บทที่ 110 – อลันดาลแห่งที่สอง
วูจินสั่งมินชานให้เจรจาซื้ออสังหาริมทรัพย์ใกล้สถานีโซลให้เสร็จและย้ายไปที่นั่น จากนั้นเขาพยายามเข้าไปในอาณาเขตมิติของตัวเอง
<อุโมงค์ยังไม่พร้อมใช้งาน ท่านต้องการใช้พลังงานเพื่อเร่งเปิดหรือไม่?>
“อะไรเนี่ย”
วูจินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งรถไปที่สถานีโซล มันอยู่ไม่ไกลเขาจึงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้ค่าพลังงานให้เปลือง
“มาแล้วหรือครับประธาน?”
คนของกิลด์อลันดาลมาประจำที่ทางออกที่ 1 กันแล้ว พวกเขาทำตามคำสั่งของวูจิน ไม่รับจองและปิดกั้นทางเข้าออกเอาไว้ มีเพียงประตูเดียวที่ยอมให้วูจินใช้ได้คนเดียวเท่านั้น
“ตั้งใจทำงานล่ะ”
“ครับ”
สมาชิกแรกก่อตั้งของอลันดาลรู้จักวูจินมาก่อน แต่พนักงานใหม่รู้จักแต่คังวูจินผู้โด่งดัง ประธานคือเราส์แรงค์สูง อยู่คนละระดับกับพวกเขา
<ท่านได้เข้าสู่สถานีโซลทางออกที่ 1>
<นี่เป็นดันเจี้ยนที่ถูกเก็บไว้ในอาณาเขตมิติ>
<ท่านสามารถเลือกระหว่าง ล่า หรือ กลับไปยังอาณาเขต>
“หา? ฉันล่าในดันเจี้ยนตัวเองก็ได้ด้วย?”
วูจินหัวเราะความเหลวไหลของเรื่อง ถ้าเลเวลไม่พอเขาสามารถล่ามอนสเตอร์ที่เกิดด้วยพลังงานของอาณาเขตมิติ แต่มันสิ้นเปลืองเกินไปเขาจึงไม่อยากทำ
เมื่อเลือกกลับไปที่อาณาเขต อุโมงค์สีแดงก็ปรากฏตรงหน้า วูจินผ่านเข้าไปแล้วออกมาตรงหน้าปราสาทของลอร์ด
“เจ้านาย!”
“มีอะไรผิดปกติไหม?”
บิบิโผเข้ากอดวูจินทันทีที่เขาปรากฏตัว วูจินลูบหัวเธอ
“ฮิๆ มีพวกเร่ร่อนเข้ามาแต่พวกไวเวิร์นจัดการหมดแล้ว พวกไวเวิร์นกินพวกนั้น เราเลยไม่ฆ่ามัน”
“หา?”
วูจินนั่งบนบัลลังก์เพื่อหาคำตอบ ค่าสถานะของอาณาเขตของเขาขึ้นมาให้เห็น สิ่งมีชีวิตที่เหมือนควายป่ากำลังร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆในอาณาเขต มีไม่มากแค่ 20 ตัว
“เป็นแบบนี้บ่อยเหรอ?”
“ค่ะ บางทีก็สองสามตัว มีครั้งหนึ่งโผล่มาสิบตัว”
“หืม เหรอ? แล้วเจมินอยู่ไหน?”
“อ๊ะ แวมไพร์ฝึกหัดนั่นเหรอ?”
“ใช่”
“ดูเขากลัวๆ เราเลยให้บ้านเขาอยู่หนึ่งหลัง”
“ทำได้ดี”
“ฮิๆ”
วูจินลูบหัวบิบิ เธอยิ้มอย่างภูมิใจ
เมื่อเขาออกจากห้องโถงก็เห็นสวนที่ได้รับการดูแลอย่างดี
“หา?”
ที่นี่เคยเป็นที่ว่าง ตอนนี้มีไม้ประดับและดอกไม้สีสันสดใสอยู่เต็ม วูจินผงะ
“ฮิๆ สวยนะ”
“...”
เขายกหน้าที่ดูแลปราสาทให้บิบิ และเธอเปลี่ยนสวนจนกลายเป็นทุ่งดอกไม้
“ไม่ชอบเหรอ? ให้เราเปลี่ยนไหม?”
“ไม่ ไม่ได้แย่อะไร บ้านที่เธอให้เจมินอยู่ไหน?”
“ฮิๆ ตามมาทางนี้”
บิบิวิ่งด้วยขาสั้นๆ วูจินเดินตามไปช้าๆและมองไปรอบๆ ปราสาทลอร์ดเปลี่ยนไปมาก
ปราสาทที่มีห้องโถงกับบัลลังก์ตอนนี้มีกำแพงสูงล้อมรอบ รวมถึงหอคอย 3 แห่ง โครงสร้างภายในเหมือนเดิมแต่ถูกตกแต่งให้เข้ากับรสนิยมของบิบิ สีสันสดใสมาก
“ฮืม”
ที่ว่างภายในปราสาทมีอาคารใหม่ๆเพิ่มเข้ามา ควันลอยออกมาจากปล่องไฟของบ้านหลังหนึ่ง บิบิพูดอย่างภูมิใจ
“นั่นคือโรงอบขนม เรายังฝึกอยู่แต่อีกไม่นานเราจะทำขนมปังอร่อยๆให้เจ้านายได้”
“...”
ใช้พลังงานไปกับของแบบนี้จะดีเหรอ?
วูจินมองอาคารถัดจากโรงอบขนม
เหมือนมันจะเป็นร้านตีเหล็ก และแรมสันยึดครองที่นั่นอยู่
“อ๋อ คุณแรมสันขอมาน่ะ เราเลยสร้างให้เขา”
บิบิส่ายศีรษะเหมือนไม่ชอบเสียงค้อนดังๆ ยังมีอาคารอีกหลายหลังและวูจินเห็นอัศวินมรณะในนั้น
เหมือนแรมสัน อัศวินมรณะบางคนมีอาชีพเฉพาะก่อนกลายมาเป็นอัศวินมรณะ อาณาเขตมิติขนาดใหญ่ไม่จำกัดเหมือนห้องรออัญเชิญ อัศวินมรณะสามารถทำอะไรได้มากมาย
อัศวินมรณะบางคนอยู่ในร้านตีเหล็กแบบแรมสัน แต่ส่วนใหญ่รวมตัวกันในอาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“ที่นั่นคืออะไร?”
“โรงเหล้าค่ะ”
“กินเหล้ากันได้ด้วยเหรอ?”
“เหล้าทำจากเวทย์มนตร์ แต่พวกเราใช้พลังงานไปหมดแล้วเลยซื้อไม่ได้”
“...แล้วไปทำอะไรกัน?”
“เล่นไพ่ น่าเบื่อมากเลยล่ะ”
“หืม”
วูจินนึกได้ว่าอสูรของเขาอยู่ด้วยกันในห้องรออัญเชิญอย่างเป็นสังคม ซึ่งถือว่าน่าสนใจสำหรับวูจิน ในอัลเฟนอสูรของเขาปกติจะอยู่ในสภาพที่ถูกเรียกออกมา ห้องอัญเชิญเป็นที่ๆใช้พักฟื้นหลังตาย
“นั่นบ้านแวมไพร์”
“เอาล่ะ เธอกลับไปได้แล้ว”
“ฮิๆ ได้ค่า เจ้านายเติมพลังงานให้เราใช้ด้วยนะคะ”
“...ไว้ฉันทำทีหลัง”
บิบิใช้พลังงาน 10,000 หน่วยที่วูจินมอบให้ไปหมดภายในวันเดียว ถ้าเขาให้มากกว่านี้เธอคงใช้พลังงานในอาณาเขตมิติจนหมด
“ฮิๆ เราจะซื้ออันนั้นกับอันนั้น...”
บิบิพึมพำกับตัวเองพลางเดินห่างออกไป วูจินเปิดประตูเข้าไปในบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง
แอ๊ด
ดูเหมือนประตูต้องการลงน้ำมันบ้าง เสียงแอดดังแทนเสียงกระดิ่ง วูจินมองภายในบ้าน บ้านใหญ่มีครัว ภายในมีแต่โต๊ะทานอาหารกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ไม่เห็นเจมิน วูจินจึงขึ้นบันได
ชั้นสองมีเตียงหลังเล็ก กับโต๊ะข้างเตียง เจมินนอนซุกบนเตียง
“เจมิน?”
“...พี่”
เจมินยกหัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงวูจิน ใบหน้าเขาซีดอย่างที่ควรเป็น
“ฮือ”
“อะ...เป็นอะไร”
“เลือด ผมอยากดื่มเลือด”
เมื่อเจมินเห็นวูจิน ความรู้สึกกระหายก็รุนแรงขึ้น ผิวคล้ำของวูจินกับกล้ามเนื้อที่คอดูน่าอร่อย เขี้ยวเขาคมขึ้นและเขารู้สึกสามารถกัดได้ทุกอย่าง
“ฮึก”
“นายทนไม่ได้เหรอ?”
“ที่นี่...”
วูจินไม่เคยเป็นแวมไพร์จึงไม่เข้าใจว่าเจมินต้องทนอะไรบ้าง แต่เมื่อมองหน้าเขาก็บอกได้ว่าเจมินกำลังทรมาน
“...มีแต่กระดูก พวกเขาเป็นโครงกระดูกทั้งนั้น”
“เรื่องใหญ่แฮะ”
วูจินพึมพำอย่างใจลอย เจมินจ้องคอวูจินนิ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงมองไม่เหมือนมนุษย์
“เฮ้อ”
วูจินหยิบมีดสั้นออกมาแล้วเดินไปหาเจมิน
เมื่อเห็นดาบสั้น ความอยากมีชีวิตรอดก็เหนือกว่าความกระหายเลือด ดวงตาเจมินสั่นด้วยความกลัว เขาถอยหลังแล้วเรียกวูจินอย่างน่าสงสาร
“พ...พี่?”
“อ้าปาก”
“ครับ?”
วูจินกรีดฝ่ามือตัวเอง เขากระชากผมของเจมินให้หงายหน้าขึ้น
“อา!”
เจมินถอนหายใจแล้วดื่มเลือดวูจินอย่างกระหาย เหมือนคนหลงทางในทะเลทรายสัปดาห์แล้วอยู่ๆก็เจอน้ำ
เจมินขยับลิ้นวุ่นวายดื่มเลือดที่หยดลงมา แสงสีแดงค่อยๆจางไปจากดวงตาแล้วกลับเป็นสีดำตามเดิม ดวงตาของเจมินรื้นขึ้นหยดน้ำตาร่วงลงมา
“ฮึกๆ”
“...”
วูจินรักษาแผลที่มือพลางมองเจมินที่ซุกตัวร้องไห้ในผ้าห่ม ปากของเขามีรอยเลือดและกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร วูจินมองเงียบๆ
“พี่ ผม...เป็นมอนสเตอร์ไปแล้วเหรอ?”
เจมินอยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
หัวใจโลเลของเขาเปลี่ยนไปมา
แม้แต่เขายังรู้สึกขยะแขยงเมื่อเห็นเงาของตัวเอง
วูจินมองเจมินแล้วรู้สึกเสียใจแทน
เหมือนเขากำลังมองตัวเองคนเก่าจริงๆ เขาตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังแบบนี้ตอนที่ฆ่าเป็นครั้งแรก
“ฮึกๆ พี่...”
เมื่อเจมินสงบลง วูจินถาม
“พี่สาวนายเป็นห่วงนายอยู่... จะกลับบ้านเมื่อไหร่?”
“...ขอผมอยู่ที่นี่สักพักได้ไหม?”
เขาไม่กล้าเจอพี่ ไม่กล้ากลับบ้านเพราะเขากลายเป็นมอนสเตอร์ไปแล้ว
“ทำอย่างที่นายอยากทำเถอะ ฉันจะพูดกับพี่นายให้”
“...ขอบคุณครับพี่”
“เอาล่ะ นายพักเถอะ ถ้าอยากได้อะไรก็ฝากบิบิมาบอกฉัน”
เมื่อมอบหน้าที่หัวหน้าพ่อบ้านให้บิบิแล้ววูจินก็คุยกับเธอได้ทุกเมื่อ
“งั้นนายก็พักผ่อนไป”
“ครับพี่”
ดูเหมือนเจมินยังต้องการเวลาอีกหน่อย วูจินออกจากบ้านไป
“เฮ้อ”
เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่นาน
วูจินเรียกหน้าต่างอาณาเขตมิติออกมาเพื่อดูข้อมูล มันเหมือนกับหน้าต่างสถานะของเขา แผนที่ขนาดย่อของอาณาเขตมีสัญลักษณ์บอกตำแหน่งกองรบและผู้อาศัยว่าอยู่ที่ไหน
รังมังกรอยู่บนสุดของภูเขา และจุดหนึ่งที่ห่างไปจากปราสาทลอร์ดเขาเห็นคิบะอยู่คนเดียว
“ไปทำอะไรตรงนั้น?”
วูจินส่งความคิดเรียกไวเวิร์น
ไม่นานไวเวิร์นขนาดใหญ่ก็มาถึงพร้อมเสียงกรีดร้องดัง
มันร่อนลง แรงจากการตีปีกทำให้เกิดพายุฝุ่น
มันเล็กพอสมควรเมื่อเทียบกับรงรง แต่รงรงนั้นตัวใหญ่ผิดชาวบ้าน ร่างของไวเวิร์นใหญ่พอๆกับเครื่องบินรบ
“ไหนดูซิ”
วูจินเปิดร้านค้าของมิติแล้วซื้ออานมาหนึ่งอัน เมื่อใส่บนหลังไวเวิร์นแล้วเขาก็ขึ้นไป
“ไปดูรอบๆอาณาเขตสักครั้งก็ดี”
เขาสามารถดูแผนที่ได้ และสามารถมองทุกซอกทุกมุมของอาณาเขตได้จากบัลลังก์ แต่การไปดูด้วยตัวเองให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
ไวเวิร์นกระพือปีกสองสามครั้งก็มาอยู่บนฟ้า มันบินสูงขึ้นแล้วบินไปทางคิบะ
ไวเวิร์นฝ่าอากาศอย่างมั่นคงกว่าเมื่อเทียบกับรงรง ไวเวิร์นผ่านทุ่งแห้งอย่างรวดเร็ว วูจินเห็นต้นไม้แคระแกร็นบ้าง บางครั้งก็เห็นหญ้าเขียวงอกเป็นหย่อมๆ
แล้วเขาก็เห็นอัศวินมรณะคิบะยืนอย่างโดดเดี่ยวในทุ่งกว้าง
วูจินลงจากไวเวิร์นแล้วเดินไปยืนข้างเขา คิบะคุกเข่าลง
[ราชาของข้า]
“นายมาทำอะไรอยู่คนเดียว?”
[…]
คิบะลุกขึ้นเงียบๆ แล้วกลับไปยืนที่เก่า
[ข้ามตรงนั้นไปมีอะไรหรือ?]
“หืม ไม่รู้สิ...”
วูจินเอียงคองงเมื่อมองไปที่จุดสิ้นสุดอาณาเขต ตรงนั้นมีหมอกแผ่ออกไปแต่เขาไม่รู้ว่าผ่านตรงนั้นไปมีอะไร แผนที่เล็กบอกว่านี่เป็นจุดสิ้นสุดของที่นี่
[ข้าสงสัย]
“เพราะอย่างนั้นเลยมาอยู่ตรงนี้เหรอ เห็นอะไรออกมาไหม?”
[ฝูงควายป่าหลุดมาจากตรงนั้นและพวกมันบุกรุกเข้ามาในอาณาเขต]
คิบะฆ่าพวกควายป่าที่ออกมาจากหมอกทันที ในฐานะหัวหน้ากองกำลังป้องกันอาณาเขต เขาถือว่าพวกมันเป็นผู้บุกรุก
หลังจากนั้นเขาฆ่าควายป่าไปอีก 8 ตัว แต่เมื่อฝูงไวเวิร์นเริ่มกินควายป่าที่โผล่มาเขาก็ปล่อยมัน
ฝูงควายที่หลุดเข้ามาคือพวกที่กำลังเร่ร่อนไปในอาณาเขต
“ประหลาด นายปล่อยพวกนี้ไป”
คิบะเคยเป็นราชาของออร์ค เขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการปล้นชิง ทำสงคราม เขาทุ่มเทชีวิตเพื่อปกป้องเผ่าของตัวเองดังนั้นจึงยึดมั่นเรื่องการปกป้องอาณาเขตยิ่งกว่าใคร
[ที่นี่คืออลันดาลแห่งที่สองของท่าน]
“...”
[ไม่ใช่ความผิดของท่าน]
วูจินเงียบไป เสียงหัวเราะขื่นๆลอยผ่านมา วูจินนึกถึงอดีตของตัวเอง
ดินแดนของผู้ตาย อลันดาล
เขาเป็นผู้ปกครองที่นั่น จ้าวแห่งอลันดาล
[ข้ารับใช้ท่านหลังตาย แต่ตอนนี้ท่านคุ้มครองคนพวกนั้น พวกที่ยังมีชีวิตอยู่]
คิบะคุกเข่าลงอย่างยอมรับนับถือ
“...ฉันจะทำได้จริงเหรอ?”
เขาเคยแพ้มาแล้ว
ในอลันดาล ราชาเป็นคนเดียวที่มีชีวิต ที่นั่นกลายเป็นดินแดนของผู้ตาย
ผู้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด... เขายังจำดวงตาที่มองมาอย่างขุ่นข้อง วิญญาณที่เปลี่ยนเป็นวิญญาณพยาบาทก็ด้วย...
[…]
คิบะไม่มีคำตอบ
เขาจะตามวูจินไปไม่ว่าจะเลือกทางไหน
“เฮ้อ”
วูจินปล่อยความรู้สึกอึดอัดไป เขาถอนหายใจดังๆและได้ยินเสียงเตือน
<สิ่งที่ร่อนเร่ไปในมิติต่างๆได้เหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตมิติของท่าน>
<ท่านสามารถใช้กำลังขับไล่ออกไป หรือเกลี้ยกล่อมให้เป็นผู้อพยพ>
“ไปดูกันเถอะ”
วูจินขึ้นไปบนหลังไวเวิร์น คิบะเรียกหมาป่าปีศาจของตนออกมา
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 109
บทที่ 109 – ล่าแวมไพร์
ในตรอกมืดแห่งหนึ่ง
ชายคนหนึ่งกำลังกอดเกี่ยวผู้หญิงสวมมินิสเกิร์ต
“อ๊า”
เสียงครางดังลอดจากริมฝีปากผู้หญิงเหมือนเรี่ยวแรงเธอถูกดูดไป ผ่านไปครู่หนึ่งชายหญิงก็ผละจากกัน ผู้หญิงล้มลงบนพื้น ผู้ชายปาดเลือดออกจากปากพลางหัวเราะ
“คึๆ ที่นี่คือสวรรค์เหรอ?”
ที่นี่มีมนุษย์เลือดสดๆล้นเหลือ
เขาไม่เคยเห็นมิติที่มีมนุษย์มากมายขนาดนี้ วันนี้เขาลิ้มรสเลือดมนุษย์ไป 24 คนแล้ว ในอดีต เขาต้องดื่มเลือดสัตว์หรือมอนสเตอร์ประทังชีวิต เลือดพวกมันต่างจากของมนุษย์เหมือนหญ้ากับคุกกี้หวาน
เขาอยากได้เลือดมากกว่านี้ แต่ได้เวลาต้องไปแล้ว
“ฮึ ข้ายังมีเวลาอีกมาก”
เขาเป็นทาสของเรลเลอร์ ลอร์ด 7 ขั้น ครอบครอง 7 บัลลังก์ ชื่อของเขาคือเวมอร์ทและเป็นหน่วยลาดตระเวนที่เก่งที่สุดของเรลเลอร์ เขาถูกส่งมาที่โลกเพื่อหาดันเจี้ยนที่เหมาะที่สุดเพื่อให้เจ้านายของเขาเชื่อมต่อ
“ข้าจะค่อยๆสนุกกับมัน”
เขายังมีเวลาอีกมาก เขาจะท่องไปตามที่ต่างๆค่อยๆรวบรวมข้อมูล เขาต้องหาที่นอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
ขณะที่เขาคิดจะเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
“เฮ้อ เจอจนได้”
เวมอร์ทหันหน้าไปทางต้นเสียงช้าๆ
ชายสองคนยืนตรงนั้น คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นตัวซีดขาว อีกคนเป็นชายร่างสันทัดมีบรรยากาศอันตรายห้อมล้อม สัญชาติญาณทำให้เวมอร์ทถอยหลัง
“เฮอะ คิดจะไปไหน?”
“แกเป็นใคร?”
“นายไม่ต้องรู้หรอก”
เมื่อวูจินยิ้ม เวมอร์ทก็รู้สึกถึงอันตรายจึงรีบหันหลังกระโดดหนีไป แต่ข้อเท้าเขาถูกคว้าเอาไว้จนบินหนีไปไม่ได้
กึง!
ทันทีที่วูจินคว้าขาเวมอร์ท เขาเหวี่ยงแวมไพร์กระแทกพื้น ไม่หยุดเท่านั้น เขายกเวมอร์ทขึ้นมาแล้วทุ่มลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พริบตาเดียวใบหน้าของเวมอร์ทก็ยับเยินส่งเสียงครวญคราง
วูจินเหยียบคอเวมอร์ท
เวมอร์ทส่งเสียงอึกอักเหมือนหายใจลำบาก เมื่อใช้เท้ายึดไว้ดีแล้ว วูจินเรียกเจมินที่ยังยืนตรงปากตรอก
“มานี่”
“...”
เจมินได้ยินมาเยอะ อ่านข่าวมาก็มาก กระทั่งเคยเห็นในวิดีโอ
แต่พอได้เห็นกับตาแล้วช่างไม่น่าเชื่อ คังวูจินเก่งจริงๆ แวมไพร์ที่กัดเขาถูกวูจินควบคุมโดยไม่มีทางโต้ตอบเลย
เจมินนับถือวูจินแต่ในใจก็กลัว
วูจินหยิบดาบสั้นออกมาจากคลังส่งให้เจมินที่กำลังเดินทื่อเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“จับไว้”
เมื่อเจมินจับด้ามดาบอย่างกระอักกระอ่วน วูจินชี้ลงไปข้างล่าง
“แทงมันที่หัวใจ”
“ครับ?”
เจมินประหลาดใจ แต่วูจินพูดเรียบๆ
“แทงมัน เร็วเข้า”
“...”
มือที่ถือดาบของเจมินสั่น
“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเหรอ?”
“อะ...เปล่า ผมอยาก”
เขาไม่อยากตาย แต่เขากลัว เจมินสะอื้น
“เอ่อ ผมต้องแทงยังไง...”
“เฮ้อ”
วูจินกุมมือเจมินที่ถือดาบไว้ แล้วแทงลงไปตรงหัวใจเวมอร์ท
“เอ๋?”
เมื่อปลายดาบแตะเสื้อของแวมไพร์ วูจินปล่อยมือ
เจมินงอตัวอย่างเก้ๆกังๆพยายามจับดาบไม่ให้หลุดมือ วูจินมองเจมินพลางพูด
“แทง”
“พ...พี่”
ถ้าจะช่วยก็น่าจะช่วยให้ถึงที่สุดสิ...
เหมือนบันจี้จัมป์ เขาไม่มีความกล้าจึงต้องการคนช่วยผลัก เขาลังเลแต่ไม่ฝืนเมื่อถูกผลัก
ตอนนี้เจมินไม่มีความกล้าอะไรทั้งนั้น
“นายต้องทำเอง”
“ฮึก”
วูจินตอบเสียงเรียบ
เจมินหลั่งน้ำตาน้ำมูก และวูจินได้แต่ถอนหายใจ
“พอพระอาทิตย์ขึ้น นายจะตายและไอ้นี่ก็ตายเหมือนกัน แต่มันน่าจะไปคืนชีพที่อาณาเขตของมัน”
ข้ารับใช้สามารถคืนชีพได้ถ้าเจ้านายช่วยเหลือ วูจินอ่านคู่มือจัดการอาณาเขตมิติจึงรู้เรื่องนี้
“เลือก ตายหรือชิงชีวิตของมันแล้วกลายเป็นแวมไพร์ นายเลือกเอง”
วูจินไม่ได้ช่วย เขาแค่ให้ทางเลือกเจมิน เขาต้องตัดสินใจเองว่าจะตายหรืออยู่ต่อ
วูจินมองท่าทีของเจมินเงียบๆ
เจมินร้องไห้
หลังจากกระอักเลือด เวมอร์ทมองมาที่เขาอย่างหวาดกลัว นี่เป็นแวมไพร์ไม่ใช่มนุษย์ ความคิดมากมายเข้ามาในหัวเจมิน ทำให้เขาลังเล
“จะหมดวันแล้ว”
“ฮึกๆ”
เจมินยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
เขาอยากมีชีวิต เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่ไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อพี่สาวที่ร้องไห้ให้เขาด้วยซ้ำ
เขาอยากมีชีวิต ดังนั้นเขาต้องฆ่า
ดวงตาของเจมินมัวลง ไอ้นี่ดูดเลือดเขา มันคิดจะฆ่าเขา
“อ๊าก!”
เจมินแทงสุดแรง
จึก
“เอ๋?”
ผิวแวมไพร์หนากว่าที่คิด ดาบสั้นแทงไม่เข้า วูจินส่ายหน้า
“เฮ้อ จะอ่อนไปไหน? รีบๆแทงเร็วเข้า พระอาทิตย์จะขึ้นจริงๆแล้วนะ”
“ครับพี่”
ปึก ปึก!
ครั้งแรกยากที่สุด แต่เมื่อเขาทำใจแข็งได้เขาก็แทงใหม่ด้วยแรงมากกว่าเดิม
“ท...ทำได้แล้ว!”
เจมินดีใจได้ไม่นาน เลือดพุ่งออกมาจากหัวใจที่ถูกแทงจนเปื้อนตัววูจินกับเจมิน เลือดที่ฉีดกระจายผิดกฎแรงโน้มถ่วง มันรวมเป็นหยดเลือดแล้วลอยเข้าปากเจมิน
สืบสายเลือด
ทาสรับสืบทอดเลือดจากเจ้านายและกลายเป็นแวมไพร์
“อ๊าก”
เลือดถูกดูดเข้าไปในปากเขาไม่หมดสิ้น เจมินตัวสั่นเหมือนกำลังจะหมดสติ เมื่อดื่มเลือดทั้งหมดแล้วเขาทรุดลงบนพื้น
“แหวะ”
แค่คิดก็ทำให้เจมินคลื่นไส้ สองมือกุมปาก เขาอาเจียนโดยไม่มีอะไรออกมาหลายครั้ง แล้วน้ำตาก็เริ่มไหล
“ฮือๆ”
“นายเป็นผู้ชายนะ ทำไมร้องไห้บ่อยนัก?”
“ฮือ พี่...”
“อะไร”
“เลือด...มันอร่อยมาก ฮึก”
มันหวานอร่อย ดีกว่าเครื่องดื่มชนิดไหนที่เขาเคยดื่มมา ความรู้สึกแปลกๆกับความชื่นใจทำให้เจมินร้องไห้
เหมือนความเป็นมนุษย์เขาถูกลอกออกไป ทำให้เขารู้สึกเศร้า
“เฮ้อ ฉันก็นึกว่า... จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ”
ร่างเวมอร์ทกลายเป็นแสงสีเทาดังนั้นจึงไม่ต้องจัดการอะไรอีก วูจินเรียกอาวุธออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นหอก เจมินตาโตเมื่อเห็นวูจินเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิง
“พี่! พี่จะทำอะไร?”
“หืม? เราต้องจัดการเธอก่อนไป”
“ค... คนนะ?”
“จะหมดวันแล้ว ยังไงเธอก็จะกลายเป็นผีดูดเลือดอยู่ดี เราถึงต้องจัดการเธอ”
“...”
วูจินพูดเสียงเรียบว่าจะชิงชีวิตคนอื่นไป เจมินสงสัยว่าเขารู้จักคนๆนี้จริงเหรอ เขารู้สึกอึดอัด
“อะไร? หรือนายอยากบอกลาหัวใจตัวเอง? ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเธอได้นะ”
“...”
วูจินยิ้มเมื่อเห็นเจมินเงียบ
“นายเห็นชีวิตผู้หญิงที่เหลือเวลาอีกแค่ 30 นาทีมีค่าจริงน่ะ? ถ้าเธอเปลี่ยนเป็นผีดูดเลือดแล้วฆ่าคน ชีวิตคนๆนั้นไม่มีค่าเหรอ?”
“นั่น...”
ไม่จำเป็นต้องถามเลย คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทำไมเขาถึงสงบเย็นชานัก?
“นายอยากทำไหม?”
“ม...ไม่ครับ”
“นายต้องชินกับมันนะ”
หมายความว่ายังไง?
เขาจะต้องเห็นวูจินฆ่าคนอีกมาก? หรือพูดถึงโลกบ้าๆนี้ที่เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน?
ปึก!
วูจินแทงหัวใจของผู้หญิงหน้าซีดเซียว
เจมินปิดตาแน่น วูจินเห็นแล้วยิ้ม
เขายังอ่อนโยนและไร้เดียงสาเหมือนเดิม
เจมินเหมือนเขาเมื่อ 5 ปีก่อนที่มาอัลเฟนครั้งแรก
“ทำใจให้สงบ”
“ครับพี่”
เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เจมินจะเปลี่ยนเป็นดื้อรั้นเหมือนเขาหรืออ่อนโยนไปเรื่อยๆแล้วตาย เขาต้องเลือกเอง ถ้าเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง
“หาที่หลบก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น”
“ที่ไหนครับ?”
“อืม นายตอนนี้น่าจะไปที่นั่นได้”
วูจินมองเลเวลของเจมิน
<เลเวล 15 แวมไพร์ โดเจมิน>
เจมินเคยเลเวล 5 เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เราส์ แต่พิธีโลหิตเพิ่มเลเวลเขาขึ้นมา 10 เลเวล ตอนนี้เขาอยู่เหนือวงแหวนที่ 1
ตอนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นเราส์ ตรงกับเงื่อนไขการเข้าดันเจี้ยน
วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมไปยังอาณาเขตมิติของเขา อลันดาล
“ฉันจะบอกทางโน้นไว้ นายเข้าไปแล้วหาบิบิ”
“...ครับพี่”
“เข้าไปแล้วตั้งสติให้ดี เดี๋ยวฉันจะไปหา”
“ครับพี่ ขอโทษนะครับ”
เจมินรู้สึกละอาย
เขารู้ว่าวูจินไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เขาก็ยังกลัว
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่ทำลงไปนั่นเพื่อเขาหรือ? วูจินช่วยชีวิตเขา เจมินจะไม่ตัดสินว่าวูจินดีหรือเลว
วูจินยิ้มแล้วผลักหลังเจมิน
“เข้าไปเถอะน่า นายจะถูกเผาจนตายถ้าเห็นแสงแดดนะ”
“เหวอ ครับ”
เมื่อเจมินผ่านอุโมงค์ไปแล้ววูจินก็ปิดมันทันที ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็สาดเหนือวูจิน เขาหัวเราะขื่น
***
ดันเจี้ยนเบรกที่เดกูเกิดขึ้นโดยขัดแย้งกับกฎดันเจี้ยน จากนั้นไม่นานในโซลก็เกิดดันเจี้ยนเบรกหลายแห่งติดต่อกัน ทำให้โลกตกตะลึง
กฎที่บอกว่าดันเจี้ยนเบรกจะเกิดเมื่อผ่านไป 30 วันแล้วยังพิชิตดันเจี้ยนไม่สำเร็จถูกหักล้าง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะเกาหลี ทุกประเทศที่มีดันเจี้ยนต่างตื่นตัวถึงขีดสุดและพยายามหาหนทางรับมือ
แต่ประเทศเหล่านั้นยังมีกรณีตัวอย่างให้ศึกษา
ดันเจี้ยนเบรกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำลายล้างโซล
ถ้าโลกตกตะลึง โซลก็อยู่ในสภาพเลวร้ายยิ่งกว่า
เกิดการอพยพครั้งใหญ่ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ดันเจี้ยนที่จะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้
ทุกคนอพยพกันวุ่นวาย รัฐบาลพยายามหยุดความโกลาหลนี้ด้วยการบอกว่าสามารถหยุดไม่ให้เกิดดันเจี้ยนเบรกรายวันได้ แต่ไม่มีใครเชื่อนัก
รัฐบาลพยายามกู้การสนับสนุนจากมวลชนคืนมาจึงกดดันกิลด์อลันดาลให้ทำการรบในดันเจี้ยนเบรกที่จะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้
แหล่งข่าวทุกแห่งยกหัวหน้ากิลด์อลันดาลคังวูจินเป็นฮีโร่ ที่จะช่วยเกาหลีผ่านช่วงวิกฤตินี้ไป พวกเขาหวังให้คังวูจินปกป้องเกาหลี
นี่ทำให้คนตั้งความหวังไว้ที่คังวูจิน แต่เขากลับหายตัวไปไร้ร่องรอย และท่าทีของอลันดาลก็น่าสงสัย
ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำติดดิน ขณะทุกคนย้ายออกจากโซล กิลด์อลันดาลกลับซื้อที่ดินรอบสถานีโซลแล้วเตรียมย้ายเข้าไปอยู่
ผ่านไปสองวัน ถนนในโซลซ่อมเสร็จ ผ่านไปสี่วันความสงบก็กลับคืนมาบ้าง ในวันที่สี่ ฝูงชนรวมตัวกันที่ลานแห่งหนึ่งเรียกร้องให้มีวิธีรับมือกับดันเจี้ยนเบรก
การชุมนุมมีโอกาสเปลี่ยนเป็นความรุนแรง รัฐบาลจึงกังวล สิ่งเดียวที่บรรเทาความโกรธและความรู้สึกไม่มั่นคงของคนได้คือคังวูจิน รัฐบาลจึงพยายามผลักคังวูจินออกมา
แต่เมื่อพวกเขาหาในกิลด์อลันดาล คังวูจินไม่อยู่ที่นั่น ดูเหมือนเขากำลังเคลียร์ดันเจี้ยนอยู่ พวกเขาจึงไม่มีทางตามตัวเขา
วันที่ห้า สภาตัดสินใจระงับแผนย้ายเมืองไปยังเซจอง ข่าวรั่วไหลออกไปและกลุ่มประท้วงก็ขยายใหญ่ขึ้น การชุมนุมเปลี่ยนเป็นความวุ่นวาย
ในวันนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์มาถึงสนามบินอินชอน
“ดูนั่นสิ”
เมโลดี้ลงจากเครื่องบิน ผ่านการตรวจเข้ามาโดยมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ 7 นายคอยคุ้มครอง
“ว้าว...โชคดีชะมัด”
ความงามของเธอมีอำนาจดึงดูดสายตาคนรอบๆ
“นั่นเมโลดี้ไม่ใช่เหรอ?”
“นายรู้จักเหรอ?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ไง ฉันว่าเคยเห็นเธอในยูทูบ...”
“จริงเหรอ?”
มีบางคนรู้จักเธอ บางคนไม่ แต่เธอก็ได้รับความสนใจจากทุกคน เมโลดี้ออกเดินอย่างสงบและหยุดตรงหน้าชายคนหนึ่งที่กำลังยกป้ายต้อนรับ
“ไม่เจอกันนาน มินชาน”
จุงมินชานประหลาดใจที่เธอพูดภาษาเกาหลีได้คล่อง จากนั้นเขายิ้มแล้วก้มหน้าทักทายช้าๆ
“คุณเดินทางมาไกลเลย ท่านประธานกำลังรออยู่ครับ”
จุงมินชานนำทางเมโลดี้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ไปที่สำนักงานแห่งใหม่ของกิลด์อลันดาล
“ทางนี้ครับ อันนั้นให้ผมถือให้”
“ไม่เป็นไร”
เมโลดี้ปฏิเสธยิ้มๆ เธอกอดกระเป๋าใบเล็กไว้เหมือนภายในมีของสำคัญ ผู้ไม่ตายเป็นคนต้องการ ‘เอกสาร’ ที่อยู่ในกระเป๋านี้
ในตรอกมืดแห่งหนึ่ง
ชายคนหนึ่งกำลังกอดเกี่ยวผู้หญิงสวมมินิสเกิร์ต
“อ๊า”
เสียงครางดังลอดจากริมฝีปากผู้หญิงเหมือนเรี่ยวแรงเธอถูกดูดไป ผ่านไปครู่หนึ่งชายหญิงก็ผละจากกัน ผู้หญิงล้มลงบนพื้น ผู้ชายปาดเลือดออกจากปากพลางหัวเราะ
“คึๆ ที่นี่คือสวรรค์เหรอ?”
ที่นี่มีมนุษย์เลือดสดๆล้นเหลือ
เขาไม่เคยเห็นมิติที่มีมนุษย์มากมายขนาดนี้ วันนี้เขาลิ้มรสเลือดมนุษย์ไป 24 คนแล้ว ในอดีต เขาต้องดื่มเลือดสัตว์หรือมอนสเตอร์ประทังชีวิต เลือดพวกมันต่างจากของมนุษย์เหมือนหญ้ากับคุกกี้หวาน
เขาอยากได้เลือดมากกว่านี้ แต่ได้เวลาต้องไปแล้ว
“ฮึ ข้ายังมีเวลาอีกมาก”
เขาเป็นทาสของเรลเลอร์ ลอร์ด 7 ขั้น ครอบครอง 7 บัลลังก์ ชื่อของเขาคือเวมอร์ทและเป็นหน่วยลาดตระเวนที่เก่งที่สุดของเรลเลอร์ เขาถูกส่งมาที่โลกเพื่อหาดันเจี้ยนที่เหมาะที่สุดเพื่อให้เจ้านายของเขาเชื่อมต่อ
“ข้าจะค่อยๆสนุกกับมัน”
เขายังมีเวลาอีกมาก เขาจะท่องไปตามที่ต่างๆค่อยๆรวบรวมข้อมูล เขาต้องหาที่นอนก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น
ขณะที่เขาคิดจะเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
“เฮ้อ เจอจนได้”
เวมอร์ทหันหน้าไปทางต้นเสียงช้าๆ
ชายสองคนยืนตรงนั้น คนหนึ่งเป็นวัยรุ่นตัวซีดขาว อีกคนเป็นชายร่างสันทัดมีบรรยากาศอันตรายห้อมล้อม สัญชาติญาณทำให้เวมอร์ทถอยหลัง
“เฮอะ คิดจะไปไหน?”
“แกเป็นใคร?”
“นายไม่ต้องรู้หรอก”
เมื่อวูจินยิ้ม เวมอร์ทก็รู้สึกถึงอันตรายจึงรีบหันหลังกระโดดหนีไป แต่ข้อเท้าเขาถูกคว้าเอาไว้จนบินหนีไปไม่ได้
กึง!
ทันทีที่วูจินคว้าขาเวมอร์ท เขาเหวี่ยงแวมไพร์กระแทกพื้น ไม่หยุดเท่านั้น เขายกเวมอร์ทขึ้นมาแล้วทุ่มลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พริบตาเดียวใบหน้าของเวมอร์ทก็ยับเยินส่งเสียงครวญคราง
วูจินเหยียบคอเวมอร์ท
เวมอร์ทส่งเสียงอึกอักเหมือนหายใจลำบาก เมื่อใช้เท้ายึดไว้ดีแล้ว วูจินเรียกเจมินที่ยังยืนตรงปากตรอก
“มานี่”
“...”
เจมินได้ยินมาเยอะ อ่านข่าวมาก็มาก กระทั่งเคยเห็นในวิดีโอ
แต่พอได้เห็นกับตาแล้วช่างไม่น่าเชื่อ คังวูจินเก่งจริงๆ แวมไพร์ที่กัดเขาถูกวูจินควบคุมโดยไม่มีทางโต้ตอบเลย
เจมินนับถือวูจินแต่ในใจก็กลัว
วูจินหยิบดาบสั้นออกมาจากคลังส่งให้เจมินที่กำลังเดินทื่อเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“จับไว้”
เมื่อเจมินจับด้ามดาบอย่างกระอักกระอ่วน วูจินชี้ลงไปข้างล่าง
“แทงมันที่หัวใจ”
“ครับ?”
เจมินประหลาดใจ แต่วูจินพูดเรียบๆ
“แทงมัน เร็วเข้า”
“...”
มือที่ถือดาบของเจมินสั่น
“นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเหรอ?”
“อะ...เปล่า ผมอยาก”
เขาไม่อยากตาย แต่เขากลัว เจมินสะอื้น
“เอ่อ ผมต้องแทงยังไง...”
“เฮ้อ”
วูจินกุมมือเจมินที่ถือดาบไว้ แล้วแทงลงไปตรงหัวใจเวมอร์ท
“เอ๋?”
เมื่อปลายดาบแตะเสื้อของแวมไพร์ วูจินปล่อยมือ
เจมินงอตัวอย่างเก้ๆกังๆพยายามจับดาบไม่ให้หลุดมือ วูจินมองเจมินพลางพูด
“แทง”
“พ...พี่”
ถ้าจะช่วยก็น่าจะช่วยให้ถึงที่สุดสิ...
เหมือนบันจี้จัมป์ เขาไม่มีความกล้าจึงต้องการคนช่วยผลัก เขาลังเลแต่ไม่ฝืนเมื่อถูกผลัก
ตอนนี้เจมินไม่มีความกล้าอะไรทั้งนั้น
“นายต้องทำเอง”
“ฮึก”
วูจินตอบเสียงเรียบ
เจมินหลั่งน้ำตาน้ำมูก และวูจินได้แต่ถอนหายใจ
“พอพระอาทิตย์ขึ้น นายจะตายและไอ้นี่ก็ตายเหมือนกัน แต่มันน่าจะไปคืนชีพที่อาณาเขตของมัน”
ข้ารับใช้สามารถคืนชีพได้ถ้าเจ้านายช่วยเหลือ วูจินอ่านคู่มือจัดการอาณาเขตมิติจึงรู้เรื่องนี้
“เลือก ตายหรือชิงชีวิตของมันแล้วกลายเป็นแวมไพร์ นายเลือกเอง”
วูจินไม่ได้ช่วย เขาแค่ให้ทางเลือกเจมิน เขาต้องตัดสินใจเองว่าจะตายหรืออยู่ต่อ
วูจินมองท่าทีของเจมินเงียบๆ
เจมินร้องไห้
หลังจากกระอักเลือด เวมอร์ทมองมาที่เขาอย่างหวาดกลัว นี่เป็นแวมไพร์ไม่ใช่มนุษย์ ความคิดมากมายเข้ามาในหัวเจมิน ทำให้เขาลังเล
“จะหมดวันแล้ว”
“ฮึกๆ”
เจมินยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
เขาอยากมีชีวิต เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่ไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อพี่สาวที่ร้องไห้ให้เขาด้วยซ้ำ
เขาอยากมีชีวิต ดังนั้นเขาต้องฆ่า
ดวงตาของเจมินมัวลง ไอ้นี่ดูดเลือดเขา มันคิดจะฆ่าเขา
“อ๊าก!”
เจมินแทงสุดแรง
จึก
“เอ๋?”
ผิวแวมไพร์หนากว่าที่คิด ดาบสั้นแทงไม่เข้า วูจินส่ายหน้า
“เฮ้อ จะอ่อนไปไหน? รีบๆแทงเร็วเข้า พระอาทิตย์จะขึ้นจริงๆแล้วนะ”
“ครับพี่”
ปึก ปึก!
ครั้งแรกยากที่สุด แต่เมื่อเขาทำใจแข็งได้เขาก็แทงใหม่ด้วยแรงมากกว่าเดิม
“ท...ทำได้แล้ว!”
เจมินดีใจได้ไม่นาน เลือดพุ่งออกมาจากหัวใจที่ถูกแทงจนเปื้อนตัววูจินกับเจมิน เลือดที่ฉีดกระจายผิดกฎแรงโน้มถ่วง มันรวมเป็นหยดเลือดแล้วลอยเข้าปากเจมิน
สืบสายเลือด
ทาสรับสืบทอดเลือดจากเจ้านายและกลายเป็นแวมไพร์
“อ๊าก”
เลือดถูกดูดเข้าไปในปากเขาไม่หมดสิ้น เจมินตัวสั่นเหมือนกำลังจะหมดสติ เมื่อดื่มเลือดทั้งหมดแล้วเขาทรุดลงบนพื้น
“แหวะ”
แค่คิดก็ทำให้เจมินคลื่นไส้ สองมือกุมปาก เขาอาเจียนโดยไม่มีอะไรออกมาหลายครั้ง แล้วน้ำตาก็เริ่มไหล
“ฮือๆ”
“นายเป็นผู้ชายนะ ทำไมร้องไห้บ่อยนัก?”
“ฮือ พี่...”
“อะไร”
“เลือด...มันอร่อยมาก ฮึก”
มันหวานอร่อย ดีกว่าเครื่องดื่มชนิดไหนที่เขาเคยดื่มมา ความรู้สึกแปลกๆกับความชื่นใจทำให้เจมินร้องไห้
เหมือนความเป็นมนุษย์เขาถูกลอกออกไป ทำให้เขารู้สึกเศร้า
“เฮ้อ ฉันก็นึกว่า... จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ”
ร่างเวมอร์ทกลายเป็นแสงสีเทาดังนั้นจึงไม่ต้องจัดการอะไรอีก วูจินเรียกอาวุธออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นหอก เจมินตาโตเมื่อเห็นวูจินเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิง
“พี่! พี่จะทำอะไร?”
“หืม? เราต้องจัดการเธอก่อนไป”
“ค... คนนะ?”
“จะหมดวันแล้ว ยังไงเธอก็จะกลายเป็นผีดูดเลือดอยู่ดี เราถึงต้องจัดการเธอ”
“...”
วูจินพูดเสียงเรียบว่าจะชิงชีวิตคนอื่นไป เจมินสงสัยว่าเขารู้จักคนๆนี้จริงเหรอ เขารู้สึกอึดอัด
“อะไร? หรือนายอยากบอกลาหัวใจตัวเอง? ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเธอได้นะ”
“...”
วูจินยิ้มเมื่อเห็นเจมินเงียบ
“นายเห็นชีวิตผู้หญิงที่เหลือเวลาอีกแค่ 30 นาทีมีค่าจริงน่ะ? ถ้าเธอเปลี่ยนเป็นผีดูดเลือดแล้วฆ่าคน ชีวิตคนๆนั้นไม่มีค่าเหรอ?”
“นั่น...”
ไม่จำเป็นต้องถามเลย คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทำไมเขาถึงสงบเย็นชานัก?
“นายอยากทำไหม?”
“ม...ไม่ครับ”
“นายต้องชินกับมันนะ”
หมายความว่ายังไง?
เขาจะต้องเห็นวูจินฆ่าคนอีกมาก? หรือพูดถึงโลกบ้าๆนี้ที่เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน?
ปึก!
วูจินแทงหัวใจของผู้หญิงหน้าซีดเซียว
เจมินปิดตาแน่น วูจินเห็นแล้วยิ้ม
เขายังอ่อนโยนและไร้เดียงสาเหมือนเดิม
เจมินเหมือนเขาเมื่อ 5 ปีก่อนที่มาอัลเฟนครั้งแรก
“ทำใจให้สงบ”
“ครับพี่”
เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เจมินจะเปลี่ยนเป็นดื้อรั้นเหมือนเขาหรืออ่อนโยนไปเรื่อยๆแล้วตาย เขาต้องเลือกเอง ถ้าเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง
“หาที่หลบก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น”
“ที่ไหนครับ?”
“อืม นายตอนนี้น่าจะไปที่นั่นได้”
วูจินมองเลเวลของเจมิน
<เลเวล 15 แวมไพร์ โดเจมิน>
เจมินเคยเลเวล 5 เป็นคนธรรมดาไม่ใช่เราส์ แต่พิธีโลหิตเพิ่มเลเวลเขาขึ้นมา 10 เลเวล ตอนนี้เขาอยู่เหนือวงแหวนที่ 1
ตอนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นเราส์ ตรงกับเงื่อนไขการเข้าดันเจี้ยน
วูจินเปิดอุโมงค์เชื่อมไปยังอาณาเขตมิติของเขา อลันดาล
“ฉันจะบอกทางโน้นไว้ นายเข้าไปแล้วหาบิบิ”
“...ครับพี่”
“เข้าไปแล้วตั้งสติให้ดี เดี๋ยวฉันจะไปหา”
“ครับพี่ ขอโทษนะครับ”
เจมินรู้สึกละอาย
เขารู้ว่าวูจินไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เขาก็ยังกลัว
ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่ทำลงไปนั่นเพื่อเขาหรือ? วูจินช่วยชีวิตเขา เจมินจะไม่ตัดสินว่าวูจินดีหรือเลว
วูจินยิ้มแล้วผลักหลังเจมิน
“เข้าไปเถอะน่า นายจะถูกเผาจนตายถ้าเห็นแสงแดดนะ”
“เหวอ ครับ”
เมื่อเจมินผ่านอุโมงค์ไปแล้ววูจินก็ปิดมันทันที ไม่กี่นาทีต่อมาแสงสว่างก็สาดเหนือวูจิน เขาหัวเราะขื่น
***
ดันเจี้ยนเบรกที่เดกูเกิดขึ้นโดยขัดแย้งกับกฎดันเจี้ยน จากนั้นไม่นานในโซลก็เกิดดันเจี้ยนเบรกหลายแห่งติดต่อกัน ทำให้โลกตกตะลึง
กฎที่บอกว่าดันเจี้ยนเบรกจะเกิดเมื่อผ่านไป 30 วันแล้วยังพิชิตดันเจี้ยนไม่สำเร็จถูกหักล้าง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะเกาหลี ทุกประเทศที่มีดันเจี้ยนต่างตื่นตัวถึงขีดสุดและพยายามหาหนทางรับมือ
แต่ประเทศเหล่านั้นยังมีกรณีตัวอย่างให้ศึกษา
ดันเจี้ยนเบรกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำลายล้างโซล
ถ้าโลกตกตะลึง โซลก็อยู่ในสภาพเลวร้ายยิ่งกว่า
เกิดการอพยพครั้งใหญ่ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ดันเจี้ยนที่จะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้
ทุกคนอพยพกันวุ่นวาย รัฐบาลพยายามหยุดความโกลาหลนี้ด้วยการบอกว่าสามารถหยุดไม่ให้เกิดดันเจี้ยนเบรกรายวันได้ แต่ไม่มีใครเชื่อนัก
รัฐบาลพยายามกู้การสนับสนุนจากมวลชนคืนมาจึงกดดันกิลด์อลันดาลให้ทำการรบในดันเจี้ยนเบรกที่จะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้
แหล่งข่าวทุกแห่งยกหัวหน้ากิลด์อลันดาลคังวูจินเป็นฮีโร่ ที่จะช่วยเกาหลีผ่านช่วงวิกฤตินี้ไป พวกเขาหวังให้คังวูจินปกป้องเกาหลี
นี่ทำให้คนตั้งความหวังไว้ที่คังวูจิน แต่เขากลับหายตัวไปไร้ร่องรอย และท่าทีของอลันดาลก็น่าสงสัย
ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่ำติดดิน ขณะทุกคนย้ายออกจากโซล กิลด์อลันดาลกลับซื้อที่ดินรอบสถานีโซลแล้วเตรียมย้ายเข้าไปอยู่
ผ่านไปสองวัน ถนนในโซลซ่อมเสร็จ ผ่านไปสี่วันความสงบก็กลับคืนมาบ้าง ในวันที่สี่ ฝูงชนรวมตัวกันที่ลานแห่งหนึ่งเรียกร้องให้มีวิธีรับมือกับดันเจี้ยนเบรก
การชุมนุมมีโอกาสเปลี่ยนเป็นความรุนแรง รัฐบาลจึงกังวล สิ่งเดียวที่บรรเทาความโกรธและความรู้สึกไม่มั่นคงของคนได้คือคังวูจิน รัฐบาลจึงพยายามผลักคังวูจินออกมา
แต่เมื่อพวกเขาหาในกิลด์อลันดาล คังวูจินไม่อยู่ที่นั่น ดูเหมือนเขากำลังเคลียร์ดันเจี้ยนอยู่ พวกเขาจึงไม่มีทางตามตัวเขา
วันที่ห้า สภาตัดสินใจระงับแผนย้ายเมืองไปยังเซจอง ข่าวรั่วไหลออกไปและกลุ่มประท้วงก็ขยายใหญ่ขึ้น การชุมนุมเปลี่ยนเป็นความวุ่นวาย
ในวันนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์มาถึงสนามบินอินชอน
“ดูนั่นสิ”
เมโลดี้ลงจากเครื่องบิน ผ่านการตรวจเข้ามาโดยมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ 7 นายคอยคุ้มครอง
“ว้าว...โชคดีชะมัด”
ความงามของเธอมีอำนาจดึงดูดสายตาคนรอบๆ
“นั่นเมโลดี้ไม่ใช่เหรอ?”
“นายรู้จักเหรอ?”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ไง ฉันว่าเคยเห็นเธอในยูทูบ...”
“จริงเหรอ?”
มีบางคนรู้จักเธอ บางคนไม่ แต่เธอก็ได้รับความสนใจจากทุกคน เมโลดี้ออกเดินอย่างสงบและหยุดตรงหน้าชายคนหนึ่งที่กำลังยกป้ายต้อนรับ
“ไม่เจอกันนาน มินชาน”
จุงมินชานประหลาดใจที่เธอพูดภาษาเกาหลีได้คล่อง จากนั้นเขายิ้มแล้วก้มหน้าทักทายช้าๆ
“คุณเดินทางมาไกลเลย ท่านประธานกำลังรออยู่ครับ”
จุงมินชานนำทางเมโลดี้กับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ไปที่สำนักงานแห่งใหม่ของกิลด์อลันดาล
“ทางนี้ครับ อันนั้นให้ผมถือให้”
“ไม่เป็นไร”
เมโลดี้ปฏิเสธยิ้มๆ เธอกอดกระเป๋าใบเล็กไว้เหมือนภายในมีของสำคัญ ผู้ไม่ตายเป็นคนต้องการ ‘เอกสาร’ ที่อยู่ในกระเป๋านี้
วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 108
บทที่ 108 – หน้าที่ (3)
ที่นั่นคือโรงพยาบาลห่างจากสถานีซาดางไปไม่ไกลนัก
ถนนยังซ่อมไม่เสร็จ วิ่งไปจึงเร็วกว่าขับรถ เมื่อวูจินเปิดประตูเข้าไปในตึกพยาบาล ข้างในเต็มไปด้วยคน แน่นขนัดขนาดไม่มีที่ให้วางเท้า
“ฮืม”
คนบาดเจ็บมีมากกว่าคนตายหลายเท่า
ลิฟต์แทบเป็นอัมพาตด้วยจำนวนคนที่พยายามจะใช้ เขาผ่านไปขึ้นบันไดฉุกเฉิน ผ่านทางเดินเต็มไปด้วยผู้ป่วยแล้วมุ่งหน้าไปทางเขตแยกผู้ป่วย
“คุณเข้ามาไม่ได้นะคะ”
บรรดาพยาบาลตกใจที่จู่ๆวูจินก็เข้ามาและพยายามห้ามเขา
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่เข้าไปแป๊บเดียว”
“ไม่ค่ะ คุณจะติดเชื้อได้นะ”
“ฉันเป็นเราส์เพราะงั้นไม่เป็นไร”
เป็นเราส์ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะไม่ติดเชื้อ เธอกำลังยุ่ง ทำไมเขาพูดเข้าใจยากนัก?
วูจินยื่นบัตรประจำตัวเราส์ให้ดู เมื่อนางพยาบาลเห็นก็เบิกตากว้าง
“คังวูจิน?”
บนบัตรพิมพ์ว่าแรงค์ A แต่มันเป็นเพียงแรงค์ที่จดไว้กับสมาคมผู้มีพลังพิเศษ ทั้งโลกรู้ว่าคังวูจินของเกาหลีเป็นเราส์แรงค์ AA บางคนยังเชื่อว่าเขาเป็นเราส์แรงค์ S
“แต่คุณอาจจะติดเชื้อได้...”
“ฉันไม่เป็นไร”
“...”
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคนๆนี้เป็นใคร คำพูดของเขาเลยฟังไม่ดื้อดึงอีกต่อไป นางพยาบาลลังเลแล้วตัดสินใจโทรศัพท์ เธอไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้
“ผู้อำนวยการคะ เราส์คุณคังวูจินมาที่นี่ เขาอยากเข้าไปในห้องแยกโรค...”
หลังจากคุยอยู่นาน นางพยาบาลวางโทรศัพท์แล้วพูดกับวูจิน
“คุณเข้าไปได้ค่ะ แต่ตอนออกมาเราต้องตรวจร่างกายคุณ”
“เข้าใจแล้ว”
“มาเยี่ยมใครคะ?”
“ฉันมาหาโดจีวอนกับโดเจมิน”
“อยู่ห้อง 3 ค่ะ อาจารย์ลีซูมินคงกำลังตรวจพวกเขาอยู่”
วูจินเปิดประตูอีกหลายบานจนมาถึงทางเดินเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาเห็นห้อง 4 ห้อง มีกระจกใสให้มองเข้าไปข้างใน วูจินมองแวบหนึ่งก็บอกได้ว่าภายในมีคนมากเกินกว่าห้องจะรองรับได้
การมาถึงของวูจินทำให้ศาสตราจารย์ลีซูมินกับแพทย์ฝึกหัดอีกสองคนประหลาดใจ
“คุณคือคุณคังวูจินใช่ไหม? ผมลีซูมิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เปิดห้อง 3 ให้ด้วย”
วูจินจับมือทักทายเนือยๆแล้วชี้ไปที่ประตูที่ถูกล็อก
แทนที่จะบอกว่าเป็นห้องแยกโรค มันเหมือนห้องกักกันมากกว่า... ลีซูมินกับคนอื่นๆส่ายศีรษะ
“พวกเราให้คุณติดต่อกับพวกเขาไม่ได้ คุณต้องคุยจากตรงนี้ เรายังวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยเหล่านี้อยู่”
“...”
แพทย์ฝึกหัดคนหนึ่งส่งไมค์ให้เขาเพื่อใช้คุยผ่านสปีคเกอร์ที่ติดตั้งในห้อง 3 วูจินถอนหายใจสั้นๆ
พวกเขากำลังทำอะไร นี่เหมือนกักขังมากกว่าแยก พวกเขาไม่ได้กำลังรักษาคนไข้ แค่สังเกตการณ์
พวกเขากำลังใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่าโดยไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
“เปิดประตู”
“เอ่อ! มันเป็นไวรัสที่ไม่มีใครรู้จัก พวกเราต้องสังเกตลักษณะของโรค”
วูจินจ้องลีซูมินเขม็ง
“เปิด”
“เรายังไม่รู้สาเหตุการติดเชื้อเลย...”
วูจินยิ้ม เห็นศาสตราจารย์พยายามเลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่แล้วก็น่าขำ
วูจินเหวี่ยงแขนไปโอบไหล่ลีซูมิน มือหนาๆของเขาจับไหล่ศาสตราจารย์ไว้
ลีซูมินครางด้วยความเจ็บ แพทย์ฝึกหัดคนอื่นตะโกน
“อ้า คุณทำอะไรน่ะ!”
“ปล่อยเขานะ คุณกำลังทำให้เขาบาดเจ็บ”
แพทย์ฝึกหัดไม่กล้าทำอะไรนอกจากเร่งวูจิน วูจินจับลูกบิดประตู
“ถ้าพวกนายเป็นหมอ ก็ควรดูนี่”
วูจินเปิดประตูด้วยสีหน้าปกติ เขาพาลีซูมินเข้าไปด้วย
เมื่อประตูเปิดออก ลีซูมินยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากเอาไว้
วูจินยิ้มเยาะเมื่อเห็นลีซูมินตื่นตระหนก
“ว...วูจิน”
จีวอนเรียกวูจิน เขาทักเธอด้วยสายตา แล้วพูดใส่หูลีซูมิน
“โรคมันไม่ได้ติดต่อทางการหายใจ ยกมือลงก่อนที่ฉันจะบีบคางนายแหลก”
“เฮือก”
ลีซูมินลดมือลงอย่างรวดเร็ว
มองปราดเดียว ในห้องมีคน 14 คน
“ไม่มีใครในนี้เป็นโรค”
“ต...แต่คนพวกนี้สัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อ...”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก นายให้พวกเขาออกจากห้องแยกโรคได้”
วูจินนำทุกคนออกไปยังทางเดิน พวกแพทย์ฝึกหัดหนีไปหมดแล้ว ต่อหน้าปากเสือลีซูมินทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ชอบสถานการณ์ตอนนี้เลย
วูจินเปิดประตูห้อง 1
ในนั้นมีคน 5 คนกำลังครวญครางเหมือนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ
“พวกเขาถูกพิษจากศพกูล ฉันว่ากูลคงยังไม่เคยโผล่ที่โลกมาก่อนนี่เลยเป็นครั้งแรกที่พวกนายเจอพิษแบบนี้ นายจะติดพิษเฉพาะเมื่อแตะต้อง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล”
“อ...อย่าเปิดนะ”
“นายเป็นหมอเถื่อนแต่รักตัวกลัวตายจังนะ เห็นนายกลัวจนตัวสั่นแล้วรำคาญตา”
“...ชีวิตหมอสำคัญกว่า ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรักษาชีวิตคนไข้อีกมาก...”
“เพ้อเจ้อ”
วูจินกดแขนหนักกว่าเดิม
“นายเคยเห็นทหารไปรบโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยเหรอ”
เราสู้โดยมีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน
วูจินไม่เคยหลบเลี่ยงความตาย ไม่เคยสักครั้ง เขาอยู่โดยมีความตายอยู่ใกล้ตัว
“ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกลียดการตาย”
เขาไม่อยากเป็นมอนสเตอร์หรือเป็นเหมือนแม่ทัพของทราห์เน็ต...
เพราะเหตุนี้เขาจึงมีชีวิตอยู่มาโดยนึกถึงครอบครัว เขาพยายามอยู่อย่างมนุษย์
“...”
ลีซูมินขมวดคิ้วอย่างกังวล เขาพูดบ้าอะไร?
วูจินส่งวิญญาณไปรักษาคนไข้และพวกเขาหายทันที ภาพคนไข้มีท่าทีสบายขึ้นทำให้ลีซูมินตาโต
‘พระเจ้า’
โรงพยาบาลใหญ่ทุกแห่งมีเราส์สายรักษาและผู้ชำนาญการที่ถูกคัดสรรว่ามีความสามารถสูง คนไข้ทั้งหมดในนี้ถูกกักไว้เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้การแพทย์ปัจจุบันหรือความสามารถของเราส์ก็ค้นหาสาเหตุของโรคไม่ได้
วูจินรักษาพวกเขาได้ง่ายๆทำให้ลีซูมินอึ้งไป
ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าคังวูจินคือใคร เขาคือเนโครแมนเซอร์ แรงค์ AA
เนโครแมนเซอร์คือผู้บงการศพ แต่กลับมีเวทย์รักษา ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?
วูจินมองผ่านหน้าต่างใสเข้าไปในห้อง 2
“นายรู้ไหมว่าสามคนนั้นโดนอะไร?”
“ไม่รู้เลยครับ”
“มันไม่ใช่พิษหรือโรค มันเป็นคำสาป”
“...”
คังวูจินพูดอย่างมั่นใจมากจนลีซูมินลังเลว่าจะเชื่อดีไหม แต่เมื่อเห็นคังวูจินมั่นใจแบบนั้น ลีซูมินจึงอดถามไม่ได้
“คุณรักษาพวกเขาได้ไหม?”
“สายไป ตอนนี้ไม่มีวิธีแก้คำสาปแล้ว”
“อา!”
วูจินมองคนในห้องที่ตัวสั่นเทาเหมือนเป็นไข้ ดูเหมือนพวกเขาจะอาละวาดไปครั้งจึงถูกมัดติดเตียง โชคร้าย เจมินเป็นหนึ่งในนั้น
เจมินกลอกตาไปมา เมื่อเห็นวูจินอยู่อีกฟากของหน้าต่าง น้ำตาของเขาก็เริ่มร่วง
“ถ้าอย่างนั้นคนพวกนี้...”
“พวกเขาจะตัวสั่นแบบนั้นไปหนึ่งวัน จากนั้นคำสาปจะทำงาน”
ศาสตราจารย์มีสีหน้าสิ้นหวังเมื่อฟังวูจินประกาศ จีวอนที่ยืนอยู่ข้างหลังถามเสียงสั่น
“แล้ว...เขาจะเป็นยังไง?”
“เขาจะเป็นทาสของพวกขุนนางราตรี”
“ม...มันคืออะไร”
“เขาจะเป็นมอนสเตอร์”
เขาจะกลายเป็นทาสของแวมไพร์ กลายเป็นมอนสเตอร์ที่ต้องการแต่เลือด จีวอนทรุดนั่งบนพื้น
“ฮือ เจมิน...”
จีวอนร้องไห้กระซิก วูจินมองเธอ ตอนนี้เขาปลอบใจเธอไม่ได้ วูจินปล่อยศาสตราจารย์แล้วไปเปิดประตูห้อง 2
เขาพังประตูเปิดอย่างง่ายดายแล้วเดินเข้าไป
ตาสามคู่มองที่วูจิน
“พี่”
เจมินมองวูจิน
“นายอยากมีชีวิตอยู่ต่อไหม?”
“ครับ...ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
ใบหน้าซีดเผือดของเจมินพยักขึ้นลง
“นายถูกกัดเหรอ?”
“ครับ ที่ไหล่...”
วูจินฉีกเสื้อเจมินและเห็นรอยกัดตรงไหล่ชัดเจน มันกลายเป็นสีม่วง
“ชิ”
“ฮึก ผมจะเป็นยังไงต่อไปครับพี่?”
“นายรู้ว่าผีดูดเลือดเป็นยังไงใช่ไหม?”
“ครับ”
เขาจะไม่รู้ได้ยังไง สิ่งที่เหมือนแวมไพร์กัดเขา
“นายจะเป็นแบบนั้น”
“หมายความว่าผมจะโดนแสงอาทิตย์ไม่ได้แล้ว?”
วูจินยิ้ม
เจมินคิดในแง่ดีเกินไปมาก
“ไม่ นายโดนได้ แต่พรุ่งนี้นายจะตาย มีแต่ร่างนายที่จะกลายเป็นผีดูดเลือด ที่นายพูดถึงคือแวมไพร์สายเลือดแท้ แต่นายจะเป็นแค่ผีดูดเลือด ทาสของพวกมัน พูดง่ายๆคือนายจะกลายเป็นมอนสเตอร์”
“...ฮึก พี่”
ถ้าเจมินไม่ถูกมัดไว้เขาจะวิ่งไปกอดขาร้องไห้กับวูจินแล้ว
วูจินมองเจมินอย่างจริงจัง
“นายอยากอยู่แบบแวมไพร์ไหม? อย่างที่นายพูดไป นายจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์อีกต่อไป”
“ฮึก ครับ ผมยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ ที่ผ่านมาผมเอาแต่เรียน... พี่ช่วยผมด้วย”
“ได้ ฉันจะช่วยนาย”
คนไข้ 2 คนที่ได้ยินคำตอบของวูจินตะโกนขึ้นมา
“ช่วยผมด้วย! ได้โปรดเถอะ”
“คุณช่วยผมด้วย”
วูจินส่ายหน้า
“ฉันช่วยพวกนายไม่ได้”
“ทำไม! คุณช่วยเขาได้แต่ช่วยเราไม่ได้?”
“คุณเป็นคังวูจินไม่ใช่เหรอ? คนของสาธารณะทำตัวแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“ขอร้องล่ะ ช่วยพวกเราด้วย!”
วูจินไม่ตอบ เขาปลดที่จับยึดของเจมินเงียบๆ
“เฮ้ย กูบอกให้ช่วยพวกกูด้วย!”
“ถ้านายไปฉันจะบอกทุกคนว่าคังวูจินไม่ใช่ฮีโร่ ไอ้จอมปลอม!”
วูจินยิ้มแล้วลากศาสตราจารย์ลีซูมินเข้ามา เขายืนเหม่อตรงระเบียง ถูกพาเข้ามาในห้อง 2 อย่างงงๆและมองคนไข้ทั้งสองที่กำลังจะตาย
“ใครบอกฉันเป็นฮีโร่? ถ้านายอยากร้องขอชีวิตก็ไม่น่าจะมาขอกับฉัน ไปขอกับหมอสิ”
วูจินตบบ่าลีซูมินแล้วออกจากห้องไปกับเจมิน
“ค...คุณจะให้ผมทำยังไง? ช่วยบอกวิธีแก้คำสาปด้วยเถอะ”
ลีซูมินตามวูจินออกมาแล้วถามอย่างจริงใจ เขาไม่รู้วิธีรักษาแต่ถ้ารู้เขาย่อมช่วยคนไข้
“ฉันต้องควักหัวใจของแวมไพร์ที่กัดพวกเขาออกมา ถ้าฉันได้ทำพิธีโลหิต เจมินจะได้สืบต่อพลังของมัน
“...”
วิธีนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียน
“ฉันทำพิธีให้ได้แค่คนเดียว โชคไม่ดีที่ทั้งสามคนเหมือนจะถูกไอ้เวรตัวเดียวกัด”
“...”
“ฉันจะช่วยน้องฉัน”
“พี่”
เจมินซึ้งใจกับคำว่า ‘น้องฉัน’ จนน้ำตาคลอ วูจินพูดกับศาสตราจารย์ที่กำลังตื่นตระหนก
“พวกเขาจะกลายเป็นผีดูดเลือดหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ถ้ามัดพวกเขาไว้ไม่แน่นพอนายได้เสียใจทีหลังแน่”
“เรา...เราจะทำยังไงดี?”
“จัดการเองสิ พยายามช่วยมอนสเตอร์ 2 ตัวหรือช่วยให้พวกนั้นตายอย่างไม่ทรมานเพื่อรักษาชีวิตคนในโรงพยาบาลเอาไว้”
“...”
ศาสตราจารย์พูดไม่ออก
ชายคนนี้พูดไม่รับผิดชอบแบบนี้ได้อย่างไร?
ลีซูมินมองอย่างขอร้อง แต่วูจินมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน วูจินไม่มีวิธีอื่น เขาได้แต่เลือกทางนี้
ถ้าพูดจริงๆ เขาไม่ได้ช่วยเจมิน เขาแค่เปลี่ยนโดเจมินจากมนุษย์ให้กลายเป็นแวมไพร์
“ฉันไม่ใช่หมอ นายเป็น นายต้องจัดการเอง”
วูจินยื่นมือให้จีวอนที่นั่งบนพื้น
“ไปกันเถอะ”
“ที่ไหน?”
“ฉันต้องช่วยเจมิน”
“ขอบคุณ ขอบคุณนะวูจิน”
“ถ้าฉันหาตัวการไม่เจอภายในวันนี้ เขาก็ตายอยู่ดี”
“...”
เขาเพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าเจมินเป็นน้องของเขา... เจมินใจฝ่อลงเมื่อเห็นวูจินพูดถึงความตายอย่างสงบ
วูจินออกจากห้องแยกโรคไปพร้อมกับจีวอนและเจมิน ลีซูมินทรุดนั่งบนพื้น
“ทำยังไงดี...”
ในห้อง คนไข้สองคนส่งเสียงด่าระงมเหมือนคนบ้า
“ศาสตราจารย์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
แพทย์ฝึกหัดที่หนีไปกลับมาใหม่ พวกเขาช่วยพยุงศาสตราจารย์ให้ลุกขึ้น พวกเขาหนีไปเมื่อเห็นท่าไม่ดีแต่พอคังวูจินจากไปก็กลับมาใหม่ ลีซูมินรังเกียจพฤติกรรมของพวกเขาแต่นี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องความภักดีที่ศิษย์ควรมีให้อาจารย์
“ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคำสาปแวมไพร์”
ลีซูมินไม่ได้ขังคนพวกนี้ พวกเขาแสดงอาการของโรคที่ไม่รู้จัก เขาพยายามหาทางรักษาอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ควรพยายามรักษาให้เต็มที่ใช่ไหม?
“ขอข้อมูลจากสมาคมผู้มีพลังพิเศษแล้วก็องค์กรเราส์จากทั่วโลกด้วย”
ถ้าไม่รู้สาเหตุก็อ้างได้ว่าไม่ผิด แต่ตอนนี้รู้แล้ว เขาต้องหาวิธีรักษาอย่างเต็มที่ เขาไม่อยากทำให้อาชีพแพทย์ต้องมัวหมอง
โรงพยาบาลคือสนามรบของเขา
ที่นั่นคือโรงพยาบาลห่างจากสถานีซาดางไปไม่ไกลนัก
ถนนยังซ่อมไม่เสร็จ วิ่งไปจึงเร็วกว่าขับรถ เมื่อวูจินเปิดประตูเข้าไปในตึกพยาบาล ข้างในเต็มไปด้วยคน แน่นขนัดขนาดไม่มีที่ให้วางเท้า
“ฮืม”
คนบาดเจ็บมีมากกว่าคนตายหลายเท่า
ลิฟต์แทบเป็นอัมพาตด้วยจำนวนคนที่พยายามจะใช้ เขาผ่านไปขึ้นบันไดฉุกเฉิน ผ่านทางเดินเต็มไปด้วยผู้ป่วยแล้วมุ่งหน้าไปทางเขตแยกผู้ป่วย
“คุณเข้ามาไม่ได้นะคะ”
บรรดาพยาบาลตกใจที่จู่ๆวูจินก็เข้ามาและพยายามห้ามเขา
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่เข้าไปแป๊บเดียว”
“ไม่ค่ะ คุณจะติดเชื้อได้นะ”
“ฉันเป็นเราส์เพราะงั้นไม่เป็นไร”
เป็นเราส์ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะไม่ติดเชื้อ เธอกำลังยุ่ง ทำไมเขาพูดเข้าใจยากนัก?
วูจินยื่นบัตรประจำตัวเราส์ให้ดู เมื่อนางพยาบาลเห็นก็เบิกตากว้าง
“คังวูจิน?”
บนบัตรพิมพ์ว่าแรงค์ A แต่มันเป็นเพียงแรงค์ที่จดไว้กับสมาคมผู้มีพลังพิเศษ ทั้งโลกรู้ว่าคังวูจินของเกาหลีเป็นเราส์แรงค์ AA บางคนยังเชื่อว่าเขาเป็นเราส์แรงค์ S
“แต่คุณอาจจะติดเชื้อได้...”
“ฉันไม่เป็นไร”
“...”
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคนๆนี้เป็นใคร คำพูดของเขาเลยฟังไม่ดื้อดึงอีกต่อไป นางพยาบาลลังเลแล้วตัดสินใจโทรศัพท์ เธอไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้
“ผู้อำนวยการคะ เราส์คุณคังวูจินมาที่นี่ เขาอยากเข้าไปในห้องแยกโรค...”
หลังจากคุยอยู่นาน นางพยาบาลวางโทรศัพท์แล้วพูดกับวูจิน
“คุณเข้าไปได้ค่ะ แต่ตอนออกมาเราต้องตรวจร่างกายคุณ”
“เข้าใจแล้ว”
“มาเยี่ยมใครคะ?”
“ฉันมาหาโดจีวอนกับโดเจมิน”
“อยู่ห้อง 3 ค่ะ อาจารย์ลีซูมินคงกำลังตรวจพวกเขาอยู่”
วูจินเปิดประตูอีกหลายบานจนมาถึงทางเดินเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาเห็นห้อง 4 ห้อง มีกระจกใสให้มองเข้าไปข้างใน วูจินมองแวบหนึ่งก็บอกได้ว่าภายในมีคนมากเกินกว่าห้องจะรองรับได้
การมาถึงของวูจินทำให้ศาสตราจารย์ลีซูมินกับแพทย์ฝึกหัดอีกสองคนประหลาดใจ
“คุณคือคุณคังวูจินใช่ไหม? ผมลีซูมิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เปิดห้อง 3 ให้ด้วย”
วูจินจับมือทักทายเนือยๆแล้วชี้ไปที่ประตูที่ถูกล็อก
แทนที่จะบอกว่าเป็นห้องแยกโรค มันเหมือนห้องกักกันมากกว่า... ลีซูมินกับคนอื่นๆส่ายศีรษะ
“พวกเราให้คุณติดต่อกับพวกเขาไม่ได้ คุณต้องคุยจากตรงนี้ เรายังวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยเหล่านี้อยู่”
“...”
แพทย์ฝึกหัดคนหนึ่งส่งไมค์ให้เขาเพื่อใช้คุยผ่านสปีคเกอร์ที่ติดตั้งในห้อง 3 วูจินถอนหายใจสั้นๆ
พวกเขากำลังทำอะไร นี่เหมือนกักขังมากกว่าแยก พวกเขาไม่ได้กำลังรักษาคนไข้ แค่สังเกตการณ์
พวกเขากำลังใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่าโดยไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
“เปิดประตู”
“เอ่อ! มันเป็นไวรัสที่ไม่มีใครรู้จัก พวกเราต้องสังเกตลักษณะของโรค”
วูจินจ้องลีซูมินเขม็ง
“เปิด”
“เรายังไม่รู้สาเหตุการติดเชื้อเลย...”
วูจินยิ้ม เห็นศาสตราจารย์พยายามเลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่แล้วก็น่าขำ
วูจินเหวี่ยงแขนไปโอบไหล่ลีซูมิน มือหนาๆของเขาจับไหล่ศาสตราจารย์ไว้
ลีซูมินครางด้วยความเจ็บ แพทย์ฝึกหัดคนอื่นตะโกน
“อ้า คุณทำอะไรน่ะ!”
“ปล่อยเขานะ คุณกำลังทำให้เขาบาดเจ็บ”
แพทย์ฝึกหัดไม่กล้าทำอะไรนอกจากเร่งวูจิน วูจินจับลูกบิดประตู
“ถ้าพวกนายเป็นหมอ ก็ควรดูนี่”
วูจินเปิดประตูด้วยสีหน้าปกติ เขาพาลีซูมินเข้าไปด้วย
เมื่อประตูเปิดออก ลีซูมินยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากเอาไว้
วูจินยิ้มเยาะเมื่อเห็นลีซูมินตื่นตระหนก
“ว...วูจิน”
จีวอนเรียกวูจิน เขาทักเธอด้วยสายตา แล้วพูดใส่หูลีซูมิน
“โรคมันไม่ได้ติดต่อทางการหายใจ ยกมือลงก่อนที่ฉันจะบีบคางนายแหลก”
“เฮือก”
ลีซูมินลดมือลงอย่างรวดเร็ว
มองปราดเดียว ในห้องมีคน 14 คน
“ไม่มีใครในนี้เป็นโรค”
“ต...แต่คนพวกนี้สัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อ...”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก นายให้พวกเขาออกจากห้องแยกโรคได้”
วูจินนำทุกคนออกไปยังทางเดิน พวกแพทย์ฝึกหัดหนีไปหมดแล้ว ต่อหน้าปากเสือลีซูมินทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ชอบสถานการณ์ตอนนี้เลย
วูจินเปิดประตูห้อง 1
ในนั้นมีคน 5 คนกำลังครวญครางเหมือนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ
“พวกเขาถูกพิษจากศพกูล ฉันว่ากูลคงยังไม่เคยโผล่ที่โลกมาก่อนนี่เลยเป็นครั้งแรกที่พวกนายเจอพิษแบบนี้ นายจะติดพิษเฉพาะเมื่อแตะต้อง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล”
“อ...อย่าเปิดนะ”
“นายเป็นหมอเถื่อนแต่รักตัวกลัวตายจังนะ เห็นนายกลัวจนตัวสั่นแล้วรำคาญตา”
“...ชีวิตหมอสำคัญกว่า ผมต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรักษาชีวิตคนไข้อีกมาก...”
“เพ้อเจ้อ”
วูจินกดแขนหนักกว่าเดิม
“นายเคยเห็นทหารไปรบโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยเหรอ”
เราสู้โดยมีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน
วูจินไม่เคยหลบเลี่ยงความตาย ไม่เคยสักครั้ง เขาอยู่โดยมีความตายอยู่ใกล้ตัว
“ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกลียดการตาย”
เขาไม่อยากเป็นมอนสเตอร์หรือเป็นเหมือนแม่ทัพของทราห์เน็ต...
เพราะเหตุนี้เขาจึงมีชีวิตอยู่มาโดยนึกถึงครอบครัว เขาพยายามอยู่อย่างมนุษย์
“...”
ลีซูมินขมวดคิ้วอย่างกังวล เขาพูดบ้าอะไร?
วูจินส่งวิญญาณไปรักษาคนไข้และพวกเขาหายทันที ภาพคนไข้มีท่าทีสบายขึ้นทำให้ลีซูมินตาโต
‘พระเจ้า’
โรงพยาบาลใหญ่ทุกแห่งมีเราส์สายรักษาและผู้ชำนาญการที่ถูกคัดสรรว่ามีความสามารถสูง คนไข้ทั้งหมดในนี้ถูกกักไว้เพราะไม่ว่าจะเป็นความรู้การแพทย์ปัจจุบันหรือความสามารถของเราส์ก็ค้นหาสาเหตุของโรคไม่ได้
วูจินรักษาพวกเขาได้ง่ายๆทำให้ลีซูมินอึ้งไป
ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าคังวูจินคือใคร เขาคือเนโครแมนเซอร์ แรงค์ AA
เนโครแมนเซอร์คือผู้บงการศพ แต่กลับมีเวทย์รักษา ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?
วูจินมองผ่านหน้าต่างใสเข้าไปในห้อง 2
“นายรู้ไหมว่าสามคนนั้นโดนอะไร?”
“ไม่รู้เลยครับ”
“มันไม่ใช่พิษหรือโรค มันเป็นคำสาป”
“...”
คังวูจินพูดอย่างมั่นใจมากจนลีซูมินลังเลว่าจะเชื่อดีไหม แต่เมื่อเห็นคังวูจินมั่นใจแบบนั้น ลีซูมินจึงอดถามไม่ได้
“คุณรักษาพวกเขาได้ไหม?”
“สายไป ตอนนี้ไม่มีวิธีแก้คำสาปแล้ว”
“อา!”
วูจินมองคนในห้องที่ตัวสั่นเทาเหมือนเป็นไข้ ดูเหมือนพวกเขาจะอาละวาดไปครั้งจึงถูกมัดติดเตียง โชคร้าย เจมินเป็นหนึ่งในนั้น
เจมินกลอกตาไปมา เมื่อเห็นวูจินอยู่อีกฟากของหน้าต่าง น้ำตาของเขาก็เริ่มร่วง
“ถ้าอย่างนั้นคนพวกนี้...”
“พวกเขาจะตัวสั่นแบบนั้นไปหนึ่งวัน จากนั้นคำสาปจะทำงาน”
ศาสตราจารย์มีสีหน้าสิ้นหวังเมื่อฟังวูจินประกาศ จีวอนที่ยืนอยู่ข้างหลังถามเสียงสั่น
“แล้ว...เขาจะเป็นยังไง?”
“เขาจะเป็นทาสของพวกขุนนางราตรี”
“ม...มันคืออะไร”
“เขาจะเป็นมอนสเตอร์”
เขาจะกลายเป็นทาสของแวมไพร์ กลายเป็นมอนสเตอร์ที่ต้องการแต่เลือด จีวอนทรุดนั่งบนพื้น
“ฮือ เจมิน...”
จีวอนร้องไห้กระซิก วูจินมองเธอ ตอนนี้เขาปลอบใจเธอไม่ได้ วูจินปล่อยศาสตราจารย์แล้วไปเปิดประตูห้อง 2
เขาพังประตูเปิดอย่างง่ายดายแล้วเดินเข้าไป
ตาสามคู่มองที่วูจิน
“พี่”
เจมินมองวูจิน
“นายอยากมีชีวิตอยู่ต่อไหม?”
“ครับ...ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
ใบหน้าซีดเผือดของเจมินพยักขึ้นลง
“นายถูกกัดเหรอ?”
“ครับ ที่ไหล่...”
วูจินฉีกเสื้อเจมินและเห็นรอยกัดตรงไหล่ชัดเจน มันกลายเป็นสีม่วง
“ชิ”
“ฮึก ผมจะเป็นยังไงต่อไปครับพี่?”
“นายรู้ว่าผีดูดเลือดเป็นยังไงใช่ไหม?”
“ครับ”
เขาจะไม่รู้ได้ยังไง สิ่งที่เหมือนแวมไพร์กัดเขา
“นายจะเป็นแบบนั้น”
“หมายความว่าผมจะโดนแสงอาทิตย์ไม่ได้แล้ว?”
วูจินยิ้ม
เจมินคิดในแง่ดีเกินไปมาก
“ไม่ นายโดนได้ แต่พรุ่งนี้นายจะตาย มีแต่ร่างนายที่จะกลายเป็นผีดูดเลือด ที่นายพูดถึงคือแวมไพร์สายเลือดแท้ แต่นายจะเป็นแค่ผีดูดเลือด ทาสของพวกมัน พูดง่ายๆคือนายจะกลายเป็นมอนสเตอร์”
“...ฮึก พี่”
ถ้าเจมินไม่ถูกมัดไว้เขาจะวิ่งไปกอดขาร้องไห้กับวูจินแล้ว
วูจินมองเจมินอย่างจริงจัง
“นายอยากอยู่แบบแวมไพร์ไหม? อย่างที่นายพูดไป นายจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์อีกต่อไป”
“ฮึก ครับ ผมยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ ที่ผ่านมาผมเอาแต่เรียน... พี่ช่วยผมด้วย”
“ได้ ฉันจะช่วยนาย”
คนไข้ 2 คนที่ได้ยินคำตอบของวูจินตะโกนขึ้นมา
“ช่วยผมด้วย! ได้โปรดเถอะ”
“คุณช่วยผมด้วย”
วูจินส่ายหน้า
“ฉันช่วยพวกนายไม่ได้”
“ทำไม! คุณช่วยเขาได้แต่ช่วยเราไม่ได้?”
“คุณเป็นคังวูจินไม่ใช่เหรอ? คนของสาธารณะทำตัวแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“ขอร้องล่ะ ช่วยพวกเราด้วย!”
วูจินไม่ตอบ เขาปลดที่จับยึดของเจมินเงียบๆ
“เฮ้ย กูบอกให้ช่วยพวกกูด้วย!”
“ถ้านายไปฉันจะบอกทุกคนว่าคังวูจินไม่ใช่ฮีโร่ ไอ้จอมปลอม!”
วูจินยิ้มแล้วลากศาสตราจารย์ลีซูมินเข้ามา เขายืนเหม่อตรงระเบียง ถูกพาเข้ามาในห้อง 2 อย่างงงๆและมองคนไข้ทั้งสองที่กำลังจะตาย
“ใครบอกฉันเป็นฮีโร่? ถ้านายอยากร้องขอชีวิตก็ไม่น่าจะมาขอกับฉัน ไปขอกับหมอสิ”
วูจินตบบ่าลีซูมินแล้วออกจากห้องไปกับเจมิน
“ค...คุณจะให้ผมทำยังไง? ช่วยบอกวิธีแก้คำสาปด้วยเถอะ”
ลีซูมินตามวูจินออกมาแล้วถามอย่างจริงใจ เขาไม่รู้วิธีรักษาแต่ถ้ารู้เขาย่อมช่วยคนไข้
“ฉันต้องควักหัวใจของแวมไพร์ที่กัดพวกเขาออกมา ถ้าฉันได้ทำพิธีโลหิต เจมินจะได้สืบต่อพลังของมัน
“...”
วิธีนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียน
“ฉันทำพิธีให้ได้แค่คนเดียว โชคไม่ดีที่ทั้งสามคนเหมือนจะถูกไอ้เวรตัวเดียวกัด”
“...”
“ฉันจะช่วยน้องฉัน”
“พี่”
เจมินซึ้งใจกับคำว่า ‘น้องฉัน’ จนน้ำตาคลอ วูจินพูดกับศาสตราจารย์ที่กำลังตื่นตระหนก
“พวกเขาจะกลายเป็นผีดูดเลือดหลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ถ้ามัดพวกเขาไว้ไม่แน่นพอนายได้เสียใจทีหลังแน่”
“เรา...เราจะทำยังไงดี?”
“จัดการเองสิ พยายามช่วยมอนสเตอร์ 2 ตัวหรือช่วยให้พวกนั้นตายอย่างไม่ทรมานเพื่อรักษาชีวิตคนในโรงพยาบาลเอาไว้”
“...”
ศาสตราจารย์พูดไม่ออก
ชายคนนี้พูดไม่รับผิดชอบแบบนี้ได้อย่างไร?
ลีซูมินมองอย่างขอร้อง แต่วูจินมองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน วูจินไม่มีวิธีอื่น เขาได้แต่เลือกทางนี้
ถ้าพูดจริงๆ เขาไม่ได้ช่วยเจมิน เขาแค่เปลี่ยนโดเจมินจากมนุษย์ให้กลายเป็นแวมไพร์
“ฉันไม่ใช่หมอ นายเป็น นายต้องจัดการเอง”
วูจินยื่นมือให้จีวอนที่นั่งบนพื้น
“ไปกันเถอะ”
“ที่ไหน?”
“ฉันต้องช่วยเจมิน”
“ขอบคุณ ขอบคุณนะวูจิน”
“ถ้าฉันหาตัวการไม่เจอภายในวันนี้ เขาก็ตายอยู่ดี”
“...”
เขาเพิ่งพูดไปไม่ใช่เหรอว่าเจมินเป็นน้องของเขา... เจมินใจฝ่อลงเมื่อเห็นวูจินพูดถึงความตายอย่างสงบ
วูจินออกจากห้องแยกโรคไปพร้อมกับจีวอนและเจมิน ลีซูมินทรุดนั่งบนพื้น
“ทำยังไงดี...”
ในห้อง คนไข้สองคนส่งเสียงด่าระงมเหมือนคนบ้า
“ศาสตราจารย์ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
แพทย์ฝึกหัดที่หนีไปกลับมาใหม่ พวกเขาช่วยพยุงศาสตราจารย์ให้ลุกขึ้น พวกเขาหนีไปเมื่อเห็นท่าไม่ดีแต่พอคังวูจินจากไปก็กลับมาใหม่ ลีซูมินรังเกียจพฤติกรรมของพวกเขาแต่นี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องความภักดีที่ศิษย์ควรมีให้อาจารย์
“ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคำสาปแวมไพร์”
ลีซูมินไม่ได้ขังคนพวกนี้ พวกเขาแสดงอาการของโรคที่ไม่รู้จัก เขาพยายามหาทางรักษาอย่างระมัดระวัง
ในเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ควรพยายามรักษาให้เต็มที่ใช่ไหม?
“ขอข้อมูลจากสมาคมผู้มีพลังพิเศษแล้วก็องค์กรเราส์จากทั่วโลกด้วย”
ถ้าไม่รู้สาเหตุก็อ้างได้ว่าไม่ผิด แต่ตอนนี้รู้แล้ว เขาต้องหาวิธีรักษาอย่างเต็มที่ เขาไม่อยากทำให้อาชีพแพทย์ต้องมัวหมอง
โรงพยาบาลคือสนามรบของเขา
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 107
บทที่ 107 – หน้าที่ (2)
ห้องประธานกิลด์แฮมเมอร์
บุคคลสี่คนกำลังนั่งมองหน้ากัน
ประธานกิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คซังโอ รองประธาน ปาร์คจินวู ทั้งสองเป็นเราส์แรงค์ A ตัวแทนของเกาหลี ฮงซุงกูกับจุงมินชานกำลังนั่งตรงข้ามพวกเขา
หนึ่งคืออดีตพนักงานที่กลายเป็นรองประธานกิลด์อลันดาล อีกหนึ่งเป็นเราส์ธรรมดาที่พวกเขาไม่สนใจนักแต่กลับกลายมาเป็นเราส์แรงค์ A ปาร์คซังโอกระสับกระส่ายเมื่อมองฮงซุงกู
‘น่าเสียดาย’
ถ้าเขารวมทั้งสองเข้ามา กิลด์แฮมเมอร์ก็จะมีเราส์แรงค์ A สามคนกับเราส์แรงค์ AA อีกหนึ่งคน ไม่ใช่สิ ไม่สามารถเรียกวูจินว่าแรงค์ AA ได้อีกต่อไปแล้ว
ความเงียบชวนอึดอัดในห้องคงอยู่ไปกระทั่งเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น
เมื่อปาร์คซังโอกดปุ่มเสียงของเลขานุการก็ดังขึ้น
[คุณคังวูจินมาถึงลิฟต์แล้ว อีกไม่นานจะไปถึง]
“เข้าใจแล้ว”
ปาร์คซังโอยกนิ้วออกจากปุ่มอินเตอร์คอมแล้วมองมินชาน
“คุณคังวูจินรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจครับ คุณควรถามเขาดู”
เขาจะไปรู้ได้ยังไง? มีเรื่องที่วูจินบอกว่าเป็นเรื่องจริงและเคยเตือนเขาไว้ว่าระเบียบของโลกและศีลธรรมจะพังทลาย มินชานสงสัยว่าการเกิดดันเจี้ยนระเบิดติดต่อกันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นหรือเปล่า
แอ๊ด
เสียงประตูดังกว่าเคยในห้องเงียบ วูจินมาถึง
“เป็นอะไร? ทำไมดูซึมๆกันหมด?”
ได้ยินเสียงของวูจิน ซุงกูยืนขึ้นเป็นคนแรก
“ลูกพี่!”
มินชานมองวูจินอย่างนับถือ ปาร์คซังโอกับปาร์คจินวูยืนขึ้นเนือยๆ ปาร์คซังโอเดินไปหาวูจินแล้วยื่นมือให้
“เพิ่งได้มาทักทายกันในเวลาแบบนี้นะครับ”
“นั่นสิ”
วูจินยังห้าวตามปกติ ปาร์คซังโอหน้าตึงทันทีแต่ปาร์คจินวูยื่นมือออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมปาร์คจินวู”
“ผมคังวูจิน”
หลังจับมือ วูจินนั่งตรงเก้าอี้ว่าง
“ไม่นั่งเหรอ?”
วูจินนั่งตามสบายเหมือนเป็นที่ของตัวเอง ทำให้อารมณ์ปาร์คซังโอเดือดขึ้นแต่เขาพยายามควบคุมสีหน้าตัวเอง
“คุณมีอะไรจะพูดกับผมเหรอ?”
วูจินถามตรงๆ ปาร์คซังโอยกความรู้สึกส่วนตัวไปไว้ที่อื่น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องมารยาทที่คนเกาหลีควรมี และวูจินไม่ใช่คนแบบที่จะรับฟังเรื่องพวกนี้
“คุณรู้สาเหตุของเหตุการณ์นี้หรือเปล่า?”
“ลีซังโฮเป็นคนทำ มันกลายเป็นข้ารับใช้ของอิเอลโล แม่ทัพของทราห์เน็ต พอลีซังโฮกลายเป็นข้ารับใช้ก็ทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกได้”
“...?”
ปาร์คซังโอคนถามและคนอื่นๆในห้องได้แต่กระพริบตาปริบๆ พวกเขาคิดว่าวูจินน่าจะพอรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้
“อิเอลโลของทราห์เน็ตนี่คือใคร ไม่สิ ทราห์เน็ตคืออะไร?”
“พวกมันเป็นเจ้าของที่ครอบครองดันเจี้ยน มันเป็นหนึ่งในไอ้พวกเวรที่จะทำโลกให้กลายเป็นที่ล่าของพวกมัน”
เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป ปาร์คซังโอกลืนน้ำลาย
“ท...ทำไมคุณรู้ถึงขนาดนี้?”
วูจินมองปาร์คซังโอ
“คุณเป็นนักข่าวเหรอ?”
“...ผมเป็นหัวหน้ากิลด์แฮมเมอร์”
“ผมพูดเล่นน่ะ พูดเล่น”
วูจินยิ้ม
“ผมกลับมาจากโลกที่พวกมันบุก”
“...”
พวกเขาไม่เข้าใจที่วูจินพูด มันเหลือเชื่อเกินไป
“ถ้าต้นเหตุเป็นลีซังโฮ เราต้องจับกุมเขาใช่ไหม?”
“ผมฆ่าไปแล้ว”
“เฮือก”
วูจินมองสีหน้าประหลาดใจของคนอื่นพลางเอนหลังจมไปในโซฟา
“รับแขกกันแบบนี้เหรอ? ไม่มีกาแฟ?”
ทำไมมาถามหากาแฟในเวลาแบบนี้... ปาร์คซังโฮทำใจให้สงบแล้วให้เลขานุการเอากาแฟมา
เขามองคังวูจินด้วยสายตาสั่นไหว
‘ฉันไม่เคยเข้าใจเขา แต่...’
เขาควรเชื่อเรื่องนี้ถึงขั้นไหน เขาควรเตรียมตัวอย่างไร... ปาร์คซังโอเหลือบไปทางจุงมินชานกับฮงซุงกู พวกเขาดูประหลาดใจแต่มีท่าทางบ่งบอกว่าเชื่อทุกอย่างที่วูจินพูด
ในเมื่อวูจินรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เขาน่าจะมีแผนรับมือ
“คุณคิดจะทำอะไรต่อ?”
วูจินยิ้มพลางดื่มกาแฟที่เลขานุการนำมา
“ทำอะไร? ก็เหมือนเดิม”
เขายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาไม่รู้ว่าลอร์ดของทราห์เน็ตจะมาในอีกไม่นานหรือยังต้องใช้เวลาอีก
สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจคือสงครามใกล้เข้ามาทุกที
“ผมหยุดดันเจี้ยน ฝึกเราส์ เพิ่มพลังให้ตัวเอง... เตรียมตัวสำหรับสงคราม”
เราส์เติบโตตามธุรกิจดันเจี้ยน เห็นได้ชัดว่าแต่ประเทศมีกิลด์ตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อย
โลกกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารวมตัวกันภายใต้กิลด์และแข็งแกร่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาต้องรวมพวกเราส์เข้ามา
ถ้าเป็นวูจินคนก่อน พวกเขาคงไม่ฟังความเห็นของวูจินแต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างระหว่างเราส์คังวูจินที่ไม่มีที่มาชัดเจน กับคังวูจินตอนนี้นั้นต่างกันมาก
คังวูจินมองจุงมินชานที่คอยจัดการเรื่องของเขาให้เสมอ
“มาเริ่มเตรียมตัวพร้อมกันในทีเดียวเถอะ”
“อืม”
ปาร์คซังโอที่ฟังอยู่ข้างๆคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
ทำอย่างไรกิลด์แฮมเมอร์ถึงจะได้ประโยชน์? เขาต้องทำอย่างไรถึงจะมีบทบาทสำคัญ?
“เราวางแผนจะให้กิลด์ทุกกิลด์ของเกาหลีมารวมกันในหนึ่งเดือน คิดว่าเรียกมาที่นี่ได้ไหม?”
“อืม ผมคิดว่าน่าจะทำได้”
ปาร์คซังโอกู่ร้องยินดีในใจ นี่เป็นโอกาสของเขา
ถ้ากิลด์แฮมเมอร์ได้คังวูจินมาไว้ในมือย่อมดีที่สุด แต่คังวูจินยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าแผนหนึ่งไม่สำเร็จก็ต้องใช้แผนสอง
เขาโอหังอวดดี แต่กลับไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนี้จะนำความเสียหายมาขนาดไหน
หากว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้...
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นที่สอง’
ปาร์คซังโอยอมแพ้เรื่องตำแหน่งที่หนึ่งของเกาหลีและพุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่เป็นไปได้มากกว่า
กิลด์อลันดาลเป็นที่หนึ่งของเกาหลีและเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก เขาได้แต่ยอมถอย
“เอาล่ะ งั้นไว้เจอกันใหม่”
กิลด์ของเกาหลีจะมารวมตัวในที่เดียวกันในอีกหนึ่งเดือนอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องรวมเราส์ทั้งหมดของเกาหลี? คงมีบางส่วนที่ร่วมมือและบางส่วนที่ขัดแย้ง แต่ถ้าสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจความหนักหนาของอันตรายนี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาอยู่ในทีมเดียวกัน
‘ทุกคนต้องสู้เพื่อตัวเอง’
สุดท้ายแล้วนี่คือการต่อสู้เอาตัวรอด
วูจินก็จะสู้เพื่อคนที่เขาอยากปกป้อง แต่ถ้ามีคนที่ต้องดูแลน้อยลงเขาก็ไม่ว่าอะไร
ตัวอย่างที่ดีคือปาร์คซังโอ
‘หมอนั่นไม่เชื่อใจฉัน’
ชายคนนี้ยังเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์เป็นของไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าความต้องการเอาชีวิตรอด
คนแบบนี้ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเพราะคนที่เขาต้องเป็นห่วงน้อยลง
“พวกเราไป”
“ครับท่านประธาน”
เมื่อคนของอลันดาลลุกขึ้น ปาร์คซังโอออกไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง การจำกัดเขตยังไม่ถูกปลด พลเมืองจึงต้องอยู่ในที่หลบภัย แต่คนของอลันดาลออกจากตึกไป
ถนนยังเต็มไปด้วยทหาร บรรยากาศยังดูวุ่นวาย
“รอทุกอย่างเรียบร้อยกว่านี้ผมจะมารับแม่กับน้อง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาครับ เราจะคุ้มครองอย่างดี”
มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่โอกาสที่พวกมันเหลือซ่อนอยู่ยังมี อยู่กับกิลด์แฮมเมอร์ยังดีกว่าอยู่บ้าน
‘มีองค์กรใหญ่ๆแบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ’
อลันดาลมีเราส์เพียง 3 คน น้อยเกินไปสำหรับการแบ่งงาน นี่ไม่ใช่เรื่องดีถ้าเขาอยากปกป้องครอบครัวและคนสำคัญของเขาและต่อสู้ไปด้วย
ที่อัลเฟนเขาเสียคนสำคัญไปมากมายก็เพราะสาเหตุนี้
“คนกิลด์เราที่เหลือเป็นยังไงบ้าง?”
“กรรมการคิมหลบภัยไปกับพนักงานคนอื่นครับ ที่เหลือก็หลบภัยอยู่ที่ตึกนี้”
พวกเขาอยู่ที่กิลด์อลันดาลตอนเกิดเรื่องและโชคดีหนีมาได้ ครอบครัวของซุงกูกับครอบครัวของพนักงานคนอื่นๆต่างหลบมาอยู่ที่สำนักงานใหญ่กิลด์แฮมเมอร์
“ทุกคนอยู่ที่นี่?”
“ตอนนี้เราติดต่อกับหัวหน้าฝ่ายเลขานุการกับพนักงานในฝ่ายนั้นไม่ได้”
“คุณฮีซอลปลอดภัยครับ เธอเพิ่งแยกกับผมเมื่อไม่นาน”
ฮงซุงกูกับฮีซอลออกจากดันเจี้ยนมาด้วยกัน มีแจ็คสันปกป้องคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
ปัญหาคือลีซูงฮุนกับพนักงานแผนกเลขานุการที่ติดต่อไม่ได้
มินชานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบและเห็นว่าเน็ตเวอร์คยังล่มอยู่แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อ
“ระบบสื่อสารยังไม่กลับมา”
เมืองถูกทำลายเพราะดันเจี้ยนเบรกหลายๆครั้ง การฟื้นฟูระบบสื่อสารเป็นขั้นตอนดำเนินการพื้นฐานแต่มันช้ามาก พวกเขาหยุดดันเจี้ยนเบรกได้สำเร็จ ได้ความสงบคืนมาชั่วครู่ แต่ความเสียหายคงมากเกินไป
“ไปที่ออฟฟิศกัน”
“ครับท่านประธาน”
พลเมืองถูกห้ามออกจากที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย ในเมื่อกลุ่มเขามีเราส์ 2 คน ทหารจึงมองข้ามมินชานที่เป็นพลเมือง พูดให้ถูกเขาไม่ใช่พลเมืองแต่เป็นพนักงานกิลด์
“เชด เละหมด”
ราวกับความโกลาหลของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง สำนักงานเลอะเทอะ พนักงานตกอยู่ในความหวาดกลัวแต่พวกเขาหนีไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมินชานผู้มากประสบการณ์ เขาเป็นคนที่อยู่ในธุรกิจดันเจี้ยนมาตั้งแต่ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก กระดูกเขาแข็ง
วูจินตั้งเก้าอี้ขึ้นพลางมองรอบสำนักงาน ระหว่างเดินขึ้นมาเขาเห็นห้องเก็บของถูกใครบางคนยกเค้าไปหมด
ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคนหรือมอนสเตอร์
“ย้ายกันเถอะ”
“ครับ?”
เขาต้องมีฐานที่มั่น ควรเป็นที่ๆปกป้องคนจากมอนสเตอร์ที่จะบุกมา เขาต้องการที่ๆสามารถรั้งศัตรูไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกำลังคนจำนวนน้อย... ป้อมปราการเหมือนสำนักงานใหญ่ของกิลด์แฮมเมอร์
“หาที่ใกล้สถานีโซล หาตึกเหมาะๆได้แล้วก็บอกฉัน ถ้าซื้อได้ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ เราก็เอามาเลย”
“...”
เขาอยากชินกับวิธีคิดของท่านประธานแต่ทำยังไงก็ตามไม่ทันสักที แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือถ้าวูจินบอกจะทำอะไรเขาก็ทำแน่ งานของเขาคือดูแลให้เรื่องเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
“ผมจะหาให้ ที่จริงผมเป็นห่วงคุณซุงฮุนกับคนของแผนกเลขานะ”
“ไม่ตายก็กลับมาเอง”
“...”
พูดอีกก็ถูกอีก มินชานเลยไม่รู้จะตอบยังไง ขณะมินชานกำลังมองวูจินอย่างอึดอัด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“อา ดูเหมือนระบบสื่อสารจะกลับมาแล้ว”
มินชานรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิดว่าคนของแผนกเลขานุการโทรมาแต่กลับเป็นเบอร์อื่น
“เอ๊ะ...จากกระทรวงกลาโหม?”
“หืม?จะเอาอะไรอีกล่ะ?”
ซุงกูที่นั่งข้างวูจินเป็นคนตอบ
“ลูกพี่ พี่ขี่จรวดมา”
“อ้อ นั่น... เอ่อ บอกพวกเขาว่าสหรัฐเป็นคนยิง พูดแค่นั้นพอ”
มินชานถอนหายใจเบาๆแล้วรับสาย
“...รองประธานกิลด์อลันดาล จุงมินชานพูด”
เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังคุยจบ เขามองวูจินแล้วพูด
“พวกเขาถามไปทางเพนตาก้อนแล้ว เขาบอกว่าระยะทางไกลเกินกว่าท่านจะมาถึงที่นี่ได้”
“ฉันถึงได้ผูกเครื่องบินเจ็ทมาสองลำไง”
“...”
โดลเซเป็นคนทำให้เครื่องบินเจ็ทติดมากับขีปนาวุธ วูจินเพิ่มพลังเวทย์ลงไปเพิ่มพลังของเครื่องยนต์ แล้วเขาก็มาถึงโซลภายในเวลาสั้นๆ
“เพนตาก้อนบอกว่าท่านขอยืมจรวดกับเครื่องบินเจ็ท... ยืนยันได้แล้วว่าท่านขี่มันมาที่นี่”
วูจินขมวดคิ้ว
“แล้วไง?”
“คราวนี้ท่านต้องไปหาพวกเขา”
“หาที่ไหน? กระทรวงกลาโหม? ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรเหลือให้ต้องอธิบายสักหน่อย...”
“ไม่ครับ ชองวาแดเรียกท่าน” (ชองวาแด-ทำเนียบขาว-เอาจริงๆคือทำเนียบน้ำเงิน)
“...”
“คราวนี้ต้องไปจริงๆแล้วล่ะครับ”
วูจินยักไหล่
“ก็คงงั้น บอกไปว่าฉันจะไปหาอาทิตย์หน้า”
เอกสารหลักฐานต่างๆน่าจะมาถึงตอนนั้น มินชานเพิ่งคุยจบไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
เสียงมาจากข้างในห้องประธาน
“หือ? โทรศัพท์ฉันนี่”
วูจินทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่นี่ก่อนไปตะวันออกกลาง
“ผมไปเอาเอง...”
ซุงกูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ลูกพี่ พี่จีวอนโทรมา”
“...”
วูจินขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงโดจีวอน
เขานึกถึงเด็กวิญญาณบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายต่อหน้าเขา ในอัฟกานิสถาน
“ฮัลโหล”
วูจินกดรับ เสียงเล็กๆลอดมา
[ฮึก วูจิน... ช่วยด้วย]
ใบหน้าวูจินเย็นเยียบ
“ตอนนี้เธออยู่ไหน?”
[อยู่ที่...]
ห้องประธานกิลด์แฮมเมอร์
บุคคลสี่คนกำลังนั่งมองหน้ากัน
ประธานกิลด์แฮมเมอร์ ปาร์คซังโอ รองประธาน ปาร์คจินวู ทั้งสองเป็นเราส์แรงค์ A ตัวแทนของเกาหลี ฮงซุงกูกับจุงมินชานกำลังนั่งตรงข้ามพวกเขา
หนึ่งคืออดีตพนักงานที่กลายเป็นรองประธานกิลด์อลันดาล อีกหนึ่งเป็นเราส์ธรรมดาที่พวกเขาไม่สนใจนักแต่กลับกลายมาเป็นเราส์แรงค์ A ปาร์คซังโอกระสับกระส่ายเมื่อมองฮงซุงกู
‘น่าเสียดาย’
ถ้าเขารวมทั้งสองเข้ามา กิลด์แฮมเมอร์ก็จะมีเราส์แรงค์ A สามคนกับเราส์แรงค์ AA อีกหนึ่งคน ไม่ใช่สิ ไม่สามารถเรียกวูจินว่าแรงค์ AA ได้อีกต่อไปแล้ว
ความเงียบชวนอึดอัดในห้องคงอยู่ไปกระทั่งเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น
เมื่อปาร์คซังโอกดปุ่มเสียงของเลขานุการก็ดังขึ้น
[คุณคังวูจินมาถึงลิฟต์แล้ว อีกไม่นานจะไปถึง]
“เข้าใจแล้ว”
ปาร์คซังโอยกนิ้วออกจากปุ่มอินเตอร์คอมแล้วมองมินชาน
“คุณคังวูจินรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้หรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจครับ คุณควรถามเขาดู”
เขาจะไปรู้ได้ยังไง? มีเรื่องที่วูจินบอกว่าเป็นเรื่องจริงและเคยเตือนเขาไว้ว่าระเบียบของโลกและศีลธรรมจะพังทลาย มินชานสงสัยว่าการเกิดดันเจี้ยนระเบิดติดต่อกันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นหรือเปล่า
แอ๊ด
เสียงประตูดังกว่าเคยในห้องเงียบ วูจินมาถึง
“เป็นอะไร? ทำไมดูซึมๆกันหมด?”
ได้ยินเสียงของวูจิน ซุงกูยืนขึ้นเป็นคนแรก
“ลูกพี่!”
มินชานมองวูจินอย่างนับถือ ปาร์คซังโอกับปาร์คจินวูยืนขึ้นเนือยๆ ปาร์คซังโอเดินไปหาวูจินแล้วยื่นมือให้
“เพิ่งได้มาทักทายกันในเวลาแบบนี้นะครับ”
“นั่นสิ”
วูจินยังห้าวตามปกติ ปาร์คซังโอหน้าตึงทันทีแต่ปาร์คจินวูยื่นมือออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมปาร์คจินวู”
“ผมคังวูจิน”
หลังจับมือ วูจินนั่งตรงเก้าอี้ว่าง
“ไม่นั่งเหรอ?”
วูจินนั่งตามสบายเหมือนเป็นที่ของตัวเอง ทำให้อารมณ์ปาร์คซังโอเดือดขึ้นแต่เขาพยายามควบคุมสีหน้าตัวเอง
“คุณมีอะไรจะพูดกับผมเหรอ?”
วูจินถามตรงๆ ปาร์คซังโอยกความรู้สึกส่วนตัวไปไว้ที่อื่น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องมารยาทที่คนเกาหลีควรมี และวูจินไม่ใช่คนแบบที่จะรับฟังเรื่องพวกนี้
“คุณรู้สาเหตุของเหตุการณ์นี้หรือเปล่า?”
“ลีซังโฮเป็นคนทำ มันกลายเป็นข้ารับใช้ของอิเอลโล แม่ทัพของทราห์เน็ต พอลีซังโฮกลายเป็นข้ารับใช้ก็ทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกได้”
“...?”
ปาร์คซังโอคนถามและคนอื่นๆในห้องได้แต่กระพริบตาปริบๆ พวกเขาคิดว่าวูจินน่าจะพอรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้
“อิเอลโลของทราห์เน็ตนี่คือใคร ไม่สิ ทราห์เน็ตคืออะไร?”
“พวกมันเป็นเจ้าของที่ครอบครองดันเจี้ยน มันเป็นหนึ่งในไอ้พวกเวรที่จะทำโลกให้กลายเป็นที่ล่าของพวกมัน”
เรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป ปาร์คซังโอกลืนน้ำลาย
“ท...ทำไมคุณรู้ถึงขนาดนี้?”
วูจินมองปาร์คซังโอ
“คุณเป็นนักข่าวเหรอ?”
“...ผมเป็นหัวหน้ากิลด์แฮมเมอร์”
“ผมพูดเล่นน่ะ พูดเล่น”
วูจินยิ้ม
“ผมกลับมาจากโลกที่พวกมันบุก”
“...”
พวกเขาไม่เข้าใจที่วูจินพูด มันเหลือเชื่อเกินไป
“ถ้าต้นเหตุเป็นลีซังโฮ เราต้องจับกุมเขาใช่ไหม?”
“ผมฆ่าไปแล้ว”
“เฮือก”
วูจินมองสีหน้าประหลาดใจของคนอื่นพลางเอนหลังจมไปในโซฟา
“รับแขกกันแบบนี้เหรอ? ไม่มีกาแฟ?”
ทำไมมาถามหากาแฟในเวลาแบบนี้... ปาร์คซังโฮทำใจให้สงบแล้วให้เลขานุการเอากาแฟมา
เขามองคังวูจินด้วยสายตาสั่นไหว
‘ฉันไม่เคยเข้าใจเขา แต่...’
เขาควรเชื่อเรื่องนี้ถึงขั้นไหน เขาควรเตรียมตัวอย่างไร... ปาร์คซังโอเหลือบไปทางจุงมินชานกับฮงซุงกู พวกเขาดูประหลาดใจแต่มีท่าทางบ่งบอกว่าเชื่อทุกอย่างที่วูจินพูด
ในเมื่อวูจินรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เขาน่าจะมีแผนรับมือ
“คุณคิดจะทำอะไรต่อ?”
วูจินยิ้มพลางดื่มกาแฟที่เลขานุการนำมา
“ทำอะไร? ก็เหมือนเดิม”
เขายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เขาไม่รู้ว่าลอร์ดของทราห์เน็ตจะมาในอีกไม่นานหรือยังต้องใช้เวลาอีก
สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจคือสงครามใกล้เข้ามาทุกที
“ผมหยุดดันเจี้ยน ฝึกเราส์ เพิ่มพลังให้ตัวเอง... เตรียมตัวสำหรับสงคราม”
เราส์เติบโตตามธุรกิจดันเจี้ยน เห็นได้ชัดว่าแต่ประเทศมีกิลด์ตั้งแต่หลายสิบถึงหลายร้อย
โลกกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขารวมตัวกันภายใต้กิลด์และแข็งแกร่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาต้องรวมพวกเราส์เข้ามา
ถ้าเป็นวูจินคนก่อน พวกเขาคงไม่ฟังความเห็นของวูจินแต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างระหว่างเราส์คังวูจินที่ไม่มีที่มาชัดเจน กับคังวูจินตอนนี้นั้นต่างกันมาก
คังวูจินมองจุงมินชานที่คอยจัดการเรื่องของเขาให้เสมอ
“มาเริ่มเตรียมตัวพร้อมกันในทีเดียวเถอะ”
“อืม”
ปาร์คซังโอที่ฟังอยู่ข้างๆคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
ทำอย่างไรกิลด์แฮมเมอร์ถึงจะได้ประโยชน์? เขาต้องทำอย่างไรถึงจะมีบทบาทสำคัญ?
“เราวางแผนจะให้กิลด์ทุกกิลด์ของเกาหลีมารวมกันในหนึ่งเดือน คิดว่าเรียกมาที่นี่ได้ไหม?”
“อืม ผมคิดว่าน่าจะทำได้”
ปาร์คซังโอกู่ร้องยินดีในใจ นี่เป็นโอกาสของเขา
ถ้ากิลด์แฮมเมอร์ได้คังวูจินมาไว้ในมือย่อมดีที่สุด แต่คังวูจินยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าแผนหนึ่งไม่สำเร็จก็ต้องใช้แผนสอง
เขาโอหังอวดดี แต่กลับไม่รู้ตัวว่าท่าทางเช่นนี้จะนำความเสียหายมาขนาดไหน
หากว่าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้...
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นที่สอง’
ปาร์คซังโอยอมแพ้เรื่องตำแหน่งที่หนึ่งของเกาหลีและพุ่งความสนใจไปที่เรื่องที่เป็นไปได้มากกว่า
กิลด์อลันดาลเป็นที่หนึ่งของเกาหลีและเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก เขาได้แต่ยอมถอย
“เอาล่ะ งั้นไว้เจอกันใหม่”
กิลด์ของเกาหลีจะมารวมตัวในที่เดียวกันในอีกหนึ่งเดือนอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องรวมเราส์ทั้งหมดของเกาหลี? คงมีบางส่วนที่ร่วมมือและบางส่วนที่ขัดแย้ง แต่ถ้าสามารถทำให้ทุกคนเข้าใจความหนักหนาของอันตรายนี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาอยู่ในทีมเดียวกัน
‘ทุกคนต้องสู้เพื่อตัวเอง’
สุดท้ายแล้วนี่คือการต่อสู้เอาตัวรอด
วูจินก็จะสู้เพื่อคนที่เขาอยากปกป้อง แต่ถ้ามีคนที่ต้องดูแลน้อยลงเขาก็ไม่ว่าอะไร
ตัวอย่างที่ดีคือปาร์คซังโอ
‘หมอนั่นไม่เชื่อใจฉัน’
ชายคนนี้ยังเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์เป็นของไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าความต้องการเอาชีวิตรอด
คนแบบนี้ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเพราะคนที่เขาต้องเป็นห่วงน้อยลง
“พวกเราไป”
“ครับท่านประธาน”
เมื่อคนของอลันดาลลุกขึ้น ปาร์คซังโอออกไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง การจำกัดเขตยังไม่ถูกปลด พลเมืองจึงต้องอยู่ในที่หลบภัย แต่คนของอลันดาลออกจากตึกไป
ถนนยังเต็มไปด้วยทหาร บรรยากาศยังดูวุ่นวาย
“รอทุกอย่างเรียบร้อยกว่านี้ผมจะมารับแม่กับน้อง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาครับ เราจะคุ้มครองอย่างดี”
มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว แต่โอกาสที่พวกมันเหลือซ่อนอยู่ยังมี อยู่กับกิลด์แฮมเมอร์ยังดีกว่าอยู่บ้าน
‘มีองค์กรใหญ่ๆแบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ’
อลันดาลมีเราส์เพียง 3 คน น้อยเกินไปสำหรับการแบ่งงาน นี่ไม่ใช่เรื่องดีถ้าเขาอยากปกป้องครอบครัวและคนสำคัญของเขาและต่อสู้ไปด้วย
ที่อัลเฟนเขาเสียคนสำคัญไปมากมายก็เพราะสาเหตุนี้
“คนกิลด์เราที่เหลือเป็นยังไงบ้าง?”
“กรรมการคิมหลบภัยไปกับพนักงานคนอื่นครับ ที่เหลือก็หลบภัยอยู่ที่ตึกนี้”
พวกเขาอยู่ที่กิลด์อลันดาลตอนเกิดเรื่องและโชคดีหนีมาได้ ครอบครัวของซุงกูกับครอบครัวของพนักงานคนอื่นๆต่างหลบมาอยู่ที่สำนักงานใหญ่กิลด์แฮมเมอร์
“ทุกคนอยู่ที่นี่?”
“ตอนนี้เราติดต่อกับหัวหน้าฝ่ายเลขานุการกับพนักงานในฝ่ายนั้นไม่ได้”
“คุณฮีซอลปลอดภัยครับ เธอเพิ่งแยกกับผมเมื่อไม่นาน”
ฮงซุงกูกับฮีซอลออกจากดันเจี้ยนมาด้วยกัน มีแจ็คสันปกป้องคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
ปัญหาคือลีซูงฮุนกับพนักงานแผนกเลขานุการที่ติดต่อไม่ได้
มินชานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบและเห็นว่าเน็ตเวอร์คยังล่มอยู่แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อ
“ระบบสื่อสารยังไม่กลับมา”
เมืองถูกทำลายเพราะดันเจี้ยนเบรกหลายๆครั้ง การฟื้นฟูระบบสื่อสารเป็นขั้นตอนดำเนินการพื้นฐานแต่มันช้ามาก พวกเขาหยุดดันเจี้ยนเบรกได้สำเร็จ ได้ความสงบคืนมาชั่วครู่ แต่ความเสียหายคงมากเกินไป
“ไปที่ออฟฟิศกัน”
“ครับท่านประธาน”
พลเมืองถูกห้ามออกจากที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย ในเมื่อกลุ่มเขามีเราส์ 2 คน ทหารจึงมองข้ามมินชานที่เป็นพลเมือง พูดให้ถูกเขาไม่ใช่พลเมืองแต่เป็นพนักงานกิลด์
“เชด เละหมด”
ราวกับความโกลาหลของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง สำนักงานเลอะเทอะ พนักงานตกอยู่ในความหวาดกลัวแต่พวกเขาหนีไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมินชานผู้มากประสบการณ์ เขาเป็นคนที่อยู่ในธุรกิจดันเจี้ยนมาตั้งแต่ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก กระดูกเขาแข็ง
วูจินตั้งเก้าอี้ขึ้นพลางมองรอบสำนักงาน ระหว่างเดินขึ้นมาเขาเห็นห้องเก็บของถูกใครบางคนยกเค้าไปหมด
ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคนหรือมอนสเตอร์
“ย้ายกันเถอะ”
“ครับ?”
เขาต้องมีฐานที่มั่น ควรเป็นที่ๆปกป้องคนจากมอนสเตอร์ที่จะบุกมา เขาต้องการที่ๆสามารถรั้งศัตรูไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกำลังคนจำนวนน้อย... ป้อมปราการเหมือนสำนักงานใหญ่ของกิลด์แฮมเมอร์
“หาที่ใกล้สถานีโซล หาตึกเหมาะๆได้แล้วก็บอกฉัน ถ้าซื้อได้ก็ซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ เราก็เอามาเลย”
“...”
เขาอยากชินกับวิธีคิดของท่านประธานแต่ทำยังไงก็ตามไม่ทันสักที แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือถ้าวูจินบอกจะทำอะไรเขาก็ทำแน่ งานของเขาคือดูแลให้เรื่องเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
“ผมจะหาให้ ที่จริงผมเป็นห่วงคุณซุงฮุนกับคนของแผนกเลขานะ”
“ไม่ตายก็กลับมาเอง”
“...”
พูดอีกก็ถูกอีก มินชานเลยไม่รู้จะตอบยังไง ขณะมินชานกำลังมองวูจินอย่างอึดอัด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“อา ดูเหมือนระบบสื่อสารจะกลับมาแล้ว”
มินชานรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา คิดว่าคนของแผนกเลขานุการโทรมาแต่กลับเป็นเบอร์อื่น
“เอ๊ะ...จากกระทรวงกลาโหม?”
“หืม?จะเอาอะไรอีกล่ะ?”
ซุงกูที่นั่งข้างวูจินเป็นคนตอบ
“ลูกพี่ พี่ขี่จรวดมา”
“อ้อ นั่น... เอ่อ บอกพวกเขาว่าสหรัฐเป็นคนยิง พูดแค่นั้นพอ”
มินชานถอนหายใจเบาๆแล้วรับสาย
“...รองประธานกิลด์อลันดาล จุงมินชานพูด”
เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังคุยจบ เขามองวูจินแล้วพูด
“พวกเขาถามไปทางเพนตาก้อนแล้ว เขาบอกว่าระยะทางไกลเกินกว่าท่านจะมาถึงที่นี่ได้”
“ฉันถึงได้ผูกเครื่องบินเจ็ทมาสองลำไง”
“...”
โดลเซเป็นคนทำให้เครื่องบินเจ็ทติดมากับขีปนาวุธ วูจินเพิ่มพลังเวทย์ลงไปเพิ่มพลังของเครื่องยนต์ แล้วเขาก็มาถึงโซลภายในเวลาสั้นๆ
“เพนตาก้อนบอกว่าท่านขอยืมจรวดกับเครื่องบินเจ็ท... ยืนยันได้แล้วว่าท่านขี่มันมาที่นี่”
วูจินขมวดคิ้ว
“แล้วไง?”
“คราวนี้ท่านต้องไปหาพวกเขา”
“หาที่ไหน? กระทรวงกลาโหม? ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรเหลือให้ต้องอธิบายสักหน่อย...”
“ไม่ครับ ชองวาแดเรียกท่าน” (ชองวาแด-ทำเนียบขาว-เอาจริงๆคือทำเนียบน้ำเงิน)
“...”
“คราวนี้ต้องไปจริงๆแล้วล่ะครับ”
วูจินยักไหล่
“ก็คงงั้น บอกไปว่าฉันจะไปหาอาทิตย์หน้า”
เอกสารหลักฐานต่างๆน่าจะมาถึงตอนนั้น มินชานเพิ่งคุยจบไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
เสียงมาจากข้างในห้องประธาน
“หือ? โทรศัพท์ฉันนี่”
วูจินทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่นี่ก่อนไปตะวันออกกลาง
“ผมไปเอาเอง...”
ซุงกูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ลูกพี่ พี่จีวอนโทรมา”
“...”
วูจินขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงโดจีวอน
เขานึกถึงเด็กวิญญาณบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนเป็นวิญญาณร้ายต่อหน้าเขา ในอัฟกานิสถาน
“ฮัลโหล”
วูจินกดรับ เสียงเล็กๆลอดมา
[ฮึก วูจิน... ช่วยด้วย]
ใบหน้าวูจินเย็นเยียบ
“ตอนนี้เธออยู่ไหน?”
[อยู่ที่...]
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)