บทที่ 63 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง
[ชิ้นส่วนแห่งมิติ]
เศษชิ้นส่วนปาฏิหาริย์ที่ใช้สร้างโลกวัตถุ / วัตถุดิบสำหรับสร้างมิติอาณาเขต
“หืม”
วูจินลูบคาง เขายกหินสีม่วงสดใสขึ้นมาดูใหม่ แต่ไม่มีข้อมูลมากไปกว่านี้
“บิบิ เธอรู้อะไรเกี่ยวกับมิติอาณาเขตหรือเปล่า?”
“อื๋อ? ไม่เลยอ่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่บิบิได้ยินชื่อนี้ วูจินจึงไม่ถามต่อ ในเมื่อคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรเขาจึงตัดสินใจปล่อยไปก่อน
วูจินเก็บชิ้นส่วนแห่งมิติไว้ในคลัง จากนั้นเดินจากไปพร้อมกับหินรีเทิร์นสโตนในมือ ได้เวลาออกจากที่นี่แล้ว
***
บาเรียกำลังหายไป
ทหารเกาหลีเหนือที่กำลังเฝ้าทางเข้าสถานีกวางมย็องจ้องตาโต
“เฮ้ย ดูสิ นั่นอะไร?”
“ฮ้า บาเรียกำลังหายไป”
“ไอ้ทุเรศจากเกาหลีใต้ทำได้จริงๆ รีบไปบอกหัวหน้า”
ขณะที่ทหารเกาหลีเหนือกำลังวุ่นอยู่ นักข่าวต่างประเทศหลบอยู่ไม่ไกล พวกเขาถ่ายรูปวูจินกำลังเดินขึ้นบันได
“เชี่ย เหลือเชื่อเลย”
“บ้าแล้ว โซโล่ดันเจี้ยน 6 ดาว ข่าวใหญ่แน่”
“เราส์มหัศจรรย์ปรากฏตัวที่เกาหลี”
“นี่... เราส์คนนี้อาจได้ดังพอๆกับเมโลดี้ที่อเมริกาหรือเปล่า?”
“รีบติดต่อสำนักงานใหญ่เถอะ”
ระหว่างพวกนักข่าวกำลังยุ่งอยู่ วูจินมองคนที่เดินมาทางเขา แม้ยังมีทหารเฝ้าตรงเส้นตั้งรับแต่วูจินก็ยังเห็นว่ามีนักข่าวอยู่แถวนั้น
ไม่เหมือนเกาหลีใต้ พวกนักข่าวไม่พุ่งมาขอสัมภาษณ์ พวกเขาแค่มองวูจิน
เมื่อได้ฟังรายงาน ร้อยโทเชฮีซอลวิ่งมาที่ดันเจี้ยนอย่างไม่ปิดบังความปลื้มใจ
“ดิฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องทำสำเร็จ ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
“หึ ไม่ใช่เรามาที่นี่เพราะรู้ว่าฉันต้องทำสำเร็จเหรอ?”
“ฮะๆๆ นั่นสินะคะ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่คุณทำได้จริงๆ”
ดันเจี้ยนที่ไม่มีใครอาสาอยากเข้าแต่วูจินกลับเคลียร์ได้อย่างง่ายดาย ข้อมูลเกี่ยวกับดันเจี้ยนก็ไม่มีเพราะการเข้าดันเจี้ยนถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ต้องเป็นคนกล้าหาญมากๆถึงจะกล้าเข้า ยิ่งสามารถเคลียร์ได้จริงๆจึงยิ่งน่าประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“กลุ่มที่จะมาเจรจามาถึงแล้วยัง?”
“มาแล้วค่ะ ทั้งฝ่ายเหนือและใต้กำลังรอรายงานว่าการเคลียร์ดันเจี้ยนประสบความสำเร็จหรือเปล่า”
เชฮีซอลไม่บอกว่าพวกเขาเตรียมการเจรจาโดยเชื่อว่าวูจินจะล้มเหลว 70%
“งั้นก็เจรจากันไป ผมจะเข้าดันเจี้ยนอีกรอบ ในเมื่อไม่มีดันเจี้ยนเบรกแล้ว บอกทหารให้ถอยไป”
“อะไรนะคะ? จะไม่เข้าไปโดยไม่พักก่อนเหรอคะ?”
เชฮีซอลประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้างนอกเวลาผ่านไปสามวัน นานกว่านั้น 4 เท่าในดันเจี้ยน เขาใช้เวลายาวนานขนาดนั้นในสนามรบที่ดุเดือดแต่จะเข้าไปใหม่โดยไม่พักเลย?
“อืม ไม่ได้ลำบากอะไรนี่ ทำไมต้องพักด้วยล่ะ?”
“...”
พูดเหมือนดันเจี้ยน 6 ดาวเป็นสนามเด็กเล่นเลย ความสามารถของวูจินคืออะไรกันแน่ถึงเคลียร์ดันเจี้ยนได้ง่ายดายขนาดนี้?
“ถ้าอย่างนั้นก็พยายามเข้านะคะ”
วูจินหันหลังเข้าไปในดันเจี้ยนทันที ถ้าอยากเก็บเลเวลให้ถึง 60 ใน 15 วันนี้ เขาต้องใช้เวลาให้เต็มที่
เขาสามารถหลับในดันเจี้ยนได้ ทั้งเรื่องกินก็ทำได้ในดันเจี้ยนเช่นกัน เขามีเครื่องมือสารพัดประโยชน์สำหรับซื้อปัจจัยต่างๆที่เรียกว่าร้านแลกเปลี่ยนค่าความสำเร็จ
หลังวูจินจากไปได้ไม่นาน ทหารเกาหลีเหนือคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง มองจากแถบบนบ่าก็บอกได้ว่าเขาเป็นเจ้าพนักงานระดับสูง
เมื่อเห็นบาเรียกำลังขวางทาง เขาเหลียวมองรอบๆ
“นี่มันอะไร? ไหนบอกว่าบาเรียสลายไปแล้ว?”
“ครับ เขาเพิ่งเข้าไปใหม่อีกรอบ”
“ห๊ะ? ไอ้เวรนั่นเข้าไปเลยไม่พักเรอะ?”
“ครับ”
เขามองรอบๆและเห็นแต่ทหารคนอื่นๆยืนยันคำพูดนั้น ดันเจี้ยนถูกพิชิตสำเร็จ แต่วีรบุรุษคังวูจินกลับเข้าไปในดันเจี้ยนแล้ว
เขาได้แต่อึ้งไปกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้
“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ”
ท่านประธานบอกให้เขาพาสหายคังวูจินมาให้ได้ แต่เขาไม่มีหนทางติดต่อชายคนนั้นได้เลย...
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรายงานไปตามตรง เขารีบเดินจากไป
***
ในห้องหนึ่งของวังอนุสรณ์ คิมจองอึนลูบคางอวบอูมของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มันเอียงไปทางซ้าย”
“ทราบแล้วสหาย”
ทหารรีบจัดกรอบรูปให้ตรง คิมจองอึนยิ้มพอใจ
กรอบรูปขนาดใหญ่บนผนังเป็นรูปที่เขาถ่ายกับคังวูจิน
“แล้วจะให้ทำอย่างไรกับรูปนี้ดีคะ?”
คิมจองอึนมองรูปที่เคยแขวนตรงนี้มาก่อน
มันเป็นรูปเขากำลังจับมือกับ เดนนิส รอดแมนอย่างสนิทสนม
มันเป็นรูปของนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่เขาเคยชอบ แต่เขาหมดความสนใจแล้ว
“โยนทิ้งไป...”
เมื่อได้ยินคำสั่งเย็นชาจากคิมจองอึน แม่บ้านพากรอบรูปออกไปจากห้องอย่างระวังตัว
ห้องนี้เคยประดับด้วยอุปกรณ์บาสเก็ตบอล ลูกบอลที่ใช้ในการแข่ง NBA รองเท้า ที่คาดผม ตอนนี้ไอเทมจากดันเจี้ยนเข้ามาเป็นของประดับแทน
ตลอดผนังห้องที่แขวนกรอบรูป จัดวางจนคล้ายพิพิธภัณฑ์ดันเจี้ยนขนาดย่อม เต็มไปด้วยอาร์ติแฟคและมอนสเตอร์ระดับต่ำที่ถูกสตัฟฟ์
คิมจองอึนมองรูปวูจิน สีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา
ก๊อกๆ
“เชิญ”
คิมจองอึนยิ้มกว้างมองไปทางประตู แต่คนที่เขาคอยอยู่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“นี่มันเรื่องอะไร? สหายคังวูจินอยู่ไหน?”
“คือว่า... เขาเข้าดันเจี้ยนไปใหม่ครับ”
“ว่าอะไรนะ?”
ทหารเกาหลีเหนือพยายามอธิบายแต่ไม่ได้ผล
“ทำไมคุณไม่หยุดเขา?”
“ตอนผมไปถึงเขาก็เข้าไปแล้วครับ”
“นี่คุณเห็นคำพูดของผมเป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ?”
เขาขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คิมจองอึนไม่แม้แต่กระพริบตา เหงื่อเย็นเฉียบเริ่มไหลจากตัวทหาร
“สหาย ผมคิดว่าคุณต้องพิจารณาตัวเองแล้ว”
“ได้...ได้โปรดไว้ชีวิตผม”
ทหารคุกเข่าลงทันที
“ผมไม่มีธุระกับคุณแล้ว ออกไป”
“ท่านประธาน...ได้โปรด”
เขาขอร้องแต่ไม่ได้ผล การทำตัววุ่นวายยิ่งทำให้เรื่องแย่เข้าไปอีก
“ดูท่าแม้แต่การพิจารณาตัวเองก็ไม่จำเป็นแล้ว”
องครักษ์ที่ยืนด้านหลังคิมจองอึนล้วงปืนออกมาแล้วยิงใส่ชายตรงหน้า
ปัง
ทหารเกาหลีเหนือตายไปอย่างไร้ค่าและไร้เหตุผล แต่องครักษ์ไม่มีท่าทีแปลกใจ เขาเพียงคิดว่าเกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
“คราวนี้ฟังผมนะ ไปรอคังวูจิน เปิดตาให้กว้าง เขาออกมาเมื่อไหร่ให้พามาหาผม”
“ครับ”
องครักษ์โชคร้ายที่ถูกเลือกไม่มีท่าทีไม่พอใจ หัวใจเขาด้านชาไปแล้ว
“เฮ้อ ผมก็อยากเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยพย็องยังบ้าง”
คิมจองอึนแตะตำราทักษะที่วางบนโต๊ะ เขาไม่ใช่เราส์ดังนั้นตำราทักษะจึงไม่ตอบรับเขาแม้แต่น้อย
คิมจองอึนมองรูปบนผนังด้วยสายตาอิจฉาเลื่อมใส
***
“ฮู่ว”
เมื่อเลเวลเขาเพิ่มขึ้น เวทย์กับพลังที่เหลือน้อยก็ฟื้นฟูจนเต็ม พลังที่พวยพุ่งขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง เขารู้สึกสดชื่น เป็นความรู้สึกดีที่แม้แต่การเสพยาก็เทียบไม่ติด
“60 แล้ว”
เขาเริ่มเก็บจากพวกเบจิก จากนั้นก็สังหารจอมยิง มอนสเตอร์รูปร่างคล้ายแมงมุม 6 ขาที่โจมตีด้วยการยิงหนวดของมัน กระทั่งพวกรันโต มอนสเตอร์มีเขามีหนังหนาที่ต้านทานเวทย์ยิ่งกว่าโอเกอร์เขาก็สังหารมาแล้ว จากนั้นก็เป็นพวกทิวดอน ตัวตุ่นที่มุดดินโจมตีเหยื่อทีเผลอ
พวกนี้เป็นลูกน้องที่เป็นกองกำลังพื้นฐานของทราห์เน็ต วูจินล่าพวกมันเอาสุ่มๆ จากนั้นทำลายที่ฟักไข่ตามที่ต่างๆ
ใจกลางของอาณาเขตที่ปรากฏในครั้งแรกไม่ปรากฏอีกในครั้งต่อๆมา เขาเดาว่าใจกลางของอาณาเขตนั่นเองที่เป็นบอสของดันเจี้ยนนี้
เขาล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนขนาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า หินรีเทิร์นสโตนจะสุ่มเกิดตามที่ต่างๆเมื่อที่ฟักไข่ถูกทำลาย เมื่อวูจินเจอหินรีเทิร์นสโตน เขาจะจัดการมอนสเตอร์เท่าที่เห็นจากนั้นก็ออกจากดันเจี้ยนแล้วเข้าใหม่
แทนที่จะตามล่ามอนสเตอร์ทั้งหมด ออกจากดันเจี้ยนแล้วเข้าใหม่เพื่อสู้กับมอนสเตอร์ฝูงใหญ่จะดีกว่า วิธีนี้ทำให้ได้ค่าประสบการณ์เร็วกว่า
วูจินใช้วิธีเดิมซ้ำๆ นี่เป็นครั้งที่ 7
ในที่สุดเลเวลของเขาก็เพิ่มเป็น 60
อันดับแรก วูจินเรียนทักษะทั้งหมดของอาชีพวอริเออร์
[ความอดทนของนักรบ]
ความอดทนของนักรบเป็นทักษะติดตัว ทำให้มีความอดทนต่อความเจ็บปวด ส่วนทักษะอื่นๆเป็นทักษะเกี่ยวกับธนู วูจินเรียกอาวุธของนักรบออกมาลองเปลี่ยนรูปร่างทันที
ไม้เท้าเหล็กงอลง แสงมนตรายาวขึ้นๆเป็นสายธนู จากนั้นวูจินมองหาทักษะหนึ่งของเนโครแมนเซอร์แล้วเรียน [ธนูกระดูก]
นี่เป็นทักษะที่เขาไม่เคยเรียนเพราะมันอ่อนแอกว่าหอกกระดูก แต่คิดว่ามันจะเป็นทักษะที่ทำงานร่วมกับธนูได้ดี
วูจินเรียกธนูกระดูกออกมาหนึ่งอัน ขึ้นสายแล้วยิง
ฟิ้ว
มันพุ่งไปเร็วกว่าการขว้างหอกกระดูกและยังไกลกว่า วูจินยิ้มอย่างพอใจ
ถ้ามีเวทย์พอ เขาสามารถเรียกหอกกระดูกกับธนูกระดูกออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ถึงกระดูกพวกนี้จะใช้เป็นสื่อเรียกทัพโครงกระดูกของเขาไม่ได้ แต่มันสามารถใช้เรียกกำแพงกระดูกออกมาได้ ทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้ขึ้นมาก
จากนั้นวูจินเรียนทักษะของอาชีพเนโครแมนเซอร์ที่เรียนได้ตอนเลเวล 60
[เงาสิงร่าง]
เรียกผีปรสิตจากเงาของเจ้าของร่าง
มันจะอ่านอารมณ์และรวบรวมข้อมูลของเจ้าของร่าง ถ้าเจ้าของร่างเป็นศพไร้ชีวิต มันจะควบคุมศพนั้นได้ ถ้าศพถูกคืนชีพด้วยทักษะปลุกชีพ ผีปรสิตสามารถดึงความสามารถเดิมของศพออกมาได้เพิ่มขึ้น
ค่าบงการที่ใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่แท้
จำนวนเงา : 1
เพิ่มความสามารถให้ศพ : +10%
ค่าบงการ : 1 (-99 จากค่าความซื่อสัตย์ -99 จากค่าความเชื่อใจ)
ถ้าเขามีกาเกบิ ศพที่ถูกคืนชีพขึ้นมาจะมีความสามารถเพิ่มกว่าเดิม พวกมันเป็นเพียงศพจึงไม่มีความว่องไวและสติปัญญาอย่างตอนมีชีวิตอยู่ แต่หากกาเกบิควบคุมร่างพวกมันก็คนละเรื่อง (TN – เปลี่ยนชื่อทักษะบงการศพเป็นปลุกชีพค่ะ เหมาะกว่า หรือจะใช้ปลุกผีดี)
“กาเกบิ ออกมา”
วูจินเรียกอสูรของเขาทันที เงาของวูจินลุกพรวดขึ้น ร่างที่เหมือนวูจินปรากฎต่อหน้า
หากไม่ใช่ว่าเป็นร่างโปร่งแสงแบบชิงชิง กาเกบิจะเหมือนวูจินไม่ผิดเพี้ยน
[คึๆ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเจ้านาย]
“ยังน่าสยองเหมือนเดิมนะ”
[คึๆๆ เจ้านายยังไม่ชินอีกเหรอ?]
อย่างที่กาเกบิพูด เขาน่าจะชินได้แล้ว แต่วูจินก็ยังไม่ชินเสียที กาเกบิเหมือนเขาอย่างกับแกะ
พวกเขานั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่แยกจากกัน แต่ใช้ความคิดร่วมกัน เห็นสิ่งต่างๆ รู้สึกถึงสิ่งต่างๆเหมือนกัน
[ถ้าเจ้านายไม่ชอบแบบนี้ก็หาร่างใหม่ให้ข้าไม่ได้เหรอ?]
วูจินมองรอบๆ มันเป็นเศษซากหลังสงคราม มีศพมากมายให้กาเกบิใช้ แต่วูจินเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จแล้วจึงไม่จำเป็น
“ถ้าต้องการนายแล้วฉันจะเรียก กลับไปที่เงาฉันก่อน”
[คึๆ ของที่เรียกว่าโลกนี่มีอะไรสนุกๆเยอะเลย]
ดูเหมือนกาเกบิจะอ่านความทรงจำของวูจินโดยไม่ได้รับอนุญาต วูจินขมวดคิ้ว จ้องกาเกบิที่แปลงกลับเป็นเงาของเขาเขม็ง
“ชิ”
ถึงจะน่าสยอง แต่กาเกบิไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาช่วยชีวิตวูจินไว้หลายครั้ง เป็นอสูรที่จงรักภักดี
“น่าจะเหลือเวลาอีกวันหรือเปล่า?”
เวลาข้างนอกผ่านไปประมาณเกือบ 14 วัน เขายังเหลือเวลาอีก 1 วันกว่าๆ ถ้ารีบหน่อยน่าจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้อีกรอบ
วูจินหยิบหินรีเทิร์นสโตนแล้วออกจากดันเจี้ยน
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 62
บทที่ 62 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง (2)
การรอคอยอย่างไร้ประโยชน์ทำให้วูจินโกรธจัด
“หมูนี่ใคร?”
นี่คือสิ่งแรกที่วูจินคิดเมื่อเห็นคิมจองอึน ผู้สืบทอดของคิมจองอิล เผด็จการหนุ่มทรงผมประหลาด เขายื่นมือมาทางวูจินที่อายุน้อยกว่า
“ยินดีที่ได้รู้จัก สหาย ผมได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลย”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”
วูจินจับมือกับคิมจองอึน ทหารเกาหลีเหนือที่มาด้วยขมวดคิ้วด้วยความโกรธ
“สหาย ท่านผู้นี้เป็นประธาน ระวังคำพูดด้วย...”
วูจินจึงยกมือขึ้นปิดปาก
“ยินดีที่ได้รู้จัก จองอึนอา”
“...”
คิมจองอึน เจ้าตัวอึ้ง ทหารเกาหลีเหนือที่มากับเขาและเชฮีซอลที่มากับวูจินก็อึ้ง
‘พลาด พลาดแล้ว’
เชฮีซอลเสียใจอย่างยิ่ง ตอนวูจินตบหน้าหัวหน้ากิลด์ฮวารางเขาไม่สนใจที่ถูกถ่ายภาพเลย เธอไม่ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้
เธอผิดที่คิดว่าต่อหน้าผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ วูจินน่าจะรู้จักมารยาทบ้าง
ไม่ เธอไม่ผิด
เธอคิดว่าเรื่องแบบนี้คนมีสามัญสำนึกคงรู้อะไรควรไม่ควรได้เอง เชฮีซอลพลาดอย่างเดียวที่ลืมไปว่าวูจินเป็นคนที่ก้าวข้ามสามัญสำนึกของคนธรรมดาไปแล้ว
สีหน้าของทหารเกาหลีเหนือแต่ละคนโกรธจัด
“ไอ้ทุเรศ คิดว่าที่นี่ที่ไหน กล้าล้อพวกเราเล่นเรอะ?”
วูจินแทนที่จะกลัวกลับยิ้ม
ก็บอกให้ระวังก็ยกมือปิดปากให้แล้ว ทำไมยังโกรธอีก? (TN-คำที่ทหารใช้มีสองความหมาย แปลว่าให้เลือกอย่างระวังก็ได้ แปลว่าให้ปิดหรือซ่อนก็ได้)
สีหน้ายิ้มแย้มของวูจินทำให้พวกทหารโกรธ คิมจองอึนหัวเราะ
“ฮะๆ สมแล้ว ช่างกล้าจริงๆ นั่งเถอะ”
เมื่อวูจินนั่งที่ เขาพูดขึ้นตรงๆ
“คุยแต่ธุระนะ ผมจะลงดันเจี้ยนแล้ว...”
ทหารเกาหลีเหนือฟังคำห้วนๆของวูจินอย่างเดือดดาล ถ้าทำได้พวกเขาคงลุกมาตบหน้าวูจินแล้ว นักข่าวต่างประเทศกดชัตเตอร์กล้องไม่หยุด
“ฮะๆ คุณเป็นคนตรงมาก สมเป็นนักรบผู้เก่งกล้าของเกาหลีใต้ หึๆ”
คิมจองอึนหัวเราะ
แต่แรกวูจินก็ไม่มีข้อเรียกร้องมากอยู่แล้ว
หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ เขาจะได้เข้าดันเจี้ยนอีก 15 วัน ไอเทมที่เก็บได้จะเป็นของเขาทั้งหมด
วูจินแค่ต้องการคำยืนยันยอมรับเงื่อนไขนี้
“ถ้าคุณจัดการได้เรียบร้อยจริงๆ ผมก็รับปาก”
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปล่ะ”
“ฮะๆ มาถ่ายรูปกันสักรูปก่อนเถอะ”
วูจินกับคิมจองอึนยืนตรงหน้าบรรดานักข่าวให้พวกเขาถ่ายรูป คิมจองอึนสั่งให้นักข่าวเกาหลีเหนือถ่ายไว้เยอะๆ
“สหาย ผมขอให้คุณปลอดภัยกลับมา”
เขาห่วงวูจินหรืออาจอยากให้วูจินรอดกลับมาเพราะนั่นแปลว่าป้องกันการเกิดดันเจี้ยนเบรกเอาไว้ได้
“เท่านี้ผมก็ได้ยินทุกอย่างแล้ว”
งานประชุมจบไปในเวลาไม่ถึง 30 นาที เวลาครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการถ่ายรูป การประชุมจริงๆจบเร็วมาก
เชฮีซอลอึดอัดยิ่งกว่าใครในห้อง เธอนั่งหน้าซีดเหงื่อแตกพลั่ก
“จริงๆเลย นึกว่าจะหัวใจวายตายซะแล้วค่ะ ที่นี่คือพย็องยัง คุณวูจินควรจะระวังคำพูดสักหน่อย...”
วูจินยิ้มแล้วตบบ่าเธอเบาๆ
“เธอก็เห็นฉันระวังคำพูดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อะไรนะคะ?”
“งั้นไปก่อนนะ อีกสองสามวันเจอกัน”
“ขอให้ปลอดภัยกลับมานะคะ”
วูจินโบกมือรับพลางมุ่งหน้าไปทางดันเจี้ยน
ไม่มีอุโมงค์ที่เกิดจากการใช้หินเปิดมิติ
เราส์ชาวเกาหลีเหนือที่เข้าดันเจี้ยนเลือกตายมากกว่าหนีออกมา ไม่รู้ว่าถูกสั่งมาอย่างนั้นหรือเป็นพวกเขาตัดสินใจเอง แต่นั่นหมายถึงไม่มีข้อมูลในดันเจี้ยนเลย
“เฮ้อ จริงๆเลย...”
ฮีซอลส่ายหน้า อย่างน้อยเรื่องความมั่นใจวูจินก็เป็นที่หนึ่งของโลก ขนาดในเกาหลีเหนือที่ปกครองอย่างเผด็จการไร้เหตุผลเขายังกล้าพูดไม่ถนอมน้ำใจ
เมื่อวูจินเข้าดันเจี้ยนไป บาเรียก็ก่อตัวขึ้นตรงทางเข้าสถานีกวางมย็อง เขามีเวลา 8 วันก่อนดันเจี้ยนเบรก ถ้าไม่ออกมาก่อนเวลานั้นก็จะไม่สามารถเข้าใหม่ได้อีก
เกาหลีเหนือพยายามรวบรวมเราส์จากทั่วโลก แต่ไม่มีทีมไหนรับข้อเสนอ
คิมจองอึนมองวูจินเข้าดันเจี้ยนจากอีกที่ห่างไปจากเชฮีซอล เขายิ้มอย่างพอใจ
“เขาเป็นคนตรงมากเลยทีเดียวนะ?”
“ครับ”
“ถ้าคนของฉันมีเราส์แบบเขาบ้างคงดี”
“โชคร้ายทีเดียวครับ ผมได้ยินว่าวีรบุรุษล้วนชอบหญิงงาม เราเตรียมผู้หญิงไว้หลายคนแต่ดูท่าคงไม่ได้ใช้”
“ไม่เป็นไร”
ทหารถามเขาอย่างระมัดระวัง
“ท่านประธานคิดว่าคนๆนั้นจะทำสำเร็จไหมครับ?”
“สำเร็จสิ เขาทำได้”
คิมจองอึนมองวูจินหายเข้าไปในดันเจี้ยน สายตาน้ำเสียงบ่งบอกว่ามั่นใจว่าวูจินจะทำสำเร็จ
‘เต็มที่เลย’
คิมจองอึนเชียร์วูจินในใจ ใบหน้าปรากฎรอยอิจฉาขึ้นมานิดๆ ถ้าคนของเขาเก่งกาจขนาดนี้บ้างจะดีแค่ไหนนะ?
***
“เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด”
วูจินต้องเข้าดันเจี้ยนตั้งแต่จุดแรก ต้องจัดการมอนสเตอร์ที่อยู่ส่วนนอกก่อน นี่เป็นปัญหาเพราะสถานีใต้ดินอยู่ลึกลงไปมาก
บันไดเลื่อนไม่ทำงาน ดังนั้นวูจินต้องเดินลงบันไดเอง และมอนสเตอร์เอาแต่โจมตีเขาซึ่งทำให้ยิ่งช้าลง
เมื่อจัดการมอนสเตอร์จนหมด วูจินใส่วิญญาณเข้าไปเพื่อเพิ่มเลเวลให้เกราะผี เสร็จแล้วเขาลอดผ่านอุโมงค์ที่ปรากฏใกล้ๆทางเข้าสถานี
มิติบิดเบี้ยว ภาพที่แผ่ตรงเบื้องหน้าทำให้วูจินรู้สึกถึงอันตราย
ต้นไม้และแผ่นดินตาย ทุกแห่งหนมีของคล้ายๆมอสขึ้นปกคลุม
“นี่มันอาณานิคมไม่ใช่เหรอ?”
นี่เป็นที่แรก
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากอัลเฟน ดูเหมือนกำลังหลักของทราห์เน็ตจะปรากฏตัวแล้ว
“ครุก ครุก”
ตั๊กแตนตัวอ้วนเผยตัวเหนือสันเขาพร้อมเสียงประหลาด มันสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 1.5 ขาคู่หน้าคมเหมือนดาบ เป็นอาวุธร้าย
ที่ยุ่งยากที่สุดคือพวกมันไปไหนมาไหนเป็นกลุ่มใหญ่
เบจิก พวกมันเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำใต้อาณัติของทราห์เน็ตที่เจอง่ายที่สุดและน่ารำคาญที่สุด
“ไม่ได้สู้กับมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่มานานแล้ว”
วูจินเรียกโกเลมโดลเซกับซัคคิวบัสบิบิออกมา
“เฮ้อ ในที่สุดก็หนีออกมาจนได้เมี้ยว!”
วูจินต้องหลอกล่อโซอาอยู่นานกว่าจะพาบิบิมากับเขาได้ บิบิบีบจมูกเมื่อได้กลิ่นสนามรบ
“แหงะ อาณานิคมของใครเนี่ย?”
“ยังไม่รู้”
ผู้บัญชาการทั้ง 72 ของทราห์เน็ต
เขาไม่รู้ว่าที่นี่เป็นอาณานิคมของใคร ไม่สิ จะเป็นของใครก็ช่าง
เขาจะทำลายมันทุกผู้ที่เหยียบย่างมาบนโลก
“โดลเซ ไป”
โดลเซดูดฝุ่นดินเข้ามา ร่างกลายเป็นดินเน่า กลิ่นเหม็นกระจายจากตัวเขา
พวกเบจิกพุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตายแม้จะเห็นร่างใหญ่โตของโดลเซ
การต่อสู้กับกองทหารไม่รู้จักความกลัวของทราห์เน็ตเริ่มขึ้น
***
วูจินให้โดลเซอยู่ข้างหน้า หลังจัดการพวกเบจิกจนหมดแล้วเขาใช้ศพพวกมันเรียกทหารโครงกระดูกออกมาทีเดียว 50 ตัว ซากศพมีมากมายขนาดนี้
ของคล้ายๆมอสเหนียวขึ้นคลุมป่า ถนน ที่ราบ ภูเขาและเมืองร้าง มันปกคลุมไปทั่ว ที่นี่เป็นดินแดนร้าง มีมอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วน
กลยุทธ์ที่ทราห์เน็ตชอบใช้คือใช้จำนวนทหารที่เหนือกว่ามากโจมตี
พวกเบจิกเมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ก็กรูเข้ามาอีก วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกรีดแสบหู
“พวกเราไม่ง่ายหรอกนะ”
เลเวล 50
ชื่อ คัง-วูจิน
อาชีพ เนโครแมนเซอร์ (พัฒนา), วอริเออร์
ระดับ กลาง
ค่าความสำเร็จ 273,219
เวทย์ 201/250 พลัง 34/60
โจมตี 49 ความเร็ว 39 แข็งแกร่ง 51 ความรู้ 32
แต้มเวทย์ 250 แต้มพลัง 60 ฟื้นฟูเวทย์ 42 ฟื้นฟูพลัง 40
บงการ 250
แต้มสถานะที่ยังไม่ได้ใช้ 0
ช่วงดีเลย์ไทม์ในการดูดซับหินเพิ่มพลัง
โจมตี 19 ความเร็ว 31 แข็งแกร่ง 7 ความรู้ 450
แต้มเวทย์ 27 แต้มพลัง 6 ฟื้นฟูเวทย์ 11 ฟื้นฟูพลัง 5
บงการ 3
วูจินใช้แต้มสถานะที่ได้มาไปกับค่าบงการและเวทย์ เขาเพิ่มค่าสถานะด้วยหินเพิ่มพลัง แต่ยิ่งกินเข้าไปมากเวลาที่ใช้ในการดูดซับหินเพิ่มพลังยิ่งนาน
แต่ละสถานะใช้เวลาในการดูดซับไม่เท่ากัน อย่างค่าความรู้ เวลาที่ใช้ในการดูดซับของเขาเพิ่มถึงขีดจำกัดแล้ว เขากินหินเพิ่มพลังเข้าไปหลายวันแต่ก็ยังดูดซับไม่สมบูรณ์เสียที
ตอนนี้วูจินสามารถบงการอสูรที่เขาเรียกมาได้ 250 ตัว
ถ้ารวมทหารโครงกระดูกกับจอมเวทย์โครงกระดูก เขาจะมีกองทหารขนาดใหญ่
ถ้าวูจินอยากใช้ทหารโครงกระดูกให้เต็มความสามารถของพวกมันเขาก็ต้องมีผู้บัญชาการ ซึ่งก็ต้องใช้เดธไนท์ แต่วูจินเองก็บัญชาการทหารโครงกระดูกได้ดีเหมือนกัน
ความหลากหลายไม่ใช่จุดแข็งของกองทัพของวูจิน
พวกเบจิกวิ่งเข้ามาทางเขาพลางส่งเสียงกรีดแหลม สัตว์ประหลาดที่เหมือนแมงมุมผสมมดยกหัวขึ้นจากด้านหลังพวกเบจิก
“พวกจอมยิงเรอะ”
พวกนี้จะพ่นหนามที่เป็นรยางค์ของพวกมันออกมา มันยิงระยะไกล พลังขนาดกระสุนปืนยังอาย การสู้กับพวกมันเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
“มีพวกรันโตด้วย”
ตอนนี้เท่าที่เห็นมีเพียงตัวเดียว มันใหญ่พอกับช้าง มีกระดองอันใหญ่ มันต้านเวทย์ได้ดีและกระดองก็มีพลังป้องกันสูงลิ่ว ดาบของทหารโครงกระดูกและเวทย์ของจอมเวทย์โครงกระดูกทำอะไรมันไม่ได้ ต้องเป็นระดับเดธไนท์หรือลิชถึงจะสู้ได้ วูจินยังเรียกอสูรระดับนั้นออกมาไม่ได้ เขาจึงต้องใช้การโจมตีรุนแรงของอาชีพวอริเออร์
“โดลเซ เปิดทางให้หน่อย”
โดลเซวิ่งตึงๆเข้าไปในใจกลางฝูงศัตรู
ทหารโครงกระดูกยืนเป็นแถวพร้อมโจมตี แนวหลัง จอมเวทย์โครงกระดูกยกมือร่ายเวทย์พร้อมยิง
วูจินเรียกม้าปีศาจออกมา ขึ้นม้าแล้วเปลี่ยนอาวุธให้เป็นรูปแบบขวาน
นี่เป็นทักษะของอาชีพวอริเออร์ที่เขาเรียนได้ตอนเลเวล 50
เมื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นขวาน เขาสามารถใช้ “ทำลาย” กับ “หมุน” มีพลังทำลายเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
“เด็กๆ ลุย!”
“เคะๆๆๆ”
วูจินกระตุ้นม้าปีศาจให้ออกวิ่ง โดลเซตามเขาจนทัน เขาเรียกหอกกระดูกขว้างไปทางโน้นทางนี้ รอจังหวะเปลี่ยนเป็นกำแพงกระดูกฉุดการเคลื่อนไหวของศัตรู
“ก๊า!”
เลือดกระจายว่อน วูจินพุ่งผ่านศัตรู ฟันพวกเบจิกด้วยขวาน เมื่อศัตรูถูกฟันขาดทหารโครงกระดูกตัวใหม่ก็ถูกเรียกขึ้นมา
ทหารโครงกระดูกของวูจินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนมอนสเตอร์ของทราห์เน็ตที่มารวมตัวกันมีเยอะกว่ามาก
วูจินหัวเราะลั่นเมื่อเห็นศัตรูกรูเข้ามาหา
“แบบนี้เลเวลเพิ่มขึ้นพรวดๆแน่”
ทราห์เน็ตจะบุกโลกในไม่ช้าก็เร็ว เขาแค่ต้องรีบเก่งขึ้นเพื่อสู้กับมัน
เขามองแต้มความสำเร็จที่เพิ่มไม่หยุด ขวานของวูจินร่ายรำ
***
ตรงจุดศูนย์กลางของอาณานิคม
วูจินมองบรรดาสิ่งแปลกประหลาดที่กำลังบิดตัว สร้างร่างต่างๆออกมา
“สงสัยจังว่าเจ้าบ้าที่ไหนมาเมี้ยว”
“สำหรับฉันจะตัวไหนก็เหมือนกันหมด”
“หืม ท่าทางโลกจะเริ่มได้เจอกับลูกน้องของทราห์เน็ตแล้วล่ะเมี้ยว”
“ก็น่าจะถึงเวลานั่นแล้ว”
วูจินขยับไปยังจุดศูนย์กลางของอาณานิคมพลางมองรอบๆอย่างเฉยชา ถ้าเป็นแบบนี้ไปจนเสร็จสมบูรณ์ผู้บัญชาการของทราห์เน็ตจะออกมาได้
กระทั่งตอนนี้พวกเบจิกและจอมยิงก็ยังเกิดออกมาจากสิ่งประหลาดที่ทำหน้าที่เป็นที่ฟักไข่เรื่อยๆ
“จัดการให้จบแล้วออกไปจากที่นี่เถอะ”
ใช้เวลา 12 วันไปกับการเก็บกวาดทั้งอาณานิคม ข้างนอกคงผ่านไป 3 วันแล้ว สมควรแก่เวลาที่วูจินจะออกไป
“เหมียว อยากเที่ยวเกาหลีเหนือบ้างจังเลย เสียดายจังเลยเมี้ยว”
วูจินยิ้ม จากนั้นเขาบังคับฝูงซากศพเบจิกและจอมยิงให้เข้าไปยังจุดศูนย์กลาง
เลเวลบงการศพยังต่ำอยู่ ซากศพจึงมีความสามารถเพียง 50% จากตอนยังมีชีวิต แต่เขาไม่ได้ปลุกพวกมันขึ้นมาเพื่อสู้
พวกศพพุ่งไปเกาะตรงจุดศูนย์กลางและที่ฟักไข่ทั้งหลาย เมื่อเรียบร้อยแล้ววูจินปล่อยพลังเวทย์ออกมาในรวดเดียว
ตูม!
ศพระเบิดเป็นพายุเลือด วูจินยกมือปิดหน้ากันแรงระเบิด
“โฮ่ ขึ้นมา 2 เลเวลเหรอนี่”
ล่ามา 12 วัน เลเวลของวูจินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ยังมีเวลาอีก 15 วันสำหรับใช้ดันเจี้ยนนี้อย่างเต็มที่ เลเวลของวูจินน่าจะถึง 60 ได้
แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมกว้าง หินรีเทิร์นสโตนลอยอยู่ตรงกลางหลุม แต่ข้างๆหินรีเทิร์นสโตนสีเขียวยังมีหินสีม่วงที่ดูคล้ายกันอยู่ด้วย
“มีรีเทิร์นสโตนสองก้อนเหรอ?”
วูจินหยิบหินทั้งสองก้อนขึ้นมา
“หือ?”
วูจินงง เขาจึงใช้ทักษะตรวจสอบดู
การรอคอยอย่างไร้ประโยชน์ทำให้วูจินโกรธจัด
“หมูนี่ใคร?”
นี่คือสิ่งแรกที่วูจินคิดเมื่อเห็นคิมจองอึน ผู้สืบทอดของคิมจองอิล เผด็จการหนุ่มทรงผมประหลาด เขายื่นมือมาทางวูจินที่อายุน้อยกว่า
“ยินดีที่ได้รู้จัก สหาย ผมได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลย”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”
วูจินจับมือกับคิมจองอึน ทหารเกาหลีเหนือที่มาด้วยขมวดคิ้วด้วยความโกรธ
“สหาย ท่านผู้นี้เป็นประธาน ระวังคำพูดด้วย...”
วูจินจึงยกมือขึ้นปิดปาก
“ยินดีที่ได้รู้จัก จองอึนอา”
“...”
คิมจองอึน เจ้าตัวอึ้ง ทหารเกาหลีเหนือที่มากับเขาและเชฮีซอลที่มากับวูจินก็อึ้ง
‘พลาด พลาดแล้ว’
เชฮีซอลเสียใจอย่างยิ่ง ตอนวูจินตบหน้าหัวหน้ากิลด์ฮวารางเขาไม่สนใจที่ถูกถ่ายภาพเลย เธอไม่ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้
เธอผิดที่คิดว่าต่อหน้าผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ วูจินน่าจะรู้จักมารยาทบ้าง
ไม่ เธอไม่ผิด
เธอคิดว่าเรื่องแบบนี้คนมีสามัญสำนึกคงรู้อะไรควรไม่ควรได้เอง เชฮีซอลพลาดอย่างเดียวที่ลืมไปว่าวูจินเป็นคนที่ก้าวข้ามสามัญสำนึกของคนธรรมดาไปแล้ว
สีหน้าของทหารเกาหลีเหนือแต่ละคนโกรธจัด
“ไอ้ทุเรศ คิดว่าที่นี่ที่ไหน กล้าล้อพวกเราเล่นเรอะ?”
วูจินแทนที่จะกลัวกลับยิ้ม
ก็บอกให้ระวังก็ยกมือปิดปากให้แล้ว ทำไมยังโกรธอีก? (TN-คำที่ทหารใช้มีสองความหมาย แปลว่าให้เลือกอย่างระวังก็ได้ แปลว่าให้ปิดหรือซ่อนก็ได้)
สีหน้ายิ้มแย้มของวูจินทำให้พวกทหารโกรธ คิมจองอึนหัวเราะ
“ฮะๆ สมแล้ว ช่างกล้าจริงๆ นั่งเถอะ”
เมื่อวูจินนั่งที่ เขาพูดขึ้นตรงๆ
“คุยแต่ธุระนะ ผมจะลงดันเจี้ยนแล้ว...”
ทหารเกาหลีเหนือฟังคำห้วนๆของวูจินอย่างเดือดดาล ถ้าทำได้พวกเขาคงลุกมาตบหน้าวูจินแล้ว นักข่าวต่างประเทศกดชัตเตอร์กล้องไม่หยุด
“ฮะๆ คุณเป็นคนตรงมาก สมเป็นนักรบผู้เก่งกล้าของเกาหลีใต้ หึๆ”
คิมจองอึนหัวเราะ
แต่แรกวูจินก็ไม่มีข้อเรียกร้องมากอยู่แล้ว
หลังจากเคลียร์ดันเจี้ยนเสร็จ เขาจะได้เข้าดันเจี้ยนอีก 15 วัน ไอเทมที่เก็บได้จะเป็นของเขาทั้งหมด
วูจินแค่ต้องการคำยืนยันยอมรับเงื่อนไขนี้
“ถ้าคุณจัดการได้เรียบร้อยจริงๆ ผมก็รับปาก”
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปล่ะ”
“ฮะๆ มาถ่ายรูปกันสักรูปก่อนเถอะ”
วูจินกับคิมจองอึนยืนตรงหน้าบรรดานักข่าวให้พวกเขาถ่ายรูป คิมจองอึนสั่งให้นักข่าวเกาหลีเหนือถ่ายไว้เยอะๆ
“สหาย ผมขอให้คุณปลอดภัยกลับมา”
เขาห่วงวูจินหรืออาจอยากให้วูจินรอดกลับมาเพราะนั่นแปลว่าป้องกันการเกิดดันเจี้ยนเบรกเอาไว้ได้
“เท่านี้ผมก็ได้ยินทุกอย่างแล้ว”
งานประชุมจบไปในเวลาไม่ถึง 30 นาที เวลาครึ่งหนึ่งใช้ไปกับการถ่ายรูป การประชุมจริงๆจบเร็วมาก
เชฮีซอลอึดอัดยิ่งกว่าใครในห้อง เธอนั่งหน้าซีดเหงื่อแตกพลั่ก
“จริงๆเลย นึกว่าจะหัวใจวายตายซะแล้วค่ะ ที่นี่คือพย็องยัง คุณวูจินควรจะระวังคำพูดสักหน่อย...”
วูจินยิ้มแล้วตบบ่าเธอเบาๆ
“เธอก็เห็นฉันระวังคำพูดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อะไรนะคะ?”
“งั้นไปก่อนนะ อีกสองสามวันเจอกัน”
“ขอให้ปลอดภัยกลับมานะคะ”
วูจินโบกมือรับพลางมุ่งหน้าไปทางดันเจี้ยน
ไม่มีอุโมงค์ที่เกิดจากการใช้หินเปิดมิติ
เราส์ชาวเกาหลีเหนือที่เข้าดันเจี้ยนเลือกตายมากกว่าหนีออกมา ไม่รู้ว่าถูกสั่งมาอย่างนั้นหรือเป็นพวกเขาตัดสินใจเอง แต่นั่นหมายถึงไม่มีข้อมูลในดันเจี้ยนเลย
“เฮ้อ จริงๆเลย...”
ฮีซอลส่ายหน้า อย่างน้อยเรื่องความมั่นใจวูจินก็เป็นที่หนึ่งของโลก ขนาดในเกาหลีเหนือที่ปกครองอย่างเผด็จการไร้เหตุผลเขายังกล้าพูดไม่ถนอมน้ำใจ
เมื่อวูจินเข้าดันเจี้ยนไป บาเรียก็ก่อตัวขึ้นตรงทางเข้าสถานีกวางมย็อง เขามีเวลา 8 วันก่อนดันเจี้ยนเบรก ถ้าไม่ออกมาก่อนเวลานั้นก็จะไม่สามารถเข้าใหม่ได้อีก
เกาหลีเหนือพยายามรวบรวมเราส์จากทั่วโลก แต่ไม่มีทีมไหนรับข้อเสนอ
คิมจองอึนมองวูจินเข้าดันเจี้ยนจากอีกที่ห่างไปจากเชฮีซอล เขายิ้มอย่างพอใจ
“เขาเป็นคนตรงมากเลยทีเดียวนะ?”
“ครับ”
“ถ้าคนของฉันมีเราส์แบบเขาบ้างคงดี”
“โชคร้ายทีเดียวครับ ผมได้ยินว่าวีรบุรุษล้วนชอบหญิงงาม เราเตรียมผู้หญิงไว้หลายคนแต่ดูท่าคงไม่ได้ใช้”
“ไม่เป็นไร”
ทหารถามเขาอย่างระมัดระวัง
“ท่านประธานคิดว่าคนๆนั้นจะทำสำเร็จไหมครับ?”
“สำเร็จสิ เขาทำได้”
คิมจองอึนมองวูจินหายเข้าไปในดันเจี้ยน สายตาน้ำเสียงบ่งบอกว่ามั่นใจว่าวูจินจะทำสำเร็จ
‘เต็มที่เลย’
คิมจองอึนเชียร์วูจินในใจ ใบหน้าปรากฎรอยอิจฉาขึ้นมานิดๆ ถ้าคนของเขาเก่งกาจขนาดนี้บ้างจะดีแค่ไหนนะ?
***
“เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด”
วูจินต้องเข้าดันเจี้ยนตั้งแต่จุดแรก ต้องจัดการมอนสเตอร์ที่อยู่ส่วนนอกก่อน นี่เป็นปัญหาเพราะสถานีใต้ดินอยู่ลึกลงไปมาก
บันไดเลื่อนไม่ทำงาน ดังนั้นวูจินต้องเดินลงบันไดเอง และมอนสเตอร์เอาแต่โจมตีเขาซึ่งทำให้ยิ่งช้าลง
เมื่อจัดการมอนสเตอร์จนหมด วูจินใส่วิญญาณเข้าไปเพื่อเพิ่มเลเวลให้เกราะผี เสร็จแล้วเขาลอดผ่านอุโมงค์ที่ปรากฏใกล้ๆทางเข้าสถานี
มิติบิดเบี้ยว ภาพที่แผ่ตรงเบื้องหน้าทำให้วูจินรู้สึกถึงอันตราย
ต้นไม้และแผ่นดินตาย ทุกแห่งหนมีของคล้ายๆมอสขึ้นปกคลุม
“นี่มันอาณานิคมไม่ใช่เหรอ?”
นี่เป็นที่แรก
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากอัลเฟน ดูเหมือนกำลังหลักของทราห์เน็ตจะปรากฏตัวแล้ว
“ครุก ครุก”
ตั๊กแตนตัวอ้วนเผยตัวเหนือสันเขาพร้อมเสียงประหลาด มันสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 1.5 ขาคู่หน้าคมเหมือนดาบ เป็นอาวุธร้าย
ที่ยุ่งยากที่สุดคือพวกมันไปไหนมาไหนเป็นกลุ่มใหญ่
เบจิก พวกมันเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำใต้อาณัติของทราห์เน็ตที่เจอง่ายที่สุดและน่ารำคาญที่สุด
“ไม่ได้สู้กับมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่มานานแล้ว”
วูจินเรียกโกเลมโดลเซกับซัคคิวบัสบิบิออกมา
“เฮ้อ ในที่สุดก็หนีออกมาจนได้เมี้ยว!”
วูจินต้องหลอกล่อโซอาอยู่นานกว่าจะพาบิบิมากับเขาได้ บิบิบีบจมูกเมื่อได้กลิ่นสนามรบ
“แหงะ อาณานิคมของใครเนี่ย?”
“ยังไม่รู้”
ผู้บัญชาการทั้ง 72 ของทราห์เน็ต
เขาไม่รู้ว่าที่นี่เป็นอาณานิคมของใคร ไม่สิ จะเป็นของใครก็ช่าง
เขาจะทำลายมันทุกผู้ที่เหยียบย่างมาบนโลก
“โดลเซ ไป”
โดลเซดูดฝุ่นดินเข้ามา ร่างกลายเป็นดินเน่า กลิ่นเหม็นกระจายจากตัวเขา
พวกเบจิกพุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตายแม้จะเห็นร่างใหญ่โตของโดลเซ
การต่อสู้กับกองทหารไม่รู้จักความกลัวของทราห์เน็ตเริ่มขึ้น
***
วูจินให้โดลเซอยู่ข้างหน้า หลังจัดการพวกเบจิกจนหมดแล้วเขาใช้ศพพวกมันเรียกทหารโครงกระดูกออกมาทีเดียว 50 ตัว ซากศพมีมากมายขนาดนี้
ของคล้ายๆมอสเหนียวขึ้นคลุมป่า ถนน ที่ราบ ภูเขาและเมืองร้าง มันปกคลุมไปทั่ว ที่นี่เป็นดินแดนร้าง มีมอนสเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วน
กลยุทธ์ที่ทราห์เน็ตชอบใช้คือใช้จำนวนทหารที่เหนือกว่ามากโจมตี
พวกเบจิกเมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ก็กรูเข้ามาอีก วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกรีดแสบหู
“พวกเราไม่ง่ายหรอกนะ”
เลเวล 50
ชื่อ คัง-วูจิน
อาชีพ เนโครแมนเซอร์ (พัฒนา), วอริเออร์
ระดับ กลาง
ค่าความสำเร็จ 273,219
เวทย์ 201/250 พลัง 34/60
โจมตี 49 ความเร็ว 39 แข็งแกร่ง 51 ความรู้ 32
แต้มเวทย์ 250 แต้มพลัง 60 ฟื้นฟูเวทย์ 42 ฟื้นฟูพลัง 40
บงการ 250
แต้มสถานะที่ยังไม่ได้ใช้ 0
ช่วงดีเลย์ไทม์ในการดูดซับหินเพิ่มพลัง
โจมตี 19 ความเร็ว 31 แข็งแกร่ง 7 ความรู้ 450
แต้มเวทย์ 27 แต้มพลัง 6 ฟื้นฟูเวทย์ 11 ฟื้นฟูพลัง 5
บงการ 3
วูจินใช้แต้มสถานะที่ได้มาไปกับค่าบงการและเวทย์ เขาเพิ่มค่าสถานะด้วยหินเพิ่มพลัง แต่ยิ่งกินเข้าไปมากเวลาที่ใช้ในการดูดซับหินเพิ่มพลังยิ่งนาน
แต่ละสถานะใช้เวลาในการดูดซับไม่เท่ากัน อย่างค่าความรู้ เวลาที่ใช้ในการดูดซับของเขาเพิ่มถึงขีดจำกัดแล้ว เขากินหินเพิ่มพลังเข้าไปหลายวันแต่ก็ยังดูดซับไม่สมบูรณ์เสียที
ตอนนี้วูจินสามารถบงการอสูรที่เขาเรียกมาได้ 250 ตัว
ถ้ารวมทหารโครงกระดูกกับจอมเวทย์โครงกระดูก เขาจะมีกองทหารขนาดใหญ่
ถ้าวูจินอยากใช้ทหารโครงกระดูกให้เต็มความสามารถของพวกมันเขาก็ต้องมีผู้บัญชาการ ซึ่งก็ต้องใช้เดธไนท์ แต่วูจินเองก็บัญชาการทหารโครงกระดูกได้ดีเหมือนกัน
ความหลากหลายไม่ใช่จุดแข็งของกองทัพของวูจิน
พวกเบจิกวิ่งเข้ามาทางเขาพลางส่งเสียงกรีดแหลม สัตว์ประหลาดที่เหมือนแมงมุมผสมมดยกหัวขึ้นจากด้านหลังพวกเบจิก
“พวกจอมยิงเรอะ”
พวกนี้จะพ่นหนามที่เป็นรยางค์ของพวกมันออกมา มันยิงระยะไกล พลังขนาดกระสุนปืนยังอาย การสู้กับพวกมันเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
“มีพวกรันโตด้วย”
ตอนนี้เท่าที่เห็นมีเพียงตัวเดียว มันใหญ่พอกับช้าง มีกระดองอันใหญ่ มันต้านเวทย์ได้ดีและกระดองก็มีพลังป้องกันสูงลิ่ว ดาบของทหารโครงกระดูกและเวทย์ของจอมเวทย์โครงกระดูกทำอะไรมันไม่ได้ ต้องเป็นระดับเดธไนท์หรือลิชถึงจะสู้ได้ วูจินยังเรียกอสูรระดับนั้นออกมาไม่ได้ เขาจึงต้องใช้การโจมตีรุนแรงของอาชีพวอริเออร์
“โดลเซ เปิดทางให้หน่อย”
โดลเซวิ่งตึงๆเข้าไปในใจกลางฝูงศัตรู
ทหารโครงกระดูกยืนเป็นแถวพร้อมโจมตี แนวหลัง จอมเวทย์โครงกระดูกยกมือร่ายเวทย์พร้อมยิง
วูจินเรียกม้าปีศาจออกมา ขึ้นม้าแล้วเปลี่ยนอาวุธให้เป็นรูปแบบขวาน
นี่เป็นทักษะของอาชีพวอริเออร์ที่เขาเรียนได้ตอนเลเวล 50
เมื่อเปลี่ยนอาวุธเป็นขวาน เขาสามารถใช้ “ทำลาย” กับ “หมุน” มีพลังทำลายเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
“เด็กๆ ลุย!”
“เคะๆๆๆ”
วูจินกระตุ้นม้าปีศาจให้ออกวิ่ง โดลเซตามเขาจนทัน เขาเรียกหอกกระดูกขว้างไปทางโน้นทางนี้ รอจังหวะเปลี่ยนเป็นกำแพงกระดูกฉุดการเคลื่อนไหวของศัตรู
“ก๊า!”
เลือดกระจายว่อน วูจินพุ่งผ่านศัตรู ฟันพวกเบจิกด้วยขวาน เมื่อศัตรูถูกฟันขาดทหารโครงกระดูกตัวใหม่ก็ถูกเรียกขึ้นมา
ทหารโครงกระดูกของวูจินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนมอนสเตอร์ของทราห์เน็ตที่มารวมตัวกันมีเยอะกว่ามาก
วูจินหัวเราะลั่นเมื่อเห็นศัตรูกรูเข้ามาหา
“แบบนี้เลเวลเพิ่มขึ้นพรวดๆแน่”
ทราห์เน็ตจะบุกโลกในไม่ช้าก็เร็ว เขาแค่ต้องรีบเก่งขึ้นเพื่อสู้กับมัน
เขามองแต้มความสำเร็จที่เพิ่มไม่หยุด ขวานของวูจินร่ายรำ
***
ตรงจุดศูนย์กลางของอาณานิคม
วูจินมองบรรดาสิ่งแปลกประหลาดที่กำลังบิดตัว สร้างร่างต่างๆออกมา
“สงสัยจังว่าเจ้าบ้าที่ไหนมาเมี้ยว”
“สำหรับฉันจะตัวไหนก็เหมือนกันหมด”
“หืม ท่าทางโลกจะเริ่มได้เจอกับลูกน้องของทราห์เน็ตแล้วล่ะเมี้ยว”
“ก็น่าจะถึงเวลานั่นแล้ว”
วูจินขยับไปยังจุดศูนย์กลางของอาณานิคมพลางมองรอบๆอย่างเฉยชา ถ้าเป็นแบบนี้ไปจนเสร็จสมบูรณ์ผู้บัญชาการของทราห์เน็ตจะออกมาได้
กระทั่งตอนนี้พวกเบจิกและจอมยิงก็ยังเกิดออกมาจากสิ่งประหลาดที่ทำหน้าที่เป็นที่ฟักไข่เรื่อยๆ
“จัดการให้จบแล้วออกไปจากที่นี่เถอะ”
ใช้เวลา 12 วันไปกับการเก็บกวาดทั้งอาณานิคม ข้างนอกคงผ่านไป 3 วันแล้ว สมควรแก่เวลาที่วูจินจะออกไป
“เหมียว อยากเที่ยวเกาหลีเหนือบ้างจังเลย เสียดายจังเลยเมี้ยว”
วูจินยิ้ม จากนั้นเขาบังคับฝูงซากศพเบจิกและจอมยิงให้เข้าไปยังจุดศูนย์กลาง
เลเวลบงการศพยังต่ำอยู่ ซากศพจึงมีความสามารถเพียง 50% จากตอนยังมีชีวิต แต่เขาไม่ได้ปลุกพวกมันขึ้นมาเพื่อสู้
พวกศพพุ่งไปเกาะตรงจุดศูนย์กลางและที่ฟักไข่ทั้งหลาย เมื่อเรียบร้อยแล้ววูจินปล่อยพลังเวทย์ออกมาในรวดเดียว
ตูม!
ศพระเบิดเป็นพายุเลือด วูจินยกมือปิดหน้ากันแรงระเบิด
“โฮ่ ขึ้นมา 2 เลเวลเหรอนี่”
ล่ามา 12 วัน เลเวลของวูจินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ยังมีเวลาอีก 15 วันสำหรับใช้ดันเจี้ยนนี้อย่างเต็มที่ เลเวลของวูจินน่าจะถึง 60 ได้
แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมกว้าง หินรีเทิร์นสโตนลอยอยู่ตรงกลางหลุม แต่ข้างๆหินรีเทิร์นสโตนสีเขียวยังมีหินสีม่วงที่ดูคล้ายกันอยู่ด้วย
“มีรีเทิร์นสโตนสองก้อนเหรอ?”
วูจินหยิบหินทั้งสองก้อนขึ้นมา
“หือ?”
วูจินงง เขาจึงใช้ทักษะตรวจสอบดู
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 61
บทที่ 61 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง
คาเฟ่แองเจิล แองเจิล สถานีซาดาง
“เอ๋?”
แม้แต่โดจีวอนยังคิดว่าตัวเองหูฝาด
“นายจะไปไหนนะ?”
“พย็องยัง”
“...เกาหลีเหนือ?”
“ใช่แล้ว พอถล่มดันเจี้ยนเสร็จฉันถึงจะกลับ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เราไปแนะนำตัวกับที่บ้านดีไหม?”
“เอ๋?”
ไปพย็องยังกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปได้อย่างไร แล้วเขาอยากพาเธอไปรู้จักกับที่บ้าน...
จีวอนสับสนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ดี
“แค่กินข้าวก็พอ ได้ยินว่าเธอออกจากงานแล้ว?”
“อ๊ะใช่ ฉันใช้หนี้คืนไปเกือบหมดแล้ว...”
“เธอมีหนี้ด้วยเหรอ?”
“ค่ารักษาตอนฉันเข้าโรงพยาบาลน่ะ”
ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกเมื่อเธออายุ 19 ปี พ่อแม่เสียชีวิต ตัวเธอบาดเจ็บหนัก... เธอยังไม่รู้ประสีประสาจึงไปสร้างหนี้จากหลายๆที่ ถ้าใบหน้าเธอไม่เสียหายคงหาเงินได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็คงถูกชักนำไปในทางที่เลวร้าย
“อ้อ แล้วคิดจะทำอะไรต่อ? จะมาทำงานที่กิลด์ฉันไหม? แล้วฉันก็ว่าจะตั้งคาเฟ่สักที่ สนใจไหม?”
“เอ๋ คาเฟ่เหรอ?”
วูจินเป็นเราส์ที่ดังที่สุดในตอนนี้ แต่จู่ๆเขาอยากจะทำร้านกาแฟ? แค่เขาเข้าดันเจี้ยนแรงค์ต่ำยังทำเงินได้มากกว่าเลย
“แม่ฉันดูเบื่อๆน่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องที่อยากทำหลังจากใช้หนี้หมดแล้วอยู่”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก”
“หา?”
เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจนวูจินพูดไม่ออกไปชั่วครู่ จีวอนหน้าแดง
“แค่...แค่อยากลองเป็นงานอดิเรกน่ะ”
“เท่ดีนะ”
“เอ๋?”
“เท่ดีนี่ ฉันจะรออ่าน”
จีวอนยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม เธอเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ สมาคมศิษย์เก่าเพิ่งโทรหาฉัน... เขาขอเบอร์นาย แต่ฉันยังไม่ได้บอกไป”
หลังจากจีวอนเสียโฉมจากอุบัติเหตุก็ถูกกีดกันออกจากวงเพื่อน พอรักษาตัวหายเธอก็เริ่มทำงาน จึงไม่ได้เจอกันอีก
แต่หลังจากปรากฏในโทรทัศน์วูจินก็กลายเป็นมีชื่อเสียง เมื่อวูจินกับจีวอนกลายเป็นข่าวทั้งคู่ เพื่อนร่วมรุ่นของเธอคงรู้ข่าว
เด็กหนุ่มที่หายสาบสูญ เด็กสาวที่เป็นสัตว์ประหลาดแปลงร่างเป็นคนหล่อสวย เพื่อนร่วมรุ่นของเธอบางคนคงเห็นรูปพวกเธอผ่านทางอินเตอร์เน็ต
“งั้นเหรอ? ฉันจะไปแล้วกัน โหย ไม่ได้เจอตั้งนานไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อพวกนั้นได้หรือเปล่า ไว้กลับจากพย็องยังฉันจะติดต่อไป”
เขาคงมีเวลาว่างก่อนจะไปอเมริกา
จีวอนแปลกใจ
“เอ๋? อยากไปด้วยกันจริงๆเหรอ?”
“ไปสิ ทำไม?”
วูจินจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 20 ปี เขาจำชื่อกับหน้าบางคนได้รางๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นานน้อยกว่าวูจิน แต่จีวอนจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 5 ปี เหตุผลที่เธอหวั่นไหวแตกต่างไปจากวูจินเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก ไปด้วยกันก็ได้”
จีวอนเคยมีเพื่อนสนิทหลายคน ไม่ใช่ เธอเคยคิดว่ามีเพื่อนสนิทหลายคน ความสวยของเธอเป็นจุดสนใจ รอบตัวเธอจึงมีคนมากมาย
เมื่อเสียโฉม เพื่อนของเธอก็จากไปทีละคนสองคน หลายๆคนมองเธอด้วยสายตาสงสาร ดังนั้นเธอจึงเลิกติดต่อพวกเขา
เมื่อมองกลับไปสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอก็ตระหนักว่าเธอไม่ได้สนิทกับใครจริงๆ ตอนนี้มีแต่วูจินที่อยู่เคียงข้าง เขาจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอพบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ
“นายคงยุ่ง ไปเถอะ”
วูจินมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ 11 โมงแล้ว เขามีนัดตอนเที่ยงจึงควรเริ่มออกเดินทางได้แล้ว
“อยากได้อะไรไหม”
“หา?”
“ฉันจะไปพย็องยัง อย่างน้อยก็น่าจะซื้อของฝากมาบ้าง”
“คิก”
จีวอนอดหัวเราะไม่ได้
ถ้าใครได้ยินวูจินพูดคงนึกว่าการไปครั้งนี้เป็นเรื่องง่าย แม้จะใกล้กันขนาดไหน แต่สำหรับคนเกาหลีใต้แล้วเกาหลีเหนือเป็นที่ๆห่างไกลกันมาก
“พย็องยังนี่ดังเรื่องอะไรนะ...”
วูจินพยายามนึก แต่เขาจำอะไรไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของเขาหรือของดีเมืองพย็องยัง
“ปลอดภัยกลับมานะ”
จีวอนลูบหน้าวูจิน แผลเขาหายสนิทแล้ว
“แค่รอยข่วนเอง งั้นถ้าไปเห็นอะไรก็จะซื้อมาฝากแล้วกัน”
อาจเพราะวูจินชินกับการรอดตายและรับบาดเจ็บมากเกินไป เขาจึงไม่สนใจเรื่องเจ็บตัว
***
ร้อยโทเชฮีซอลแห่งกองกำลังต่อสู้พิเศษเป็นผู้มาพบกับวูจินอีกครั้ง เธอทักทายเขาอย่างยินดี
“เป็นเกียรติที่ได้พบคุณอีกครั้งค่ะ ฉันจะเป็นคนนำทางตลอดการเดินทางไปพย็องยัง”
“อืม ผมก็ดีใจที่ได้เจอคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแล้ว”
ฮีซอลยิ้ม
คังวูจินเป็นชื่อที่ติดอันดับคำที่ถูกค้นหามากที่สุด นิสัยติดดินของชายคนนี้น่าประทับใจ ทำให้เธอสงสัยว่าเป็นคนเดียวกับคนในข่าวจริงหรือ
“ฉันจะอธิบายกำหนดการคร่าวๆนะคะ หลังกินอาหารเที่ยงเราจะผ่านพันมุนจอมเข้าไปในพย็องยัง คงถึงที่นั่นประมาณช่วงเย็น หลังจากพักผ่อนคุณจะเข้าดันเจี้ยนในตอนเช้า” (TN - พันมุนจอม - ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะมีพรมแดนพาดยาวเป็นเขต DMZ Demilitarized Zone ห้ามทหารและพลเรือนเข้าออก ใจกลางเขต DMZ จะมีเขต JSA Jointed Secutiry Area สำหรับสองประเทศติดต่อกันเมื่อจำเป็น Panmunjom เป็นจุดสำคัญที่สุดใน JSA)
“เท่านั้นเหรอ?”
วูจินนึกว่าการเข้าเกาหลีเหนือจะมีขั้นตอนยุ่งยากกว่านี้เสียอีก
“เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปจากตัวแทนของเกาหลีเหนือแล้วค่ะ พรุ่งนี้เราจะไปถึงพย็องยัง ถ้าคุณวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ จะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ”
เนื้อหาในการต่อรองจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าวูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จหรือไม่
“คุณจัดการเรื่องยากๆไปเถอะ จะว่าอะไรไหมถ้าผมเข้าดันเจี้ยนทันทีที่ไปถึง”
เขาไม่คิดว่าการนอนที่เกาหลีเหนือเป็นเรื่องจำเป็น
พูดตรงๆ นอนในดันเจี้ยนยังรู้สึกปลอดภัยกว่านอนที่เกาหลีเหนือเสียอีก
“คิมจองอึนต้องการพบคุณนะคะ...”
“ไม่สนใจ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คุณยอมรับ...”
เชฮีซอลเห็นในข่าวแล้ว ลูกเตะรุนแรงของวูจินกับการตบตีที่เขาแสดงให้ดู
เธอกังวลอยู่หลายครั้งว่านิสัยห่ามๆของเขาจะทำให้ทุกคนตกที่นั่งลำบาก ไม่ใช่เขาลำบากคนเดียว คนรอบข้างเขาด้วย
“อืม ไปที่นั่นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
“...”
วูจินกับฮีซอลเข้าไปในรถที่เตรียมไว้ รถขับไปทางพันมุนจอม สภาพแวดล้อมที่นั่นไม่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่อรถวิ่งไปบนพื้นดินของเกาหลีเหนือ วูจินรู้สึกกระสับกระส่าย
“หืม นึกว่าที่นี่จะมีทหารกับของที่ใช้ในกองทัพเยอะๆซะอีก ไม่ค่อยมีอะไรเลยแฮะ”
วูจินพึมพำกับตัวเองพลางมองท้องนาที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้ว
รถที่พวกเขานั่งมีรถขับประกบหน้าหลัง ถ้ามองผ่านพวกทหาร ทิวทัศน์ที่นี่ก็คือบ้านนอกดีๆนี่เอง
เชฮีซอลที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะ
“เกาหลีเหนือมีพื้นที่ๆพัฒนาไม่กี่แห่ง นอกนั้นจะเหมือนกำลังมองประเทศของเราเมื่อ 70 ปีก่อน มันล้าหลังมากขนาดสถานีใต้ดินยังมีแต่ในพย็องยัง...”
“ถ้ามีสถานีน้อยขนาดนั้นทำไมไม่แก้ปัญหากันเอง มาขอความช่วยเหลือทำไม เกาหลีเหนือไม่มีเราส์เลยเหรอ?”
เขาไม่สนใจจริงๆหรอก เขาได้โอกาสเคลียร์ดันเจี้ยน ได้ยึดค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จไว้เอง เขาแค่สงสัย
“เราส์ที่เกาหลีเหนือถือว่าค่อนข้างน้อย การจัดทีมที่มีเราส์แรงค์ A ถือว่ายาก อีกอย่างอัตราการเสียชีวิตก็สูง...”
เขาไม่สงสัยว่าทำไมอัตราการเสียชีวิตจึงสูง เขาถามต่อ
“งั้นเวลาดันเจี้ยนเบรกพวกเขาทำยังไง?”
ถ้ามีความสามารถไม่พอ ทำไมถึงยังอยู่ได้นานขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถ้าดันเจี้ยน 6 ดาวไม่รีเซ็ทเลยคงแปลก
“เท่าที่รู้มา ดันเจี้ยน 6 ดาวรีเซ็ท 6 ครั้ง ระเบิด 2 ครั้ง ทั้งหมดนั้นจีนเป็นฝ่ายแก้ไข”
“แปลว่าคราวนี้จีนรับมือไม่ไหว ใช้หินเปิดมิติกลับมาครบ 3 ครั้งแล้ว? เพราะงั้นเลยขอให้เกาหลีใต้ช่วย?”
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ เกาหลีเหนือพยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว จีนตั้งใจจะให้กลายเป็นบทเรียนเลยดูอยู่เฉยๆ กลายเป็นกระตุ้นให้เกาหลีเหนือประกาศรวบรวมเราส์ผ่านองค์กรผู้มีพลังพิเศษโลก”
“อย่างนี้นี่เอง”
บลัดสโตนที่มาจากดันเจี้ยนเป็นพลังงานใหม่สำหรับการเติบโตไปอีกขั้น
ช่องว่างระหว่างประเทศโลกที่ 3 ที่ไม่มีสถานีใต้ดินกับประเทศที่มียิ่งห่างขึ้นมากแม้เวลาจะผ่านไปเพียง 5 ปี
เกาหลีเหนือ ถึงจะน้อย แต่มีสถานีใต้ดินอยู่บ้าง เมื่อขอความช่วยเหลือจากจีน เกาหลีเหนือต้องมอบสิทธิประโยชน์จากดันเจี้ยนทั้งหมดเป็นการตอบแทน
เกาหลีเหนือมองว่านี่ไม่ยุติธรรม จึงพยายามเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว
จีนโกรธที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อต้าน ดังนั้นจึงไม่เข้ามาช่วย ทำให้เกาหลีเหนือเดือดร้อนต้องขอความช่วยเหลือจากเราส์ทั่วโลก
และจุงมินชานก็มาเจอประกาศนี้เข้าพอดี
“อืม รีบทำรีบเสร็จเถอะ ช่วยรักษาสัญญาเรื่องให้เวลาผม 15 วันด้วยนะ”
“ค่ะ เราจะยึดตามเงื่อนไขนั้นเป็นหลัก”
วูจินต้องเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือ
การเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือด้วยความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกิลด์ของวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ สองประเทศต้องเจรจาเรื่องแบ่งดันเจี้ยน
วูจินมีเงื่อนไขง่ายๆข้อหนึ่ง หลังเคลียร์ดันเจี้ยนได้ เขาจะได้สิทธิ์ครอบครองดันเจี้ยนนั้นเป็นเวลา 15 วัน
นอกจากเงื่อนไขข้อนี้แล้วก็ไม่มีข้ออื่น
คนแรกที่เคลียร์ดันเจี้ยนได้จะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุด วูจินมีสิทธิ์ในการขอสัมปทาน จึงถือว่าโชคดีแล้วที่เขาตั้งเงื่อนไขไว้แค่นี้
แต่การเจรจาของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือยังไม่เริ่มขึ้นเลย
เกาหลีเหนือจะได้ลดการพึ่งพาจีนในเรื่องดันเจี้ยนแรงค์สูง และได้พุ่งเป้าไปที่การเก็บบลัดสโตน
เกาหลีใต้ต้องการผลประโยชน์ทางการทูตบางอย่าง การเจรจาตกลงระหว่างเกาหลีเหนือและใต้จะเริ่มหลังจากพวกเขาไปถึงพย็องยังหนึ่งวัน
แต่ตอนนี้วูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้หรือไม่เป็นเรื่องสำคัญกว่า
ถ้าวูจินพลาดเขาจะตายในดันเจี้ยน แต่ร้อยโทเชฮีซอลที่มาด้วยจะตกที่นั่งลำบาก
ถ้าดันเจี้ยนระเบิด พย็องยังส่วนหนึ่งจะถูกทำลาย เกาหลีเหนือจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณวูจิน”
วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเชฮีซอลพูดอย่างเคร่งเครียด
***
วังสุริยะคึมซูซัน
ที่แห่งนี้ถูกเรียกมากกว่าในชื่อวังอนุสรณ์ เมื่อเข้าไปข้างในวูจินรู้สึกประทับใจ
เขาประทับใจในความกว้างของสถานที่ ยิ่งประหลาดใจกว่าเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธและทหาร ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่ขบวนสวนสนามที่มักจะเห็นในโทรทัศน์
พวกเขาถือปืนของจริง ยังมีปืนกลกับรถถัง พวกเขายืนด้วยท่ายืนดั้งเดิมเพื่อเตรียมพร้อมรับดันเจี้ยนเบรก
ร้อยโทชีเฮซอลก็แปลกใจเช่นกัน เธอกลับมาหลังจากคุยกับพนักงานของกองทัพเกาหลีเหนือคนหนึ่ง
เธอบอกวูจินด้วยท่าทางจริงจัง
“ดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทชื่อดันเจี้ยนสถานีกวางมย็อง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต้องหยุดการระเบิดไว้ให้ได้ ดิฉันเข้าใจแล้วว่าพวกเขารู้สึกยังไง”
ถ้าสถานีที่ว่าระเบิด วังอนุสรณ์จะตกอยู่ในอันตราย วังแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเกาหลีเหนือ และเพื่อปกป้องที่นี่ พวกเขาต้องหยุดดันเจี้ยนเบรกให้ได้
“สหาย ตามพวกเรามา”
ทหารคนหนึ่งนำทางวูจินกับเฮซอลไปที่ห้องประชุมแห่งหนึ่ง ในนั้นมีที่นั่งจัดสำหรับอาหารเย็น ทหารจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่แล้ว
วูจินนั่งตรงที่ๆถูกเตรียมไว้ให้เขาด้วยสีหน้าเฉื่อยชา เฮซอลนั่งตรงที่นั่งของเธอด้วยท่าทางแข็งๆ ในห้องมีนักข่าวกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์
“คุณวูจินไม่กังวลเลยเหรอคะ?”
“ทำไมผมต้องกังวลล่ะ?”
วูจินตอบไม่ยินดียินร้าย นี่เป็นวิธีการที่นักการเมืองทำเป็นปกติ เจ้าของงานจะจงใจมาช้าเพื่อให้แขกรู้สึกอึดอัด
เป็นวิธีที่เขาชอบใช้ตอนอยู่อัลเฟน
แต่ก็นะ มันไม่ทำให้เขามีสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับแขกได้
ตอนที่วูจินยกมือเท้าคางอย่างเบื่อๆนั่นเอง
“...ท่านประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศมาถึงแล้ว”
นักข่าวที่กำลังพักหันมากดชัดเตอร์รัวๆ วูจินรู้สึกตลกเมื่อเห็นชายคนหนึ่งเข้ามา
ชายผู้มีทรงผมที่ไม่มีใครเทียบเท่า นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินได้เจอกับเผด็จการรุ่นที่สาม
ทรงผมเขาเท่จริงๆนะ :3
คาเฟ่แองเจิล แองเจิล สถานีซาดาง
“เอ๋?”
แม้แต่โดจีวอนยังคิดว่าตัวเองหูฝาด
“นายจะไปไหนนะ?”
“พย็องยัง”
“...เกาหลีเหนือ?”
“ใช่แล้ว พอถล่มดันเจี้ยนเสร็จฉันถึงจะกลับ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เราไปแนะนำตัวกับที่บ้านดีไหม?”
“เอ๋?”
ไปพย็องยังกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปได้อย่างไร แล้วเขาอยากพาเธอไปรู้จักกับที่บ้าน...
จีวอนสับสนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ดี
“แค่กินข้าวก็พอ ได้ยินว่าเธอออกจากงานแล้ว?”
“อ๊ะใช่ ฉันใช้หนี้คืนไปเกือบหมดแล้ว...”
“เธอมีหนี้ด้วยเหรอ?”
“ค่ารักษาตอนฉันเข้าโรงพยาบาลน่ะ”
ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกเมื่อเธออายุ 19 ปี พ่อแม่เสียชีวิต ตัวเธอบาดเจ็บหนัก... เธอยังไม่รู้ประสีประสาจึงไปสร้างหนี้จากหลายๆที่ ถ้าใบหน้าเธอไม่เสียหายคงหาเงินได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็คงถูกชักนำไปในทางที่เลวร้าย
“อ้อ แล้วคิดจะทำอะไรต่อ? จะมาทำงานที่กิลด์ฉันไหม? แล้วฉันก็ว่าจะตั้งคาเฟ่สักที่ สนใจไหม?”
“เอ๋ คาเฟ่เหรอ?”
วูจินเป็นเราส์ที่ดังที่สุดในตอนนี้ แต่จู่ๆเขาอยากจะทำร้านกาแฟ? แค่เขาเข้าดันเจี้ยนแรงค์ต่ำยังทำเงินได้มากกว่าเลย
“แม่ฉันดูเบื่อๆน่ะ”
“อ๋อ ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องที่อยากทำหลังจากใช้หนี้หมดแล้วอยู่”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก”
“หา?”
เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจนวูจินพูดไม่ออกไปชั่วครู่ จีวอนหน้าแดง
“แค่...แค่อยากลองเป็นงานอดิเรกน่ะ”
“เท่ดีนะ”
“เอ๋?”
“เท่ดีนี่ ฉันจะรออ่าน”
จีวอนยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม เธอเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ สมาคมศิษย์เก่าเพิ่งโทรหาฉัน... เขาขอเบอร์นาย แต่ฉันยังไม่ได้บอกไป”
หลังจากจีวอนเสียโฉมจากอุบัติเหตุก็ถูกกีดกันออกจากวงเพื่อน พอรักษาตัวหายเธอก็เริ่มทำงาน จึงไม่ได้เจอกันอีก
แต่หลังจากปรากฏในโทรทัศน์วูจินก็กลายเป็นมีชื่อเสียง เมื่อวูจินกับจีวอนกลายเป็นข่าวทั้งคู่ เพื่อนร่วมรุ่นของเธอคงรู้ข่าว
เด็กหนุ่มที่หายสาบสูญ เด็กสาวที่เป็นสัตว์ประหลาดแปลงร่างเป็นคนหล่อสวย เพื่อนร่วมรุ่นของเธอบางคนคงเห็นรูปพวกเธอผ่านทางอินเตอร์เน็ต
“งั้นเหรอ? ฉันจะไปแล้วกัน โหย ไม่ได้เจอตั้งนานไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อพวกนั้นได้หรือเปล่า ไว้กลับจากพย็องยังฉันจะติดต่อไป”
เขาคงมีเวลาว่างก่อนจะไปอเมริกา
จีวอนแปลกใจ
“เอ๋? อยากไปด้วยกันจริงๆเหรอ?”
“ไปสิ ทำไม?”
วูจินจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 20 ปี เขาจำชื่อกับหน้าบางคนได้รางๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
นานน้อยกว่าวูจิน แต่จีวอนจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 5 ปี เหตุผลที่เธอหวั่นไหวแตกต่างไปจากวูจินเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก ไปด้วยกันก็ได้”
จีวอนเคยมีเพื่อนสนิทหลายคน ไม่ใช่ เธอเคยคิดว่ามีเพื่อนสนิทหลายคน ความสวยของเธอเป็นจุดสนใจ รอบตัวเธอจึงมีคนมากมาย
เมื่อเสียโฉม เพื่อนของเธอก็จากไปทีละคนสองคน หลายๆคนมองเธอด้วยสายตาสงสาร ดังนั้นเธอจึงเลิกติดต่อพวกเขา
เมื่อมองกลับไปสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอก็ตระหนักว่าเธอไม่ได้สนิทกับใครจริงๆ ตอนนี้มีแต่วูจินที่อยู่เคียงข้าง เขาจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอพบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ
“นายคงยุ่ง ไปเถอะ”
วูจินมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ 11 โมงแล้ว เขามีนัดตอนเที่ยงจึงควรเริ่มออกเดินทางได้แล้ว
“อยากได้อะไรไหม”
“หา?”
“ฉันจะไปพย็องยัง อย่างน้อยก็น่าจะซื้อของฝากมาบ้าง”
“คิก”
จีวอนอดหัวเราะไม่ได้
ถ้าใครได้ยินวูจินพูดคงนึกว่าการไปครั้งนี้เป็นเรื่องง่าย แม้จะใกล้กันขนาดไหน แต่สำหรับคนเกาหลีใต้แล้วเกาหลีเหนือเป็นที่ๆห่างไกลกันมาก
“พย็องยังนี่ดังเรื่องอะไรนะ...”
วูจินพยายามนึก แต่เขาจำอะไรไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของเขาหรือของดีเมืองพย็องยัง
“ปลอดภัยกลับมานะ”
จีวอนลูบหน้าวูจิน แผลเขาหายสนิทแล้ว
“แค่รอยข่วนเอง งั้นถ้าไปเห็นอะไรก็จะซื้อมาฝากแล้วกัน”
อาจเพราะวูจินชินกับการรอดตายและรับบาดเจ็บมากเกินไป เขาจึงไม่สนใจเรื่องเจ็บตัว
***
ร้อยโทเชฮีซอลแห่งกองกำลังต่อสู้พิเศษเป็นผู้มาพบกับวูจินอีกครั้ง เธอทักทายเขาอย่างยินดี
“เป็นเกียรติที่ได้พบคุณอีกครั้งค่ะ ฉันจะเป็นคนนำทางตลอดการเดินทางไปพย็องยัง”
“อืม ผมก็ดีใจที่ได้เจอคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแล้ว”
ฮีซอลยิ้ม
คังวูจินเป็นชื่อที่ติดอันดับคำที่ถูกค้นหามากที่สุด นิสัยติดดินของชายคนนี้น่าประทับใจ ทำให้เธอสงสัยว่าเป็นคนเดียวกับคนในข่าวจริงหรือ
“ฉันจะอธิบายกำหนดการคร่าวๆนะคะ หลังกินอาหารเที่ยงเราจะผ่านพันมุนจอมเข้าไปในพย็องยัง คงถึงที่นั่นประมาณช่วงเย็น หลังจากพักผ่อนคุณจะเข้าดันเจี้ยนในตอนเช้า” (TN - พันมุนจอม - ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะมีพรมแดนพาดยาวเป็นเขต DMZ Demilitarized Zone ห้ามทหารและพลเรือนเข้าออก ใจกลางเขต DMZ จะมีเขต JSA Jointed Secutiry Area สำหรับสองประเทศติดต่อกันเมื่อจำเป็น Panmunjom เป็นจุดสำคัญที่สุดใน JSA)
“เท่านั้นเหรอ?”
วูจินนึกว่าการเข้าเกาหลีเหนือจะมีขั้นตอนยุ่งยากกว่านี้เสียอีก
“เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปจากตัวแทนของเกาหลีเหนือแล้วค่ะ พรุ่งนี้เราจะไปถึงพย็องยัง ถ้าคุณวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ จะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ”
เนื้อหาในการต่อรองจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าวูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จหรือไม่
“คุณจัดการเรื่องยากๆไปเถอะ จะว่าอะไรไหมถ้าผมเข้าดันเจี้ยนทันทีที่ไปถึง”
เขาไม่คิดว่าการนอนที่เกาหลีเหนือเป็นเรื่องจำเป็น
พูดตรงๆ นอนในดันเจี้ยนยังรู้สึกปลอดภัยกว่านอนที่เกาหลีเหนือเสียอีก
“คิมจองอึนต้องการพบคุณนะคะ...”
“ไม่สนใจ”
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คุณยอมรับ...”
เชฮีซอลเห็นในข่าวแล้ว ลูกเตะรุนแรงของวูจินกับการตบตีที่เขาแสดงให้ดู
เธอกังวลอยู่หลายครั้งว่านิสัยห่ามๆของเขาจะทำให้ทุกคนตกที่นั่งลำบาก ไม่ใช่เขาลำบากคนเดียว คนรอบข้างเขาด้วย
“อืม ไปที่นั่นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
“...”
วูจินกับฮีซอลเข้าไปในรถที่เตรียมไว้ รถขับไปทางพันมุนจอม สภาพแวดล้อมที่นั่นไม่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่อรถวิ่งไปบนพื้นดินของเกาหลีเหนือ วูจินรู้สึกกระสับกระส่าย
“หืม นึกว่าที่นี่จะมีทหารกับของที่ใช้ในกองทัพเยอะๆซะอีก ไม่ค่อยมีอะไรเลยแฮะ”
วูจินพึมพำกับตัวเองพลางมองท้องนาที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้ว
รถที่พวกเขานั่งมีรถขับประกบหน้าหลัง ถ้ามองผ่านพวกทหาร ทิวทัศน์ที่นี่ก็คือบ้านนอกดีๆนี่เอง
เชฮีซอลที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะ
“เกาหลีเหนือมีพื้นที่ๆพัฒนาไม่กี่แห่ง นอกนั้นจะเหมือนกำลังมองประเทศของเราเมื่อ 70 ปีก่อน มันล้าหลังมากขนาดสถานีใต้ดินยังมีแต่ในพย็องยัง...”
“ถ้ามีสถานีน้อยขนาดนั้นทำไมไม่แก้ปัญหากันเอง มาขอความช่วยเหลือทำไม เกาหลีเหนือไม่มีเราส์เลยเหรอ?”
เขาไม่สนใจจริงๆหรอก เขาได้โอกาสเคลียร์ดันเจี้ยน ได้ยึดค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จไว้เอง เขาแค่สงสัย
“เราส์ที่เกาหลีเหนือถือว่าค่อนข้างน้อย การจัดทีมที่มีเราส์แรงค์ A ถือว่ายาก อีกอย่างอัตราการเสียชีวิตก็สูง...”
เขาไม่สงสัยว่าทำไมอัตราการเสียชีวิตจึงสูง เขาถามต่อ
“งั้นเวลาดันเจี้ยนเบรกพวกเขาทำยังไง?”
ถ้ามีความสามารถไม่พอ ทำไมถึงยังอยู่ได้นานขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถ้าดันเจี้ยน 6 ดาวไม่รีเซ็ทเลยคงแปลก
“เท่าที่รู้มา ดันเจี้ยน 6 ดาวรีเซ็ท 6 ครั้ง ระเบิด 2 ครั้ง ทั้งหมดนั้นจีนเป็นฝ่ายแก้ไข”
“แปลว่าคราวนี้จีนรับมือไม่ไหว ใช้หินเปิดมิติกลับมาครบ 3 ครั้งแล้ว? เพราะงั้นเลยขอให้เกาหลีใต้ช่วย?”
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ เกาหลีเหนือพยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว จีนตั้งใจจะให้กลายเป็นบทเรียนเลยดูอยู่เฉยๆ กลายเป็นกระตุ้นให้เกาหลีเหนือประกาศรวบรวมเราส์ผ่านองค์กรผู้มีพลังพิเศษโลก”
“อย่างนี้นี่เอง”
บลัดสโตนที่มาจากดันเจี้ยนเป็นพลังงานใหม่สำหรับการเติบโตไปอีกขั้น
ช่องว่างระหว่างประเทศโลกที่ 3 ที่ไม่มีสถานีใต้ดินกับประเทศที่มียิ่งห่างขึ้นมากแม้เวลาจะผ่านไปเพียง 5 ปี
เกาหลีเหนือ ถึงจะน้อย แต่มีสถานีใต้ดินอยู่บ้าง เมื่อขอความช่วยเหลือจากจีน เกาหลีเหนือต้องมอบสิทธิประโยชน์จากดันเจี้ยนทั้งหมดเป็นการตอบแทน
เกาหลีเหนือมองว่านี่ไม่ยุติธรรม จึงพยายามเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว
จีนโกรธที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อต้าน ดังนั้นจึงไม่เข้ามาช่วย ทำให้เกาหลีเหนือเดือดร้อนต้องขอความช่วยเหลือจากเราส์ทั่วโลก
และจุงมินชานก็มาเจอประกาศนี้เข้าพอดี
“อืม รีบทำรีบเสร็จเถอะ ช่วยรักษาสัญญาเรื่องให้เวลาผม 15 วันด้วยนะ”
“ค่ะ เราจะยึดตามเงื่อนไขนั้นเป็นหลัก”
วูจินต้องเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือ
การเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือด้วยความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกิลด์ของวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ สองประเทศต้องเจรจาเรื่องแบ่งดันเจี้ยน
วูจินมีเงื่อนไขง่ายๆข้อหนึ่ง หลังเคลียร์ดันเจี้ยนได้ เขาจะได้สิทธิ์ครอบครองดันเจี้ยนนั้นเป็นเวลา 15 วัน
นอกจากเงื่อนไขข้อนี้แล้วก็ไม่มีข้ออื่น
คนแรกที่เคลียร์ดันเจี้ยนได้จะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุด วูจินมีสิทธิ์ในการขอสัมปทาน จึงถือว่าโชคดีแล้วที่เขาตั้งเงื่อนไขไว้แค่นี้
แต่การเจรจาของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือยังไม่เริ่มขึ้นเลย
เกาหลีเหนือจะได้ลดการพึ่งพาจีนในเรื่องดันเจี้ยนแรงค์สูง และได้พุ่งเป้าไปที่การเก็บบลัดสโตน
เกาหลีใต้ต้องการผลประโยชน์ทางการทูตบางอย่าง การเจรจาตกลงระหว่างเกาหลีเหนือและใต้จะเริ่มหลังจากพวกเขาไปถึงพย็องยังหนึ่งวัน
แต่ตอนนี้วูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้หรือไม่เป็นเรื่องสำคัญกว่า
ถ้าวูจินพลาดเขาจะตายในดันเจี้ยน แต่ร้อยโทเชฮีซอลที่มาด้วยจะตกที่นั่งลำบาก
ถ้าดันเจี้ยนระเบิด พย็องยังส่วนหนึ่งจะถูกทำลาย เกาหลีเหนือจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณวูจิน”
วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเชฮีซอลพูดอย่างเคร่งเครียด
***
วังสุริยะคึมซูซัน
ที่แห่งนี้ถูกเรียกมากกว่าในชื่อวังอนุสรณ์ เมื่อเข้าไปข้างในวูจินรู้สึกประทับใจ
เขาประทับใจในความกว้างของสถานที่ ยิ่งประหลาดใจกว่าเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธและทหาร ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่ขบวนสวนสนามที่มักจะเห็นในโทรทัศน์
พวกเขาถือปืนของจริง ยังมีปืนกลกับรถถัง พวกเขายืนด้วยท่ายืนดั้งเดิมเพื่อเตรียมพร้อมรับดันเจี้ยนเบรก
ร้อยโทชีเฮซอลก็แปลกใจเช่นกัน เธอกลับมาหลังจากคุยกับพนักงานของกองทัพเกาหลีเหนือคนหนึ่ง
เธอบอกวูจินด้วยท่าทางจริงจัง
“ดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทชื่อดันเจี้ยนสถานีกวางมย็อง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต้องหยุดการระเบิดไว้ให้ได้ ดิฉันเข้าใจแล้วว่าพวกเขารู้สึกยังไง”
ถ้าสถานีที่ว่าระเบิด วังอนุสรณ์จะตกอยู่ในอันตราย วังแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเกาหลีเหนือ และเพื่อปกป้องที่นี่ พวกเขาต้องหยุดดันเจี้ยนเบรกให้ได้
“สหาย ตามพวกเรามา”
ทหารคนหนึ่งนำทางวูจินกับเฮซอลไปที่ห้องประชุมแห่งหนึ่ง ในนั้นมีที่นั่งจัดสำหรับอาหารเย็น ทหารจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่แล้ว
วูจินนั่งตรงที่ๆถูกเตรียมไว้ให้เขาด้วยสีหน้าเฉื่อยชา เฮซอลนั่งตรงที่นั่งของเธอด้วยท่าทางแข็งๆ ในห้องมีนักข่าวกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์
“คุณวูจินไม่กังวลเลยเหรอคะ?”
“ทำไมผมต้องกังวลล่ะ?”
วูจินตอบไม่ยินดียินร้าย นี่เป็นวิธีการที่นักการเมืองทำเป็นปกติ เจ้าของงานจะจงใจมาช้าเพื่อให้แขกรู้สึกอึดอัด
เป็นวิธีที่เขาชอบใช้ตอนอยู่อัลเฟน
แต่ก็นะ มันไม่ทำให้เขามีสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับแขกได้
ตอนที่วูจินยกมือเท้าคางอย่างเบื่อๆนั่นเอง
“...ท่านประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศมาถึงแล้ว”
นักข่าวที่กำลังพักหันมากดชัดเตอร์รัวๆ วูจินรู้สึกตลกเมื่อเห็นชายคนหนึ่งเข้ามา
ชายผู้มีทรงผมที่ไม่มีใครเทียบเท่า นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินได้เจอกับเผด็จการรุ่นที่สาม
ทรงผมเขาเท่จริงๆนะ :3
วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 60
บทที่ 60 – ความหมายของคำว่าครอบครัว (3)
วันนี้เป็นวันที่ 4 ที่บิบิต้องเฝ้าบ้านโดยไม่มีเจ้านายอยู่ด้วย เธอถอนหายใจ
เด็กน้อยเอาแต่กวนให้เธอเล่นด้วย เจ้านายแวะมาทิ้งหมาไว้ตัวหนึ่งแล้วก็ไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว
เด็กน้อยร้องไห้ว่าหมามันตัวใหญ่ไป แล้วก็กลับมาแกว่งพ้อยท์เตอร์กับเบ็ดใส่บิบิเหมือนเดิม
แต่ช่วงกลางวันบิบิจะว่าง เพราะเด็กน้อยไปโรงเรียน วันนี้ท่านแม่ของเจ้านายออกไปข้างนอก บิบิจึงไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นแมว
เธอดูเหมือนแมว แต่ไม่ต้องทำตัวเหมือนแมว บิบิเปิดตู้เย็นเอาปลาแซลมอนออกมาตัวหนึ่ง
เพราะเปลี่ยนร่างกายเป็นแบบนี้ รสนิยมด้านการกินกับพฤติกรรมก็กระเดียดมาทางแมว
บิบิกำลังฉีกห่อปลาแซลมอนออก แล้วเจ้าหมาก็เข้ามาใกล้
“กรร โฮ่งๆ”
“เฮ้อ ไปห่างๆเลยนะเมี้ยว” บิบิไล่
มันเป็นตัวน่ารำคาญ เป็นแค่หมาแท้ๆแต่ตัวใหญ่กว่าเธอ ดูเหมือนเด็กน้อยจะอยากได้หมาตัวเล็ก
“โฮ่ง”
“ชิ่วๆ นูรุงอา”
เจ้านายตั้งชื่อหมาตัวนี้ส่งๆว่า นูรุงกิ มันมองบิบิพลางเห่าไม่หยุด
บิบิตัวเล็ก มีของน่ากินอยู่กับตัว มันมองว่าเธอรังแกง่าย และตั้งใจจะแย่งปลาไปจากเธอ
บิบิส่งเสียงฮึ
“แกปีนขึ้นมาไม่ได้หรอกเมี้ยว”
“โฮ่งๆ”
นูรุงกิเห่าไม่เลิก เห็นอย่างนั้นบิบิก็ถอนหายใจ เธอถูกหมามองว่ารังแกได้ง่าย ตกต่ำลงขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ไปซะ ระหว่างที่ฉันยังพูดดีๆนะเมี้ยว”
บิบิเหวี่ยงอุ้งเท้าสีชมพูทุบหัวนูรุงกิ
ปุก!
“เอ๋งๆ”
นูรุงกิตกใจวิ่งหนีไป
“เฮ้อ เมื่อไหร่เจ้านายจะกลับมาซะที?”
ทุกครั้งที่เจ้านายกลับมาจากดันเจี้ยน เลเวลของเจ้านายก็เพิ่มขึ้นมาก บิบิก็อยากเพิ่มเลเวลเร็วๆแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
เวลาผ่านไป เธอยิ่งเศร้าใจ
อีกไม่นานเด็กน้อยก็จะกลับจากโรงเรียน
***
ตึกกิลด์อลันดาล
[คุณใช้คริสตัลเวทย์มนตร์]
วูจินกินหินเพิ่มพลังที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะให้เขาเข้าไป กินเอาๆจนกระทั่งอัตราการดูดซึมช้าลง
ซุงกูนั่งตรงข้ามวูจิน กินหินเพิ่มพลังที่วูจินยกให้ เขามีบาดแผลตามตัวรู้สึกได้ถึงพลังป่าเถื่อนจากตัวเขา
ทุกครั้งที่วูจินจองดันเจี้ยน 5 หรือ 6 ดาว เขาให้ซุงกูได้สู้กับมอนสเตอร์หลายๆชนิด แต่วูจินก็เป็นคนจัดการกับมอนสเตอร์เกือบทั้งหมดอยู่ดี ซุงกูแค่สู้กับมอนสเตอร์ส่วนน้อย แต่ต่อให้เป็นส่วนน้อยก็สำคัญมาก
ซุงกูล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนดาวสูงได้ เขาเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 4 เราส์แรงค์ C เต็มตัว ซุงกูใช้ความสามารถในสถานการณ์คับขันเป็นตายดังนั้นจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก๊อกๆ
“เข้ามา”
จุงมินชานอุ้มกล่องใบหนึ่งเข้ามาในห้อง
“นี่เป็นตำราทักษะที่ท่านประธานพูดถึงน่ะ”
“ซื้อมาแล้วเหรอ”
เมื่อได้กล่องมาวูจินก็ทำหน้าสงสัย เขาบอกให้มินชานซื้อไอเทมมา 3 อย่าง แต่ในนี้มีเพียง 2 อย่าง
“อีกอันล่ะ?”
“ทักษะระดับวงแหวนที่ 4 แพงมาก อีกอย่างเรายังไม่หยุดซื้อหินเพิ่มพลัง เงินทุนทั้งหมดของกิลด์ใช้ไปกับการซื้อของ”
“เงินไม่พอเหรอ?”
“ใช่ แต่ยังไม่ถึงขั้นติดตัวแดง แค่ต้องใช้เวลานานหน่อยถึงจะซื้อได้”
พวกเขามีดันเจี้ยน 5 ดาวกับ 6 ดาวอย่างละหนึ่งแห่ง ดังนั้นจึงมีรายได้เยอะ แต่เงินที่มีไม่ได้มากมาย พวกเขาเอาแต่จ่ายกับจ่าย ทุนที่สะสมไว้ตอนแรกก็พร่องลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อก่อนพวกเขาต้องซื้อหินเพิ่มพลังให้วูจิน ตอนนี้ต้องซื้อของเพิ่มพลังให้ซุงกูอีก นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาก
ทุนของกิลด์มาจากดันเจี้ยน
เพื่อเพิ่มเงินทุน กิลด์ต้องเพิ่มจำนวนดันเจี้ยนที่ครอบครอง หรือไม่ก็เพิ่มจำนวนเราส์เอาไว้เข้าดันเจี้ยน
“มีดันเจี้ยนที่กำลังรีเซ็ทอยู่หรือเปล่า?”
“ช่วงนี้โชคไม่ดี กิลด์เราเพิ่งตั้งจะไปถึงดันเจี้ยนก่อนกิลด์อื่นก็ยาก...”
ตอนดันเจี้ยนสถานีมหาวิทยาลัยโซลรีเซ็ท วูจินไปอยู่ตรงนั้นพอดี ไม่อย่างนั้นฮวารางก็คงได้ไป
ดันเจี้ยนรีเซ็ทเกิดไม่บ่อย ดันเจี้ยนเกิดใหม่ก็หาไม่ง่าย
เมืองนี้มีกิลด์ขนาดใหญ่ถึงกลางตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงแล้ว กิลด์อลันดาลจะไปแข่งขันด้วยจึงไม่ง่าย
ขนาดสถานีซาดางอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ยังมีกิลด์ใหญ่อย่างกิลด์แฮมเมอร์เพื่อนบ้านเฝ้าอยู่ จะให้ไปเฝ้าสถานีอื่นคนก็ไม่พอ
“หาดันเจี้ยน 6 ดาวที่ใกล้ระเบิดแล้วสิ”
การฝึกซุงกูให้ผลคุ้มค่า แต่วูจินก็ต้องเพิ่มเลเวลให้ตัวเองด้วย ยิ่งเลเวลเพิ่มขึ้นค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ยิ่งน้อยลง แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ยังให้ค่าประสบการณ์มากพอสมควร
“เข้าใจแล้ว ผมจะลองหาดู”
“ดี แล้วเรื่องกิลด์ฮวารางเป็นไงบ้าง?”
“ยังเจรจาอยู่ครับ เชื่อว่าอีกไม่นานคงเรียบร้อย”
“ไม่ต้องใจดีกับพวกมันนักหรอก ถ้าคุยกันไม่ได้ก็ขยี้มันเลย”
จุงมินชานเสียวสันหลังวูบ วูจินเห็นท่าทางกังวลของเขาแล้วยิ้ม
“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น...”
“ฮะๆ ผมจะรีบจัดการอย่างเร็วเลย ท่านประธานไม่ต้องกังวลหรอก...”
ฟังไม่เหมือนล้อเล่นเลย มินชานตัดสินใจแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ต่อให้ต้องเสียเปรียบไปบ้างก็ตาม
“ถ้าได้เรื่องแล้วก็ติดต่อฉันทันทีเลยนะ”
“ครับ แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวจะมีกระทรวงกลาโหมเข้ามาเกี่ยวด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะมีเรื่องส่วนแบ่ง”
ถ้าไม่มีใครเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็จะเกิดดันเจี้ยนเบรก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าทำไมกระทรวงกลาโหมจึงมีหน้าที่ดูแลดันเจี้ยนเหล่านี้
“ยิ่งดี ฉันจะได้เคลียร์เงื่อนไขเกณฑ์ทหารไปด้วย”
ถึงจะได้เงินน้อยลง แต่วูจินยังได้ยึดค่าประสบการณ์ไว้คนเดียว อีกอย่างเขาก็ยังได้ส่วนแบ่งมากกว่า
ถ้ามีโอกาสได้เคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ไม่มีทางเสียหรอก
“ครับ ผมจะหาข้อมูลเรื่องดันเจี้ยนให้เร็วที่สุด อ้อ แล้วท่านประธานจะจ้างเราส์คนใหม่เมื่อไหร่?”
“เรื่องนั้นเหรอ?ไว้หลังฉันกลับจากอเมริกาแล้วกัน”
วูจินมีแผนจะปั้นซุงกูเป็นแรงค์ A ก่อน เขาจะยัดความรู้เรื่องมอนสเตอร์ทั้งหมดให้ซุงกู แล้วให้ซุงกูไปฝึกเราส์คนใหม่ต่อเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”
“อืม ไปทำงานเถอะ”
มินชานออกจากห้องประธานไป เหลือแต่วูจินกับซุงกู ซุงกูพูดหน้าเจื่อน
“ลูกพี่ ลงทุนกับผมขนาดนี้จะคุ้มเหรอ...”
ซุงกูได้รับการฝึกและสนับสนุนเหมือนเราส์เก่งๆในกิลด์ใหญ่ เป็นสภาพแวดล้อมที่น่าอิจฉา วูจินตอบไม่ลังเล
“ถ้ากรรมการฝ่ายแบกหามเก่งขึ้นฉันก็สบายขึ้นด้วย”
อ้อ งานแบกหามนะ...
“เงินมันก็แค่เครื่องมือ”
เขาแค่ใช้เงินเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นเพราะฉะนั้นจะเก็บเงินไปทำไม? ถ้ายังมีคนลงดันเจี้ยนเงินก็จะยังไหลเข้ามาเรื่อยๆ
“อย่าให้ความสำคัญกับเงินเกินไป นายคิดแค่ว่าจะรอดตายได้ยังไงก็พอแล้ว ฉันฝึกนายมาขนาดนี้ถ้าตายไปนี่สิถึงจะเปลืองสุดๆ ถ้าเป็นงั้นนายก็มีประโยชน์แค่เป็นสื่อเรียกทหารโครงกระดูก”
“นะ...นั่นสินะครับ”
วูจินพูดเรื่องน่ากลัวหน้าตาเฉย ซุงกูเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ วูจินเห็นแล้วยิ้ม
“นายจองเวลาลงดันเจี้ยน 3 ดาวไว้กี่โมง?”
“6 โมงครับ ผมใกล้จะไปแล้ว”
“ดี ไปเถอะ”
“ครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซุงกูเข้าดันเจี้ยน 3 ดาวคนเดียว เขาเคยเข้าดันเจี้ยนที่ดาวสูงกว่าแต่ที่นั่นมีวูจินอยู่ด้วย เมื่อไม่มีวูจินก็ไม่มีคนรับรองความปลอดภัยให้ มันต่างกันมาก
ช่วยไม่ได้ที่ซุงกูจะวิตก
“มั่นใจหน่อยสิเจ้าหนู”
“ครับ”
ซุงกูเป็นเราส์แรงค์ C คนหนึ่ง
ดันเจี้ยน 3 ดาวกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว ทำไมเขาจะเคลียร์เองไม่ไหวล่ะ ซุงกูคิดแล้วนึกได้ว่าเขาควรจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองให้มากกว่านี้ เขาน่าจะมีดีกว่าที่ตัวเองคิด
“พยายามเข้า”
“ครับ ลูกพี่ก็พักผ่อนกับครอบครัวนะครับ...”
“อืม”
แยกจากซุงกูกับพรรคพวกในกิลด์แล้ววูจินก็กลับบ้าน เขาสัญญากับคนที่บ้านว่าจะกินข้าวเย็นด้วย ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้ว
วูจินกลับมาที่โลกเพราะคิดถึงบ้าน แต่เหมือนเยาะเย้ยกัน เพราะต้องเก็บเลเวลต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องครอบครัวจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัว
เขาต้องเตรียมพร้อมรับอนาคตที่มืดมน แต่เขาก็ไม่ควรละเลยปัจจุบัน ทุกนาทีสำคัญสำหรับวูจิน เขาตามหาเวลานี้มา 20 ปี
เมื่อวูจินมาถึงบ้าน โซอาเป็นคนแรกที่มาต้อนรับเขาเช่นเคย
“พี่จ๋า!”
“โอ้โห โซอารอพี่ชายอยู่เหรอ?”
“อื้อ เฮะๆ”
เพราะเป็นเด็กหรือเปล่านะ โซอาปรับตัวกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอมีบ้านหลังใหญ่ ได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนใกล้ๆที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพราะเป็นเด็กเธอจึงหาเพื่อนได้เร็วและรู้สึกสนุกทุกวัน
ไม่เหมือนแม่เขา เมื่อก่อนแม่เขาอยู่อย่างยากลำบาก เมื่อลูกชายกลับมาและสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปมากแม่ก็ยังไม่ชิน เขาบอกให้แม่ออกจากงาน แต่ดูเหมือนแม่จะยังไปช่วยงานที่ร้านอาหารซุงมีอยู่
ไม่เกี่ยวกับเงิน นางแค่รู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้ทำอะไร
วูจินคิดว่าเขาต้องรีบตั้งร้านให้แม่เร็วๆ
“ลูกไปอาบน้ำล้างตัวเถอะ ข้าวจะเสร็จแล้ว”
“ครับผม”
เอาเถอะ ไว้คุยเรื่องนี้ตอนกินข้าวแล้วกัน
วูจินจะเข้าห้องน้ำ แต่ถูกขวางไว้
บิบิกำลังกอดขาวูจินแน่น
“มีอะไร?”
บิบิมองซ้ายมองขวา จากนั้นกระโดดขึ้นบนไหล่วูจินแล้วกระซิบ
“เจ้านาย พาเราไปด้วยนะเมี้ยว”
“ไปไหน?”
“เราเบื่อจะตายแล้วเมี้ยว อยากไปสู้ด้วยกันกับโดลเซจิงเมี้ยว”
วูจินยิ้ม เธอคงเบื่อมากที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กับบ้าน บิบิยังไงก็เป็นอสูร เธอคิดถึงสนามรบ
“โซอาเป็นไงบ้าง”
“ไม่ต้องพูดเลยเมี้ยว เจ้านายเอาหมาอะไรไม่รู้มาเธอเลยไม่สนใจ เอาแต่กวนเราอยู่นั่นเมี้ยว”
โซอาบอกว่าไม่ชอบแมว แต่ดูท่าจะชอบเล่นกับบิบิ
“บิบิ!อยู่ไหนน่ะ?”
เมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น บิบิน้ำตาร่วง
“นะๆ เจ้านาย บอกว่าเราหนีออกจากบ้านก็ได้เมี้ยว”
ถ้าอย่างนั้นเขาก็นอนที่บ้านไม่ได้สิ
“อืม ฉันจะหาทางดู”
“สัญญาแล้วนะเมี้ยว เอาเราไปสู้ด้วยนะเมี้ยว”
เห็นวูจินพยักหน้า บิบิรู้สึกโล่งใจ เธอกระโดดลง
“บิบิ พี่สาวหาอยู่นะ ไปอยู่ไหนน่ะ?”
“เมี้ยว”
วูจินที่กำลังอาบน้ำแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น
ไม่นานอาหารก็วางบนโต๊ะเรียบร้อย คนสามคนนั่งล้อมโต๊ะ
“วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรเหรอ?”
“แม่อยากให้ลูกกินเยอะๆ เหนื่อยมามากแล้ว...”
ลีซุกยุงมองวูจินอย่างขอบใจและโล่งใจ
“วันนี้แม่ไปที่ร้านซุงมี พวกเขาว่าลูกทำเรื่องยิ่งใหญ่กว่าที่แม่คิด?”
แม่ไม่ค่อยดูโทรทัศน์ ดังนั้นจึงตามข่าวไม่ค่อยทัน ดูเหมือนเพื่อนที่ร้านซุงมีจะบอกอะไร
วูจินเดาได้ว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไร
“หึ ไม่อันตรายหรอก แม่ไม่ต้องห่วง”
ลีซุกยุงกุมมือวูจินแน่น
“แม่ไม่ได้หูหนวกนะ แม่รู้ว่างานลูกอันตรายแค่ไหน...”
“เอ่อ นั่น...”
“ไม่เป็นไร ลูกกำลังทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แม่จะไปเห็นแก่ตัวห้ามลูกได้ยังไง เรื่องแม่ไม่ต้องห่วง”
“แม่...”
วูจินกุมมือลีซุกยุง
จู่ๆแม่เขาก็พูดขึ้น
“อีกอย่าง ได้ยินว่าลูกมีแฟนแล้ว...”
อ่า นั่นก็รู้ด้วยเหรอ
“ลูกก็ไม่เด็กแล้ว รีบๆแต่งงานมีลูกมีหลานได้แล้ว”
วูจินหัวเราะเจื่อนกับคำพูดตรงๆของแม่
แม่คิดไกลไปแล้ว
วูจินคิดว่าเขาควรจะพาจีวอนมาหาแม่สักครั้ง
ขณะกินอาหารเย็นอย่างมีความสุข เสียงโทรศัพท์ของวูจินก็ดังขึ้น
วูจินยิ้มเมื่อเห็นชื่อของจุงมินชาน
[ท่านประธาน ผมเจอดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้า]
ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้าไปเคลียร์ แปลว่ากำลังรอให้ดันเจี้ยนนั้นระเบิด สำหรับวูจินนี่ไม่ต่างกับการบอกว่ามีค่าประสบการณ์กับอาร์ติแฟคให้เขาไปเอา
“ที่ไหน?”
[พย็องยัง]
วูจินตากระตุก ฟังผิดหรือเปล่า?
“เกาหลีเหนือ?”
[ครับ]
วูจินหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ
เขาเคยพูดเรื่องพย็องยัง คราวนี้ดูท่าจะได้ไปจริงๆ
วันนี้เป็นวันที่ 4 ที่บิบิต้องเฝ้าบ้านโดยไม่มีเจ้านายอยู่ด้วย เธอถอนหายใจ
เด็กน้อยเอาแต่กวนให้เธอเล่นด้วย เจ้านายแวะมาทิ้งหมาไว้ตัวหนึ่งแล้วก็ไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว
เด็กน้อยร้องไห้ว่าหมามันตัวใหญ่ไป แล้วก็กลับมาแกว่งพ้อยท์เตอร์กับเบ็ดใส่บิบิเหมือนเดิม
แต่ช่วงกลางวันบิบิจะว่าง เพราะเด็กน้อยไปโรงเรียน วันนี้ท่านแม่ของเจ้านายออกไปข้างนอก บิบิจึงไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นแมว
เธอดูเหมือนแมว แต่ไม่ต้องทำตัวเหมือนแมว บิบิเปิดตู้เย็นเอาปลาแซลมอนออกมาตัวหนึ่ง
เพราะเปลี่ยนร่างกายเป็นแบบนี้ รสนิยมด้านการกินกับพฤติกรรมก็กระเดียดมาทางแมว
บิบิกำลังฉีกห่อปลาแซลมอนออก แล้วเจ้าหมาก็เข้ามาใกล้
“กรร โฮ่งๆ”
“เฮ้อ ไปห่างๆเลยนะเมี้ยว” บิบิไล่
มันเป็นตัวน่ารำคาญ เป็นแค่หมาแท้ๆแต่ตัวใหญ่กว่าเธอ ดูเหมือนเด็กน้อยจะอยากได้หมาตัวเล็ก
“โฮ่ง”
“ชิ่วๆ นูรุงอา”
เจ้านายตั้งชื่อหมาตัวนี้ส่งๆว่า นูรุงกิ มันมองบิบิพลางเห่าไม่หยุด
บิบิตัวเล็ก มีของน่ากินอยู่กับตัว มันมองว่าเธอรังแกง่าย และตั้งใจจะแย่งปลาไปจากเธอ
บิบิส่งเสียงฮึ
“แกปีนขึ้นมาไม่ได้หรอกเมี้ยว”
“โฮ่งๆ”
นูรุงกิเห่าไม่เลิก เห็นอย่างนั้นบิบิก็ถอนหายใจ เธอถูกหมามองว่ารังแกได้ง่าย ตกต่ำลงขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ไปซะ ระหว่างที่ฉันยังพูดดีๆนะเมี้ยว”
บิบิเหวี่ยงอุ้งเท้าสีชมพูทุบหัวนูรุงกิ
ปุก!
“เอ๋งๆ”
นูรุงกิตกใจวิ่งหนีไป
“เฮ้อ เมื่อไหร่เจ้านายจะกลับมาซะที?”
ทุกครั้งที่เจ้านายกลับมาจากดันเจี้ยน เลเวลของเจ้านายก็เพิ่มขึ้นมาก บิบิก็อยากเพิ่มเลเวลเร็วๆแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
เวลาผ่านไป เธอยิ่งเศร้าใจ
อีกไม่นานเด็กน้อยก็จะกลับจากโรงเรียน
***
ตึกกิลด์อลันดาล
[คุณใช้คริสตัลเวทย์มนตร์]
วูจินกินหินเพิ่มพลังที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะให้เขาเข้าไป กินเอาๆจนกระทั่งอัตราการดูดซึมช้าลง
ซุงกูนั่งตรงข้ามวูจิน กินหินเพิ่มพลังที่วูจินยกให้ เขามีบาดแผลตามตัวรู้สึกได้ถึงพลังป่าเถื่อนจากตัวเขา
ทุกครั้งที่วูจินจองดันเจี้ยน 5 หรือ 6 ดาว เขาให้ซุงกูได้สู้กับมอนสเตอร์หลายๆชนิด แต่วูจินก็เป็นคนจัดการกับมอนสเตอร์เกือบทั้งหมดอยู่ดี ซุงกูแค่สู้กับมอนสเตอร์ส่วนน้อย แต่ต่อให้เป็นส่วนน้อยก็สำคัญมาก
ซุงกูล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนดาวสูงได้ เขาเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 4 เราส์แรงค์ C เต็มตัว ซุงกูใช้ความสามารถในสถานการณ์คับขันเป็นตายดังนั้นจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก๊อกๆ
“เข้ามา”
จุงมินชานอุ้มกล่องใบหนึ่งเข้ามาในห้อง
“นี่เป็นตำราทักษะที่ท่านประธานพูดถึงน่ะ”
“ซื้อมาแล้วเหรอ”
เมื่อได้กล่องมาวูจินก็ทำหน้าสงสัย เขาบอกให้มินชานซื้อไอเทมมา 3 อย่าง แต่ในนี้มีเพียง 2 อย่าง
“อีกอันล่ะ?”
“ทักษะระดับวงแหวนที่ 4 แพงมาก อีกอย่างเรายังไม่หยุดซื้อหินเพิ่มพลัง เงินทุนทั้งหมดของกิลด์ใช้ไปกับการซื้อของ”
“เงินไม่พอเหรอ?”
“ใช่ แต่ยังไม่ถึงขั้นติดตัวแดง แค่ต้องใช้เวลานานหน่อยถึงจะซื้อได้”
พวกเขามีดันเจี้ยน 5 ดาวกับ 6 ดาวอย่างละหนึ่งแห่ง ดังนั้นจึงมีรายได้เยอะ แต่เงินที่มีไม่ได้มากมาย พวกเขาเอาแต่จ่ายกับจ่าย ทุนที่สะสมไว้ตอนแรกก็พร่องลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อก่อนพวกเขาต้องซื้อหินเพิ่มพลังให้วูจิน ตอนนี้ต้องซื้อของเพิ่มพลังให้ซุงกูอีก นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาก
ทุนของกิลด์มาจากดันเจี้ยน
เพื่อเพิ่มเงินทุน กิลด์ต้องเพิ่มจำนวนดันเจี้ยนที่ครอบครอง หรือไม่ก็เพิ่มจำนวนเราส์เอาไว้เข้าดันเจี้ยน
“มีดันเจี้ยนที่กำลังรีเซ็ทอยู่หรือเปล่า?”
“ช่วงนี้โชคไม่ดี กิลด์เราเพิ่งตั้งจะไปถึงดันเจี้ยนก่อนกิลด์อื่นก็ยาก...”
ตอนดันเจี้ยนสถานีมหาวิทยาลัยโซลรีเซ็ท วูจินไปอยู่ตรงนั้นพอดี ไม่อย่างนั้นฮวารางก็คงได้ไป
ดันเจี้ยนรีเซ็ทเกิดไม่บ่อย ดันเจี้ยนเกิดใหม่ก็หาไม่ง่าย
เมืองนี้มีกิลด์ขนาดใหญ่ถึงกลางตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงแล้ว กิลด์อลันดาลจะไปแข่งขันด้วยจึงไม่ง่าย
ขนาดสถานีซาดางอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ยังมีกิลด์ใหญ่อย่างกิลด์แฮมเมอร์เพื่อนบ้านเฝ้าอยู่ จะให้ไปเฝ้าสถานีอื่นคนก็ไม่พอ
“หาดันเจี้ยน 6 ดาวที่ใกล้ระเบิดแล้วสิ”
การฝึกซุงกูให้ผลคุ้มค่า แต่วูจินก็ต้องเพิ่มเลเวลให้ตัวเองด้วย ยิ่งเลเวลเพิ่มขึ้นค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ยิ่งน้อยลง แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ยังให้ค่าประสบการณ์มากพอสมควร
“เข้าใจแล้ว ผมจะลองหาดู”
“ดี แล้วเรื่องกิลด์ฮวารางเป็นไงบ้าง?”
“ยังเจรจาอยู่ครับ เชื่อว่าอีกไม่นานคงเรียบร้อย”
“ไม่ต้องใจดีกับพวกมันนักหรอก ถ้าคุยกันไม่ได้ก็ขยี้มันเลย”
จุงมินชานเสียวสันหลังวูบ วูจินเห็นท่าทางกังวลของเขาแล้วยิ้ม
“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น...”
“ฮะๆ ผมจะรีบจัดการอย่างเร็วเลย ท่านประธานไม่ต้องกังวลหรอก...”
ฟังไม่เหมือนล้อเล่นเลย มินชานตัดสินใจแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ต่อให้ต้องเสียเปรียบไปบ้างก็ตาม
“ถ้าได้เรื่องแล้วก็ติดต่อฉันทันทีเลยนะ”
“ครับ แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวจะมีกระทรวงกลาโหมเข้ามาเกี่ยวด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะมีเรื่องส่วนแบ่ง”
ถ้าไม่มีใครเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็จะเกิดดันเจี้ยนเบรก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าทำไมกระทรวงกลาโหมจึงมีหน้าที่ดูแลดันเจี้ยนเหล่านี้
“ยิ่งดี ฉันจะได้เคลียร์เงื่อนไขเกณฑ์ทหารไปด้วย”
ถึงจะได้เงินน้อยลง แต่วูจินยังได้ยึดค่าประสบการณ์ไว้คนเดียว อีกอย่างเขาก็ยังได้ส่วนแบ่งมากกว่า
ถ้ามีโอกาสได้เคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ไม่มีทางเสียหรอก
“ครับ ผมจะหาข้อมูลเรื่องดันเจี้ยนให้เร็วที่สุด อ้อ แล้วท่านประธานจะจ้างเราส์คนใหม่เมื่อไหร่?”
“เรื่องนั้นเหรอ?ไว้หลังฉันกลับจากอเมริกาแล้วกัน”
วูจินมีแผนจะปั้นซุงกูเป็นแรงค์ A ก่อน เขาจะยัดความรู้เรื่องมอนสเตอร์ทั้งหมดให้ซุงกู แล้วให้ซุงกูไปฝึกเราส์คนใหม่ต่อเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”
“อืม ไปทำงานเถอะ”
มินชานออกจากห้องประธานไป เหลือแต่วูจินกับซุงกู ซุงกูพูดหน้าเจื่อน
“ลูกพี่ ลงทุนกับผมขนาดนี้จะคุ้มเหรอ...”
ซุงกูได้รับการฝึกและสนับสนุนเหมือนเราส์เก่งๆในกิลด์ใหญ่ เป็นสภาพแวดล้อมที่น่าอิจฉา วูจินตอบไม่ลังเล
“ถ้ากรรมการฝ่ายแบกหามเก่งขึ้นฉันก็สบายขึ้นด้วย”
อ้อ งานแบกหามนะ...
“เงินมันก็แค่เครื่องมือ”
เขาแค่ใช้เงินเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นเพราะฉะนั้นจะเก็บเงินไปทำไม? ถ้ายังมีคนลงดันเจี้ยนเงินก็จะยังไหลเข้ามาเรื่อยๆ
“อย่าให้ความสำคัญกับเงินเกินไป นายคิดแค่ว่าจะรอดตายได้ยังไงก็พอแล้ว ฉันฝึกนายมาขนาดนี้ถ้าตายไปนี่สิถึงจะเปลืองสุดๆ ถ้าเป็นงั้นนายก็มีประโยชน์แค่เป็นสื่อเรียกทหารโครงกระดูก”
“นะ...นั่นสินะครับ”
วูจินพูดเรื่องน่ากลัวหน้าตาเฉย ซุงกูเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ วูจินเห็นแล้วยิ้ม
“นายจองเวลาลงดันเจี้ยน 3 ดาวไว้กี่โมง?”
“6 โมงครับ ผมใกล้จะไปแล้ว”
“ดี ไปเถอะ”
“ครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซุงกูเข้าดันเจี้ยน 3 ดาวคนเดียว เขาเคยเข้าดันเจี้ยนที่ดาวสูงกว่าแต่ที่นั่นมีวูจินอยู่ด้วย เมื่อไม่มีวูจินก็ไม่มีคนรับรองความปลอดภัยให้ มันต่างกันมาก
ช่วยไม่ได้ที่ซุงกูจะวิตก
“มั่นใจหน่อยสิเจ้าหนู”
“ครับ”
ซุงกูเป็นเราส์แรงค์ C คนหนึ่ง
ดันเจี้ยน 3 ดาวกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว ทำไมเขาจะเคลียร์เองไม่ไหวล่ะ ซุงกูคิดแล้วนึกได้ว่าเขาควรจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองให้มากกว่านี้ เขาน่าจะมีดีกว่าที่ตัวเองคิด
“พยายามเข้า”
“ครับ ลูกพี่ก็พักผ่อนกับครอบครัวนะครับ...”
“อืม”
แยกจากซุงกูกับพรรคพวกในกิลด์แล้ววูจินก็กลับบ้าน เขาสัญญากับคนที่บ้านว่าจะกินข้าวเย็นด้วย ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้ว
วูจินกลับมาที่โลกเพราะคิดถึงบ้าน แต่เหมือนเยาะเย้ยกัน เพราะต้องเก็บเลเวลต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องครอบครัวจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัว
เขาต้องเตรียมพร้อมรับอนาคตที่มืดมน แต่เขาก็ไม่ควรละเลยปัจจุบัน ทุกนาทีสำคัญสำหรับวูจิน เขาตามหาเวลานี้มา 20 ปี
เมื่อวูจินมาถึงบ้าน โซอาเป็นคนแรกที่มาต้อนรับเขาเช่นเคย
“พี่จ๋า!”
“โอ้โห โซอารอพี่ชายอยู่เหรอ?”
“อื้อ เฮะๆ”
เพราะเป็นเด็กหรือเปล่านะ โซอาปรับตัวกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอมีบ้านหลังใหญ่ ได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนใกล้ๆที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพราะเป็นเด็กเธอจึงหาเพื่อนได้เร็วและรู้สึกสนุกทุกวัน
ไม่เหมือนแม่เขา เมื่อก่อนแม่เขาอยู่อย่างยากลำบาก เมื่อลูกชายกลับมาและสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปมากแม่ก็ยังไม่ชิน เขาบอกให้แม่ออกจากงาน แต่ดูเหมือนแม่จะยังไปช่วยงานที่ร้านอาหารซุงมีอยู่
ไม่เกี่ยวกับเงิน นางแค่รู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้ทำอะไร
วูจินคิดว่าเขาต้องรีบตั้งร้านให้แม่เร็วๆ
“ลูกไปอาบน้ำล้างตัวเถอะ ข้าวจะเสร็จแล้ว”
“ครับผม”
เอาเถอะ ไว้คุยเรื่องนี้ตอนกินข้าวแล้วกัน
วูจินจะเข้าห้องน้ำ แต่ถูกขวางไว้
บิบิกำลังกอดขาวูจินแน่น
“มีอะไร?”
บิบิมองซ้ายมองขวา จากนั้นกระโดดขึ้นบนไหล่วูจินแล้วกระซิบ
“เจ้านาย พาเราไปด้วยนะเมี้ยว”
“ไปไหน?”
“เราเบื่อจะตายแล้วเมี้ยว อยากไปสู้ด้วยกันกับโดลเซจิงเมี้ยว”
วูจินยิ้ม เธอคงเบื่อมากที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กับบ้าน บิบิยังไงก็เป็นอสูร เธอคิดถึงสนามรบ
“โซอาเป็นไงบ้าง”
“ไม่ต้องพูดเลยเมี้ยว เจ้านายเอาหมาอะไรไม่รู้มาเธอเลยไม่สนใจ เอาแต่กวนเราอยู่นั่นเมี้ยว”
โซอาบอกว่าไม่ชอบแมว แต่ดูท่าจะชอบเล่นกับบิบิ
“บิบิ!อยู่ไหนน่ะ?”
เมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น บิบิน้ำตาร่วง
“นะๆ เจ้านาย บอกว่าเราหนีออกจากบ้านก็ได้เมี้ยว”
ถ้าอย่างนั้นเขาก็นอนที่บ้านไม่ได้สิ
“อืม ฉันจะหาทางดู”
“สัญญาแล้วนะเมี้ยว เอาเราไปสู้ด้วยนะเมี้ยว”
เห็นวูจินพยักหน้า บิบิรู้สึกโล่งใจ เธอกระโดดลง
“บิบิ พี่สาวหาอยู่นะ ไปอยู่ไหนน่ะ?”
“เมี้ยว”
วูจินที่กำลังอาบน้ำแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น
ไม่นานอาหารก็วางบนโต๊ะเรียบร้อย คนสามคนนั่งล้อมโต๊ะ
“วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรเหรอ?”
“แม่อยากให้ลูกกินเยอะๆ เหนื่อยมามากแล้ว...”
ลีซุกยุงมองวูจินอย่างขอบใจและโล่งใจ
“วันนี้แม่ไปที่ร้านซุงมี พวกเขาว่าลูกทำเรื่องยิ่งใหญ่กว่าที่แม่คิด?”
แม่ไม่ค่อยดูโทรทัศน์ ดังนั้นจึงตามข่าวไม่ค่อยทัน ดูเหมือนเพื่อนที่ร้านซุงมีจะบอกอะไร
วูจินเดาได้ว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไร
“หึ ไม่อันตรายหรอก แม่ไม่ต้องห่วง”
ลีซุกยุงกุมมือวูจินแน่น
“แม่ไม่ได้หูหนวกนะ แม่รู้ว่างานลูกอันตรายแค่ไหน...”
“เอ่อ นั่น...”
“ไม่เป็นไร ลูกกำลังทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แม่จะไปเห็นแก่ตัวห้ามลูกได้ยังไง เรื่องแม่ไม่ต้องห่วง”
“แม่...”
วูจินกุมมือลีซุกยุง
จู่ๆแม่เขาก็พูดขึ้น
“อีกอย่าง ได้ยินว่าลูกมีแฟนแล้ว...”
อ่า นั่นก็รู้ด้วยเหรอ
“ลูกก็ไม่เด็กแล้ว รีบๆแต่งงานมีลูกมีหลานได้แล้ว”
วูจินหัวเราะเจื่อนกับคำพูดตรงๆของแม่
แม่คิดไกลไปแล้ว
วูจินคิดว่าเขาควรจะพาจีวอนมาหาแม่สักครั้ง
ขณะกินอาหารเย็นอย่างมีความสุข เสียงโทรศัพท์ของวูจินก็ดังขึ้น
วูจินยิ้มเมื่อเห็นชื่อของจุงมินชาน
[ท่านประธาน ผมเจอดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้า]
ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้าไปเคลียร์ แปลว่ากำลังรอให้ดันเจี้ยนนั้นระเบิด สำหรับวูจินนี่ไม่ต่างกับการบอกว่ามีค่าประสบการณ์กับอาร์ติแฟคให้เขาไปเอา
“ที่ไหน?”
[พย็องยัง]
วูจินตากระตุก ฟังผิดหรือเปล่า?
“เกาหลีเหนือ?”
[ครับ]
วูจินหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ
เขาเคยพูดเรื่องพย็องยัง คราวนี้ดูท่าจะได้ไปจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)