ยนวิหารของราห์ทถูกเซลรัคพิชิตไปแล้ว
คังวูจินจึงเหลือแต่อาณานิคมเซารุส
ถ้าเธอเผาต้นไม้โลก การเชื่อมต่อระหว่างโลกกับอัลเฟนจะขาดไป
ยิ่งกว่านั้นเธอไม่แน่ใจว่าจะทนความโกรธของผู้ไม่ตายได้ถ้าเขารู้ทีหลัง
ประตูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับให้เขากลับโลก
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร
เมโลดี้ก็สรุปไม่ได้ว่าการเผาต้นไม้โลกเป็นการทำเพื่อโลกและอัลเฟน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เมโลดี้ตัดสินใจไม่ทำตามเสียงของเทพี
ยิ่งกว่านั้น...
“ข้าทำไม่ได้...”
ผลกระทบจากการตัดสินใจของเธอไม่เล็กเลย
“อา...”
การถูกเทพลงโทษรู้สึกแบบนี้หรือ?
มันเหมือนวิญญาณของเธอสั่นสะเทือน
ความรู้สึกต่างไปจากความเจ็บปวด
เธอรู้สึกร่างของเธอถูกครอบงำด้วยความรู้สึกไร้พลังและเปล่าประโยชน์
เหมือนบางสิ่งที่สำคัญถูกดึงออกไป เมื่อความรู้สึกดังกล่าวสงบลง
เมโลดี้รู้ทันทีว่าอะไรหายไป
พลังที่เธอเคยมีเสมอ พลังที่เธอรู้จักดี
“ข้าหันหลังให้เทพี...”
เธอไม่รู้สึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอ
เมโลดี้มองมืออย่างอ่อนแรง เทพีไม่ได้ทิ้งเธอ เธอทิ้งเทพีก่อน...
เธอรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกยึดคืนไป
การลงโทษทำให้เธอรู้สึกผิดน้อยลง
“จบแล้ว”
ผู้ไม่ตายไม่เสียทางกลับบ้าน เทพยากรณ์ของเทพีพลาดไป ไม่ใช่
เมโลดี้เป็นคนทำให้มันผิดพลาด
เมื่อคังวูจินยังสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกได้
เขาจะไม่เสียสิ่งสำคัญไป
“เฮ้อ”
เมโลดี้ทรุดลงและเงยหน้ามองต้นไม้โลก
ลมพัดใบไม้ไหวเหมือนคลื่น เหมือนต้นไม้กำลังปลอบใจเธอ
เช่นเดียวกับไฟของซุงกูที่กำลังสั่นไหว...
วิ้ง
ตอนนั้นเอง อุโมงค์ส่องแสงและคนๆหนึ่งออกมา
“ผู้ไม่...”
เมโลดี้คิดว่าเป็นผู้ไม่ตายจึงยืนขึ้นต้อนรับเขา
แต่ที่ออกมาจากอุโมงค์เป็นคนอื่น ไม่ใช่แค่คนเดียว
“โฮ่ ที่นี่คืออัลเฟนเหรอ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เข้าไปถามพวกเขา
“พวกคุณเป็นใคร?”
“อ๊ะ คุณคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ ผมเคยเห็นคุณที่อเมริกา ผมชื่อนากามูระ”
“อา...”
เมโลดี้จำเขาได้
เธอเคยรวบรวมเราส์ของโลกเพื่อขอให้พวกเขาเดินทางมาช่วยเหลืออัลเฟน
แต่กิลด์ดาเคนของญี่ปุ่นต่อต้านความคิดนี้ พวกเขายกเรื่องผลประโยชน์ขึ้นมาคัดค้าน
แต่ด้วยการปรากฏตัวของคังวูจิน แผนการตั้งกองกำลังส่งมาอัลเฟนก็หมดไป
นี่คือสิ่งที่เมโลดี้จำได้...
“ดูเหมือนทีมทำความสะอาดมาถึงแล้ว”
“ใช่แล้ว ผมเป็นทีมทำความสะอาดจากโลก เรามาช่วยซ่อมแซมอัลเฟน”
นากามูระหัวเราะจนเห็นฟันขาว
“ผมชื่อ มาสุโระ นากามูระ ผมรับผิดชอบทีมจากกิลด์ดาเคน”
เมโลดี้เขย่ามือกับนากามูระอย่างงงๆ เธอรู้สึกอันตราย
แม้จะไม่มีพรจากเทพีแห่งการทำนายแล้ว สัญชาติญาณของเธอบอกให้ระวังชายคนนี้ไว้
“เราเป็นทีมทำความสะอาดชุดแรก ไม่นานจะมีทีมที่สองและสามตามมา”
“...นั่นเป็นข่าวดี”
นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือ?
เราส์จากโลกมาสู้เพื่ออัลเฟน เธอควรขอบคุณพวกเขา
แต่บางสิ่งรบกวนใจเธอ มันคือดวงตาที่ส่อแววละโมภของพวกเขา
“ช่วยอธิบายสภาพพื้นที่รอบๆนี้เลยได้ไหมครับ?”
“พื้นที่แถบนี้ถูกกองทัพของผู้ไม่ตายกวาดล้างไปแล้วจึงไม่ควรมีอันตรายอีก
แต่...”
เมโลดี้หยุดพูด เธอลังเลแล้วพูดต่อ
“คุณควรไปคุยกับผู้กล้าของสหพันธ์”
“อา...ครับ ผมลืมไปว่าที่นี่มีผู้กล้า พวกเขาคือเราส์แรงค์ S สินะ...”
นากามูระหันไปมองด้านหลัง
เขามากับกองทหารชั้นนำเทียบได้กับนักรบ 100 คน
นอกจากนั้นยังมีนักวิจัย
“เอาล่ะ เริ่มงานฟื้นฟูอัลเฟนกันเลยไหม?”
ชาวญี่ปุ่นจากกิลด์ดาเคนเริ่มสำรวจรอบๆอย่างไม่รอช้า
***
[ปี๊บ เกิดความเป็นไปได้นอกเหนือจากโปรแกรมคำนวณ]
คนพูดที่ตอบคำตอบเดิมๆอย่างน่าโมโหมาตลอดเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่น
วูจินขมวดคิ้ว
“พูดอะไรของนาย?”
ร่างวูจินเต็มไปด้วยเหงื่อจากการพังจอ
เทพแห่งกาลเวลาไม่เหนื่อย แต่คนเหนื่อยง่าย
[เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดไปจากบันทึก ความเป็นไปได้แขนงใหม่เริ่มขึ้นแล้ว]
“...”
วูจินหน้ามุ่ย
เขาไม่สนใจว่าพวกนี้เป็นเทพหรือสิ่งมีชีวิตอื่น
พวกมันเป็นอะไร?
มีคำถามหลายข้อที่ไม่ได้คำตอบ แต่เขาแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง
พวกนี้คุยด้วยไม่รู้เรื่อง พวกนี้เอาแต่พล่ามตามใจชอบ
พวกนี้ไม่เป็นมิตร และเขาไม่รู้ว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไร
“แล้วมันหมายความว่าอะไร!”
[ถึงเวลาแล้ว]
“...”
เกิดเสียงอากาศถูกดูดออกไป ประตูเล็กบนเพดานเปิดออก
บางอย่างที่เหมือนลิฟต์ลงมา มันเล็กเกินกว่าคนจะเข้าไปได้
ช่องเล็กๆเหนือลิฟต์ถูกคลุมด้วยแก้วมองเห็นข้างใน
ไอเทมนี้ถูกทำเหมือนโบราณวัตถุที่แสดงในพิพิธภัณฑ์
“เข็มขัดเฮเรส”
[ข้าให้กุญแจดอกสุดท้าย]
หน้าต่างแก้วเปิดออก
“...”
ทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร?
ทุกอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์กัน
มันอาจเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญแต่ถ้ามองกลับไปก็จะเห็นสาเหตุ
ถ้าเฮเรสจะมอบไอเทมให้ง่ายๆขนาดนี้ ทำไมต้องทำให้เขาเสียเวลาด้วย?
ขนาดวูจินรื้อวิหาร เฮเรสก็ไม่ห้าม มันเอาแต่พูดว่ายังไม่ถึงเวลา
แล้วทำไมจู่ๆสถานการณ์จึงเปลี่ยนไป?
“ขอถามอะไรสักข้อ”
[นี่เป็นการเริ่มแขนงใหม่ ข้าจึงไม่มีความรู้ ข้าแค่บันทึก
การทำนายไม่ใช่ความถนัดของข้า]
“...”
ชายหัวล้านในจอช่างน่าอัดแท้ น่าชิงชังจนวูจินคงจะอัดเขาทันทีที่เห็น
ใครพูดว่าอยากรู้อนาคตกันวะ?
“เหอะ ถึงฉันถามเรื่องเก่าๆก็ไม่เห็นนายจะตอบ”
[จริง]
“นายกำลังหาเรื่อง...”
[ข้าไม่อาจบอกว่าความเป็นไปได้จะส่งผลกับเจ้าอย่างไร ข้าเพียงบันทึก
ข้าจะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการเดินทางของเจ้า]
คำพูดของเทพแห่งเวลาไม่ทำให้วูจินโกรธกว่าเดิม เขายอมแพ้แล้ว
มันตอบอย่างเดิมมาหลายชั่วโมง
“ฉันว่านายเปลี่ยนสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำมามากพอแล้วล่ะ”
[…]
เงียบอีกแล้ว
“เฮ้อ ลืมที่พูดไปเถอะ”
วูจินคว้าเข็มขัดเฮเรส
เขารวบรวมไอเทมสำหรับสร้างเซ็ทไอเทมทราชครบ 5 ชิ้น
ที่เหลือสามารถซื้อผ่านร้านค้าของมิติหรือหาจากที่อื่น
เขาไม่ต้องอยู่อัลเฟนอีกต่อไป
ได้เวลากลับโลกแล้ว
เมื่อได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์แล้ว ประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเดินยาว
วูจินเดินออกจากห้องและลาตาชาที่ยืนรออยู่ก็มายืนตรงหน้าเขา
“ไปกันเถอะ”
“...”
ลาตาชาตะลึงมองหน้าผู้ไม่ตาย
ทำไมคนที่บ้าทุบข้าวของอยู่เป็นชั่วโมงกลับพูดแบบนี้
“เจ้าควรจะคลี่คลายปัญหาของเจ้าก่อนไปไม่ใช่เหรอ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“เจ้ามีเรื่องอยากถาม”
“ถามไปมันก็ไม่ตอบ ฉันจะทำอะไรได้?”
“...”
เขาตอบอย่างสง่าผ่าเผยจนลาตาชาไม่รู้จะพูดอะไร เธออดถามเขาไม่ได้
“เจ้าทำลายข้าวของที่นี่เพื่อเอาคำตอบไม่ใช่เหรอ?”
“แค่คิดว่าถ้าได้คำตอบก็ดี อีกอย่าง ถ้าอยู่เฉยๆฉันจะเบื่อเอา”
“...”
อย่างที่คิดจริงๆ ผู้ไม่ตายเป็นคนชอบความรุนแรง
ลาตาชาต้องประเมินคังวูจินใหม่อีกรอบ
“ฉันได้ของที่ต้องการแล้ว”
เขาไม่ได้มาเพื่อคุยกับเฮเรส เขาแค่ต้องการไอเทมศักดิ์สิทธิ์
เขาคิดว่าจะหาคำตอบได้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะยิ่งซับซ้อนขึ้น
แต่ คังวูจินด้านชาเกินกว่าจะกังวลเรื่องนี้มากเกินไป
“รีบกลับเถอะ”
“ได้...”
เขาแค่รำคาญที่เฮเรสทำเรื่องไม่จำเป็น
ลาตาชารีบตามวูจินขึ้นไป
ชายศีรษะล้านปรากฏบนหน้าจอทุกจอยกเว้นอันที่ถูกทำลาย
[ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะประสบความสำเร็จในการเดินทาง...]
[... คังวูจิน...]
เสียงของเฮเรสฟังจริงใจเกินกว่าจะเป็นเสียงของเครื่องจักร
***
หน่วยแฟนธ่อม
พวกเขาคือคนมีความสามารถที่คัดเลือกจากการสัมภาษณ์...
ที่จริงแล้วพวกเขาคือคนที่หนีไม่ทันตอนคังวูจินกับคิมคังชุลสู้กัน
พวกเขาเคยเป็นเราส์แรงค์ต่ำ แต่ไม่ใช่อีกแล้ว
สมาชิกหน่วยแฟนธ่อมที่มีแรงค์ต่ำสุดคือ B
มันคือแรงค์ที่สามารถไปเป็นกรรมการในกิลด์ส่วนใหญ่ได้เลย
พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในเวลารวดเร็วเพียงไม่กี่เดือน
สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้
แต่อลันดาลเป็นที่รู้จักในด้านฝึกเราส์ให้เก่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นี่จึงไม่ใช่ความฝัน
หินเพิ่มพลังถูกใช้เพื่อเพิ่มค่าสถานะ
และอลันดาลมีตำราทักษะให้พวกเขาใช้ไม่ขาดแคลน พวกเขาเป็นแค่เราส์แรงค์ E และ F แต่ได้รับสิ่งเหล่านี้
เชฮีซอลเป็นหัวหน้าของหน่วยแฟนธ่อมที่เพิ่งสร้างใหม่
เพราะเธอสมาชิกหน่วยแฟนธ่อมจึงได้รับการฝึกอย่างดีและมีความจงรักภักดี
ถึงกระนั้น พวกเขาอ่อนแอกว่ากองทัพผีดิบ
จึงรับหน้าที่ช่วยเหลือคนของสหพันธ์ พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยฟื้นฟูสหพันธ์
มีงานมากมายต้องทำในอาณานิคมเซารุส แต่...
ช่วงหลายวันนี้พวกเขาเจอปัญหามากมาย
พวกเขาไม่มีปัญหากับคนของดาวนี้ที่แตกต่างกันด้านเผ่าพันธุ์
หรือมีปัญหากับกองกำลังของสหพันธ์ ปัญหามาจากคนที่มาจากที่เดียวกับพวกเขา
คนของโลกกำลังสร้างปัญหา
สมาชิกสำคัญคนหนึ่งของหน่วยแฟนธ่อมชื่อคิมจุนยองมองคนของกิลด์ดาเคนอย่างไม่ชอบใจ
“พวกนั้นเป็นใครวะ? ทหารที่ไหนเป็นแบบนั้น?”
“พวกนั้นไม่ใช่ทหาร”
“แล้วเป็นอะไร?”
“นักวิจัย”
“...นักวิจัยมาทำอะไรที่นี่ ตอนที่พวกเราต้องกอบกู้อิสรภาพให้อัลเฟน?”
“อืม...ก็มาวิจัยไง?”
“เฮ้อ วิจัยอะไร?”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงวะ?”
“...”
เขาไม่รู้แล้วคนอื่นในหน่วยจะรู้ได้เหรอ? โง่จริง คิมจุนยองกระแอมแก้เก้อกับเพื่อนในหน่วยที่เริ่มโมโห
จากนั้นเขาเริ่มเดิน
“อ้าว นายจะไปไหน?”
“ฉันเป็นคนสงสัยก็ต้องเป็นคนไปถาม”
“หา?”
“ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า”
คิมจุนยองเป็นคนขี้สงสัย เมื่อเขาสงสัยอะไรเขาจะไม่พอใจจนกว่าได้ถามให้หายสงสัย
“ขอโทษนะครับ”
“...”
นักวิจัยของกิลด์ดาเคนมองชายที่โผล่หน้าเข้ามาอย่างระแวง
“อะไรเหรอ?”
“พวกคุณค้นคว้าเรื่องอะไรอยู่?”
“...เรากำลังสำรวจสภาพดิน”
นั่นเขารู้อยู่แล้ว
มันเป็นกฎพื้นฐาน อุโมงค์ไม่ยอมให้วัตถุจากโลกผ่านเข้าไป
เพราะเหตุนี้พวกนักวิจัยจึงสร้างเครื่องฟังหน้าตาประหลาดที่ใช้บลัดสโตนเป็นแหล่งพลังงาน
พวกเขาใช้เครื่องมือนี้จิ้มไปทั่วพื้นดิน
เพราะอย่างนี้เขาจึงสงสัย
“ทำไม?”
“ไม่งั้นแล้วเราจะสร้างปราสาทที่มั่นคงได้ยังไงล่ะ?”
“แต่เรามีปราสาทแล้วนี่?”
“...”
ภูเขาเซารุสมีกำแพงปราสาทเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมอยู่แล้ว
“แหม ทำไมคุณช่างถามนัก? เขาบอกให้ผมสำรวจที่นี่ผมก็สำรวจ”
“อ้อ”
อีกฝ่ายเริ่มโกรธ จุนยองจึงรู้สึกเก้อและถอย เมื่อจุนยองถอยไป
นักวิจัยของกิลด์ดาเคนมองรอบตัวก่อนกระซิบคุยกัน
“พวกนั้นสงสัยเราแล้วเหรอ?”
“ไม่หรอก ถ้าพวกนั้นรู้ว่าเราทำอะไรก็ต้องแสดงท่าทีอะไรออกมา”
“อืม ว่าแต่ปริมาณน้ำมันใต้ดินเยอะกว่าที่คาดไว้
เราอาจต้องขอความช่วยเหลือจากอเมริกา”
“ก็ดีสิ ปกติพวกนั้นไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ
เราจะพาคนจากอเมริกากับกิลด์อื่นๆมาช่วย”
“ฮ่าๆ กิลด์เราโชคดีที่ถูกเลือกเป็นกลุ่มแรก”
“ต้องโชคดีอยู่แล้ว? นี่เป็นสวรรค์เข้าข้างองค์จักรพรรดิ มันบอกให้พวกเรานำความรุ่งเรืองมาสู่จักรวรรดิของเราอีกครั้ง”
“จดข้อมูลไว้ดีๆล่ะ”
นักวิจัยยุ่งอยู่กับการหาแหล่งทรัพยากรใต้ดินและจดข้อมูล
ฝ่ายจักรวรรดินิยมผงกหัวขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาเดินทางมายังโลกอัลเฟน
ใช้การช่วยสหพันธ์ของอัลเฟนเป็นข้ออ้าง...