วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 106

บทที่ 106 – หน้าที่


“เจ้านายตายแล้ว!”

อัศวินมรณะประท้วงคำพูดของบิบิ

[ความตายของท่านจ้าวคือความตายของพวกเรา]

[แม่มดพูดไร้สาระ]

บิบิเอียงคองง แล้วมองวูจิน วูจินหัวเราะพลางเดินไปหาบิบิแล้วเคาะหัวเธอเบาๆ

“นำเที่ยวหน่อยสิ”

“อูย เอ เจ้านายเข้ามาได้ยังไงน้า?”

บิบิพึมพำพลางก้าวเท้าสั้นๆโดยมีวูจินเดินตาม

“จากตรงนี้ถึงตรงนั้นเป็นที่ของเรา ฮิๆ กระท่อมเราน่ารักไหม?”

วูจินมองข้ามรั้วไปเห็นดินแดนด้านหลังมัน สวนเต็มไปด้วยพรรณไม้ประหลาดจากโลกอสูร มีกระท่อมดูน่าอยู่ ที่นี่ประดับไปด้วยของตกแต่งน่ารักและบิบิอวดพวกมันอย่างภูมิใจ

“อะแฮ่ม รอตรงนี้นะคะ”

บิบิโบกมือ แล้วโต๊ะปิกนิกก็ปรากฏในสนามหญ้า จากนั้นขนมปังกับเนื้อก็ถูกวางบนโต๊ะ

“หืม? เธอทำได้ไง?”

“ก็ทำแบบนี้?”

ดูเหมือนบิบิจะชินกับการทำแบบนี้

“ยิ่งเจ้านายเก่งขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งตกแต่งที่นี่ได้ตามใจชอบ ฮิๆ เจ้านายขยันอีกนิดนะคะ”

ห้องอัญเชิญเป็นพื้นที่ว่างเปล่า และมันปล่อยให้ผู้อาศัยปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบ เขามองไปที่หอคอยไม่มีเจ้าของ มันคงเป็นหอคอยของเจนิส ภูเขาที่อยู่ไกลออกไปอีกเป็นของรงรงหรือเปล่า?

พื้นที่โล่งกว้างเต็มไปด้วยโครงกระดูก พวกมันกำลังฝึกซ้อมกับอัศวินมรณะ ช่างเป็นภาพที่ไม่น่ามอง

อัศวินมรณะของเขามีบุคลิกแตกต่างกัน สิ่งก่อสร้างเช่นโรงตีเหล็กและโรงเหล้ามีตั้งอยู่รอบๆ ยังมีคอกม้าสำหรับม้าปีศาจ สิ่งก่อสร้างต่างๆเรียงเป็นแห่งๆ

[ท่านจ้าวประสงค์จะพิสูจน์ความเป็นนักรบกับข้าไหม?]

ดูท่าพวกอัศวินมรณะจะสู้กันเองจนเบื่อ บางตนจึงมาท้าวูจิน

“ไว้ทีหลัง ตอนนี้ตามฉันมาก่อน”

วูจินนำบรรดาอสูรออกมาจากห้องอัญเชิญ

[ประตูมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?]

[เมื่อก่อนตรงนี้เป็นแท่นบูชา]

แต่ละตนพูดถึงประตูขณะที่เดินผ่านมันเข้ามายังอาณาเขตมิติ

<อัศวินมรณะ คิบะ มาเยือนอลันดาล>

<เขาเป็นมิตร ท่านสามารถรับเขาเป็นผู้อพยพ>

<ซัคคิวบัส บิบิ มาเยือนอลันดาล...>

ทุกครั้งที่อสูรของเขาเหยียบพื้นดินอลันดาล เสียงประกาศก็จะดังขึ้น วูจินยิ้ม เป็นไปตามคาด เขาสามารถรับอสูรของเขาเป็นผู้อพยพและทำเป็นกำลังรบได้

‘ฉันคงไม่ต้องใช้พลังงานแล้ว’

เขาทำอะไรไม่ได้เรื่องมอนสเตอร์จะเกิดใหม่ทุกครั้งที่มีคนเข้าดันเจี้ยน แต่เขาสามารถป้องกันอาณาเขตมิติได้โดยใช้แค่อสูรของตัวเอง

แน่นอน เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับเวลาที่อสูรถูกเรียกออกมา เขาจะเพิ่มกำลังป้องกันอาณาเขตให้เพียงพอ

วูจินรับอสูรของเขาทั้งหมดเป็นผู้อพยพ และให้บิบิกับคิบะเป็นข้ารับใช้ในอาณาเขตเขา

ในระดับลอร์ด เขาสามารถตั้งข้ารับใช้ได้เพียงสองตำแหน่ง คือผู้บัญชาการที่มีหน้าที่ป้องกันอาณาเขต กับหัวหน้าพ่อบ้านที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องในปราสาท

“ฮิๆ เราต้องใส่ชุดให้เหมาะกับหัวหน้าพ่อบ้านไหม?”

ควันดำปกคลุมตัวบิบิและเธอเปลี่ยนไปอยู่ในชุดเมดสีดำระบายลูกไม้สีขาว ดูน่ารักแต่ไม่เหมาะ

“นี่ไม่ใช่ชุดพ่อบ้านนะ”

“เจ้านายไม่ชอบแบบนี้เหรอ?”

“อย่ากวนกันน่า จากนี้ไปเธอต้องปกป้องที่นี่”

“ยะโฮ่! เราจะตกแต่งแบบไหนก็ได้ใช่ไหม?”

“อืม เอาแต่พอดีล่ะ”

“ฮิๆ สนุกแน่ๆเลย”

บิบิจะดูแลทุกอย่างเท่าที่หัวหน้าพ่อบ้านมีสิทธิ์ และคิบะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการป้องกันอาณาเขต ควบคุมไวเวิร์น 10 ตัว นี่คือเหตุผลหลักที่วูจินแต่งตั้งพวกเขาเป็นข้ารับใช้

วูจินตั้งให้หัวหน้าพ่อบ้านมีอำนาจใช้พลังงาน 10,000 หน่วย ผู้บัญชาการมีอำนาจใช้พลังงาน 30,000 หน่วย

“ถ้าพวกนายมีปัญหาก็ใช้มัน”

[บัญชาของท่านจ้าวคือชีวิตของเรา!]

บิบิทำแก้มป่อง

“ฮึ นายตายไปแล้วนะ... เจ้านายขา ขอใช้พลังงานไปตกแต่งปราสาทหน่อยได้ไหม?”

“อืม อย่าเยอะล่ะ แต่ถ้ามีอันตรายก็ใช้ไปเลยไม่ต้องเก็บไว้”

“ยะโฮ่”

ดูเหมือนการตกแต่งจะเป็นงานอดิเรกของบิบิ เธอรู้สึกเหมือนจะลอยได้เมื่อได้กลายเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของอาณาเขตมิติขนาดใหญ่

ทำให้เหมือนโลกอสูรบ้านเกิดดีไหม? หรือทำให้เหมือนที่เธอเคยเห็นบนโลก? วูจินปล่อยบิบิไว้แล้วไปนั่งบนบัลลังก์

“ถ้ามีอะไรผิดปกติก็เรียกฉัน”

อาณาเขตของเขาอยู่ในช่วงคุ้มครอง 30 วัน วูจินจึงห่วงความโกลาหลในโซลมากกว่า เขาลบต้นเหตุของการเกิดดันเจี้ยนเบรกไปแล้ว แต่มอนสเตอร์ยังอาละวาดอยู่

เขาได้รู้ข้อมูลมากมายหลังอ่านคู่มือบริหารอาณาเขตมิติ อาณาเขตนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของวูจิน

เมื่อเขาถูกอาณาเขตมิติอื่นท้ารบ เขาสามารถใช้อุโมงค์มาที่อาณาเขตมิตินี้จากที่ไหนก็ได้

วูจินสร้างอุโมงค์ไปสู่สถานีโซลทางออกที่ 1

อุโมงค์ปรากฏในห้องโถง วูจินเข้าไป หลังจากมึนงงไปวูบหนึ่งเขาก็มาโผล่ในตัวสถานีใต้ดิน ที่ๆปกติอุโมงค์จะก่อตัวขึ้น

เมื่อวูจินเดินขึ้นบันได พวกเราส์ยังรอเขาอยู่

“ป...ประธานลีซังโฮล่ะ?”

สองคนเข้าไปแต่ออกมาเพียงคนเดียว คำตอบชัดเจนอยู่แล้วแต่ยังมีเราส์คนหนึ่งถาม เขามาจากกิลด์ขนาดกลางที่ไหนสักแห่งใช่ไหมนะ?

“ฉันฆ่าเขาไปแล้ว”

“...”

เราส์ที่มารอเสียวสันหลังวูบ ทำไมเขาถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยเลยนะ?

“มันเคยจ้างคนมาฆ่าฉัน ต้องการคำอธิบายเพิ่มอีกไหม?”

“...”

แน่นอน พวกเขาอยากได้คำอธิบายละเอียดกว่านี้ จากที่พวกเขามอง วูจินเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล แต่ไม่มีใครกล้าถาม วูจินมองลีมุงจินที่แนะนำตัวเองว่าเป็นรองประธาน กิลด์ KH

“นายบอกว่ามาจากกิลด์ของพี่เบคใช่ไหม?”

“ครับ ผมเป็นรองประธาน ลีมุงจิน”

“ขอให้ช่วยสักเรื่องได้ไหม?”

“เชิญพูดครับ”

ลีมุงจินเคยได้ยินเรื่องของคังวูจินจากประธานเบคจองโด เขาถูกบอกไม่ให้เป็นศัตรูกับคังวูจิน และถูกย้ำจนหูชาว่าถ้ามีโอกาสต้องช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ

“เฝ้าที่นี่จนกว่าคนของฉันจะมา อย่าให้ใครเข้าไป”

“เข้าใจแล้วครับ แต่ว่าดันเจี้ยนเพิ่งรีเซ็ทไป...”

มองจากด้านนอก วูจินครอบครองดันเจี้ยนแห่งนี้เหมือนเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท วูจินพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“ตอนนี้มันเป็นดันเจี้ยนของฉัน”

“...?”

วูจินตบไหล่ลีมุงจินเบาๆ

“ฝากบอกพี่เบคว่าฉันหวังว่าจะได้เจอเขาอีก”

“ครับ”

ลีมุงจินมีสีหน้าดีขึ้น เขามองคังวูจินขี่ม้าปีศาจจากไป

“เอาล่ะ มาจัดการรอบๆให้เรียบร้อยกัน ห้ามใครเข้าไปจนกว่าคนของกิลด์อลันดาลมา”

ไม่มีใครลงดันเจี้ยนตอนสถานการณ์กำลังยุ่งเหยิงขนาดนี้ แต่ก็ไม่แน่ ด้วยเหตุนี้ลีมุงจินจึงวางคนเฝ้ารอบดันเจี้ยนอย่างใกล้ชิด

ลีมุงจินส่งข้อความรายงานสถานการณ์สั้นๆ

[ดี]

ลีมุงจินยิ้มเมื่อเห็นข้อความตอบกลับสั้นๆแต่มีความหมาย จากนิสัยของเบคจองโดนี่เป็นคำชมที่ดีที่สุด เบคจองโดทำเรื่องต่างๆตามอารมณ์เป็นหลัก ดังนั้นลีมุงจินรู้สึกพอใจเมื่อนึกถึงรางวัลที่เขาจะได้

***

เมื่อวูจินมาถึงซาดาง มอนสเตอร์ถูกฆ่าไปเกือบหมดแล้ว ถนนเต็มไปด้วยทหารและอาวุธ พวกทหารกำลังเก็บศพมอนสเตอร์และจัดระเบียบถนนหนทาง

ทีมเราส์ที่ประกอบด้วยเราส์ที่มีทักษะตามรอยถูกตั้งขึ้น พวกเขาตระเวนไปรอบโซลล่ามอนสเตอร์ที่เหลือ

“ปลาเน่าตัวเดียวทำวิบัติขนาดนี้”

วูจินส่ายศีรษะเมื่อเห็นเมืองถูกเผาราบคาบในเวลาสั้นๆ วูจินเดินไปทางสำนักงานใหญ่ของกิลด์แฮมเมอร์

ที่นั่นยังมีคนหลบภัยอยู่ เพราะข้างนอกยังมีอันตรายและเมืองกำลังอยู่ในระหว่างการเก็บศพมอนสเตอร์ ซ่อมแซมที่เสียหาย

วูจินกำลังมองหาครอบครัวของเขาเมื่อคนของกิลด์ไททันมาหา แล้วนำทางวูจินไปยังชั้นบน

“ครอบครัวคุณอยู่ทางนี้”

มันเป็นห้องรับแขก เมื่อวูจินเข้าไป สิ่งแรกที่ทักทายเขาคือเสียงเห่า

มันคือสุนัขตัวใหญ่ บ็อกวี ของขวัญจากเขาให้โซอา สุนัขใหญ่กว่าเดิมมาก วูจินจ้องมันเขม็งแล้วบ็อกวีก็ครางถอยไป

“มาแล้วเหรอ?”

“ครับแม่”

แม้จะผ่านความโกลาหลมาแม่ของเขาก็ยังมีบรรยากาศของความสงบ

“พอลูกแวะมาก็มีคนพาพวกเรามาที่นี่”

แม่พูดเสียงแผ่วเบา

“โซอาล่ะ?”

“หลับอยู่”

วูจินเดินอ้อมเสามาแล้วเห็นโซอานอนหลับสนิทบนเตียง เขาถอยไปอย่างระวังไม่ให้โซอาตื่น แม่เรียกเขา

“มานั่งตรงนี้ก่อน”

“...”

ดูเหมือนนางจะอารมณ์ไม่ดี วูจินจึงนั่งตรงข้ามนางอย่างเชื่อฟัง ลีซูกยุงเม้มปากหลายครั้ง แต่นางไม่ได้ลังเลนาน

“วูจิน”

“ครับ”

“แม่ภูมิใจในตัวลูก”

“...”

“แม่นึกว่าลูกตายไปแล้ว แต่ลูกกลับมาหลังจากผ่านไป 5 ปี แค่เรื่องที่ลูกยังมีชีวิตอยู่...แม่ก็สมใจแล้ว”

ดวงตาลีซูกยุงมีน้ำตาเอ่อคลอ นางไม่เช็ดปล่อยให้ไหลอาบหน้าและมองวูจินด้วยความรัก

“ลูกหายไปแล้วพ่อก็หายไป...โซลวุ่นวายไปหมด”

นางพูดถึงภัยพิบัติเมื่อ 5 ปีก่อน ดูอารมณ์ไม่ดี นางคงคิดถึงตอนเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นคือช่วงเวลาที่นางต้องลำบากอยู่คนเดียวเพื่อเลี้ยงดูโซอาน้อย

“ตอนนี้แม่ได้รับการตอบแทนบุญคุณจากลูกทั้งๆที่ไม่เคยหวังมาก่อน ได้ออกทีวีเพราะลูก”

นักข่าวอาจไล่ตามลีซูกยุงเพื่อสัมภาษณ์ แต่เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณ ลูกชายของเธอเป็นคนเก่งกาจ

ลีซูกยุงคว้ามือลูกชายของเธอ

“แม่ไม่ต้องการให้ลูกปฏิบัติกับแม่เป็นพิเศษ”

คนที่มาหลบภัยที่นี่รวมตัวกันในห้องที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร แต่ครอบครัวของเธอได้มาอยู่ในห้องเป็นสัดส่วนและมีเตียงนอน... เธอไม่รู้สึกดีใจและกลัวว่าจะทำให้ลูกชายเดือดร้อน

“ไม่ต้องห่วงแม่ ช่วยโซลไม่ต้องช่วยแม่”

“...”

เขาจะทำแบบนั้นได้ยังไง?

ที่วูจินทนมาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะครอบครัวเขา

“คนพูดกันว่าลูกเป็นวีรบุรุษ”

เขาไม่ใช่วีรบุรุษ เขาเป็นผู้ล่าสัตว์ร้าย

ทำไมวันนี้แม่ทำตัวแบบนี้

“แม่เห็นข่าวแล้วเหรอ?”

“...”

เขาแทบจะมีนักข่าวตามตัวตลอด เขาอยากให้คนเห็น ให้คนสนใจ

ถ้าคนกลัว วูจินก็ยินดี ถ้าคนต่อต้าน เขาก็ยินดีเช่นกัน มันเป็นการแบ่งว่าใครอยู่ข้างเขาใครไม่ใช่

แต่แม่จะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นลูกชายสังหารไม่เลือกหน้า

เขาเห็นความเป็นห่วง สงสาร ลังเลไม่แน่ใจในดวงตานาง นางพยายามกดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ นางอยากให้เขาทิ้งทุกอย่างไป เขารู้สึกได้ว่านางพยายามห้ามตัวเองไว้

วูจินยิ้ม เขากุมมือทั้งสองของลีซูกยุงเอาไว้แล้วเขย่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงผม”

ลีซูกยุงยิ่งเจ็บเมื่อเห็นลูกชายหัวเราะ

ทำไมลูกชายของนางต้องเดินบนหนทางยากลำบากด้วย? นางอยากเถียง อยากให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม

เพราะทำไม่ได้ ดวงใจนางจึงแตกสลาย

สิ่งเดียวที่ทำได้คือเป็นกำลังใจให้เขาเงียบๆ สิ่งเดียวที่นางช่วยได้คือทำให้แน่ใจว่าครอบครัวของเขาจะไม่กลายเป็นภาระ

ลูกชายของนางเติบใหญ่เกินกว่านางจะกอดไว้ในอ้อมอก

เขาโตจนสามารถปกป้องโลกไว้ในอ้อมแขนได้แล้ว

“ผมไม่เป็นไร”

“ได้ๆ”

ลีซูกยุงหัวเราะพยายามกลั้นน้ำตา

“ลูกไปเถอะ ยุ่งอยู่นี่”

“ครับ”

วูจินยืนขึ้น กอดแม่ แล้วจากไป

วูจินยืนนอกห้อง เสียงแม่ร้องไห้ดังเข้าหู

แม่ ผมขอโทษ

การล่มสลายของโลกเริ่มขึ้นแล้ว

วีรบุรุษหรือพระเจ้าก็หยุดไม่ได้... ภัยพิบัติที่ทำให้ดันเจี้ยนระเบิดดูน่ารักไปเลยกำลังจะมา




สารบัญ                                             บทที่ 107



วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 105

บทที่ 105 – อาณาเขตมิติ (3)


“ความเข้ากันได้คืออะไรล่ะ?”

วูจินอ่านคำอธิบายข้างล่าง มันเขียนว่าเขาจะได้อาณาเขตเท่ากับความเข้ากันได้

“ไม่เลว”

วูจินกดปุ่ม ‘ประกาศยึดครองเขตแดน’

<ท่านได้ประกาศให้รังไวเวิร์นเป็นอาณาเขตมิติของท่าน>

<ก่อนบันทึกในจัดอันดับ ท่านต้องการเปลี่ยนชื่อหรือไม่?>

ไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ วูจินเปลี่ยนชื่อเป็น อลันดาล

<คังวูจินกลายเป็นลอร์ดของอลันดาล>

<อลันดาลของคังวูจินถูกบันทึกในจัดอันดับ>

<หลังจากช่วงสร้างความเสถียร 30 วัน ท่านจะได้รับการท้าทายจากนักผจญภัย หากการป้องกันล้มเหลวท่านจะสูญเสียทางเข้า ทรัพย์สินส่วนหนึ่งของอาณาเขตอาจถูกเอาไป>

<หลังจากช่วงคุ้มครองของลอร์ดคนใหม่ 30 วันผ่านไป ท่านสามารถรับการท้าทายจากลอร์ดอื่นในสงครามยึดอาณาเขต>

วูจินลูบคาง

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ความหมายของโหมดต่างๆที่ขึ้นมาก่อนเขาเข้าดันเจี้ยนของจูเลียล หลายอย่างเริ่มมีเหตุผล และยังอธิบายหลักการของความเป็นดันเจี้ยนด้วย

‘ตัวดันเจี้ยนคือทางเข้า เมื่อมีใครพิชิตมัน เจ้าของอาณาเขตก็จะเสียทางเข้านั้น’

ดันเจี้ยนคือประตูสำหรับอาณาเขตมิติ ร่างจริงของเจ้าของดันเจี้ยนสามารถก่อตัวขึ้นในนั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงติดอยู่ในดันเจี้ยน และถ้าเสียดันเจี้ยนไปหมด อาณาเขตมิติก็จะถูกทำลาย

ดันเจี้ยน 1-3 ดาวคือทางเข้า

ดันเจี้ยน 4-6 ดาวกับอุโมงค์สีแดงคือสื่อกลางที่ใช้เคลื่อนที่ไปยังอาณาเขตมิติ

“ถ้าอย่างนั้น เริ่มตั้งแต่ดันเจี้ยน 7 ดาว แม่ทัพของทราห์เน็ต...”

เขาไม่มีทางรู้ถ้าดันเจี้ยน 7 ดาวยังไม่เชื่อมต่อกับโลก ตอนนี้กังวลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ดังนั้นวูจินจึงมองบัลลังก์ตรงหน้าเขา

“ไม่มีหินรีเทิร์นสโตน...”

เขาเคยเข้าแต่ดันเจี้ยนที่คนอื่นเป็นเจ้าของเลยไม่รู้วิธีออกจากดันเจี้ยนตัวเอง มองบัลลังก์ที่กำลังแผ่พลังเวทออกมาเป็นปริมาณมาก วูจินจึงนั่งลง

กึง

ปราสาทสั่นอย่างหนัก วูจินรู้สึกเหมือนถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง

“ฮึบ”

เมื่อเห็นอะไรได้ชัดเจนอีกครั้ง เขากำลังมองอาณาเขตมิติของตัวเองทั้งหมด เหมือนเกาะขนาดใหญ่ที่ขอบถูกตัดออกไป

‘อันที่หายไปคงเกี่ยวกับความเข้ากันได้’

เขาไม่ได้วัด แต่เขารู้ว่าขนาดอาณาเขตของเขาที่หายไปคือ 28%

อาณาเขตมิติแคบลง นั่นคงไม่ใช่อย่างเดียวที่เสียไป

เมนูต่างๆโผล่ตรงหน้าวูจินโดยอัตโนมัติ

<Domain Info – ข้อมูลอาณาเขต>

<Dungeon Info – ข้อมูลดันเจี้ยน>

<Domain Management – การจัดการอาณาเขต>

<Troops Management – การจัดการกองกำลัง>

<Domain Shop – ร้านค้าของอาณาเขต>

วูจินเปิดหน้าต่างข้อมูล

<อาณาเขตมิติ – อลันดาล>
ลอร์ด : คังวูจิน
อันดับ : 1317
พลังงาน : 38%(115,340/300,000)
ทาส : 0
จำนวนประชากร : 0
กองกำลัง : ไวเวิร์น, แรดเหล็ก
จำนวนดันเจี้ยนที่ถือครอง : 1

<ข้อมูลดันเจี้ยน – สถานีโซล ทางออกที่ 1>
พลังงาน : 100% (10,000/10,000)
กองกำลัง : แมงมุมยักษ์, แมลงพิษ

<การจัดการอาณาเขต>
ท่านสามารถตั้งการ์เดี้ยน ท่านสามารถรับผู้อพยพที่ร่อนเร่ไปตามมิติต่างๆ
ท่านสามารถเปลี่ยนสภาพพื้นที่ของอาณาเขต ท่านสามารถประดับตกแต่งปราสาท
ท่านสามารถทำสงครามกับอาณาเขตอื่น
ท่านสามารถถือครองดันเจี้ยนเพิ่มแลกกับชิ้นส่วนมิติ 1 อัน
ท่านสามารถจัดการอาณาเขตจากเมนูนี้

<การจัดการกองกำลัง>
จำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลัง ปัจจัยในการปกป้องอาณาเขตและดันเจี้ยน
คอยดูแลอย่าให้ขาดกองกำลัง
ท่านสามารถซื้อกองกำลังจากร้าน และท่านสามารถแต่งตั้งผู้อพยพเป็นกองกำลัง

ดันเจี้ยนคือกำแพงชั้นแรกในการตอบโต้ผู้บุกรุก
พลังงานดันเจี้ยนจะถูกใช้ไปเพื่อเติมเต็มกองกำลังที่สูญเสียไป
เมื่อพลังงานดันเจี้ยนหมดจะไม่สามารถเติมกองกำลังได้ ท่านต้องหาพลังงานมาเพิ่มไว้ก่อน
ท่านสามารถซื้อการ์ดกองกำลังได้จากร้าน
กองกำลังของอาณาเขตมิติ : ไวเวิร์น 37, แรดเหล็ก  241, ลิงฟูโก้ 471
กองกำลังของดันเจี้ยน : แมงมุมยักษ์ 42, แมลงพิษ 132

<ร้านค้าของอาณาเขต>
 ท่านสามารถซื้อทุกอย่างเท่าที่ท่านคิดได้

“เฮ้อ”

วูจินอ่านอย่างตั้งใจแล้วส่ายศีรษะ เขาไม่เข้าใจหลักการของดันเจี้ยนชัดเจนมาก่อนจนตอนนี้ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเข้าใจแล้ว ดันเจี้ยนก็คือประตูสำหรับลอร์ดนั่นเอง

ถ้าดันเจี้ยนระดับต่ำเป็นที่ว่าง ดันเจี้ยนระดับสูงก็คือประตู

“ถ้านักผจญภัยเคลียร์ดันเจี้ยนได้สำเร็จก็จะได้หินรีเทิร์นสโตน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

ถ้าป้องกันหินรีเทิร์นสโตนได้ครบ 30 วัน เจ้าของดันเจี้ยนก็จะได้โจมตี กองกำลังจะถูกส่งออกมา

มันคือดันเจี้ยนเบรก

มันปลดล็อกประตูดันเจี้ยน

วูจินใช้ระบบค้นหาดันเจี้ยนในหน้าต่างการจัดการดันเจี้ยน ผลที่ได้คือรายชื่ออาณาเขตหลายสิบชื่อ และดันเจี้ยนหลายพัน ต้องใช้ชิ้นส่วนมิติในการซื้อ

ในนั้นมีดันเจี้ยนจากโลกอัลเฟนด้วย

ถ้าเขาต้องการไปอัลเฟน เขาก็ต้องซื้อ

“นี่...”

วูจินขมวดคิ้ว

“น่าหงุดหงิดแฮะ”

เขารู้สึกเหมือนถูกทราห์เน็ตล่อหลอก

“สรุปว่ามันเตรียมกระดานแบบนี้อยู่ข้างหลังเหรอ?”

ทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิดเพื่อรวบรวมพลังงานดันเจี้ยน มอนสเตอร์หลุดออกมาเพื่อล่า...

“หึ”

เขาโกรธจนรู้สึกเดือดปุดๆ และแม่ทัพของทราห์เน็ต... เพราะอย่างนี้แม่ทัพของทราห์เน็ตจึงไม่ร่วมมือกันบุกรุกอัลเฟน

“พวกมันก็สู้กันเอง”

สงครามระหว่างมิติ อัลเฟนก็แค่ที่ล่าที่ใหม่ของพวกมัน พวกมันต้องการที่ล่าเพื่อรวบรวมพลังงานสำหรับท้าทายแท่นที่สูงกว่า

โลกก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

“แม่งสิ”

วูจินขบกรามพลางสงสัยว่าทราห์เน็ตมีร่างเนื้อหรือเปล่า

“ฉันจะอัดมันให้ตาย”

วิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การปกป้องโลก นั่นเป็นไปไม่ได้

ไม่ใช่การใส่ลูกกรงกันขโมย เขาต้องจับโจรและจัดการพวกมันให้หมด

จะเป็นจ้าวหรือไม่ก็ช่าง เขาจะอัดทุกคนที่เปิดประตูมาที่โลก

วูจินเปิดร้านค้าอาณาเขตเพื่อซื้อการ์ดกองกำลัง

มันคือทหารโครงกระดูกและนักเวทย์โครงกระดูก

เขาอยากซื้อการ์ดอันเดดที่ระดับสูงกว่านี้ แต่ไม่มีขาย

มอนสเตอร์ที่เขาเอามาใช้ในดันเจี้ยนถูกจำกัดระดับเอาไว้

<สถิติกองกำลังดันเจี้ยน>
กองกำลังที่วางไว้ : 0/300
พลังงานที่ใช้ในการรีเซ็ท : ทหารโครงกระดูก 3, นักเวทย์โครงกระดูก 4, แมงมุมยักษ์ 3, แมลงพิษ 2

วูจินตัดสินใจส่งทหารโครงกระดูก 100 ตัว กับนักเวทย์โครงกระดูก 10 ตัว

เมื่อนักผจญภัยเข้าดันเจี้ยน โครงกระดูก 110 ตัวจะถูกเรียกออกมาหยุดพวกเขา

ถ้าโครงกระดูกทั้งหมดถูกทำลาย เขาจะเสียพลังงานดันเจี้ยนไป 340 หน่วย จากนั้นอุโมงค์สีแดงจะเกิดขึ้นให้นักผจญภัยเข้ามาในอาณาเขตมิติของเขา

ตรงข้าม ถ้าเขาจัดการนักผจญภัยได้ก็จะได้พลังงานดันเจี้ยนตามคุณภาพของนักผจญภัย

มีวิธีคิดสองอย่าง แทนที่จะใช้พลังงานไปก่อนก็ปล่อยดันเจี้ยนไว้เปล่าๆ ปล่อยให้นักผจญภัยเข้ามาในอาณาเขตมิติแล้วฆ่าให้หมดจะประหยัดพลังงานกว่า หรือวางกองกำลังที่แข็งแกร่งไว้ที่ดันเจี้ยนไม่ให้นักผจญภัยเข้ามาในอาณาเขตมิติเลย ทำดันเจี้ยนให้เป็นหลุมดักเหยื่อไปเลย

วูจินยังใหม่ ไม่เคยรับมือกับผู้บุกรุกมาก่อน เขาตัดสินใจลองไปเรื่อยๆ

“กองป้องกันอาณาเขต...”

วูจินตัดสินใจซื้อไวเวิร์น เขาซื้อการ์ดกองกำลังมาเป็นกองกำลังป้องกันดันเจี้ยน ตามชื่อบอก นี่ก็คือการใช้พลังงานซื้อทหารรับจ้าง

ที่น่าสนใจคือ ‘มนุษย์’ ก็อยู่ในรายการสินค้าด้วย

“หืม”

วูจินหรี่ตาเมื่ออ่านข้อมูล

ไวเวิร์น 1 ตัวราคา 300 หน่วยพลังงาน ถ้าเขาซื้อ 10 ตัวก็ต้องใช้ 3,000 หน่วย แบบนี้จำนวนกองกำลังที่เขาส่งออกมาได้ก็จะลดลง

“เฮ้อ”

พลังงานดันเจี้ยนกับกองกำลังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

กองกำลังใช้พลังงานดันเจี้ยนซื้อ การส่งกองกำลังไปประจำในดันเจี้ยนและอาณาเขตก็ต้องใช้พลังงานเช่นกัน

“เพราะอย่างนี้พวกนั้นถึงขยันล่ากันนัก”

ถ้าใช้พลังงานหมด กองกำลังที่จะส่งไปได้ก็น้อยลง ถ้าใช้กองกำลังราคาถูกอ่อนแอก็จะตกเป็นเป้าในสงครามมิติ ที่ตลกคือนักผจญภัยก็ปล้นอาณาเขตมิติได้

“หืม? มีช่วงคุ้มครอง 30 วันด้วย”

ช่วงคุ้มครองมอบให้กับลอร์ดมือใหม่ วูจินหลังจากคิดแล้วก็จัดสรรกองกำลัง จากนั้นตั้งสมาธิให้หยุดคิดเรื่องอาณาเขต ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเป็นเขากำลังนั่งบนบัลลังก์

“เฮ้อ”

วูจินสูดลมหายใจยาว รู้สึกมึนเล็กน้อย รู้สึกเหมือนตอนเขาใช้แลกวิญญาณกับกาเกบิ

วูจินคิดถึง หนังสือ ‘คู่มือบริหารอาณาเขตมิติ’ ที่ล็อกอยู่

“ไหนดูสิ”

เลเวล : 75
ชื่อ : คังวูจิน
อาชีพ : เนโครแมนเซอร์ (Advanced), วอริเออร์
ระดับ : ลอร์ด
ค่าความสำเร็จ : 713,219
เวทย์ : 1320/1320 กาย : 240/240

ก่อนหน้านี้ ระดับของเขาคือ ‘ไม่มีตำแหน่ง’ ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็น ‘ลอร์ด’

“ตอนนี้น่าจะอ่านได้แล้วนะ?”

วูจินเปิดคลังแล้วหยิบหนังสือออกมา

“เอ๋?”

ที่ว่างพังทลายแล้วประตูขนาดใหญ่สามบาน สีดำ,แดงและขาวก็ปรากฏขึ้นด้านหลังบัลลังก์ของวูจิน

“อะไรวะ?”

วูจินงงที่จู่ๆก็มีประตู ตอนนั้นเองเสียงประกาศก็ดังขึ้น

<ท่านได้ครอบครองพื้นที่ในอาณาเขตบิดเบี้ยว คลังส่วนตัวของท่านกับคลังเก็บของอาณาเขตมิติจะหลอมรวมกัน>

“...”

วูจินขมวดคิ้วเปิดคลังส่วนตัว คลังของเขาที่ทุ่มเทขยายโดยการซื้อกระเป๋าเพิ่มช่องจากร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จได้เพิ่มจาก 100 แถวเป็นเกือบไม่มีขีดจำกัด

ดูเหมือนว่าคลังส่วนตัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องเก็บของอาณาเขตมิติ วูจินไม่ดีใจนัก

“ถ้าโดนขโมยก็หมดตัวสิ?”

ถ้าอาณาเขตมิติของเขาถูกพิชิต หรือแพ้ในสงครามมิติ แน่ใจได้เลยว่าไอเทมของเขาต้องถูกปล้นไปหมด วูจินยักไหล่ ถ้าเขาตายก็จบอยู่ดี วูจินไม่คิดจะให้ใครได้อาณาเขตของเขาไปอยู่แล้ว ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าช่องเก็บของของเขาไม่มีขีดจำกัด ไม่ได้แย่อะไร

คลังยังทำงานเหมือนเดิม เขาสามารถหยิบออกเอาเข้าได้ตามใจชอบ

วูจินหยิบหนังสือคู่มือบริหารอาณาเขตมิติ ตัวล็อกปลดออกไปแล้ว

วูจินนั่งอ่านอย่างตั้งใจ ผ่านไป 30 นาทีจึงปิดหนังสือ

“ไอ้พวกเวรนั่น”

ทราห์เน็ต วูจินไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาต้องฆ่ามันแน่ๆถ้าได้เจอกัน

ทราห์เน็ตวางแผนไว้ดีทีเดียว

แล้วยังแม่ทัพของทราห์เน็ต ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า 72 ขั้นคืออะไร

พวกนั้นไม่ใช่ลอร์ด แต่อยู่ในระดับราชา

ถ้าครอบครองบัลลังก์ 1 บัลลังก์ ก็อยู่ขั้นที่ 1 คนหนึ่งครอบครองบัลลังก์ได้ถึง 72 บัลลังก์ นั่นคือขั้นที่ 72... พวกมันกำลังสู้แย่งชิงขั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อเป็นเกรทลอร์ด พวกมันอยู่ในการแข่งขันที่ไม่รู้จบ

วูจินต้องเป็นราชาเพื่อเอาลอร์ดมาเป็นข้ารับใช้ บัลลังก์ที่ลอร์ดครอบครองก็จะนับเป็นของราชา

“ฉันจะเล่นกับพวกนายก็ได้”

ในเมื่อกระดานเกมก็วางไว้เข้าที่แล้ว วูจินก็ยินดีสนุกไปด้วย ถ้าเขาอยากพลิกกระดานในตอนจบก็ต้องรู้เกี่ยวกับมันให้มาก

ก่อนวูจินจะเก็บหนังสือเข้าคลังส่วนตัว เขาเดินไปที่ประตูด้านหลัง วูจินเปิดประตูสีแดงและเห็นว่ามันเป็นห้องเก็บของ ไอเทมของเขาเรียงเป็นระเบียบอยู่ข้างใน วูจินลองโยนหนังสือเข้าไปในห้อง คลังส่วนตัวของเขาก็แจ้งว่าหนังสือถูกเก็บเข้าไปในคลัง วูจินพยักหน้า

“ฉันเอาของผ่านทางประตูนี้ก็ได้”

ไม่ว่าเขาจะเอาของจากห้องเก็บของหรือจากเมนูคลังส่วนตัวเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้ของอยู่ในที่เดียวกันแล้ว

“บานนี้...ล็อก”

วูจินเดินไปทางประตูขาวที่อยู่หลังบัลลังก์พอดี เขาไม่รู้ว่าประตูบานนี้ล็อกเพราะระดับหรือไม่ หนังสือคู่มือไม่เอ่ยถึงประตู 3 บานเลย

วูจินเดินไปประตูสีดำที่อยู่ด้านขวา

“บานนี้เปิดได้”

เมื่อประตูดำเปิดออก เขาเห็นพื้นที่กว้างใหญ่ พื้นเป็นหินอ่อน และเห็นโครงกระดูกจำนวนมากยืนเรียงกัน

“ที่นี่คือ...”

ไกลออกไป เขาเห็นสิ่งก่อสร้างเหมือนคอกม้าเต็มไปด้วยม้าปีศาจ ถัดไป อัศวินมรณะกำลังฝึกซ้อมต่อสู้กัน

ผ่านพื้นที่กว้างไป มีหอคอยสูงเสียดฟ้า แต่ไม่มีแสงจากดวงไฟข้างในเหมือนเจ้าของหอคอยยังไม่กลับมา ใกล้ประตูมีกระท่อมหลังหนึ่งด้านในมีแสงเทียนสว่าง

วิ้ง

“โดลเซจิง ไปไหนน่ะ!”

ประตูกระท่อมเปิดออกและโดลเซลอยออกมา บิบิวิ่งตามมาแต่เธอหยุดเมื่อเห็นวูจิน

“เอ๋?”

บิบิกระพริบตาปริบๆ

“เอ๊ เจ้านายมาที่ห้องอัญเชิญล่ะ!”

บิบิตะโกนอย่างตกใจ ทหารโครงกระดูกและอัศวินมรณะทั้งหมดหันมาทางประตู




สารบัญ                                                    บทที่ 106



วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

แปลเพลง - Thousand Foot Krutch – In my room

ไม่ได้แปลเพลงมาตั้งแต่วูจินบทที่ 71 แน่ะ เอาสักหน่อย

Thousand Foot Krutch สั้นๆว่า TFK เป็นวงคริสเตียนร็อกค่ะ เราไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์แต่ชอบหลายเพลงของวงนี้ วงนี้ดังมาหลายปีแล้วล่ะแต่เราเพิ่งจะเริ่มฟังเมื่อต้นปี วันนี้เพิ่งได้ฟังเพลง In my room…

เพลงนี้ใช้คำง่ายจนไม่ต้องแปลก็ได้ แต่เราเอามาลงเพราะอยากนำเสนอเพลงที่ตัวเองชอบ มาฟังกันเลยดีกว่าค่ะ

ลิงค์เพลง Thousand Foot Krutch – In my room

Lyrics

They say that you created all
My voice must sound so small
In between heavens walls
But they said you knew my name

And they say that your love has no end
And that you can heal the past
With just one touch of your hand
Does it matter if I was to blame?

I've been trying to erase myself
By trying to be someone else
They say there's no hope for me
I guess this must be hell

They make me feel so empty
Their words they cut like knives
You tell me to forgive them
But I’m not sure I'll survive

I'm not sure this is a good time
Or even if your home
It's a long long way from your throne

But can you meet me in my room
A place where I feel safe
Don't have to run away
And I can just be me

Can you meet me in my room
A place where I feel strong
A place where I belong
And I can call my own
I'll wait for you...

They say you're always there, you never leave
Even when we don't believe
And that sounds like love to me
I know I couldn't do the same
And they said that you can see my heart
Then you already know I'm falling apart
That's why I hide here in the dark
So no one has to see my pain

I've never prayed so can we just talk?
Don't wanna put you on the spot,
But can you bring the keys to my heart
And help me find the way?

They make me feel so empty
Their words they cut like knives
You tell me to forgive them
But I'm not sure I'll survive

I'm not sure this is a good time
Or even if your home
It's a long long way from your throne

But can you meet me in my room
A place where I feel safe
Don't have to run away
And I can just be me

Can you meet me in my room
A place where I feel strong
A place where I belong
And I can call my own

Won't You meet me, meet me in my room
Where there's no one else allowed but You
I've been waiting for so long to meet You
I'll be waiting...

Won't You meet me, meet me in my room
And there's no one else allowed but You
I've been waiting for so long to meet You
I'll be waiting...
In my room...

Won't You meet me, won't You meet me in my room
I'm all alone, and I'll be waiting.


ต่อไปเป็นแปลค่ะ

In my room - ในห้องของฉัน

พวกเขาพูดว่าคุณเป็นคนสร้างทุกอย่าง
เสียงของฉันต้องเบามากแน่ๆ ในระหว่างกำแพงสวรรค์แต่ละชั้น
แต่พวกเขาเคยพูดว่าคุณรู้ชื่อฉัน

และพวกเขาพูดว่าความรักของคุณไม่มีที่สิ้นสุด
และพูดว่าคุณเยียวยารอยแผลจากอดีตได้ ด้วยมือสัมผัสเท่านั้น
ถ้าฉันเป็นคนผิดล่ะ จะเป็นอะไรไหม?

ฉันพยายามลบตัวเอง ด้วยการพยายามเป็นคนอื่น
พวกเขาบอกว่าไม่มีความหวังสำหรับฉันหรอก
ฉันว่านี่ต้องเป็นนรกแน่

พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่าเหลือเกิน
คำพูดของพวกเขา ใช้บาดเหมือนคมมีด
คุณบอกให้ฉันให้อภัยพวกเขา
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ไหม

ฉันไม่รู้ว่าเวลานี้จะเหมาะไหม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยู่บ้านหรือเปล่า
มันไกลจากบัลลังก์ของคุณมากๆ

แต่คุณมาหาฉันที่ห้องของฉันได้ไหม
ที่ๆฉันรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องหนีไปไหน
ที่ๆฉันเป็นแค่ตัวของตัวเองก็ได้

คุณมาหาฉันที่ห้องของฉันได้ไหม
ที่ๆฉันรู้สึกเข้มแข็ง
ที่ๆฉันรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน
และเป็นที่ๆเรียกได้ว่าเป็นของฉัน
ฉันจะรอคุณ...

พวกเขาพูดว่าคุณอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่เคยจากไปไหน
แม้ว่าเราจะไม่เชื่อ
และนั่น สำหรับฉันแล้วมันฟังเหมือนความรัก
ฉันรู้ว่าฉันทำเหมือนคุณไม่ได้แน่
และเขาพูดว่าคุณมองเห็นหัวใจฉัน
ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้แล้วว่าฉันกำลังแหลกสลาย
เพราะอย่างนั้นฉันจึงหลบในความมืด
เพื่อไม่ให้ใครต้องมาเห็นความเจ็บปวดของฉัน

ฉันไม่เคยสวดภาวนามาก่อน เราคุยกันเฉยๆได้ไหม?
ไม่ได้อยากทำให้คุณลำบาก
แต่คุณช่วยเอากุญแจมาเปิดหัวใจของฉัน แล้วช่วยฉันหาทางออกได้ไหม?

พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่าเหลือเกิน
คำพูดของพวกเขา ใช้บาดเหมือนคมมีด
คุณบอกให้ฉันให้อภัยพวกเขา
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ไหม

ฉันไม่รู้ว่าเวลานี้จะเหมาะไหม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยู่บ้านหรือเปล่า
มันไกลจากบัลลังก์ของคุณมากๆ

แต่คุณมาหาฉันที่ห้องของฉันได้ไหม
ที่ๆฉันรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องหนีไปไหน
ที่ๆฉันเป็นแค่ตัวของตัวเองก็ได้

คุณมาหาฉันที่ห้องของฉันได้ไหม
ที่ๆฉันรู้สึกเข้มแข็ง
ที่ๆฉันรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน
และเป็นที่ๆเรียกได้ว่าเป็นของฉันเอง

คุณมาหาฉันที่ห้องไม่ได้เหรอ
ที่ๆไม่ยอมให้ใครเข้ามานอกจากคุณ
ฉันรอคุณมานานมาก
ฉันรอคุณอยู่...

คุณมาหาฉันที่ห้องไม่ได้เหรอ
ที่ๆไม่ยอมให้ใครเข้ามานอกจากคุณ
ฉันรอคุณมานานมาก
ฉันรอคุณอยู่...
ในห้องของฉัน...

คุณมาหาฉันที่ห้องไม่ได้เหรอ
ที่ๆไม่ยอมให้ใครเข้ามานอกจากคุณ
ฉันอยู่ลำพังคนเดียว และรอคุณอยู่

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 104

บทที่ 104 – อาณาเขตมิติ (2)


“หึ นายต่อยฉัน แค่เพราะฉันปลอมตัวเนี่ยนะ ยอมเลย นิสัยนายนี่เน่าจริงๆ”

ลีซังโฮยักไหล่แล้วมองไปรอบๆ วูจินยิ้ม ไม่ใช่สิ เขาหัวเราะพลางเหวี่ยงไม้เท้า

ปึก!

ลีซังโฮตกใจกระโดดหลบ ไม้เท้าของวูจินตาม สุดท้ายก็ตีโดนสีข้างของลีซังโฮ

“เหี้ย!”

ไอ้คนไร้มารยาทนี่ เขาอยากฆ่ามันจริงๆไม่เกี่ยวว่าเป็นลูกน้องของเลลโลหรือไม่

“ทำอะไร! ทำไมตีฉัน?”

“เพราะนายทำผิดมหันต์ นายต้องตาย”

วูจินเปลี่ยนไม้เท้าเป็นรูปแบบหอก ลีซังโฮกลืนน้ำลายเมื่อเห็นสายตาจริงจังของวูจิน

‘มันเอาจริง’

ลีซังโฮมองรอบๆ เราส์ถอยไปยืนห่างๆเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาพวกเขาจ้องมาที่คนทั้งสอง

“ห่า ฉันทำผิดอะไร? นายกำลังจะเป็นฆาตกรนะ”

วูจินยิ้มเยาะ

เถียงกับคนใกล้ตายไปก็ไม่มีประโยชน์

ลีซังโฮป้องกันหอกที่วูจินแทงมาทางเข้า วูจินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ลีซังโฮใช่คนที่มีปฏิกิริยาตอบโต้เร็วแบบนี้เลยหรือ?

‘เวร ไอ้ป่าเถื่อนนี่’

ลีซังโฮตกใจเมื่อเห็นวูจินไม่สนสายตาคนอื่นเลย แต่เขามั่นใจในตัวเอง เขามีพลังที่ได้รับมอบมาจากการเป็นลูกน้องของเลลโล

ลีซังโฮมองไปรอบๆด้วยตาแดงก่ำ

“ต่อให้ฉันทำผิดก็ต้องขึ้นศาลไม่ใช่เหรอ? นายเป็นใครวะมาฆ่าฉัน!”

วูจินเพียงแต่ยิ้มดูลีซังโฮโวยวาย

วูจินรู้สึกได้ถึงวิญญาณชั่วร้ายสกปรกของลีซังโฮกำลังสั่น

วูจินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

ลีซังโฮถอยหนึ่งก้าว

ไอ้บ้านี่มันกะเอาเขาตายจริงๆ

‘มันเห็นอะไรน่าสงสัยเหรอ?’

มันมีเหตุผลอะไร?

วูจินรู้หรือว่าเขาเป็นตัวการทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิด?

เขาเปลี่ยนรูปร่างภายนอกของตัวเองด้วยผ้าคลุมมายาทุกครั้งที่ย้ายไปที่อื่น

ลีซังโฮคิดกังวลไปมากมาย แต่คังวูจินไม่สนใจ

ปึก!

“อั่ก!”

ใบหอกทะลุผ่านกระดูกซี่โครงแทงลึกในปอดเขา ลีซังโฮมองคังวูจินด้วยตาแดงก่ำ เขาเร็วกว่าก่อนได้พลังจากเลลโล แต่ไม่ว่าความเร็วจะเพิ่มแค่ไหนก็หลบการโจมตีของวูจินไม่ได้

‘แม่ง ไอ้ป่าเถื่อนนี่’

เหมือนความมั่นใจที่เปี่ยมล้นของเขาหล่นหายไปหมด

ไอ้เวรนี่มันแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่แล้ว?

มันใช่คนจริงๆเหรอ?

เป็นคำถามที่ดี ไม่มีใครบนโลกเคยเห็นว่าผ้าคลุมมายาทำงานอย่างไร แล้วคังวูจินรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนเที่ยวทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิด?

“นายรู้ได้ยังไง?”

“...”

รู้ได้ยังไง? เขาไปหาข้อมูลที่ตะวันออกกลางและกลับมา วูจินบิดหอกทำให้แผลกว้างขึ้นอีก เลือดเริ่มทะลักออกมา

“อั่ก”

ความคิดของลีซังโฮกระจัดกระจายจนไม่คิดจะใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะโจมตีวูจินได้

“ห่า โลกไม่ยุติธรรมเลยว่ะ หึ ถึงนายจะเก่งแค่ไหนแต่ก็หยุดไม่ได้หรอก ต่อให้ไม่ใช่ฉัน คนอื่นก็จะทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกอีก”

“อะไรนะ?”

“คึๆ โลกจะถูกทำลายแล้ว นายหยุดไม่ได้หรอก ท่านพวกนั้นคือพระเจ้า พระเจ้ากำลังลงมาที่โลกนี้!”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว

“คึๆๆ”

ลีซังโฮหัวเราะแล้วไอเป็นเลือด สุดท้ายทุกคนจะตาย เขาแค่ตายเร็วกว่าหน่อย เขาโชคดีแล้วที่ได้เห็นสีหน้าร้อนใจของวูจิน

“นายทำให้เกิดเบรกได้ยังไง?”

“แค่ก”

ลีซังโฮกระอักเลือดจากนั้นก็ตาเหลือกไป วูจินเอาวิญญาณที่เก็บไว้ในเกราะผีออกมารักษาลีซังโฮ ลีซังโฮลืมตาขึ้นกว้างเมื่อจู่ๆร่างกายก็มีพลังเต็มเปี่ยม สติที่เลือนรางหวนคืนกลับมาใหม่

วูจินถอนหอกออก เลือดพุ่งกระฉูดพร้อมเสียงโหยหวนของลีซังโฮ แต่เขาส่งวิญญาณไปรักษาลีซังโฮอีกอย่างรวดเร็ว

วูจินคว้าท้ายทอยของลีซังโฮ

“อั่ก นายช่วยฉันไว้ทำไม?”

วูจินลากลีซังโฮเข้าไปที่ดันเจี้ยนใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจลีซังโฮที่ดิ้นรนต่อต้าน

เราส์ที่ยืนมองอยู่เข้ามาหาพวกเขา

“ผม...ผมไม่แน่ใจว่ามันเรื่องอะไร แต่ต้องการให้ช่วยไหม?”

“ไม่ต้อง”

วูจินฆ่าลีซังโฮได้อยู่แล้ว ไอ้นี่ทำผิดจนสมควรตาย แต่เขาไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนเห็นตอนเขาสอบสวนลีซังโฮ เมื่อวูจินเข้าดันเจี้ยนไป เขาโยนลีซังโฮอย่างหยาบคาย

“นายคิดจะทำอะไรวะ?”

“นายเป็นคนทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกเหรอ?”

“...นายรู้ว่าฉันเป็นคนทำถึงคิดจะฆ่าไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันไม่รู้”

“งั้นทำไมถึงจะฆ่ากูล่ะโว้ย!”

“นายเป็นคนจะฆ่าฉันก่อน ฉันไม่ตายและตอนนี้ก็กำลังจะเอาคืน”

“...”

“นายเป็นคนจ้างมือสังหารจากตะวันออกกลาง”

“...”

ลีซังโฮเงียบ เขาเลือกนายหน้าที่เป็นที่รู้จักเรื่องความละเอียดรอบคอบในการทำธุรกิจ ดูเหมือนนายหน้าคนนั้นจะเก็บหลักฐานไว้และคังวูจินรู้ทุกอย่าง แล้วแบบนี้จะใช้โทรศัพท์ใช้แล้วทิ้งติดต่อเขาทำไมวะ...

“ยังไงฉันก็ฆ่านายอยู่แล้ว แต่ฉันอยากรีดทุกอย่างที่นายรู้เรื่องดันเจี้ยนเบรกออกมาให้หมด”

ลีซังโฮหัวเราะ มันต้องการสิ่งนี้?

“คิดเหรอว่าฉันจะบอก?”

วูจินยิ้มเหี้ยม

“ทนได้ก็ลองดู”

วูจินยกไม้เท้าเหล็กขึ้น

***

บิบิดูตลกเมื่อสวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่หลวมโพรก แขนเสื้อยาวเกินไปและปลายชุดคลุมก็ลากไปตามพื้น แต่เธอยิ้มกว้างเหมือนดีใจมาก

“เฮะๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นเสื้อนี่ที่โลก”

“ชอบเหรอ?”

“แน่นอน เสื้อเรานี่นา”

บิบิเคยใส่ชุดคลุมนี้เสมอเหมือนเป็นเครื่องแบบประจำตัว

ผ้าคลุมมายาที่ลีซังโฮหามาอย่างยากลำบากถูกวูจินเอาไปให้บิบิ

“ฉันรู้ข้อมูลทุกอย่างแล้ว ปลุกมัน”

“ฮิๆ ได้ค่ะ”

ลีซังโฮนอนครางตาเหลือกบนพื้น บิบิใช้พลังกับเขา

“เฮือก!”

ลีซังโฮถูกปลุกขึ้นมา เขาทำท่าเหมือนไปเจอผีมา เขาถอยห่างจากวูจิน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว

มันเป็นแค่ฝัน แต่เขาฝันว่าวูจินซ้อมเขาเป็นเวลา 1 ปี ความกลัวที่เขาเผชิญมา...

“ฆ่าฉันเถอะ”

วูจินถือขวานเดินมา ลีซังโอนอนหงาย

“ปละ...ปล่อยฉันไปเถอะ บอก ฉันจะบอกทุกอย่าง”

“ฉันรู้หมดแล้ว”

“อะไรนะ?”

วูจินกดขวานลงบนคอของลีซังโฮ หัวถูกตัดขาดจากร่าง มันกลิ้งไปโดยมีแสงสีเทาล้อมรอบ

วูจินเดาะลิ้นเมื่อเห็นศพหายไปเหมือนถูกเผา

“แสดงว่าตอนนี้พวกมันเอาคนจากโลกไปอยู่ฝั่งมันได้แล้วสิ”

ลีซังโฮกลายเป็นลูกน้องของเลลโล?

วูจินรู้ด้วยว่าเขาทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกอย่างไร

เมื่อกลายเป็นลูกน้องของเลลโล มอนสเตอร์ก็ไม่โจมตี ลีซังโฮใช้หินรีเทิร์นสโตนทำลายบาเรีย ก็เหมือนปลดกลอนประตูปล่อยมอนสเตอร์ออกมา

“แต่อย่างนี้เราก็สบายใจได้นิดหนึ่งแล้วล่ะ”

“มันจะเกิดขึ้นอีก”

มอนสเตอร์จะแตะต้องหินรีเทิร์นสโตนได้เมื่อเวลาผ่านไป 30 วันเท่านั้น ที่ลีซังโฮถือหินรีเทิร์นสโตนได้เพราะเหตุผลง่ายๆว่าเขาคือคนจากโลก

เขาตายและหายไป ตอนนี้เขาไปอยู่ฝั่งทราห์เน็ต เขาจะคืนชีพขึ้นมาใหม่แต่ไม่ใช่คนของโลกอีกต่อไป เป็นเพียงลูกน้องของเลลโล หนึ่งในแม่ทัพ 72 ตนของทราห์เน็ต

ในมุมมองของโลก เขาเป็นเพียงคนนอก

จากนี้ไป วูจินต้องฆ่าทุกคนที่ถูกล่อลวงไปอยู่ฝ่ายทราห์เน็ต

“ออกกันเถอะ”

“ได้ค่ะ”

บิบิม้วนแขนเสื้อขึ้น แล้วดึงปลายเสื้อคลุมขึ้นมามัดรอบเอว เธอเหมือนถูกพันด้วยผ้าห่ม แต่บิบิมีท่าทางร่าเริงที่สุดเท่าที่วูจินเคยเห็นในช่วงที่ผ่านมานี้

วูจินลงไปชั้นล่างเพื่อเอาหินรีเทิร์นสโตน เขาจัดการมอนสเตอร์ทุกตัวแต่ไม่เจอหินรีเทิร์นสโตน

“นี่เป็นดันเจี้ยนระดับสูงเหรอ?”

แบบนี้ก็ยุ่งยากหน่อย แต่วูจินในตอนนี้ไม่มีดันเจี้ยนไหนที่เขาเคลียร์ไม่ได้ เขาขึ้นไปที่ทางออกที่มีบาเรียกางอยู่ อุโมงค์สีแดงก่อตัวอยู่แล้ว

วูจินผ่านอุโมงค์เข้าไป

หลังจากผ่านเสียงอื้ออึงและหายจากความมึนงง วูจินเห็นสภาพของดันเจี้ยนระดับสูง มันเป็นที่รกร้างมีต้นอ้องอกเป็นบางแห่ง

เขาไม่เห็นมอนสเตอร์สักตัว

“หืม”

มีภูเขาจำนวนหนึ่งสูงเสียดฟ้าเหมือนใบมีด ท่ามกลางนั้นมีภูเขาที่มียอดสูงที่สุดกำลังเปล่งแสงสีเขียวขึ้นฟ้า ดูเหมือนหินรีเทิร์นสโตนจะอยู่ที่นั่น

มันอยู่ไกลเกินกว่าจะเดินไป วูจินเรียกชิงชิงออกมา

วูจินควบม้าผ่านทุ่งร้างที่มีต้นไม้รูปร่างแคระแกร็นขึ้นตรงนั้นตรงนี้

“มอนสเตอร์ทั่วไปของที่นี่คืออะไรนะ?”

เขาเข้ามาโดยไม่ได้ดูข้อมูลดันเจี้ยนจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย

ความสงสัยของวูจินได้รับคำตอบในเวลาไม่นาน

พวกมอนสเตอร์โผล่มาจากท้องฟ้า พร้อมกับเสียงร้องเสียดหู

วูจินกำลังสงสัยว่าทำไมในทุ่งไม่มีมอนสเตอร์เลย ดูเหมือนรังของพวกมันจะอยู่ในภูเขาแหลมเหมือนมีดนั่นเอง

มอนสเตอร์ในท้องฟ้าบินมาทางเขา พวกมันอยู่ห่างไปมากแต่ก็ยังใหญ่กว่าเหยี่ยว มันคือไวเวิร์น

“ที่นี่คือรังของบิรองงั้นสิ?”

ที่นี่คงเป็นดันเจี้ยน 6 ดาว เป็นโอกาสเก็บค่าประสบการณ์อย่างดี

วูจินขี่ชิงชิง เรียกอาวุธของเขาออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นธนู

เขาดึงสายธนู ลูกศรเวทย์ก่อตัวขึ้นเตรียมยิง

***

วูจินมาถึงยอดเขา

ดันเจี้ยนนี้ยังไม่รีเซ็ท ไม่มีบอสไม่ว่าจะเป็นบอสไวเวิร์นหรือมอนสเตอร์ประเภทอื่น น่าเสียดายแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเลเวลของวูจินก็เพิ่มมา 1 เลเวล และเขาก็พบว่าที่นี่เป็นดันเจี้ยนที่ดีทีเดียวจึงตั้งใจจะมาที่นี่อีกหลายๆครั้ง

บนยอดเขามีปราสาทร้างแห่งหนึ่ง

“เจ้านาย ที่นี่ไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? เหมือนผีจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลย อึ๋ย”

บิบิตัวสั่น มองไปรอบๆด้วยดวงตากลมโต

วูจินยิ้ม

ไม่น่าใช่บทสนทนาระหว่างปีศาจน้อยกับเนโครแมนเซอร์เลย

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคืนนี้เขาได้ฝันถึงผีแน่

“ไปหาอาร์ติแฟคแถวนั้น เผื่อจะมี”

“ได้จ้า โดลเซจิง ไปกัน”

บิบิกับโดลเซค้นไปทั่วปราสาท วูจินออกเดินไปทางแสงสีเขียว

เขาเดินผ่านสวนว่างเปล่า สิ่งก่อสร้างที่เหมือนจะเป็นคอกม้า จากนั้นก้าวเข้าไปในตัวปราสาท

ประตูพังไปแล้ว ในตัวปราสาทมีใยแมงมุมเต็มไปหมด

รูปเหมือนของใครไม่รู้ถูกเผาจนเหลือแต่กรอบส่วนบน กลางห้องโถงใหญ่มียกพื้นเล็กๆกับเศษซากของบัลลังก์

“เชี่ย ใครมันมาสร้างปราสาทถึงบนยอดเขาวะ?”

ดันเจี้ยนสร้างจากสถานที่ที่มีอยู่จริง มันเป็นส่วนเสี้ยวที่ถูกฉีกออกมาของมิติ ปราสาทนี้มีเจ้าของก่อนที่จะถูกทราห์เน็ตบุก

วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนที่อยู่บนบัลลังก์

ตอนนั้นเอง หินในมือเขาสั่นแล้วส่องแสงออกมา หลักฐานมิติโผล่ออกมาโดยที่วูจินไม่ได้ทำอะไร มันลอยขึ้นกลางอากาศแล้วไล่ตามหินรีเทิร์นสโตนเหมือนกำลังเล่นไล่จับ จากนั้นหลักฐานมิติก็เริ่มลอยวนรอบหินเหมือนพระจันทร์หมุนรอบโลก

<ความเข้ากันได้ 72% ท่านต้องการประกาศรังไวเวิร์นเป็นเขตแดนของท่านหรือไม่?>

วูจินลูบคางพลางอ่านข้อมูลที่โผล่มาตรงหน้า

หมายความว่าเขามาเจอกับดันเจี้ยนที่เหมาะกับแล้วเหรอ?

วูจินลูบคางอย่างลังเล



สารบัญ                                         บทที่ 105




วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 103

บทที่ 103 – อาณาเขตมิติ


วูจินหยิบชิ้นส่วนมิติออกมาจากคลัง

เขาได้จากพย็องยัง 1 ชิ้น จากเมโลดี้ 1 ชิ้น และตอนนี้ได้อีกชิ้น รวม 3 ชิ้น

วิ้ง

พลอยขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นไปพลางส่งเสียงสะท้อนใส่กัน

มันหมุนแล้วรวมกันเป็นชิ้นเดียว จากนั้นค่อยๆลดระดับลงมา วูจินคว้าเอาไว้แล้วแสงสว่างจ้าก็หายไป

แสงสีม่วงสั่นเหมือนเป็นวงน้ำภายในตัวพลอย แสงนั้นแกว่งเหมือนจะหลุดออกมาจากตัวพลอยให้ได้ มองแล้วนึกถึงแสงที่ถูกกักในขวดแก้ว

“อืม”

วูจินอ่านรายละเอียดของพลอย

<หลักฐานมิติ>

ท่านสามารถครอบครองส่วนหนึ่งของมิติที่ฉีกขาด

“ท่าทางจะไม่ใช่ที่นี่”

ถ้าวูจินอยากได้ส่วนขาดของมิติมาเป็นอาณาเขตมิติของเขา เขาต้องหาดันเจี้ยนที่ใช่ ถ้าดันเจี้ยนเข้ากับเขาได้มันจะตอบสนองกับเขาเอง ดันเจี้ยนนี้ไม่มีการสนองตอบ อาจเป็นเพราะมันเคยเป็นของจูเลียลมาก่อน

วูจินเก็บหลักฐานมิติเข้าไปในคลัง จากนั้นกวาดตามองรอบๆ เขาอยากรู้ว่าทุ่งราบของจูเลียลมีของรางวัลเหมือนห้องทดลองของรัชโมดหรือเปล่า

“บิบิ มาหากัน”

“ได้เลย”

บิบิวิ่งเหยาะๆพลางมองหารอบๆทุ่งหญ้า วูจินก็ใช้เวทย์ค้นหาของเขาดูตรงรังของจูเลียลอย่างตั้งใจ

ตรงมุมถ้ำมีร่องรอยดินถูกขุด สีของดินต่างไปเหมือนมันกลบฝังอะไรบางอย่าง วูจินรู้สึกถึงมานามหาศาลแผ่ออกมาจากข้างใต้

วูจินลงมือขุดและเจอกองกระดูกถูกฝังเอาไว้

“หืม อะไรของมัน...”

กระดูกของมอนสเตอร์หลายตัวอยู่ในนี้ ดูเหมือนทั้งหมดจะมาจากส่วนเดียวของร่าง

กระดูกมีขนาดใหญ่ประมาณกระบอง วูจินรู้ว่านี่เป็นของขบเคี้ยวของจูเลียล

เขาเลือกหยิบกระดูกชิ้นใหญ่ที่ส่งมานาออกมามากที่สุด

<กระดูกซี่โครงที่ 3 ของมังกรแดง>

<กระดูกซี่โครงที่ 3 ของมังกรน้ำเงิน>

<กระดูกซี่โครงที่ 3 ของกอริลล่าสามสี>

วูจินเก็บไอเทมพวกนี้แล้วเดินไปหาบิบิ

“เราหาได้เท่านี้ล่ะ...”

“...”

วูจินมองของที่บิบิหาได้แล้วส่ายหน้า

“ไม่มีของที่ใช้ได้เลย”

วูจินมองปราดเดียว เขาเห็นแต่ซากมอนสเตอร์ พูดง่ายๆคือมันเป็นของกินเหลือ มีไอเทมจิปาถะบ้างแต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

“อันนั้นขนหมาหรือเปล่านะ?”

“ใช่ ออกกันก่อนเถอะ”

“เข้าใจแล้ว เจ้านาย ขอเราใช้ร่างนี้ได้ไหม?”

“เอ่อ...”

วูจินมองบิบิ

เธอเป็นปีศาจ แต่รูปร่างภายนอกไม่ต่างจากเด็ก 10 ขวบ

“อยู่กับร่างแมวไปก่อนจนกว่าจะได้ร่างจริงคืนมา”

“ฮิๆ ก็ได้”

บิบิเปลี่ยนเป็นร่างแมวแล้วหายเข้าไปในห้องรออัญเชิญ อัศวินมรณะก็กลับไปเช่นกัน วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนที่อยู่ข้างมิติชิ้นส่วนแล้วออกจากดันเจี้ยนไป

“ลูกพี่!”

ซุงกูรอวูจินอยู่หน้าดันเจี้ยน

“ดันเจี้ยนเบรกติดต่อกันเลยครับ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อผมกลัวว่าโซลจะเป็นอะไรไป”

“เบรกที่ไหนบ้าง?”

“เกิดตลอดสาย 4 ครับ เพิ่งได้ยินจากวิทยุว่าตอนนี้เกิดดันเจี้ยนเบรกที่สถานียงซัน”

“ดูแลรอบๆให้เรียบร้อย”

“ครับ ลูกพี่ระวังตัวด้วยนะครับ”

ถนนเสียหายและมีรถเสียจอดเกะกะ วูจินคงใช้รถไปไหนไม่ได้ เขาเรียกชิงชิงออกมา

ม้าปีศาจกระโดดหลบหลีกรถไปตามถนน

มอนสเตอร์ออกอาละวาดในทุกที่ เราส์กับทหารไม่เพียงพอจัดการกับพวกมัน พลเมืองถูกมอนสเตอร์ไล่ล่ากลายเป็นภาพชินตา

“ไปฆ่าพวกมันซะ”

[รับบัญชา]

วูจินควบม้าปีศาจไปตามถนน เขาสั่งอัศวินมรณะทุกครั้งที่เห็นมอนสเตอร์

“ดันเจี้ยนช็อกเพิ่งผ่านไปแค่ 5 ปี แล้วทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อีก?”

เหตุการณ์ดันเจี้ยนระเบิดเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้วเท่านั้น ประชากรครึ่งหนึ่งของเมืองโซลถูกฆ่า

พวกเขาโฆษณาความสำเร็จของธุรกิจดันเจี้ยนและโซลเป็นที่ๆปลอดภัย แทนที่จะเตรียมพร้อมกับการเกิดดันเจี้ยนเบรกในอนาคต...

ครั้งแรกถือเป็นอุบัติเหตุ แต่พอครั้งที่สองมันคือความผิดพลาดของทุกฝ่าย

อย่างน้อยก็ไม่ควรสร้างเขตพักอาศัยใกล้กับดันเจี้ยน

“ชิ ไปฆ่าพวกมันด้านโน้น ถ้าคนโจมตีพวกนายก็กลับห้องอัญเชิญไป”

[ตามแต่ท่านจ้าวบัญชา!]

อัศวินมรณะกระจายกำลังไปล่าพวกมอนสเตอร์ รูปร่างพวกมันไม่ต่างจากมอนสเตอร์พวกอันเดดนัก ดังนั้นเราส์อาจเข้าใจผิดโจมตีใส่ได้ เพราะอย่างนี้พวกมันจึงถูกสั่งให้กลับห้องอัญเชิญทันทีถ้าถูกโจมตี

สถานียงซันอยู่ในสภาพโกลาหลอย่างแท้จริงเมื่อวูจินมาถึง มอนสเตอร์หลายขนาดเรียงเต็มท้องถนนเหมือนมันหลุดออกมาจากหลายทางเข้าสถานี

“ถ้าฉันมีเจนิสก็ดีสิ...”

ในบรรดากองทัพผู้ไม่ตาย เจนิสแข็งแกร่งที่สุดในด้านพลังทำลาย วูจินอดเสียดายไม่ได้เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ โชคยังดีที่เลเวลเขาขึ้นเร็ว วันที่เขาจะได้เจอกับเจนิสอยู่อีกไม่ไกล

“โดลเซ ไป”

วิ้ง

ดันเจี้ยนเพิ่งระเบิดได้ไม่นาน บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยพวกมอนสเตอร์

ยานพาหนะที่อยู่ใกล้ๆรวมตัวกันกลายเป็นโกเลมโลหะร่างใหญ่ มันไม่มีแรงยิงเหมือนจรวดหรือปืนกล แต่ร่างโลหะของมันเองก็เพียงพอจะทุบมอนสเตอร์แหลก

ถ้าวูจินเข้าไปสู้ด้วย การล่ามอนสเตอร์ก็จะเร็วขึ้น แต่มันจะไม่จบไม่สิ้น เราไม่วิดน้ำรั่วออกแต่จะหารูรั่วแล้วปิดมันแทน

“ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่ถ้าจับมันได้...”

ถ้าจับตัวการได้เขาจะรู้สาเหตุและวิธีทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรก

วูจินขี่ชิงชิงไปทางเหนือ

“เวร”

มอนสเตอร์กำลังหลั่งไหลออกมาจากดันเจี้ยนที่ระเบิดพอดี วูจินเรียกหอกกระดูกสร้างเป็นกำแพงใกล้ทางเข้าสถานีกักพวกมอนสเตอร์ไว้

เจอกับมอนสเตอร์ที่อาละวาดกำแพงกระดูกคงกักพวกมันไว้ได้ไม่นาน แต่มันช่วยยื้อเวลาให้คนอพยพหนี

“ที่นั่นจะเป็นที่ต่อไปเหรอ?”

วูจินมองไปที่สถานีโซล

เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมดันเจี้ยนที่ถูกพิชิตไปแล้วถึงระเบิดอีก วูจินเรียกอัศวินมรณะที่กลับห้องอัญเชิญไปแล้วหลังเสร็จงานออกมาใหม่ เขาส่งพวกมันไปหามอนสเตอร์ที่กำลังจะหลุดออกมาจากคุกกระดูก

วูจินเดาว่าการระเบิดครั้งต่อไปจะเป็นที่ไหน ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้ามาที่สถานีโซล

‘ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น’

นี่ต้องไม่ใช่เหตุปกติ ที่อื่นไม่เป็นไรแต่ที่โซล เกาหลีกำลังวุ่นวาย และการระเบิดก็เกิดขึ้นเป็นทอดๆแทนที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน

‘ใครบางคนจงใจสร้างดันเจี้ยนเบรกขึ้นมา’

นับจาก 5 ปีหลังเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่ดันเจี้ยนที่ถูกพิชิตไปแล้วระเบิด

ตลอดเวลาที่ว่านี้ มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม?

‘รัชโมด แล้วก็จูเลียล’

แม่ทัพของทราห์เน็ต

พวกมันเริ่มเผยตัว

แม้จะเป็นแค่แม่ทัพแท่น 1 แท่น 2 การที่พวกมันโผล่มาที่โลกเป็นเรื่องสำคัญ ไม่นานแท่น 3 ก็จะโผล่มา และระดับมานาบนโลกก็จะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิมอีกมาก แม่ทัพที่ครอบครองแท่นสูงกว่ากำลังมา

‘มีคนควบคุมเรื่องนี้’

เพื่อป้องกันเรื่องนี้ไม่ให้คืบหน้า วูจินต้องรู้แบบแผนที่ทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ การไม่รู้ทำให้เขาหงุดหงิด

ถ้าสาเหตุมาจากมิติอื่น การระเบิดจะไม่เกิดติดต่อกันไปตามถนนสายหนึ่ง นอกจากว่าแม่ทัพตนไหนจะมีงานอดิเรกชอบดูแผนที่รถไฟใต้ดิน วูจินจึงเชื่อว่าคนกดสวิทช์ดันเจี้ยนเบรกอยู่ที่โลก

มีคนกำลังเดินไปตามทางรถไฟใต้ดิน

วูจินรออยู่นาน แต่ไม่มีทางออกสถานีโซลทางไหนระเบิด เขาส่งพลังไปที่ประสาทสัมผัสมากกว่าเดิม

‘หรือมันต้องใช้เวลา?’

ถ้าดูจากรูปแบบของการระเบิด เป้าหมายต่อไปคือสถานีโซล แต่มันยังไม่เกิด หรือวิธีการทำให้เกิดดันเจี้ยนระเบิดต้องใช้เวลามาก?

วูจินรออีก 30 นาที แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

‘ฉันแน่ใจ’

สิ่งเดียวที่เปลี่ยนคือวูจินมาถึงสถานีโซลก่อนเวลา

ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าดันเจี้ยนเบรกเกิดโดยฝีมือใครบางคน และคนร้ายเห็นวูจินจึงหยุด ถ้าคนร้ายรู้ตัวว่าวูจินรอเขาอยู่ที่นี่ต้องอ้อมไปยังดันเจี้ยนอื่น

วูจินขยายประสาทรับรู้ออกไป อัศวินมรณะกับเราส์ที่จัดการกับมอนสเตอร์ระลอกก่อนหน้าเดินมาหาวูจิน

“คุณคังวูจิน”

“...?”

“ผมเป็นรองประธานกิลด์ KH ลีมุงจินครับ ได้ยินเรื่องของคุณมามาก”

“ผมเป็นประธานกิลด์เจาส์ โอเทกยูครับ เป็นเกียรติที่ได้เจอคนที่ผมเคยเห็นแต่ในทีวี”

“ผมชื่อคิมชุลจิน อยู่กิลด์เส้นทางครับ ยินดีที่ได้รู้จัก...”

การต่อสู้เพิ่งจบไป มอนสเตอร์หลังจากถูกขังไว้ก็หนีไปไหนไม่ได้ อัศวินมรณะกับเราส์กวาดล้างมอนสเตอร์จนหมด แต่...

หลังจากเก็บกวาดพวกมอนสเตอร์ เราส์เห็นวูจินและเข้ามาทักทาย

หลายคนมองวูจินอย่างอิจฉา บางคนมองเขาเหมือนมองดารา สายตาเต็มไปด้วยความทึ่งและสงสัย

พวกเขารู้จักวูจิน แต่วูจินไม่รู้จักใครเลย เขาไม่ใช่ดาราที่ต้องใส่ใจเรื่องความรู้สึกของแฟนๆ...

“เราไปจับมอนสเตอร์ต่อดีไหม?”

“เราส์คนอื่นน่าจะย้ายไปทางอื่นแล้ว”

ทีมเราส์ของหน่วยป้องกันเมืองหลวงกับเราส์จากหลายๆกิลด์ถูกพาเข้ามาในแถบที่เกิดดันเจี้ยนระเบิด สถานีซาดางเป็นที่แรกที่ระเบิดจึงมีผู้เสียหายมากที่สุด

ที่อื่นๆพอจะคาดการณ์ได้ว่าสถานีไหนจะระเบิด ดังนั้นพลเมืองด้านเหนือแม่น้ำฮันจึงถูกอพยพออกไป
ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายน้อยมาก และเราส์ถูกเรียกเข้ามาร่วมล่ามอนสเตอร์ ทุกอย่างจึงแก้ไขได้รวดเร็ว

“ขอถ่ายรูปคู่ได้ไหมครับ?”

“ถ้าอยากเอาไปใช้เป็นรูปถ่ายงานศพของนายก็ได้”

“...”

เราส์ทุกคนหุบปากเมื่อได้ยินคำพูดห้วนๆของวูจิน วูจินมองไปรอบๆแล้วขมวดคิ้ว

มีนักเวทย์หญิงอายุราว 20 ปี ถือไม้เท้าอันเล็กประดับคริสตัลเม็ดหนึ่ง

วูจินมองเธอ เมื่อสบตากัน เธอเบิกตากว้างเหมือนตกใจ เธอทำเหมือนอยู่ต่อหน้ากล้อง มองคนรอบๆเพื่อยืนยันว่าวูจินกำลังมองเธออยู่

วูจินขมวดคิ้ว เดินไปทางผู้หญิงคนนั้น

“ท..ทำไม?”

ผู้หญิงคนนั้นตกใจถอยไปข้างหลัง

“อยู่เฉยๆดีกว่านะ”

“...”

ผู้หญิงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เหมือนเธอถูกดวงตาของวูจินดูดเข้าไป ดวงตาของวูจินเหมือนกดดันสัตว์ป่า ขนาดตอนเผชิญหน้ากับโอเกอร์เธอยังไม่ยืนแข็งที่อแบบนี้

วูจินเดินไปถึงตัวผู้หญิงแล้วต่อยหน้า

เธอนึกไม่ถึงว่าจะถูกต่อยจึงล้มหงายหลัง คนรอบๆช็อกไป พวกเขารู้ว่าวูจินป่าเถื่อนแต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้...

ทุกคนมองหน้ากันเหมือนจะถามว่าควรห้ามไหม ขณะกำลังลังเลอยู่นั้น ภาพประหลาดก็ปรากฎต่อหน้า

ร่างของผู้หญิงสั่นพร่า

วูจินใช้ปลายไม้เท้าเสยผมของผู้หญิงขึ้น ขอบหมวกฮูดถูกปลายไม้เท้าเกี่ยวไปข้างหลัง

เมื่อฮูดถูกดึงออกก็เผยให้เห็นผ้าคลุมใส ไม่มีผู้หญิงอีกต่อไปแต่มีลีซังโฮที่ปลายจมูกแดงก่ำมาแทนที่

“แกรู้ได้ยังไง?”

ลีซังโฮถาม เขาจ่ายไปไม่น้อยสำหรับผ้าคลุมมายานี้

“ฉันมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่”

วูจินหัวเราะพลางเรียกไม้เท้าเหล็กออกมา




สารบัญ                                             บทที่ 104






วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 102

บทที่ 102 – ทุ่งราบของจูเลียล (2)


วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จมองหาไอเทมที่เหมาะกับสถานการณ์นี้ ร้านมีหนังสือทักษะ และยังขายหนังสือประเภทอื่นๆด้วย

[การดูแลอาณาเขตมิติ]

“อันนี้น่าจะได้...”

มันเป็นคู่มือการจัดการอาณาเขตมิติ ราคา 2,000 แต้มไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือมันถูกล็อกเอาไว้ไม่ให้เขาอ่าน

<ยอมให้เกรดที่ถูกต้องเข้าไปอ่านได้เท่านั้น>

วูจินเปิดเมนูสถานะเพื่อตรวจเมนูเกรดของตัวเอง เขาไม่สนใจมันนักเพราะมันเหมือนเดิม ว่างเปล่าไม่มีตัวเลขหรือสัญลักษณ์อะไรเลย

“ช่างเถอะ”

ตอนนี้ทำอะไรกับมันไม่ได้ ถึงเขากังวลไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร

ถ้าเขามีคู่มือก็ดี แต่ถึงไม่มีก็ไม่ทำให้เขาหยุดไปต่อ

วูจินเลือกข้อ ‘พิชิต’

<คุณเลือกโหมดพิชิต>

<ถ้าเคลียร์โหมดนี้ได้ คุณจะได้รับค่าความสำเร็จ>

“หืม ไม่ค่อยเหมือนกันแฮะ”

วูจินรู้ว่าจะมีอะไรต่อไปเพราะเคยเข้าดันเจี้ยนของรัชโมดมาก่อนแล้ว เขาคิดว่าโหมดพิชิตเหมือนการบุกเข้าไปปล้นบ้านคนอื่น นึกไม่ถึงว่ามีรางวัลอย่างดีให้ด้วย...

“นี่เป็นฝีมือทราห์เน็ตเหรอ?”

กฎที่ควบคุมเจ้านั่นมีส่วนที่ไม่รู้มากกว่าส่วนที่ถูกรู้

อย่างหนึ่งที่วูจินรู้แน่คือเขาที่เคยเหมือนคนลอยคว้างกลางทะเลตอนนี้ได้มาเจอเข็มทิศแล้ว

ดวงตาวูจินเป็นประกาย

เมื่อผ่านอุโมงค์สีแดงที่เพิ่งเกิดวูจินก็ไปโผล่ตรงทุ่งราบโล่งแห่งหนึ่ง

ลมเย็นพัดผ่าน หมาป่าเทาเดินไปมา ลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่จากที่ไกลๆดึงดูดสายตาของวูจิน

จูเลียลอยู่ที่นั่น เขารู้สึกอย่างนั้น

“ฮื่อ”

หมาป่าเทาเห็นวูจินแล้วก็ตีวงล้อมเข้ามาทางเขา พื้นที่นี้ไม่มีอะไรเลยเป็นเพียงที่ราบธรรมดา หมาป่าคุ้นชินกับการต่อสู้เป็นฝูง ดังนั้นนี่จึงเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะที่สุดสำหรับพวกมันฆ่าผู้บุกรุก

โชคร้าย ผู้บุกรุกที่ว่าก็ชอบสู้ในที่ราบโล่งเหมือนกัน

“เปิดทางให้ฉัน”

ตามคำเรียกของวูจิน ควันสีดำรอบตัวเขาบีบตัวเป็นเหล่าอัศวินมรณะ พวกมันเรียกม้าปีศาจแล้วพุ่งใส่ฝูงหมาป่า

อัศวินมรณะสามารถเรียกทหารโครงกระดูกออกมาเอง หน้าที่ของวูจินมีเพียงเปลี่ยนทหารโครงกระดูกที่แตกหักออก หรือเพิ่มจำนวนทหารโครงกระดูกเข้าไปเมื่ออัศวินมรณะเพิ่มเลเวล

“ไปกันเถอะ”

วูจินเรียกชิงชิงมาขี่ บิบิถูกเรียกออกมา เธอไปนั่งบนหัวของชิงชิง โดลเซในร่างหัวใจโกเลมลอยวนรอบๆหัววูจิน

กองทัพผู้ไม่ตายข้ามผ่านทุ่งราบไป

***

ลำแสงสีม่วงสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ชั้นบรรยากาศข้างบนเป็นสีดำสนิทจนไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าท้องฟ้าหรือไม่ ลำแสงสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นยอด

แสงมาจากถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง

วูจินเหยียดยิ้มเมื่อยืนตรงหน้าปากถ้ำ

“หนีมาที่นี่เหรอ?”

ปากถ้ำใหญ่แค่พอให้จูเลียลเข้าไปได้ แคบเกินไปสำหรับให้กองทัพผู้ไม่ตายเข้าไปทั้งหมด วูจินลงจากหลังม้าปีศาจของเขาและอัศวินมรณะตามเขามา

ถ้ำไม่ลึกนัก ไม่นานพวกเขาก็โผล่มาตรงที่กว้างขนาดเท่าสนามฟุตบอล ที่พิเศษคือที่นี่เพดานเปิดกว้างและมีพลอยสีม่วงขนาดใหญ่ส่องแสงสีม่วงขึ้นฟ้า

จูเลียลพักตรงหน้าพลอยนั้น

“นึกว่านายจะหนีอีก ยอมแพ้แล้วเหรอ?”

[ข้ายอมแพ้]

“นึกไม่ถึงเลยแฮะ”

[ข้าไม่มีเหตุผลต้องสู้ในการต่อสู้ที่ยากลำบาก]

ผลลัพธ์ไม่ดีแน่ จูเลียลถอนหายใจ

[ข้าพลาดที่รีบร้อนสร้างประตูมาสู่โลก]

ดวงตาของวูจินเป็นประกายวาบเมื่อได้ยินคำว่าประตู เขานึกขึ้นได้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์วางแผนจะครอบครองอาณาเขตมิติสักแห่งและส่งทีมสำรวจไปที่อัลเฟนเมื่อได้ประตูมา

“ต่อไปฉันจะแวะไปเล่นกับพวกนายบ่อยๆ”

[พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า?]

“...”

[เจ้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ]

จูเลียลส่ายหน้าเมื่อเห็นวูจินเอียงคออย่างสงสัย

[เมื่อเจ้าพิชิตดันเจี้ยนได้แล้ว ประตูจะหายไป ข้าไม่ต้องเจอหน้าเจ้าอีก]

เมื่อประตูที่มันใช้เปิดมาสู่โลกหายไปจากอาณาเขตมิติของมัน มันก็ไม่มีธุระต้องมาที่โลกนอกจากมันอยากจะเปิดประตูใหม่ มันไม่มีทางได้เห็นใบหน้าน่ากลัวของผู้ไม่ตายอีกต่อไป

ควรจะถือว่ามันโชคดีหรือไม่ที่คังวูจินเลือกโหมดพิชิต?

ต่อให้มันตาย จูเลียลก็เกิดใหม่ได้

[กล่าวลากันตรงนี้เถอะ]

“นายจะยอมอยู่เฉยๆให้ฉันฆ่าเหรอ?”

[นั่นเป็นไปไม่ได้]

จูเลียลลุกขึ้น ตอนอยู่ข้างนอกมันตัวใหญ่กว่านี้หรือว่าวูจินดูผิดไปนะ?

[เจ้าทำพลาดไปอย่างหนึ่ง]

พืชพรรณที่งอกระเกะระกะรอบๆทุ่งราบปล่อยพลังงานสีเขียวออกมาและถูกดูดเข้าไปในร่างของจูเลียล

หลังจากได้รับพรจากทุ่งราบ ตัวของจูเลียลกลายเป็นเล็กลงและเล็กลงเรื่อยๆ

ที่จริงไม่ใช่ว่ามันตัวเล็กลง มันถูกบีบ

ไอน้ำเริ่มลอยออกมาจากร่างของจูเลียล

“ฮ่า”

พ่นลมหายใจรุนแรงเสร็จ จูเลียลลุกขึ้นยืนสองขา

“มนุษย์หมาป่าเรอะ?”

“ข้ายืมรูปร่างภายนอกของพวกมันมาเท่านั้น ฮื่อ”

วูจินเอียงคอ

“หมาบ้า?”

“ฮื่อ ข้าอยากฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆนัก”

“นายไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก”

“ฮื่อ จริงสิ ถ้าเจ้าตายแม้แต่ครั้งเดียวก็เป็นการสิ้นสุดสำหรับเจ้า”

“เลิกเห่าเป็นหมาได้แล้ว”

หมา หมา ไอ้เวรนี่ทำกับมันเหมือนเป็นหมาตัวหนึ่งไม่เลิก

ดวงตาของจูเลียลเปลี่ยนเป็นแสงสีแดง

“ข้าจะฆ่าเจ้า”

จูเลียลหัวเราะเสียงเย็น มันเห็นแมวที่อยู่กับวูจินวิ่งมา

สัตว์เลี้ยงของมันหรือ?

แมวมีดวงตาน่ารักจับใจ แต่จูเลียลไม่ชอบมันเพราะเจ้าของคือผู้ไม่ตาย

“เมี้ยว”

จูเลียลเตะแมวไปทางอื่น

จูเลียลถีบพื้น พริบตาเดียวมันพุ่งมาทางวูจิน อุ้งเท้าหน้าของมันเปลี่ยนเป็นมือ เล็บคมหนาเหมือนดาบ

กึง!

ขวานของคิบะกันกรงเล็บของจูเลียลไว้

“แมลงน่ารำคาญ”

กึง กึง!

คิบะกันกรงเล็บของจูเลียลติดต่อกันแต่แล้วก็ถูกจูเลียลถีบจนสไลด์ไปด้านหลังด้วยพละกำลังที่เหนือกว่ามาก

คิบะคำรามเสียงต่ำ ดูเหมือนมันรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่ประลองกำลังแพ้

จูเลียลไม่สนใจพวกอสูรรับใช้ มุ่งเป้าแต่ที่วูจิน

ร่างกายที่เล็กลงหมายถึงมันได้ความเร็วรุนแรง และกำลังของมันก็ไม่ได้ลดลง ดีเยี่ยม

[เจ้าผ่านไปไม่ได้!]

ค้อนของแรมสันกันการโจมตีของจูเลียล

ค้อนดูดซับแรงปะทะแล้วสะท้อนคืนจูเลียล

ไม่ว่าพลังจะรุนแรงขนาดไหน ถ้าไม่ถูกเป้าก็ไม่มีประโยชน์

จูเลียลหลบการโจมตีทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว มันเล็งเล็บคมยาวไปที่หัวกะโหลกของแรมสัน

แรมสันก้มหัวหลบอย่างรวดเร็ว แต่หมวกเกราะก็ถูกปาดไปครึ่งหนึ่ง

[บังอาจ!]

แรมสันเข้ากอดจูเลียลด้วยความโกรธ อัศวินมรณะอีกด้านฟันดาบใหญ่ลงมาที่คอจูเลียล

ไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นหนังสัตว์ ดาบเด้งออกจากคอจูเลียลเสียงดังกึง มันบิดตัวหนี วิ่งไปทางวูจินโดยทิ้งอัศวินมรณะไว้ข้างหลัง

‘ฆ่ามัน’

มันไม่มีเวลาพัวพันกับอสูรของผู้ไม่ตาย

นี่คือวิธีสู้กับเนโครแมนเซอร์

อสูรไม่ว่าจะถูกฆ่าไปกี่ครั้งก็ถูกเรียกมาใหม่ได้ แต่ถ้าเนโครแมนเซอร์ตาย พวกอสูรก็จะกลายเป็นกลุ่มมอนสเตอร์ไร้ระบบระเบียบ

[เจ้าห้ามผ่าน!]

เนโครแมนเซอร์กับอสูรของมันก็เข้าใจเรื่องนี้ดี พวกอสูรจึงปกป้องอยู่รอบๆผู้ไม่ตาย จูเลียลใช้ความเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเพื่อไปตรงหน้าศัตรู

‘ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก’

พรจากทุ่งราบมีผลแค่ช่วงสั้นๆ

น่าเสียดาย แต่มันก็มอบพลังมหาศาลแก่จูเลียลเป็นการชดเชย

ผู้ไม่ตายเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของจูเลียลเอง โอกาสจะได้ฆ่ามันมีไม่บ่อยนัก

‘ถ้าเพียงแต่ข้าได้สู้กับมันตรงๆ’

ถ้าสลัดพวกอสูรน่ารำคาญพวกนี้หลุดได้ มันจะสามารถฆ่าผู้ไม่ตายในการโจมตีครั้งเดียว ขอแค่ต้องไปให้ถึงตรงนั้น จูเลียลคิดทบทวนเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งมานานปี วิธีต่อสู้กับเนโครแมนเซอร์

มันแพ้เพราะเสียเปรียบเรื่องจำนวนทุกครั้ง มันต้องการพลังที่เหนือกว่าเหล่าอสูรของเนโครแมนเซอร์มาก

การสนับสนุนจากอาณาเขตและพรจากทุ่งราบมอบพลังนั้นให้มัน

“ตาย!”

จูเลียลมาถึงตรงหน้าวูจินแล้วสะบัดกรงเล็บ

ถ้ามีเวลา มันอยากฆ่าอสูรรับใช้ให้หมดแล้วค่อยๆฆ่าผู้ไม่ตายช้าๆ แต่พรจากทุ่งราบที่บีบร่างมันมีเวลาจำกัดและเวลาก็ใกล้หมดเต็มทีแล้ว

อย่างมากก็อีก 10 วินาที

แต่วินาทีเดียวก็เพียงพอสำหรับฆ่าไอ้เวรนี่

แก๊ง!

วูจินยกไม้เท้าเหล็กกันกรงเล็บของจูเลียล วูจินกระโดดถอยหลังเหมือนเสียเปรียบด้านกำลัง แต่ยังเร็วพอจะป้องกันการโจมตี...

8 วินาที

กึง!

ก่อนกรงเล็บของจูเลียลจะได้ผ่าหัวของผู้ไม่ตายที่ยืนชะงักอยู่ อัศวินมรณะตนหนึ่งก็เข้ามารับไว้แทน
ทั้งอาวุธและกรงเล็บฝังเข้าไปในตัวอัศวินมรณะ มันถูกผ่าครึ่ง ชุดเกราะของมันร่วงลงเป็นกอง

6 วินาที

ยังพอมีเวลา สีหน้าวุ่นวายใจของผู้ไม่ตายบอกทุกอย่าง จูเลียลฆ่ามันได้

ไม้เท้าของมันเปลี่ยนเป็นดาบใหญ่ ป้องกันได้อีกครั้ง แต่จูเลียลใช้แรงที่เหนือกว่ามากปัดดาบใหญ่ลอยขึ้นกลางอากาศ วูจินต้องปล่อยไปเพื่อไม่ให้มือฉีกเปล่าๆ

3 วินาที

มันชนะ

กรงเล็บจูเลียลเสียบทะลุหัวใจของคังวูจินที่ไร้อาวุธ

ฆ่ามันได้แล้ว

ผู้ไม่ตาย...

“ข้าทำได้แล้ว”

สิ่งที่แม่ทัพในแท่นสูงกว่าทำไม่ได้ แต่มันที่ครองเพียงแท่นสองแท่นทำได้

ช่วงที่คังวูจินล้มลง...เขาอดหัวเราะไม่ได้

“โง่”

“เป็นไปได้ยังไง...”

“ต่อให้แสนรู้แค่ไหนแต่หมาก็คือหมา”

“...”

ภาพรอบตัวจูเลียลหมุนติ้ว

ตัวมันกำลังนอนหงายมองวูจินที่อยู่เหนือมัน

“เป็นไปได้ยังไง...”

“ปีศาจน้อยของฉันนิสัยเสียไปหน่อย”

“...”

จูเลียลมองไปทางแมว

แมวเปลี่ยนร่างกลายเป็นปีศาจตัวน้อย

อา ตอนนี้มันจำได้แล้ว นั่นคือแม่มดมายา

“ภาพลวงตา...”

“นายเต้นเก่งดีนะ”

“...”

จูเลียลมองรอบตัว เหล่าอัศวินมรณะยังยืนอยู่ที่เดิม มองลงมาที่มันด้วยสีหน้าว่างเปล่า

จูเลียลตื่นเต้นไปเอง กระโดดโลดเต้นไปเองคนเดียว...

มันไม่ต้องมองรอยแผลเจ็บหนึบที่คอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันล้มทั้งหอกแทงใส่ตัวมัน มันรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่อก

“โอกาสหน้าเจอกันใหม่”

“คึๆ ข้าไม่มีเหตุผลให้ต้องเจอเจ้าอีก”

มันยังต้องใช้เวลาอีกนานในความมืดและว่างเปล่าของความตาย แต่สุดท้ายมันจะคืนชีพขึ้นมาใหม่

จูเลียลจะไม่เปิดประตูมาที่โลกอีกแล้ว 

“ใครจะรู้”

วูจินดันหอกลึกเข้าไปอีก ตัดลมหายใจของจูเลียลทันที แสงสีเทาล้อมรอบศพของมันแล้วสลายไปในสายลม

“เฮ้อ เกือบไป”

“ฮิๆ เราทำได้ดีใช่ไหม?”

“เธอทำได้ดี”

“เจ้านั่นหลงกลเดิมๆทุกทีเลยเมี้ยว”

วูจินยิ้มแล้วลูบหัวบิบิ

ความเร็วของจูเลียลที่ได้รับพรจากทุ่งราบเป็นภัยคุกคาม ถ้ามันไม่ตกอยู่ใต้มนตร์ลวงตาและตั้งใจจู่โจมเขาจริงๆ วูจินต้องแย่แน่

อาชีพที่สองของวูจินคือวอริเออร์ แต่เขาเอาแต้มโบนัสทั้งหมดไปเพิ่มค่าบงการกับเวทย์ ถึงแม้ว่าเขาจะกินหินเพิ่มค่าสถานะให้ตัวเอง ร่างกายเขาก็แค่แข็งแกร่งกว่าเราส์คนอื่น ค่าสถานะด้านกายภาพของเขาไม่สูงพอจะสู้กับแม่ทัพของทราห์เน็ต

วูจินแตะพลอยม่วงที่กำลังสร้างลำแสงกลางรังของจูเลียล

เมื่อเขาหยิบพลอยขึ้นมา ลำแสงก็ลดเข้ามาในพลอยในมือของวูจิน

<ท่านได้รับชิ้นส่วนมิติ>

วูจินยิ้ม

เขามีชิ้นส่วนสำหรับเอาอาณาเขตมิติครบ 3 อันแล้ว



สารบัญ                           บทที่ 103