บทที่ 123 – ลิช เจนิส
เสานีเซียกำลังทำการเชื่อมต่อ นักผจญภัยจึงยังเข้ามาพิชิตได้ แต่พวกเขาคงไม่เข้ามาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังนอกจากจะอยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ต่อให้นักผจญภัยเข้ามาจริงๆ วูจินยังมีทางเข้าเดียวที่ต้องป้องกัน เขาไม่ต้องแบ่งกำลังรบ เขามั่นใจในอัศวินมรณะทั้ง 53 ตนของเขา
ต่อให้เป็นนักผจญภัยเทียบเท่ากับกลุ่มของรีลิค วูจินสามารถป้องกันได้ และเพราะไม่มีใครเข้าดันเจี้ยนที่โลกเขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องอาณาเขตมิติ
“งั้น จะไปล่าที่ไหนดี...”
มีทางเลือกหลายทาง ทางไหนจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด?
ทิ้งช่วงคุ้มครองไป ท้ารบกับลอร์ดคนอื่นแล้วท้าดวลตอนแพ้ เขาจะได้ค่าประสบการณ์จากการจับลอร์ดมิติ
หรือในช่วงคุ้มครอง 12 วัน เท่ากับ 3 วันบนโลก เขาจะไปเก็บเลเวลในสถานีรถไฟใต้ดิน
“ตอนนี้ต้องมีทางเชื่อมต่อเกิดขึ้นหลายที่แล้วแน่ๆ”
ดันเจี้ยนระดับยากขึ้นเริ่มเชื่อมต่อกับโลกมากขึ้น คงมีดันเจี้ยนที่เราส์บนโลกพิชิตไม่ได้หลายที่
ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่มีแต่เจ้าของดันเจี้ยน จัดการมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาให้หมดก็จบ แต่ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่มีลอร์ดมิติ การเชื่อมต่อจะเสร็จสมบูรณ์และประตูจะเปิดออก...
มันจะไม่ใช่แค่ดันเจี้ยนเบรกครั้งเดียว ดันเจี้ยนจะทำหน้าที่เป็นจุดเกิดและส่งมอนสเตอร์ออกมาเรื่อยๆ อีกอย่าง ที่จะออกมาจากดันเจี้ยนไม่ใช่เพียงมอนสเตอร์เท่านั้น
ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์อื่นอย่างเอลฟ์ออกมา ถ้าพวกนั้นล่าคนบนโลก... ไม่ ถ้ามีมนุษย์ล่ะ มนุษย์บนโลกจะทำอย่างไรถ้าถูกมนุษย์ด้วยกันล่า?
“ฉันต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยสักหน่อย บิบิ ปกป้องอาณาเขตให้ดี ถ้ามีอะไรติดต่อฉัน”
“ได้ ขอเพิ่มอีก 1,000 แต้มได้ไหม...”
วูจินยิ้มแล้วเพิ่มหน่วยพลังงานให้
“เอาไป 1,000 แต้ม ที่เหลือเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน ถ้ามีอันตรายก็ใช้มัน”
“ฮิๆ เข้าใจแล้วค่ะ”
เตรียมพร้อมขนาดนี้ บิบิควรจะป้องกันเสานีเซียจากนักผจญภัยได้ อย่างแย่ที่สุดถ้าปกป้องหินรีเทิร์นสโตนที่กำลังทำการประสานไม่ได้เขาก็แค่เสียดันเจี้ยนกับพลังงานไป
สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่เสียการเชื่อมต่อกับพื้นที่ล่าบนโลกจาคุ
วูจินเปิดอุโมงค์ไปยังสถานีโซลทางออกที่ 1 แล้วเดินเข้าไป
***
กิลด์อลันดาล ห้องรองประธาน
“เฮ้อ”
มินชานจบการสนทนาทางโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาว เฮมินมองอย่างกังวลและถามข่าวที่รออยู่นาน
“ตกลงว่าไงครับ?”
“ยัง พวกเขาบอกให้รอ”
“...นี่เรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ? เราต้องแก้ปัญหาก่อนท่านประธานจะมา”
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกัน”
มินชานกับเฮมินหน้าดำคร่ำเครียด พวกเขาคิดไม่ออก
“เฮ้อ ทำไมแค่วันเดียวรัฐบาลก็เปลี่ยนคำพูดแล้ว?”
“เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ”
“ครับ...”
พวกเขารู้ดีว่าทำไม
มันเกิดขึ้นหลังจากวูจินเข้าดันเจี้ยนไปสองสามชั่วโมง
อัศวินมรณะผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันและทิ้งของขวัญเอาไว้ที่สำนักงานของอลันดาล
ศีรษะของคน 7 คน
พนักงานแปดคนเป็นลม สิบห้าคนอาเจียนลงตรงนั้น มินชานที่คาดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องอีกแน่ยังช็อก
[ภารกิจเสร็จสิ้น]
อัศวินมรณะทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วกลายเป็นควันดำสลายไป
ไม่ใช่แค่สำนักงานของอลันดาลที่เดียวที่กำลังสับสนวุ่นวาย ความไม่สงบกระจายไปทั่วเกาหลีใต้
ข่าวสมาชิกรัฐสภามีส่วนในการก่อการร้ายและข่าวของคังวูจินยังไม่จบก็เกิดข่าวพบศพไร้หัว 7 ศพ
ผู้นำของวงการธุรกิจถูกลอบสังหาร นี่สร้างผลกระทบต่างจากตอนสมาชิกรัฐสภาที่ถูกสังหารหลังจากสร้างความวุ่นวายในรัฐสภา
ผู้ต้องสงสัยหลักคือคังวูจิน ตำรวจบุกสำนักงานใหญ่ของกิลด์และนำศีรษะเหล่านั้นไป
ไม่นานก็มีรายงานข่าวว่าบุคคลในวงการธุรกิจเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่เป็นไปในด้านลบ
คังวูจินยึดสภา เลือกสังหารสมาชิกรัฐสภาบางคน ในตอนนั้นทุกคนคิดว่ามันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องทำเพื่อหยุดผู้ก่อการร้าย คนเต็มใจมองข้ามการกระทำของเขา
แต่การสังหารครั้งต่อมาถูกมองต่างไป พลเมืองอาจถูกฆ่าตามอำเภอใจของคังวูจิน
คังวูจินมีอำนาจมาก และความกลัวทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อเขา ดินแดนนี้มีกฎหมายแต่เขาเอาชีวิตคนง่ายๆ เหมือนเขาทำตัวเป็นพระเจ้า
ความเห็นของสาธารณะชนกำลังคุกรุ่น ไม่ใช่เวลาที่รัฐบาลจะสามารถนำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาพูดได้ เกาหลีใต้ไม่ยอมรับเกาหลีเหนือเป็นประเทศ แล้วจะนับอลันดาลเป็นประเทศได้อย่างไร? มีแต่ต้องเปลี่ยนกฎหมายถึงจะทำได้ และต้องมีการลงคะแนนเสียงของประชาชนถึงจะเปลี่ยนกฎหมายได้
สถานะรัฐอิสระของพวกเขากลายเป็นไม่ชัดเจนแล้ว
“ทำไงดีครับ? เราจะเตรียมตัวต่อดีไหม?”
“...เตรียมตัวต่อ”
“เราทำอะไรไม่ได้นะครับถ้ารัฐบาลไม่เอาด้วย”
“เฮ้อ แต่เราก็ต้องทำ”
“เดี๋ยวนี้ผมไม่กล้าออกไปข้างนอกเลย กลัวโดนปาหินใส่”
เฮมินเน้นเสียง
ความเห็นของนักข่าวไม่ดีนัก ปัญหาคือนักข่าวมีอิทธิพลกับความเห็นของสาธารณะ ยิ่งกว่านั้นบริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนักธุรกิจที่ถูกลอบสังหารกำลังกดดันรัฐบาล
เพราะไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าเมื่อไหร่ ความกลัวทำให้ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คังวูจินแสดงพลังที่อยู่เกินขอบเขตของมนุษย์ เขาทำให้ประชาชนที่หวาดกลัวรู้สึกไม่สบายใจ
หากสถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้แม้แต่นิดเดียว อลันดาลอาจถูกขับไล่ออกจากเกาหลีใต้
“อ๊าก อย่างน้อยแผนงานคร่าวๆก็เสร็จแล้วเพราะคุณลีคังจินช่วย ในเมื่อเราไม่ได้ความร่วมมือจากรัฐบาล...”
เขตแดนของอลันดาลคือสถานีรถไฟใต้ดินโซลกับที่ดินรอบๆ มันเป็นที่ๆถูกซื้อด้วยชื่อของอลันดาล
ประชาชนก็คือพนักงานในกิลด์ เมื่อใครเข้ากิลด์ คนนั้นจะได้สัญชาติของประเทศอลันดาล
ประเทศทั้งสองใช้เงินสกุลเดียวกัน ใช้การติดต่อสื่อสารเดียวกัน
จากหนึ่งถึงสิบ พวกเขาต้องได้ความร่วมมือจากรัฐบาลเกาหลี
รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสนธิสัญญา แต่สนธิสัญญานั้นจะสำเร็จหรือไม่ยังเป็นปริศนา
มันทำให้พวกเขาสงสัยว่าสนธิสัญญานั้นเป็นไปได้ด้วยหรือ รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ถือรัฐบาลเกาหลีเหนือเป็นองค์กรที่ยึดส่วนหนึ่งของประเทศไปอย่างผิดกฎหมาย
“ตั้งใจเตรียมการกันก่อนเถอะ”
“ครับรองประธาน”
มินชานกับเฮมินมองหน้ากันอย่างยุ่งยากใจ ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้? พวกเขาก็แค่อยากได้งานทำหลังออกจากกิลด์แฮมเมอร์...
พวกเขาเริ่มจากกิลด์เล็กๆที่มีสมาชิก 5 คน เวลาแค่ไม่กี่เดือน...
“อย่างน้อยพวกเราก็พาครอบครัวมาได้”
“จริง”
ครอบครัวของวูจิน ซุงกูและฮีซอลย้ายเข้ามาในอลันดาล พนักงานทุกคนสามารถพาครอบครัวเข้ามาได้ ตอนนี้พวกเขามีคนเกือบ 500 คน
“เขาจะออกมาก่อนการประชุมกิลด์ไหมครับ?”
“น่าจะนะ”
สมัชชากิลด์เกาหลีมีกิลด์แฮมเมอร์เป็นผู้จัด แต่วูจินเป็นคนเรียกร้องให้เกิดการประชุมนี้
“ถ้าเราไม่ออกจากกิลด์แฮมเมอร์ ตอนนี้เราจะทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้นะครับ?”
จุงมินชานขมวดคิ้วเมื่อคิดตาม จากนั้นเขาก็ยิ้ม
“นายคิดว่าทำอะไรล่ะ? เราคงด่าคังวูจิน เตรียมงานประชุมกิลด์ ฉันก็ยังเป็นหัวหน้าทีมนายก็ยังเป็นลูกน้องฉัน”
“ฮุๆ มาคิดดูพวกเรานี่ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ระดับชักนำเกาหลี...ไม่ใช่สิ ชักนำโลกได้แล้วเหรอ?”
“ใช่ เราทำได้ดี ประสบความสำเร็จซะจนฉันเริ่มกลัว”
นี่ไม่เรียกว่าเร็วแล้ว นี่เป็นการเลื่อนขั้นฟ้าผ่า
ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของมินชานก็ดังขึ้น เขารับเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของวูซุงฮุน
“กรรมการวู”
[ท่านประธานออกมาแล้วครับ เรากำลังกลับออฟฟิศ ท่านต้องการรายชื่อดันเจี้ยนที่ยังไม่ถูกเคลียร์]
“รู้แล้ว คุณพาท่านกลับมาดีๆ”
[ไม่ต้องห่วงครับ]
จำนวนนักข่าวที่รออยู่ใกล้ๆมีไม่น้อย รวมถึงองค์กรศาสนาที่มาประท้วง เขารู้นิสัยวูจิน ถ้าวูจินปะทะกับผู้ประท้วงจะสร้างความเสียหายแบบกู่ไม่กลับ ความเห็นสาธารณชนเลวร้ายลงถึงขั้นนี้เลย
“ประธานกำลังมา รีบเข้า แล้วเตรียมรายงานด้วย”
“ครับ!”
ครู่ต่อมา มินชานกับเฮมินไปรับวูจินตรงที่จอดรถ
“นายไม่ต้องออกมาก็ได้ มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นไหม?”
แน่อยู่แล้ว มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
“ความคิดเห็นของคนทั่วไปไม่ดีเลย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลก็แสดงความไม่เห็นด้วย”
“ทำไม?”
“พวกเขาไม่สบายใจเรื่องการลอบสังหาร”
“ฉันฆ่าพวกที่สมควรตาย ผิดตรงไหน?”
ตรงระดับความรุนแรง มันเกินไป...
คนต้องทำตามกระบวนการของกฎหมาย ขึ้นศาลและตัดสินโทษ แน่นอนโทษไม่ถึงขั้นประหารชีวิต แต่สิ่งที่วูจินทำเป็นการฆาตกรรม ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
วูจินขมวดคิ้ว
“งั้นก็ไม่ต้องทำสนธิสัญญา”
“อะไรนะ?”
มินชานไม่เคยเห็นวูจินกลับคำพูดมาก่อน เขาจึงถามอย่างงุนงง
“ท่านจะยกเลิกประกาศตั้งประเทศหรือ?”
“เราแค่ไม่ทำสนธิสัญญากับเกาหลี”
“...”
“พวกเขาเป็นฝ่ายเสีย ไม่ใช่ฉัน”
ถ้าอย่างนั้นเขาคิดจะทำอะไร?
เขาคิดจะทำอะไรหลังจากตั้งประเทศใหม่ใจกลางเมืองโซล?
“ฉันไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากพวกอวดดีพวกนั้น”
“...ถ้าท่านไม่เซ็นสัญญากับเกาหลีใต้ก็ไม่มีการติดต่อซื้อขายนะ”
ดันเจี้ยนมากมายในเกาหลีจะถูกห้ามเข้า สาธารณูปโภคอย่างไฟฟ้าน้ำประปาจะถูกตัด
พวกเขาจะกลายเป็นผู้อพยพที่ติดอยู่ในที่ดินเล็กๆของโซล
“หรือฉันจะยึดเกาหลีดี”
“เอ้ย อย่านะ”
มินชานผงะ จากนั้นเขาโต้กลับคำพูดของวูจิน
หรือนี่จะเป็นสถานการณ์แบบสุดกู่ได้ปลุกความสามารถที่หลับใหลของคนขึ้นมา? มินชานเร่งหาวิธีแก้ไขอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ใช้รัฐบาลสหรัฐไหม?”
“อเมริกา? ฉันบอกนายแล้วนะว่าฉันไม่ไปไหน”
เขาต้องปกป้องสถานีโซลทางออกที่ 1 นี่เป็นดันเจี้ยนที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตมิติของเขา
“เราขอให้รัฐบาลสหรัฐกดดันรัฐบาลเกาหลี”
วูจินเอียงคออย่างสงสัย
“จะได้ผลเหรอ?”
“ได้ผลสิ...”
มินชานมีสีหน้าขมขื่น มันฟังบ้าบอคอแตกแต่นี่คือความจริง
วูจินสามารถใช้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาได้ มีคนผู้หนึ่งในเกาหลีที่เป็นสื่อกลางได้
“เมโลดี้อยู่ไหน?”
“อยู่กับน้องสาวท่าน”
“นำทางที แล้วก็ปรินท์รายชื่อดันเจี้ยนที่ยังไม่ถูกเคลียร์ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
“ครับ”
ซุงฮุนนำทางวูจินไปยังห้องสำหรับพักอาศัย ชั้น 1 ทั้งชั้นถูกตกแต่งเหมือนอยู่ในบ้าน
ครอบครัวของสมาชิกกิลด์อลันดาลพักที่นี่ ครอบครัววูจินเป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาผ่านประตูห้อง 101 เข้าไปในส่วนพักอาศัยที่เหมือนห้องสะอาดในโรงแรม
แม่ของวูจินกำลังนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย พอนางเห็นวูจินก็ลุกพรวด
“วูจิน”
“หา? เกิดอะไรขึ้น?”
ลีซูกยุนร้องไห้เมื่อเห็นลูกชาย
“โซอา...”
“โซอาเป็นอะไรครับ?”
วูจินตกใจ
“โซอาชักอีกแล้ว ฮือ”
เขากอดแม่แน่น
“โซอาอยู่ไหนครับ?”
“อยู่อีกห้อง สตรีศักดิ์สิทธิ์ดูแลอยู่”
“ไม่เป็นไรแม่ น้องจะไม่เป็นไร”
วูจินปลอบใจแม่ระหว่างรอเมโลดี้ออกมา หลังผ่านไปครู่หนึ่งเมโลดี้ก็เดินออกมา เธอสะดุ้งเมื่อเห็นวูจิน เธอโค้งตัวทักทาย
“อาการของน้องสาวคุณคงที่บ้างแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”
ลีซูกยุงคว้ามือสตรีศักดิ์สิทธิ์และพูดขอบคุณไม่หยุด วูจินมองเมโลดี้แล้วพูด
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
“ค่ะ ผู้ไม่ตาย”
“มาที่ห้องประธาน”
เขาไม่สะดวกใจจะคุยต่อหน้าแม่ วูจินจึงออกมาก่อน หลังจากออกจากห้อง ดวงตาของเขาสื่ออารมณ์หลากหลาย