วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 160


บทที่ 160 – เราคือทหารใหม่


พวกเขาคาดว่าจะเป็นผ่านอุโมงค์แดงไปจะเป็นดันเจี้ยนอันตราย แต่คาดผิดไปเมื่อปราสาทอย่างดีปรากฏตรงหน้าพวกเขา

คังวูจินต่างไปจากตอนก่อนที่ทำให้พนักงานใหม่เกิดความเกรงกลัว ตอนนี้เขาดูง่ายๆสบายๆผิดปกติ

“เข้าแถว”

“...”

“มีคำถามครับ”

“ฉันไม่ตอบ”

“ครับผม”

ก็ยังพูดห้าวเหมือนเดิม

“นาย เดินขึ้นมา”

“ครับ”

วูจินจ้องชายตรงหน้า

<คิมจุนยอง – เลเวล 22>

“นายแรงค์ E เหรอ?”

“ครับ ใช่แล้วครับ”

“นายมีทักษะกี่อย่าง?”

“สามครับ”

“แสดงให้ฉันดูสิ”

“ตรงนี้เหรอครับ?”

“แน่นอนสิ? ไม่งั้นจะไปทำที่ไหน? รีบเข้า”

“ครับผม!”

คิมจุนยองมีการโจมตีด้วยไฟฟ้าง่ายๆหนึ่งอย่าง เทเลเคเนซิสเคลื่อนย้ายวัตถุหนึ่งอย่าง และบัฟที่เพิ่มความสามารถทางร่างกายเล็กน้อยอีกอย่าง

“นายเรียนสกิลได้หลากหลายดีนะ”

“ขอ...ขอโทษครับ”

นี่ไม่ใช่ทักษะที่เขาเลือก แต่พัฒนาขึ้นเองตามธรรมชาติ ปัญหาคือทักษะพวกนี้ไม่ส่งเสริมกันและกัน
จากนั้นเขาลังเลว่าจะเลือกทุ่มเทฝึกทักษะใดดี ผลคือการเติบโตของเขาช้าลง คนอย่างเขาเป็นแบบที่หลายๆคนเรียกว่าสายผสม

“นายขอโทษทำไม?”

แต่วูจินชอบสายผสมที่สุด เรื่องฝึกฝนทักษะสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้งานให้หนัก แต่การมีทักษะหลายๆอย่างเป็นเรื่องดี ชายคนนี้ไม่ได้ใช้ตำราทักษะ เขาพัฒนาทักษะเราส์ขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่าเขามีศักยภาพในการเติบโตสูง

“กินนี่”

วูจินซื้อหินเพิ่มพลังที่เข้ากับคิมจุนยองจากร้านของมิติ ไอเทมที่ซื้อจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จส่งต่อให้คนอื่นไม่ได้ แต่ไอเทมจากร้านของมิติสามารถมอบให้คนอื่นได้ และคุณภาพไม่ลดลงเลย

นอกจากนั้นยังมีไอเทมจากร้านของชำ ร้านหินเพิ่มเพิ่มพลัง ร้านอาวุธและร้านต่างๆในอาณาเขตของเขา เขาสามารถซื้อของจากร้านเหล่านั้นผ่านทางร้านของมิติ

“นี่...นี่คืออะไรครับ?”

“ฉันไม่รับฟังคำถาม”

“...”

เขาต้องกินของที่ไม่รู้ว่าคืออะไร?

คิมจุนยองรับหินเพิ่มพลังด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ เราส์ที่ยืนมองอยู่ข้างๆพูดอย่างระวัง

“มันเหมือนหินเพิ่มพลัง กินเข้าไปเถอะน่า”

“จริง...จริงเหรอ?”

คิมจุนยองถือหินเพิ่มพลังเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาสบตาคังวูจิน

“ฉันถูกเสมอ รีบกินซะก่อนที่นายจะตาย”

“...!”

เขาไม่รู้ว่าวูจินใจดีหรือโหดกันแน่

หลังจากกินหินเพิ่มพลังเข้าไปแล้วคิมจุนยองก็ลืมตา และเห็นหินอีกหลายเม็ดเรียงตรงหน้า

“กินตามลำดับ”

เมื่อหันไปมองรอบๆเขาเห็นทุกคนกำลังกินหินเพิ่มพลัง

‘ให้พวกเราหมดนี่ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?’

เขาอยากถามแต่รู้ว่าต้องถูกตำหนิอีก จึงไม่กล้า

แม้แต่หินที่เพิ่มพลังได้เพียงเล็กน้อยก็แพงแล้ว เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะโชคดีได้กินหินเพิ่มพลังจำนวนมากในทีเดียว

หินเพิ่มพลังที่เขากินเข้าไปมีคุณภาพสูงสุด เขารู้สึกว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้น

‘ทั้งหมดนี่เท่าไหร่นะ? ร้อยล้านวอน?’

เหล่านี้เป็นไอเทมที่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้กิน ตอนนี้วูจินเหมือนเป็นเทวดาเลย

“นายเรียนทั้งหมดนี่”

วูจินส่งตำราทักษะให้ทีละเล่ม กระทั่งตำราทักษะที่แย่ที่สุดยังราคาหลายล้าน

คิมจุนยองเป็นเพียงเราส์แรงค์ E ของขวัญที่ได้รับมันมากเกินจะเรียกว่ามาจากความใจดี

‘เขาต้องเป็นซึนเดเระแน่’

คิมจุนยองพอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เขารู้แล้วว่าคังวูจินเป็นคนแบบไหน

คิมจุนยองมองคังวูจินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ

วูจินมองพนักงานใหม่ 23 คนกินหินเพิ่มพลังและเรียนทักษะเงียบๆ

พวกเขาต้องมีพื้นฐานทักษะกับค่าสถานะก่อนจึงจะฝึกได้

วูจินรู้เลเวลพวกเขา ทักษะที่พวกเขามีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ละเอียดไปถึงวิธีต่อสู้และนิสัย ดังนั้นเขาต้องปล่อยพวกเขาต่อสู้เองหลังจากสอนเรื่องพื้นฐานจึงจะเห็นว่าควรจะฝึกพวกเขาไปทางใด

“เอาล่ะ เสร็จแล้วพวกเราก็ไปที่ลานฝึก”

อุโมงค์ที่เขาใช้ตอนกลับมาจากโลกจาคุปิดไปแล้ว ไม่มีทางเลือก วูจินต้องผ่านเสานีเซียถ้าต้องการไปโลกจาคุ

เมื่อพนักงานใหม่ตามวูจินผ่านอุโมงค์ก็มาถึงดันเจี้ยนที่มีเสานีเซียขนาดใหญ่ตั้งอยู่

เหล่าพนักงานใหม่ออกจากอาณาเขตมิติและมายังโลกจาคุเป็นครั้งแรก สีหน้าพวกเขาแตกต่างกันไป กลัว,ตื่นเต้น,คาดหวัง,มั่นใจ,เกร็ง,ฯลฯ

พวกเขากลัวแต่ดูเหมือนอยากลองทักษะใหม่ที่ได้เรียนมาและพลังที่ได้จากหินเพิ่มพลัง

แต่ถ้าให้วูจินสอนพวกเขาทีละคนมันจะไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสอนลูกน้องไว้ก่อนเพื่อให้มาทำหน้าที่แทนเขา

ก๊าซ!

เสียงคำรามดังจากท้องฟ้า พนักงานใหม่กระซิบต่อกันขณะที่มองไวเวิร์นกำลังบินมาทางพวกเขา

“มอนสเตอร์! ไวเวิร์น!”

“เฮ้ย มันจะไม่เก่งไปสำหรับการต่อสู้ครั้งแรกของพวกเราเหรอ?”

“ไม่ ดูสิ มีคนขี่มันอยู่”

พวกเขาพูดกันเหมือนกำลังมาเที่ยว วูจินยิ้ม

โตไวๆโตดีๆ

คนที่มากับไวเวิร์นคือเชฮีซอลนั่นเอง เธอมาที่นี่เพราะวูจินเรียก

“ขอโทษที่มาช้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร เธอตั้งใจสอนเด็กใหม่พวกนี้ดีๆ พยายามหานิสัยตอนต่อสู้ของพวกเขา”

“ค่ะท่าน”

“อีก 12 วันเราจะกลับโลก พวกนี้จะรับคำสั่งจากเธอโดยตรง”

“กองรบที่ขึ้นตรงต่อดิฉัน!”

“เพราะอย่างนี้เธอถึงเรียนทักษะเทเลพาธีไง คราวนี้ก็ได้ใช้มันเต็มที่แล้ว”

ฮีซอลใจเต้นแรง

“ดิฉันต้องฝึกพวกเขาขนาดไหนคะ?”

“เอ่อ แล้วแต่เธอ แค่ทำให้แน่ใจว่าพวกนี้จะมีประโยชน์พอ”

“...มีประโยชน์พอ”

วูจินตบบ่าฮีซอล

“ไว้เจอกันใหม่”

“ค่ะท่าน!”

วูจินเรียกชิงชิงออกมา และจากไปในทางตรงข้ามกับที่ฮีซอลมา ฮีซอลพยายามกลั้นยิ้มเมื่อมองพนักงานใหม่ 23 คนที่ถูกทิ้งไว้บนโลกอันไม่คุ้นเคย

‘พวกเขาคือทหารใหม่ของฉัน’

นานเท่าไหร่แล้วนะ?

นี่ไม่เหมือนมองทหารใหม่สมัยเธออยู่ในกองทัพ แต่พวกเขาเหล่านี้จะคือผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ! มันเหมือนเธอได้รับโอกาสให้นำหน่วยรบพิเศษ

“เข้าแถว 4 แถว”

“...?”

ฮีซอลยิ้มเมื่อเห็นพวกเขาทำหน้าสงสัย

“ทำตามที่บอก”

ทั้งกลุ่มยังไม่ขยับทันที คิมจุนยองที่อยู่ข้างหน้าถาม

“ขอโทษครับ คุณคือกรรมการเชฮีซอลใช่ไหม?”

ในอลันดาลมีเราส์ไม่กี่คน ดังนั้นเชฮีซฮลจึงมีชื่อเสียงเช่นกัน แน่นอน เราส์ใหม่เหล่านี้รู้จักเธอ

“ใช่”

“เฮะๆ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ”

“...”

ฮีซอลจ้องมือที่คิมจุนยองยื่นออกมา

ปึก!

หมัดของฮีซอลพุ่งผ่านมือคิมจุนยองไปใส่ท้องของเขาอย่างหนักหน่วง

“อย่าขยับถ้าไม่ได้รับคำสั่ง”

“...!”

“แค่กๆ”

คิมจุนยองนอนงอก่องอขิงบนพื้น เราส์ใหม่นิ่งค้างอยู่กับที่

มีใครในอลันดาลรู้จักคำว่าสิทธิมนุษยชนไหม?

“ทำไมคุณจู่ๆก็ทำแบบนี้ล่ะ? ผมขอฝึกกับประธาน”

เชฮีซอลทำตัวไร้เหตุผลเพื่อข่มขู่พวกเขา คังวูจินให้ไอเทมพวกเขาอย่างไม่ลังเล ดังนั้นคังวูจินจึงดีกว่าพันเท่า

เท้าฮีซอลขยับเป็นการตอบท่าทีก้าวร้าวของเราส์ใหม่

ปึก

“อั่ก!”

จุนยองถูกเตะกระเด็นไป 3 เมตร เขาครางพลางกลิ้งไปบนพื้น

“คลานยังไม่เป็น คิดจะบินแล้วเหรอ?”

อยากให้คังวูจินเป็นคนฝึก?

หาที่ตายแล้ว คนเดียวในที่นี้ที่จะฆ่าคนเพราะชักช้าก็มีแต่ราชาของอลันดาล คังวูจิน

เขาไม่แยกระหว่างคนตายกับคนเป็น

“พวกนายยังคลานไม่เป็น แต่ดิฉันจะทำให้พวกนายเดินได้”

“...”

เธอได้รับคำสั่งจากราชา ทำให้พวกเขาเป็นเราส์ที่พอใช้การได้...

“ดิฉันได้รับมอบหมายให้ทำให้พวกนายเป็นเราส์แรงค์ B ภายใน 12 วัน นี่คือการเริ่มการฝึกนรก”

“...?”

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นเราส์แรงค์ E มีแรงค์ D ไม่กี่คน แต่เป้าหมายของเชฮีซอลคือแรงค์ B ถ้าใครไปถึงแรงค์นั้นได้ กิลด์ทั่วไปคงเลื่อนตำแหน่งพวกเขาเป็นกรรมการแล้ว

“เริ่มการฝึกได้”

ก๊าซ!

เชฮีซอลดูร่าเริงแปลกๆ ไวเวิร์นส่งเสียงคำรามยาวเหมือนจะตอบรับเสียงร่าเริงของเธอ

***

ลาวาเดือดไปทั่วพื้นดินกว้างแห่งนี้

ถ้ามันมาจากภูเขาไฟก็คงดี

เขาหลบไม่ได้ หลบไปก็เปล่าประโยชน์

จากในลาวา ไฮดร้าพ่นไฟออกมาเรื่อยๆ ชายคนหนึ่งกำลังบินร่อนดินแดนร้อนระอุ เขาหลบเปลวไฟอย่างคล่องแคล่ว

จากที่ไกลๆ มีหนึ่งคนเป็นกับหนึ่งคนตายกำลังมองดูอยู่

“ซุงกูเก่งใช้ได้แล้วนะ”

[ก๊ากฮ่าๆ เจ้าบ้านั่นชินกับการถูกล้อมในเปลวไฟเร็วนัก]

ความสามารถในการปรับตัวกับเวทไฟของซุงกูนั้นไร้เทียมทาน

ไม่มีนักเวทคนไหนถูกเปลวไฟที่ตัวเองสร้างขึ้นเผา พวกเขาสามารถควบคุมไฟของตัวเองผ่านทางพลังเวท

แต่มีส่วนน้อยที่สามารถปรับตัวเข้ากับพลังเวทของคนอื่น คนแบบนี้สามารถดูดซับการโจมตีของศัตรู

ซุงกูเพิ่งเข้าสู่ระดับที่เขาสามารถทำเช่นนั้นได้

“เจ้านั่นชอบพูดว่าอยากเป็นนักเวท สมใจเขาแล้ว”

ซุงกูกำลังหลบหลีกไปทางโน้นทางนี้อย่างเสี่ยงตาย มองหน้าเขาตอนนี้แล้วชวนให้สงสัยว่าดีใจหรือเปล่านะที่ได้เป็นนักเวทสมปรารถนา แต่วูจินก็ช่วยให้เขาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว

“เราเหลือเวลาอีก 11 วัน นายสอนเขาให้ดีจนถึงวันนั้น”

[ก๊ากฮ่าๆ ข้าจะทำให้ต่อให้มันถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาก็ยังสบาย]

วูจินพยักหน้าอย่างพอใจ

เจนิสเชื่อถือได้เสมอ

***

การพิชิตอาณานิคมใช้เวลา 4 วัน

เมืองอาณานิคมมีโอเกอร์หนวดแดงตนหนึ่งครอบครองอยู่ โดเจมินกับสมาชิกทีมทำสงครามกองโจร พวกเขาล่อลอร์ดมิติออกมาฆ่าได้สำเร็จ

อาณานิคมที่ไม่มีลอร์ดมิติถูกพิชิตอย่างง่ายดาย เพราะไม่มีลอร์ดมิติซื้อกำลังเสริมจากร้านค้าของมิติ พวกเขาโจมตีช้าๆแต่สม่ำเสมอ จำนวนศัตรูลดลงเรื่อยๆ จะหมดเมื่อไหร่ก็เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเวลา

อีกอย่าง กำลังรบที่ป้องกันอาณาเขตไม่ได้มีแต่หน่วยรบชั้นยอด

“คุกเข่าซะ นี่คือความแตกต่างระหว่างแกกับฉัน...”

“เจมิน เลิกเล่น เราต้องรีบไป”

“ครับพี่”

โดเจมินดูผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อน

เหมือนว่าความสง่างามแบบขุนนางหายไปบ้าง แต่มันแสดงถึงความเป็นตัวตนของเขามากขึ้น

“เฮ้อ อลันดาลนี่มีแต่สัตว์ประหลาดทั้งนั้น”

“ฮ่าๆ พี่จองโดน่าจะมาเข้าอลันดาลด้วย”

“พนักงานกับอีกหลายครอบครัวต้องพึ่งฉัน จะทำอย่างนั้นได้ยังไง?”

“เฮะๆ ขอผมดื่มเลือดจากตัวนี้ก่อนแล้วเราไป”

เบคจองโดอดหัวเราะไม่ได้ อลันดาลเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจริงๆ กระทั่งตอนนี้ฮงซุงกูก็ยังทำให้ไฟป่าลุกท่วมโลกนี้ และโดเจมินแซงหน้าเบคจองโดไปอย่างง่ายดายในด้านพละกำลัง

ยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เธอสามารถรักษาทุกคนได้ตราบที่ยังมีลมหายใจ บลังกาอาจพัฒนาพลังช้าแต่เขาเข้ากับคนในทีมได้อย่างรวดเร็ว

โดเจมินดื่มเลือดจากโทรลที่เขาเอาชนะได้ เขาได้พลังจากมันมาส่วนหนึ่ง ค่าสถานะรวมถึงความสามารถฟื้นสภาพร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“นายกินเก่งแล้วนี่”

วูจินโผล่มาพร้อมกับม้าปีศาจ เขาลงจากหลังม้า

“อ๊ะพี่? ได้เวลาทำสงครามมิติแล้วเหรอครับ?”

“ใช่ นายกินให้เสร็จก่อน”

“ครับพี่”

โดเจมินดื่มเลือดจากคอโทรลต่อ ดูเหมือนเขายอมรับสนิทใจแล้วว่าตัวเองเป็นแวมไพร์และความรู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ก็ดูจะลดน้อยไปด้วย เขามีท่าทางเป็นธรรมชาติขณะดื่มเลือด

แต่เบคจองโดยังไม่ชิน เขามองอย่างไม่สบายใจ

“เราเหลือเวลาอีก 2 วัน”

“เฮ้อ เวลาผ่านไปเร็วจัง”

นับตามเวลาโลก เวลาผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์ นับตามเวลาที่นี่ก็เกือบ 1 เดือน พวกเขาจะกลับโลกในอีก 2 วัน เบคจองโดได้อะไรมากมาย น่าผิดหวังเล็กน้อยที่มีแต่คนรอบตัวเขาที่เติบโตด้วยความเร็วแบบสัตว์ประหลาด

“พี่จะไปอัลเฟนเที่ยวแรกด้วยหรือเปล่า?”

“ฮ่าๆ ขอบใจที่ชวนแต่ไม่ได้หรอก ฉันต้องจัดทีมสำรวจอย่างเป็นทางการจากกิลด์ KH”

อัลเฟนต่างจากจาคุที่โกลาหลเพราะวูจินทำลายสมาพันธ์กิ้งก่าเหลืองหมดก่อน ลอร์ดมิติที่นั่นเกินครึ่งครอบครองหนึ่งใน 72 บัลลังก์

“เอาล่ะ อีก 2 วันเจอกัน”

“ด้วยความยินดี”

วูจินเปิดอุโมงค์และพาโดเจมินที่ตอนนี้ชินกับการเดินทางแล้วกลับอาณาเขตมิติ




                          สารบัญ                                                   บทที่ 161 


วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 159

บทที่ 159 – เทพของโลก (2)



ด้านหน้าห้องโซอามีคนอยู่กันเป็นกลุ่ม เมื่อวูจินมาถึง เขาเห็นโดจีวอนกับซินดี้อยู่ในนั้น

“วูจินอา...”

น้ำเสียงของจีวอนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและเจ็บปวด แต่เธอไม่สามารถปลอบใจวูจินได้ ไม่ใช่สิ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เธอต้องปลอบใจเขา

โซอาที่หมดสติไปฟื้นขึ้นมาแล้ว

“ไว้คุยกันทีหลังนะ”

“ได้”

วูจินเดินผ่านคนเข้าไปในห้อง หน้าของแม่เขาเต็มไปด้วยน้ำตาและมีน้ำมูกไหล นางหันหน้ามาทางเขาอย่างอ่อนแรง

“วูจินอา... โซอาของแม่... โซอาจำแม่ไม่ได้ ฮึก”

“ไม่เป็นไรนะแม่”

วูจินตบหลังแม่เบาๆ

ความจำเสื่อมชั่วคราวเหรอ?

เธอกลายเป็นนักบวชที่เป็นผู้ส่งสารจากเทพ แต่เขาไม่เคยเจอว่าความทรงจำของเจ้าของร่างจะถูกลบไป

นี่ไม่ใช่ความจำเสื่อม บางอย่างยืมร่างของเธอ บรรยากาศรอบตัวเด็กหญิงต่างไปจากเดิม

เทพองค์หนึ่งปรากฏร่างโดยยืมร่างของนักบวช

ตอนนี้เด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่โซอา น้องของเขา มันคือเทพที่ไม่มีใครรู้จัก

“แม่ออกไปก่อนนะครับ”

ลีซุกยุงลากเท้าออกไปจากห้องด้วยความกังวล

เมื่อในห้องเหลือเพียงสองคน เด็กหญิงลืมตาขึ้น

แสงจ้าลอดออกมาจากดวงตาของเธอจนแทบมองหน้าไม่ได้ วูจินขมวดคิ้วแล้วถาม

“ไม่แนะนำตัวเองหน่อยเหรอ?”

[…]

“ไม่รู้จักชื่อตัวเองเหรอ? เลือกสักอันสิ เยซู ศากยมุนี... อืม มีอะไรอีกนะ?”

วูจินพูดอย่างกวนๆ เธอปริปาก แต่เสียงไม่ได้ส่งมาทางหูของเขา

[เราเกิดจากเมล็ดพันธุ์ยามดาวดวงนี้ที่เพิ่งผ่านกระบวนการเร่งความเร็ว เราจะมีชื่อทำไม?]

“โฮ่ เธอเป็นเทพไม่มีชื่อ กระบวนการเร่งความเร็วที่เพิ่งเกิดขึ้น?”

ไม่มีเทพอื่นบนโลกแล้วเหรอ? นี่อาจเป็นเทพองค์แรกที่มาถึง...

[เราเจอเจ้าเป็นครั้งแรก แต่เรารู้จักเจ้ามานานแล้ว]

รอยยิ้มบนหน้าวูจินสลายไป

“ช่วยพูดภาษาคนให้เข้าใจได้ไหม?”

[เราเฝ้ามองสิ่งที่เจ้าทำ]

“...”

แสงในดวงตาของโซอาหรี่ลง

“เฮ้อ เทพก็เหมือนกันหมด”

เทพที่เขาเจอบนอัลเฟนก็แบบนี้ ไม่รู้ทำไมถึงพูดจาเลื่อนลอยนัก

“อืม”

เด็กหญิงครางแล้วกลับมาเป็นโซอา น้องสาวของเขา พลังเวทกดดันรอบๆตัวเธอหายไปแล้ว

วูจินกอดเธอไว้ก่อนที่เธอจะหล่นลงบนพื้น

ดวงตาโซอาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นวูจิน เธอเอ่ยปากอย่างยากลำบาก

“พี่...”

“พี่เอง”

เธอลำบากมามาก ถ้าทนไม่ได้เธอจะตาย เธอทนได้และได้ส่งเสียงของเทพ

<คังโซอา เลเวล 50>

วูบเดียวคังโซอาก็ได้พลังถึงขั้นที่ 5 วัดตามระดับของโลก เธอกลายเป็นเราส์แรงค์ B

“พี่ หนูฝัน หนู...”

วูจินกอดโซอาแน่น

“น้องทำได้ดีมาก”

เขาขอบคุณที่เธอทนการเปลี่ยนแปลงได้และขอบคุณที่เธอยังมีชีวิต โซอากระพริบตาปริบเมื่อวูจินทำตัวแปลกไป

“แล้วเพื่อนที่น้องเห็นในฝันชื่ออะไรเหรอ?”

“เอ๊ะ? หนูไม่รู้...”

“อ้อ งั้นพี่จะเรียกแม่มา พักสักหน่อยเถอะ”

“ค่ะ”

เธอมีพลังของนักบวชขั้น 5 เธอจะสามารถใช้พลังผ่านการภาวนา โซอาจะเติบโตเป็นคนพิเศษ เธอจะเป็นเหมือนเมโลดี้ นักบวชหญิงของโบสถ์อาเรีย

เมื่อวูจินออกจากห้อง พนักงานคนหนึ่งวิ่งมาหาด้วยสีหน้าแตกตื่น

“แย่...แย่แล้วครับ คิมคังชุลหนีไปแล้ว”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว

เขาหันหน้าไปมองในห้องโซอาที่เขาเพิ่งเดินออกมา

“วูจินอา”

เมื่อจีวอนเรียกชื่อ วูจินหยุดมองเธอ วิญญาณใสกระจ่างของเธอสั่นไหวเล็กน้อย

“ไว้ฉันคุยกับเธอทีหลังนะ”

“เข้าใจแล้ว”

วูจินขยี้ศีรษะจีวอนหนึ่งทีแล้วเดินจากไป ซินดี้ที่อยู่ข้างจีวอนพูดขึ้นเสียงเบา

“เฮ้อ วูจินยุ่งมากเลยนะ”

“นั่นสิ”

“เธอไม่เป็นไรเหรอ? เขาพูดกันว่าเธอเป็นแฟนเขา แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ค่อยได้เจอเขาเลย...”

“ฮะๆ ฉันไม่เป็นไร”

โดจีวอนไม่ได้โกหก เธอไม่ห่วงเรื่องนี้จริงๆ

คังวูจินมีธุระยุ่งและเธอเข้าใจดี เขาช่วยชีวิตเธอ ถ้าเธอบ่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาจะดูหน้าไม่อายขนาดไหน?

จีวอนดีใจแล้วที่เธอสามารถมองเขาใกล้ๆ

เขาเป็นคนอันตรายและมีงานยุ่ง เขาคือวีรบุรุษที่กำลังช่วยโลก

“เอ๋ เธอจูบเขาแล้วยัง?”

“เอ๊ะ?”

จีวอนหน้าแดงจัด จากนั้นมองรอบๆแล้วพูดเสียงเบา

“เรื่องอย่างนั้นไม่ควรพูดตรงนี้นะ”

นี่เป็นห้องที่โซอาเพิ่งตื่นจากการหมดสติไป ไม่ใช่ที่ๆจะคุยเล่นกันได้ จีวอนจูงมือซินดี้ออกจากห้อง

“เฮ้อ เธอก็ลำบากน่าดู”

ซินดี้ถอนหายใจ

จีวอนเป็นคนรักของชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่ดูเหมือนจะเป็นชีวิตที่ลำบาก

“แล้วเธอจะกลับบ้านเมื่อไหร่เหรอ?”

“เอ๊ะ? ฉัน...ฉันรบกวนเธอเหรอ?”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

ซินดี้ตกใจที่จู่ๆจีวอนก็ถาม จีวอนส่ายศีรษะ

ไม่กี่วันก่อน ซินดี้โทรศัพท์หาจีวอน

ดูเหมือนซินดี้ยังไม่หายขวัญเสียจากงานชุมนุมศิษย์เก่า เธอหยุดพักงานแสดงทั้งหมดเพื่อพักผ่อน แต่ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอจึงขอความช่วยเหลือจากจีวอนเพื่อมาพักที่อลันดาล

โดจีวอนถามนายกรัฐมนตรีมินชาน เมื่อได้รับอนุญาตก็เชิญซินดี้มา

ซินดี้อยู่กับเธอได้ 3 วันแล้ว และจีวอนรู้สึกว่าจะอยู่อีกนาน

“เฮ้อ ดูเหมือนไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคนรักของฮีโร่ได้”

“...”

“สำหรับฉันต่อให้ตายก็เป็นไม่ได้หรอก”

จีวอนไม่มีคำพูดตอบ

***

วูจินมองผ่านหน้าต่างที่ถูกพังไปยังสนามฝึก จากนั้นหันไปมองวูซุงฮุน

“เขาหมดสติ แต่ยังไม่ตาย”

รปภ.รายงาน วูจินดึงวิญญาณที่ลอยรอบตัวเขาดวงหนึ่งมาส่งเข้าไปในตัวซุงฮุน

“อูย”

ซุงฮุนได้สติ เขาครางพลางลุกขึ้นจากพื้น

“ประ...ประธาน ไม่ใช่สิ ฝ่าบาท”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เขาพูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้วจู่ๆก็โยนบางอย่างใส่ผม จากนั้นผมก็...”

“เขาพูดว่าอะไร?”

“ผมจำไม่... อ้า! เขาพูดประมาณความบังเอิญเกิดขึ้นได้ในโลกนี้”

“ความบังเอิญ”

วูจินหัวเราะเสียงปร่า

โลกพระจันทร์สินะ? ท็อปเลอร์เป็นคนขององค์กรนั้นและพวกนั้นสนับสนุนคิมคังชุล

พวกมันต้องการคุยกับเขา แต่คิดจะปิดบังตัวตนเอาไว้

“นายควรฝึกฝนร่างกายหน่อย ออกกำลังกายบ้าง”

“...”

เขาจะสู้กับเราส์ได้ถ้าออกกำลังกายเหรอ? แต่แรกก็ไม่มีใครในอลันดาลตอนนี้ที่รับมือกับคิมคังชุลได้นอกจากวูจิน

มันเป็นความผิดของคังวูจินส่วนหนึ่ง เขาคิดว่าคิมคังชุลอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“เอ่อ นายไปพักเถอะ นายคนนั้น ไปบอกมินชานให้มาหาฉัน”

“ครับผม!”

เลขานุการไม่ทันจะออกจากห้องก็ต้องถอยกลับมา ดูเหมือนจุงมินชานจะได้ยินข่าวแล้วและกำลังวิ่งมาทางนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“คิดว่าอะไรล่ะ? ประกาศจับคิมคังชุลซะ”

“อะไรนะ? ข้อหาอะไร... ถ้ามองอย่างเป็นกลางแล้ว มันเหมือนประธาน... ฝ่าบาทลักพาตัวคุณคิมคังชุล”

คิมคังชุลมาสัมภาษณ์งาน และวูจินสู้กับเขา ลากคิมคังชุลที่ถูกทำร้ายเข้าอลันดาล วูจินลูบคางเหมือนคิดหนักแล้วมองไปที่หน้าต่างที่ถูกพัง

“ข้อหาทำลายทรัพย์สินก็ได้”

“...”

“ฟังไม่ขึ้นครับ”

“ฉันไม่ได้คิดจะจับเขา ทำไปเถอะน่า”

“เข้าใจแล้ว”

มินชานเป็นคนเข้าใจอะไรได้เร็ว จึงเข้าใจจุดประสงค์เบื้องหลังคำสั่งของวูจิน ถ้ามีประกาศจับ คิมคังชุลจะระมัดระวังตัวกว่าเดิม และมันจะจำกัดความเคลื่อนไหวของเขา

วูจินต้องการหยุดงานของคิมคังชุล

“เตรียมงานประชุมกิลด์ถึงไหนแล้ว ฉันจะไม่อยู่ 3 วัน”

“ครับ คนจากกิลด์ทั่วโลกมาถึงเกาหลีแล้ว เราเตรียมที่พักให้พวกเขาที่โรงแรม KH”

“นายจัดการรายละเอียดพวกนั้นเลย คนใหม่ที่เลือกเข้ามาเป็นไงบ้าง?”

“เรากำลังตรวจสอบประวัติพวกเขา ต้องวัดความสามารถพวกเขาด้วย...”

“พามาที่ห้องฉัน ฉันจะฝึกพวกนั้นสัก 3 วันแล้วคืนให้”

“...”

สามวัน แต่ในดันเจี้ยนเท่ากับ 12 วัน

พวกเขาเพิ่งเข้ามาชั่วโมงที่แล้ว แต่ต้องเข้าดันเจี้ยนกับคังวูจิน จะปรับตัวได้เร็วไหมนะ?

“ไม่เร็วไปเหรอ? หรือเราควรเตรียมพร้อมพวกเขาสักหน่อยก่อน ปัญหาคือพวกเขาจะปรับตัวได้หรือเปล่า...”

“มินชาน”

“ครับท่าน”

วูจินพูดคำเดียวหยุดนายกฯมินชานไม่ให้พูดต่อ

“คนที่ปรับตัวได้ดีจะเอาตัวรอดได้ในสงคราม ใช่ไหม?”

“ครับ”

“เพื่อให้พวกเขาปรับตัวได้ดี พวกเขาต้องได้รับการฝึกอย่างดี”

“ถูกต้องครับ”

“ฉันไม่ได้พาพวกเขาเข้าเขตสงคราม นี่แค่พื้นที่ล่า”

สำหรับบางคน มันไม่ใช่พื้นที่ล่า มันคือที่ที่ต้องต่อสู้เต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด

แต่มินชานไม่เถียง

“ผมจะเตรียมพร้อมพวกเขาทันทีแล้วส่งขึ้นมา”

“ฉันไม่รอนานนะ ทำเร็วๆ”

“ครับท่าน...”

วูจินพูดเรื่องที่จำเป็นหมดแล้วก็ออกจากห้องขึ้นไปยังห้องทำงานของเขา

“เฮ้อ”

จุงมินชานผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิมคังชุลหนีไปหรือคังโซอาฟื้น แต่อารมณ์ของคังวูจินแหลมคม มันแตกต่างจากตัวเขาในยามปกติ

มินชานไปที่ห้องประชุมที่พนักงานใหม่รอเขาอยู่ทันที พวกเขากำลังอ่านสัญญาอย่างละเอียด เมื่อเซ็นชื่อลงไป พวกเขาจะกลายเป็นพลเมืองของอลันดาล

พวกเขากลายเป็นพลเมืองของอลันดาล แต่ในด้านธุรกิจจะเป็นเหมือนกิลด์อื่นๆ

พวกเขาต้องเคลียร์และจัดการดันเจี้ยน และต้องกำจัดมอนสเตอร์เมื่อเกิดดันเจี้ยนระเบิด

ที่ต่างคือไม่มีประเทศไหนมีอำนาจเหนือกิลด์นี้ ยิ่งกว่านั้นอลันดาลยังทำงานในระดับโลก กระทั่งทำงานในโลกอื่นมิติอื่น...

“ทุกคนสนใจทางนี้ด้วย”

“...”

ดวงตาฉายความกังวล 23 คู่หันมาทางนายกฯจุงมินชาน

“ทุกคนจะตามพระราชาเข้าดันเจี้ยนเดี๋ยวนี้”

“พูดอะไรของคุณ? พวกเรายังไม่ทันเซ็นสัญญาเลยด้วยซ้ำครับ”

“นั่นสิ เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเข้าที่นี่ไหม แต่คุณโยนดันเจี้ยนมาให้เราแล้ว”

มินชานส่ายศีรษะเหมือนเขาก็ลำบากใจ

“ไม่สำคัญแล้ว ผมอยากให้พวกคุณจำคำของผมให้ขึ้นใจ มันจะช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตของพวกคุณ ตอนอยู่ในดันเจี้ยน อย่าห่างจากพระราชา รวมถึงพวกอัศวินมรณะ...”

“เดี๋ยวนะ! เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลยเหรอไง?”

“มันไม่บังคับไปหน่อยเหรอ?”

“ผมไม่อยากเข้ากิลด์นี้ ผมไปล่ะ พาผมออกไป”

“...”

คนที่ผ่านสัมภาษณ์บ่นไม่หยุด มินชานหน้าคล้ำลง

ดูเหมือนคนพวกนี้จะเข้าใจอะไรผิด

ตอนนั้นเองประตูห้องประชุมก็เปิดออกและคังวูจินเข้ามา

“ทุกคนมารวมกันตรงนี้”

ดูเหมือนวูจินไม่คิดจะรอ เขามาหาคนพวกนี้ทันที

“ถ้าทุกคนมาครบแล้วก็ไปกันเถอะ”

วิ้ง

วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมต่อกับอลันดาล

ทุกคนเริ่มแสดงสีหน้าประหม่าเมื่อเห็นอุโมงค์ก่อตัวขึ้นกะทันหัน

“ผมไม่ไป”

“...?”

วูจินมองคนที่พูดอย่างสงสัย

“ใครพูดนะ?”

“อะไร?”

วูจินมองหน้าทุกคนทีละคนก่อนจะเอ่ยปาก

“ฉันอยากปกป้องโลก พวกนายล่ะ?”

“...”

ทำไมเขาพูดใหญ่โตเช่นนี้? ทุกคนตอบลำบาก

วูจินพูดต่อ

“ถ้านายมาที่นี่เพราะอยากสบายก็ไปได้”

“จริง...จริงเหรอ? เราไปได้เหรอ?”

“แน่นอน ไปจากโลกนี้”

“อะ...อะไรกัน...”

วูจินกระตุกยิ้มขณะยืนตรงหน้าอุโมงค์

“ถ้าอยากผ่านอุโมงค์นี้ไปแต่โครงกระดูกก็นั่งลง ถ้าอยากไปแบบไม่ตาย มาต่อแถว เริ่ม”

“...!”

โครม!

ไม่ทันวูจินพูดจบ ทุกคนก็ผลักโต๊ะออกแล้วลนลานมาต่อแถวหน้าวูจิน

“นับจำนวนคน”

“หนึ่ง”

“สอง”

...

“ยี่สิบสาม ผมคนสุดท้ายครับ”

วูจินยิ้มอย่างพอใจ

“ยินดีต้อนรับพวกนายทุกคนเป็นสมาชิกของอลันดาล”

เสียงของวูจินฟังเหมือนเสียงยมบาลเฝ้าประตูนรก ที่จริงแล้วอุโมงค์สีแดงก็เหมือนประตูนรกสำหรับเราส์ใหม่จริงๆ พวกเขาทำหน้าทุกข์ระทมขณะเดินเข้าอุโมงค์





สารบัญ                                     บทที่ 160

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 158

บทที่ 158 – เทพของโลก


“คิมคังชุล?”

วูจินเอียงคอ

กระทั่งวูจินเองยังเคยได้ยินเรื่องของเขา คิมคังชุลเป็นเราส์ของเกาหลีที่เลื่อนเป็นแรงค์ A ได้เร็วที่สุด เขาเป็นเราส์พิลึกที่ปฏิเสธไม่ตั้งกิลด์ของตัวเองและไม่ร่วมกิลด์ของคนอื่น

เขามีร่างกายค่อนไปทางเตี้ยล่ำ หัวเถิก หน้าบาน เป็นคนที่ให้ความรู้สึกอยากเป็นมิตรด้วย

“ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?”

“ทำไม? นายอยากมาอยู่กับพวกเราเหรอ?”

“ผมแค่อยากคุยกับพระราชาของอลันดาล”

“งั้นมาใหม่วันหลัง”

“...ผมคือคิมคังชุล”

“ฉันรู้”

“...”

วูจินมองรปภ.ที่ยืนด้านล่าง

“เชิญเขาออกไป”

“ครับ”

รปภ.วิ่งไปทางคิมคังชุล

“กรุณาออกไปด้วยครับ”

“...”

คิมคังชุลไม่ตอบและยืนนิ่ง รปภ.ทำอะไรไม่ได้ คิมคังชุลเคยได้ชื่อว่าเป็นเราส์ที่เก่งที่สุดของเกาหลี รปภ.เป็นคนธรรมดาพวกเขาจึงไม่รู้จะทำอะไรได้

วูจินขมวดคิ้ว คิมคังชุลเงยหน้ามองชายที่กำลังยืนบนกำแพง

“ถ้าผมสู้กับอัศวินมรณะได้ถึง 30 วินาที คุณจะแบ่งเวลามาคุยกับผมได้ไหม?”

วูจินส่ายหน้า

“นายมาผิดเวลาแล้ว ฉันยุ่ง มาใหม่วันหลังเถอะ”

“ถ้าผมไม่ได้คุยตอนนี้ ต่อไปจะไม่ยิ่งหาตัวคุณยากเหรอ?”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไม่ได้เจอกันอีก”

“...”

แต่คิมคังชุลไม่ยอมถอย ถ้าคังวูจินเข้าดันเจี้ยน คิมคังชุลไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกทีเมื่อไหร่

“ผมแค่ขอเวลาแป๊บเดียว”

“น่ารำคาญ”

วูจินกระโดดลงจากกำแพง

รูปร่างวูจินไม่เล็ก เมื่อยืนต่อหน้าคิมคังชุลทำให้ดูกดดันมาก เมื่อฝูงชนรู้สึกถึงบรรยากาศที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อก็ถอยหลังเว้นที่ว่างให้ชายทั้งสอง

“นายกำลังทำให้ฉันปวดหัว ต้องการอะไร อยากได้สัมภาษณ์?”

คิมคังชุลส่ายศีรษะอย่างอึดอัด

“ผมมีอย่างอื่นต้องทำ คงเข้ากิลด์คุณไม่ได้ ผมแค่อยากได้เวลาคุยกับคุณแป๊บเดียว...”

วูจินเรียกดาบใหญ่ออกมาแล้วเหวี่ยงดาบ คิมคังชุลดึงมีดจากเสื้อแจ็คเก็ตออกมาขวางดาบไว้แล้วถอยหลัง

“ทำบ้าอะไรน่ะ?”

“สัมภาษณ์พิเศษโดยฉันไง”

“...”

วูจินพูดต่อ

“ถ้านายทนได้ 30 วิ ฉันจ้างนาย”

“พูดบ้าอะไรวะ...”

เคร้ง

คิมคังชุลไม่มีเวลาประท้วง ดาบของวูจินใกล้เข้ามา เขาไม่กล้าประมาท

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้คนรอบข้างถอย

‘เขาคิดจะฆ่าฉันจริงๆ’

คิมคังชุลรู้สึกถึงอันตรายถึงชีวิต

‘เขาเก่งจริงๆ’

สิบวินาที

ท่าดาบของวูจินเปลี่ยนไป

การเคลื่อนไหวของวูจินเร็วขึ้นมาก คิมคังชุลขยับมือเท้าอย่างละลานตาแต่บนตัวของเขาเริ่มมีเลือดไหล แต่แผลพวกนี้เป็นเพียงรอยบาดตื้นๆ

‘เขาออมมืออยู่เหรอ?’

เมื่อคิดแบบนั้น เขาเผลอปล่อยให้การโจมตีผ่านการป้องกันของเขาเข้ามา

“ชิบ!”

ดาบแทงทะลุไหล่ของคิมคังชุล เขาแทงมีดสวน ถ้ารู้ว่าจะมีการต่อสู้เขาคงเอาอาวุธหลักมาด้วยแล้ว เขาเสียใจที่ไม่ได้เอามาด้วย

มีดของเขาไม่เฉียดโดนแม้แต่ชุดของวูจิน

วูจินเตะคิมคังชุลล้ม และกระทืบซ้ำก่อนจะทันลุกขึ้น

“อั่ก!”

ที่แย่คือต่อจากเตะคือดาบ

ฉึก!

“อ๊าก!”

ขาของคิมคังชุลถูกตัด

“บ้า...บ้าไปแล้ว”

“ฉันไม่อยู่แล้ว”

กลุ่มคนที่มองอยู่แตกตื่นวิ่งหนี วูซุงฮุนพูดไม่ออกและจุงมินชานกุมขมับ

ประธานก่อเรื่องอีกแล้ว

คิมคังชุลโดน...

“อ๊าก!”

วูจินตัดเส้นเอ็นที่แขนของคิมคังชุลและแทงดาบทะลุไหล่ไปปักพื้นดิน

เลือดไหลท่วมพื้น วูจินก้มลงตรงหน้าคิมคังชุล

“ผ่านไปสามสิบวิแล้ว”

“อ...ไอ้บ้า”

วูจินยิ้ม

“จะฆ่านายแบบนี้ก็เสียของ นายผ่านการสัมภาษณ์!”

“ฮึ่ม ฆ่ากันเลยดีกว่า”

“ได้”

“...”

อย่างไรเสียเขาจะอยู่หรือตายก็ไม่เป็นไร คนบางคนตายไปแล้วจะควบคุมง่ายกว่า

วูจินกระชับดาบที่ปักบนไหล่คิมคังชุล เหมาะดีทีเดียว ถ้าออกแรงอีกหน่อยก็จะตัดศีรษะออกได้

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน!”

“อะไร? จะสั่งเสียก็เอาสั้นๆ”

“...ไว้ชีวิตผมด้วย”

“หา?”

เขาเป็นเราส์อันดับ 1 ของเกาหลีไม่ใช่เหรอ? ทำไมขี้ขลาดนัก?

“ผมจะเข้ากิลด์คุณ”

“ได้ นายตายแล้วมาเข้ากิลด์ฉัน”

“ผม...ผมอยากเข้าแบบไม่ตายน่ะ”

“เหรอ?”

“ได้โปรด”

วูจินขมวดคิ้วเหมือนไม่ชอบใจ

“นายตายไปแล้วฉันจะใช้งานได้สะดวกกว่านะ”

“ไม่ได้นะ ผมมีเรื่องต้องทำเพื่อช่วยโลก”

“เฮ้ย คิดจะโกหกฉันเหรอ?”

วูจินกำดาบแน่นอีก คิมคังชุลใช้ไพ่ใบสุดท้าย

“ผมมาที่นี่เพื่อส่งข้อความจากด็อกเตอร์ท็อปเลอร์”

“ไอ้เปรตนั่นอยู่ไหน?”

วูจินถามอย่างโกรธจัด

คิมคังชุลรู้ตัวแล้วว่าเขาประมาทเกินไป ไม่ได้เตรียมตัวก่อนมาที่นี่เลย

‘ไหนบอกว่าแค่ส่งข้อความก็ได้แล้วไง’

สถานการณ์เลวร้ายลงถึงขีดสุด ดูเหมือนคังวูจินไม่ชอบด็อกเตอร์ท็อปเลอร์ คิมคังชุลกำลังตกที่นั่งลำบาก

“เข้าไปข้างในกันเถอะ...”

รอบๆมีคนมองมากเกินไป วูจินดึงดาบออกจากไหล่ของคิมคังชุลอย่างหงุดหงิด

วูจินเก็บดาบแล้วมองรอบๆ ส่วนใหญ่หนีไปแล้วและเหลือคนอีกไม่มาก พวกที่เหลืออยู่มีสายตาหวาดกลัว

“พวกนายตรงนั้น”

“อะไร?”

“คุณ...คุณพูดกับพวกเราเหรอ?”

เมื่อถูกวูจินหันไปให้ความสนใจ คนที่เหลือพูดเสียงสั่น

“ใช่ พวกนายทุกคนผ่าน เข้ามา”

วูจินหันแล้วเดินไปทางประตูหน้า อัลอัสสาดที่มองอยู่ด้านข้างเหวี่ยงคิมคังชุลพาดบ่า

“อ๊าก!”

ขาเขาบิดเบี้ยวแต่อัลอัสสาดไม่สนใจ มันเพียงเดินตามวูจิน

“เบาๆหน่อยครับ!”

[จงดีใจเถอะที่แกยังมีเลือดเนื้อ]

“...”

คิมคังชุลหุบปาก เขาเคยเป็นเราส์อันดับหนึ่งของเกาหลี แต่ไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใดๆในอลันดาลเลย

“เรา...เราเข้าไปดีไหม?”

“หรือจะหนีดี?”

พวกเขาคือเราส์ที่มารับการสัมภาษณ์ที่เหลืออยู่ พวกเขากลืนน้ำลายมองรอยเลือดที่หยดเป็นทาง เราส์ที่ถูกเลือกยืนอีกด้านของประตูหน้า หน้าซีดด้วยความกลัว

“คนที่ผ่านการสมัครงานมารวมกันตรงนี้ครับ”

วูซุงฮุนจัดระเบียบอย่างรวดเร็วและรวบรวมคนที่ยังลังเลมาทันที รปภ.และพนักงานสะสางเรื่องหน้าประตู นอกจากคิมคังชุลแล้ว อลันดาลได้เราส์ใหม่เพิ่มมา 23 คน

***

ห้องประธานกิลด์กลายเป็นห้องทำงานของพระราชา เจ้าของอลันดาลกำลังพบปะเป็นการส่วนตัวกับผู้บาดเจ็บที่สมควรส่งไปห้องฉุกเฉินทันที

“ฉันยุ่ง มีอะไรก็รีบพูด”

“...รักษาผมได้ไหม?”

“ทำไมฉันต้องทำ? ยังไงนายก็จะตายอยู่ดี”

“...”

“นายมีแผนอะไร?”

“งั้นผมไม่พูดแล้ว”

“งั้นฉันก็แค่ฆ่านาย”

วูจินยื่นมือออกแล้วเรียกอาวุธนักรบรูปแบบมีดออกมา

“ผม...ผมพูดแล้ว”

“ฉันไม่อยากฟังแล้ว”

วูจินก้าวเข้ามาใกล้ คิมคังชุลพูดทันที

“เขาบอกว่าถ้าคุณต้องการช่วยโลกจากทราห์เน็ต คุณต้องรวบรวมรหัส”

“นายลืมแนะนำตัวนะ”

วูจินก้าวเข้ามาใกล้อีก ดาบคมวาววับ คิมคังชุลกลืนน้ำลาย

“คิม...คิมคังชุล ผมไม่มีความสัมพันธ์กับกิลด์ไหน ไม่ใช่สิ ผมเป็นตัวแทนของโลกพระจันทร์”

“โลกพระจันทร์”

วูจินหยุดเดิน

คิมคังชุลถอนหายใจโล่งอก

“มันคืออะไร?”

“ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนั้น”

“มันคือชื่อโลกของพวกเขาเหรอ?”

“...ผมก็คิดอย่างนั้น”

วูจินนึกถึงคำพูดของด็อกเตอร์ท็อปเลอร์

‘เรามีเป้าหมายเดียวกัน’

วูจินต้องการตัดการเชื่อมต่อระหว่างทราห์เน็ตกับโลกให้หมด ท็อปเลอร์ก็ต้องการแบบเดียวกันกับโลกของเขา

คิมคังชุลบอกว่าต้องการช่วยโลก...

“รหัสคืออะไร?”

“ผมไม่รู้ เขาแค่บอกให้ผมส่งข้อความนี้ให้คุณ”

“รหัส”

วูจินลูบคาง

“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว”

“ฮู่ว คราวนี้คุณช่วยรักษาผม...”

“นายจะปกป้องโลก นายจะทำงานให้โลกหลังตายไปแล้ว”

“...ถ้าคุณฆ่าผม คุณจะติดต่อกับโลกพระจันทร์ไม่ได้”

“ถ้าพวกนั้นต้องการจริงๆก็จะติดต่อฉันอีก”

“...”

“นายเชื่อถือไม่ได้ ใช้นายที่ตายแล้วมันง่ายกว่า”

เขาจะฆ่าคนเพราะมันสะดวกกับเขามากกว่า...

“ผมไม่ใช่คนเลว ถ้าคุณไว้ชีวิตผม ผมจะเข้ากับอลันดาล แค่ขอให้ผมทำงานเป็นอิสระ”

“เฮ้อ”

วูจินได้มาเจอกับคนที่เหมือนซุงฮุนเข้าแล้ว ไม่สิ เขาไม่รู้ว่าคิมคังชุลต้องการอะไร แบบนี้แปลว่าเขาแย่กว่าซุงฮุนอีก

ไหนๆก็จะตายแล้ว ทำไมต้องมาขออะไรไร้เหตุผลด้วย?

อย่างที่คิดเลย เขาน่าจะ...

วูจินยกมีดขึ้น

“หยุด...หยุดก่อน! ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเข้ากับอลันดาล?”

“ฉันจะทำให้แน่ใจไง”

ไม่นะ คิมคังชุลอยากเข้าร่วมแบบมีชีวิตมากกว่า

คิมคังชุลพยายามหาเหตุผล แต่เมื่อเห็นสีหน้าของวูจินก็รู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็จะถูกฆ่าอยู่ดี

ปีศาจแบบไหนกันนี่

ก่อนวูจินจะลงมีด ประตูก็เปิดออก

“อะไร? ฉันสั่งไว้ไม่ให้ใครเข้ามานะ”

“ประ...ประธาน”

“อะไร?”

วูจินถามเมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนของซุงฮุน

“คุณหนูตื่นแล้ว”

“คุณหนู?”

“ผมหมายถึงคุณคังโซอา”

“...”

วูจินมองคิมคังชุลที่หมอบบนพื้น

“ผมขอยกความจงรักภักดีให้คุณ ได้โปรดไว้ชีวิต”

“...”

เขาจะเชื่อคนอ่อนแอแบบนี้ได้เหรอ?

ชายคนนี้กลายเป็นเราส์แรงค์ A คนแรกของเกาหลีได้ยังไง หนำซ้ำยังไม่รับความช่วยเหลือจากกิลด์...

“โลกพระจันทร์”

วูจินพอนึกภาพออก พวกนั้นเป็นคนสนับสนุนคิมคังชุล

เงิน? ไม่ใช่

ด็อกเตอร์ท็อปเลอร์สามารถสร้างดันเจี้ยนในบ้านตัวเองได้ วูจินไล่ตามเขาแต่เขาหายตัวไปด้วยวิธีการบางอย่าง เขาเป็นคนแปลก

อย่างน้อยที่สุด เขาเป็นคนที่เข้าใกล้การค้นพบความลับและตัวตนของดันเจี้ยน คนกลุ่มนั้นฝึกฝนคิมคังชุลขึ้นมา

เพื่ออะไร?

“ท่านประธาน เราต้อง...”

“เข้าใจแล้ว”

วูจินเก็บอาวุธ ถ้าเขาต้องการข้อมูล ทำให้คิมคังชุลเป็นอัศวินมรณะจะดีกว่า แต่คิมคังชุลอาจมีประโยชน์มากกว่าในฐานะตัวประกัน

“เดี๋ยวฉันจะมาหานายใหม่”

วูจินมองวูซุงฮุน

“เฝ้าเขาไว้”

“ครับผม”

วูจินออกจากห้อง ภายในห้องเหลือเพียงซุงฮุนกับคิมคังชุล

‘โอ้โห’

วูซุงฮุนมองสภาพของคิมคังชุล ขาของเขาถูกตัดไปข้างหนึ่ง แขนขวาห้อย เพียงมองแวบเดียวสภาพของคิมคังชุลก็ทำให้ซุงฮุนรู้สึกคลื่นเหียน แต่คิมคังชุลกลับนอนอย่างสงบเหมือนไม่รู้สึกเจ็บเลย

“นี่นะ สหาย”

“ผมเป็นหัวหน้าเลขานุการ”

“ได้ๆ คืองี้ คุณเคยคิดถึงเรื่องนี้ไหม?”

ทำไมเขายังมีแรงพูดได้อีกนะ?

วูซุงฮุนตอบพลางรู้สึกไม่สบายใจปนสงสัย

“เรื่องไหน?”

“คุณเชื่อในความบังเอิญไหม?”

“หา พูดอะไรของคุณ?”

เขากำลังพูดไร้สาระ ซุงฮุนกำลังจะแสดงความหงุดหงิดเมื่อหินก้อนหนึ่งลอยมาทางเขา

“เอ๊ะ?”

ปึก!

วูซุงฮุนเห็นว่ามีอะไรลอยมาแต่หลบไม่ได้ ไหล่คิมคังชุลยับเยินเขาจึงโยนก้อนหินด้วยการสะบัดข้อมือ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหินที่โยนโดยเราส์แรงค์ AA

ซุงฮุนล้มน้ำลายฟูมปาก เมื่อเห็นอย่างนั้น คิมคังชุลเอื้อมมือขึ้นแล้วหยิบโพชั่นขวดหนึ่งออกมา เขาเอามันออกมาจากมิติอื่น คล้ายๆกับคลังส่วนตัว

เขาเทน้ำยาลงบนรอยแผล ไม่นานก็รู้สึกถึงพลังที่คืนมา

“เทพเมตตาฉัน”

คิมคังชุลเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดออกไป


สารบัญ                                      บทที่ 159

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 157

บทที่ 157 – การรับสมัครเราส์ (2)


“พักกันเถอะค่ะ”

“ฮู่ว กลับไปรวมกลุ่มเถอะ”

เมื่อฮีซอลให้สัญญาณ เบคจองโดถอนหายใจยาวพลางปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก

หลังจากเขาได้พลังกลายเป็นเราส์ เขาคิดว่าตัวเองเดินอยู่บนเส้นทางลำบากแล้วเมื่อเข้าดันเจี้ยนระดับค่อนข้างยาก แต่ดูเหมือนเขาจะคิดไปเอง

เขาออกล่าบนโลกจาคุในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาและสู้จนถึงขีดจำกัดของตัวเอง อาจเพราะเหตุนี้เขาจึงเห็นว่าความสามารถของเขาก้าวหน้าขึ้นกว่าเมื่อก่อน

ความไม่แน่นอนทำให้เขารู้สึกกดดัน แต่การเปลี่ยนแปลงที่ได้มาถือว่าไม่เลว

“พี่เป็นไงบ้าง?”

“โอ้ น้องคัง มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ผมเพิ่งมาถึง ว่าแต่พี่เป็นไงบ้าง?”

“สู้แบบนี้เป็นเครื่องกระตุ้นอย่างดีเลยล่ะ”

“ถ้าพี่ต้องการ เราร่วมทางกันได้นะ”

เบคจองโดส่ายศีรษะ เขาเป็นคนนอก ไม่ควรรบกวนนานไปกว่านี้

“ไม่ล่ะ ฉันได้มาเยอะแล้วจากการสำรวจครั้งนี้ อีกอย่างพอกลับกิลด์ฉันยังมีงานต้องทำอีกมาก”

“แล้วแต่พี่แล้วกัน”

วูจินไม่บังคับ

ถ้าเขาขาดเราส์ก็แค่หาเพิ่ม แบบที่ทำกับซุงกู ฮีซอลและบลังกา

สายตาของเบคจองโดมีความรู้สึกเสียดาย แต่เขาไม่อาจทิ้งกิลด์ KH มาอยู่ใต้วูจิน ดังนั้นจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ

“เจมินอยู่ไหนล่ะ?”

ฮีซอลที่กำลังดูแลสนามรบอยู่เดินมาหาวูจินเมื่อได้ยินคำถาม

“เขาไปที่ป้อมข้างหน้าค่ะ”

วูจินมองตามที่ฮีซอลชี้ เขาเห็นปราสาทตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆลูกหนึ่ง

“คนเดียวเหรอ?”

“ค่ะ”

“หืม”

วูจินลูบคาง

เจมินผ่านพิธีโลหิตโดยใช้หัวใจของลอร์ดแวมไพร์แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถโจมตีอาณานิคมของลอร์ดมิติได้ด้วยตัวคนเดียว

“เขาไปดูลาดเลาค่ะ คุณไม่ต้องห่วงเขาหรอก”

“ดูไม่เหมือนเขาไปดูลาดเลานะ”

“คะ?”

“เขากำลังเดินทางกลับหลังจากสู้เสร็จ”

ฮีซอลหันไป เธอเห็นฝูงค้างคาวจากที่ไกลๆ และมีฝูงมอนสเตอร์ไล่ตามค้างคาวมา

“ดูเหมือนเขากำลังวิ่งหนี”

“ไม่ใช่”

“เอ๋?”

“ช่างเถอะ เธอกลับไปทำงานของเธอต่อ”

“ค่ะ”

วูจินมุ่งหน้าไปยังฝูงค้างคาว พวกมันรวมตัวตรงหน้าเขากลายเป็นโดเจมิน เขาดูสงบกว่าเดิมและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นหน่อย วูจินสบตาเจมิน

วูจินยิ้มประหลาด

“นั่นอะไร?”

“ผมคิดว่าผมคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มาก”

“หืม”

ลูกน้องที่เหมือนซอมบี้ดวงตาสีแดง พวกมันดูอันตราย แค่นับคร่าวๆก็ได้ 300 ตัว

“แฮ่”

ค้างคาวข้างตัวเจมินรวมตัวกันกลายเป็นคาบาล เขาแยกเขี้ยวใส่วูจิน เหมือนมันกำลังแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านายในแบบของตัวเอง

ควันดำรวมตัวกัน แล้วค้อนใหญ่ก็ทุบลงบนหัวของคาบาล

[เป็นแค่ยุงตัวจ้อยบังอาจทำตัวหยาบคายใส่ราชา!]

แม้ค้อนของแรมสันจะทุบหัวไปแล้ว คาบาลยังไม่ตาย

“นายเอาพวกนี้อยู่เหรอ?”

เจมินไม่เข้าใจที่วูจินถามจึงมองตอบอย่างว่างเปล่า

“มันเหมือนนายกำลังพยายามเลียนแบบฉัน ฉันไม่คิดว่าที่นายทำอยู่มันดีนะ”

วูจินไม่ยุ่งกับผีดิบที่เกินค่าบงการของเขา เมื่อผีดิบหลุดจากการควบคุมมันจะกลายเป็นมอนสเตอร์

ลูกน้องที่เจมินสร้างขึ้นมีนิสัยคล้ายพวกผีดิบ

ผีดิบเกลียดสิ่งมีชีวิต และดูเหมือนลูกน้องของเจมินจะยิ่งเลวร้ายกว่า ดูเหมือนพวกมันกระหายเลือดไม่หยุดหย่อน

ในฐานะลอร์ดของพวกมัน เจมินควบคุมพวกมันได้มากแค่ไหน?

“ผม...ผมทำได้”

“จริงเหรอ?”

“...”

“งั้นตอบให้มั่นใจกว่านี้หน่อย”

“ผม...ผมไม่แน่ใจ”

วูจินยิงวิญญาณ มันเหมือนจรวดติดตามตัวที่ตามศัตรูไปจนกว่าจะโดนเป้าหมาย หอกวิญญาณพุ่งใส่ศีรษะของพวกลูกน้อง

เสียงระเบิดดังผลุ พวกลูกน้องไร้หัวล้มลง

โดเจมินรู้สึกหมดแรงเมื่อเห็นกองทัพแวมไพร์ของเขาถูกทำลายอย่างง่ายดาย

วูจินโอบไหล่เจมิน

“เจมิน”

“ครับพี่”

“ปริมาณไม่สำคัญ อย่างแรก พยายามควบคุมตัวแรกให้ดีก่อน”

“...”

ถ้าควบคุมอสูรตัวเองไม่ได้อย่างเด็ดขาด อย่ามีจะดีกว่า

คาบาลใช้พลังจำนวนมากฟื้นสภาพศีรษะของตัวเอง มันมองวูจินด้วยสายตาหวาดกลัว

“ไอ้ตัวแบบนี้ไม่มีประโยชน์กับนาย”

แค่ถูกตีทีเดียวก็แสดงความกลัวมากขนาดนี้

อสูรรับใช้ควรเต็มใจตายเพื่อปกป้องเจ้านาย แบบคาบาลที่กลัวหัวหดนี่อย่ามีจะดีกว่า

หอกวิญญาณทะลุร่างคาบาล มันระเบิดทันที

“...”

ลูกน้องที่เขาสร้างขึ้นถูกฆ่าภายใน 1 นาที เสียงวูจินดังเข้าหูเจมิน

“ไม่ว่านายจะมีลูกน้องมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ถ้านายอ่อนแอ”

วูจินพูดถูก พลังของลอร์ดสามารถถูกสมาชิกในเผ่าที่เขาแบ่งเลือดให้ขโมยไปได้ ฐานะของเขาถูกแย่งชิงไปได้

“ถ้านายจะสร้างกองทัพของตัวเอง นายควรทำช้าๆตั้งใจเลือกให้ดี ดูแบบที่ฉันทำ”

“พี่มีทหารตั้งเยอะ”

วูจินยิ้ม

“พวกโครงกระดูกกับซอมบี้เป็นทหารที่จะทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ ดูอสูรของฉันสิ”

เขาใช้เวลารวบรวมพวกมันมากกว่า 20 ปี อัศวินมรณะ 54 ตนถือว่าน้อย

“ผมว่าผมเข้าใจที่พี่จะสื่อ”

“ดี”

วูจินขยี้ผมเจมิน

“อีกอย่าง นายควรพักสายตาสักหน่อย”

“...ครับ”

วูจินยิ้มพลางตบหลังเจมิน จากนั้นเขาหันไปมองคนในปาร์ตี้

“อีก 6 วันตามเวลาโลกหรือ 24 วันจากนี้ จะมีประชุมกิลด์ ฉันอยากให้พวกนายพยายามให้เต็มที่ ทำลายดันเจี้ยนและอาณานิคมให้หมดก่อนถึงวันนั้น”

เมโลดี้ถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ที่หมายต่อไปของคุณคือที่ไหนคะ?”

“เธอรู้อยู่แล้ว ถามทำไม?”

ดวงตาเมโลดี้มีประกายน้ำตา วูจินยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ฉันจะไปอัลเฟน”

ในที่สุดเธอจะได้กลับไปแล้ว

เธออาสามาที่โลกเพื่อดาวบ้านเกิดของเธอ ในที่สุดเธอจะได้กลับไปพร้อมกับผู้ช่วย  เธอรู้สึกตื้นตัน

ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดคือผู้ช่วยเหลือนั้นคือผู้ไม่ตาย

***

ขณะที่เจมินกับสมาชิกในปาร์ตี้เริ่มเคลียร์ดันเจี้ยนและอาณานิคมไปทีละแห่ง ซุงกูก็กำลังทำลายลอร์ดมิติ ในเมื่อเขายังไม่อยากตาย เมื่อปาร์ตี้ของเจมินเคลียร์ไปหนึ่งแห่ง ซุงกูเคลียร์ไปสาม

ในระหว่างนั้น วูจินกดดันพวกลอร์ดมิติ

ดันเจี้ยนที่นี่อยู่ในรูปของเสา เทียบกับโลกแล้วที่นี่มีดันเจี้ยนน้อยกว่ามาก แต่ลอร์ดมิติสร้างอาณานิคมไว้มากมายโดยใช้ประตูจำลอง

การสร้างอาณานิคมมีผลดีผลเสียชัดเจน

ในดันเจี้ยน มีข้อจำกัดว่าคนที่เข้าดันเจี้ยนมีมากที่สุดได้แค่ไหน อย่างมากคือไม่เกิน 10 คน แต่อาณานิคมไม่มีข้อจำกัดจำนวนคน อาณานิคมต้องมีทหารและสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก

แต่อาณานิคมแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุด

มีแต่เราส์ที่เข้าดันเจี้ยนได้ แต่คนที่แทบไม่มีพลังเลยสามารถเข้าอาณานิคมได้

ด้วยเหตุนี้วูจินจึงพยายามสร้างอาณานิคมบนโลก

เขาได้ชิ้นส่วนมิติมาราว 20 อัน ใช้ไป 1 อันเพื่อสร้างอาณานิคมก็ไม่เสียหายอะไร

วูจินทำสงครามมิติสม่ำเสมอ และเจมินชนะทุกครั้ง หลังจากเวลาบนโลกผ่านไป 3 วัน วูจินก็ออกมาจากทางออกที่ 1 ของสถานีโซล

“อา! พระราชา”

พนักงานคนหนึ่งถูกส่งมาเฝ้าที่นี่ เมื่อเห็นวูจินเขาโทรบอกวูซุงฮุนอย่างรีบร้อน

“ครับ เขาเพิ่งออกมา ครับผม”

วูซุงฮุนกลับมาเป็นหัวหน้าเลขานุการอีกครั้ง แต่เปลี่ยนจากหัวหน้าเลขานุการส่วนตัวประธาน เป็นหัวหน้าเลขานุการของพระราชา หน้าที่ของเขาสำคัญกว่าเป็นรัฐมนตรีมาก

“ไม่ต้องบอกเขาหรอก ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

“ครับ ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม?”

“...”

วูจินแกล้งพนักงานที่เกร็งเกินเหตุต่ออีกหน่อยก่อนจะจากไป บอดี้การ์ดในชุดสูท 12 คนเดินไปพร้อมกับวูจิน

“ทำไมที่นี่คนเยอะนัก?”

“วันนี้เป็นวันสัมภาษณ์งานครับ”

“อา”

คนที่มาเต็มถนนนี่คือมาเพื่อสมัครงานกับอลันดาล?

วูจินตั้งสมาธิมองฝูงชน ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเลเวล 11-30 พวกเขาเป็นเราส์แรงค์ F-E

“นั่นคังวูจินไม่ใช่เหรอ”

“น่าจะใช่ เขาเหมือนในรูปเลย”

เห็นได้ชัดว่าวูจินเป็นคนสำคัญ เขามีบอดี้การ์ดห้อมล้อม

เมื่อวูจินมาถึงหน้าประตูอลันดาล นายกรัฐมนตรีจุงมินชาน วูซุงฮุนและพนักงานคนอื่นมารวมตัวกันเพื่อ
รับวูจิน

“วันนี้เป็นวันสัมภาษณ์เหรอ?”

“ครับ ประธาน เรายังไม่ได้ให้ใครเข้ามาเลย”

คนมารวมตัวกันหน้าประตูหน้าของอลันดาล เหมือนผู้มาเข้าสอบรอเข้าไปในสนามสอบ

และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ชาวเกาหลี คนจากทั่วโลกจำนวนไม่น้อยต้องการเข้าอลันดาล

“ฉันยุ่ง เลือกตอนนี้เลย”

“อะไร เรายังไม่ได้แยกแรงค์พวกเขาเลยด้วยซ้ำ”

มันยังเช้าอยู่ ถ้ามินชานรู้ว่าวูจินจะมาเร็วขนาดนี้ เขาจะแจ้งเปลี่ยนเวลาสัมภาษณ์ให้เร็วกว่านี้...

“ไม่เป็นไร แรงค์ไม่สำคัญ”

วูจินปีนกำแพง

“เงียบ!”

เสียงเขาไม่ดังแต่ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่วูจิน เสียงเขามีพลังเวทปนอยู่จึงได้ยินไปถึงคนข้างหลัง

“คนที่ฉันเลือกจะกลายเป็นพลเมืองและเราส์ของอลันดาล ฉันจะเริ่มเดี๋ยวนี้”

นี่ไม่ใช่การสัมภาษณ์แต่เป็นการคัดเลือก เขาจะเลือกคนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง

วูจินใช้ทักษะพื้นฐานเช่น สังเกต วัดค่าและประเมินในการคัดเลือก

“นาย, นายแล้วก็นาย ผ่าน”

“ผม?”

“อะ หา?”

จู่ๆการคัดเลือกก็เริ่มขึ้น คนที่ถูกเลือกงงแต่ผ่านประตูไปอย่างดีใจ การสนับสนุนที่เราส์อลันดาลได้รับดีที่สุดในโลก

พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนจากคังวูจิน เราส์ที่เก่งที่สุดของโลก และยังได้ทีมสนับสนุนที่ใหญ่กว่ากิลด์อื่น

หลังจากเลือกเสร็จ วูจินขีดเส้นบนพื้น

“เอาล่ะ คนที่อยู่หลังเส้นนี้กลับบ้านได้”

เกิดเสียงดังในกลุ่มคน 500 คนที่วูจินชี้ คนที่กล้าหน่อยพูดขึ้น

“คุณ คุณทำกับพวกเราแบบนี้ได้ยังไง?”

“ใช่ แค่มองอย่างเดียวก็ตัดสินใจได้แล้วเหรอ?”

วูจินยิ้มเยาะ

“ถ้ามีปัญหาก็มาเป็นพระราชาสิ”

“...”

ไร้เหตุผลสิ้นดี...

“คุณต้องให้โอกาสพวกเราเท่าๆกันสิ”

“ใช่ๆ ผมแน่ใจว่าจะทำได้ดีถ้าถูกเลือก ให้พวกเราได้รับการทดสอบเถอะ”

ได้รับความสนใจจากคังวูจินนั่นล่ะคือการทดสอบ แม้เขาจะเลือกคนที่มีศักยภาพสูงก็อาจมีคนที่วูจินไม่ชอบ หรืออาจมีคนที่ปรับตัวให้เข้ากับวูจินไม่ได้

คนที่ใช้ดาบเก่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นนักฆ่าที่ดี ทุกคนมีศักยภาพต่างกันมีความชอบต่างกัน

ขั้นแรกคือเลือกพวกเขาจากศักยภาพ...

“ก็ได้ ฉันจะให้โอกาสทุกคน”

ถึงจะอธิบายไปคนพวกนี้ก็ไม่เข้าใจ

วูจินเรียกอัศวินมรณะ อัล อัสสาดออกมา ตอนยังมีชีวิตอยู่ อัล อัสสาด เพิ่งถึงแรงค์ AA หรือขั้นที่ 7 เมื่อกลายมาเป็นอัศวินมรณะ เขาได้พลังเป็นแรงค์ S หรือมีพลังขั้นที่ 8

“ฉันไม่อยากเสียเวลา ถ้าพวกนายทนได้ 30 วินาที ผ่าน แต่ถ้าไม่ผ่านคือตาย มีใครจะรับการทดสอบไหม?”

“...”

เงียบ

การทดสอบที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน... มันคือการเลือกว่าจะตายหรือทนให้ได้ 30 วินาทีเพื่อเข้าร่วมอลันดาล

บางคนส่ายหน้าแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล แต่ส่วนใหญ่แค่ยืนดูสถานการณ์ พวกเขากำลังรอให้คังวูจินเสนอทางเลือกอื่น

“ผมจะเข้ารับการทดสอบ”

ตอนนั้นเอง เราส์คนหนึ่งเดินออกมาจากแถวข้างหลังอย่างโอ้อวด

วูจินเลิกคิ้ว

“โฮ่ ขั้นที่ 7”

นึกไม่ถึงว่าจะมีเราส์แรงค์ AA โผล่มา

วูจินเพิ่งเคยเห็นชายคนนี้เป็นครั้งแรก แต่คนอื่นไม่

“คิมคังชุล!”

“คิมคังชุลจริงๆด้วย”

เขาเป็นเราส์เบอร์ 1 ของเกาหลีก่อนที่คังวูจินจะปรากฏตัว

เราส์อิสระไม่มีสังกัดกิลด์ คิมคังชุลปรากฎตัว



สารบัญ                                             บทที่ 158