วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2561
แปลเพลง - The Civil Wars - Dust to Dust
แปลเพลงสุดท้ายของสิ้นปีนี้ ความหมายไม่ได้เข้ากับเทศกาลเล้ย แต่เราสนใจเทศกาลแค่เพราะได้หยุดเท่านั้นแหละ -3-
เป็นเพลงเหงาๆฟังสบายๆชื่อ Dust to Dust ของวง The Civil Wars ค่ะ ตั้งปี 2008 แยกวง 2014 เอาเพลงเก่ามานำเสนออีกแล้ว~
The Civil Wars - Dust to Dust (เถ้าสู่เถ้า)
It's not your eyes
It's not what you say
It's not your laughter that gives you away
You're just lonely
You've been lonely, too long
ไม่ใช่ดวงตา
ไม่ใช่คำที่เธอพูดออกมา
ไม่ใช่เสียงหัวเราะ ที่เปิดโปงเธอ
เธอแค่เหงา
เหงามานาน นานเกินไป
All your actin'
Your thin disguise
All your perfectly delivered lies
They don't fool me
You've been lonely, too long
ทุกสิ่งที่เธอแสดง
เสแสร้งเบาบาง
ทุกคำโกหกแนบเนียน
หลอกฉันไม่ได้
เธอเหงามานาน นานเกินไป
Let me in the wall, you've built around
And we can light a match and burn it down
Let me hold your hand and dance 'round and 'round the flame
In front of us
Dust to dust
ให้ฉันเข้าไปในกำแพงที่เธอสร้างล้อมเอาไว้
และเราจะใช้ไม้ขีดจุดไฟเผามัน
ให้ฉันจับมือเธอเต้นรำไปรอบเปลวไฟ
ตรงหน้าของเรา
เถ้าสู่เถ้า
You've held your head up
You've fought the fight
You bear the scars
You've done your time
Listen to me
You've been lonely, too long
เธอได้เชิดหน้า
เธอต่อสู้มา
เธออดทนรับบาดแผลไว้
เธออดทนมานานพอแล้ว
ฟังฉัน
เธอเหงามานาน นานเกินไป
Let me in the wall, you've built around
And we can light a match and burn them down
And let me hold your hand and dance 'round and 'round the flames
In front of us
Dust to dust
ให้ฉันเข้าไปในกำแพงที่เธอสร้างล้อมเอาไว้
และเราจะใช้ไม้ขีดจุดไฟเผามัน
และให้ฉันจับมือเธอเต้นรำไปรอบเปลวไฟ
ตรงหน้าของเรา
เถ้าสู่เถ้า
You're like a mirror, reflecting me
Takes one to know one, so take it from me
You've been lonely
You've been lonely, too long
We've been lonely
We've been lonely, too long
เธอเหมือนกระจก สะท้อนตัวฉัน
ต้องเหงาเช่นกันถึงรู้ ดังนั้นเชื่อฉันนะ
เธอเหงา
เธอเหงามานาน นานเกินไป
เราเหงา
เราเหงามานาน นานเกินไป
เพลงนี้มีสำนวน เยอะ
1.Dust to dust – Ashes to ashes, dust to dust เป็นประโยคใช้ในพิธีฝังศพ หมายถึงการสิ้นสุดอย่างแท้จริงค่ะ ที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล In the sweat of thy face shalt thou eat bread, till thou return unto the ground; for out of it wast thou taken: for dust thou art, and unto dust shalt thou return. (Genesis 3:19)
2.gives you away – Give (somebody/something) away คำนี้มีหลายความหมาย ในที่นี้หมายถึงการเปิดโปงสิ่งที่เจ้าตัวปกปิดไว้
3.You've done your time – do one’s time หมายถึงการใช้เวลาตามกำหนดในคุกหรือในกองทัพ บางทีก็ใช้เป็นการเปรียบเปรย
4.Takes one to know one – คนประเภทเดียวกันจะรู้จักกันดี เหมือนสำนวนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
5.take it from me – แปลว่า เชื่อฉัน จะใช้เมื่อมั่นใจมากว่าตัวเองถูก ขนาดเอาตัวเองเป็นประกันเลย ประมาณเชื่อฉัน ฉันเจอมาแล้ว
เจอกันอีกทีปีหน้า สุขสันต์วันหยุดค่ะ ^^//
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 119
บทที่ 119 – รบ
ทหารออร์คคำรามปลุกใจ
มันเป็นการต่อสู้ 7 ต่อ 3 ผลจึงค่อนข้างแน่นอน วูจินสิงออร์คตนหนึ่งเพื่อนำออร์คที่เหลือ
เขาเสียทหารออร์คไป 3 ทำลายทหารราบไป 4 แต่ศัตรูยังเหลืออีก 3 คน
“ทุกคนมารวมกันตรงนี้”
วูจินรวบรวมคนงานและทหารออร์ค 1 ตนที่ออกมาจากลานฝึกพอดี เขาเข้าสิงทหารออร์คและกำจัดทหารราบจนหมด
แต่วูจินเห็นทหารราบอีก 10 นายกำลังมุ่งตรงมา
“ฉันแพ้ น่าหงุดหงิดชะมัด”
แบบนี้มันเหมือนเล่นกับตุ๊กตา
วูจินยุติการซ้อมรบอย่างไม่เสียดาย
ภาพเบื้องหน้าเขาถล่มลงโลกแตกเป็นเสี่ยง วูจินกระพริบตาและเห็นอาณาเขตมิติของตัวเอง สตรีศักดิ์สิทธิ์รอเขาอยู่โดยไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
“เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“น่าหงุดหงิดสุดๆ”
เธอเข้าใจ ความสามารถของตัวเองถูกจำกัด ผู้ไม่ตายไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนดังนั้นเขาย่อมหงุดหงิดกว่ามาก
“ลอร์ดแห่งมิติทำแบบนี้กันทุกคนเหรอ?”
ลอร์ดคนอื่นขยายอาณาเขตมิติด้วยการสู้ไร้สาระแบบนี้? วูจินรู้สึกขมในปาก สิ่งที่ต้องใช้ในการสู้คือพลังงาน เมื่อนึกถึงวิธีที่พวกลอร์ดใช้รวบรวมพลังงานเหล่านั้น วูจินก็อดอารมณ์เสียไม่ได้
“สงครามมิติสำคัญสำหรับพวกเขาค่ะ พวกเขาเดิมพันกันทีละน้อยแต่มันคือวิธีเพิ่มอันดับที่ประหยัดและปลอดภัย”
พลังงาน 10% หากเสียไปก็ไม่ใช่จำนวนใหญ่โต อันตรายจากการร่วมสงครามต่ำ ถ้าเป็นอะไรไปก็ทำแบบสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่หักหลักฐานแห่งมิติเพื่อทิ้งตำแหน่งลอร์ดไป
“งี่เง่าชะมัด”
นี่คือเหตุผลที่พวกนั้นรุกรานอาณาเขตมิติอื่นเพื่อรวบรวมบลัดสโตน...
“แล้วดวลนี่คืออะไร?”
“สงครามมิติคือสงครามระหว่างอาณาเขตมิติ... ดวลคือการสู้กันระหว่างลอร์ดค่ะ”
“งั้นฉันก็แค่ดวล”
“การดวลต้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงถึงจะทำได้ค่ะ การบังคับดวลจะเกิดขึ้นก็เฉพาะตอนลอร์ดที่แพ้สงครามมิติจะแก้แค้น”
วูจินยิ้ม เขาหงุดหงิดกับสงครามมิติ แต่เขาชอบการดวลแบบนี้
“ก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆฉันก็แค่ปล้นดันเจี้ยนพวกนั้น”
ถ้าเขาไม่อยากดวล เขาก็ท้าทายอาณาเขตของพวกเขาในฐานะนักผจญภัยได้ วูจินเคลียร์ห้องทดลองของรัชโมดและทุ่งราบจูเลียลมาแล้ว
เพราะว่าเขาไม่ใช่ลอร์ด เขาจึงได้แต่เลือกเคลียร์
“เอาล่ะ ดูเหมือนฉันจะต้องหาชิ้นส่วนมิติเพิ่มอีก”
ถ้าเขาจะซื้อดันเจี้ยน เขาก็ต้องมีชิ้นส่วนมิติสักชิ้น ไม่เกี่ยวว่าเขากำลังจะเปิดประตูไปที่อัลเฟนหรือไม่
เขาต้องเตรียมพร้อมเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันที่เขาอาจต้องการดันเจี้ยนสำรองที่เชื่อมต่อกับโลก วูจินต้องรวบรวมชิ้นส่วนมิติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘ใครจะไปสนเรื่องเสียพลังงาน 10%’
เขาวางแผนจะใช้ช่วงคุ้มครองที่เหลืออยู่เตรียมพร้อมให้เต็มที่ แต่ถ้ามันสายไปก็ช่วยไม่ได้ กังวลเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าอย่างไรเขาก็ต้องพออย่างนั้นทิ้งไปอย่างหมดจดเลยดีกว่า สนใจกับเรื่องหลังจากนั้นดีกว่า
วูจินลุกจากบัลลังก์
“ขอโทษที่เข้าใจเธอผิด”
“ม...ไม่เป็นไรเลยค่ะ”
ผู้ไม่ตายขอโทษ... เมโลดี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก วูจินยิ้มแล้วเปิดอุโมงค์ไปสถานีโซลทางออกที่ 1
“เธอไปได้แล้ว ฉันยังต้องเตรียมตัวอีก”
“ค่ะ”
เมโลดี้ลา เธอผ่านอุโมงค์ออกจากโถงกว้างไป
“เจ้านาย!”
บิบิวิ่งมากอดวูจิน เธอทำแก้มป่องพลางมองไปรอบๆ
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วเหรอ?”
“ไปแล้ว”
“เฮ้อ เราตกใจหมดเลย”
อสูรทุกตนของวูจินเกลียดสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นผีดิบจึงไม่เข้ากับสตรีศักดิ์สิทธิ์นัก บิบิเป็นอสูรก็ดูจะไม่ต่างกัน เธอรู้สึกรังเกียจตามสัญชาติญาณ
“ฮิๆ เจมินดีขึ้นแล้วนะ”
“โอ้ เหรอ?”
นี่เป็นข่าวดีที่สุดของวันนี้
“เขาทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“เขาออกไปล่าตอนเช้า ตอนนี้อยู่บ้าน”
วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและซื้อหนังสือคู่มือเกี่ยวกับสงครามมิติ เขาอ่านผ่านๆไม่มีอะไรใหม่ มันพูดถึงพื้นฐานและระบบต่างๆที่เขารู้มาแล้วจากการซ้อมรบ
“อ่านนี่ เธอต้องไปสู้สงครามมิติแทนฉัน”
“ได้จ้า”
บิบิรับหนังสือแล้วกระโดดจากไป เธอเข้าไปในกระท่อมน่ารักหน้าปราสาท ดูเหมือนจะเธอจะซื้อบ้านให้ตัวเอง
“ฉันยกอำนาจให้ข้ารับใช้ตัวเองเป็นตัวแทนได้”
ถ้าเลี่ยงสงครามมิติไม่ได้ก็แค่ต้องเข้าร่วม ถ้าชนะก็ดีไป แต่ถ้าเขาเตรียมตัวไม่พอก็ช่วยไม่ได้
แต่เขาต้องแก้แค้นด้วยการดวล
เกรทลอร์ดของบัลลังก์ทั้ง 72 เป็นอันดับสูงมาก แต่วูจินมั่นใจว่าเขาสู้พวกมันได้ในการดวล ถ้าเขาจะแพ้ในสงครามมิติเขาก็จะไม่ร่วมสงคราม
เขาจะให้บิบิไปแทน เล่นสนุกสักหน่อย ถ้าเสียพลังงานหรือไอเทมเขาก็แค่เอาคืนมาด้วยการดวล
วูจินสลัดความหงุดหงิดจากการรบทิ้งไปแล้วเดินไปทางบ้านเจมิน
“เจมิน อยู่หรือเปล่า?”
“ครับพี่”
วูจินเปิดประตูเข้าไป เจมินกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ
“หือ ไปเอาหนังสือมาจากไหน?”
“ผมซื้อจากร้านของชำข้างหน้านี่เอง”
ข้างนอกผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แต่ในอาณาเขตมิติเป็นเวลาราว 20 วัน วูจินพัฒนาอาณาเขตของเขาโดยมุ่งไปที่สภาพความเป็นอยู่ของประชากร
จากเดิมที่มีแต่ที่ว่าง เขาสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาหลายแห่ง เขาสร้างร้านหลายร้านเช่นร้านของชำ ร้านแล่เนื้อ ผับ ร้านอาหาร มีกระทั่งร้านกาแฟ
วูจินรับผู้อพยพเข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงมีเผ่าโฮอิน ออร์ค ดวาร์ฟ แม้แต่มนุษย์ก็มี
วูจินมีกฎเพียงข้อเดียว ไม่อนุญาตให้ประชากรล่าในดันเจี้ยนหนึ่งเดียวที่เขามี ไม่มีระบบผลงานเพราะดันเจี้ยนสถานีโซลทางออกที่ 1 ถูกห้ามล่า
เพราะเขาไม่เรียกค่าธรรมเนียมจากผู้อพยพที่มาพักไม่นาน กฎของเขาจึงไม่ทำร้ายใคร
“หนังสืออะไร?”
“แค่บันทึกท่องเที่ยวน่ะครับ”
วูจินมองหน้าปก มันเป็นบันทึกท่องเที่ยวของนักเขียนที่ไปเยี่ยมอาณาเขตมิติขึ้นชื่อต่างๆ
วูจินนั่งที่โต๊ะ
“ได้ยินว่านายไปล่ามา”
“...ครับ”
“เป็นไงบ้าง?”
“มันก็...”
วูจินเกาหัวด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก
อาการกระหายเลือดของเขาแย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงขอไปล่ากับคิบะ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจหน้ามืดกระโดดใส่ชาวเมือง
มอนสเตอร์กับชาวเมืองผู้อพยพไม่ต่างกันนัก
ถ้าพวกเขาทำตามกฎของอาณาเขตเพื่อตั้งถิ่นฐาน พวกเขาก็คือผู้อพยพ ถ้าไม่ พวกเขาก็ถูกมองเป็นมอนสเตอร์ ไม่เกี่ยวว่ามาจากเผ่าสายพันธ์ไหน
มนุษย์ล่ามนุษย์ ออร์คกับเอลฟ์ร่วมมือกัน
เจมินช็อกกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง และช็อกที่ได้รู้ว่ามีอาณาเขตมิติอื่นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะเริ่มชินบ้างแล้ว
“เราไปหาพี่นายกันได้แล้วยัง?”
“เอ่อ ให้พี่ผมมาที่นี่ได้ไหมครับ?”
“กับพี่นายคงลำบาก”
มีแต่เราส์ที่เข้าดันเจี้ยนได้ พูดให้ถูกคือมีแต่เราส์ที่ผ่านอุโมงค์ได้
จีวอนเป็นคนธรรมดา และเมื่อนึกถึงวิญญาณบริสุทธิ์ของเธอแล้วโอกาสที่เธอจะกลายเป็นเราส์มีน้อยมาก
“ผมจะออกไป...แต่ช่วยบอกให้เธอรออีกหน่อยนะครับ”
“อืม นายไม่ต้องรีบก็ได้”
จีวอนเป็นห่วงเขามาก แต่สุดท้ายเจมินต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“แล้วก็ พี่ครับ...”
“หืม?”
เจมินมองวูจินสีหน้าเครียด
“พี่เป็นเทพเหรอ?”
“เทพ?”
เจมินอยากรู้จริงๆ
ภายในอาณาเขตมิติของตัวเอง จะคิดว่าลอร์ดเป็นเทพก็ไม่เกินไป
ถ้ามีพลังงาน ไม่ว่าอะไรก็ทำให้เป็นจริงได้
เขาเป็นเทพเหรอ?
วูจินส่ายศีรษะ
“ฉันเป็นคน”
เขาเคยเจอทวยเทพมาก่อน แต่พวกเขาต่างจากวูจิน ไม่ใช่ วูจินไม่อยากเป็นเช่นเดียวกับพวกเขา
“เฮ้อ อ้อ คนที่นี่เขากังวลกัน”
“ใคร?”
“คนในอาณาเขตครับ เขาบอกว่าลอร์ดที่นี่อ่อนแอ... พวกเขาห่วงว่าอาณาเขตของพี่จะถูกชิงไป”
เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมพวกเขาถึงมองว่าวูจินอ่อนแอ
ปกติแล้วลอร์ดจะเรียกภาษีสูงมากถ้าผู้อพยพต้องการมาตั้งถิ่นฐาน ตอนนี้วูจินไม่แม้แต่เรียกค่าธรรมเนียมตั้งถิ่นฐาน เขาเก็บภาษีจากธุรกิจที่เขาทำ
วูจินมีฟาร์มต้นไม้เลือด ดังนั้นจึงมีผู้อพยพหลายคนมาอยู่และอยากทำงานให้เขา
เนื่องจากวูจินไม่ล่าในดันเจี้ยน บลัดสโตนที่เขารวบรวมมาได้จึงน้อย ถ้าการป้องกันไม่แข็งแกร่งก็มีสิทธิ์กลายเป็นเหยื่อของลอร์ดคนอื่น
ถ้าอาณาเขตนี้ถูกโจมตี สภาพของพวกเขาจะเลวร้ายลงและต้องอพยพไปตามอาณาเขตอื่นๆอีก
วูจินถามกลับ
“ฉันเหมือนคนอ่อนแอเหรอ?”
“ไม่มีทาง”
วูจินไม่เห็นความจำเป็นต้องขูดรีดจากคนในอาณาเขตของเขาเอง เป้าหมายของเขาคือบัลลังก์ทั้ง 72 ที่พัฒนาไปไกลกว่าเขามาก เขาไม่มีแผนไปเกลือกกลั้วกับลอร์ดแรงค์ต่ำ
“อย่าอยู่แต่ในบ้าน นายควรออกล่าเหมือนวันนี้ มองอีกแง่นายก็เป็นเราส์แล้วนี่?”
“เราส์เหรอ?”
“ใช่ มองจากมุมมองคนธรรมดา เราส์ก็คือมอนสเตอร์”
“เราส์...”
เจมินซึมซับคำนี้ช้าๆ
เขามีความสามารถดื่มเลือดและความสามารถเปลี่ยนร่าง เขาควรมองตัวเองเป็นเราส์ที่พิเศษไปหน่อยได้ไหมนะ?
“นายพักเถอะ”
“ครับพี่”
วูจินออกจากบ้านเจมิน
วูจินมองสิ่งมีชีวิตจากเผ่าต่างๆเดินบนถนนระหว่างสิ่งปลูกสร้าง พวกเขามองวูจินและทักทาย เมื่อการทักทายจบลงพวกเขาถอยห่างไปอย่างระมัดระวัง วูจินยิ้มขำ
‘อ่อนแอเหรอ’
ถ้าคิดถึงการรบระหว่างมิติว่าทำวูจินหงุดหงิดเพียงใด พวกเขาอาจจะถูกก็ได้ ถ้าเขาไม่มีความสามารถด้านกลยุทธ์เขาคงแพ้ทุกครั้ง สงครามมิติก็เหมือนเกมของชนชั้นสูง
ลอร์ดสู้กันโดยไม่ต้องลงสนามรบเอง
พวกเขาปกป้องชีวิตตัวเองและใช้ลูกน้องรวบรวมพลังงาน วิธีนี้ไม่เข้ากับวูจิน
“จะไอ้ขี้แพ้คนไหนก็ช่าง ถ้าจะเล่นงานฉันก็เตรียมตัวไว้เถอะ”
ใครจะสนเรื่องเสียพลังงานไปหมื่นสองหมื่นหน่วย?
เขาจะแก้แค้นด้วยการดวลและเอาทั้งหมดคืนมา วูจินตั้งตารอ ใครจะเป็นคนแรกที่ประกาศสงคราม
***
อาณาเขตมิติ หนองน้ำโคโมด ลำดับที่ 3,213
หัวหน้าเผ่า โคโมด เป็นเจ้าของอาณาเขตนี้ เขามีร่างกายยาว เขี้ยวยาว เขาเป็นโทรล
“คึฮึๆ เจอเหยื่อดีๆแล้ว”
โคโมดมองอาณาเขตใหม่ อลันดาล ที่อยู่เหนือเขาลำดับหนึ่ง เขายิ้ม
ช่วงคุ้มครองมีเพื่อให้ลอร์ดใหม่ได้เตรียมพร้อม แต่ลอร์ดใหม่ที่เตรียมตัวมาพร้อมจริงๆนั้นหาเจอยาก
“ชื่อเขาคือคังวูจิน มือใหม่ยิ่งกว่าใหม่”
เขาเป็นลอร์ดแห่งมิติคนแรกจากมิติที่เรียกว่าโลก
ลอร์ดแห่งมิติคนนี้ไม่มีประสบการณ์ปกครองอาณาเขตมิติอื่นมาก่อน จึงไม่มีทางที่จะเตรียมตัวพร้อม ต่อให้เตรียมตัวมาเขาย่อมไม่ถนัดด้านสงครามมิติ
“ข้าต้องสู้กับมันก่อนคนอื่น คึฮึๆ”
อาณาเขตแบบนี้ใครมาก่อนได้ก่อน
เดิมพันด้วยพลังงานในปริมาณสูงสุดในขณะที่ลอร์ดยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเป็นอะไรจะดีที่สุด เขาต้องขูดรีดมาให้ได้มากที่สุดในครั้งเดียว ถ้าทำได้เขามีโอกาสเพิ่มลำดับไป 300 ลำดับในทีเดียว
โคโมดรอจนช่วงคุ้มครองของอาณาเขตใหม่อลันดาลสิ้นสุด เขานั่งบนบัลลังก์ก่อนช่วงคุ้มครองสิ้นสุดหนึ่งชั่วโมง พร้อมจะส่งคำท้ารบ
เขาต้องเร็วกว่าคนอื่น!
เมื่อเวลามาถึง โคโมดส่งคำท้ารบ เขาลุ้นใจจดใจจ่อ แล้วดวงตาก็เบิกโพลง
<สงครามมิติกับอลันดาลจะเริ่มขึ้น>
“คึ ฮ่าๆๆๆ”
โคโมดร้องอย่างยินดี
“ไปปล้นเขาให้หมดเลยไหม?”
โคโมดนั่งบัลลังก์และมุ่งไปยังพื้นที่ๆจะทำสงคราม
***
<คุณได้รับคำท้ารบจากโคโมด ต้องการปฏิเสธหรือไม่?>
<คุณสามารถปฏิเสธได้ถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้นจะถูกบังคับให้รับคำท้า>
<หากชนะ คุณจะได้รับช่วงคุ้มครอง 4 วัน หากแพ้ คุณจะได้รับช่วงคุ้มครอง 12 วัน>
“มาจนได้”
วูจินยิ้มขณะนั่งบนบัลลังก์ ตรงหน้าเขามีเก้าอี้เล็กตัวหนึ่ง
<ผู้บัญชาการอาณาเขตมิติ>
บิบิที่จะทำสงครามแทนเขานั่งตรงนั้น เธอมีสีหน้ามุ่งมั่น
“ไปเสี่ยงโชคให้เต็มที่เลย”
“ฮึ่ม เราจะชนะ เจ้านายไม่ต้องห่วง สัญญาแล้วนะว่าถ้าเราชนะจะให้เราใช้พลังงานครึ่งนึงน่ะ?”
วูจินยิ้ม
“แน่นอน”
เขาไม่สนใจว่าเธอจะชนะหรือแพ้ เขาจะแก้แค้นหลังจากรบเสร็จ
ปีใหม่มาถึงอีกปีแล้ว สุขสันต์วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ค่ะ ^^
ทหารออร์คคำรามปลุกใจ
มันเป็นการต่อสู้ 7 ต่อ 3 ผลจึงค่อนข้างแน่นอน วูจินสิงออร์คตนหนึ่งเพื่อนำออร์คที่เหลือ
เขาเสียทหารออร์คไป 3 ทำลายทหารราบไป 4 แต่ศัตรูยังเหลืออีก 3 คน
“ทุกคนมารวมกันตรงนี้”
วูจินรวบรวมคนงานและทหารออร์ค 1 ตนที่ออกมาจากลานฝึกพอดี เขาเข้าสิงทหารออร์คและกำจัดทหารราบจนหมด
แต่วูจินเห็นทหารราบอีก 10 นายกำลังมุ่งตรงมา
“ฉันแพ้ น่าหงุดหงิดชะมัด”
แบบนี้มันเหมือนเล่นกับตุ๊กตา
วูจินยุติการซ้อมรบอย่างไม่เสียดาย
ภาพเบื้องหน้าเขาถล่มลงโลกแตกเป็นเสี่ยง วูจินกระพริบตาและเห็นอาณาเขตมิติของตัวเอง สตรีศักดิ์สิทธิ์รอเขาอยู่โดยไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
“เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“น่าหงุดหงิดสุดๆ”
เธอเข้าใจ ความสามารถของตัวเองถูกจำกัด ผู้ไม่ตายไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนดังนั้นเขาย่อมหงุดหงิดกว่ามาก
“ลอร์ดแห่งมิติทำแบบนี้กันทุกคนเหรอ?”
ลอร์ดคนอื่นขยายอาณาเขตมิติด้วยการสู้ไร้สาระแบบนี้? วูจินรู้สึกขมในปาก สิ่งที่ต้องใช้ในการสู้คือพลังงาน เมื่อนึกถึงวิธีที่พวกลอร์ดใช้รวบรวมพลังงานเหล่านั้น วูจินก็อดอารมณ์เสียไม่ได้
“สงครามมิติสำคัญสำหรับพวกเขาค่ะ พวกเขาเดิมพันกันทีละน้อยแต่มันคือวิธีเพิ่มอันดับที่ประหยัดและปลอดภัย”
พลังงาน 10% หากเสียไปก็ไม่ใช่จำนวนใหญ่โต อันตรายจากการร่วมสงครามต่ำ ถ้าเป็นอะไรไปก็ทำแบบสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่หักหลักฐานแห่งมิติเพื่อทิ้งตำแหน่งลอร์ดไป
“งี่เง่าชะมัด”
นี่คือเหตุผลที่พวกนั้นรุกรานอาณาเขตมิติอื่นเพื่อรวบรวมบลัดสโตน...
“แล้วดวลนี่คืออะไร?”
“สงครามมิติคือสงครามระหว่างอาณาเขตมิติ... ดวลคือการสู้กันระหว่างลอร์ดค่ะ”
“งั้นฉันก็แค่ดวล”
“การดวลต้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงถึงจะทำได้ค่ะ การบังคับดวลจะเกิดขึ้นก็เฉพาะตอนลอร์ดที่แพ้สงครามมิติจะแก้แค้น”
วูจินยิ้ม เขาหงุดหงิดกับสงครามมิติ แต่เขาชอบการดวลแบบนี้
“ก็ได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆฉันก็แค่ปล้นดันเจี้ยนพวกนั้น”
ถ้าเขาไม่อยากดวล เขาก็ท้าทายอาณาเขตของพวกเขาในฐานะนักผจญภัยได้ วูจินเคลียร์ห้องทดลองของรัชโมดและทุ่งราบจูเลียลมาแล้ว
เพราะว่าเขาไม่ใช่ลอร์ด เขาจึงได้แต่เลือกเคลียร์
“เอาล่ะ ดูเหมือนฉันจะต้องหาชิ้นส่วนมิติเพิ่มอีก”
ถ้าเขาจะซื้อดันเจี้ยน เขาก็ต้องมีชิ้นส่วนมิติสักชิ้น ไม่เกี่ยวว่าเขากำลังจะเปิดประตูไปที่อัลเฟนหรือไม่
เขาต้องเตรียมพร้อมเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันที่เขาอาจต้องการดันเจี้ยนสำรองที่เชื่อมต่อกับโลก วูจินต้องรวบรวมชิ้นส่วนมิติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘ใครจะไปสนเรื่องเสียพลังงาน 10%’
เขาวางแผนจะใช้ช่วงคุ้มครองที่เหลืออยู่เตรียมพร้อมให้เต็มที่ แต่ถ้ามันสายไปก็ช่วยไม่ได้ กังวลเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้อะไร ถ้าอย่างไรเขาก็ต้องพออย่างนั้นทิ้งไปอย่างหมดจดเลยดีกว่า สนใจกับเรื่องหลังจากนั้นดีกว่า
วูจินลุกจากบัลลังก์
“ขอโทษที่เข้าใจเธอผิด”
“ม...ไม่เป็นไรเลยค่ะ”
ผู้ไม่ตายขอโทษ... เมโลดี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก วูจินยิ้มแล้วเปิดอุโมงค์ไปสถานีโซลทางออกที่ 1
“เธอไปได้แล้ว ฉันยังต้องเตรียมตัวอีก”
“ค่ะ”
เมโลดี้ลา เธอผ่านอุโมงค์ออกจากโถงกว้างไป
“เจ้านาย!”
บิบิวิ่งมากอดวูจิน เธอทำแก้มป่องพลางมองไปรอบๆ
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วเหรอ?”
“ไปแล้ว”
“เฮ้อ เราตกใจหมดเลย”
อสูรทุกตนของวูจินเกลียดสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นผีดิบจึงไม่เข้ากับสตรีศักดิ์สิทธิ์นัก บิบิเป็นอสูรก็ดูจะไม่ต่างกัน เธอรู้สึกรังเกียจตามสัญชาติญาณ
“ฮิๆ เจมินดีขึ้นแล้วนะ”
“โอ้ เหรอ?”
นี่เป็นข่าวดีที่สุดของวันนี้
“เขาทำอะไรอยู่ล่ะ?”
“เขาออกไปล่าตอนเช้า ตอนนี้อยู่บ้าน”
วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จและซื้อหนังสือคู่มือเกี่ยวกับสงครามมิติ เขาอ่านผ่านๆไม่มีอะไรใหม่ มันพูดถึงพื้นฐานและระบบต่างๆที่เขารู้มาแล้วจากการซ้อมรบ
“อ่านนี่ เธอต้องไปสู้สงครามมิติแทนฉัน”
“ได้จ้า”
บิบิรับหนังสือแล้วกระโดดจากไป เธอเข้าไปในกระท่อมน่ารักหน้าปราสาท ดูเหมือนจะเธอจะซื้อบ้านให้ตัวเอง
“ฉันยกอำนาจให้ข้ารับใช้ตัวเองเป็นตัวแทนได้”
ถ้าเลี่ยงสงครามมิติไม่ได้ก็แค่ต้องเข้าร่วม ถ้าชนะก็ดีไป แต่ถ้าเขาเตรียมตัวไม่พอก็ช่วยไม่ได้
แต่เขาต้องแก้แค้นด้วยการดวล
เกรทลอร์ดของบัลลังก์ทั้ง 72 เป็นอันดับสูงมาก แต่วูจินมั่นใจว่าเขาสู้พวกมันได้ในการดวล ถ้าเขาจะแพ้ในสงครามมิติเขาก็จะไม่ร่วมสงคราม
เขาจะให้บิบิไปแทน เล่นสนุกสักหน่อย ถ้าเสียพลังงานหรือไอเทมเขาก็แค่เอาคืนมาด้วยการดวล
วูจินสลัดความหงุดหงิดจากการรบทิ้งไปแล้วเดินไปทางบ้านเจมิน
“เจมิน อยู่หรือเปล่า?”
“ครับพี่”
วูจินเปิดประตูเข้าไป เจมินกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ
“หือ ไปเอาหนังสือมาจากไหน?”
“ผมซื้อจากร้านของชำข้างหน้านี่เอง”
ข้างนอกผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ แต่ในอาณาเขตมิติเป็นเวลาราว 20 วัน วูจินพัฒนาอาณาเขตของเขาโดยมุ่งไปที่สภาพความเป็นอยู่ของประชากร
จากเดิมที่มีแต่ที่ว่าง เขาสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาหลายแห่ง เขาสร้างร้านหลายร้านเช่นร้านของชำ ร้านแล่เนื้อ ผับ ร้านอาหาร มีกระทั่งร้านกาแฟ
วูจินรับผู้อพยพเข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงมีเผ่าโฮอิน ออร์ค ดวาร์ฟ แม้แต่มนุษย์ก็มี
วูจินมีกฎเพียงข้อเดียว ไม่อนุญาตให้ประชากรล่าในดันเจี้ยนหนึ่งเดียวที่เขามี ไม่มีระบบผลงานเพราะดันเจี้ยนสถานีโซลทางออกที่ 1 ถูกห้ามล่า
เพราะเขาไม่เรียกค่าธรรมเนียมจากผู้อพยพที่มาพักไม่นาน กฎของเขาจึงไม่ทำร้ายใคร
“หนังสืออะไร?”
“แค่บันทึกท่องเที่ยวน่ะครับ”
วูจินมองหน้าปก มันเป็นบันทึกท่องเที่ยวของนักเขียนที่ไปเยี่ยมอาณาเขตมิติขึ้นชื่อต่างๆ
วูจินนั่งที่โต๊ะ
“ได้ยินว่านายไปล่ามา”
“...ครับ”
“เป็นไงบ้าง?”
“มันก็...”
วูจินเกาหัวด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก
อาการกระหายเลือดของเขาแย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงขอไปล่ากับคิบะ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจหน้ามืดกระโดดใส่ชาวเมือง
มอนสเตอร์กับชาวเมืองผู้อพยพไม่ต่างกันนัก
ถ้าพวกเขาทำตามกฎของอาณาเขตเพื่อตั้งถิ่นฐาน พวกเขาก็คือผู้อพยพ ถ้าไม่ พวกเขาก็ถูกมองเป็นมอนสเตอร์ ไม่เกี่ยวว่ามาจากเผ่าสายพันธ์ไหน
มนุษย์ล่ามนุษย์ ออร์คกับเอลฟ์ร่วมมือกัน
เจมินช็อกกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง และช็อกที่ได้รู้ว่ามีอาณาเขตมิติอื่นๆ แต่ดูเหมือนเขาจะเริ่มชินบ้างแล้ว
“เราไปหาพี่นายกันได้แล้วยัง?”
“เอ่อ ให้พี่ผมมาที่นี่ได้ไหมครับ?”
“กับพี่นายคงลำบาก”
มีแต่เราส์ที่เข้าดันเจี้ยนได้ พูดให้ถูกคือมีแต่เราส์ที่ผ่านอุโมงค์ได้
จีวอนเป็นคนธรรมดา และเมื่อนึกถึงวิญญาณบริสุทธิ์ของเธอแล้วโอกาสที่เธอจะกลายเป็นเราส์มีน้อยมาก
“ผมจะออกไป...แต่ช่วยบอกให้เธอรออีกหน่อยนะครับ”
“อืม นายไม่ต้องรีบก็ได้”
จีวอนเป็นห่วงเขามาก แต่สุดท้ายเจมินต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“แล้วก็ พี่ครับ...”
“หืม?”
เจมินมองวูจินสีหน้าเครียด
“พี่เป็นเทพเหรอ?”
“เทพ?”
เจมินอยากรู้จริงๆ
ภายในอาณาเขตมิติของตัวเอง จะคิดว่าลอร์ดเป็นเทพก็ไม่เกินไป
ถ้ามีพลังงาน ไม่ว่าอะไรก็ทำให้เป็นจริงได้
เขาเป็นเทพเหรอ?
วูจินส่ายศีรษะ
“ฉันเป็นคน”
เขาเคยเจอทวยเทพมาก่อน แต่พวกเขาต่างจากวูจิน ไม่ใช่ วูจินไม่อยากเป็นเช่นเดียวกับพวกเขา
“เฮ้อ อ้อ คนที่นี่เขากังวลกัน”
“ใคร?”
“คนในอาณาเขตครับ เขาบอกว่าลอร์ดที่นี่อ่อนแอ... พวกเขาห่วงว่าอาณาเขตของพี่จะถูกชิงไป”
เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไมพวกเขาถึงมองว่าวูจินอ่อนแอ
ปกติแล้วลอร์ดจะเรียกภาษีสูงมากถ้าผู้อพยพต้องการมาตั้งถิ่นฐาน ตอนนี้วูจินไม่แม้แต่เรียกค่าธรรมเนียมตั้งถิ่นฐาน เขาเก็บภาษีจากธุรกิจที่เขาทำ
วูจินมีฟาร์มต้นไม้เลือด ดังนั้นจึงมีผู้อพยพหลายคนมาอยู่และอยากทำงานให้เขา
เนื่องจากวูจินไม่ล่าในดันเจี้ยน บลัดสโตนที่เขารวบรวมมาได้จึงน้อย ถ้าการป้องกันไม่แข็งแกร่งก็มีสิทธิ์กลายเป็นเหยื่อของลอร์ดคนอื่น
ถ้าอาณาเขตนี้ถูกโจมตี สภาพของพวกเขาจะเลวร้ายลงและต้องอพยพไปตามอาณาเขตอื่นๆอีก
วูจินถามกลับ
“ฉันเหมือนคนอ่อนแอเหรอ?”
“ไม่มีทาง”
วูจินไม่เห็นความจำเป็นต้องขูดรีดจากคนในอาณาเขตของเขาเอง เป้าหมายของเขาคือบัลลังก์ทั้ง 72 ที่พัฒนาไปไกลกว่าเขามาก เขาไม่มีแผนไปเกลือกกลั้วกับลอร์ดแรงค์ต่ำ
“อย่าอยู่แต่ในบ้าน นายควรออกล่าเหมือนวันนี้ มองอีกแง่นายก็เป็นเราส์แล้วนี่?”
“เราส์เหรอ?”
“ใช่ มองจากมุมมองคนธรรมดา เราส์ก็คือมอนสเตอร์”
“เราส์...”
เจมินซึมซับคำนี้ช้าๆ
เขามีความสามารถดื่มเลือดและความสามารถเปลี่ยนร่าง เขาควรมองตัวเองเป็นเราส์ที่พิเศษไปหน่อยได้ไหมนะ?
“นายพักเถอะ”
“ครับพี่”
วูจินออกจากบ้านเจมิน
วูจินมองสิ่งมีชีวิตจากเผ่าต่างๆเดินบนถนนระหว่างสิ่งปลูกสร้าง พวกเขามองวูจินและทักทาย เมื่อการทักทายจบลงพวกเขาถอยห่างไปอย่างระมัดระวัง วูจินยิ้มขำ
‘อ่อนแอเหรอ’
ถ้าคิดถึงการรบระหว่างมิติว่าทำวูจินหงุดหงิดเพียงใด พวกเขาอาจจะถูกก็ได้ ถ้าเขาไม่มีความสามารถด้านกลยุทธ์เขาคงแพ้ทุกครั้ง สงครามมิติก็เหมือนเกมของชนชั้นสูง
ลอร์ดสู้กันโดยไม่ต้องลงสนามรบเอง
พวกเขาปกป้องชีวิตตัวเองและใช้ลูกน้องรวบรวมพลังงาน วิธีนี้ไม่เข้ากับวูจิน
“จะไอ้ขี้แพ้คนไหนก็ช่าง ถ้าจะเล่นงานฉันก็เตรียมตัวไว้เถอะ”
ใครจะสนเรื่องเสียพลังงานไปหมื่นสองหมื่นหน่วย?
เขาจะแก้แค้นด้วยการดวลและเอาทั้งหมดคืนมา วูจินตั้งตารอ ใครจะเป็นคนแรกที่ประกาศสงคราม
***
อาณาเขตมิติ หนองน้ำโคโมด ลำดับที่ 3,213
หัวหน้าเผ่า โคโมด เป็นเจ้าของอาณาเขตนี้ เขามีร่างกายยาว เขี้ยวยาว เขาเป็นโทรล
“คึฮึๆ เจอเหยื่อดีๆแล้ว”
โคโมดมองอาณาเขตใหม่ อลันดาล ที่อยู่เหนือเขาลำดับหนึ่ง เขายิ้ม
ช่วงคุ้มครองมีเพื่อให้ลอร์ดใหม่ได้เตรียมพร้อม แต่ลอร์ดใหม่ที่เตรียมตัวมาพร้อมจริงๆนั้นหาเจอยาก
“ชื่อเขาคือคังวูจิน มือใหม่ยิ่งกว่าใหม่”
เขาเป็นลอร์ดแห่งมิติคนแรกจากมิติที่เรียกว่าโลก
ลอร์ดแห่งมิติคนนี้ไม่มีประสบการณ์ปกครองอาณาเขตมิติอื่นมาก่อน จึงไม่มีทางที่จะเตรียมตัวพร้อม ต่อให้เตรียมตัวมาเขาย่อมไม่ถนัดด้านสงครามมิติ
“ข้าต้องสู้กับมันก่อนคนอื่น คึฮึๆ”
อาณาเขตแบบนี้ใครมาก่อนได้ก่อน
เดิมพันด้วยพลังงานในปริมาณสูงสุดในขณะที่ลอร์ดยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเป็นอะไรจะดีที่สุด เขาต้องขูดรีดมาให้ได้มากที่สุดในครั้งเดียว ถ้าทำได้เขามีโอกาสเพิ่มลำดับไป 300 ลำดับในทีเดียว
โคโมดรอจนช่วงคุ้มครองของอาณาเขตใหม่อลันดาลสิ้นสุด เขานั่งบนบัลลังก์ก่อนช่วงคุ้มครองสิ้นสุดหนึ่งชั่วโมง พร้อมจะส่งคำท้ารบ
เขาต้องเร็วกว่าคนอื่น!
เมื่อเวลามาถึง โคโมดส่งคำท้ารบ เขาลุ้นใจจดใจจ่อ แล้วดวงตาก็เบิกโพลง
<สงครามมิติกับอลันดาลจะเริ่มขึ้น>
“คึ ฮ่าๆๆๆ”
โคโมดร้องอย่างยินดี
“ไปปล้นเขาให้หมดเลยไหม?”
โคโมดนั่งบัลลังก์และมุ่งไปยังพื้นที่ๆจะทำสงคราม
***
<คุณได้รับคำท้ารบจากโคโมด ต้องการปฏิเสธหรือไม่?>
<คุณสามารถปฏิเสธได้ถึง 3 ครั้ง หลังจากนั้นจะถูกบังคับให้รับคำท้า>
<หากชนะ คุณจะได้รับช่วงคุ้มครอง 4 วัน หากแพ้ คุณจะได้รับช่วงคุ้มครอง 12 วัน>
“มาจนได้”
วูจินยิ้มขณะนั่งบนบัลลังก์ ตรงหน้าเขามีเก้าอี้เล็กตัวหนึ่ง
<ผู้บัญชาการอาณาเขตมิติ>
บิบิที่จะทำสงครามแทนเขานั่งตรงนั้น เธอมีสีหน้ามุ่งมั่น
“ไปเสี่ยงโชคให้เต็มที่เลย”
“ฮึ่ม เราจะชนะ เจ้านายไม่ต้องห่วง สัญญาแล้วนะว่าถ้าเราชนะจะให้เราใช้พลังงานครึ่งนึงน่ะ?”
วูจินยิ้ม
“แน่นอน”
เขาไม่สนใจว่าเธอจะชนะหรือแพ้ เขาจะแก้แค้นหลังจากรบเสร็จ
ปีใหม่มาถึงอีกปีแล้ว สุขสันต์วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ค่ะ ^^
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 118
บทที่ 118 – ซ้อมรบ
วูจินบีบคอเมโลดี้ทันทีที่เธอผ่านอุโมงค์มา
“อึก”
เหตุเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เมโลดี้มองวูจินด้วยดวงตาสั่นไหว เขามองเธออย่างเย็นชา
“เธอรับใช้ใคร?”
“ผ...ผู้ไม่ตายโปรดเมตตา...”
เมโลดี้มองวูจินอย่างหวาดกลัว ดวงตานิ่งไร้ความรู้สึกของเขาคือดวงตาของผู้ไม่ตายที่เธอรู้จักดี เธอไม่อาจอ่านความรู้สึกจากดวงตาเขาได้ เธอไม่อาจมองเข้าไปในดวงตาของเขาได้
“พูด”
คอของเมโลดี้ถูกบีบ แม้แต่การหายใจเธอยังทำได้ลำบาก
“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็เป็นลอร์ดแห่งมิติเช่นกัน”
วูจินปล่อยมือ
“เฮือก”
เมโลดี้หายใจหอบ ผู้ไม่ตายปล่อยจิตสังหารเพียงชั่วครู่แต่แรงกดดันทำให้เธอหมดแรง
“งั้นเธอก็ไม่ใช่ข้ารับใช้ของลอร์ดแห่งมิติคนอื่น?”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอผ่านดันเจี้ยนมาได้ยังไง?”
เมโลดี้มาจากโลกอัลเฟน เธอใช้ดันเจี้ยนเป็นอุโมงค์เชื่อมโลกนั้นกับอาณาเขตมิติ
เธออยู่ในดันเจี้ยน แต่ไม่ถูกมอนสเตอร์โจมตี
เพราะเหตุนี้วูจินถึงคิดว่าเธอเป็นข้ารับใช้ของเจ้าของดันเจี้ยน
“ฉันเคยมีอาณาเขตมิติค่ะ”
“เคย? แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ถูกชิงไปแล้วค่ะ”
วูจินขมวดคิ้ว ดูท่าเรื่องจะยาว เขานั่งบนบัลลังก์
“พูดมาให้หมด”
“ฉันมาที่โลก...”
สหพันธ์ของอัลเฟนได้ชิ้นส่วนมิติมาหลังสละชีวิตนักรบไปมากมาย เมื่อรวมชิ้นส่วนมิติเป็นหลักฐานมิติ เมโลดี้ได้รับคำพยากรณ์จากเทพีของเธอและมุ่งตรงมาที่ดันเจี้ยนหนึ่ง
มันเป็นดันเจี้ยนไร้เจ้าของ และอัตราความเข้ากันได้ตรงกับเธอ เธอกลายเป็นลอร์ดแห่งมิติ
จากนั้น เธอต้องการชิ้นส่วนมิติอีกหนึ่งชิ้นเพื่อเชื่อมต่อมาที่ดันเจี้ยนบนโลก แต่ระหว่างช่วงคุ้มครอง 30 วัน เธอเตรียมอาณาเขตของเธอไม่พร้อม เกิดสงครามมิติหลายต่อหลายครั้งจนเธอแพ้
ค่าของการแพ้นั้นสูงมาก
ทางเข้าดันเจี้ยนที่เชื่อมไปยังอัลเฟนถูกชิงไป
เมโลดี้ถูกขังในอาณาเขตมิติของเธอเอง เธอสามารถสู้ต่อเพื่อชิงดันเจี้ยนกลับมา หรือหาชิ้นส่วนมิติอื่น มีแค่สองทางเลือกนี้
แต่เธอไม่มีความสามารถด้านการจัดการอาณาเขต อาณาเขตของเธอเริ่มเสื่อมถอยและอันดับของเธอก็ร่วงลง
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะไม่สามารถกลับไปอัลเฟนได้ เธอกำลังจะกลายเป็นผู้เร่ร่อน ดังนั้นเธอจึงถามเทพี
‘บนโลกมีผู้ช่วย’
เมโลดี้เชื่อในคำพยากรณ์ เธอจึงหลักฐานมิติ เธอสมัครใจเลิกเป็นลอร์ดแห่งมิติ ต้องใช้ชิ้นส่วนมิติ 3 ชิ้นในการรวมเป็นหลักฐานมิติแต่หลังจากถูกทำลายกลับได้คืนมาเพียง 2 ชิ้น
เมโลดี้ใช้ชิ้นส่วนมิติ 1 ชิ้นซื้อดันเจี้ยนแห่งหนึ่งจากร้านค้าแห่งมิติ
เธอไม่ใช่ลอร์ดแห่งมิติอีกต่อไป แต่อยู่ในกลุ่มของเจ้าของมิติ เธอทิ้งอาณาเขตมิติของตัวเองเพื่อมาที่โลก
เธอซื้อดันเจี้ยนทำให้ดันเจี้ยนสถานีใต้ดินแห่งหนึ่งของอเมริกาถูกรีเซ็ท และกลุ่มแรกที่เจอเธอคือกิลด์ไททัน
“หืม”
หลังจากฟังเมโลดี้ วูจินหยิบหลักฐานมิติของเขาขึ้นมา
<หลังจากทำลาย คุณจะได้รับชิ้นส่วนมิติ (2)>
<ระดับของคุณจะถูกลดจาก ‘ลอร์ด’ เป็น ‘พลเมืองอิสระ’>
เมโลดี้ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมหลังจากพูดจบ
วูจินมองเธอ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็หมายความว่าเธอไม่ใช่ข้ารับใช้ของลอร์ดแห่งมิติคนไหน
“ก็ได้ ฉันจะเลิกสงสัยเธอ”
“ขอบคุณที่ให้โอกาสฉันอธิบายค่ะ”
วูจินได้ความรู้ใหม่ นั่นคือบอสตัวแรกที่โผล่มาเมื่อเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท
‘นั่นคือเจ้าของดันเจี้ยน’
ถ้าเจ้าของดันเจี้ยนป้องกันดันเจี้ยนครบ 30 วันจะสามารถออกมาได้ นี่คือสิ่งที่คนบนโลกเรียกว่าดันเจี้ยนเบรก
แต่ที่น่ากลัวคือลอร์ดแห่งมิติไม่มีช่วงห้าม 30 วัน พวกนั้นสามารถส่งมอนสเตอร์ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
ที่ถูกคือ ลอร์ดแห่งมิติสามารถอนุญาตให้ประชากรในอาณาเขตออกล่า ไม่ได้มีแต่มอนสเตอร์ที่ถูกส่งออกมา
“ด้วยความเคารพ... การป้องกันของอาณาเขตต้องเข้มแข็งค่ะ ท่านจ้าว”
“มีคิบะอยู่ และกองทัพผีดิบด้วย น่าจะพอ”
วูจินมั่นใจว่าเขาสามารถขับไล่กองทัพที่บุกเข้ามาได้หมด แต่เมโลดี้ส่ายศีรษะด้วยสีหน้ากังวล
“หลังผ่านช่วงคุ้มครองไป คำขอท้ารบจะถูกส่งมานับไม่ถ้วน... ตอนนั้นคุณจะไม่สามารถใช้กองทัพผีดิบได้ค่ะ”
“...?”
วูจินมองอย่างสงสัยเต็มที่ เมโลดี้พูดต่อ
“การป้องกันที่คุณมีตอนนี้แค่ใช้กับผู้มาเยือนค่ะ”
ตอนสู้กับลอร์ดอื่น สงครามจะเกิดในอาณาเขตที่ต่างไป กองรบธรรมดาใช้ไม่ได้
ตอนสู้กับศัตรูที่ผ่านดันเจี้ยนมา ลอร์ดสามารถใช้กองกำลังอะไรก็ได้ที่มีอยู่ และพลังส่วนตัวของลอร์ดเองก็ใช้ได้ แต่ในการรบระหว่างมิติจะมีกฎที่ต่างไปเล็กน้อย
“มันเหมือนหมากรุกค่ะ”
ตอนแรกเมโลดี้ไม่รู้ ในระหว่างที่เธอสับสนเธอก็เสียอาณาเขตและพลังงานอาณาเขตไปทีละน้อย เมโลดี้เป็นห่วงว่าวูจินจะเจอแบบเดียวกับเธอ
ลอร์ดคนใหม่มีช่วงคุ้มครอง 30 วัน และเขาต้องสร้างการป้องกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คุณต้องรวบรวมตัวหมาก”
“หืม อธิบายที่เธอรู้มาให้หมด”
“สำหรับลอร์ดแล้ว สงครามมิติคือเกมและสงครามการปล้นชิง...”
มีแต่ลอร์ดที่สามารถเข้าร่วมในสงครามมิติ มันเหมือนการแข่งขันหมากรุกที่ลอร์ดใช้ทรัพยากรในอาณาเขตเพื่อเล่นเกมสงคราม
“คุณอยากเข้าร่วมการซ้อมรบไหมคะ?”
“ซ้อมรบ?”
เมื่อวูจินนึกถึงการซ้อมรบ เมนูก็โผล่ขึ้นมา
<คุณสามารถฝึกในสงครามมิติจำลอง>
“ก็ได้ ลองซักครั้ง”
<กรุณาเลือกจำนวนพลังงานที่จะใช้เป็นเดิมพัน 10,000 20,000 30,000...>
จำนวนเดิมพันเพิ่มทีละ 10,000 เมื่อวูจินเลือก 10,000 จอหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา
<กำลังเลือกคู่ต่อสู้ คุณถูกจับคู่กับเคานต์ลิตอนจากเผ่ามนุษย์>
ขุนนางผู้มีหนวดขาวสะดุดตาปรากฏในหน้าจอ มีข้อมูลคร่าวๆให้เห็น แล้วภาพตรงหน้าวูจินก็เริ่มขยายออก
เหมือนตอนที่เขาสร้างสิ่งก่อสร้าง เขามองเห็นทั้งอาณาเขตเหมือนกำลังมองลงมาจากท้องฟ้า
<กำลังเลือกสนามรบ ที่ราบเลเทรียถูกเลือก>
ที่ราบขนาดเท่าอาณาเขตของวูจินถูกเลือกขึ้นมา มันกว้างแต่มีหลุมนับไม่ถ้วนอยู่ตามที่ต่างๆ
<พลังงานถูกส่งไปที่ที่ราบเลเทรีย>
พลังงาน 10,000 หน่วยถูกดึงจากวูจินและเคานต์ลิตอน พลังงาน 20,000 หน่วยกลายเป็นต้นไม้เลือดและบลัดสโตนตามที่ต่างๆ
<การซ้อมรบระหว่างคุณกับเคานต์ลิตอนเริ่มขึ้นแล้ว>
<คุณจะไม่เสียพลังงานที่ใช้ในการซ้อมรบ>
<ผู้ชนะในการซ้อมรบจะไม่สามารถชิงสิทธิ่จากอีกฝ่ายได้>
วูจินลบข้อความที่โผล่มาเป็นแถวไปแล้วสำรวจสนามรบ
เขาได้มองทั้งสนามแค่ชั่วครู่ จากนั้นเขารู้สึกเหมือนตกลงมาและภาพก็หดลงไปที่จุดเดียว
“ท่านลอร์ดโปรดบัญชาการ”
ตรงหน้าวูจินมีซูซุนอัคกับเผ่าโฮอินอีก 4 คนยืนเรียงแถว วูจินยกมือขึ้นและเห็นขนสีเหลือง มันเป็นแขนของผู้คนเผ่าโฮอิน
‘สิงร่าง?’
วูจินเอียงคองง มองโฮอิน 4 นายตรงหน้าเขา เมื่อเขาคิดสิงโฮอินคนอื่น ภาพก็เปลี่ยนไป
“อึก”
วูจินมองร่างที่เขาเพิ่งสิงไป
“ท่านลอร์ดโปรดบัญชาการ”
วูจินขมวดคิ้ว
‘เหมือนจะรู้แฮะว่านี่มันเรื่องอะไร’
มีโฮอิน 5 คนรวมที่วูจินกำลังสิงอยู่ เขาสามารถควบคุมโฮอินคนไหนก็ได้ โชคดีที่เขาคุ้นกับการเปลี่ยนวิญญาณกับกาเกบิจึงปรับตัวได้เร็ว
วูจินมองรอบๆและเห็นอาคารเก่าๆอยู่ไม่ไกล มันมีหอคอย 3 ชั้น ปราสาทเล็กๆจนไม่เหมือนปราสาทนี้มีขนาดเท่าบ้านพักตากอากาศ
เมื่อวูจินจ้องไป เขารู้สึกมึนวูบหนึ่งและวิญญาณเคลื่อนไป เขาอยู่ในปราสาทนั่งบนบัลลังก์ แม้จะอยู่ในตัวอาคารแต่เขาเห็นข้างนอกได้
เขามองที่เผ่าโฮอิน 5 คนยืนเตรียมพร้อมหน้าปราสาท ตัวเลขเหมือนคุ้นแต่ไม่คุ้นติดบนมุมหนึ่งของภาพ
[บลัดสโตน 100 ประชากร 5/10]
วูจินเข้าใจขึ้นมารางๆ
‘คาออส?’
นี่มันเหมือนเกมที่เขาเคยเล่นสมัยเรียนเลยไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ มันเป็นคนละประเภท
‘เหมือนเกมแนววางแผนเลยนี่?’
มีตึกต่างๆที่เหมือนเป็นฐานทัพ เราต้องส่งคนงานไปรวบรวมทรัพยากรเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่ม จากนั้นก็สู้กับศัตรู...
“ไปรวบรวมต้นไม้เลือดมา”
“รับบัญชา”
วูจินอยู่ในปราสาท แต่เขาได้ยินเสียงของโฮอินข้างนอกเหมือนพวกเขากำลังพูดอยู่ต่อหน้า ระหว่างนั่งบนบัลลังก์ วูจินเจอว่าเขาสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างประเภทต่างๆได้
[กระท่อม, ฟาร์ม, ต้นไม้ล่อมอนสเตอร์, สนามฝึกออร์ค, รังไวเวิร์น...]
วูจินพยักหน้าพลางมองสิ่งก่อสร้างที่เขาสร้างได้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมโลดี้ถึงเรียกนี่ว่าเกมหมากรุก
ยูนิตและสิ่งก่อสร้างที่ใช้ในสงครามมิติคือสิ่งที่เขามีในอาณาเขตมิติ
ระหว่างรบเขาไม่สามารถใช้ร้านค้าแห่งมิติได้ ดังนั้นจึงต้องมีของพวกนี้ไว้ก่อน
พลังงานมีทั่วไปในที่ราบ แต่วูจินสร้างเหมืองขุดบลัดสโตนไม่ได้ และอาคารฝึกทหารเขาก็สร้างได้แต่สนามฝึกออร์คกับรังไวเวิร์น สนามฝึกออร์คใช้บลัดสโตนไม่มาก แต่รังไวเวิร์นต้องใช้มาก
‘สร้างรังจะไม่คุ้ม’
กว่าเขาจะเก็บบลัดสโตนพอสร้างรังไวเวิร์นได้สักรังก็คงถูกโจมตีก่อนและแพ้
วูจินตัดสินใจสร้างคนงาน (พลังงาน 50 หน่วย) ที่สามารถสร้างได้ในปราสาท ไม่นานคนงาน 2 คนก็ออกจากปราสาทไปยืนตรงข้างนอก
วูจินเพิ่มสองคนนั้นไปเป็นกลุ่ม 7 คน เขาสั่งให้ไปรวบรวมต้นไม้เลือด พวกเขาทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ตอนนี้เขามีบลัดสโตน 500 ก้อน เขาสั่งให้คนงานสร้างสนามฝึกออร์ค
สองคนถูกส่งไปสร้างสนามฝึกออร์คใกล้ปราสาท
ระหว่างนั้น คนงาน 5 คนยังเก็บต้นไม้เลือดง่วน ระหว่างสนามฝึกออร์คกำลังสร้าง วูจินสร้างคนงานเพิ่มอีก 3 คน
<จำนวนประชากรมาถึงขีดจำกัด กรุณาสร้างกระท่อม>
“เฮ้อ... ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน แต่น่าหงุดหงิดชะมัด”
วูจินหงุดหงิด เขามีกองทัพผีดิบเป็นหมื่นแต่ใช้ไม่ได้
“พวกมันทำบ้าอะไรกัน?”
ทำไมลอร์ดแห่งมิติถึงเล่นเกมนี้? ทำไมถึงเดิมพันพลังงานเพิ่มลำดับให้ตัวเอง?
ขณะวูจินทำใจให้เย็นลง กระท่อมก็ถูกสร้างเพิ่ม
ขีดจำกัดประชากรของเขาเพิ่มเป็น 20 และสนามฝึกออร์คก็แล้วเสร็จ
กำลังทหารที่วูจินฝึกได้เป็นเช่นเดียวกับที่อยู่ในอาณาเขตมิติของเขา เขาสั่งสร้างทหาร 2 นาย ออร์คตนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปในสนามฝึก
เวลาฝึกทหารยาวกว่าเวลาสร้างคนงาน 5 เท่า 10 นาทีผ่านไป
วูจินขมวดคิ้วรอทหารออร์คออกมา
<ทหารออร์ค : 50 หน่วยพลังงาน นักรบออร์ค : 150 หน่วยพลังงาน>
‘จะเตรียมทุกอย่างในช่วงคุ้มครองคงยาก’
ในสงครามจริง เขาคงไม่สามารถทำสงครามโดยมีแค่สนามฝึกออร์คกับรังไวเวิร์น เหมืองขุดบลัดสโตนก็จำเป็นต้องมี
มีสิ่งก่อสร้างพื้นฐานที่อาณาเขตต้องการเยอะมาก
เขาต้องหาวัตถุดิบจำนวนมากเพื่อใช้ในสงครามมิติ
ทักษะและกลยุทธ์ของกองทัพเอามาใช้ในสงครามไม่ได้เพราะไม่มีในอาณาเขตมิติของเขา เขายังต้องลงทุนวิจัยด้านสิ่งก่อสร้างด้านกองทัพเพื่อสิ่งก่อสร้างที่ยังสร้างไม่ได้
เหลือเวลาอีกแค่ 6 วัน
เขาไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นเขาจะมีกำลังพื้นฐานพร้อมไหม...
10 นาทีผ่านไป ออร์คเดินออกมาจากสนามฝึก เป็นทหารร่างกำยำถือหอก
เมื่อได้ทหารออร์คมา 3 นาย วูจินเห็นทหารราบของเคาน์ตลิตอน 7 นายกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาถือดาบ,โล่และเกราะหนัง ดูน่าเกรงขาม
“นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆแฮะ”
มันเหมือนเขาถูกมัดมือเท้า
วูจินมีทหารออร์คให้ใช้เพียง 3 นาย
กลายเป็นยูริไปซะแหล่ว TwT
แนะนำการ์ตูนค่ะ Solo leveling อ่านแล้วนึกถึงนิยายเรื่องนี้เลย :D ภาพสวย พระเอกหล่อดี XD
วูจินบีบคอเมโลดี้ทันทีที่เธอผ่านอุโมงค์มา
“อึก”
เหตุเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เมโลดี้มองวูจินด้วยดวงตาสั่นไหว เขามองเธออย่างเย็นชา
“เธอรับใช้ใคร?”
“ผ...ผู้ไม่ตายโปรดเมตตา...”
เมโลดี้มองวูจินอย่างหวาดกลัว ดวงตานิ่งไร้ความรู้สึกของเขาคือดวงตาของผู้ไม่ตายที่เธอรู้จักดี เธอไม่อาจอ่านความรู้สึกจากดวงตาเขาได้ เธอไม่อาจมองเข้าไปในดวงตาของเขาได้
“พูด”
คอของเมโลดี้ถูกบีบ แม้แต่การหายใจเธอยังทำได้ลำบาก
“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันก็เป็นลอร์ดแห่งมิติเช่นกัน”
วูจินปล่อยมือ
“เฮือก”
เมโลดี้หายใจหอบ ผู้ไม่ตายปล่อยจิตสังหารเพียงชั่วครู่แต่แรงกดดันทำให้เธอหมดแรง
“งั้นเธอก็ไม่ใช่ข้ารับใช้ของลอร์ดแห่งมิติคนอื่น?”
“ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเธอผ่านดันเจี้ยนมาได้ยังไง?”
เมโลดี้มาจากโลกอัลเฟน เธอใช้ดันเจี้ยนเป็นอุโมงค์เชื่อมโลกนั้นกับอาณาเขตมิติ
เธออยู่ในดันเจี้ยน แต่ไม่ถูกมอนสเตอร์โจมตี
เพราะเหตุนี้วูจินถึงคิดว่าเธอเป็นข้ารับใช้ของเจ้าของดันเจี้ยน
“ฉันเคยมีอาณาเขตมิติค่ะ”
“เคย? แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ถูกชิงไปแล้วค่ะ”
วูจินขมวดคิ้ว ดูท่าเรื่องจะยาว เขานั่งบนบัลลังก์
“พูดมาให้หมด”
“ฉันมาที่โลก...”
สหพันธ์ของอัลเฟนได้ชิ้นส่วนมิติมาหลังสละชีวิตนักรบไปมากมาย เมื่อรวมชิ้นส่วนมิติเป็นหลักฐานมิติ เมโลดี้ได้รับคำพยากรณ์จากเทพีของเธอและมุ่งตรงมาที่ดันเจี้ยนหนึ่ง
มันเป็นดันเจี้ยนไร้เจ้าของ และอัตราความเข้ากันได้ตรงกับเธอ เธอกลายเป็นลอร์ดแห่งมิติ
จากนั้น เธอต้องการชิ้นส่วนมิติอีกหนึ่งชิ้นเพื่อเชื่อมต่อมาที่ดันเจี้ยนบนโลก แต่ระหว่างช่วงคุ้มครอง 30 วัน เธอเตรียมอาณาเขตของเธอไม่พร้อม เกิดสงครามมิติหลายต่อหลายครั้งจนเธอแพ้
ค่าของการแพ้นั้นสูงมาก
ทางเข้าดันเจี้ยนที่เชื่อมไปยังอัลเฟนถูกชิงไป
เมโลดี้ถูกขังในอาณาเขตมิติของเธอเอง เธอสามารถสู้ต่อเพื่อชิงดันเจี้ยนกลับมา หรือหาชิ้นส่วนมิติอื่น มีแค่สองทางเลือกนี้
แต่เธอไม่มีความสามารถด้านการจัดการอาณาเขต อาณาเขตของเธอเริ่มเสื่อมถอยและอันดับของเธอก็ร่วงลง
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอจะไม่สามารถกลับไปอัลเฟนได้ เธอกำลังจะกลายเป็นผู้เร่ร่อน ดังนั้นเธอจึงถามเทพี
‘บนโลกมีผู้ช่วย’
เมโลดี้เชื่อในคำพยากรณ์ เธอจึงหลักฐานมิติ เธอสมัครใจเลิกเป็นลอร์ดแห่งมิติ ต้องใช้ชิ้นส่วนมิติ 3 ชิ้นในการรวมเป็นหลักฐานมิติแต่หลังจากถูกทำลายกลับได้คืนมาเพียง 2 ชิ้น
เมโลดี้ใช้ชิ้นส่วนมิติ 1 ชิ้นซื้อดันเจี้ยนแห่งหนึ่งจากร้านค้าแห่งมิติ
เธอไม่ใช่ลอร์ดแห่งมิติอีกต่อไป แต่อยู่ในกลุ่มของเจ้าของมิติ เธอทิ้งอาณาเขตมิติของตัวเองเพื่อมาที่โลก
เธอซื้อดันเจี้ยนทำให้ดันเจี้ยนสถานีใต้ดินแห่งหนึ่งของอเมริกาถูกรีเซ็ท และกลุ่มแรกที่เจอเธอคือกิลด์ไททัน
“หืม”
หลังจากฟังเมโลดี้ วูจินหยิบหลักฐานมิติของเขาขึ้นมา
<หลังจากทำลาย คุณจะได้รับชิ้นส่วนมิติ (2)>
<ระดับของคุณจะถูกลดจาก ‘ลอร์ด’ เป็น ‘พลเมืองอิสระ’>
เมโลดี้ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อมหลังจากพูดจบ
วูจินมองเธอ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็หมายความว่าเธอไม่ใช่ข้ารับใช้ของลอร์ดแห่งมิติคนไหน
“ก็ได้ ฉันจะเลิกสงสัยเธอ”
“ขอบคุณที่ให้โอกาสฉันอธิบายค่ะ”
วูจินได้ความรู้ใหม่ นั่นคือบอสตัวแรกที่โผล่มาเมื่อเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท
‘นั่นคือเจ้าของดันเจี้ยน’
ถ้าเจ้าของดันเจี้ยนป้องกันดันเจี้ยนครบ 30 วันจะสามารถออกมาได้ นี่คือสิ่งที่คนบนโลกเรียกว่าดันเจี้ยนเบรก
แต่ที่น่ากลัวคือลอร์ดแห่งมิติไม่มีช่วงห้าม 30 วัน พวกนั้นสามารถส่งมอนสเตอร์ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
ที่ถูกคือ ลอร์ดแห่งมิติสามารถอนุญาตให้ประชากรในอาณาเขตออกล่า ไม่ได้มีแต่มอนสเตอร์ที่ถูกส่งออกมา
“ด้วยความเคารพ... การป้องกันของอาณาเขตต้องเข้มแข็งค่ะ ท่านจ้าว”
“มีคิบะอยู่ และกองทัพผีดิบด้วย น่าจะพอ”
วูจินมั่นใจว่าเขาสามารถขับไล่กองทัพที่บุกเข้ามาได้หมด แต่เมโลดี้ส่ายศีรษะด้วยสีหน้ากังวล
“หลังผ่านช่วงคุ้มครองไป คำขอท้ารบจะถูกส่งมานับไม่ถ้วน... ตอนนั้นคุณจะไม่สามารถใช้กองทัพผีดิบได้ค่ะ”
“...?”
วูจินมองอย่างสงสัยเต็มที่ เมโลดี้พูดต่อ
“การป้องกันที่คุณมีตอนนี้แค่ใช้กับผู้มาเยือนค่ะ”
ตอนสู้กับลอร์ดอื่น สงครามจะเกิดในอาณาเขตที่ต่างไป กองรบธรรมดาใช้ไม่ได้
ตอนสู้กับศัตรูที่ผ่านดันเจี้ยนมา ลอร์ดสามารถใช้กองกำลังอะไรก็ได้ที่มีอยู่ และพลังส่วนตัวของลอร์ดเองก็ใช้ได้ แต่ในการรบระหว่างมิติจะมีกฎที่ต่างไปเล็กน้อย
“มันเหมือนหมากรุกค่ะ”
ตอนแรกเมโลดี้ไม่รู้ ในระหว่างที่เธอสับสนเธอก็เสียอาณาเขตและพลังงานอาณาเขตไปทีละน้อย เมโลดี้เป็นห่วงว่าวูจินจะเจอแบบเดียวกับเธอ
ลอร์ดคนใหม่มีช่วงคุ้มครอง 30 วัน และเขาต้องสร้างการป้องกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คุณต้องรวบรวมตัวหมาก”
“หืม อธิบายที่เธอรู้มาให้หมด”
“สำหรับลอร์ดแล้ว สงครามมิติคือเกมและสงครามการปล้นชิง...”
มีแต่ลอร์ดที่สามารถเข้าร่วมในสงครามมิติ มันเหมือนการแข่งขันหมากรุกที่ลอร์ดใช้ทรัพยากรในอาณาเขตเพื่อเล่นเกมสงคราม
“คุณอยากเข้าร่วมการซ้อมรบไหมคะ?”
“ซ้อมรบ?”
เมื่อวูจินนึกถึงการซ้อมรบ เมนูก็โผล่ขึ้นมา
<คุณสามารถฝึกในสงครามมิติจำลอง>
“ก็ได้ ลองซักครั้ง”
<กรุณาเลือกจำนวนพลังงานที่จะใช้เป็นเดิมพัน 10,000 20,000 30,000...>
จำนวนเดิมพันเพิ่มทีละ 10,000 เมื่อวูจินเลือก 10,000 จอหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา
<กำลังเลือกคู่ต่อสู้ คุณถูกจับคู่กับเคานต์ลิตอนจากเผ่ามนุษย์>
ขุนนางผู้มีหนวดขาวสะดุดตาปรากฏในหน้าจอ มีข้อมูลคร่าวๆให้เห็น แล้วภาพตรงหน้าวูจินก็เริ่มขยายออก
เหมือนตอนที่เขาสร้างสิ่งก่อสร้าง เขามองเห็นทั้งอาณาเขตเหมือนกำลังมองลงมาจากท้องฟ้า
<กำลังเลือกสนามรบ ที่ราบเลเทรียถูกเลือก>
ที่ราบขนาดเท่าอาณาเขตของวูจินถูกเลือกขึ้นมา มันกว้างแต่มีหลุมนับไม่ถ้วนอยู่ตามที่ต่างๆ
<พลังงานถูกส่งไปที่ที่ราบเลเทรีย>
พลังงาน 10,000 หน่วยถูกดึงจากวูจินและเคานต์ลิตอน พลังงาน 20,000 หน่วยกลายเป็นต้นไม้เลือดและบลัดสโตนตามที่ต่างๆ
<การซ้อมรบระหว่างคุณกับเคานต์ลิตอนเริ่มขึ้นแล้ว>
<คุณจะไม่เสียพลังงานที่ใช้ในการซ้อมรบ>
<ผู้ชนะในการซ้อมรบจะไม่สามารถชิงสิทธิ่จากอีกฝ่ายได้>
วูจินลบข้อความที่โผล่มาเป็นแถวไปแล้วสำรวจสนามรบ
เขาได้มองทั้งสนามแค่ชั่วครู่ จากนั้นเขารู้สึกเหมือนตกลงมาและภาพก็หดลงไปที่จุดเดียว
“ท่านลอร์ดโปรดบัญชาการ”
ตรงหน้าวูจินมีซูซุนอัคกับเผ่าโฮอินอีก 4 คนยืนเรียงแถว วูจินยกมือขึ้นและเห็นขนสีเหลือง มันเป็นแขนของผู้คนเผ่าโฮอิน
‘สิงร่าง?’
วูจินเอียงคองง มองโฮอิน 4 นายตรงหน้าเขา เมื่อเขาคิดสิงโฮอินคนอื่น ภาพก็เปลี่ยนไป
“อึก”
วูจินมองร่างที่เขาเพิ่งสิงไป
“ท่านลอร์ดโปรดบัญชาการ”
วูจินขมวดคิ้ว
‘เหมือนจะรู้แฮะว่านี่มันเรื่องอะไร’
มีโฮอิน 5 คนรวมที่วูจินกำลังสิงอยู่ เขาสามารถควบคุมโฮอินคนไหนก็ได้ โชคดีที่เขาคุ้นกับการเปลี่ยนวิญญาณกับกาเกบิจึงปรับตัวได้เร็ว
วูจินมองรอบๆและเห็นอาคารเก่าๆอยู่ไม่ไกล มันมีหอคอย 3 ชั้น ปราสาทเล็กๆจนไม่เหมือนปราสาทนี้มีขนาดเท่าบ้านพักตากอากาศ
เมื่อวูจินจ้องไป เขารู้สึกมึนวูบหนึ่งและวิญญาณเคลื่อนไป เขาอยู่ในปราสาทนั่งบนบัลลังก์ แม้จะอยู่ในตัวอาคารแต่เขาเห็นข้างนอกได้
เขามองที่เผ่าโฮอิน 5 คนยืนเตรียมพร้อมหน้าปราสาท ตัวเลขเหมือนคุ้นแต่ไม่คุ้นติดบนมุมหนึ่งของภาพ
[บลัดสโตน 100 ประชากร 5/10]
วูจินเข้าใจขึ้นมารางๆ
‘คาออส?’
นี่มันเหมือนเกมที่เขาเคยเล่นสมัยเรียนเลยไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ มันเป็นคนละประเภท
‘เหมือนเกมแนววางแผนเลยนี่?’
มีตึกต่างๆที่เหมือนเป็นฐานทัพ เราต้องส่งคนงานไปรวบรวมทรัพยากรเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างเพิ่ม จากนั้นก็สู้กับศัตรู...
“ไปรวบรวมต้นไม้เลือดมา”
“รับบัญชา”
วูจินอยู่ในปราสาท แต่เขาได้ยินเสียงของโฮอินข้างนอกเหมือนพวกเขากำลังพูดอยู่ต่อหน้า ระหว่างนั่งบนบัลลังก์ วูจินเจอว่าเขาสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างประเภทต่างๆได้
[กระท่อม, ฟาร์ม, ต้นไม้ล่อมอนสเตอร์, สนามฝึกออร์ค, รังไวเวิร์น...]
วูจินพยักหน้าพลางมองสิ่งก่อสร้างที่เขาสร้างได้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมโลดี้ถึงเรียกนี่ว่าเกมหมากรุก
ยูนิตและสิ่งก่อสร้างที่ใช้ในสงครามมิติคือสิ่งที่เขามีในอาณาเขตมิติ
ระหว่างรบเขาไม่สามารถใช้ร้านค้าแห่งมิติได้ ดังนั้นจึงต้องมีของพวกนี้ไว้ก่อน
พลังงานมีทั่วไปในที่ราบ แต่วูจินสร้างเหมืองขุดบลัดสโตนไม่ได้ และอาคารฝึกทหารเขาก็สร้างได้แต่สนามฝึกออร์คกับรังไวเวิร์น สนามฝึกออร์คใช้บลัดสโตนไม่มาก แต่รังไวเวิร์นต้องใช้มาก
‘สร้างรังจะไม่คุ้ม’
กว่าเขาจะเก็บบลัดสโตนพอสร้างรังไวเวิร์นได้สักรังก็คงถูกโจมตีก่อนและแพ้
วูจินตัดสินใจสร้างคนงาน (พลังงาน 50 หน่วย) ที่สามารถสร้างได้ในปราสาท ไม่นานคนงาน 2 คนก็ออกจากปราสาทไปยืนตรงข้างนอก
วูจินเพิ่มสองคนนั้นไปเป็นกลุ่ม 7 คน เขาสั่งให้ไปรวบรวมต้นไม้เลือด พวกเขาทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ตอนนี้เขามีบลัดสโตน 500 ก้อน เขาสั่งให้คนงานสร้างสนามฝึกออร์ค
สองคนถูกส่งไปสร้างสนามฝึกออร์คใกล้ปราสาท
ระหว่างนั้น คนงาน 5 คนยังเก็บต้นไม้เลือดง่วน ระหว่างสนามฝึกออร์คกำลังสร้าง วูจินสร้างคนงานเพิ่มอีก 3 คน
<จำนวนประชากรมาถึงขีดจำกัด กรุณาสร้างกระท่อม>
“เฮ้อ... ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน แต่น่าหงุดหงิดชะมัด”
วูจินหงุดหงิด เขามีกองทัพผีดิบเป็นหมื่นแต่ใช้ไม่ได้
“พวกมันทำบ้าอะไรกัน?”
ทำไมลอร์ดแห่งมิติถึงเล่นเกมนี้? ทำไมถึงเดิมพันพลังงานเพิ่มลำดับให้ตัวเอง?
ขณะวูจินทำใจให้เย็นลง กระท่อมก็ถูกสร้างเพิ่ม
ขีดจำกัดประชากรของเขาเพิ่มเป็น 20 และสนามฝึกออร์คก็แล้วเสร็จ
กำลังทหารที่วูจินฝึกได้เป็นเช่นเดียวกับที่อยู่ในอาณาเขตมิติของเขา เขาสั่งสร้างทหาร 2 นาย ออร์คตนหนึ่งเปิดประตูเข้าไปในสนามฝึก
เวลาฝึกทหารยาวกว่าเวลาสร้างคนงาน 5 เท่า 10 นาทีผ่านไป
วูจินขมวดคิ้วรอทหารออร์คออกมา
<ทหารออร์ค : 50 หน่วยพลังงาน นักรบออร์ค : 150 หน่วยพลังงาน>
‘จะเตรียมทุกอย่างในช่วงคุ้มครองคงยาก’
ในสงครามจริง เขาคงไม่สามารถทำสงครามโดยมีแค่สนามฝึกออร์คกับรังไวเวิร์น เหมืองขุดบลัดสโตนก็จำเป็นต้องมี
มีสิ่งก่อสร้างพื้นฐานที่อาณาเขตต้องการเยอะมาก
เขาต้องหาวัตถุดิบจำนวนมากเพื่อใช้ในสงครามมิติ
ทักษะและกลยุทธ์ของกองทัพเอามาใช้ในสงครามไม่ได้เพราะไม่มีในอาณาเขตมิติของเขา เขายังต้องลงทุนวิจัยด้านสิ่งก่อสร้างด้านกองทัพเพื่อสิ่งก่อสร้างที่ยังสร้างไม่ได้
เหลือเวลาอีกแค่ 6 วัน
เขาไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นเขาจะมีกำลังพื้นฐานพร้อมไหม...
10 นาทีผ่านไป ออร์คเดินออกมาจากสนามฝึก เป็นทหารร่างกำยำถือหอก
เมื่อได้ทหารออร์คมา 3 นาย วูจินเห็นทหารราบของเคาน์ตลิตอน 7 นายกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาถือดาบ,โล่และเกราะหนัง ดูน่าเกรงขาม
“นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆแฮะ”
มันเหมือนเขาถูกมัดมือเท้า
วูจินมีทหารออร์คให้ใช้เพียง 3 นาย
------
แนะนำการ์ตูนค่ะ Solo leveling อ่านแล้วนึกถึงนิยายเรื่องนี้เลย :D ภาพสวย พระเอกหล่อดี XD
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล บทที่ 117
บทที่ 117 – สภาพการณ์ของอลันดาล (2)
[จากนี้ไปเป็นข่าวคั่นรายการ นักการเมือง 57 รายที่เกี่ยวข้องกับการขีปนาวุธก่อการร้ายในสหรัฐถูกยืนยันตัวตน เราส์คังวูจินกำจัดบุคคลเหล่านี้ไป เรื่องที่นักการเมืองกลุ่มนี้จงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิดและความเสียหายที่เกิดจากพวกเขาถูกเปิดเผย ความโกรธของประชาชน...]
จุงมินชานดูข่าวแล้วถอนหายใจ
“เมื่อไหร่ท่านประธานจะมา?”
“ไม่เกิน 30 นาทีครับ”
สถานีโซลไม่ไกลจากอาคารรัฐสภานัก ข่าวมีแต่เรื่องการฆ่า... การคอร์รัปชั่นและการทำผิดของนักการเมือง ทั้งหมดคือข้อมูลที่เมโลดี้นำมา
[ในการแถลงข่าว ประธานาธิบดีแสดงความขอบคุณหัวหน้ากิลด์อลันดาล คังวูจิน ทันทีที่การปฏิรูปสภาใหม่แล้วเสร็จ จะมีการลงประชามติว่ากิลด์อลันดาลควรแยกประเทศหรือไม่... ]
มินชานถามเฮมิน
“ผู้จัดการคิม ในอินเตอร์เน็ตพูดกันว่ายังไงมั่ง?”
“ไม่โกลาหลอย่างที่คิดครับ เรื่องที่คุยเป็นเรื่องของประธานเราทั้งนั้น แต่สิ่งที่นักการเมืองทำมันเลวเกิน ส่วนใหญ่เห็นใจท่านประธานเราว่าเขาทำถูกแล้ว”
“ขนาดเห็นที่เขาทำในข่าวแล้วน่ะนะ?”
คังวูจินจู่โจมรัฐสภา และถูกถ่ายทอดสด แต่ตอนนี้ความคิดเห็นของประชาชนไม่เลวร้ายนัก
“ครับ ก็ภาพที่เขาฆ่าพวกนั้นจริงๆไม่ถูกปล่อยออกมา...”
ไม่ใช่ว่าคังวูจินแสดงการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เขาแค่แทงหัวใจนักการเมืองที่สมควรตาย การกระทำเช่นนี้เกิดกับสมาชิกสภาในรัฐสภานั้นน่าตกตะลึง แต่เหตุผลที่เขาทำชัดเจน
เหมือนมีใครเป็นคนสร้างฉากพวกนี้...
“เฮ้อ ท่านประธานนี่...”
ไม่ใช่ใครนอกจากท่านประธาน ถ้อยคำแสดงความเห็นชอบกับคังวูจินหลั่งไหลมาในสื่อต่างๆทำให้มินชานสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร
ถ้าใครดูข่าวคงคิดว่าคังวูจินคือวีรบุรุษ พวกเขาทำให้มันเหมือนคังวูจินรู้ล่วงหน้าว่าเกาหลีใต้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เขาตามหาและสังหารนักการเมือง 58 รายที่มีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับผู้ก่อการร้าย เขาช่วยเกาหลีเอาไว้
“สำหรับพวกเราถือว่าโชคช่วยไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ แต่ฉันไม่รู้เรื่องแยกประเทศเลย...”
มินชานส่ายศีรษะ
อลันดาลได้อำนาจอธิปไตยมา... นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
“ตัวอย่างก็มีวาติกันนี่ครับ?”
มินชานถอนหายใจเมื่อได้ยินคิมเฮมินพูด
วาติกันอยู่ในฐานะนครรัฐ แต่สถานะพิเศษทางศาสนาคือเหตุผลหลักที่มันมีเอกราช ไม่มีใครคาดคิดว่าประเทศแบบนี้จะเกิดในเกาหลี
“เฮ้อ ก็คงเป็นไปได้ล่ะนะ”
“เขาคุยกับประธานาธิบดีแล้วนะครับ”
คำพูดของเฮมินไม่ช่วยปลอบใจมินชานเลย ถ้าคังวูจินไม่ต่อรองกับประธานาธิบดีมาก่อน เขาคงไม่พูดเรื่องนี้ในงานแถลงข่าว
“เฮ้อ”
เรื่องสร้างปัญหานี่คังวูจินเก่งเกินใคร ทุกคนทั้งช็อกทั้งกลัวขณะรอให้ประธานกลับมา
ไม่นานรถที่ประธานนั่งก็มาถึงที่ทำงาน
สีหน้าวูซุงฮุนซีดเซียว สีหน้าลีคังจินแดงนิดๆ คังวูจินลงจากรถมีท่าทีไม่ต่างจากปกติแค่ดูง่วงนิดๆ
“อ้าว? พวกนายมาทำอะไรข้างนอก?”
วูจินถามเมื่อเห็นคนมารวมกันที่ลานจอดรถ มินชานเดินออกมา
“ท่านประธาน ทำไมถึงทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้?”
“พื้นตึกรัฐสภาไม่มีรอยเลือดเลยนะ”
พูดออกมาได้...ถ้าจะทำไปทำในอาคารยังดีกว่า ตอนผมเห็นถ่ายทอดสดการโจมตีสภารู้ไหมว่าหัวใจผมเต้นแรงขนาดไหน? โชคดีที่คนที่ถูกฆ่าเป็นคนเลว เป็นเรื่องแปลกที่วูจินได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ...
“ท่านคุยกับประธานาธิบดีตั้งแต่เมื่อไหร่... ไปคุยกันข้างในเถอะ”
มินชานกำลังจะถามคำถามทั้งหมดในหัว แต่มีคนมากเกินไป เขาจึงพาวูจินไปที่ห้องประธานก่อน
ระหว่างเปลี่ยนที่ มินชานเห็นคนไม่รู้จักจึงถาม
“คุณคือ?”
“อ้อ ผมลีคังจิน ผมทำงานที่สำนักงานอัยการประจำเขตโซล...”
“อ๊ะ! ผู้พิพากษาลีคังจิน”
ผู้พิพากษาหนุ่มลีคังจินโด่งดังเรื่องไม่กลัวใคร คนที่สนใจด้านการเมืองอยู่บ้างจะได้ยินชื่อเขา มินชานจับมือเขา
“ผมจุงมินชาน รองประธานกิลด์อลันดาล”
“ได้ยินเรื่องคุณมามาก”
จุงมินชานนั้นได้รับความสนใจจากสาธารณะชนเทียบเท่ากับคังวูจิน อลันดาลทะยานมาเป็นประเด็นสำคัญในเวลาสั้นๆ และจุงมินชานเป็นผู้ดูแลการปฏิบัติงานทั่วไป เขาย่อมมีชื่อเสียงและมีภาพลักษณ์ดีทีเดียว
เขาไม่ใช่เราส์ เป็นคนธรรมดา ชื่อเสียงส่วนตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เขานับเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นยอดด้านการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนกิลด์ หลายๆบริษัทต้องการตัวเขา
วูจิน,มินชานและคนอื่นๆเข้าไปในห้องประธาน
ซุงกูออกมาจากดันเจี้ยนแล้ว สมาชิกรุ่นก่อตั้งทุกคนจึงอยู่กันครบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ อัศวินเจมส์ ลีคังจินก็อยู่ในห้องด้วย
“ท่านประธาน เรื่องประกาศแยกประเทศนี่มันอะไรกัน?”
“เอ๊ะ? นายรู้ได้ไง?”
หน้าจุงมินชานยับยิ่งขึ้น
“ไม่มีใครไม่รู้หรอก ประธานาธิบดีเกาหลีประกาศไปแล้ว”
“อา เขาคงตัดสินใจได้แล้ว”
วูจินผงกศีรษะพลางนึกถึงประธานาธิบดีคิมบย็องแมนที่ฟังคำเตือนและคำแนะนำของเขา
“ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยยุติธรรมกับพวกนาย เพราะมีเรื่องต้องทำในดันเจี้ยนเยอะฉันเลยดูแลพวกนายไม่เต็มที่... มินชาน นายคงลำบากแย่...”
“ขอบคุณที่รับรู้เรื่องนี้ แต่ทำไมถึงแยกประเทศ...”
ถ้ารู้อยู่แล้วว่ามินชานลำบาก ทำไมไม่หยุดก่อเรื่องล่ะ?
“ถ้าไม่ทำ รัฐบาลก็มากวนเราไม่หยุดไม่ใช่เหรอ? ฉันตัดสินใจสร้างประเทศที่เราจะไม่ถูกรบกวน แบบนี้จะทำให้นายสบายขึ้น”
“...”
สร้างประเทศเพราะเหตุผลง่ายๆแค่นี้? จุงมินชายอึ้ง และประหลาดใจกับความสามารถในการวางแผนของวูจินยิ่งกว่า
“คุณพูดอะไรกับประธานาธิบดีกันแน่?”
“ฉันแค่ให้ข้อเสนอ ฉันบอกเขาว่าจะฆ่าเขาถ้าเขาขัดขวางไม่ให้ฉันตั้งประเทศ”
“...”
“ถ้าเขาไม่ทำอะไร ฉันบอกว่าจะเป็นพันธมิตรกับเขา”
เฮ้อ นี่สมควรเป็นความคิดของคนศตวรรษที่ 21 เหรอ? มินชายหน้าเหี่ยว แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ชมวูจิน
“คุณใจกว้างจริงๆค่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ? ฉันจะฆ่าให้หมดยังได้”
“...”
มินชานรวบรวมสติคืนมาอย่างยากลำบากและถามต่อ
“ประเทศน่ะไม่ใช่ว่าคิดจะตั้งก็ตั้งได้เลยนะ คุณตกลงอะไรไปเหรอ?”
วูจินทบทวนบทสนทนาระหว่างเขากับประธานาธิบดี
“เขาอยากทำสนธิสัญญา...”
“แล้วเนื้อหาของสนธิสัญญาคือ?”
“นายต้องเป็นคนคิด”
“...”
“ไหนนะ ถ้าจะสร้างประเทศเราต้องการอะไรบ้าง คุณคังจิน?”
ที่อัลเฟน เขาแค่ประกาศว่าเขาเป็นราชาก็จบ แต่สังคมสมัยใหม่ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าจะทำก็ทำได้แต่ถ้าพวกเขาตั้งใจจะตั้งประเทศจริงๆก็ควรทำให้เรียบร้อย
“อย่างน้อยคุณต้องมีฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ”
“หืม”
วูจินถูกเรียกตัวไปตอนเขาเรียนมัธยมปลายปี 3
อัลเฟนแบ่งเป็นผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง เขาเป็นหนึ่งเดียวที่ปกครองนานถึง 20 ปีที่อัลเฟน แต่ประชาชนของเขามีแต่อัศวินมรณะกับลิช...
“มินชาน”
“ครับ”
“นายเป็นนายกรัฐมนตรีไป”
“เฮ้อ...”
ประธาน ผมไม่อยากเลื่อนตำแหน่งเร็วขนาดนั้น
พระเจ้าครับ ทำไมท่านให้ผมมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ท่านยกย่องความทะเยอทะยานของผมเกินไป
“ที่เหลือนายปรึกษากับคุณลีคังจินแล้วกัน”
“...”
ลีคังจินทำหน้างง
‘ทำไมฉัน...’
เขามาตามคำขอของประธานาธิบดี เขาถูกบอกให้มาเจอกับคังวูจินและให้คำปรึกษา แต่นึกไม่ถึง...
ไม่ใช่ทุกคนในห้องประธานตกตะลึง ซุงกูยิ้มกว้าง
“เฮะๆ ลูกพี่ แล้วผมล่ะ?”
“นายอยากทำอะไรล่ะ?”
“อืม ถ้าลูกพี่เป็นพระราชา ผมก็น่าจะอยู่ในหน่วยราชองครักษ์?”
“โอเค ซุงกูเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์”
“เฮะๆ ผมต้องไปอวดในเน็ตแล้ว”
พอแรงค์ของเราส์สูงขึ้นไอคิวของซุงกูก็ลดลงเหรอ? ซุงกูพูดเสียงสดใสจนบรรยากาศในห้องประธานดีขึ้น
“ขอโทษครับ ท่านประธาน”
“อ้อ อยากได้ตำแหน่งอะไรล่ะ?”
ซุงฮุนตาเป็นประกาย
นี่ไงล่ะ นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะไม่เกิดขึ้นอีก
ไม่ว่าเขาขออะไรเขาจะได้รับตามคำขอ
“ประเทศต้องมีทูตใช่ไหมล่ะครับ? ผมคิดว่า...ท่านก็รู้ว่าผมพูดเก่ง...”
“ได้ๆ เลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศ? รัฐมนตรี? ตามที่นายสบายใจเลย”
“ผมจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อประเทศของเราครับ”
ซุงฮุนมีสีหน้ากล้าหาญ
‘ผมทำได้แล้วแม่ ตระกูลวูต้องภูมิใจในตัวผม’
จุงมินชานส่ายศีรษะ
ถ้ากำลังเล่นกันอยู่ก็ดีสิ
วูจินทำตามคำพูดทุกอย่าง คำพูดของเขากลายเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่มินชานกลัว การพูดคุยกันนี้จะเป็นพื้นฐานของการสร้างประเทศ...
“อย่างน้อยก็ขอเป้าหมายให้ผมด้วย”
มินชานตัดสินใจหยุดต่อต้าน เขาขอข้อมูลมากขึ้น
ในเมื่อประธานาธิบดีให้คำสัญญาแล้วจะเปลี่ยนใจคงยาก และถ้านึกถึงกรุงวาติกัน การที่ประเทศเล็กๆจะตั้งขึ้นในเกาหลีใต้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ขนาดและโครงสร้างประเทศก็คือกิลด์นั่นเอง พวกเขาก็แค่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศๆหนึ่ง
อย่างที่วูจินต้องการ เขาจะเป็นเจ้าของประเทศที่เขาไม่อยู่ใต้อำนาจใคร
“เป้าหมายอะไร?”
“ครับ จุดประสงค์ของพวกเรา อะไรคือสิ่งที่อาณาจักรอลันดาลต้องการ”
วูจินตอบอย่างไม่ลังเล
“สันติสุขของโลก”
“...”
ตลกเหรอ? หรือเอาจริง?
อย่างน้อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจจะยอมรับว่าเป็นความจริง
“ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับการตัดสินใจของท่านจ้าว”
ผู้ไม่ตายเห็นสันติสุขของโลกเป็นเรื่องสำคัญ
เขาคือตัวแทนของเทพแห่งการทำลาย... ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนที่นั่นจะมีแต่ความตายและสิ้นหวัง แต่ตอนนี้เขาเลือกจะปกป้อง
เขาเปลี่ยนไปมาก
และนี่เป็นเรื่องดีสำหรับโลกอัลเฟน คังวูจินทำเพื่อสันติสุขของโลก
วูจินเหลือบมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังตื้นตัน จากนั้นพูดกับมินชาน
“นายจัดการที่เหลือ ไม่ต้องคิดอะไรให้ใหญ่มาก”
“เข้าใจแล้ว”
จะไม่ให้คิดใหญ่คงเป็นไปไม่ได้ แต่มินชานตอบอย่างเชื่อฟัง
‘คราวนี้เขาคงไม่ก่อเรื่องใหญ่ไปกว่านี้’
เขาเป็นพระราชาไปแล้ว จะมีอะไรใหญ่กว่านี้อีกล่ะ? มินชานคิดจริงๆว่าในอนาคตจะไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรอีก
‘ฉันแค่ต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้’
เขาต้องสถาปนาประเทศ มันเป็นงานยากมาก แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะก่อกบฏในเกาหลี สิ่งเล็กๆอย่างกิลด์ได้อำนาจอธิปไตย และกิลด์เปลี่ยนเป็นประเทศ
ปัญหาคือสนธิสัญญาสันติภาพกับเกาหลี มินชานต้องสร้างขึ้นมา
“เอาล่ะ นายต้องทำงานหนักอีกนะนายกฯจุง...”
“นายกฯจุง”
จุงมินชานทวนคำพูดของวูจินแล้วแก้มแดงขึ้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ไม่ใช่เพราะกังวล
การก่อตั้งประเทศและสนธิสัญญาเป็นงานของมินชานและพนักงานกิลด์ ถ้าเขาไม่เก่ง เขาแค่ต้องหาคนที่เก่งด้านนี้
วูจินมีอีกอลันดาลที่ต้องดูแล แค่ปกครองอาณาเขตมิติเขาก็ยุ่งมากแล้ว
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอหน่อย”
วูจินมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ทำหน้างง
“ค่ะ ท่านจ้าว...”
วูจินและเมโลดี้ลุกขึ้น
เขาสงสัยมาก สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกที่ถูกพบในดันเจี้ยน เธอใช้ดันเจี้ยนมาที่โลกได้อย่างไร?
เขาสงสัยเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่กลายเป็นลอร์ดแห่งมิติ
วูจินเปิดอุโมงค์กลับอาณาเขตขึ้นมาตรงที่ว่างข้างที่ทำงานของเขา
“ตามฉันมา”
“ค่ะ...”
วูจินหายเข้าไปในอุโมงค์และสตรีศักดิ์สิทธิ์ตามไป
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรียทุกคนมาจากกิลด์ไททัน
การปกป้องสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่พวกเขาก็ถูกสั่งให้จับตามองเราส์คังวูจิน
“รายงานไททันเดี๋ยวนี้”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เจมส์พูด สมาชิกคนหนึ่งส่งข้อความไปยังเดคอน หัวหน้ากิลด์ไททัน อย่างรวดเร็ว
[คังวูจินตั้งประเทศอลันดาล]
[จากนี้ไปเป็นข่าวคั่นรายการ นักการเมือง 57 รายที่เกี่ยวข้องกับการขีปนาวุธก่อการร้ายในสหรัฐถูกยืนยันตัวตน เราส์คังวูจินกำจัดบุคคลเหล่านี้ไป เรื่องที่นักการเมืองกลุ่มนี้จงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิดและความเสียหายที่เกิดจากพวกเขาถูกเปิดเผย ความโกรธของประชาชน...]
จุงมินชานดูข่าวแล้วถอนหายใจ
“เมื่อไหร่ท่านประธานจะมา?”
“ไม่เกิน 30 นาทีครับ”
สถานีโซลไม่ไกลจากอาคารรัฐสภานัก ข่าวมีแต่เรื่องการฆ่า... การคอร์รัปชั่นและการทำผิดของนักการเมือง ทั้งหมดคือข้อมูลที่เมโลดี้นำมา
[ในการแถลงข่าว ประธานาธิบดีแสดงความขอบคุณหัวหน้ากิลด์อลันดาล คังวูจิน ทันทีที่การปฏิรูปสภาใหม่แล้วเสร็จ จะมีการลงประชามติว่ากิลด์อลันดาลควรแยกประเทศหรือไม่... ]
มินชานถามเฮมิน
“ผู้จัดการคิม ในอินเตอร์เน็ตพูดกันว่ายังไงมั่ง?”
“ไม่โกลาหลอย่างที่คิดครับ เรื่องที่คุยเป็นเรื่องของประธานเราทั้งนั้น แต่สิ่งที่นักการเมืองทำมันเลวเกิน ส่วนใหญ่เห็นใจท่านประธานเราว่าเขาทำถูกแล้ว”
“ขนาดเห็นที่เขาทำในข่าวแล้วน่ะนะ?”
คังวูจินจู่โจมรัฐสภา และถูกถ่ายทอดสด แต่ตอนนี้ความคิดเห็นของประชาชนไม่เลวร้ายนัก
“ครับ ก็ภาพที่เขาฆ่าพวกนั้นจริงๆไม่ถูกปล่อยออกมา...”
ไม่ใช่ว่าคังวูจินแสดงการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม เขาแค่แทงหัวใจนักการเมืองที่สมควรตาย การกระทำเช่นนี้เกิดกับสมาชิกสภาในรัฐสภานั้นน่าตกตะลึง แต่เหตุผลที่เขาทำชัดเจน
เหมือนมีใครเป็นคนสร้างฉากพวกนี้...
“เฮ้อ ท่านประธานนี่...”
ไม่ใช่ใครนอกจากท่านประธาน ถ้อยคำแสดงความเห็นชอบกับคังวูจินหลั่งไหลมาในสื่อต่างๆทำให้มินชานสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร
ถ้าใครดูข่าวคงคิดว่าคังวูจินคือวีรบุรุษ พวกเขาทำให้มันเหมือนคังวูจินรู้ล่วงหน้าว่าเกาหลีใต้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เขาตามหาและสังหารนักการเมือง 58 รายที่มีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับผู้ก่อการร้าย เขาช่วยเกาหลีเอาไว้
“สำหรับพวกเราถือว่าโชคช่วยไม่ใช่เหรอครับ?”
“ใช่ แต่ฉันไม่รู้เรื่องแยกประเทศเลย...”
มินชานส่ายศีรษะ
อลันดาลได้อำนาจอธิปไตยมา... นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
“ตัวอย่างก็มีวาติกันนี่ครับ?”
มินชานถอนหายใจเมื่อได้ยินคิมเฮมินพูด
วาติกันอยู่ในฐานะนครรัฐ แต่สถานะพิเศษทางศาสนาคือเหตุผลหลักที่มันมีเอกราช ไม่มีใครคาดคิดว่าประเทศแบบนี้จะเกิดในเกาหลี
“เฮ้อ ก็คงเป็นไปได้ล่ะนะ”
“เขาคุยกับประธานาธิบดีแล้วนะครับ”
คำพูดของเฮมินไม่ช่วยปลอบใจมินชานเลย ถ้าคังวูจินไม่ต่อรองกับประธานาธิบดีมาก่อน เขาคงไม่พูดเรื่องนี้ในงานแถลงข่าว
“เฮ้อ”
เรื่องสร้างปัญหานี่คังวูจินเก่งเกินใคร ทุกคนทั้งช็อกทั้งกลัวขณะรอให้ประธานกลับมา
ไม่นานรถที่ประธานนั่งก็มาถึงที่ทำงาน
สีหน้าวูซุงฮุนซีดเซียว สีหน้าลีคังจินแดงนิดๆ คังวูจินลงจากรถมีท่าทีไม่ต่างจากปกติแค่ดูง่วงนิดๆ
“อ้าว? พวกนายมาทำอะไรข้างนอก?”
วูจินถามเมื่อเห็นคนมารวมกันที่ลานจอดรถ มินชานเดินออกมา
“ท่านประธาน ทำไมถึงทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้?”
“พื้นตึกรัฐสภาไม่มีรอยเลือดเลยนะ”
พูดออกมาได้...ถ้าจะทำไปทำในอาคารยังดีกว่า ตอนผมเห็นถ่ายทอดสดการโจมตีสภารู้ไหมว่าหัวใจผมเต้นแรงขนาดไหน? โชคดีที่คนที่ถูกฆ่าเป็นคนเลว เป็นเรื่องแปลกที่วูจินได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ...
“ท่านคุยกับประธานาธิบดีตั้งแต่เมื่อไหร่... ไปคุยกันข้างในเถอะ”
มินชานกำลังจะถามคำถามทั้งหมดในหัว แต่มีคนมากเกินไป เขาจึงพาวูจินไปที่ห้องประธานก่อน
ระหว่างเปลี่ยนที่ มินชานเห็นคนไม่รู้จักจึงถาม
“คุณคือ?”
“อ้อ ผมลีคังจิน ผมทำงานที่สำนักงานอัยการประจำเขตโซล...”
“อ๊ะ! ผู้พิพากษาลีคังจิน”
ผู้พิพากษาหนุ่มลีคังจินโด่งดังเรื่องไม่กลัวใคร คนที่สนใจด้านการเมืองอยู่บ้างจะได้ยินชื่อเขา มินชานจับมือเขา
“ผมจุงมินชาน รองประธานกิลด์อลันดาล”
“ได้ยินเรื่องคุณมามาก”
จุงมินชานนั้นได้รับความสนใจจากสาธารณะชนเทียบเท่ากับคังวูจิน อลันดาลทะยานมาเป็นประเด็นสำคัญในเวลาสั้นๆ และจุงมินชานเป็นผู้ดูแลการปฏิบัติงานทั่วไป เขาย่อมมีชื่อเสียงและมีภาพลักษณ์ดีทีเดียว
เขาไม่ใช่เราส์ เป็นคนธรรมดา ชื่อเสียงส่วนตัวดีขึ้นเรื่อยๆ เขานับเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นยอดด้านการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนกิลด์ หลายๆบริษัทต้องการตัวเขา
วูจิน,มินชานและคนอื่นๆเข้าไปในห้องประธาน
ซุงกูออกมาจากดันเจี้ยนแล้ว สมาชิกรุ่นก่อตั้งทุกคนจึงอยู่กันครบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ อัศวินเจมส์ ลีคังจินก็อยู่ในห้องด้วย
“ท่านประธาน เรื่องประกาศแยกประเทศนี่มันอะไรกัน?”
“เอ๊ะ? นายรู้ได้ไง?”
หน้าจุงมินชานยับยิ่งขึ้น
“ไม่มีใครไม่รู้หรอก ประธานาธิบดีเกาหลีประกาศไปแล้ว”
“อา เขาคงตัดสินใจได้แล้ว”
วูจินผงกศีรษะพลางนึกถึงประธานาธิบดีคิมบย็องแมนที่ฟังคำเตือนและคำแนะนำของเขา
“ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยยุติธรรมกับพวกนาย เพราะมีเรื่องต้องทำในดันเจี้ยนเยอะฉันเลยดูแลพวกนายไม่เต็มที่... มินชาน นายคงลำบากแย่...”
“ขอบคุณที่รับรู้เรื่องนี้ แต่ทำไมถึงแยกประเทศ...”
ถ้ารู้อยู่แล้วว่ามินชานลำบาก ทำไมไม่หยุดก่อเรื่องล่ะ?
“ถ้าไม่ทำ รัฐบาลก็มากวนเราไม่หยุดไม่ใช่เหรอ? ฉันตัดสินใจสร้างประเทศที่เราจะไม่ถูกรบกวน แบบนี้จะทำให้นายสบายขึ้น”
“...”
สร้างประเทศเพราะเหตุผลง่ายๆแค่นี้? จุงมินชายอึ้ง และประหลาดใจกับความสามารถในการวางแผนของวูจินยิ่งกว่า
“คุณพูดอะไรกับประธานาธิบดีกันแน่?”
“ฉันแค่ให้ข้อเสนอ ฉันบอกเขาว่าจะฆ่าเขาถ้าเขาขัดขวางไม่ให้ฉันตั้งประเทศ”
“...”
“ถ้าเขาไม่ทำอะไร ฉันบอกว่าจะเป็นพันธมิตรกับเขา”
เฮ้อ นี่สมควรเป็นความคิดของคนศตวรรษที่ 21 เหรอ? มินชายหน้าเหี่ยว แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ชมวูจิน
“คุณใจกว้างจริงๆค่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ? ฉันจะฆ่าให้หมดยังได้”
“...”
มินชานรวบรวมสติคืนมาอย่างยากลำบากและถามต่อ
“ประเทศน่ะไม่ใช่ว่าคิดจะตั้งก็ตั้งได้เลยนะ คุณตกลงอะไรไปเหรอ?”
วูจินทบทวนบทสนทนาระหว่างเขากับประธานาธิบดี
“เขาอยากทำสนธิสัญญา...”
“แล้วเนื้อหาของสนธิสัญญาคือ?”
“นายต้องเป็นคนคิด”
“...”
“ไหนนะ ถ้าจะสร้างประเทศเราต้องการอะไรบ้าง คุณคังจิน?”
ที่อัลเฟน เขาแค่ประกาศว่าเขาเป็นราชาก็จบ แต่สังคมสมัยใหม่ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าจะทำก็ทำได้แต่ถ้าพวกเขาตั้งใจจะตั้งประเทศจริงๆก็ควรทำให้เรียบร้อย
“อย่างน้อยคุณต้องมีฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ”
“หืม”
วูจินถูกเรียกตัวไปตอนเขาเรียนมัธยมปลายปี 3
อัลเฟนแบ่งเป็นผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง เขาเป็นหนึ่งเดียวที่ปกครองนานถึง 20 ปีที่อัลเฟน แต่ประชาชนของเขามีแต่อัศวินมรณะกับลิช...
“มินชาน”
“ครับ”
“นายเป็นนายกรัฐมนตรีไป”
“เฮ้อ...”
ประธาน ผมไม่อยากเลื่อนตำแหน่งเร็วขนาดนั้น
พระเจ้าครับ ทำไมท่านให้ผมมาอยู่ในตำแหน่งนี้ ท่านยกย่องความทะเยอทะยานของผมเกินไป
“ที่เหลือนายปรึกษากับคุณลีคังจินแล้วกัน”
“...”
ลีคังจินทำหน้างง
‘ทำไมฉัน...’
เขามาตามคำขอของประธานาธิบดี เขาถูกบอกให้มาเจอกับคังวูจินและให้คำปรึกษา แต่นึกไม่ถึง...
ไม่ใช่ทุกคนในห้องประธานตกตะลึง ซุงกูยิ้มกว้าง
“เฮะๆ ลูกพี่ แล้วผมล่ะ?”
“นายอยากทำอะไรล่ะ?”
“อืม ถ้าลูกพี่เป็นพระราชา ผมก็น่าจะอยู่ในหน่วยราชองครักษ์?”
“โอเค ซุงกูเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์”
“เฮะๆ ผมต้องไปอวดในเน็ตแล้ว”
พอแรงค์ของเราส์สูงขึ้นไอคิวของซุงกูก็ลดลงเหรอ? ซุงกูพูดเสียงสดใสจนบรรยากาศในห้องประธานดีขึ้น
“ขอโทษครับ ท่านประธาน”
“อ้อ อยากได้ตำแหน่งอะไรล่ะ?”
ซุงฮุนตาเป็นประกาย
นี่ไงล่ะ นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะไม่เกิดขึ้นอีก
ไม่ว่าเขาขออะไรเขาจะได้รับตามคำขอ
“ประเทศต้องมีทูตใช่ไหมล่ะครับ? ผมคิดว่า...ท่านก็รู้ว่าผมพูดเก่ง...”
“ได้ๆ เลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศ? รัฐมนตรี? ตามที่นายสบายใจเลย”
“ผมจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อประเทศของเราครับ”
ซุงฮุนมีสีหน้ากล้าหาญ
‘ผมทำได้แล้วแม่ ตระกูลวูต้องภูมิใจในตัวผม’
จุงมินชานส่ายศีรษะ
ถ้ากำลังเล่นกันอยู่ก็ดีสิ
วูจินทำตามคำพูดทุกอย่าง คำพูดของเขากลายเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่มินชานกลัว การพูดคุยกันนี้จะเป็นพื้นฐานของการสร้างประเทศ...
“อย่างน้อยก็ขอเป้าหมายให้ผมด้วย”
มินชานตัดสินใจหยุดต่อต้าน เขาขอข้อมูลมากขึ้น
ในเมื่อประธานาธิบดีให้คำสัญญาแล้วจะเปลี่ยนใจคงยาก และถ้านึกถึงกรุงวาติกัน การที่ประเทศเล็กๆจะตั้งขึ้นในเกาหลีใต้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ขนาดและโครงสร้างประเทศก็คือกิลด์นั่นเอง พวกเขาก็แค่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศๆหนึ่ง
อย่างที่วูจินต้องการ เขาจะเป็นเจ้าของประเทศที่เขาไม่อยู่ใต้อำนาจใคร
“เป้าหมายอะไร?”
“ครับ จุดประสงค์ของพวกเรา อะไรคือสิ่งที่อาณาจักรอลันดาลต้องการ”
วูจินตอบอย่างไม่ลังเล
“สันติสุขของโลก”
“...”
ตลกเหรอ? หรือเอาจริง?
อย่างน้อยสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจจะยอมรับว่าเป็นความจริง
“ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับการตัดสินใจของท่านจ้าว”
ผู้ไม่ตายเห็นสันติสุขของโลกเป็นเรื่องสำคัญ
เขาคือตัวแทนของเทพแห่งการทำลาย... ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนที่นั่นจะมีแต่ความตายและสิ้นหวัง แต่ตอนนี้เขาเลือกจะปกป้อง
เขาเปลี่ยนไปมาก
และนี่เป็นเรื่องดีสำหรับโลกอัลเฟน คังวูจินทำเพื่อสันติสุขของโลก
วูจินเหลือบมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังตื้นตัน จากนั้นพูดกับมินชาน
“นายจัดการที่เหลือ ไม่ต้องคิดอะไรให้ใหญ่มาก”
“เข้าใจแล้ว”
จะไม่ให้คิดใหญ่คงเป็นไปไม่ได้ แต่มินชานตอบอย่างเชื่อฟัง
‘คราวนี้เขาคงไม่ก่อเรื่องใหญ่ไปกว่านี้’
เขาเป็นพระราชาไปแล้ว จะมีอะไรใหญ่กว่านี้อีกล่ะ? มินชานคิดจริงๆว่าในอนาคตจะไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรอีก
‘ฉันแค่ต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้’
เขาต้องสถาปนาประเทศ มันเป็นงานยากมาก แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะก่อกบฏในเกาหลี สิ่งเล็กๆอย่างกิลด์ได้อำนาจอธิปไตย และกิลด์เปลี่ยนเป็นประเทศ
ปัญหาคือสนธิสัญญาสันติภาพกับเกาหลี มินชานต้องสร้างขึ้นมา
“เอาล่ะ นายต้องทำงานหนักอีกนะนายกฯจุง...”
“นายกฯจุง”
จุงมินชานทวนคำพูดของวูจินแล้วแก้มแดงขึ้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ไม่ใช่เพราะกังวล
การก่อตั้งประเทศและสนธิสัญญาเป็นงานของมินชานและพนักงานกิลด์ ถ้าเขาไม่เก่ง เขาแค่ต้องหาคนที่เก่งด้านนี้
วูจินมีอีกอลันดาลที่ต้องดูแล แค่ปกครองอาณาเขตมิติเขาก็ยุ่งมากแล้ว
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอหน่อย”
วูจินมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้ทำหน้างง
“ค่ะ ท่านจ้าว...”
วูจินและเมโลดี้ลุกขึ้น
เขาสงสัยมาก สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกที่ถูกพบในดันเจี้ยน เธอใช้ดันเจี้ยนมาที่โลกได้อย่างไร?
เขาสงสัยเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่กลายเป็นลอร์ดแห่งมิติ
วูจินเปิดอุโมงค์กลับอาณาเขตขึ้นมาตรงที่ว่างข้างที่ทำงานของเขา
“ตามฉันมา”
“ค่ะ...”
วูจินหายเข้าไปในอุโมงค์และสตรีศักดิ์สิทธิ์ตามไป
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์อาเรียทุกคนมาจากกิลด์ไททัน
การปกป้องสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่พวกเขาก็ถูกสั่งให้จับตามองเราส์คังวูจิน
“รายงานไททันเดี๋ยวนี้”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เจมส์พูด สมาชิกคนหนึ่งส่งข้อความไปยังเดคอน หัวหน้ากิลด์ไททัน อย่างรวดเร็ว
[คังวูจินตั้งประเทศอลันดาล]
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 116
บทที่ 116 – สภาพการณ์ของอลันดาล
เสียงสัญญาณเตือนภัยดัง ผู้คนหลั่งไหลออกมาจากอาคาร คนเปียกน้ำยืนบังทางออกเหมือนเป็นกำแพง
“เฮ้ หลีกทางสิ! ยืนทื่อกันอยู่ทำไม!”
ความอยากเอาชีวิตรอดของชอยเทโอนั้นสูงมาก เขาผลักคนจนล้มและออกมาข้างนอกได้ในที่สุด
“ดี ฉันยังไม่ตาย”
เขาไม่รู้ว่าไฟไหม้รุนแรงขนาดไหน แต่ย้ายไปอยู่ที่ปลอดภัยถือเป็นการรอบคอบกว่า เขารอเฉยไม่ได้
เขาไม่ไว้ใจระบบดับเพลิงของตึกรัฐสภา ความระแวงกับความกลัวตายของชอยเทโอนั้นบวมพอๆกับพุงของเขา
เมื่อเขาหลุดจากกลุ่มคนมาได้ก็เจอกับอากาศสดชื่น น้ำจากสปริงเกอร์ทำชุดสูทเปียกโชกเขาจึงรู้สึกไม่ดีนัก มีค่าซักแห้งที่เขาต้องจ่าย ชอยเทโอตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่... ความใส่ใจในภาพลักษณ์ของเขาที่หายไปตอนหนีไฟไหม้คืนกลับมาแล้ว
“เฮ้ย! ทำไมจู่ๆมันถึงวุ่นวายขึ้นมา!”
ชอยเทโอตวาดถามคนอื่น เขาอยากรู้ว่าทำไมถึงเกิดไฟไหม้แต่ไม่มีใครตอบเขา ทุกคนยืนตัวแข็ง
“เอ๊ะ?”
คนที่ยืนตรงทางออกยืนหันหน้ามาทางชอยเทโอ
สองฝั่งมองกันอย่างน่าอึดอัด ที่จริงแล้วพวกเขามองด้านหลังชอยเทโอ ชอยเทโองงแล้วหันหลังไป
“เอ๊ะ?”
มีหลายคนนอนหลั่งเลือด ไม่ใช่ พวกเขากลายเป็นศพไปแล้ว เพื่อนสนิทของเขา ปาร์คโซกุคก็เป็นหนึ่งในนั้น
การสังหารหมู่เกิดขึ้นในสภาเกาหลี เมื่อเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ชอยเทโอไม่ร้องเอะอะและไม่โทรเรียกตำรวจ
“....”
เขาถอยหลังเข้าไปในฝูงชนเงียบๆ
เขากวาดตามองสถานการณ์ไปรอบๆ
อัศวินมรณะของคังวูจินที่เขาเห็นในห้องประชุมกำลังล้อมตึก และไม่ใช่แค่อัศวินมรณะ
‘ฉันเคยเห็นพวกมันที่อัฟกานิสถาน’
เขาเคยเห็นพวกมันในข่าวบ่อยจนเบื่อ กองทัพโครงกระดูกของคังวูจินซึ่งมีประมาณ 10,000 ตัว ดูท่าว่าคังวูจินจะสามารถเรียกพวกมันมาที่ไหนก็ได้ พวกมันจำนวนหลายพันกำลังล้อมรัฐสภา
สัญญาณเตือนภัยทำให้เขาหนีออกมาจากตึก แต่ตอนนี้เขายืนตะลึงมองเหล่าทหารโครงกระดูกทำการฆาตกรรม
ชายคนหนึ่งที่ยืนข้างชอยเทโอถามเสียงเบา
“เขามันบ้า คิดว่าหลังจากนี้เขาจะรอดตัวไปได้ยังไง?”
“นั่นน่ะสิ”
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่คนที่ไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนในสังคมสุดท้ายก็จะไม่มีความสุข เขาจะกลายเป็นศัตรูของเกาหลี... ไม่ใช่ เขาจะกลายเป็นอาชญากรตัวอันตราย นี่เป็นคนละเรื่องกับการกำจัดกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง
เขาฆ่าสมาชิกรัฐสภาที่ไม่มีความผิดอะไร...
โชคดี นี่ไม่ใช่การสังหารไม่เลือกหน้า
“พวกโครงกระดูกแยกคนที่จะฆ่าออกได้ด้วยเหรอ?”
“ผมไม่...”
ชายที่กำลังกระซิบตอบนิ่งไป อัศวินมรณะในเกราะดำกำลังนำโครงกระดูกกลุ่มหนึ่งมาหยุดตรงหน้าเขา
[ยืนยันเป้าหมาย]
อัศวินมรณะมองตรงมาที่ชอยเทโอ
“อ...อะไร?”
ชอยเทโอผงะถอยไปด้านหลัง ฝูงชนยืนเบียดกันแน่นจนเขาไม่มีที่ไป
“ห...หลีกทาง! ฉันชอยเทโอ! หลีก!”
เขาดิ้นรนแต่ทำได้แค่ให้คนหลีกทางให้ไม่กี่ก้าว อัศวินมรณะคว้าแขนของชอยเทโอ
ร่างของชอยเทโอขัดขืนเรี่ยวแรงของอัศวินมรณะไม่ได้เลย เขาถูกโยนขึ้นไปกลางอากาศและหล่นโครมบนพื้น
[ลากมันไปหาท่านจ้าว]
“เคะๆๆๆ”
ทหารโครงกระดูกรับคำสั่งอัศวินมรณะ พวกมันยึดแขนขาของชอยเทโอแล้วออกเดิน
“ป...ปล่อยนะ! พวกมอนสเตอร์สกปรก!”
ชอยเทโอดิ้น แต่ทหารโครงกระดูกเดินต่อไปพลางส่งเสียงน่าขนลุก พวกเขามาถึงที่ๆคังวูจินและศพจำนวนมากรออยู่
“คนที่ 32 เหรอ?”
ทหารโครงกระดูกหยุดตรงหน้าวูจินและโยนเทโอลงพื้น จากนั้นกระชากศีรษะเขาหงายขึ้น
“อั๊ก ปล่อยฉันนะ!”
เขารู้ว่าตะโกนไปก็ไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังดิ้นรนเต็มที่ เขาเห็นอนาคตของตัวเอง เขาเห็นซากศพกระจัดกระจายบนพื้น
วูจินทวนความจำแล้วก็จำหน้านี้ได้
“มันคือชอยเทโอ จัดการมัน”
[รับบัญชา]
อัศวินมรณะถือหอกเดินมาใกล้ ชอยเทโอดิ้น
“ค...คุณทำแบบนี้ทำไม?”
“นายจะเข้าใจถ้าได้ดูข่าว”
“ถ...ถ้าคุณฆ่าผม ผมจะดูได้ยังไง!”
“แย่เลยนะ”
“แกคิดว่ามีพลังแล้วจะเป็นพระเจ้าเหรอ? อย่างน้อยก็ให้ฉันรู้เหตุผลสิโว้ย!”
ทำไมถึงเล่นกับชีวิตคนอื่นแบบนี้?
วูจินยิ้มเยาะให้กับคำพูดของชอยเทโอ
“นายเกี่ยวข้องกับลีซังโฮไม่ใช่เหรอ? นายยังได้กำไรตั้งมากจากดันเจี้ยนเบรก ที่สำคัญ นายมีส่วนกับการยิงจรวดฆ่าฉัน พวกนั้นไงล่ะเหตุผล”
ชอยเทโอลืมตากว้าง เขาไม่สนใจเหตุผล เขาแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“ฉันไม่เกี่ยว! ฉันบริสุทธิ์! แกฆ่าคนบริสุทธิ์ได้ยังไง! กฎหมายจะว่ายังไง!”
“เหตุผลพวกนั้นเพียงพอกับการฆ่านาย”
ชอยเทโออยากกระอักเลือด มีคนบ้าขนาดนี้ด้วยเหรอ? นี่เกิดใจกลางเกาหลี ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการฆาตกรรมหน้าอาคารรัฐสภา
“ไอ้บ้า! ที่นี่คือเกาหลีใต้ สาธารณรัฐเกาหลี! ทำแบบนี้แกคิดว่าจะรอดเหรอ?”
วูจินยักไหล่
“นายห่วงตัวเองดีกว่านะ”
“ไอ้...”
ไม่ว่าเขาพูดอะไรชายคนนี้ก็ไม่สนใจ คนบ้าแบบนี้โผล่มาได้ยังไง?
คังวูจิน เราส์แรงค์ AA ผู้พิทักษ์ของเกาหลี? ความหวังของโลก? แบบอย่างของเราส์?
เหลวไหลทั้งเพ ไอ้บ้าตรงหน้าเขาคือผู้ก่อการร้ายที่ใช้มอนสเตอร์ กล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมขนาดนี้ในประเทศประชาธิปไตย...
[เจ้าล่วงเกินราชา]
หอกของอัศวินมรณะแทงหัวใจชอยเทโอ
“บ...บ้า...”
เสียงของเขาเงียบหายไป ชอยเทโอล้มลง วูจินฉีกเอกสารที่เกี่ยวกับชายคนนี้ทิ้ง ยังเหลือเอกสารอีกหลายใบในมือเขา
“พวกมันออกมาช้าจริง”
วูซุงฮุนอาเจียนจนหมดท้องไปแล้ว ซุงฮุนกับลีคังจินยืนอยู่ด้านหลังวูจินเงียบๆ วูซุงฮุนคิดถึงเรื่องหลายๆอย่าง
“เฮ้อ ถ้าตอนนั้นฉันขายออมเนียแทนกาแล็กซี่ แทนที่จะโดนตบคงโดนฆ่าไปแล้ว”
เขานึกถึงการพบกันครั้งแรกอันน่ากลัวของเขาในฐานะคนขายโทรศัพท์กับวูจินแล้วโล่งใจ
ลีคังจินก็มีหลายอย่างๆต้องคิดในหัวเช่นกัน
‘เขาบ้าหรือเปล่า?’
ลีคังจินเป็นคนที่เกลียดการเมืองเกาหลียิ่งกว่าใคร
เขารู้ว่าไม่มีนักการเมืองคนไหนมือสะอาด บางคนเขามองเป็นเศษสวะไม่สมควรมีชีวิตอยู่ แต่กฎหมายปกป้องคนพวกนี้...
ที่ลีคังจินทำได้ก็แค่ส่งพวกเขาเข้าคุกสักสองสามเดือน ซึ่งไม่ต่างจากส่งพวกเขาไปพักร้อน สิ่งเดียวที่มีผลก็คือทำให้ชื่อเสียงเสียหาย
แต่ คังวูจิน...
‘เขาเป็นนักปฏิวัติเหรอ?’
เขาจะถอนต้นตอเน่าๆของเกาหลี? เขาทำเรื่องนี้ลงไปทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์เกาหลีว่าเป็นฆาตกรใจโฉด?
ระหว่างลีคังจินคิดหนักเรื่องการกระทำของคังวูจิน การประหารก็มาถึงจุดจบ
ไม่ นี่ไม่ใช่การแก้แค้นเสียทีเดียว มันเหมือนการเตือนมากกว่า
“ไปกันเถอะ”
วูจินก้าวเท้าเดินง่ายๆเหมือนการเลิกงานกลับบ้าน วูซุงฮุนที่อาเจียนจนหมดแรงกับลีคังจินเดินตาม ซุงฮุนถามอย่างระมัดระวัง
“แบบนี้ไม่เป็นไรจริงๆเหรอครับท่านประธาน?”
วูซุงฮุนเป็นกังวลเพราะกล้องจับภาพพวกเขาไว้ทุกองศา พวกเขาจะไม่ถูกจับจริงๆเหรอ?
“ไม่เป็นไร ไปตามกล้องด้านโน้นมาที่นี่”
“ครับ”
วูซุงฮุนวิ่งไปทำตามคำสั่ง
สภาถูกอัศวินมรณะกับทหารโครงกระดูกล้อม และมีทหารล้อมกองทัพโครงกระดูก
ในกลุ่มทหาร ซุงฮุนเห็นตากล้องกับนักข่าว ขณะที่เขาเข้าไปใกล้พวกเขา ปืนหลายกระบอกเล็งมาทางเขา ซุงฮุนขาสั่น
“อย่าเข้ามานะ”
“ประธานของผมมีเรื่องจะพูด ขอกล้องไปให้เขาด้วยครับ”
“...”
หัวหน้าหน่วย พันเอกปาร์ค มีสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
พวกเขาทำเรื่องผิดปกติจนเกินกว่าจะเรียกว่าบ้าแล้วยังอยากได้กล้องอีก หรือจะบ้าจริงๆ?
“ผมจะไป”
ผู้บริหารเน็ตเวิร์คคิดว่านี่จะเป็นสกู๊ปพิเศษจึงวิ่งออกไป เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อข่าว นักข่าวกลืนน้ำลายแล้ววิ่งตามผู้บริหารไปกับตากล้อง
วูจินถามผู้บริหารเน็ตเวิร์ค
“นี่ถ่ายทอดสดใช่ไหม?”
“เอ๋? ครับ”
วูจินมองกล้องแล้วประกาศ
***
ประธานาธิบดีดูโทรทัศน์ด้วยกันกับเสนาธิบดีทำเนียบ เขายกเลิกการไปรัฐสภา
‘คำเตือนกับข้อเสนอ...’
คำที่คังวูจินพูดยังไม่หายไปจากความคิดเขา
“คุณคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้?”
“เขาก่อกบฏร้ายแรงต่อประเทศของเรา”
เสนาธิการตอบอย่างแน่ใจ
ประธานาธิบดีส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ผมถามเรื่องข้อเสนอของเขา”
“...นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมตัดสินใจได้...”
“ฮืม...”
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ประหลาดมากขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี การแบ่งเกาหลีเหนือใต้เป็นเรื่องเศร้าพอแล้ว ถ้าหากมีประเทศอื่นเกิดขึ้นมาอีก...
ประธานาธิบดีคิมบย็องแมนจมอยู่ในความคิดของเขาตอนที่เลขานุการของเขาคนหนึ่งวิ่งมาหา
“โทรศัพท์จากรัฐมนตรีกลาโหมครับ”
ไม่ต้องรับโทรศัพท์เขาก็รู้ว่าเรื่องอะไร
เขาสั่งให้กองทหารล้อมคังวูจิน และสั่งชัดเจนไม่ให้ทำอะไร
“ส่งมา”
คิมบย็องแมนรับโทรศัพท์ เสียงร้อนรนก็ดังขึ้น
[คังวูจินพูดว่าถ้าเราไม่คลายวงล้อมภายใน 5 นาทีเขาจะโจมตี ขอคำสั่งจู่โจมด้วยครับ เราต้องโจมตีก่อน]
เขาคิดว่าการโจมตีก่อนจะล้มคังวูจินได้เหรอ? แม้แต่กลุ่มผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางยังแพ้เพราะพลังโจมตีไม่พอ
อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเกาหลีจริงๆ?
หลังจากคิดอย่างจริงจัง คิมบย็องแมนตอบ
“คลายวงล้อม”
[...เราไม่ควรทำอย่างนั้นนะครับ นี่เป็นการกบฏสูงสุดต่อประเทศ เราต้องลงโทษเขา]
“มีผู้เสียชีวิตกี่ราย?”
[57 รายครับ รวมผู้แทนปาร์คโซกุค]
คิมบย็องแมนตัดสินใจ คังวูจินทำตามที่สัญญาไว้จริงๆ
“ปล่อยพวกเขา นี่เป็นคำสั่ง”
[...ทราบแล้วครับ]
คิมบย็องแมนตัดสายแล้วพูดกับเลขานุการ
“เตรียมงานแถลงข่าว”
“ครับ”
คิมบย็องแมนถอนหายใจหนักหน่วง
***
พนักงานที่มารวมตัวกันในห้องประธานของอลันดาลแอบมองรองประธานจุงมินชาน เขานอนระทวยบนโซฟา สีหน้าของเขาเหมือนคนที่เสียบ้านเมืองตัวเองไป
อาการปวดศีรษะของเขารุนแรงจนยาไม่มีผล เขาจึงผูกเนคไทรอบศีรษะ
คิมเฮมินปลอบใจจุงมินชาน
“ยอมแพ้เถอะรองประธาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประธานของเราก่อเรื่อง”
“เฮ้อ นี่มันคนละระดับกับการก่อเรื่องแล้ว...”
“...”
เฮมินเห็นด้วย
เรื่องของคังวูจินแปะอยู่ในข่าวทุกข่าว
“ว้าว ลูกพี่เป็นที่ 1 ในหัวข้อค้นหาอีกแล้ว”
ซุงกูหัวเราะแจ่มใสพลางยื่นสมาร์ทโฟนให้ดู รอยคล้ำรอบตาของมินชานยิ่งมืดขึ้นอีก
ทำไมเราส์ของกิลด์เราเป็นแบบนี้กันหมด?
คีย์เวิร์ดในลำดับค้นหาเต็มไปด้วยคำอย่าง คังวูจิน,อลันดาล,กบฏ,จู่โจมรัฐสภา,ฯลฯ
งานของจุงมินชานคือดูแลเหตุการณ์หลังคังวูจินก่อเรื่อง เขามีตำแหน่งรองประธาน แต่ความเครียดความกดดันจากงานนี้ไม่น้อยเลย ประธานของเขาชอบก่อเรื่องระดับโลก
“เอายาอีกเม็ดสิครับ”
“เฮ้อ ก็ได้”
เขารับยาคลายเครียดจากคิมเฮมินมาใส่ปากแล้วดื่มน้ำ
[ข่าวด่วน ประธานาธิบดีออกแถลงการณ์เมื่อไม่นานนี้ ท่านยอมรับการประกาศเอกราชของกิลด์อลันดาลและยอมรับอลันดาลในฐานะประเทศหนึ่ง อลันดาลจะมีอำนาจอธิปไตย...]
ปู้ด!
มินชานพ่นน้ำลงโต๊ะ เม็ดยาคลายเครียดกระเด็นลงพื้น ทุกคนหันมาสนใจเขาหลังจากการโชว์พ่นน้ำพุ
“ท...ท่านประธานคิดจะเป็นพระราชาจนได้”
เขาพึมพำเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ดูโทรทัศน์อยู่พูดขึ้น
“เขาเป็นราชาอยู่แล้ว”
เขาเป็นจ้าวแห่งอลันดาล สำหรับเธอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เธอคิดว่ามีอาณาจักรกี่แห่งที่ตกอยู่ในกำมือของผู้ไม่ตาย เกาหลีรอบคอบที่ไม่ต่อต้านเขา
การสังเวยชีวิตคนเพียง 57 คนช่วยเกาหลีเอาไว้
เนื้อเรื่องมันมืดลงๆ...
เสียงสัญญาณเตือนภัยดัง ผู้คนหลั่งไหลออกมาจากอาคาร คนเปียกน้ำยืนบังทางออกเหมือนเป็นกำแพง
“เฮ้ หลีกทางสิ! ยืนทื่อกันอยู่ทำไม!”
ความอยากเอาชีวิตรอดของชอยเทโอนั้นสูงมาก เขาผลักคนจนล้มและออกมาข้างนอกได้ในที่สุด
“ดี ฉันยังไม่ตาย”
เขาไม่รู้ว่าไฟไหม้รุนแรงขนาดไหน แต่ย้ายไปอยู่ที่ปลอดภัยถือเป็นการรอบคอบกว่า เขารอเฉยไม่ได้
เขาไม่ไว้ใจระบบดับเพลิงของตึกรัฐสภา ความระแวงกับความกลัวตายของชอยเทโอนั้นบวมพอๆกับพุงของเขา
เมื่อเขาหลุดจากกลุ่มคนมาได้ก็เจอกับอากาศสดชื่น น้ำจากสปริงเกอร์ทำชุดสูทเปียกโชกเขาจึงรู้สึกไม่ดีนัก มีค่าซักแห้งที่เขาต้องจ่าย ชอยเทโอตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่... ความใส่ใจในภาพลักษณ์ของเขาที่หายไปตอนหนีไฟไหม้คืนกลับมาแล้ว
“เฮ้ย! ทำไมจู่ๆมันถึงวุ่นวายขึ้นมา!”
ชอยเทโอตวาดถามคนอื่น เขาอยากรู้ว่าทำไมถึงเกิดไฟไหม้แต่ไม่มีใครตอบเขา ทุกคนยืนตัวแข็ง
“เอ๊ะ?”
คนที่ยืนตรงทางออกยืนหันหน้ามาทางชอยเทโอ
สองฝั่งมองกันอย่างน่าอึดอัด ที่จริงแล้วพวกเขามองด้านหลังชอยเทโอ ชอยเทโองงแล้วหันหลังไป
“เอ๊ะ?”
มีหลายคนนอนหลั่งเลือด ไม่ใช่ พวกเขากลายเป็นศพไปแล้ว เพื่อนสนิทของเขา ปาร์คโซกุคก็เป็นหนึ่งในนั้น
การสังหารหมู่เกิดขึ้นในสภาเกาหลี เมื่อเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ชอยเทโอไม่ร้องเอะอะและไม่โทรเรียกตำรวจ
“....”
เขาถอยหลังเข้าไปในฝูงชนเงียบๆ
เขากวาดตามองสถานการณ์ไปรอบๆ
อัศวินมรณะของคังวูจินที่เขาเห็นในห้องประชุมกำลังล้อมตึก และไม่ใช่แค่อัศวินมรณะ
‘ฉันเคยเห็นพวกมันที่อัฟกานิสถาน’
เขาเคยเห็นพวกมันในข่าวบ่อยจนเบื่อ กองทัพโครงกระดูกของคังวูจินซึ่งมีประมาณ 10,000 ตัว ดูท่าว่าคังวูจินจะสามารถเรียกพวกมันมาที่ไหนก็ได้ พวกมันจำนวนหลายพันกำลังล้อมรัฐสภา
สัญญาณเตือนภัยทำให้เขาหนีออกมาจากตึก แต่ตอนนี้เขายืนตะลึงมองเหล่าทหารโครงกระดูกทำการฆาตกรรม
ชายคนหนึ่งที่ยืนข้างชอยเทโอถามเสียงเบา
“เขามันบ้า คิดว่าหลังจากนี้เขาจะรอดตัวไปได้ยังไง?”
“นั่นน่ะสิ”
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่คนที่ไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนในสังคมสุดท้ายก็จะไม่มีความสุข เขาจะกลายเป็นศัตรูของเกาหลี... ไม่ใช่ เขาจะกลายเป็นอาชญากรตัวอันตราย นี่เป็นคนละเรื่องกับการกำจัดกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลาง
เขาฆ่าสมาชิกรัฐสภาที่ไม่มีความผิดอะไร...
โชคดี นี่ไม่ใช่การสังหารไม่เลือกหน้า
“พวกโครงกระดูกแยกคนที่จะฆ่าออกได้ด้วยเหรอ?”
“ผมไม่...”
ชายที่กำลังกระซิบตอบนิ่งไป อัศวินมรณะในเกราะดำกำลังนำโครงกระดูกกลุ่มหนึ่งมาหยุดตรงหน้าเขา
[ยืนยันเป้าหมาย]
อัศวินมรณะมองตรงมาที่ชอยเทโอ
“อ...อะไร?”
ชอยเทโอผงะถอยไปด้านหลัง ฝูงชนยืนเบียดกันแน่นจนเขาไม่มีที่ไป
“ห...หลีกทาง! ฉันชอยเทโอ! หลีก!”
เขาดิ้นรนแต่ทำได้แค่ให้คนหลีกทางให้ไม่กี่ก้าว อัศวินมรณะคว้าแขนของชอยเทโอ
ร่างของชอยเทโอขัดขืนเรี่ยวแรงของอัศวินมรณะไม่ได้เลย เขาถูกโยนขึ้นไปกลางอากาศและหล่นโครมบนพื้น
[ลากมันไปหาท่านจ้าว]
“เคะๆๆๆ”
ทหารโครงกระดูกรับคำสั่งอัศวินมรณะ พวกมันยึดแขนขาของชอยเทโอแล้วออกเดิน
“ป...ปล่อยนะ! พวกมอนสเตอร์สกปรก!”
ชอยเทโอดิ้น แต่ทหารโครงกระดูกเดินต่อไปพลางส่งเสียงน่าขนลุก พวกเขามาถึงที่ๆคังวูจินและศพจำนวนมากรออยู่
“คนที่ 32 เหรอ?”
ทหารโครงกระดูกหยุดตรงหน้าวูจินและโยนเทโอลงพื้น จากนั้นกระชากศีรษะเขาหงายขึ้น
“อั๊ก ปล่อยฉันนะ!”
เขารู้ว่าตะโกนไปก็ไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังดิ้นรนเต็มที่ เขาเห็นอนาคตของตัวเอง เขาเห็นซากศพกระจัดกระจายบนพื้น
วูจินทวนความจำแล้วก็จำหน้านี้ได้
“มันคือชอยเทโอ จัดการมัน”
[รับบัญชา]
อัศวินมรณะถือหอกเดินมาใกล้ ชอยเทโอดิ้น
“ค...คุณทำแบบนี้ทำไม?”
“นายจะเข้าใจถ้าได้ดูข่าว”
“ถ...ถ้าคุณฆ่าผม ผมจะดูได้ยังไง!”
“แย่เลยนะ”
“แกคิดว่ามีพลังแล้วจะเป็นพระเจ้าเหรอ? อย่างน้อยก็ให้ฉันรู้เหตุผลสิโว้ย!”
ทำไมถึงเล่นกับชีวิตคนอื่นแบบนี้?
วูจินยิ้มเยาะให้กับคำพูดของชอยเทโอ
“นายเกี่ยวข้องกับลีซังโฮไม่ใช่เหรอ? นายยังได้กำไรตั้งมากจากดันเจี้ยนเบรก ที่สำคัญ นายมีส่วนกับการยิงจรวดฆ่าฉัน พวกนั้นไงล่ะเหตุผล”
ชอยเทโอลืมตากว้าง เขาไม่สนใจเหตุผล เขาแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“ฉันไม่เกี่ยว! ฉันบริสุทธิ์! แกฆ่าคนบริสุทธิ์ได้ยังไง! กฎหมายจะว่ายังไง!”
“เหตุผลพวกนั้นเพียงพอกับการฆ่านาย”
ชอยเทโออยากกระอักเลือด มีคนบ้าขนาดนี้ด้วยเหรอ? นี่เกิดใจกลางเกาหลี ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการฆาตกรรมหน้าอาคารรัฐสภา
“ไอ้บ้า! ที่นี่คือเกาหลีใต้ สาธารณรัฐเกาหลี! ทำแบบนี้แกคิดว่าจะรอดเหรอ?”
วูจินยักไหล่
“นายห่วงตัวเองดีกว่านะ”
“ไอ้...”
ไม่ว่าเขาพูดอะไรชายคนนี้ก็ไม่สนใจ คนบ้าแบบนี้โผล่มาได้ยังไง?
คังวูจิน เราส์แรงค์ AA ผู้พิทักษ์ของเกาหลี? ความหวังของโลก? แบบอย่างของเราส์?
เหลวไหลทั้งเพ ไอ้บ้าตรงหน้าเขาคือผู้ก่อการร้ายที่ใช้มอนสเตอร์ กล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมขนาดนี้ในประเทศประชาธิปไตย...
[เจ้าล่วงเกินราชา]
หอกของอัศวินมรณะแทงหัวใจชอยเทโอ
“บ...บ้า...”
เสียงของเขาเงียบหายไป ชอยเทโอล้มลง วูจินฉีกเอกสารที่เกี่ยวกับชายคนนี้ทิ้ง ยังเหลือเอกสารอีกหลายใบในมือเขา
“พวกมันออกมาช้าจริง”
วูซุงฮุนอาเจียนจนหมดท้องไปแล้ว ซุงฮุนกับลีคังจินยืนอยู่ด้านหลังวูจินเงียบๆ วูซุงฮุนคิดถึงเรื่องหลายๆอย่าง
“เฮ้อ ถ้าตอนนั้นฉันขายออมเนียแทนกาแล็กซี่ แทนที่จะโดนตบคงโดนฆ่าไปแล้ว”
เขานึกถึงการพบกันครั้งแรกอันน่ากลัวของเขาในฐานะคนขายโทรศัพท์กับวูจินแล้วโล่งใจ
ลีคังจินก็มีหลายอย่างๆต้องคิดในหัวเช่นกัน
‘เขาบ้าหรือเปล่า?’
ลีคังจินเป็นคนที่เกลียดการเมืองเกาหลียิ่งกว่าใคร
เขารู้ว่าไม่มีนักการเมืองคนไหนมือสะอาด บางคนเขามองเป็นเศษสวะไม่สมควรมีชีวิตอยู่ แต่กฎหมายปกป้องคนพวกนี้...
ที่ลีคังจินทำได้ก็แค่ส่งพวกเขาเข้าคุกสักสองสามเดือน ซึ่งไม่ต่างจากส่งพวกเขาไปพักร้อน สิ่งเดียวที่มีผลก็คือทำให้ชื่อเสียงเสียหาย
แต่ คังวูจิน...
‘เขาเป็นนักปฏิวัติเหรอ?’
เขาจะถอนต้นตอเน่าๆของเกาหลี? เขาทำเรื่องนี้ลงไปทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์เกาหลีว่าเป็นฆาตกรใจโฉด?
ระหว่างลีคังจินคิดหนักเรื่องการกระทำของคังวูจิน การประหารก็มาถึงจุดจบ
ไม่ นี่ไม่ใช่การแก้แค้นเสียทีเดียว มันเหมือนการเตือนมากกว่า
“ไปกันเถอะ”
วูจินก้าวเท้าเดินง่ายๆเหมือนการเลิกงานกลับบ้าน วูซุงฮุนที่อาเจียนจนหมดแรงกับลีคังจินเดินตาม ซุงฮุนถามอย่างระมัดระวัง
“แบบนี้ไม่เป็นไรจริงๆเหรอครับท่านประธาน?”
วูซุงฮุนเป็นกังวลเพราะกล้องจับภาพพวกเขาไว้ทุกองศา พวกเขาจะไม่ถูกจับจริงๆเหรอ?
“ไม่เป็นไร ไปตามกล้องด้านโน้นมาที่นี่”
“ครับ”
วูซุงฮุนวิ่งไปทำตามคำสั่ง
สภาถูกอัศวินมรณะกับทหารโครงกระดูกล้อม และมีทหารล้อมกองทัพโครงกระดูก
ในกลุ่มทหาร ซุงฮุนเห็นตากล้องกับนักข่าว ขณะที่เขาเข้าไปใกล้พวกเขา ปืนหลายกระบอกเล็งมาทางเขา ซุงฮุนขาสั่น
“อย่าเข้ามานะ”
“ประธานของผมมีเรื่องจะพูด ขอกล้องไปให้เขาด้วยครับ”
“...”
หัวหน้าหน่วย พันเอกปาร์ค มีสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
พวกเขาทำเรื่องผิดปกติจนเกินกว่าจะเรียกว่าบ้าแล้วยังอยากได้กล้องอีก หรือจะบ้าจริงๆ?
“ผมจะไป”
ผู้บริหารเน็ตเวิร์คคิดว่านี่จะเป็นสกู๊ปพิเศษจึงวิ่งออกไป เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อข่าว นักข่าวกลืนน้ำลายแล้ววิ่งตามผู้บริหารไปกับตากล้อง
วูจินถามผู้บริหารเน็ตเวิร์ค
“นี่ถ่ายทอดสดใช่ไหม?”
“เอ๋? ครับ”
วูจินมองกล้องแล้วประกาศ
***
ประธานาธิบดีดูโทรทัศน์ด้วยกันกับเสนาธิบดีทำเนียบ เขายกเลิกการไปรัฐสภา
‘คำเตือนกับข้อเสนอ...’
คำที่คังวูจินพูดยังไม่หายไปจากความคิดเขา
“คุณคิดว่ายังไงกับเรื่องนี้?”
“เขาก่อกบฏร้ายแรงต่อประเทศของเรา”
เสนาธิการตอบอย่างแน่ใจ
ประธานาธิบดีส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ผมถามเรื่องข้อเสนอของเขา”
“...นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมตัดสินใจได้...”
“ฮืม...”
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ประหลาดมากขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี การแบ่งเกาหลีเหนือใต้เป็นเรื่องเศร้าพอแล้ว ถ้าหากมีประเทศอื่นเกิดขึ้นมาอีก...
ประธานาธิบดีคิมบย็องแมนจมอยู่ในความคิดของเขาตอนที่เลขานุการของเขาคนหนึ่งวิ่งมาหา
“โทรศัพท์จากรัฐมนตรีกลาโหมครับ”
ไม่ต้องรับโทรศัพท์เขาก็รู้ว่าเรื่องอะไร
เขาสั่งให้กองทหารล้อมคังวูจิน และสั่งชัดเจนไม่ให้ทำอะไร
“ส่งมา”
คิมบย็องแมนรับโทรศัพท์ เสียงร้อนรนก็ดังขึ้น
[คังวูจินพูดว่าถ้าเราไม่คลายวงล้อมภายใน 5 นาทีเขาจะโจมตี ขอคำสั่งจู่โจมด้วยครับ เราต้องโจมตีก่อน]
เขาคิดว่าการโจมตีก่อนจะล้มคังวูจินได้เหรอ? แม้แต่กลุ่มผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางยังแพ้เพราะพลังโจมตีไม่พอ
อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเกาหลีจริงๆ?
หลังจากคิดอย่างจริงจัง คิมบย็องแมนตอบ
“คลายวงล้อม”
[...เราไม่ควรทำอย่างนั้นนะครับ นี่เป็นการกบฏสูงสุดต่อประเทศ เราต้องลงโทษเขา]
“มีผู้เสียชีวิตกี่ราย?”
[57 รายครับ รวมผู้แทนปาร์คโซกุค]
คิมบย็องแมนตัดสินใจ คังวูจินทำตามที่สัญญาไว้จริงๆ
“ปล่อยพวกเขา นี่เป็นคำสั่ง”
[...ทราบแล้วครับ]
คิมบย็องแมนตัดสายแล้วพูดกับเลขานุการ
“เตรียมงานแถลงข่าว”
“ครับ”
คิมบย็องแมนถอนหายใจหนักหน่วง
***
พนักงานที่มารวมตัวกันในห้องประธานของอลันดาลแอบมองรองประธานจุงมินชาน เขานอนระทวยบนโซฟา สีหน้าของเขาเหมือนคนที่เสียบ้านเมืองตัวเองไป
อาการปวดศีรษะของเขารุนแรงจนยาไม่มีผล เขาจึงผูกเนคไทรอบศีรษะ
คิมเฮมินปลอบใจจุงมินชาน
“ยอมแพ้เถอะรองประธาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประธานของเราก่อเรื่อง”
“เฮ้อ นี่มันคนละระดับกับการก่อเรื่องแล้ว...”
“...”
เฮมินเห็นด้วย
เรื่องของคังวูจินแปะอยู่ในข่าวทุกข่าว
“ว้าว ลูกพี่เป็นที่ 1 ในหัวข้อค้นหาอีกแล้ว”
ซุงกูหัวเราะแจ่มใสพลางยื่นสมาร์ทโฟนให้ดู รอยคล้ำรอบตาของมินชานยิ่งมืดขึ้นอีก
ทำไมเราส์ของกิลด์เราเป็นแบบนี้กันหมด?
คีย์เวิร์ดในลำดับค้นหาเต็มไปด้วยคำอย่าง คังวูจิน,อลันดาล,กบฏ,จู่โจมรัฐสภา,ฯลฯ
งานของจุงมินชานคือดูแลเหตุการณ์หลังคังวูจินก่อเรื่อง เขามีตำแหน่งรองประธาน แต่ความเครียดความกดดันจากงานนี้ไม่น้อยเลย ประธานของเขาชอบก่อเรื่องระดับโลก
“เอายาอีกเม็ดสิครับ”
“เฮ้อ ก็ได้”
เขารับยาคลายเครียดจากคิมเฮมินมาใส่ปากแล้วดื่มน้ำ
[ข่าวด่วน ประธานาธิบดีออกแถลงการณ์เมื่อไม่นานนี้ ท่านยอมรับการประกาศเอกราชของกิลด์อลันดาลและยอมรับอลันดาลในฐานะประเทศหนึ่ง อลันดาลจะมีอำนาจอธิปไตย...]
ปู้ด!
มินชานพ่นน้ำลงโต๊ะ เม็ดยาคลายเครียดกระเด็นลงพื้น ทุกคนหันมาสนใจเขาหลังจากการโชว์พ่นน้ำพุ
“ท...ท่านประธานคิดจะเป็นพระราชาจนได้”
เขาพึมพำเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ดูโทรทัศน์อยู่พูดขึ้น
“เขาเป็นราชาอยู่แล้ว”
เขาเป็นจ้าวแห่งอลันดาล สำหรับเธอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เธอคิดว่ามีอาณาจักรกี่แห่งที่ตกอยู่ในกำมือของผู้ไม่ตาย เกาหลีรอบคอบที่ไม่ต่อต้านเขา
การสังเวยชีวิตคนเพียง 57 คนช่วยเกาหลีเอาไว้
เนื้อเรื่องมันมืดลงๆ...
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 115
บทที่ 115 – การชี้แจง (4)
หัวหน้ากิลด์อลันดาล คังวูจิน และประธานาธิบดีของประเทศเกาหลี คิมบย็องแมน ยืนหันหน้าเข้าหากัน ประธานาธิบดียกมือขึ้น
“ผมประธานาธิบดีคิมบย็องแมน”
“เอ๋? ดาราตลกเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ ชื่อเหมือนกันน่ะ”
วูจินเสียมารยาท แต่บย็องแมนหัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป วูจินยิ้มขณะจับมือกับประธานาธิบดี
“ฉันนึกว่านักการเมืองทำตัวน่าสงสัยทุกคนเสียอีก นายไม่เลวนี่”
“หือ? ถ้าคุณรู้จักผม คุณจะรู้ว่าผมน่าสงสัยใช้ได้เลยล่ะ”
วูจินส่ายหน้า วิญญาณของบย็องแมนไม่บริสุทธิ์เหมือนของจีวอน แต่ยังเป็นสีสว่าง อย่างน้อยมันหมายความว่าเขาเป็นคนมุ่งมั่นเหมือนฮีซอล
เขาไม่สนใจว่าชายคนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียหายอะไรหรือไม่ ที่สำคัญกว่าคือหาว่าความมุ่งมั่นของเขาพุ่งไปที่ไหน ถ้าเหมือนฮีซอลที่ยึดมั่นเรื่องรับใช้ชาติก็เยี่ยม...
“ฉันไม่บอกว่านายนิสัยแย่แค่ไหน นั่งเถอะ”
“ฮ่าๆ คุณเหมือนที่ผมได้ยินมาเลย ตรงมาก”
ประธานาธิบดีกับวูจินนั่งบนโซฟา เขามารยาทแย่มากกว่าเป็นคนตรง เสนาธิการทำเนียบหน้าตึง แต่ไม่ขยับ ถ้าเขาขยับอาจถูกเห็นว่ากำปั้นของเขากำลังสั่นด้วยความโกรธ
“นายได้ยินมามากแค่ไหน?”
“อะไรนะ?”
“ฉันแน่ใจว่านายสืบเรื่องฉันมาแล้ว”
“...”
คิมบย็องแมนหัวเราะ เส้นทางการเมืองของเขาไม่สั้น แต่เขาแทบไม่เคยคุยกับอีกฝ่ายที่ตรงมากและรวบรัดขนาดนี้มาก่อน
คนพวกนี้คือคนอายุน้อยอวดดี คนที่แสดงอารมณ์ตรงไปตรงมา พวกเขาถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก เชื่อว่าตัวเองนั้นซื่อสัตย์จริงใจ
แต่วูจินไม่ใช่
เขามีอำนาจทำให้คำพูดของเขามีน้ำหนัก
“คุณหมายถึงคังวูจินคนไหน”
“โฮ่ นายรู้เรื่องฉันที่อัลเฟนด้วยเหรอ?”
คิมบย็องแมนพยักหน้าโดยไม่ลังเล เขารู้สึกว่าถ้าปิดบังเรื่องนี้ไปเขาจะไม่ได้อะไรเลย
“ผมรู้เท่าที่คนส่วนใหญ่รู้”
เกาหลีใต้พยายามอย่างหนักเพื่อหาข้อมูลของคังวูจิน เขาเป็นเราส์ที่เกิดในประเทศนี้ แต่กลับไม่มีข้อมูลของเขาอยู่เลย ซ้ำยังถึงขั้นที่ประเทศไม่สามารถควบคุมเขาได้ง่ายๆ
วูจินยิ้มเหมือนบอกให้อีกฝ่ายพูด คิมบย็องแมนว่าต่อ
“คุณถูกเรียกตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อน และกลับมาหลังจากอยู่ที่อัลเฟนนาน 20 ปี พลังที่คุณมีได้มาจากช่วงเวลานั้น”
“อย่างอื่นล่ะ?”
“ไม่เจออะไรนอกไปจากนี้จริงๆ...”
วูจินยักไหล่แล้วเอนหลังจมไปในโซฟา คิมบย็องแมนกลืนน้ำลายนั่งหลังตรง
“นายคิดว่าฉันมาที่นี่ทำไม?”
“เราเฝ้าขอให้กิลด์ของคุณเป็นกิลด์ป้องกันประเทศ คุณมาที่นี่เพราะจะเจรจาไม่ใช่เหรอ?”
วูจินส่ายหน้า
“ฉันมาแก้แค้น อีกอย่างฉันมาเตือนและมีข้อเสนอให้นาย”
“...”
วูจินวางเอกสารลงบนโต๊ะ
***
พวกเขาใกล้ถึงอาคารรัฐสภาเต็มที ในที่สุดวูซุงฮุนก็รู้สึกว่าหัวใจที่หดเล็กของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาเหลือบมองวูจินทางกระจกหลัง
“ขอโทษนะครับท่านประธาน”
“หือ อะไร?”
“จะทำจริงๆเหรอ?”
“หา?”
“ผมพูดถึงบัญชีแค้น”
วูจินยิ้มเยาะ
“นายอยากให้ฉันยกโทษให้เหรอ พวกมันจะเอาชีวิตฉันนะ”
“ท่านสัญญากับรองประธานไว้ไม่ใช่เหรอครับ?”
เรื่องอื่นเขาไม่รู้ แต่วูจินเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เขาพูดไว้ชัดเจนว่าจะไม่มีเลือดตกยางออกที่รัฐสภา...
“ฉันแค่ต้องเลี่ยงไม่ให้มีเลือดที่รัฐสภา”
“...!”
อะไรนะ! หมายความว่าเขาจะแก้แค้นทีหลังเหรอ? ซุงฮุนหน้าเครียด
“เฮ้ ซุงฮุน”
“ครับท่านประธาน”
“ไม่ต้องกลัว”
“...”
สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ
ซุงฮุนหน้าเครียดเมื่อวูจินเริ่มมองไปรอบๆ อาคารรัฐสภาเสียหายจากดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก แต่ถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้น 20% ของจำนวนทหารที่ป้องกันโซล ป้องกันที่นี่อยู่
“ถึงแล้วครับ”
หลังจากผ่านจุดตรวจ วูจินลงจากรถ ชายในชุดสูทคนหนึ่งเดินมาหาเขาและทักทาย
“ผมลีคังจิน”
“คังวูจิน”
“จู่ๆผมก็ถูกเรียกให้มาที่นี่ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”
หน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม
วูจินขอให้ประธานาธิบดีส่งผู้พิพากษาที่มีความรู้เกี่ยวกับบรรดานักการเมืองมาให้ ดูท่าลีคังจินจะเป็นคนๆนั้น
“อืม เดินไปกับฉันก่อน”
ลีคังจินเดินตามวูจิน เขารู้ดีว่าจะสภาจะเริ่มการชี้แจง แต่ทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ที่นี่...
“ฉันอยากได้คำแนะนำจากนาย”
“เรื่องไหนครับ?”
วูจินส่งเอกสารให้ ลีคังจินรับมาด้วยความสงสัย เขาอ่านเอกสารแล้วเดาะลิ้น
“พวกทุเรศ เล่นถึงขั้นข้ามประเทศเลยทีนี้”
ผู้พิพากษาของเมืองโซล ลีคังจิน เล่าลือกันว่าเขาเป็นหมาบ้า ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่เขาละเว้น เขามีชื่อเสียงไม่น้อยด้านการสืบสวน
ความสามารถด้านการสืบสวนของเขาโดดเด่นขนาดส่งสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่งในสี่เข้าคุกไปเมื่อสามปีก่อน
เอกสารเต็มไปด้วยชื่อที่เขารู้จัก รายชื่อเหล่านี้อยู่ในรายชื่อนักการเมืองคอร์รัปชั่นของเขา
จากเอกสาร นักการเมืองบางคนจงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรก ทำให้คนในประเทศตกอยู่ในอันตราย ยังมีคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการร้ายที่เกิดในสหรัฐอเมริกา
เขาเห็นภาพคร่าวๆแล้ว การขุดคุ้ยเรื่องสกปรกของสมาชิกสภาเป็นความสามารถพิเศษของเขา
ทำไมประธานาธิบดีถึงเจาะจงตัวเขา ทำไมเขาถึงถูกส่งมาให้คังวูจิน?
คังวูจินต้องการอะไรจากเขา?
“คุณอยากให้ผมแนะนำเรื่องอะไร?”
“ฉันจะฆ่าไอ้ 5 คนนี้แน่ๆ นอกจากพวกนี้ ฉันสงสัยว่าจะฆ่าคนไหนอีกดี ฉันต้องการคำแนะนำจากนาย”
เอ๋? เขาเดาไม่ได้เลยว่าจะเป็นเรื่องนี้
ลีคังจินหยุดเดินแล้วมองวูจินอึ้งๆ
ชายคนนี้คิดจะทำอะไร?
***
วูจินถึงหน้าห้องประชุม ลีคังจินกับวูซุงฮุนตามมาในฐานะผู้ช่วย
คนที่นั่งประจำที่มีสีหน้าไม่พอใจ
ชายคนนี้ทำให้เกิดการประชุม พวกเขาไม่ว่างต้องทำงานเพื่อประเทศแล้วทำไมชายคนนี้ถึงมาสายนัก?
ก่อนประธานการประชุมจะพูด ชอยเทโอก็ยืนขึ้นแล้วตวาด
“คุณเห็นสภาเป็นเรื่องตลกเหรอ?”
ก็ใช่น่ะสิ คังวูจินมองไปรอบๆ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้บนเวที เขาไม่ได้นั่งตรงนี้เพื่อรับการไต่สวน ตรงนี้ทำให้เขามองเห็นทุกคน
ขณะวูจินนั่งที่ เขามองหน้าทุกคน ไม่ใช่แค่นักการเมือง เขามองกระทั่งผู้ช่วยและนักข่าว...
วูจินเลือกคนสำหรับส่งเงาของเขาไปติดตามไว้แล้ว 5 คน
5 คนที่เขาเลือกมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับลีซังโฮ พวกเขาเป็นคนวางแผนลอบสังหารเขา ชอยเทโอก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ฮะ ได้ยินหรือเปล่า? กรุณาตอบคำถามด้วย”
ชอยเทโอนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าเมินเขา เขาตะโกนจนเห็นเส้นเอ็นที่คอเต้นตุบๆ แต่คำพูดของเขาส่งไปไม่ถึงวูจินเลยด้วยซ้ำ วูจินนั่งเปิดเอกสารไปทีละหน้าพลางเปรียบเทียบรูปถ่ายกับตัวจริง
รูปถ่ายของพวกเขามีเครื่องหมายกากบาทอยู่ข้างๆ ลีคังจินเป็นคนกา
‘เจ้านี่ไม่ต้อง’
ในนี้มีพวกสวะมากมาย แต่เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าทั้งหมด เขาเจาะจงที่กลุ่มหนึ่งซึ่งจ้องจะเอาชีวิตเขา
วูจินมาแก้แค้น ไม่ใช่มาล้างบางสภา เขาไม่สนว่าพวกเขาทำเรื่องสกปรกอะไรบ้าง แต่เขาเพิ่มชื่อบัญชีแค้นตามคำบอกของลีคังจิน เขากำลังช่วยทุกคน
‘เยอะจริง’
เขาตรวจรายชื่อ มันเกือบครึ่งของสภา หลังจากมองหน้าทุกคนแล้ววูจินก็ยืนขึ้น เขาจำหน้าพวกที่เขาต้องฆ่าไว้แล้ว
“ออกไปกันเถอะ”
“อ้าว? เสร็จแล้วเหรอครับ?”
“ฉันแค่ต้องจำหน้าคนที่ต้องฆ่า”
วูจินกำลังจะจากไปกับลีคังจินและซุงฮุน แต่ชอยเทโอตะโกน
“เฮ้ย คิดจะไปไหนน่ะ!”
เมื่อคังวูจินยืนขึ้น สภาก็วุ่นวาย พวกเขารอมาตั้งนานแต่เขาจะไปแล้ว เพิ่งมาถึงเองไม่ใช่เหรอ?
ผู้ช่วยวิ่งไปทางวูจิน
“กรุณากลับไปนั่งที่เดิมด้วยครับ”
“ทำไม?”
“อะไร? เราต้องเริ่มการชี้แจงไม่ใช่เหรอ?”
“อ้อ การชี้แจง”
พวกเขาพยายามจะยืนยันอะไรสักอย่างกับเขาสินะ? น่าจะเรื่องพยายามให้เขาเข้าร่วมในกิลด์ป้องกันที่เขาไม่คิดจะทำ
คำพูดของชอยเทโอถูกเพิกเฉยเช่นเดิม เขาจึงนั่งลงหอบหายใจ
‘คอยดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น’
ชอยเทโอตั้งใจจะออกข่าวเรื่องเลวร้ายของวูจิน ที่ผ่านมาวูจินฝ่าฝืนกฎหมายหลายข้อ
วูจินหยิบไมโครโฟนที่วางบนโต๊ะบนเวทีขึ้นมาแล้วพูด
เขาพูดกับสภา ไม่ ที่จริงแล้วเขาพูดกับกล้องและนักข่าว
“ฉันจะไม่ทำกิลด์ป้องกันประเทศหรืออะไรพวกนั้น เพราะอย่างนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีการชี้แจง แต่ฉันจะบอกอะไรให้”
คำพูดของวูจินทำให้สภาวุ่นวายอีก แต่เขาพูดต่ออย่างไม่สนใจ
“พวกคนที่เกี่ยวข้องกับการยิงจรวดก่อการร้ายที่คิดจะฆ่าฉัน คนที่จงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรก และคนที่คิดว่าเราไม่ต้องสู้กับมอนสเตอร์สมควรฟังคำเตือนของฉันไว้”
“พูดบ้าอะไร!”
“อวดดีนัก!”
วูจินเมินเสียงตะโกนของสมาชิกสภาแล้วพูดต่อ
“ข้อมูลที่เชื่อถือได้ถูกส่งไปให้สื่อมวลชนแล้ว...”
“ไร้สาระ!”
“นี่มันไร้สาระทั้งนั้น พวกเราไม่ต้องไปฟัง”
“คุณคิดว่าอยู่ที่ไหนน่ะหา!”
วูจินขมวดคิ้ว เสียงตะโกนกลบเสียงพูดของเขา เอาล่ะ ทำให้พวกนี้เงียบลงดีกว่า...
ควันดำลอยจากด้านหลังวูจิน และอัศวินมรณะ 53 ตนถูกเรียกออกมา ชอยเทโอตะโกน
“คุณคิดว่ากำลังทำอะไรในรัฐสภาอันศักดิ์สิทธิ์นี่!”
กฎหมายห้ามใช้ความสามารถของเราส์ในรัฐสภา
“คุณคังวูจินฝ่าฝืนกฎหมายเราส์มาตราที่ 1 บรรทัดที่ 16 คนเช่นนี้สมควร...”
เขาพูดต่อไม่ได้ เหมือนพลังบางอย่างกดเขาเอาไว้ มันเป็นผลงานของเงากาเกบิที่วูจินส่งไปติดตามชอยเทโอ ทักษะเงาเลเวลต่ำ เรียกว่า ยึดร่าง
วูจินหยิบไมโครโฟนใหม่
“เงียบจนได้ ฉันส่งข้อมูลไปให้สื่อมวลชนเพื่อให้คนรู้ว่าทำไมพวกนายถึงต้องตาย ฉันจะไปรอข้างนอกล่ะ”
วูจินออกไปจากห้อง ไม่มีใครขวางทางเขา อัศวินมรณะเป็นคนเปิดทางเหมือนกำลังคุ้มครองวูจิน
สมาชิกสภายังโกรธไม่หายแม้แต่ตอนพวกเขาออกไป
“กล้ามาจากไหน! คุณเห็นไหม? เห็นไหม?”
“เราจะยอมให้คนก้าวร้าวแบบนี้มาป้องกันประเทศได้เหรอ? เป็นไปไม่ได้”
“เอกสารนั่นต้องเป็นของปลอมแน่ เราต้องเนรเทศคังวูจิน”
ทุกคนต้องการให้คนอื่นฟังเสียงตัวเองจึงตะโกน มันเป็นความสับสนวุ่นวาย
วูจินไปถึงรถของเขา วูซุงฮุนพูดอย่างตื่นเต้นจนน้ำลายกระเด็น
“ท่านอดทนได้ดีมากครับ”
วูซุงฮุนรู้นิสัยวูจินดี เขาจึงคิดว่าตอนนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์
แต่ลีคังจินดูผิดหวังเล็กน้อย เขาดูข่าวจึงรู้เรื่องวูจินดี ในตะวันออกกลาง คังวูจินสังหารผู้ก่อการร้ายอย่างไม่ปราณี
เขาอยากให้วูจินทำเรื่องใหญ่ๆที่นี่
‘น่าเสียดาย’
ลีคังจินเกลียดพวกสมาชิกสภาที่เกลือกกลั้วกับการเมืองสกปรกมาจนอยากให้วูจินทำอะไรไปแบบไม่ต้องยั้งมือ
“เอาล่ะ เริ่มกันเลยไหม?”
วูจินมองแถวอัศวินมรณะ
“เอาหัวของคนที่ฉันจำหน้าไว้มา”
[รับบัญชา]
อัศวินมรณะดูตื่นเต้น วูซุงฮุนตกใจกลัวขณะถาม
“ผ...ผมนึกว่าท่านบอกจะไม่มีการหลั่งเลือดในรัฐสภา?”
“เพราะอย่างนั้นฉันเลยออกมาข้างนอกนี่ไง”
“...”
คิดว่ารองประธานไม่ได้หมายความอย่างนี้นะ... ที่จริงเขาคงอยากให้เรื่องมันเกิดข้างในมากกว่ามาเกิดกลางแจ้ง แต่ดูเหมือนวูจินจะไม่สนใจ
“อัล”
[เจ้านาย]
อัศวินมรณะดาบคู่ อัล อัสสาด คุกเข่าตรงหน้าวูจินอย่างเชื่อฟัง ร่างเขาพันผ้าสีดำเหมือนคนคอสเพลย์เป็นแอสซาสซินจากเปอร์เซียโบราณ
“กาเกบิ”
[โฮ่ๆๆ เกมสนุกอีกแล้ว]
กาเกบิหัวเราะชั่วร้ายหลังจากอ่านความคิดของวูจิน กาเกบิกลืนเข้าไปในเงาของอัล อัสสาด แล้วพลังของพวกเขาก็รวมกัน
“จัดการพวกมันภายในคืนนี้...”
[รับบัญชา]
มีพวกนักธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแค้นของวูจิน ร่างของอัล อัสสาดวูบไหวแล้วกลืนไปกับสภาพรอบๆ ระหว่างทำภารกิจเขาจะไม่ถูกเห็นตัวเพราะเขาใช้ทักษะท่าก้าววิญญาณและผ้าคลุมเงา
ลีคังจินปาดเหงื่อจากหน้าผากพลางมองวูจิน
‘เขาเอาจริงเหรอ?’
นี่ก็คือการพิพากษาแทนประเทศ ไม่มีทางถอย...
“กว่าพวกนั้นจะออกมาคงต้องใช้เวลา”
เหมือนว่าการรอเป็นเรื่องน่าเบื่อ วูจินใช้เวทย์จุดไฟ อืม ถ้าพวกเขาไม่อยากตายก็ต้องออกมาแล้ว
“ท...ท่านประธาน?”
ความกังวลในใจวูซุงฮุนยิ่งมากขึ้นทุกที
นี่มันเอาไม่อยู่แล้วนะ
“ไม่เป็นไรน่า ประธานาธิบดีจะสะสางเรื่องทีหลังเอง”
ลีคังจินเอียงคองง เขาทำข้อตกลงอะไรกับประธานาธิบดีนะ...
ลูกบอลไฟในมือคังวูจินถูกเขวี้ยงเข้าไปในอาคาร
เขากำลังรมควันโพรงกระต่าย ได้เวลาล่าแล้ว
เง้อ ตอนนี้แปลยาก >< รู้สึกงงๆว่าเรื่องงานสืบสวนนี่มันเกี่ยวกับผู้พิพากษาด้วยเหรอ?
หัวหน้ากิลด์อลันดาล คังวูจิน และประธานาธิบดีของประเทศเกาหลี คิมบย็องแมน ยืนหันหน้าเข้าหากัน ประธานาธิบดียกมือขึ้น
“ผมประธานาธิบดีคิมบย็องแมน”
“เอ๋? ดาราตลกเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ ชื่อเหมือนกันน่ะ”
วูจินเสียมารยาท แต่บย็องแมนหัวเราะแล้วปล่อยผ่านไป วูจินยิ้มขณะจับมือกับประธานาธิบดี
“ฉันนึกว่านักการเมืองทำตัวน่าสงสัยทุกคนเสียอีก นายไม่เลวนี่”
“หือ? ถ้าคุณรู้จักผม คุณจะรู้ว่าผมน่าสงสัยใช้ได้เลยล่ะ”
วูจินส่ายหน้า วิญญาณของบย็องแมนไม่บริสุทธิ์เหมือนของจีวอน แต่ยังเป็นสีสว่าง อย่างน้อยมันหมายความว่าเขาเป็นคนมุ่งมั่นเหมือนฮีซอล
เขาไม่สนใจว่าชายคนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเสียหายอะไรหรือไม่ ที่สำคัญกว่าคือหาว่าความมุ่งมั่นของเขาพุ่งไปที่ไหน ถ้าเหมือนฮีซอลที่ยึดมั่นเรื่องรับใช้ชาติก็เยี่ยม...
“ฉันไม่บอกว่านายนิสัยแย่แค่ไหน นั่งเถอะ”
“ฮ่าๆ คุณเหมือนที่ผมได้ยินมาเลย ตรงมาก”
ประธานาธิบดีกับวูจินนั่งบนโซฟา เขามารยาทแย่มากกว่าเป็นคนตรง เสนาธิการทำเนียบหน้าตึง แต่ไม่ขยับ ถ้าเขาขยับอาจถูกเห็นว่ากำปั้นของเขากำลังสั่นด้วยความโกรธ
“นายได้ยินมามากแค่ไหน?”
“อะไรนะ?”
“ฉันแน่ใจว่านายสืบเรื่องฉันมาแล้ว”
“...”
คิมบย็องแมนหัวเราะ เส้นทางการเมืองของเขาไม่สั้น แต่เขาแทบไม่เคยคุยกับอีกฝ่ายที่ตรงมากและรวบรัดขนาดนี้มาก่อน
คนพวกนี้คือคนอายุน้อยอวดดี คนที่แสดงอารมณ์ตรงไปตรงมา พวกเขาถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก เชื่อว่าตัวเองนั้นซื่อสัตย์จริงใจ
แต่วูจินไม่ใช่
เขามีอำนาจทำให้คำพูดของเขามีน้ำหนัก
“คุณหมายถึงคังวูจินคนไหน”
“โฮ่ นายรู้เรื่องฉันที่อัลเฟนด้วยเหรอ?”
คิมบย็องแมนพยักหน้าโดยไม่ลังเล เขารู้สึกว่าถ้าปิดบังเรื่องนี้ไปเขาจะไม่ได้อะไรเลย
“ผมรู้เท่าที่คนส่วนใหญ่รู้”
เกาหลีใต้พยายามอย่างหนักเพื่อหาข้อมูลของคังวูจิน เขาเป็นเราส์ที่เกิดในประเทศนี้ แต่กลับไม่มีข้อมูลของเขาอยู่เลย ซ้ำยังถึงขั้นที่ประเทศไม่สามารถควบคุมเขาได้ง่ายๆ
วูจินยิ้มเหมือนบอกให้อีกฝ่ายพูด คิมบย็องแมนว่าต่อ
“คุณถูกเรียกตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อน และกลับมาหลังจากอยู่ที่อัลเฟนนาน 20 ปี พลังที่คุณมีได้มาจากช่วงเวลานั้น”
“อย่างอื่นล่ะ?”
“ไม่เจออะไรนอกไปจากนี้จริงๆ...”
วูจินยักไหล่แล้วเอนหลังจมไปในโซฟา คิมบย็องแมนกลืนน้ำลายนั่งหลังตรง
“นายคิดว่าฉันมาที่นี่ทำไม?”
“เราเฝ้าขอให้กิลด์ของคุณเป็นกิลด์ป้องกันประเทศ คุณมาที่นี่เพราะจะเจรจาไม่ใช่เหรอ?”
วูจินส่ายหน้า
“ฉันมาแก้แค้น อีกอย่างฉันมาเตือนและมีข้อเสนอให้นาย”
“...”
วูจินวางเอกสารลงบนโต๊ะ
***
พวกเขาใกล้ถึงอาคารรัฐสภาเต็มที ในที่สุดวูซุงฮุนก็รู้สึกว่าหัวใจที่หดเล็กของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิม เขาเหลือบมองวูจินทางกระจกหลัง
“ขอโทษนะครับท่านประธาน”
“หือ อะไร?”
“จะทำจริงๆเหรอ?”
“หา?”
“ผมพูดถึงบัญชีแค้น”
วูจินยิ้มเยาะ
“นายอยากให้ฉันยกโทษให้เหรอ พวกมันจะเอาชีวิตฉันนะ”
“ท่านสัญญากับรองประธานไว้ไม่ใช่เหรอครับ?”
เรื่องอื่นเขาไม่รู้ แต่วูจินเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เขาพูดไว้ชัดเจนว่าจะไม่มีเลือดตกยางออกที่รัฐสภา...
“ฉันแค่ต้องเลี่ยงไม่ให้มีเลือดที่รัฐสภา”
“...!”
อะไรนะ! หมายความว่าเขาจะแก้แค้นทีหลังเหรอ? ซุงฮุนหน้าเครียด
“เฮ้ ซุงฮุน”
“ครับท่านประธาน”
“ไม่ต้องกลัว”
“...”
สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ
ซุงฮุนหน้าเครียดเมื่อวูจินเริ่มมองไปรอบๆ อาคารรัฐสภาเสียหายจากดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก แต่ถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้น 20% ของจำนวนทหารที่ป้องกันโซล ป้องกันที่นี่อยู่
“ถึงแล้วครับ”
หลังจากผ่านจุดตรวจ วูจินลงจากรถ ชายในชุดสูทคนหนึ่งเดินมาหาเขาและทักทาย
“ผมลีคังจิน”
“คังวูจิน”
“จู่ๆผมก็ถูกเรียกให้มาที่นี่ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”
หน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม
วูจินขอให้ประธานาธิบดีส่งผู้พิพากษาที่มีความรู้เกี่ยวกับบรรดานักการเมืองมาให้ ดูท่าลีคังจินจะเป็นคนๆนั้น
“อืม เดินไปกับฉันก่อน”
ลีคังจินเดินตามวูจิน เขารู้ดีว่าจะสภาจะเริ่มการชี้แจง แต่ทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ที่นี่...
“ฉันอยากได้คำแนะนำจากนาย”
“เรื่องไหนครับ?”
วูจินส่งเอกสารให้ ลีคังจินรับมาด้วยความสงสัย เขาอ่านเอกสารแล้วเดาะลิ้น
“พวกทุเรศ เล่นถึงขั้นข้ามประเทศเลยทีนี้”
ผู้พิพากษาของเมืองโซล ลีคังจิน เล่าลือกันว่าเขาเป็นหมาบ้า ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่เขาละเว้น เขามีชื่อเสียงไม่น้อยด้านการสืบสวน
ความสามารถด้านการสืบสวนของเขาโดดเด่นขนาดส่งสมาชิกรัฐสภาจำนวนหนึ่งในสี่เข้าคุกไปเมื่อสามปีก่อน
เอกสารเต็มไปด้วยชื่อที่เขารู้จัก รายชื่อเหล่านี้อยู่ในรายชื่อนักการเมืองคอร์รัปชั่นของเขา
จากเอกสาร นักการเมืองบางคนจงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรก ทำให้คนในประเทศตกอยู่ในอันตราย ยังมีคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการร้ายที่เกิดในสหรัฐอเมริกา
เขาเห็นภาพคร่าวๆแล้ว การขุดคุ้ยเรื่องสกปรกของสมาชิกสภาเป็นความสามารถพิเศษของเขา
ทำไมประธานาธิบดีถึงเจาะจงตัวเขา ทำไมเขาถึงถูกส่งมาให้คังวูจิน?
คังวูจินต้องการอะไรจากเขา?
“คุณอยากให้ผมแนะนำเรื่องอะไร?”
“ฉันจะฆ่าไอ้ 5 คนนี้แน่ๆ นอกจากพวกนี้ ฉันสงสัยว่าจะฆ่าคนไหนอีกดี ฉันต้องการคำแนะนำจากนาย”
เอ๋? เขาเดาไม่ได้เลยว่าจะเป็นเรื่องนี้
ลีคังจินหยุดเดินแล้วมองวูจินอึ้งๆ
ชายคนนี้คิดจะทำอะไร?
***
วูจินถึงหน้าห้องประชุม ลีคังจินกับวูซุงฮุนตามมาในฐานะผู้ช่วย
คนที่นั่งประจำที่มีสีหน้าไม่พอใจ
ชายคนนี้ทำให้เกิดการประชุม พวกเขาไม่ว่างต้องทำงานเพื่อประเทศแล้วทำไมชายคนนี้ถึงมาสายนัก?
ก่อนประธานการประชุมจะพูด ชอยเทโอก็ยืนขึ้นแล้วตวาด
“คุณเห็นสภาเป็นเรื่องตลกเหรอ?”
ก็ใช่น่ะสิ คังวูจินมองไปรอบๆ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้บนเวที เขาไม่ได้นั่งตรงนี้เพื่อรับการไต่สวน ตรงนี้ทำให้เขามองเห็นทุกคน
ขณะวูจินนั่งที่ เขามองหน้าทุกคน ไม่ใช่แค่นักการเมือง เขามองกระทั่งผู้ช่วยและนักข่าว...
วูจินเลือกคนสำหรับส่งเงาของเขาไปติดตามไว้แล้ว 5 คน
5 คนที่เขาเลือกมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับลีซังโฮ พวกเขาเป็นคนวางแผนลอบสังหารเขา ชอยเทโอก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ฮะ ได้ยินหรือเปล่า? กรุณาตอบคำถามด้วย”
ชอยเทโอนึกไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าเมินเขา เขาตะโกนจนเห็นเส้นเอ็นที่คอเต้นตุบๆ แต่คำพูดของเขาส่งไปไม่ถึงวูจินเลยด้วยซ้ำ วูจินนั่งเปิดเอกสารไปทีละหน้าพลางเปรียบเทียบรูปถ่ายกับตัวจริง
รูปถ่ายของพวกเขามีเครื่องหมายกากบาทอยู่ข้างๆ ลีคังจินเป็นคนกา
‘เจ้านี่ไม่ต้อง’
ในนี้มีพวกสวะมากมาย แต่เขาไม่จำเป็นต้องฆ่าทั้งหมด เขาเจาะจงที่กลุ่มหนึ่งซึ่งจ้องจะเอาชีวิตเขา
วูจินมาแก้แค้น ไม่ใช่มาล้างบางสภา เขาไม่สนว่าพวกเขาทำเรื่องสกปรกอะไรบ้าง แต่เขาเพิ่มชื่อบัญชีแค้นตามคำบอกของลีคังจิน เขากำลังช่วยทุกคน
‘เยอะจริง’
เขาตรวจรายชื่อ มันเกือบครึ่งของสภา หลังจากมองหน้าทุกคนแล้ววูจินก็ยืนขึ้น เขาจำหน้าพวกที่เขาต้องฆ่าไว้แล้ว
“ออกไปกันเถอะ”
“อ้าว? เสร็จแล้วเหรอครับ?”
“ฉันแค่ต้องจำหน้าคนที่ต้องฆ่า”
วูจินกำลังจะจากไปกับลีคังจินและซุงฮุน แต่ชอยเทโอตะโกน
“เฮ้ย คิดจะไปไหนน่ะ!”
เมื่อคังวูจินยืนขึ้น สภาก็วุ่นวาย พวกเขารอมาตั้งนานแต่เขาจะไปแล้ว เพิ่งมาถึงเองไม่ใช่เหรอ?
ผู้ช่วยวิ่งไปทางวูจิน
“กรุณากลับไปนั่งที่เดิมด้วยครับ”
“ทำไม?”
“อะไร? เราต้องเริ่มการชี้แจงไม่ใช่เหรอ?”
“อ้อ การชี้แจง”
พวกเขาพยายามจะยืนยันอะไรสักอย่างกับเขาสินะ? น่าจะเรื่องพยายามให้เขาเข้าร่วมในกิลด์ป้องกันที่เขาไม่คิดจะทำ
คำพูดของชอยเทโอถูกเพิกเฉยเช่นเดิม เขาจึงนั่งลงหอบหายใจ
‘คอยดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น’
ชอยเทโอตั้งใจจะออกข่าวเรื่องเลวร้ายของวูจิน ที่ผ่านมาวูจินฝ่าฝืนกฎหมายหลายข้อ
วูจินหยิบไมโครโฟนที่วางบนโต๊ะบนเวทีขึ้นมาแล้วพูด
เขาพูดกับสภา ไม่ ที่จริงแล้วเขาพูดกับกล้องและนักข่าว
“ฉันจะไม่ทำกิลด์ป้องกันประเทศหรืออะไรพวกนั้น เพราะอย่างนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีการชี้แจง แต่ฉันจะบอกอะไรให้”
คำพูดของวูจินทำให้สภาวุ่นวายอีก แต่เขาพูดต่ออย่างไม่สนใจ
“พวกคนที่เกี่ยวข้องกับการยิงจรวดก่อการร้ายที่คิดจะฆ่าฉัน คนที่จงใจทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรก และคนที่คิดว่าเราไม่ต้องสู้กับมอนสเตอร์สมควรฟังคำเตือนของฉันไว้”
“พูดบ้าอะไร!”
“อวดดีนัก!”
วูจินเมินเสียงตะโกนของสมาชิกสภาแล้วพูดต่อ
“ข้อมูลที่เชื่อถือได้ถูกส่งไปให้สื่อมวลชนแล้ว...”
“ไร้สาระ!”
“นี่มันไร้สาระทั้งนั้น พวกเราไม่ต้องไปฟัง”
“คุณคิดว่าอยู่ที่ไหนน่ะหา!”
วูจินขมวดคิ้ว เสียงตะโกนกลบเสียงพูดของเขา เอาล่ะ ทำให้พวกนี้เงียบลงดีกว่า...
ควันดำลอยจากด้านหลังวูจิน และอัศวินมรณะ 53 ตนถูกเรียกออกมา ชอยเทโอตะโกน
“คุณคิดว่ากำลังทำอะไรในรัฐสภาอันศักดิ์สิทธิ์นี่!”
กฎหมายห้ามใช้ความสามารถของเราส์ในรัฐสภา
“คุณคังวูจินฝ่าฝืนกฎหมายเราส์มาตราที่ 1 บรรทัดที่ 16 คนเช่นนี้สมควร...”
เขาพูดต่อไม่ได้ เหมือนพลังบางอย่างกดเขาเอาไว้ มันเป็นผลงานของเงากาเกบิที่วูจินส่งไปติดตามชอยเทโอ ทักษะเงาเลเวลต่ำ เรียกว่า ยึดร่าง
วูจินหยิบไมโครโฟนใหม่
“เงียบจนได้ ฉันส่งข้อมูลไปให้สื่อมวลชนเพื่อให้คนรู้ว่าทำไมพวกนายถึงต้องตาย ฉันจะไปรอข้างนอกล่ะ”
วูจินออกไปจากห้อง ไม่มีใครขวางทางเขา อัศวินมรณะเป็นคนเปิดทางเหมือนกำลังคุ้มครองวูจิน
สมาชิกสภายังโกรธไม่หายแม้แต่ตอนพวกเขาออกไป
“กล้ามาจากไหน! คุณเห็นไหม? เห็นไหม?”
“เราจะยอมให้คนก้าวร้าวแบบนี้มาป้องกันประเทศได้เหรอ? เป็นไปไม่ได้”
“เอกสารนั่นต้องเป็นของปลอมแน่ เราต้องเนรเทศคังวูจิน”
ทุกคนต้องการให้คนอื่นฟังเสียงตัวเองจึงตะโกน มันเป็นความสับสนวุ่นวาย
วูจินไปถึงรถของเขา วูซุงฮุนพูดอย่างตื่นเต้นจนน้ำลายกระเด็น
“ท่านอดทนได้ดีมากครับ”
วูซุงฮุนรู้นิสัยวูจินดี เขาจึงคิดว่าตอนนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์
แต่ลีคังจินดูผิดหวังเล็กน้อย เขาดูข่าวจึงรู้เรื่องวูจินดี ในตะวันออกกลาง คังวูจินสังหารผู้ก่อการร้ายอย่างไม่ปราณี
เขาอยากให้วูจินทำเรื่องใหญ่ๆที่นี่
‘น่าเสียดาย’
ลีคังจินเกลียดพวกสมาชิกสภาที่เกลือกกลั้วกับการเมืองสกปรกมาจนอยากให้วูจินทำอะไรไปแบบไม่ต้องยั้งมือ
“เอาล่ะ เริ่มกันเลยไหม?”
วูจินมองแถวอัศวินมรณะ
“เอาหัวของคนที่ฉันจำหน้าไว้มา”
[รับบัญชา]
อัศวินมรณะดูตื่นเต้น วูซุงฮุนตกใจกลัวขณะถาม
“ผ...ผมนึกว่าท่านบอกจะไม่มีการหลั่งเลือดในรัฐสภา?”
“เพราะอย่างนั้นฉันเลยออกมาข้างนอกนี่ไง”
“...”
คิดว่ารองประธานไม่ได้หมายความอย่างนี้นะ... ที่จริงเขาคงอยากให้เรื่องมันเกิดข้างในมากกว่ามาเกิดกลางแจ้ง แต่ดูเหมือนวูจินจะไม่สนใจ
“อัล”
[เจ้านาย]
อัศวินมรณะดาบคู่ อัล อัสสาด คุกเข่าตรงหน้าวูจินอย่างเชื่อฟัง ร่างเขาพันผ้าสีดำเหมือนคนคอสเพลย์เป็นแอสซาสซินจากเปอร์เซียโบราณ
“กาเกบิ”
[โฮ่ๆๆ เกมสนุกอีกแล้ว]
กาเกบิหัวเราะชั่วร้ายหลังจากอ่านความคิดของวูจิน กาเกบิกลืนเข้าไปในเงาของอัล อัสสาด แล้วพลังของพวกเขาก็รวมกัน
“จัดการพวกมันภายในคืนนี้...”
[รับบัญชา]
มีพวกนักธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแค้นของวูจิน ร่างของอัล อัสสาดวูบไหวแล้วกลืนไปกับสภาพรอบๆ ระหว่างทำภารกิจเขาจะไม่ถูกเห็นตัวเพราะเขาใช้ทักษะท่าก้าววิญญาณและผ้าคลุมเงา
ลีคังจินปาดเหงื่อจากหน้าผากพลางมองวูจิน
‘เขาเอาจริงเหรอ?’
นี่ก็คือการพิพากษาแทนประเทศ ไม่มีทางถอย...
“กว่าพวกนั้นจะออกมาคงต้องใช้เวลา”
เหมือนว่าการรอเป็นเรื่องน่าเบื่อ วูจินใช้เวทย์จุดไฟ อืม ถ้าพวกเขาไม่อยากตายก็ต้องออกมาแล้ว
“ท...ท่านประธาน?”
ความกังวลในใจวูซุงฮุนยิ่งมากขึ้นทุกที
นี่มันเอาไม่อยู่แล้วนะ
“ไม่เป็นไรน่า ประธานาธิบดีจะสะสางเรื่องทีหลังเอง”
ลีคังจินเอียงคองง เขาทำข้อตกลงอะไรกับประธานาธิบดีนะ...
ลูกบอลไฟในมือคังวูจินถูกเขวี้ยงเข้าไปในอาคาร
เขากำลังรมควันโพรงกระต่าย ได้เวลาล่าแล้ว
เง้อ ตอนนี้แปลยาก >< รู้สึกงงๆว่าเรื่องงานสืบสวนนี่มันเกี่ยวกับผู้พิพากษาด้วยเหรอ?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)