วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 159

บทที่ 159 – เทพของโลก (2)



ด้านหน้าห้องโซอามีคนอยู่กันเป็นกลุ่ม เมื่อวูจินมาถึง เขาเห็นโดจีวอนกับซินดี้อยู่ในนั้น

“วูจินอา...”

น้ำเสียงของจีวอนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและเจ็บปวด แต่เธอไม่สามารถปลอบใจวูจินได้ ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เธอต้องปลอบใจเขา

โซอาที่หมดสติไปฟื้นขึ้นมาแล้ว

“ไว้คุยกันทีหลังนะ”

“ได้”

วูจินเดินผ่านคนเข้าไปในห้อง หน้าของแม่เขาเต็มไปด้วยน้ำตาและมีน้ำมูกไหล นางหันหน้ามาทางเขาอย่างอ่อนแรง

“วูจินอา... โซอาของแม่... โซอาจำแม่ไม่ได้ ฮึก”

“ไม่เป็นไรนะแม่”

วูจินตบหลังแม่เบาๆ

ความจำเสื่อมชั่วคราวเหรอ?

เธอกลายเป็นนักบวชที่เป็นผู้ส่งสารจากเทพ แต่เขาไม่เคยเจอว่าความทรงจำของเจ้าของร่างจะถูกลบไป

นี่ไม่ใช่ความจำเสื่อม บางอย่างยืมร่างของเธอ บรรยากาศรอบตัวเด็กหญิงต่างไปจากเดิม

เทพองค์หนึ่งปรากฏร่างโดยยืมร่างของนักบวช

ตอนนี้เด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่โซอา น้องของเขา มันคือเทพที่ไม่มีใครรู้จัก

“แม่ออกไปก่อนนะครับ”

ลีซุกยุงลากเท้าออกไปจากห้องด้วยความกังวล

เมื่อในห้องเหลือเพียงสองคน เด็กหญิงลืมตาขึ้น

แสงจ้าลอดออกมาจากดวงตาของเธอจนแทบมองหน้าไม่ได้ วูจินขมวดคิ้วแล้วถาม

“ไม่แนะนำตัวเองหน่อยเหรอ?”

[…]

“ไม่รู้จักชื่อตัวเองเหรอ? เลือกสักอันสิ เยซู ศากยมุนี... อืม มีอะไรอีกนะ?”

วูจินพูดอย่างกวนๆ เธอปริปาก แต่เสียงไม่ได้ส่งมาทางหูของเขา

[เราเกิดจากเมล็ดพันธุ์ยามดาวดวงนี้ที่เพิ่งผ่านกระบวนการเร่งความเร็ว เราจะมีชื่อทำไม?]

“โฮ่ เธอเป็นเทพไม่มีชื่อ กระบวนการเร่งความเร็วที่เพิ่งเกิดขึ้น?”

ไม่มีเทพอื่นบนโลกแล้วเหรอ? นี่อาจเป็นเทพองค์แรกที่มาถึง...

[เราเจอเจ้าเป็นครั้งแรก แต่เรารู้จักเจ้ามานานแล้ว]

รอยยิ้มบนหน้าวูจินสลายไป

“ช่วยพูดภาษาคนให้เข้าใจได้ไหม?”

[เราเฝ้ามองสิ่งที่เจ้าทำ]

“...”

แสงในดวงตาของโซอาหรี่ลง

“เฮ้อ เทพก็เหมือนกันหมด”

เทพที่เขาเจอบนอัลเฟนก็แบบนี้ ไม่รู้ทำไมถึงพูดจาเลื่อนลอยนัก

“อืม”

เด็กหญิงครางแล้วกลับมาเป็นโซอา น้องสาวของเขา พลังเวทกดดันรอบๆตัวเธอหายไปแล้ว

วูจินกอดเธอไว้ก่อนที่เธอจะหล่นลงบนพื้น

ดวงตาโซอาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นวูจิน เธอเอ่ยปากอย่างยากลำบาก

“พี่...”

“พี่เอง”

เธอลำบากมามาก ถ้าทนไม่ได้เธอจะตาย เธอทนได้และได้ส่งเสียงของเทพ

<คังโซอา เลเวล 50>

วูบเดียวคังโซอาก็ได้พลังถึงขั้นที่ 5 วัดตามระดับของโลก เธอกลายเป็นเราส์แรงค์ B

“พี่ หนูฝัน หนู...”

วูจินกอดโซอาแน่น

“น้องทำได้ดีมาก”

เขาขอบคุณที่เธอทนการเปลี่ยนแปลงได้และขอบคุณที่เธอยังมีชีวิต โซอากระพริบตาปริบเมื่อวูจินทำตัวแปลกไป

“แล้วเพื่อนที่น้องเห็นในฝันชื่ออะไรเหรอ?”

“เอ๊ะ? หนูไม่รู้...”

“อ้อ งั้นพี่จะเรียกแม่มา พักสักหน่อยเถอะ”

“ค่ะ”

เธอมีพลังของนักบวชขั้น 5 เธอจะสามารถใช้พลังผ่านการภาวนา โซอาจะเติบโตเป็นคนพิเศษ เธอจะเป็นเหมือนเมโลดี้ นักบวชหญิงของโบสถ์อาเรีย

เมื่อวูจินออกจากห้อง พนักงานคนหนึ่งวิ่งมาหาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“แย่...แย่แล้วครับ คิมคังชุลหนีไปแล้ว”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว

เขาหันหน้าไปมองในห้องโซอาที่เขาเพิ่งเดินออกมา

“วูจินอา”

เมื่อจีวอนเรียกชื่อ วูจินหยุดมองเธอ วิญญาณใสกระจ่างของเธอสั่นไหวเล็กน้อย

“ไว้ฉันคุยกับเธอทีหลังนะ”

“เข้าใจแล้ว”

วูจินขยี้ศีรษะจีวอนหนึ่งทีแล้วเดินจากไป ซินดี้ที่อยู่ข้างจีวอนพูดขึ้นเสียงเบา

“เฮ้อ วูจินยุ่งมากเลยนะ”

“นั่นสิ”

“เธอไม่เป็นไรเหรอ? เขาพูดกันว่าเธอเป็นแฟนเขา แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ค่อยได้เจอเขาเลย...”

“ฮะๆ ฉันไม่เป็นไร”

โดจีวอนไม่ได้โกหก เธอไม่ห่วงเรื่องนี้จริงๆ

คังวูจินมีธุระยุ่งและเธอเข้าใจดี เขาช่วยชีวิตเธอ ถ้าเธอบ่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาจะดูหน้าไม่อายขนาดไหน?

จีวอนดีใจแล้วที่เธอสามารถมองเขาใกล้ๆ

เขาเป็นคนอันตรายและมีงานยุ่ง เขาคือวีรบุรุษที่กำลังช่วยโลก

“เอ๋ เธอจูบเขาแล้วยัง?”

“เอ๊ะ?”

จีวอนหน้าแดงจัด จากนั้นมองรอบๆแล้วพูดเสียงเบา

“เรื่องอย่างนั้นไม่ควรพูดตรงนี้นะ”

นี่เป็นห้องที่โซอาเพิ่งตื่นจากการหมดสติไป ไม่ใช่ที่ๆจะคุยเล่นกันได้ จีวอนจูงมือซินดี้ออกจากห้อง

“เฮ้อ เธอก็ลำบากน่าดู”

ซินดี้ถอนหายใจ

จีวอนเป็นคนรักของชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่ดูเหมือนจะเป็นชีวิตที่ลำบาก

“แล้วเธอจะกลับบ้านเมื่อไหร่เหรอ?”

“เอ๊ะ? ฉัน...ฉันรบกวนเธอเหรอ?”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

ซินดี้ตกใจที่จู่ๆจีวอนก็ถาม จีวอนส่ายศีรษะ

ไม่กี่วันก่อน ซินดี้โทรศัพท์หาจีวอน

ดูเหมือนซินดี้ยังไม่หายขวัญเสียจากงานชุมนุมศิษย์เก่า เธอหยุดพักงานแสดงทั้งหมดเพื่อพักผ่อน แต่ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอจึงขอความช่วยเหลือจากจีวอนเพื่อมาพักที่อลันดาล

โดจีวอนถามนายกรัฐมนตรีมินชาน เมื่อได้รับอนุญาตก็เชิญซินดี้มา

ซินดี้อยู่กับเธอได้ 3 วันแล้ว และจีวอนรู้สึกว่าจะอยู่อีกนาน

“เฮ้อ ดูเหมือนไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคนรักของฮีโร่ได้”

“...”

“สำหรับฉันต่อให้ตายก็เป็นไม่ได้หรอก”

จีวอนไม่มีคำพูดตอบ

***

วูจินมองผ่านหน้าต่างที่ถูกพังไปยังสนามฝึก จากนั้นหันไปมองวูซุงฮุน

“เขาหมดสติ แต่ยังไม่ตาย”

รปภ.รายงาน วูจินดึงวิญญาณที่ลอยรอบตัวเขาดวงหนึ่งมาส่งเข้าไปในตัวซุงฮุน

“อูย”

ซุงฮุนได้สติ เขาครางพลางลุกขึ้นจากพื้น

“ประ...ประธาน ไม่ใช่สิ ฝ่าบาท”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้วจู่ๆก็โยนบางอย่างใส่ผม จากนั้นผมก็...”

“เขาพูดว่าอะไร?”

“ผมจำไม่... อ้า! เขาพูดประมาณความบังเอิญเกิดขึ้นได้ในโลกนี้”

“ความบังเอิญ”

วูจินหัวเราะเสียงปร่า

โลกพระจันทร์สินะ? ท็อปเลอร์เป็นคนขององค์กรนั้นและพวกนั้นสนับสนุนคิมคังชุล

พวกมันต้องการคุยกับเขา แต่คิดจะปิดบังตัวตนเอาไว้

“นายควรฝึกฝนร่างกายหน่อย ออกกำลังกายบ้าง”

“...”

เขาจะสู้กับเราส์ได้ถ้าออกกำลังกายเหรอ? แต่แรกก็ไม่มีใครในอลันดาลตอนนี้ที่รับมือกับคิมคังชุลได้นอกจากวูจิน

มันเป็นความผิดของคังวูจินส่วนหนึ่ง เขาคิดว่าคิมคังชุลอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“เอ่อ นายไปพักเถอะ นายคนนั้น ไปบอกมินชานให้มาหาฉัน”

“ครับผม!”

เลขานุการไม่ทันจะออกจากห้องก็ต้องถอยกลับมา ดูเหมือนจุงมินชานจะได้ยินข่าวแล้วและกำลังวิ่งมาทางนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“คิดว่าอะไรล่ะ? ประกาศจับคิมคังชุลซะ”

“อะไรนะ? ข้อหาอะไร... ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว มันเหมือนประธาน... ฝ่าบาทลักพาตัวคุณคิมคังชุล”

คิมคังชุลมาสัมภาษณ์งาน และวูจินสู้กับเขา ลากคิมคังชุลที่ถูกทำร้ายเข้าอลันดาล วูจินลูบคางเหมือนคิดหนักแล้วมองไปที่หน้าต่างที่ถูกพัง

“ข้อหาทำลายทรัพย์สินก็ได้”

“...”

“ฟังไม่ขึ้นครับ”

“ฉันไม่ได้คิดจะจับเขา ทำไปเถอะน่า”

“เข้าใจแล้ว”

มินชานเป็นคนเข้าใจอะไรได้เร็ว จึงเข้าใจจุดประสงค์เบื้องหลังคำสั่งของวูจิน ถ้ามีประกาศจับ คิมคังชุลจะระมัดระวังตัวกว่าเดิม และมันจะจำกัดความเคลื่อนไหวของเขา

วูจินต้องการหยุดงานของคิมคังชุล

“เตรียมงานประชุมกิลด์ถึงไหนแล้ว ฉันจะไม่อยู่ 3 วัน”

“ครับ คนจากกิลด์ทั่วโลกมาถึงเกาหลีแล้ว เราเตรียมที่พักให้พวกเขาที่โรงแรม KH”

“นายจัดการรายละเอียดพวกนั้นเลย คนใหม่ที่เลือกเข้ามาเป็นไงบ้าง?”

“เรากำลังตรวจสอบประวัติพวกเขา ต้องวัดความสามารถพวกเขาด้วย...”

“พามาที่ห้องฉัน ฉันจะฝึกพวกนั้นสัก 3 วันแล้วคืนให้”

“...”

สามวัน แต่ในดันเจี้ยนเท่ากับ 12 วัน

พวกเขาเพิ่งเข้ามาชั่วโมงที่แล้ว แต่ต้องเข้าดันเจี้ยนกับคังวูจิน จะปรับตัวได้เร็วไหมนะ?

“ไม่เร็วไปเหรอ? หรือเราควรเตรียมพร้อมพวกเขาสักหน่อยก่อน ปัญหาคือพวกเขาจะปรับตัวได้หรือเปล่า...”

“มินชาน”

“ครับท่าน”

วูจินพูดคำเดียวหยุดนายกฯมินชานไม่ให้พูดต่อ

“คนที่ปรับตัวได้ดีจะเอาตัวรอดได้ในสงคราม ใช่ไหม?”

“ครับ”

“เพื่อให้พวกเขาปรับตัวได้ดี พวกเขาต้องได้รับการฝึกอย่างดี”

“ถูกต้องครับ”

“ฉันไม่ได้พาพวกเขาเข้าเขตสงคราม นี่แค่พื้นที่ล่า”

สำหรับบางคน มันไม่ใช่พื้นที่ล่า มันคือที่ที่ต้องต่อสู้เต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด

แต่มินชานไม่เถียง

“ผมจะเตรียมพร้อมพวกเขาทันทีแล้วส่งขึ้นมา”

“ฉันไม่รอนานนะ ทำเร็วๆ”

“ครับท่าน...”

วูจินพูดเรื่องที่จำเป็นหมดแล้วก็ออกจากห้องขึ้นไปยังห้องทำงานของเขา

“เฮ้อ”

จุงมินชานผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิมคังชุลหนีไปหรือคังโซอาฟื้น แต่อารมณ์ของคังวูจินแหลมคม มันแตกต่างจากตัวเขาในยามปกติ

มินชานไปที่ห้องประชุมที่พนักงานใหม่รอเขาอยู่ทันที พวกเขากำลังอ่านสัญญาอย่างละเอียด เมื่อเซ็นชื่อลงไป พวกเขาจะกลายเป็นพลเมืองของอลันดาล

พวกเขากลายเป็นพลเมืองของอลันดาล แต่ในด้านธุรกิจจะเป็นเหมือนกิลด์อื่นๆ

พวกเขาต้องเคลียร์และจัดการดันเจี้ยน และต้องกำจัดมอนสเตอร์เมื่อเกิดดันเจี้ยนระเบิด

ที่ต่างคือไม่มีประเทศไหนมีอำนาจเหนือกิลด์นี้ ยิ่งกว่านั้นอลันดาลยังทำงานในระดับโลก กระทั่งทำงานในโลกอื่นมิติอื่น...

“ทุกคนสนใจทางนี้ด้วย”

“...”

ดวงตาฉายความกังวล 23 คู่หันมาทางนายกฯจุงมินชาน

“ทุกคนจะตามพระราชาเข้าดันเจี้ยนเดี๋ยวนี้”

“พูดอะไรของคุณ? พวกเรายังไม่ทันเซ็นสัญญาเลยด้วยซ้ำครับ”

“นั่นสิ เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้าที่นี่ไหม แต่คุณโยนดันเจี้ยนมาให้เราแล้ว”

มินชานส่ายศีรษะเหมือนเขาก็ลำบากใจ

“ไม่สำคัญแล้ว ผมอยากให้พวกคุณจำคำของผมให้ขึ้นใจ มันจะช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตของพวกคุณ ตอนอยู่ในดันเจี้ยน อย่าห่างจากพระราชา รวมถึงพวกอัศวินมรณะ...”

“เดี๋ยวนะ! เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลยเหรอไง?”

“มันไม่บังคับไปหน่อยเหรอ?”

“ผมไม่อยากเข้ากิลด์นี้ ผมไปล่ะ พาผมออกไป”

“...”

คนที่ผ่านสัมภาษณ์บ่นไม่หยุด มินชานหน้าคล้ำลง

ดูเหมือนคนพวกนี้จะเข้าใจอะไรผิด

ตอนนั้นเองประตูห้องประชุมก็เปิดออกและคังวูจินเข้ามา

“ทุกคนมารวมกันตรงนี้”

ดูเหมือนวูจินไม่คิดจะรอ เขามาหาคนพวกนี้ทันที

“ถ้าทุกคนมาครบแล้วก็ไปกันเถอะ”

วิ้ง

วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมต่อกับอลันดาล

ทุกคนเริ่มแสดงสีหน้าประหม่าเมื่อเห็นอุโมงค์ก่อตัวขึ้นกะทันหัน

“ผมไม่ไป”

“...?”

วูจินมองคนที่พูดอย่างสงสัย

“ใครพูดนะ?”

“อะไร?”

วูจินมองหน้าทุกคนทีละคนก่อนจะเอ่ยปาก

“ฉันอยากปกป้องโลก พวกนายล่ะ?”

“...”

ทำไมเขาพูดใหญ่โตเช่นนี้? ทุกคนตอบลำบาก

วูจินพูดต่อ

“ถ้านายมาที่นี่เพราะอยากสบายก็ไปได้”

“จริง...จริงเหรอ? เราไปได้เหรอ?”

“แน่นอน ไปจากโลกนี้”

“อะ...อะไรกัน...”

วูจินกระตุกยิ้มขณะยืนตรงหน้าอุโมงค์

“ถ้าอยากผ่านอุโมงค์นี้ไปแต่โครงกระดูกก็นั่งลง ถ้าอยากไปแบบไม่ตาย มาต่อแถว เริ่ม”

“...!”

โครม!

ไม่ทันวูจินพูดจบ ทุกคนก็ผลักโต๊ะออกแล้วลนลานมาต่อแถวหน้าวูจิน

“นับจำนวนคน”

“หนึ่ง”

“สอง”

...

“ยี่สิบสาม ผมคนสุดท้ายครับ”

วูจินยิ้มอย่างพอใจ

“ยินดีต้อนรับพวกนายทุกคนเป็นสมาชิกของอลันดาล”

เสียงของวูจินฟังเหมือนเสียงยมบาลเฝ้าประตูนรก ที่จริงแล้วอุโมงค์สีแดงก็เหมือนประตูนรกสำหรับเราส์ใหม่จริงๆ พวกเขาทำหน้าทุกข์ระทมขณะเดินเข้าอุโมงค์





สารบัญ                                     บทที่ 160

2 ความคิดเห็น:

  1. ก็นะตามที่วูจินเคยบอก อลันดาลไม่ใช่ที่หลบภัย แต่เป็นแนวหน้า

    ตอบลบ
  2. สวย ได้คนมากหารความระทมเพิ่ม

    ตอบลบ