บทที่ 97 – หวาดกลัว (2)
ยังไม่มีการประกาศสิ้นสุดสงคราม กองทหารไม่จำเป็นต้องรักษาความสงบด้วยซ้ำเพราะพวกฝ่ายต่อต้านที่อยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มกบฏยึดครองหายไปทั้งหมด แต่รัฐบาลอัฟกานิสถาน,รัฐบาลสหรัฐและสหประชาชาติจำเป็นต้องคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ ระหว่างการประชุม สหประชาชาติก็ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพออกมา
กองทัพสหรัฐที่ประจำในอัฟกานิสถานถูกย้ายออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเขาคาดว่าอาจจะมีการก่อการร้ายเล็กน้อยจากกลุ่มกบฏที่เหลืออยู่ไม่มาก แต่พวกทหารรู้ว่าพวกเขายังต้องอยู่ที่นี่อีกไม่นานจึงทำหน้าที่อย่างขันแข็งกว่าเดิมเป็นสองเท่า
ทหารที่เหลือจัดปาร์ตี้เล็กๆต้อนรับวีรบุรุษ
อาหารพร้อม เหล้ามี เหล่าทหารเต้นรำและพูดคุยพลางหัวเราะ
วูจินนั่งตรงมุมหนึ่งของบาร์ ดื่มค็อกเทลที่ชายผิวดำผสมให้ เขาไม่ต้องการได้ยินตำนานวีรบุรุษของตัวเอง และไม่สนใจจะฟังคนเมาคุย
ทุกคนดีใจที่สงครามจบลง พวกเขาตื่นเต้นที่จะได้กลับประเทศกลับบ้านไปหาครอบครัว ขณะวูจินดื่มเงียบๆ คำพูดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็วนเวียนอยู่ในหัว
‘ขออภัย ผู้น้อยในฐานะตัวแทนชาวอัลเฟนอยากขอโทษท่าน’
สตรีศักดิ์สิทธิ์ขอโทษอย่างจริงใจ เธอไม่เคยมองเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เธอมองเขาเป็นเนโครแมนเซอร์ผู้ลงมือสังหาร... เพราะอย่างนี้เธอจึงกลัวเขา อยู่ห่างจากเขา ไม่ยอมรับเขา
พลังของวูจินยิ่งใหญ่จนเธอไม่อาจมองเขาเป็นมนุษย์ เธอมองเขาในฐานะเดียวกับเทพ และเขาก็เคยเจอกับเทพมาแล้วจริงๆ
อาจเป็นเพราะเมโลดี้เป็นชาวอัลเฟน การเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาเป็นเรื่องยาก เหมือนพยายามขัดขืนกฎธรรมชาติ
‘ท่านก็เป็นมนุษย์เช่นกัน... ผู้น้อยไม่เคยเข้าใจเลย ไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆ’
เมโลดี้ร้องไห้ เธอเสียใจจริงๆ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเธอมองเขาเป็นคังวูจินแทนผู้ไม่ตาย? ถ้าไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะราชาของผู้ตายหรือเจ้าแห่งอลันดาล? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์คังวูจินอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่น?
เธอไม่ควรมองเขาในฐานะผู้ไม่ตายหรือเทพ เธอควรมองเขาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน
ถ้าเมโลดี้ไม่ได้มาที่โลก เธอคงไม่รู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต
เธอคงไม่ได้รู้ว่าผู้ไม่ตายเป็นคนแบบไหน เธอคงไม่ได้เห็นว่าบ้านเกิดของเขาเป็นแบบไหน
‘ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย พวกเรากำลังเดือดร้อน ได้โปรดช่วยอัลเฟนด้วย’
วูจินนึกถึงคำพูดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่คุกเข่าขอร้อง
เขาเคยแต่เจอกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ในสนามรบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เคยแต่มองเขาด้วยสายตาหวาดกลัวกำลังขอร้องเขาอย่างจริงใจ
วูจินดื่มเหล้าที่เหลือ
“โรเจอร์ส”
“ว่าไงครับ”
พันเอกโรเจอร์สนั่งข้างวูจิน ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาไม่คิดเลยว่าวูจินจะเก่งกาจขนาดนี้ ที่โรเจอร์สประหลาดใจที่สุดคือความประสาทแข็งของวูจิน
“ตอนนี้ผมตามนาสเซอร์ สัตจิไว้ดังนั้นผมว่าจะไปเก็บข้อมูล”
เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว มันเป็นคนกลางน่าจะได้ไปดูบัญชีของตัวเองหลายครั้งแล้ว
“ถ้าผมบอกที่อยู่มันให้คุณ ผมอยากให้ทีม A เป็นคนไปจับมัน”
“อืม คุณไม่อยากไปเองเหรอ?”
วูจินส่ายหน้า เขามีอย่างอื่นต้องทำ
“ผมจะไปตามหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายคนอื่นอีก”
“โฮ่”
ความสามารถของวูจินเหมาะสำหรับการเฝ้าดูมาก
เขาตามติดหัวหน้ากลุ่มกบฏ คาริม เหมือนวิญญาณ สู้กับมันจนถึงที่สุด ถ้ามันไม่ห่วงเรื่องที่ซ่อนตัวถูกเปิดเผยมันคงไม่ออกมา มันคงเลือกซ่อนตัวและทำงานก่อการร้ายไปอย่างลับๆยิ่งกว่าเดิม
“พวกมันน่าจะเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ตอนนี้อาจจะเตรียมหลบซ่อนตัว ถ้าอย่างนั้นพวกมันคงจะลดขนาดองค์กรลง เราแค่กวาดล้างพวกหัวหน้าให้หมดเถอะ”
“คุณตั้งใจต้อนพวกมันจนมุมแล้วดึงตัวสำคัญๆออกมาเหรอ?”
“อ้อ ใช่ ฆ่าทุกคนไม่ใช่ทางเลือกแน่ถ้าผมอยากจะสร้างสันติภาพให้คนบนโลก”
“...”
โรเจอร์สฟังแล้วรู้สึกเย็นวาบ วูจินคิดไม่เหมือนใครจริงๆ ถ้าในหัวเขาแปลกไปสักหน่อยมนุษย์ชาติคงเจอหายนะใหญ่ไปแล้ว
“ผมจะวางที่ติดตามไว้ที่พวกมัน พวกคุณจัดการพวกมันไปตามลำดับ”
“หืม ทำไมคุณไม่ทำเองล่ะ ทำไมให้พวกเราได้เครดิตไป?”
วูจินยิ้ม
เขาไม่สนเรื่องได้หน้าหรือใบประกาศเกียรติคุณมานานแล้ว เขาแค่อยากเชือดไก่ให้ลิงดูเพราะพวกมันมาหาเรื่อง ถ้าเขาทำเองมันจะไม่ได้ผลเต็มที่
อีกอย่าง วูจินมีเรื่องอื่นต้องทำ
“งั้นผมไปก่อน รู้ว่าพวกคุณจัดการได้”
“ผมจะเรียกทีม A ทันที”
วูจินลุกขึ้น พันเอกโรเจอรส์ก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
วูจินเดินไปทางห้องที่จัดไว้ให้เขา สตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังยืนรอเขาที่หน้าประตู วูจินเห็นเธอแล้วถอนหายใจ
“มาทำอะไรตรงนี้?”
“ผู้น้อยอยากได้คำตอบจากท่าน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมแล้วก้มหัวติดพื้น
วูจินนั่งยองๆให้อยู่ระดับสายตาของเธอ
“เฮ้”
“คะ?”
“เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าจะพยายามมองฉันเป็นคนเหมือนกัน?”
“...”
“แล้วทำไมถึงต้องคุกเข่าหงอเหมือนหมาทุกครั้งที่เจอฉัน?”
“...”
เธอจะทำอย่างไรดี? วูจินเป็นคนที่เจอกับเทพมาแล้ว
เธอเป็นมนุษย์ศรัทธาในเทพีอาเรีย ในสายตาของเธอ วูจินคือคนที่เธอต้องเคารพ ไม่มีอะไรเปลี่ยนเรื่องนี้
“ฉันจะพยายามเข้าใจคุณให้มากกว่าเดิมค่ะ คุณคังวูจิน”
ไม่ใช่ผู้ไม่ตาย เธอจะมองเขาในฐานะมนุษย์คังวูจิน
“เฮ้อ ถึงยังไงฉันก็จะไปอัลเฟนอยู่แล้ว”
“หมายความว่า...!”
ดวงตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว วูจินยักไหล่
ตอนนี้บนโลกมีดันเจี้ยนถึงแค่ 6 ดาว
ดันเจี้ยนมีระดับสูงถึง 9 ดาว
เมื่อดันเจี้ยน 9 ดาวเปิด หมายความว่าปริมาณมานาบนโลกมาถึงจุดอิ่มตัว ถึงตอนนั้นจะมีวัตถุดิบให้เขาเก็บเกี่ยว
วัตถุดิบเหล่านั้นรวมถึงวัตถุดิบหายากที่จำเป็นต้องใช้ในการทำเครื่องสวมใส่ของเขา
นอกเสียจากสะสมแต้มซื้อมันผ่านร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ เขาก็ต้องเข้าดันเจี้ยน 9 ดาวเพื่อหาวัตถุดิบเหล่านั้น ถ้าหาจากโลกไม่ได้ เขาก็ต้องไปหาที่อัลเฟน
วูจินจำเป็นต้องมีชุดเซ็ทของทราชห์ในการต่อสู้กับเหล่าแม่ทัพของทราห์เน็ต
“ฉันจะโจมตีอัลเฟน เธอมีหน้าที่ช่วยคน ฉันจะให้เธอตามไปด้วย”
“ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ก้มหัวขอบคุณซ้ำๆ เทพีของเธอพูดถูก ผู้ช่วยอัลเฟนที่อยู่บนโลกก็คือคังวูจินนี่เอง นี่คือเหตุผลที่เทพีนำทางเธอมา
“เตรียมตัวไว้แล้วกัน สองสามวันนี้ฉันยังไม่ทำอะไรก่อน”
“ค่ะ”
วูจินกลับห้องแล้วเรียกกาเกบิออกมาทันที
“เอาเงาของนายกลับมา...”
[คึๆ ข้าอยากรู้นักว่ามันเป็นใคร]
กาเกบิเรียกเงาที่วางไว้ที่นาสเซอร์ สัตจิกลับมา วูจินรู้สึกเหมือนมีบางอย่างพุ่งเข้ามาในตัว เขารับสิ่งที่นาสเซอร์ สัตจิได้เห็นได้ฟังเข้ามา
ความทรงจำของหลายๆวันโผล่ขึ้นมาในหัวรวดเดียวจนปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย วูจินขมวดคิ้วเอามือกดขมับ
“ดูท่าจะไม่ต้องไปจับมันแล้ว”
นาสเซอร์ สัตจิ เคยเปิดดูบัญชีตัวเองแล้วและวูจินเห็นชื่อสำคัญหลายชื่อที่ยังไม่ถูกจับ แต่พวกนั้นไม่สำคัญสำหรับเขา
[งานจากหัวหน้ากิลด์ฮวาราง]
“ไอ้ทุเรศนั่นเหรอ?”
วูจินขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงหัวหน้ากิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ เหมือนหนูแต่กล้าทำเรื่องแบบนี้ เมื่อนึกย้อนไป วูจินรู้ว่าลีซังโฮมีเหตุผลให้เกลียดเขาหลายอย่าง
“รอฉันกลับไปก่อนเถอะ”
วูจินหยิบกระดาษจดบนโต๊ะ เขียนที่อยู่ของนาสเซอร์ สัตจิและข้อมูลทุกอย่างลงไป
“เมโลดี้”
“ค่ะ”
เมโลดี้เปิดประตูเข้ามา วูจินยื่นกระดาษจดให้
“เอาให้พันเอกโรเจอร์สตอนเขากลับมา ในสามวันนี้อย่าให้ใครเข้ามาในห้องนี้”
“ค่ะ”
หลังจากเมโลดี้ออกไป วูจินเรียกกาเกบิออกมาใหม่
“นอนอย่างเดียวไม่ต้องทำอะไร ถ้านายออกไปวุ่นวายฉันจะต่อยจริงๆ”
“คึๆ เจ้านายไม่ต้องบอกข้าหรอก”
กาเกบิเป็นอสูรตัวเดียวที่วูจินกังวล แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้เขา วูจินสลับเงากับกาเกบิ
‘เงา 6 เงา’
เขาจะได้ร่องรอยของคน 6 คน
วูจินใช้ข้อมูลที่ได้จากคาริมเลือกคนมา 6 คน ทั้งหมดเป็นผู้นำที่หัวรุนแรงที่สุด วูจินออกไปอย่างเงาตรงไปหาพวกมัน
เมื่อวูจินจากไป กาเกบิในร่างของวูจินก็ลุกขึ้น หยิบเบียร์จากตู้เย็นมาดื่ม
“คึๆๆ”
ควบคุมศพก็ดี แต่ที่ยอดเยี่ยมกว่าคือได้ควบคุมร่างของเจ้านาย หลังดื่มเบียร์หมด กาเกบิเดินไปมารอบเตียง เขาจ้องไปที่ประตูห้อง
สตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างนอก ของเล่น
“คึๆ ตอนนี้ข้าจะทำตัวเรียบร้อยก่อน”
เขาอยากเล่นและก่อเรื่อง แต่อดใจไว้ก่อน เจ้านายของเขายังไม่แข็งแกร่ง และกาเกบิต้องเติบโตไปพร้อมเจ้านาย
กาเกบิหัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วล้มบนที่นอน
***
สถานีซาดาง สำนักงานของกิลด์อลันดาล
สมาชิกหลักรวมตัวกันที่ห้องประชุม มองหน้ากันไปมาแต่ไม่พูดอะไร ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
คนแรกที่เอ่ยปากทำลายความเงียบคือจุงมินชาน
“คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาทำได้ กรรมการฮง”
“ผมรู้ว่าเขามีทักษะพวกนั้น แต่นึกไม่ถึงว่าจะทำได้ขนาดนี้”
ฮงซุงกูถอนหายใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าวูจินใช้ทหารกับนักเวทย์โครงกระดูก รู้ด้วยว่าแต่ละตัวเทียบได้กับแรงค์ D ไม่สิ ตอนนี้ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับแรงค์ C แล้ว
แถมยังมีเป็นหมื่นตัว
“เฮ้อ... คนแบบนี้เป็นประธานของเราจริงๆสินะ”
“...”
ทุกคนมีประธานคนเดียวกัน ดังนั้นเลยเครียดพอกัน
ตอนนี้พวกเขาชินกับนักข่าวที่มาอยู่หน้าสำนักงานแล้ว ขนาดว่าถ้าพวกนักข่าวไม่อยู่พวกเขาจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดไป แต่ว่าตอนนี้มีสมาคมแปลกๆเริ่มมารวมตัวกันหน้าสำนักงาน
แล้วตำรวจก็มาคอยกันกลุ่มประหลาดเหล่านั้น ดังนั้นพื้นที่สถานีซาดางจึงมีคนเนืองแน่นเสมอ
“เอาล่ะ ที่ทำไปแล้วก็แล้วไป มาคุยกันเรื่องวิธีแก้ไขเถอะ”
อีกครั้งที่วูจินทำเรื่องใหญ่มาก เขาสังหารกองกำลังกบฏทั้งอัฟกานิสถาน
มันคือสงคราม แต่บางคนบอกว่ามันคือการเข่นฆ่า มันเป็นหัวข้อที่อ่อนไหว
คนกังวลที่เห็นพลังขนาดนี้ในตัวคนๆเดียว
เรื่องที่ทหารที่เขาควบคุมคือโครงกระดูกที่เรียกมาจากศพมนุษย์ทำให้คนยิ่งกลัวและกังวล
“อืม ลำดับแรกมาจำลองสถานการณ์กัน ประธานของเราจะทำอย่างไรถ้ามาเห็นคนประท้วงข้างนอกสำนักงาน”
มินชานถาม วูซุงฮุนยกมือขึ้น
“เชิญพูด กรรมการวู”
วูซุงฮุนขมวดคิ้ว แล้วเลียนแบบวูจิน
“ขยะพวกนี้มันอะไร? อยากโดนต่อยกันใช่ไหม?”
“ก๊าก”
ซุงกูหัวเราะลั่น ไม่นานก็กลับมาตีหน้าเครียดแล้วขอโทษ
“อ่า ขอโทษครับ แต่ว่าถ้าลูกพี่กลับมาต้องเป็นเรื่องยุ่งแน่ นิสัยลูกพี่คงไม่ปล่อยพวกข้างนอกไว้”
สีหน้ามินชานมืดครึ้ม
“เพราะอย่างนี้เราถึงต้องหาวิธีรับมือ”
เฮมินพูดอย่างเคร่งเครียด เขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกสภาจากนักข่าวที่เขาสนิทด้วย
“บรรยากาศในสภาไม่ดีเลย พวกเราปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขาไปครั้งหนึ่งเลยถูกมองไม่ดีนัก พอมารู้ว่าพวกเรามีพลังขนาดไหนยิ่งระแวงไปใหญ่”
“อะไร? พวกนั้นคิดว่าเราจะปฏิวัติเรอะ?”
วูซุงฮุนโกรธเพราะเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่ความคิดของพวกเขากับคนในสภาต่างกัน คนมีอำนาจจะระแวงเมื่อคนนอกได้อำนาจ
ถ้าไม่ได้ลงเรือลำเดียวกันก็ต้องจมเรือลำนั้น...
วูจินไม่ยอมร่วมมือ แต่การคงอยู่ของอลันดาลยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจมได้
“หลายคนในสภากำลังคุยกันว่าจะห้ามไม่ให้ท่านประธานเข้าเกาหลี”
ทุกคนฟังคำบอกของเฮมินแล้วขมวดคิ้ว
วูจินไม่ได้ทำร้ายเกาหลี ทำไมพวกเขาต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่...
“อืม มาคิดหาวิธีรับมือกันเถอะ”
ถ้าวูจินกลับมาเกาหลีทั้งแบบนี้ต้องมีปัญหาแน่
สื่อทั่วโลกชื่นชมคังวูจินในฐานะวีรบุรุษที่ช่วยโลกจากการก่อการร้าย แต่รัฐบาลเกาหลีระแวงคังวูจิน กลุ่มลัทธิก็ต่อต้านเขา
ถ้าวูจินกลับมาทั้งแบบนี้ เขาต้องระเบิดแน่
คนพวกนี้รู้จักเขาน้อยไป
กฎข้อแรกของวิจินคือตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขายึดกฎข้อนี้เหนือข้ออื่น คนบนโลกเชื่อมั่นในกฎของตัวเองเกินไป
พวกเขาเหมือนเต้นตรงหน้าสิงโตโดยไม่รู้เลยว่ารั้วมันทรุดไปแล้ว
“เฮ้อ”
ถึงย้ายสำนักงานก็แก้ปัญหาไม่ได้ พวกเขานึกทางแก้ไม่ออกเลยได้แต่ถอนหายใจ วูซุงฮุนเล่นโทรศัพท์เป็นพักๆแล้วก็พูดขึ้น
“เอ๋? ในนี้บอกว่าดันเจี้ยนที่แดกูระเบิด”
“หือ? ผมไม่ได้ข่าวเลยนะ”
มินชานงงพลางเปิดทีวี ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดในวันที่ 30 ของการบุกดันเจี้ยนครั้งแรกล้มเหลว ไม่มีทางที่มินชานจะไม่รู้ล่วงหน้า
[ขณะนี้ผมอยู่ที่แดกู ดันเจี้ยนเบรกเกิดขึ้นติดต่อกัน ตอนนี้เรายังเข้าไปใกล้ไม่ได้และกองทหารในละแวกกำลังเคลื่อนเข้ามา รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกทันทีและกำลังขอความร่วมมือจากกิลด์ทุกแห่ง]
เฮลิคอปเตอร์ถ่ายภาพจากที่ไกลๆ เมืองกำลังลุกไหม้และพวกมอนสเตอร์ออกมาอาละวาดท่ามกลางตึกอาคารถล่ม...
ภาพวุ่นวายหมายถึงคนไม่ได้เตรียมตัวกับดันเจี้ยนเบรก พวกเขากำลังเจอกับหายนะที่สร้างความเสียหายมหาศาลทำให้นึกถึงดันเจี้ยนช็อกที่เกิดครั้งแรก
‘ประธาน’
ขณะดูข่าวด่วน ทุกคนนึกถึงคนๆนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น