วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 123


บทที่ 123 – ลิช เจนิส


เสานีเซียกำลังทำการเชื่อมต่อ นักผจญภัยจึงยังเข้ามาพิชิตได้ แต่พวกเขาคงไม่เข้ามาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังนอกจากจะอยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

ต่อให้นักผจญภัยเข้ามาจริงๆ วูจินยังมีทางเข้าเดียวที่ต้องป้องกัน เขาไม่ต้องแบ่งกำลังรบ เขามั่นใจในอัศวินมรณะทั้ง 53 ตนของเขา

ต่อให้เป็นนักผจญภัยเทียบเท่ากับกลุ่มของรีลิค วูจินสามารถป้องกันได้ และเพราะไม่มีใครเข้าดันเจี้ยนที่โลกเขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องอาณาเขตมิติ

“งั้น จะไปล่าที่ไหนดี...”

มีทางเลือกหลายทาง ทางไหนจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด?

ทิ้งช่วงคุ้มครองไป ท้ารบกับลอร์ดคนอื่นแล้วท้าดวลตอนแพ้ เขาจะได้ค่าประสบการณ์จากการจับลอร์ดมิติ

หรือในช่วงคุ้มครอง 12 วัน เท่ากับ 3 วันบนโลก เขาจะไปเก็บเลเวลในสถานีรถไฟใต้ดิน

“ตอนนี้ต้องมีทางเชื่อมต่อเกิดขึ้นหลายที่แล้วแน่ๆ”

ดันเจี้ยนระดับยากขึ้นเริ่มเชื่อมต่อกับโลกมากขึ้น คงมีดันเจี้ยนที่เราส์บนโลกพิชิตไม่ได้หลายที่

ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่มีแต่เจ้าของดันเจี้ยน จัดการมอนสเตอร์ที่หลุดออกมาให้หมดก็จบ แต่ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่มีลอร์ดมิติ การเชื่อมต่อจะเสร็จสมบูรณ์และประตูจะเปิดออก...

มันจะไม่ใช่แค่ดันเจี้ยนเบรกครั้งเดียว ดันเจี้ยนจะทำหน้าที่เป็นจุดเกิดและส่งมอนสเตอร์ออกมาเรื่อยๆ อีกอย่าง ที่จะออกมาจากดันเจี้ยนไม่ใช่เพียงมอนสเตอร์เท่านั้น

ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์อื่นอย่างเอลฟ์ออกมา ถ้าพวกนั้นล่าคนบนโลก... ไม่ ถ้ามีมนุษย์ล่ะ มนุษย์บนโลกจะทำอย่างไรถ้าถูกมนุษย์ด้วยกันล่า?

“ฉันต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยสักหน่อย บิบิ ปกป้องอาณาเขตให้ดี ถ้ามีอะไรติดต่อฉัน”

“ได้ ขอเพิ่มอีก 1,000 แต้มได้ไหม...”

วูจินยิ้มแล้วเพิ่มหน่วยพลังงานให้

“เอาไป 1,000 แต้ม ที่เหลือเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน ถ้ามีอันตรายก็ใช้มัน”

“ฮิๆ เข้าใจแล้วค่ะ”

เตรียมพร้อมขนาดนี้ บิบิควรจะป้องกันเสานีเซียจากนักผจญภัยได้ อย่างแย่ที่สุดถ้าปกป้องหินรีเทิร์นสโตนที่กำลังทำการประสานไม่ได้เขาก็แค่เสียดันเจี้ยนกับพลังงานไป

สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่เสียการเชื่อมต่อกับพื้นที่ล่าบนโลกจาคุ

วูจินเปิดอุโมงค์ไปยังสถานีโซลทางออกที่ 1 แล้วเดินเข้าไป

***

กิลด์อลันดาล ห้องรองประธาน

“เฮ้อ”

มินชานจบการสนทนาทางโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาว เฮมินมองอย่างกังวลและถามข่าวที่รออยู่นาน

“ตกลงว่าไงครับ?”

“ยัง พวกเขาบอกให้รอ”

“...นี่เรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ? เราต้องแก้ปัญหาก่อนท่านประธานจะมา”

“เฮ้อ ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกัน”

มินชานกับเฮมินหน้าดำคร่ำเครียด พวกเขาคิดไม่ออก

“เฮ้อ ทำไมแค่วันเดียวรัฐบาลก็เปลี่ยนคำพูดแล้ว?”

“เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ”

“ครับ...”

พวกเขารู้ดีว่าทำไม

มันเกิดขึ้นหลังจากวูจินเข้าดันเจี้ยนไปสองสามชั่วโมง

อัศวินมรณะผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันและทิ้งของขวัญเอาไว้ที่สำนักงานของอลันดาล
ศีรษะของคน 7 คน

พนักงานแปดคนเป็นลม สิบห้าคนอาเจียนลงตรงนั้น มินชานที่คาดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องอีกแน่ยังช็อก

[ภารกิจเสร็จสิ้น]

อัศวินมรณะทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วกลายเป็นควันดำสลายไป

ไม่ใช่แค่สำนักงานของอลันดาลที่เดียวที่กำลังสับสนวุ่นวาย ความไม่สงบกระจายไปทั่วเกาหลีใต้

ข่าวสมาชิกรัฐสภามีส่วนในการก่อการร้ายและข่าวของคังวูจินยังไม่จบก็เกิดข่าวพบศพไร้หัว 7 ศพ

ผู้นำของวงการธุรกิจถูกลอบสังหาร นี่สร้างผลกระทบต่างจากตอนสมาชิกรัฐสภาที่ถูกสังหารหลังจากสร้างความวุ่นวายในรัฐสภา

ผู้ต้องสงสัยหลักคือคังวูจิน ตำรวจบุกสำนักงานใหญ่ของกิลด์และนำศีรษะเหล่านั้นไป

ไม่นานก็มีรายงานข่าวว่าบุคคลในวงการธุรกิจเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่เป็นไปในด้านลบ

คังวูจินยึดสภา เลือกสังหารสมาชิกรัฐสภาบางคน ในตอนนั้นทุกคนคิดว่ามันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องทำเพื่อหยุดผู้ก่อการร้าย คนเต็มใจมองข้ามการกระทำของเขา

แต่การสังหารครั้งต่อมาถูกมองต่างไป พลเมืองอาจถูกฆ่าตามอำเภอใจของคังวูจิน

คังวูจินมีอำนาจมาก และความกลัวทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อเขา ดินแดนนี้มีกฎหมายแต่เขาเอาชีวิตคนง่ายๆ เหมือนเขาทำตัวเป็นพระเจ้า

ความเห็นของสาธารณะชนกำลังคุกรุ่น ไม่ใช่เวลาที่รัฐบาลจะสามารถนำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาพูดได้ เกาหลีใต้ไม่ยอมรับเกาหลีเหนือเป็นประเทศ แล้วจะนับอลันดาลเป็นประเทศได้อย่างไร? มีแต่ต้องเปลี่ยนกฎหมายถึงจะทำได้ และต้องมีการลงคะแนนเสียงของประชาชนถึงจะเปลี่ยนกฎหมายได้

สถานะรัฐอิสระของพวกเขากลายเป็นไม่ชัดเจนแล้ว

“ทำไงดีครับ? เราจะเตรียมตัวต่อดีไหม?”

“...เตรียมตัวต่อ”

“เราทำอะไรไม่ได้นะครับถ้ารัฐบาลไม่เอาด้วย”

“เฮ้อ แต่เราก็ต้องทำ”

“เดี๋ยวนี้ผมไม่กล้าออกไปข้างนอกเลย กลัวโดนปาหินใส่”

เฮมินเน้นเสียง

ความเห็นของนักข่าวไม่ดีนัก ปัญหาคือนักข่าวมีอิทธิพลกับความเห็นของสาธารณะ ยิ่งกว่านั้นบริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนักธุรกิจที่ถูกลอบสังหารกำลังกดดันรัฐบาล

เพราะไม่รู้ว่าจะถูกฆ่าเมื่อไหร่ ความกลัวทำให้ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

คังวูจินแสดงพลังที่อยู่เกินขอบเขตของมนุษย์ เขาทำให้ประชาชนที่หวาดกลัวรู้สึกไม่สบายใจ

หากสถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้แม้แต่นิดเดียว อลันดาลอาจถูกขับไล่ออกจากเกาหลีใต้

“อ๊าก อย่างน้อยแผนงานคร่าวๆก็เสร็จแล้วเพราะคุณลีคังจินช่วย ในเมื่อเราไม่ได้ความร่วมมือจากรัฐบาล...”

เขตแดนของอลันดาลคือสถานีรถไฟใต้ดินโซลกับที่ดินรอบๆ มันเป็นที่ๆถูกซื้อด้วยชื่อของอลันดาล

ประชาชนก็คือพนักงานในกิลด์ เมื่อใครเข้ากิลด์ คนนั้นจะได้สัญชาติของประเทศอลันดาล

ประเทศทั้งสองใช้เงินสกุลเดียวกัน ใช้การติดต่อสื่อสารเดียวกัน

จากหนึ่งถึงสิบ พวกเขาต้องได้ความร่วมมือจากรัฐบาลเกาหลี

รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสนธิสัญญา แต่สนธิสัญญานั้นจะสำเร็จหรือไม่ยังเป็นปริศนา

มันทำให้พวกเขาสงสัยว่าสนธิสัญญานั้นเป็นไปได้ด้วยหรือ รัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ถือรัฐบาลเกาหลีเหนือเป็นองค์กรที่ยึดส่วนหนึ่งของประเทศไปอย่างผิดกฎหมาย

“ตั้งใจเตรียมการกันก่อนเถอะ”

“ครับรองประธาน”

มินชานกับเฮมินมองหน้ากันอย่างยุ่งยากใจ ทำไมเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้? พวกเขาก็แค่อยากได้งานทำหลังออกจากกิลด์แฮมเมอร์...

พวกเขาเริ่มจากกิลด์เล็กๆที่มีสมาชิก 5 คน เวลาแค่ไม่กี่เดือน...

“อย่างน้อยพวกเราก็พาครอบครัวมาได้”

“จริง”

ครอบครัวของวูจิน ซุงกูและฮีซอลย้ายเข้ามาในอลันดาล พนักงานทุกคนสามารถพาครอบครัวเข้ามาได้ ตอนนี้พวกเขามีคนเกือบ 500 คน

“เขาจะออกมาก่อนการประชุมกิลด์ไหมครับ?”

“น่าจะนะ”

สมัชชากิลด์เกาหลีมีกิลด์แฮมเมอร์เป็นผู้จัด แต่วูจินเป็นคนเรียกร้องให้เกิดการประชุมนี้

“ถ้าเราไม่ออกจากกิลด์แฮมเมอร์ ตอนนี้เราจะทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้นะครับ?”

จุงมินชานขมวดคิ้วเมื่อคิดตาม จากนั้นเขาก็ยิ้ม

“นายคิดว่าทำอะไรล่ะ? เราคงด่าคังวูจิน เตรียมงานประชุมกิลด์ ฉันก็ยังเป็นหัวหน้าทีมนายก็ยังเป็นลูกน้องฉัน”

“ฮุๆ มาคิดดูพวกเรานี่ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ระดับชักนำเกาหลี...ไม่ใช่สิ ชักนำโลกได้แล้วเหรอ?”

“ใช่ เราทำได้ดี ประสบความสำเร็จซะจนฉันเริ่มกลัว”

นี่ไม่เรียกว่าเร็วแล้ว นี่เป็นการเลื่อนขั้นฟ้าผ่า

ตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือของมินชานก็ดังขึ้น เขารับเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของวูซุงฮุน

“กรรมการวู”

[ท่านประธานออกมาแล้วครับ เรากำลังกลับออฟฟิศ ท่านต้องการรายชื่อดันเจี้ยนที่ยังไม่ถูกเคลียร์]

“รู้แล้ว คุณพาท่านกลับมาดีๆ”

[ไม่ต้องห่วงครับ]

จำนวนนักข่าวที่รออยู่ใกล้ๆมีไม่น้อย รวมถึงองค์กรศาสนาที่มาประท้วง เขารู้นิสัยวูจิน ถ้าวูจินปะทะกับผู้ประท้วงจะสร้างความเสียหายแบบกู่ไม่กลับ ความเห็นสาธารณชนเลวร้ายลงถึงขั้นนี้เลย

“ประธานกำลังมา รีบเข้า แล้วเตรียมรายงานด้วย”

“ครับ!”

ครู่ต่อมา มินชานกับเฮมินไปรับวูจินตรงที่จอดรถ

“นายไม่ต้องออกมาก็ได้ มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นไหม?”

แน่อยู่แล้ว มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น

“ความคิดเห็นของคนทั่วไปไม่ดีเลย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลก็แสดงความไม่เห็นด้วย”

“ทำไม?”

“พวกเขาไม่สบายใจเรื่องการลอบสังหาร”

“ฉันฆ่าพวกที่สมควรตาย ผิดตรงไหน?”

ตรงระดับความรุนแรง มันเกินไป...

คนต้องทำตามกระบวนการของกฎหมาย ขึ้นศาลและตัดสินโทษ แน่นอนโทษไม่ถึงขั้นประหารชีวิต แต่สิ่งที่วูจินทำเป็นการฆาตกรรม ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

วูจินขมวดคิ้ว

“งั้นก็ไม่ต้องทำสนธิสัญญา”

“อะไรนะ?”

มินชานไม่เคยเห็นวูจินกลับคำพูดมาก่อน เขาจึงถามอย่างงุนงง

“ท่านจะยกเลิกประกาศตั้งประเทศหรือ?”

“เราแค่ไม่ทำสนธิสัญญากับเกาหลี”

“...”

“พวกเขาเป็นฝ่ายเสีย ไม่ใช่ฉัน”

ถ้าอย่างนั้นเขาคิดจะทำอะไร?

เขาคิดจะทำอะไรหลังจากตั้งประเทศใหม่ใจกลางเมืองโซล?

“ฉันไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากพวกอวดดีพวกนั้น”

“...ถ้าท่านไม่เซ็นสัญญากับเกาหลีใต้ก็ไม่มีการติดต่อซื้อขายนะ”

ดันเจี้ยนมากมายในเกาหลีจะถูกห้ามเข้า สาธารณูปโภคอย่างไฟฟ้าน้ำประปาจะถูกตัด

พวกเขาจะกลายเป็นผู้อพยพที่ติดอยู่ในที่ดินเล็กๆของโซล

“หรือฉันจะยึดเกาหลีดี”

“เอ้ย อย่านะ”

มินชานผงะ จากนั้นเขาโต้กลับคำพูดของวูจิน

หรือนี่จะเป็นสถานการณ์แบบสุดกู่ได้ปลุกความสามารถที่หลับใหลของคนขึ้นมา? มินชานเร่งหาวิธีแก้ไขอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ใช้รัฐบาลสหรัฐไหม?”

“อเมริกา? ฉันบอกนายแล้วนะว่าฉันไม่ไปไหน”

เขาต้องปกป้องสถานีโซลทางออกที่ 1 นี่เป็นดันเจี้ยนที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตมิติของเขา

“เราขอให้รัฐบาลสหรัฐกดดันรัฐบาลเกาหลี”

วูจินเอียงคออย่างสงสัย

“จะได้ผลเหรอ?”

“ได้ผลสิ...”

มินชานมีสีหน้าขมขื่น มันฟังบ้าบอคอแตกแต่นี่คือความจริง

วูจินสามารถใช้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาได้ มีคนผู้หนึ่งในเกาหลีที่เป็นสื่อกลางได้

“เมโลดี้อยู่ไหน?”

“อยู่กับน้องสาวท่าน”

“นำทางที แล้วก็ปรินท์รายชื่อดันเจี้ยนที่ยังไม่ถูกเคลียร์ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”

“ครับ”

ซุงฮุนนำทางวูจินไปยังห้องสำหรับพักอาศัย ชั้น 1 ทั้งชั้นถูกตกแต่งเหมือนอยู่ในบ้าน

ครอบครัวของสมาชิกกิลด์อลันดาลพักที่นี่ ครอบครัววูจินเป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาผ่านประตูห้อง 101 เข้าไปในส่วนพักอาศัยที่เหมือนห้องสะอาดในโรงแรม

แม่ของวูจินกำลังนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย พอนางเห็นวูจินก็ลุกพรวด

“วูจิน”

“หา? เกิดอะไรขึ้น?”

ลีซูกยุนร้องไห้เมื่อเห็นลูกชาย

“โซอา...”

“โซอาเป็นอะไรครับ?”

วูจินตกใจ

“โซอาชักอีกแล้ว ฮือ”

เขากอดแม่แน่น

“โซอาอยู่ไหนครับ?”

“อยู่อีกห้อง สตรีศักดิ์สิทธิ์ดูแลอยู่”

“ไม่เป็นไรแม่ น้องจะไม่เป็นไร”

วูจินปลอบใจแม่ระหว่างรอเมโลดี้ออกมา หลังผ่านไปครู่หนึ่งเมโลดี้ก็เดินออกมา เธอสะดุ้งเมื่อเห็นวูจิน เธอโค้งตัวทักทาย

“อาการของน้องสาวคุณคงที่บ้างแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ”

ลีซูกยุงคว้ามือสตรีศักดิ์สิทธิ์และพูดขอบคุณไม่หยุด วูจินมองเมโลดี้แล้วพูด

“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”

“ค่ะ ผู้ไม่ตาย”

“มาที่ห้องประธาน”

เขาไม่สะดวกใจจะคุยต่อหน้าแม่ วูจินจึงออกมาก่อน หลังจากออกจากห้อง ดวงตาของเขาสื่ออารมณ์หลากหลาย



สารบัญ                                                           บทที่ 124




วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 122

บทที่ 122 – ผู้มาเยือนจากจาคุ (2)


หลังกลุ่มของรีลิค วูจินไม่คิดว่าจะมีผู้มาเยือนอีกมากนัก เขาสามารถใช้อุโมงค์กลับได้สามครั้งจึงตัดสินใจไปเคลียร์ดันเจี้ยนระดับสูง

หลังจากดันเจี้ยนเสานีเซียถูกรีเซ็ท อลันดาลก็เชื่อมต่อกับโลกจาคุ วูจินกังวลว่าคนจากโลกจาคุจะแห่กันเข้ามาในดันเจี้ยนของเขา แต่แขกที่คาดไม่ถึงกลับมาหา

“นี่...”

วูจินส่ายหน้า

“มีวิธีแบบนี้ด้วยแฮะ”

คนจากโลกจาคุไม่ใช่พวกเดียวที่เข้ามาในดันเจี้ยนของวูจิน พูดให้ถูกคือโลกจาคุตกอยู่ใต้อิทธิพลของทราห์เน็ตไปแล้ว

คงมีลอร์ดมิติหลายร้อยคนที่ครอบครองดันเจี้ยนในโลกจาคุ เสานีเซียอยู่ในการครองครองของอลันดาลและลอร์ดมิติที่อยู่ดินแดนใกล้เคียงก็มุ่งเป้ามาที่อาณาเขตของเขา

<ลอร์ด ‘เดรด’ มาเยี่ยมเยือน>

“เขาอีกแล้ว”

ในสงครามระหว่างลอร์ด มีตัวเลือกให้เลือกหลายข้อ

ผู้มาเยือนคนล่าสุดที่เข้ามาในดันเจี้ยนของวูจินทำให้เขาเข้าใจข้อความที่โผล่ขึ้นมาตอนเข้าทุ่งของจูเลียล

ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร

<คุณได้เข้าสู่ทุ่งจูเลียล>

<คุณไม่มีดินแดนในครอบครอง ไม่สามารถเลือกโหมด ต่อสู้ และ เรียนรู้>

<คุณสามารถเลือกระหว่าง เยี่ยมเยือน แทรกซึม และ พิชิต>

ตอนนั้นวูจินยังไม่มีฐานะเป็นลอร์ด เขาจึงไม่สามารถเลือกท้าดวลหรือสงครามมิติ นั่นเป็นตัวเลือกสำหรับลอร์ด

ถ้าเป็นผู้มาเยือนแบบเผ่าราทิค ทางเลือกเดียวคือพิชิตดันเจี้ยน วูจินเลือกพิชิตทุ่งจูเลียล ส่วนแขกไม่ได้รับเชิญเลือกเยี่ยมเยือน

ถ้าไม่อยากสู้ก็สามารถเลือกเข้ามาอย่างสันติ แต่ถ้าเจ้าของดินแดนปฏิเสธ ตัวเลือกเยี่ยมเยือนก็จะใช้ไม่ได้ ลอร์ดที่มาเยือนต้องเลือกแทรกซึมแทน

แต่อาณาเขตของวูจินมีคนน้อยเกินไป ต่อให้แทรกซึมเข้ามาก็จะถูกพบได้ทันที

“เจ้านาย! ปลาหมึกน่าเกลียดนั่นมาอีกแล้ว!”

“รู้แล้ว”

ปลาหมึกยักษ์ชื่อว่าเดรดปรากฏหน้าทางเข้าอาณาเขต บิบิโวยวายใหญ่

“พาเขามาที่นี่”

ไม่นานทหารออร์คก็นำเดรดเข้ามา ร่างกายของเดรดใหญ่เท่าวัว หนวดปลาหมึกยาวค้ำจุนร่าง หนวดปลาหมึกเต้นตุบๆ บิบิมองแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น

“ทำไมกลับมาอีกแล้วล่ะ?”

“ครืด เพื่อนบ้านมาเยี่ยมทำไม? ก็เพราะต้องการจะสานไมตรีต่อกันใช่ไหม?”

“ถ้านายกลับมาอีก ฉันจะทำลายดันเจี้ยนนายตอนประตูเปิด”

ตัวของเดรดหงิกไปเมื่อได้ยินวูจินประกาศสงคราม

“ครืด อย่าโมโหสิ เกือบลืมว่ามีของขวัญให้เจ้า ข้ามาเพื่อมอบของนี่ให้”

นี่เป็นการเยี่ยมครั้งที่สาม ทุกครั้งที่เขามาเขาจะเอาของขวัญมาเป็นข้ออ้างไม่ให้ถูกปฏิเสธการเยี่ยม

ของขวัญที่เขาเอามามีประโยชน์ วูจินจึงไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่รับ เรื่องที่เขาคุยกับลอร์ดคนอื่นได้โดยไม่สู้กันเป็นเรื่องน่าประหลาดทีเดียว

หนวดปลาหมึกของเดรดคลี่ออกและส่งของให้ มันเป็นตุ๊กตาไม้หน้าตาเหมือนโมอายบนเกาะอีสเตอร์

“นี่คืออะไร?”

“ครืด มันเป็นรูปสลัก เร่งการเติบโตของพลังงาน”

“ขอบใจ”

วูจินรับเสาแกะสลักมาและใช้เวทย์ส่อง

<พรของพอชคา>

เมื่อวางไว้ที่ปราสาทลอร์ด อัตราผลผลิตของต้นไม้เลือดจะเพิ่มขึ้น 1%

ความสามารถอาจจะน้อยไปบ้าง แต่วูจินพอใจที่รู้ว่ามีไอเทมแบบนี้อยู่ด้วย

“ครืด”

เดรดมองวูจินแปลกๆ นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เดรดแสดงความเป็นมิตรแต่มนุษย์หน้าหนานี่รับของขวัญเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อะไร? ให้เสร็จแล้วก็ไปสิ”

“...”

เดรดยืนอึ้งไปแล้วก็อดพูดออกมาไม่ได้

“ครืด เจ้าควรจะตอบแทนอะไรบ้างสิ?”

“...”

วูจินลูบคาง เขารู้ว่าเจ้านี่ให้ของขวัญเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง วูจินตัดสินใจว่าอย่างน้อยจะฟังเขาพูด

“ก็ได้ กินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”

เดรดเต้นอย่างดีใจ ร่างของเขาเลื้อยขึ้นลง บิบิตกใจแล้วหลบไปข้างหลังวูจิน

“ยอดเยี่ยม”

“อืม รอเดี๋ยวนะ”

วูจินซื้อของจากร้านค้าของมิติ โต๊ะตัวใหญ่ไปปรากฏในปราสาท

“อยากกินอะไร?”

“ครืด เจ้าเป็นคนเชิญก็แล้วแต่เจ้าภาพเถอะ”

วูจินไม่ได้เชิญ แต่ในฐานะเจ้าของอาณาเขต วูจินจึงเลือกเมนูอาหาร อาหารเกาหลีดีไหมนะ?

มันมีทุกอย่างจากหลายมิติ... สมเป็นร้านค้าของมิติ เขาสามารถซื้ออาหารเกาหลีได้ตามต้องการ อยากกินของเผ็ดๆจัง... วูจินมองเมนูอาหารที่คุ้นเคยแล้วเผลอพูดที่คิดในใจออกมา

“นักจีบกกึม? (ปลาหมึกผัด)”

“มันคืออะไรหรือ? ครืด”

เดรดถามอย่างสนใจ

เดรดถือปลาหมึกเป็นสายพันธุ์เดียวกันหรือเปล่านะ? วูจินส่ายหน้า ถ้าเป็นเขา เขาคงรู้สึกแย่

“เปล่า ไม่มีอะไร”

วูจินเลือกอาหารในหมวดอาหารสำหรับงานเลี้ยง...

วิ้ง วิ้ง

วูจินยักไหล่เมื่อเห็นอาหารหลายจานปรากฏบนโต๊ะ ความสะดวกแบบนี้เห็นจะมีแต่ในนิทาน

มีอาหารที่เขาเคยกินที่โลก ผลไม้จากอัลเฟนและอาหารจากโลกไหนก็ไม่รู้

มีส้มอยู่ใกล้มือวูจิน เขาปอกเปลือกกิน

“ครืด เจ้าเป็นเจ้าภาพที่ใจกว้างนัก”

เดรดใช้หนวดหยิบอาหารเข้าปาก

วูจินกลืนส้มพลางมองเดรด เดรดเหลือบมองวูจิน

“ข้าอายจนปุ่มดูดของข้าหงายขึ้นหมดแล้ว ครืด”

“เลิกพูดอ้อมค้อมน่า นายต้องการอะไร”

“...”

เดรดหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก ท่าทางแบบนั้นดูตลกดี บิบิหันไปทางอื่นเหมือนกลัว

“ครืด เจ้ารู้เรื่องกลุ่มอำนาจบนโลกจาคุหรือไม่?”

“รู้”

“หืม?”

“มีเผ่าพื้นเมืองราทิค แล้วก็สหพันธ์หมวกดำ,สหพันธ์ค้อนแดงและสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง”

“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?ครืด”

เดรดประหลาดใจจริงๆ นี่คือลอร์ดใหม่ที่ไม่แม้แต่เชื่อมต่อประตูของเขากับโลกจาคุ

วูจินยิ้ม

“ฉันมีแหล่งข่าวดี”

“โอ้ ดูเหมือนจะมีคนมาที่นี่เร็วกว่าข้า”

เดรดเอียงศีรษะลง บนศีรษะเขามีรอยสักกิ้งก่าเหลืองเล็กๆ

“ข้าไม่รู้ว่าใครมาเยี่ยมเจ้า แต่ข้ามาจากสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง ข้าติดตามเกรทลอร์ดราชาคอย”

“แล้ว?”

“มาเข้ากลุ่มของเราไหม? ครืด”

“ทำไม?”

“เจ้าจะปกป้องอาณาเขตตามลำพังได้ยังไง? เราต้องรวมพลังกัน”

“ฉันป้องกันคนเดียวได้ ทำไมต้องรวมพลังกับพวกนาย?”

“...”

“อีกอย่าง มีกลุ่มอำนาจ 4 กลุ่มไม่ใช่เหรอ?”

“ครืด เผ่าราทิคเป็นเหยื่อ”

ลอร์ดมิติคิดกับเผ่าพื้นเมืองแบบนั้นเหรอ? ตามที่เขาสังเกตจากลอร์ดของทราห์เน็ตบนอัลเฟน สหพันธ์ที่เหลืออยู่ของอัลเฟนคงถูกมองเป็นแค่เหยื่อ

ดูเหมือนลอร์ดมิติบนโลกจาคุจะแบ่งเป็นสามกลุ่มและกำลังแย่งอำนาจกันอย่างเข้มข้น คนพื้นเมืองถูกล่าตามใจและถูกเห็นเป็นแค่เกม

ที่ไม่สังหารหมดคงแค่เพื่อไม่ให้เหยื่อสูญพันธุ์

“ฉันไม่ชอบแฮะ”

วูจินมองตัวเองเป็นคนบนโลกไม่ใช่ลอร์ดมิติ เขาจึงรู้สึกรังเกียจคำพูดของเดรด

“ครืด สหพันธ์ของเราแข็งแกร่งที่สุด ข้ามาชวนเจ้าเพราะดันเจี้ยนของเราอยู่ใกล้กัน”

วูจินส่ายหน้า

“ดันเจี้ยนบนโลกจาคุมีเท่าไหร่?”

“172 แห่ง”

“หา?”

วูจินประหลาดใจ

“ทำไมน้อยนัก?”

“หา? หมายความว่ายังไงน้อย? โลกส่วนใหญ่ก็มีประมาณนี้”

“...”

วูจินขมวดคิ้วเอามือกดขมับ บนโลกมีดันเจี้ยนกี่แห่ง? สถานีรถไฟใต้ดินแต่ละแห่งมีสองดันเจี้ยน

บนโลกมีสถานีรถไฟใต้ดินกี่แห่ง...

ปัญหาคือจำนวนดันเจี้ยนบนโลกสูงผิดปกติ เขาคิดถึงดันเจี้ยนจำนวนมหาศาลที่มีลอร์ดมิติอยู่ยั้วเยี้ยแล้วผงะ

มาคิดดู อัลเฟนก็ไม่ได้มีดันเจี้ยนมากขนาดนี้เหมือนกัน

“ครืด ว่ายังไง? อยากเข้าร่วมกิ้งก่าเหลืองไหม? ถ้าเจ้าได้เห็นคุณราชาคอยเจ้าต้องมาเข้ากับเราแน่”

“ไม่ล่ะ ฉันไม่มีทางเข้าร่วมกับพวกนาย”

เดรดตัวสั่นเมื่อวูจินปฏิเสธเด็ดขาด

“ครืด ดูเหมือนเจ้าคิดจะเข้าร่วมกลุ่มอื่นไปแล้ว”

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดจะเข้าข้างไหน”

ตัวเดรดสั่นไหวๆ

“ครืดๆ เจ้าพูดตลก คิดจริงหรือว่าจะปกป้องอาณาเขตได้ด้วยตัวคนเดียว?”

“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?”

เขาแค่จัดการทุกคนที่บุกเข้ามา วูจินวางกองกำลังในดันเจี้ยนไว้มากมาย เขายังมีอสูรที่แข็งแกร่ง

“ครืด เจ้าคิดเหมือนลอร์ดมือใหม่ ถ้าเจ้ามีประตูสองบาน เจ้าก็ปกป้องได้แค่บานเดียว แล้วถ้าเจ้ามีสาม? สี่ล่ะ?”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว ดันเจี้ยนของเขาบนโลกก็เหมือนดันเจี้ยนร้าง ไม่มีใครกล้าเข้าดันเจี้ยนของเขา แต่ถ้าเป็นดันเจี้ยนบนโลกอื่นเหมือนเสานีเซียล่ะ?

‘ฉันคงป้องกันได้แค่ที่เดียว’

ตอนนี้วูจินเข้าใจแล้ว เขาถามเดรด

“ถ้ามีคนเข้าดันเจี้ยนสองแห่งนายทำยังไง?”

“ครืด เจ้าเป็นลอร์ดมือใหม่จริงๆ ไม่รู้อะไรเลย”

ตัวเดรดสั่นครืดๆระหว่างจ้องวูจินเขม็ง

“ถือว่านี่เป็นน้ำใจครั้งสุดท้ายจากข้า ข้าจะตอบให้ อาณาเขตมีจำนวนเท่ากับดันเจี้ยน แต่ละดันเจี้ยนต้องการผู้ดูแลดันเจี้ยนที่เข้มแข็ง เจ้าต้องมอบหน้าที่จัดการดันเจี้ยนให้พวกเขา ถ้าพวกเขาตายเจ้าก็เสียดันเจี้ยนนั้นไป”

ระดับต่ำกว่าลอร์ดมิติคือเจ้าของดันเจี้ยน

พวกเขาถือเป็นข้ารับใช้ของลอร์ด มีหน้าที่ต่อต้านผู้บุกรุกที่เข้ามาในอาณาเขตมิติ

มอนสเตอร์ระดับบอสที่วูจินเจอล้วนแต่เป็นผู้ดูแลดันเจี้ยน เจ้าของดันเจี้ยน

“ครืด เพราะเจ้าเป็นลอร์ดใหม่ไม่รู้อะไรเลยถึงได้คิดแบบนี้ ครืด รอเจ้าตายสักสองสามครั้งเจ้าจะเปลี่ยนความคิด”

ถ้าตายในการดวลหรือแพ้ในสงครามมิติ เขาจะเสียพลังงาน สุดท้ายเขาจะเริ่มร้อนใจ

ถึงตอนนั้นเขาจะรู้ว่าสหพันธ์สำคัญ

“ครืด คิดให้ดี”

เดรดคิดว่าท่าทางมั่นใจของวูจินคงอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายเขาจะมาหาเดรดเพื่อขอให้แนะนำเขากับราชาคอย

เดรดขยับหนวดกลับไปยังอาณาเขตของตน

“ฮึ้ย ปลาหมึกน่าแหยงชะมัด”

บิบิพูดอะไรออกมาไม่ได้สักคำตอนเดรดอยู่ แต่เมื่อเขาไปเธอก็ตะโกนออกมา

วูจินมองของเหลวเหนอะหนะจากร่างเดรดที่ติดบนพื้น

‘พวกลอร์ดมิติ’

พวกลอร์ดมิติกำลังทำสงครามไม่รู้จบ

เป้าหมายของทราห์เน็ตคืออะไร? ทำไมเขาจึงสร้างเกมแบบนี้?

ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่เขาก็ตอบไม่ได้

“หวังว่าจะไม่มาอีกสักพักนะ”

บิบิทำหน้าขยะแขยง ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบเดรดเอามากๆ ในเมื่อเขาบอกวูจินแล้วว่าต้องการอะไร เดรดคงไม่มาเยี่ยมวูจินอีก

“ต่อไปปฏิเสธคำขอเยี่ยมจากลอร์ดให้หมด”

“ถ้าพวกเขาแฝงตัวเข้ามาล่ะ”

“ฆ่า”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

เมื่ออาณาเขตมิติของวูจินประสานกับโลกจาคุผ่านทางเสานีเซีย ดันเจี้ยนจะทำหน้าที่เป็นประตู เขาเหลือเวลาอีก 30 วัน

วูจินต้องเตรียมตัวให้พร้อมสู้กับลอร์ดมากมายบนโลกจาคุ

“ฉันต้องเพิ่มเลเวลอีกหน่อย”

ลิชจานิซ จอมเวทย์ของโลกอัลเฟน

เขาคือพลังเวทย์แข็งแกร่งที่สุดที่วูจินมี เขายังเป็นครูคนแรกของวูจิน พวกเขาใกล้จะได้เจอกันแล้ว



สารบัญ                                             บทที่ 123


อ่านตอนวูจินเลือกเมนูแล้วซึ้ง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยแฮะ :’)


วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 121

บทที่ 121 – ผู้มาเยือนจากจาคุ


<คุณได้รับดันเจี้ยน เสานีเซีย เป็นรางวัลจากการดวล>

<คุณได้รับ 30,000 แต้มเป็นรางวัลจากการดวล>

<คุณเริ่มการลงโทษของผู้แก้แค้น>

<คุณได้ 10,000 แต้มที่เสียไปคืนมา>

<คุณได้ไอเทมที่ถูกปล้นไปคืนมา>

วูจินยิ้มให้กับประกาศที่ขึ้นมาเรื่อยๆ

ดวลกับสงครามมิติมีเดิมพันขั้นต่ำที่ 10,000 แต้ม ต่างกันแค่จะสู้ด้วยพลังของอาณาเขตหรือพลังส่วนตัว
เขาได้ 20,000 แต้มเพิ่มจากที่ลงเดิมพันไป และได้ 10,000 แต้มที่เสียไปตอนแพ้สงครามคืนมา

<คุณเริ่มใช้สิทธิ์ของผู้ชนะ>

<กรุณาเลือกระหว่างปล้นห้องเก็บของหรือปล้นอาณาเขต>

การปล้นมี 2 แบบ วูจินเลือกปล้นอาณาเขต

<คุณยึดบึงของโคโมดได้ 5%>

<คุณได้เชลยศึก 17 คน>

<คุณยึดบลัดสโตน 700 แต้ม>

<คุณยึดกระท่อมสองหลังและลานฝึกหมาป่าหนึ่งแห่ง>

ของที่ยึดได้ถูกเก็บไว้ในคลังและสามารถเอาออกมาได้ด้วยเมนูจัดการไอเทมที่ถูกปล้น ไม่นานก็มีประกาศจบการดวล วูจินรู้สึกตัวลอยและภาพเบื้องหน้าก็เบลอไป

“ฮู่ว”

เมื่อภาพเบื้องหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง วูจินก็กลับมาที่บัลลังก์

“อ๊ะ เจ้านาย อยู่ๆก็หายไปอยู่ๆก็หวนมา”

ในการดวล ไม่แค่สติที่ถูกเรียกไป ร่างกายของวูจินก็ถูกย้ายไปด้วย

“อืม รอเดี๋ยว”

หน้าต่างจัดการไอเทมที่ถูกปล้นไม่หายไปจากเบื้องหน้าวูจิน เขาจึงดึงไอเทมออกมา

<อาณาเขตอลันดาลขยายเพิ่ม 4%>

เขามองแผนที่ใหญ่ของอลันดาล ส่วนตะวันตกมีบึงเพิ่มเข้ามา ดินแดนของเขาขยายใหญ่ขึ้น วูจินหยิบสิ่งก่อสร้างที่ปล้นมา มันเหมือนตอนสร้างร้าน เขาเลือกได้ว่าจะวางสิ่งก่อสร้างไว้ตรงไหนโดยเลือกจากแผนที่

วูจินวางลานฝึกหมาป่าไว้ใกล้ลานฝึกทหารแบบอื่นๆ ส่วนกระท่อมค่อนข้างแปลกตาถูกวางตรงเขตที่พักอาศัย

เมื่อหยิบบลัดสโตนออกมา มันก็ถูกเพิ่มไปในแต้มพลังงานของดันเจี้ยน จากนั้นเขาเรียกเชลยศึกออกมา

“อืม”

วูจินคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับโทรล 17 ตนตรงหน้า

พวกเขามองรอบๆอย่างวิตกและหวาดกลัว แต่ไม่ประหลาดใจ ประชากรในอาณาเขตถูกแย่งชิงเป็นเรื่องธรรมดา

หนึ่งในเชลยศึกคุกเข่าลงแล้วพูด

“โอ ลอร์ด พวกเราจะกลับไปยังบ้านเกิดของเราหลังจากไถ่ค่าตัวแล้ว”

ประชากรในอาณาเขตไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อลอร์ดกันทุกคน

ไม่ว่าจะถูกใช้งานในฐานะนักโทษหรือถูกเอามาเป็นประชากร สักวันพวกเขาจะสร้างปัญหา บ้างก็ตั้งกลุ่มเป็นนักรบรับจ้างเร่ร่อนไปตามมิติต่างๆ

บางครั้ง ประชากรและผู้เร่ร่อนจ้องจะเอาชีวิตของลอร์ด เพราะเหตุนี้อาณาเขตจึงต้องมีกองทหาร ป้องกันการโจมตีจากผู้มาเยือน ผู้บุกรุกและกบฏ

วูจินมีประชากรเพียง 100 คนเขาจึงเก็บนักโทษ 17 คนนี้ไว้ไม่ได้ เขาไม่อยากเอามาเป็นประชากรด้วย

วูจินไม่คิดต่อ เขายอมรับข้อเสนออย่างเต็มใจ

“ได้ มีเท่าไหร่ส่งมาให้หมด”

พวกเขาส่งบลัดสโตนราว 300-400 ก้อนแล้วออกจากอาณาเขตไป

“เขาเป็นไงมั่งเจ้านาย?”

“ใคร?”

“ลอร์ดที่เจ้านายท้าดวลน่ะค่ะ”

“อ่อนมาก”

“งืม”

เธอแพ้ให้กับคนพรรค์นั้น บิบิไหล่ตกหน้าเศร้า

“บิบิ เธอทำได้ดีแล้ว”

“เราแพ้...”

“ไม่เป็นไร เธอทำได้ดี ฉันจะให้เธอใช้ 2,000 แต้มแล้วกัน”

“จริงเหรอ? เจ้านายดีที่สุดเลย!”

วูจินยิ้มกว้างขณะแบ่งพลังงาน 2,000 แต้มให้บิบิ บิบิกระโดดไปรอบๆอย่างดีใจ เธอทำหน้าประสงค์ร้ายและกำหมัดแน่น

“คราวหน้าเราจะชนะ! พรุ่งนี้เอาอีกไหมคะ?”

“ไม่ ตอนนี้ยังมีเวลาเราจะอยู่เฉยๆก่อน”

ช่วงคุ้มครองมีระยะ 12 วัน หรือ 3 วันตามเวลาข้างนอก ถ้าเขาท้ารบช่วงคุ้มครองจะหายไป แม้จะทำได้แต่เขาไม่อยากสู้ในสงครามไม่มีจบสิ้น

อันดับอาณาเขตขึ้นอยู่กับจำนวนพลังงานที่มี การเพิ่มอันดับจึงไม่ยากนัก เรื่องด่วนที่สุดสำหรับวูจินคือเพิ่มเลเวลให้ตัวเอง

เมื่อเขาสู้กับบัลลังก์ทั้ง 72 อย่างน้อยเขาก็อยากให้พลังคืนมาเท่าสมัยก่อน

โลกยังถูกเชื่อมต่อไม่สมบูรณ์ พลังของพวกมันจึงมีจำกัด แต่พวกมันในสงครามมิติคงสามารถใช้พลังได้เต็ม 100%

ดังนั้นวูจินต้องการพลังคืนมา ตั้งแต่ลิชเจนิซถึงมังกรกระดูกรงรง วูจินต้องการทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องเพิ่มเลเวลให้อัศวินมรณะและเพิ่มจำนวนโครงกระดูก

“ไหนดูซิ...”

วูจินมองดันเจี้ยนที่เพิ่งได้มา

เสานีเซียของโลกจาคุ

บนโลก วูจินสามารถใช้อิทธิพลห้ามไม่ให้ใครเข้าดันเจี้ยนของเขา แต่ที่จาคุเขาทำแบบนั้นไม่ได้

จะมีเราส์นับไม่ถ้วนเข้ามาในดันเจี้ยนของเขาเพื่อเคลียร์ เขาต้องเตรียมตัวเอาไว้

วูจินใส่พลังงานให้ดันเจี้ยนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปลี่ยนรีเซ็ทมอนสเตอร์เป็นทหารโครงกระดูกกับนักเวทย์โครงกระดูก จำนวนโครงกระดูกที่ส่งไปแค่พอให้จัดการกับผู้บุกรุก เขาต้องจำกัดพลังงานสำหรับฟื้นจำนวนมอนสเตอร์ลง

“ไหนดูซิว่าไอ้เวรที่ไหนจะเข้ามา”

วูจินเคยแต่เคลียร์ดันเจี้ยน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะถูกท้าทายในฐานะเจ้าของดันเจี้ยน ผ่านไปครู่หนึ่ง เราส์ของโลกจาคุก็เหยียบย่างเข้ามาในดันเจี้ยนเสานีเซีย

<’เสานีเซีย’กำลังถูกโจมตี>

<โลกจาคุกับอาณาเขตมิติเริ่มการประสานกัน คุณเหลือเวลาอีก 30 วัน>

หลักฐานมิติสีม่วงชิ้นหนึ่งถูกวางบนแท่นบูชาหลังบัลลังก์ หินรีเทิร์นสโตนสีเขียวก่อตัวขึ้นข้างๆกัน

***

พวกเขามีร่างสูงยาว หูกว้าง เป็นเผ่าพันธุ์มีสองเท้าผิวสีน้ำเงิน

พวกเขาห่มหนังสัตว์แค่พอปิดร่างกาย เผ่าราติค 7 ตนเข้ามาในดันเจี้ยน

“พวกศพหุ่นเชิด ทุบหัวมันพอ”

รีลิค หัวหน้ากลุ่ม เป็นนักรบที่โดดเด่นของเผ่า

เขาเข้าร่วมสงครามเมื่อเดินได้ เขาเป็นนักรบมากประสบการณ์ รู้ว่าจะกำจัดพวกโครงกระดูกได้อย่างไร

ลูกน้องของเขาล้วนเป็นนักรบมีประสบการณ์ของเผ่า

เสานีเซียมีรูปทรงเหมือนถ้ำกลม ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียง 30 นาทีในการกวาดล้างดันเจี้ยน

รีลิคพึมพำขึ้นมาเมื่อเห็นอุโมงค์สีแดงก่อตัวขึ้น

“มันเป็นดันเจี้ยนสวรรค์ เตรียมตัวกันให้ดีก่อนเข้าไป”

เผ่าราติค 7 คนเตรียมตัวเต็มที่เมื่อผ่านอุโมงค์สีแดงไป หลังความมึนงง พวกเขามาถึงดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ไม่มีมอนสเตอร์อยู่รอบๆ

“ระวังตัว”

ในดันเจี้ยนสวรรค์ไม่อาจทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และดันเจี้ยนนี้เพิ่งถูกรีเซ็ท พวกเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมัน ถ้าพวกเขาพิชิตมันได้ ที่นี่จะกลายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพวกเขา

โลกจาคุไม่เหลือแหล่งพลังงานอะไรที่มีค่าเท่าบลัดสโตนแล้ว

“มีริโนเซรอสหุ้มเกราะ”

รีลิคเห็นฝูงริโนเซรอสอยู่ไกลๆ เขาส่งสัญญาณให้นักรบเผ่าราติค สัตว์ชนิดนี้ก็มีในโลกจาคุเช่นกัน

เหล่านักรบมุ่งหน้าไปทางริโนเซรอสแต่แล้วพวกเขาก็หยุดชะงัก

เสียงร้องที่ทำให้หนาวเยือกแล้วพวกไวเวิร์นก็ปรากฏบนท้องฟ้า พวกมันคือความน่ากลัวของท้องฟ้า

“มังกร!”

เหล่านักรบรีบหาที่กำบัง ที่นี่เป็นทุ่งร้างแต่ยังพอมีต้นไม้และหินใหญ่ให้พวกเขาหลบ

“รัคชา!”

รีลิคตะโกน นักเวทย์รัคชาเตรียมตัวเสร็จแล้ว เธอขยับนิ้วเหมือนกำลังดีดเครื่องดนตรี สายฟ้าปรากฎขึ้นแล้วพุ่งใส่ไวเวิร์น

สายฟ้าระเบิดเมื่อโจมตีถูกไวเวิร์น มันตาเหลือกแล้วร่วงลงมา แต่ยังเหลือพวกมันอีก 8 ตัว ฝูงไวเวิร์นต้องโจมตีเธอก่อนจะใช้เวทย์ครั้งถัดไปแน่

“เอ๊ะ? มีคนขี่ เตรียมตอบโต้คนขี่!”

บนไวเวิร์นตัวหนึ่งมีอานและมีคนนั่ง มังกรป่าอันตราย แต่หากมีคนขี่จะยิ่งอันตรายกว่าเดิม

ถ้าคนขี่เป็นนักเวทย์ ไม่มีอะไรน่าอึดอัดไปกว่าการถูกเวทย์ยิงใส่จากบนฟ้าอีกแล้ว

แต่ คนขี่ไวเวิร์นหล่นลงมา

พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นลอยขึ้นมา คนที่กระโดดลงมาคือเจ้าของอาณาเขต คังวูจิน

“พวกนายมาจากโลกจาคุงั้นสิ”

คังวูจินซื้อยาเรียนภาษาของโลกจาคุ เขากินไป 7 เม็ดและภาษาของเผ่าราติคก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ยินดีต้อนรับสู่อลันดาล”

รีลิคเดินออกมาจากด้านหลังก้อนหิน

“บอกฐานะของเจ้ามา มนุษย์”

เขาถามเพราะดันเจี้ยนสวรรค์มีเจ้าของหลากหลายเผ่าพันธุ์ มนุษย์,โทรล,ออเกอร์,ฯลฯ

“ฉันเป็นบอสของที่นี่”

วูจินลดมือที่กอดอกลงแล้วชี้ที่พื้น

รีลิคฉวยโอกาสที่ศัตรูทำตัวตามสบาย ถ้าเขาสังหารบอสได้ ดันเจี้ยนก็จะเคลียร์ โดยธรรมชาติแล้วเมื่อการเชื่อมโยงระหว่างดันเจี้ยนและเจ้าของถูกตัดขาด ดันเจี้ยนจะกลายเป็นเหมืองบลัดสโตน

“ฉันมีหลายเรื่องเกี่ยวกับโลกจาคุที่อยากรู้”

ฟังคำพูดของวูจิน รีลิคกระชับดาบในมือ มันเหมือนคูคริ ใบดาบโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว

“เชื่อว่าเจ้าไม่อยากคุยกับข้าดีๆ”

วูจินยิ้ม

“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าจะคุยกับนาย?”

“...!”

ควันดำก่อตัวรอบวูจิน อัศวินมรณะถูกเรียกออกมาทั้งหมด

“มันเป็นซัมมอนเนอร์!”

อสูรอัญเชิญเหล่านี้ปล่อยพลังมืดออกมารุนแรง

ผีดิบแต่ละตัวเปล่งรังสีของนักรบกล้า การปรากฏตัวของอัศวินมรณะทำให้นักรบเผ่าราติคช็อก พวกเขามีเพียง 7 คน ระดับความยากของดันเจี้ยนนี้สูงเกินไป

อัศวินมรณะมีมากกว่า 50 ตน

“ถอย!”

รีลิคตัดสินใจอย่างรวดเร็วและนักรบเผ่าราทิควิ่งหนีไปทันที พวกเขาต้องทิ้งระยะห่างก่อนใช้หินรีเทิร์น

“เอามาให้ฉันให้ได้สักคน”

[นี่คือการล่า!]

อัศวินมรณะเรียกม้าปีศาจออกมาทันที

[เจ้าจะพนันกับข้าไหม คิบะ?]

แรมสันพูดอย่างหนักแน่น คิบะที่นั่งบนหมาป่าปีศาจบ่น

[เล่นเป็นเด็กไปได้]

นักรบเผ่าราทิคหนีเร็ว แต่ไม่นานก็ถูกอัศวินมรณะล้อม รีลิคเหวี่ยงอาวุธในมือแต่มันไม่พอ อัศวินมรณะกดดันพวกเขาเหมือนกำลังล่ากวาง

‘ไม่จริง’

รีลิคเป็นนักรบกล้าของเผ่า ทั้งชีวิตอยู่แต่ในสนามรบ เขาพิชิตดันเจี้ยนมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจออะไรแบบนี้

บ้าสิ้นดี

ดันเจี้ยนมีเจ้าของมีบนโลกจาคุ เจ้าของปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งคราว พลังของเจ้าของดันเจี้ยนแข็งแกร่งมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสู้ไม่ได้

แต่นี่... พวกเขาไม่นับเป็นศัตรูด้วยซ้ำ

“...วิญญาณ...ราติ”

รีลิคคว้าหอกแทงเข้าหัวใจเขาพร้อมตะโกนคาถาครั้งสุดท้าย มันเป็นคาถาลับที่ทำให้เขารวบรวมพลังชีวิตทั้งหมดแล้วระเบิดตัวเอง

ดาบของอัล อัสสาดตัดศีรษะของรีลิคลงมา

วูจินใส่วิญญาณของรีลิคลงไปในหินกักอสูร มองอัล อัสสาดพลางหัวเราะ

“เตรียมรับน้องใหม่ได้”

อัล อัสสาดตัวสั่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเจอมา ความเจ็บซึมลึกเข้าไปในกระดูก แน่นอน สิ่งเดียวที่เขามีคือกระดูก...

“เอ๋? ทำไมมีแค่ 6 ล่ะ”

วูจินนับจำนวนศพแล้วมองรอบๆ อุโมงค์หนึ่งเปิดอยู่ตรงที่ๆไวเวิร์นหล่นลงมา

วูจินขมวดคิ้ว

“เชด หลบอยู่สินะ”

รัคชาใช้คาถาอำพรางตัวเธอแล้วผ่านอุโมงค์หนีออกจากดันเจี้ยนไป

เขาเสียไปคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่

วูจินได้วัตถุดิบทำอัศวินมรณะได้หนึ่งคน และจะมาเป็นไกด์ของโลกจาคุได้อย่างดี





                                   สารบัญ                                              บทที่ 122

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 120

บทที่ 120 – รบ (2)


<คุณวางเดิมพันขั้นต่ำเป็นแต้ม 10,000 หน่วย>

วูจินแค่อยากวางเดิมพันแต้ม 10% แต่ขั้นต่ำที่สุดที่เขาต้องวางเดิมพันคือ 10,000

<ศัตรูวางดันเจี้ยนเป็นเดิมพัน คุณต้องการรวม ‘สถานีโซล ทางออกที่ 1’ ในเดิมพันด้วยหรือไม่?>

“ไม่”

วูจินไม่อาจวางดันเจี้ยนเป็นเดิมพันในการต่อสู้ที่ไม่แน่ว่าจะชนะ เมื่อเขาปฏิเสธไป ศัตรูก็พยายามลงเดิมพันอย่างอื่นอีก ไอเทม เครื่องป้องกัน กระทั่งสิ่งก่อสร้างหลักในอาณาเขต วูจินปฏิเสธหมด

<สงครามมิติที่มีแต้ม 10,000 หน่วยเป็นเดิมพันกำลังเริ่มขึ้น>

สุดท้าย สงครามเริ่มโดยมีเดิมพันพื้นฐานที่สุด

วูจินนั่งบนบัลลังก์ เขามองการรบแบบสบายๆ

ในเวลาไม่มากเขาได้สร้างลานฝึกและแหล่งผลิตพลังงานขึ้นในอาณาเขต ดังนั้นจึงสร้างสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ในสงครามมิติได้

บิบิศึกษาจากหนังสือมาอย่างเต็มที่ เธอขยายแคมป์และกองทหารอย่างดี แต่ยังขาดความสามารถในการคุมทัพเมื่อเทียบกับศัตรู ตอนนี้เธอยังต้านทานไว้ได้ แต่อย่างไรก็คงแพ้

วูจินรู้สึกเสียใจแทนบิบิ แต่เขาเห็นพอแล้ว วูจินดึงข้อมูลของลอร์ดฝ่ายศัตรูขึ้นมา

“เขาเป็นโทรล”

สามารถดูกลยุทธ์ของลอร์ดฝ่ายศัตรูเพื่อเข้าใจนิสัยได้ แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพลังความสามารถส่วนตัวของลอร์ด

สงครามมิติไม่เกี่ยวกับพลังของลอร์ดแต่เกี่ยวกับพลังของอาณาเขตมิติ เป็นอาณาเขตที่แข่งขันกัน

วูจินรู้ว่าลอร์ดนี้มีลำดับต่ำกว่าเขา 1 ลำดับ แต่คะแนนไม่กี่คะแนนสามารถเปลี่ยนลำดับไปได้หลายลำดับ เพราะฉะนั้นลำดับที่ต่ำกว่าไม่มีความหมายอะไรนัก

พลังส่วนตัวของวูจินเทียบเท่ากับแม่ทัพแห่งบัลลังก์ทั้ง 72 ถึงอย่างนั้นในลำดับต่ำกว่า 3,000 อาจมีลอร์ดที่มีพลังส่วนตัวเก่งกาจ เขาไม่อาจรู้ได้จนกว่าได้สู้จริงๆ

<คุณแพ้สงครามมิติ>

<คุณเสีย 10,000 แต้ม>

<โคโมดจะเริ่มการเรียกร้องสิทธิ์ของผู้ชนะ ห้องเก็บของของอาณาเขตถูกปล้น>

<คุณเสียหินเพิ่มพลัง คุณเสียหนังของรานิค>

“เฮอะ ดูมันทำ”

โคโมดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปล้นอะไรไป แต่เขายังปล้นห้องเก็บของไปเรื่อยๆ

ห้องเก็บของของอาณาเขตเหมือนคลังของวูจิน เขาเสียวัตถุดิบและไอเทมไม่มีประโยชน์ ดูเหมือนการปล้นจะเป็นแบบสุ่ม

ถ้าโชคไม่ดี เขาอาจเสียไอเทมหายาก

“ฉันต้องเอามันออกมาก่อน”

ถ้าเสียของอย่างหัวใจมังกรไปจะน่าเสียดายขนาดไหน วูจินขโมยมันมาจากรัชโมด แต่เขาก็ยังเสียดายอยู่ดี

“ฉันจะเอาคืนเป็นสองเท่า”

ระหว่างเขาตรวจดูไอเทมที่เสียไป บิบิก็ได้สติคืนมา เธอนั่งบนที่นั่งของผู้บัญชาการ ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมามีสติ แล้วมันก็เริ่มรื้น ตามมาด้วยน้ำตา

“อึก แง เจ้านาย”

บิบิลุกพรวดมากอดวูจิน

มันไม่แย่เท่าความรู้สึกว่างเปล่าตอนตาย แต่การแพ้ก็ไม่ทำให้รู้สึกดี วูจินไม่อยากเจอกับความรู้สึกพ่ายแพ้ บิบิจึงต้องมาเป็นตัวแทนเขาในสงครามมิติ

“ไม่เป็นไร”

“แง”

บิบิอยากชนะแต่เธอแพ้ น้ำตาเธอร่วงเพราะความโกรธ วูจินขยี้ผมเธอ

“อย่าร้อง”

“ฮึกๆ”

บิบิสูดน้ำมูกกลั้นน้ำตา จากนั้นเธอพูดเบาๆ

“ขอโทษ เราอยากชนะ...”

“ถึงเธอแพ้ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ฮึก แต่ว่า...”

“ฉันจะล้างแค้น”

บิบิเช็ดน้ำตาแล้วทำแก้มป่อง

“อัดเจ้าบ้านั่นแรงๆเลยนะคะ”

“ได้”

วูจินบีบแก้มบิบิแล้วลงจากบัลลังก์

<คุณท้าดวลโคโมด>

<การแก้แค้นจากผู้แพ้จะเริ่มขึ้น>

ร่างของวูจินหายไปตามการเรียกตัวสู่สนามรบ

***

“ฮ่าๆๆ”

โคโมดหัวเราะลั่น

“อย่างน้อยเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง”

ลอร์ดของอลันดาล คังวูจิน ส่งกุนซืออ่อนๆมาแทน คงนึกว่ากำลังใช้คนที่เชี่ยวชาญด้านสงครามมิติ แต่กุนซือคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโคโมด

พวกที่เก่งด้านสงครามมิตินั้นค่าตัวสูง

ลอร์ดลำดับสูงๆมีกุนซือ แต่อย่างพวกเขาเป็นแค่ลอร์ดลำดับต่ำเป็นพัน แน่นอนลอร์ดลำดับต่ำอย่างพวกเขาไม่มีกุนซือเก่งๆ

นั่นคงเป็นพวกหลอกลวงหรือไม่ก็เก่งแค่กลางๆ

โคโมดชนะสงครามมิติอย่างง่ายดายเพราะคังวูจินส่งกุนซือไร้ประโยชน์ออกมา

“ฮ่าๆ เพราะอย่างนี้ข้าถึงชอบพวกหน้าใหม่”

โอกาสชนะพวกหน้าใหม่มีสูงเสมอ น่าเสียดายที่คังวูจินขี้ขลาด เขาลงเดิมพันในอัตราต่ำที่สุด 10,000 แต้มนั้นน้อยกว่ารางวัลจากการชนะ

ยิ่งกว่านั้น ไอเทมที่เขาปล้นมาก็ไม่มีค่าอะไรนัก โชคไม่ดีแต่เขาไม่สนใจนัก เขาไม่ได้ชนะสงครามมานานแล้วจึงอารมณ์ดี หนำซ้ำ ยังมีเรื่องดีๆต่ออีก

<คังวูจินท้าดวลคุณ>

“หือ? ฮ่าๆๆ เพราะอย่างนี้ข้าถึงชอบพวกหน้าใหม่”

เขาแพ้ก็ควรยอมรับว่าแพ้ กลับไปเตรียมตัวใหม่ในช่วง 12 วัน มนุษย์นี่ท้าสู้เขาโดยไม่รู้อะไรเลย โคโมดชอบใจนัก

“กล้าท้าสู้กับข้า คึๆๆ”

อุปนิสัยลอร์ดแต่ละคนต่างกัน

มีคนที่สู้ไม่เก่งแต่เก่งด้านกลยุทธ์ ทำให้ได้ลำดับสูงๆในสงครามมิติ และมีคนที่ตรงกันข้าม

โคโมดมั่นใจในพลังของตัวเองมากกว่าความสามารถในสงครามมิติ เขาเคยเป็นผู้นำเผ่าที่เข้าร่วมการแย่งชิงตำแหน่งราชาโทรล พลังต่อสู้ของเขาย่อมไม่ต่ำต้อย

ถ้าเขาได้กุนซือเก่งๆมา โคโมดมั่นใจว่าเขาสามารถไปถึงลำดับเลข 3 ตัว

ปกติลอร์ดไม่ชอบการดวล ตัวแปรมีมากเกินไป ผลประโยชน์มากแต่ความเสี่ยงก็มากเหมือนกัน

ถ้าสงครามมิติคือหมากรุก การดวลก็เหมือนมวยปล้ำ

ลอร์ดบางคนชอบการดวลมากกว่าสงครามมิติ แต่พวกนั้นเป็นส่วนน้อย

“ฮ่าๆ คราวนี้ข้าจะปล้นให้หมด”

คังวูจินคงขอดวลเพราะความไม่รู้ แน่นอน นี่คือความผิดพลาด

ร่างของโคโมดถูกเรียกเข้าสู่สนามรบ

***

วูจินถูกเรียกมายังดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง

<หากชนะ คุณสามารถเรียกร้องสิทธิ์ของผู้ชนะและการลงโทษจากผู้แก้แค้น>

<หากแพ้ คุณจะตาย คุณจะถูกชุบชีวิตหลังผ่านไป 12 วัน>

ฟังจากคำประกาศก็เข้าใจได้ว่าทำไมลอร์ดแห่งมิติเลือกทำสงครามมิติมากกว่าการดวล

ถ้าแพ้จะตาย ถ้าฟื้นคืนชีพหลังผ่านไป 12 วันก็เสียช่วงเวลาเตรียมตัวสำหรับสงครามมิติครั้งถัดไปและต้องรับคำท้ารบทันทีที่คืนชีพ

มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน เพราะอย่างนี้จึงรู้ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงลังเล ทำไมถึงเอาแต่ใช้ลูกน้องในสงครามมิติ

“ตลก”

วูจินฆ่ารัชโมดกับจูเลียลไป แต่พวกมันถูกชุบชีวิตใหม่

พวกมันก็ลังเลไม่อยากตายเพราะสงครามมิติอย่างนั้นหรือ?

คงใช่

ถ้าพวกมันร่วมมือกัน อัลเฟนคงถูกยึดไปแทบทันที โลกนั้นเป็นแค่ลานล่าสำหรับรวบรวมพลังงาน

คราวนี้เขาเป็นลอร์ดมิติเขาถึงได้รู้ ว่ากฎพวกนี้มันน่าอึดอัดขนาดไหน

ต้องมีบางอย่างที่จุดสูงสุดของลำดับ เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่ลอร์ดทุกคนต้องการ

ถ้าเขาตั้งใจเข้าร่วมสงครามมิติ ลำดับเขาจะเพิ่มขึ้นใช่ไหม?

“เกมกระดานสร้างมาอย่างชุ่ยเลย”

เขาสู้มาอย่างเต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นปลาในอ่างเลี้ยงปลา

เขาโกรธ

นี่เป็นสมาคมที่อึดอัดซับซ้อน เตรียมไว้เพื่อพวกเขา...

ยิ่งกว่านั้น เขารู้สึกเหมือนเพิ่งอยู่ที่จุดเริ่มต้น

“ฉันจะล้มมันให้หมด”

นิสัยเขาไม่ยอมให้ตัวเองทำตามกฎอย่างว่าง่าย เขาจะทำลายมันเป็นชิ้นๆ เขาเป็นตัวแทนของเทพแห่งการทำลายมาก่อน

วูจินเหยียบบนดินแดนน้ำแข็ง หลังจากนั้นหัวหน้าเผ่าโทรล โคโมดก็มาปรากฏตรงหน้า

“ฮ่าๆๆ ฉันมีข้อเสนอ ลอร์ดใหม่”

“...?”

วูจินมองงงๆเมื่อเห็นโทรลอารมณ์ดีผิดวิสัยโทรล

“ถ้าการต่อสู้เป็นตายไม่มีเดิมพันด้วยก็แย่สิ ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ของลูกผู้ชาย เราพนันกันด้วยดันเจี้ยนดีไหม”

อะไรของมัน?

เมื่อวูจินไม่ตอบ โคโมดก็เริ่มยั่วโมโห

“ว้าว หรือเจ้ากลัวแพ้ คิดแบบนี้จะไปถึงลำดับสูงไม่ได้นะ”

วูจินยิ้มแล้วพูด

“ก็ได้ ฉันพนันด้วยดันเจี้ยนฉัน ที่จริง มาเพิ่มเดิมพันอีกดีกว่า”

“หา?จริงเรอะ?ฮ่าๆๆ เจ้าใจกว้างดีนี่ งั้นเพิ่มเดิมพันอีก 20,000 แต้ม?”

“เอาสิ”

เมื่อวูจินยอมรับง่ายๆโคโมดก็หัวเราะชั่วร้าย ความกล้าของเจ้าโง่นี่จะทำให้เสียอาณาเขตไปในอีกไม่นาน อีกหน่อยเขาจะกลายเป็นผู้อพยพแน่นอน

‘ฮ่าๆ ได้มาเจอเจ้าคนอ่อนแอนี่’

โคโมดลงเดิมพันดันเจี้ยนเขาอย่างกระตือรือร้น

<คุณวางเดิมพันเป็น ‘สถานีโซลทางออกที่1’ ของโลก>

<คุณวางเดิมพันเป็น ‘เสานีเซีย’ ของจาคุ>

‘ถ้าดันเจี้ยนอยู่ที่อัลเฟนก็ดีสิ’

วูจินปลอบใจตัวเอง

ลอร์ดที่มีดันเจี้ยนอัลเฟนไม่ใช่ว่าจะเจอได้ง่ายๆ หาชิ้นส่วนมิติแล้วซื้อดันเจี้ยนเปล่าบนอัลเฟนน่าจะเร็วกว่า

“ฮ่าๆ เจ้ามือใหม่! เริ่มกันเลยไหม?”

โคโมดล้อคังวูจินที่หลงเดิมพันดันเจี้ยนตามคำยุ เขาล้วงกระบองติดหนามยาวออกมาจากอากาศว่างเปล่า

วูจินเป็นเผ่ามนุษย์อ่อนแอ

โคโมดเป็นโทรลที่วิวัฒนาการแล้ว ลอร์ดมือใหม่สูงแค่เอวเขาและคงไม่มีประสบการณ์ต่อสู้เท่าไหร่

“เจ้าโง่ มาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว ฮ่าๆ”

กึง กึง

พื้นน้ำแข็งส่งเสียงตามการก้าวเท้าของโคโมด เศษน้ำแข็งปลิวว่อน

วูจินยิ้มเหี้ยมขณะมองโคโมดวิ่งตรงมาที่เขาแบบโง่ๆ

“อ่อนๆแบบเจ้านี่คงมีไม่มาก”

<โคโมด เลเวล 54 ลอร์ดแห่งบึง>

ถ้าลอร์ดเป็นแบบโคโมดกันหมด เขาคงไต่ลำดับได้ง่ายๆ

วูจินดึงไม้เท้าเหล็กออกมาและเปลี่ยนเป็นค้อนทันที จากนั้นเหวี่ยงไปยังกระบองของโคโมด
แก็ง!

“คึ”

มนุษย์สูงแค่เอวของโคโมด แต่มีแรงเยอะน่าประหลาด

‘มนุษย์จากโลกคนนี้มีพลังต่อสู้สูง’

แต่ โคโมดเคยเป็นหัวหน้าเผ่า!

แรงเขาเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด

โชคร้ายที่วูจินไม่ใช่คนธรรมดา

วูจินหลบกระบองแล้วเหวี่ยงค้อนไปที่เข่าของโคโมด โทรลร่างใหญ่เสียหลักล้ม วูจินเปลี่ยนรูปร่างอาวุธเป็นขวานทันทีแล้วฟาดลง

“อ๊าก!”

โคโมดฝืนความเจ็บเหวี่ยงกระบองใส่วูจิน แต่เกราะผีไปก่อตัวใกล้ศีรษะเขา กระบองกระเด้งออก และขวานของวูจินตรงไปที่ไหล่ของโคโมด

“หยุด...หยุดก่อน”

โคโมดตาเหลือกเหมือนหมดสติแล้ว เขาตะโกนแต่ขวานของวูจินฟันใส่คอโคโมดไม่รีรอ

“พวกโทรลค่อนข้างหนังเหนียว”

สู้กับโทรลไม่ควรยืดเยื้อ พวกมันอึดและมีความสามารถฟื้นฟูร่างกาย... แผลสาหัสแค่ไหนก็หายได้ในเวลาไม่นาน ฆ่ามันให้เร็วที่สุดจะดีที่สุด

<เลเวลอัพ!>

ศพโคโมดเปลี่ยนเป็นแสงสีเทาหายไป วูจินหัวเราะแห้งๆ

“EXP ขนาดนี้น่าดีใจชะมัด”

เพราะเป็นลอร์ดแห่งมิติหรือเปล่า เลเวลของโทรลสุดอนาถแต่ให้ค่าประสบการณ์มาก

<คุณชนะการดวลกับโคโมด>

<คุณล้างแค้นสำเร็จ>

“ได้เวลาปล้นแล้วสินะ”

วูจินไม่ได้กลับคืนมาเป็นผู้ไม่ตายนานแล้ว




สารบัญ                                                         บทที่ 121