วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 53

บทที่ 53 – งานเลี้ยง (4)

พูดถึงเผ่าผีเสื้อแล้วผมก็เริ่มสนใจ แต่ชีวิตสงบสุขต้องมาก่อน อีกอย่างถึงถามไปผมก็ไม่คิดว่าเขาจะตอบ

“พิธีเปิดเป็นยังไงบ้าง อัลฟอนโซ?” ยูเรียถาม

อัลฟอนโซพยักหน้า “อื้ม! แต่นแต๊น! ข้าได้นี่มาล่ะ” เขาหยิบกล่องเล็กๆจากกระเป๋าให้ฝาแฝดดู

ในกล่องคืออินทรธนูที่จะติดบนบ่าตอนใส่เครื่องแบบ มันเป็นรูปดาวหกแฉกบนไม้เท้า ยศของจักรวรรดิกับชาติก่อนของผมเรียกไม่เหมือนกัน แต่คงเทียบได้กับจ่าสิบเอก

ถึงลิสบอนไม่เอาออกมาให้ดูแต่เขาก็ได้เหมือนกัน โรงเรียนอัศวินขั้นกลางถือว่าสูงกว่าของอัลฟอนโซ แต่พวกเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน แต่พอพวกเขากลายเป็นจ่าสิบเอกแล้วดูแก่มากยังไงไม่รู้

“ในที่สุดเจ้าก็มาสู่ก้าวแรกของการเป็นอัศวิน ยินดีด้วย อัลฟอนโซ”

วิลเลียมปรบมือแสดงความยินดี อัลฟอนโซเกาศีรษะอย่างอายๆ

“เฮะๆๆ ขอบคุณครับลุง”

มาคิดดูแล้ว อนาคตของอัลฟอนโซมั่นคงดี ลุงของเขาผู้เป็นผู้ปกครองตอนอยู่เมืองหลวงก็เป็นคนตำแหน่งสูงในกองทัพ เด็กนี่ตอนเข้ากองทัพอาจพูดประมาณ “เจ้าเป็นจ่าสิบตรีของที่นี่เหรอ?” ก็ยังได้

ถ้าเขารู้จักใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ การเลื่อนขั้นก็ไปได้เร็ว มันเป็นไปได้เพราะจักรวรรดิเหมือนยุคศักดินาสมัยเก่าไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ยิ่งผมอยู่กับลุงก็ทำให้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ลุงของอัลฟอนโซคงไม่บังคับให้เขาไปเขตแดนปีศาจเหมือนลุงของผม

ถ้าลุงมีสามัญสำนึกของคนทั่วไป ไม่ใช่ของเผ่ากาคงดี แย่ชะมัด

พวกเขายังไม่มองมาที่ผม หลบก่อนดีกว่า

“ว่าแต่คนตรงนั้นคือใครเหรอ?”

ชิบ สายเกินไป!

วิลเลียมถามชี้มาที่ผม อัลฟอนโซตอบเสียงแจ่มใส

“เขาเป็นเพื่อนข้า!”

ผมไม่อยากเป็นจุดเด่น แต่ถ้าหนีไปโดยไม่ทักทายจะยิ่งสะดุดตากว่า 

“สวัสดีครับ ข้า เดน วอน มาร์ค”

“...เดน?”

วิลเลียมดูสงสัย ปฏิกิริยานี้ตัดสินได้ว่าข่าวการหลบหนีของผมคงไปถึงวังแล้ว

ตอนขโมยข้อสอบ ผมไม่เห็นเอกสารเกี่ยวกับวิธีรับมือตอนผมอาละวาด แสดงว่าคนที่รู้เรื่องของผมมีน้อยมาก

ที่เรื่องการหลบหนีของผมถูกเก็บเป็นความลับนี่ ผมคิดเหตุผลได้สองข้อ หนึ่ง ป้องกันความโกลาหล ดูจากที่พ่อของผมทำไว้สมัยหนุ่มๆ ต้องมีหลายกลุ่มคนแน่ที่จะตื่นตระหนกเมื่อรู้ข่าวทายาทของเขาหนีออกมา สอง เพื่อไม่ยุแหย่ผมโดยใช่เหตุ ถ้าจู่ๆพวกเขาติดประกาศจับผม พวกเขาไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร จึงตัดสินใจอยู่เฉยๆ นี่เป็นหลักการเดียวกับการไม่แหย่รังผึ้ง

“ข้าพักที่เดียวกับอัลฟอนโซและยูเรียครับ”

ต้องพูดอย่างนั้นวิลเลียมถึงเลิกสงสัย ยิ้มและเขย่ามือกับผม

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อวิลเลียม ลุงของพวกเขา ขอบคุณที่มาเล่นกับอัลฟอนโซ”

เป็นการทักทายที่ธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง ไม่แปลกที่ผมจะคิดอย่างนั้นเมื่อนึกถึงบ้านเกิดผมที่พิธีรีตองต่างๆถูกจัดไปข้างหลัง

ผมก้มศีรษะลงเล็กน้อยและตอบกลับ “เป็นเกียรติที่ได้พบนายพลวิลเลียมผู้โด่งดังครับ”

ผมต้องยกมือเสมอตาเพราะหน้าต่างอยู่สูงกว่าหน่อย เขาคงไม่คิดว่าเดนเบอร์กจะอยู่หอพัก
ของคุณนายอาร์ซิลลา แม่ของนายกรัฐมนตรี คนหลบหนีสติดีคงไม่ไปที่นั่นซึ่งตรวจสอบตัวตนและมีการจับตาดู

แต่ไม่ได้หมายความว่าผมสติไม่ดีนะ มาใช้ภาพลักษณ์ของเผ่ากาที่บ้าการต่อสู้ เปลี่ยนเป็นพูดอย่างมีการศึกษาเพื่อไม่ให้เขาคิดว่าผมเป็นเดนเบอร์กดีกว่า

เพื่อเป็นการรับมือสถานการณ์แบบนี้ ผมย้อมผมเป็นสีน้ำตาลเข้มแบบที่พบเห็นง่าย แต่ปล่อยดวงตาเป็นสีเดิมเพราะนอกจากใช้เวทมนตร์แล้วไม่มีทางอื่น ฝ่ายตรงข้ามมาจากเผ่าผีเสื้อ การใช้เวทมนตร์ต้องหลีกเลี่ยง

“ไม่ต้องพูดเป็นทางการแบบนั้นหรอก เพื่อนของหลานข้าก็เหมือนหลานข้าด้วย”

วิลเลียมยิ้มสดใสพูดเหมือนตอนแฟลมพูดกับอัลฟอนโซ สมเป็นคนในครอบครัวเดียวกับอัลฟอนโซและยูเรีย เขายิ้มเหมือนกัน

“เดน อัลฟอนโซ ทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” ลิสบอนกับแฟลมตามมาข้างหลังและถาม

พวกเขาคงตามมาหลังจากพวกเราหายไปไม่บอก

วิลเลียมมองสองคนที่ตามมาและถามหลาน “แล้วคนพวกนี้ล่ะ?”

“เพื่อนผม!”

วิลเลียมตบหัวอัลฟอนโซเบาๆดูตื้นตันใจหน่อยๆ “สวัสดี! ข้าเป็นลุงเขา ช่วยเป็นเพื่อนกับอัลฟอนโซของเราต่อไปด้วยนะ”

ลิสบอนตอบกลับอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมชื่อ ลิสบอน วอน คาร์เตอร์”

ผ่านไปสักพักเหมือนเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า เขาดูตกใจ

“!”

คงจำได้แล้วว่าลุงของอัลฟอนโซคือใคร

เฮ้ย ปฏิกิริยานายช้ามาก!

แฟลมดูไม่สนใจ อาจเพราะเขาไม่รู้ความเป็นมาของอัลฟอนโซเพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก เผ่าผีเสื้อมีผมสีขาวเป็นความรู้ทั่วไป แต่เพราะคนเผ่านักสู้ไม่ได้มีอยู่ที่นี่เยอะ จึงไม่ค่อยคิดกันว่าคนที่อยู่ข้างๆเป็นชาติพันธุ์นักสู้

“ฮ่าๆๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ถ้าท่านเป็นลุงของเพื่อนก็เป็นลุงของข้าด้วย”

ผมรู้จักกับแฟลมแค่ช่วงสั้นๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคนบ้าขนาดนี้

นายรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร? ไม่รู้ล่ะสิ ถ้ารู้คงไม่พูดแบบนั้น

แต่ถ้าเขาไม่พูดแบบนั้น เขาจะดูเหมือนเพนกวินใส่แว่นน้อยลงหรือเปล่า แต่ถ้าดูจากขนาดตัวของเขา เขาดูเหมือนหมีขั้วโลกมากกว่าเพนกวิน

“ขอบใจที่คิดอย่างนั้น” วิลเลียมดูไม่ถือสาท่าทางของแฟลมและพูดตอบสบายๆ

หรือเขาไม่ถือเพราะแฟลมดูแก่ ข้อดีหนึ่งข้อของการมีหน้าแก่!

“พวกเราเจอกันถือว่าชะตาต้องกัน เข้ามาสิ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”

ปกติแล้วสถานการณ์แบบนี้ เจ้าโง่จะปฏิเสธ แต่เขายืนนิ่ง

เห็นลิสบอนแบบนี้ก็เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ทันทีที่เริ่มการฝึกเป็นอัศวิน เขาก็ได้เจอนายพลที่เขานับถือเหมือนฝันเป็นจริง แต่กลับรู้สึกเขินที่จะเข้าไปนั่งด้วย

“ข้าสงสัยด้วยว่าใครเป็นคนทำให้ยูเรียหัวเราะคิกคัก”

“ลุง!” ยูเรียหน้าแดงและโจมตีวิลเลียมที่ซี่โครง

“อ๊อก!”

วิลเลียมร้องแล้วล้มลงเมื่อถูกต่อยด้วยหมัดที่เพิ่มพลังด้วยเวทมนตร์ ถ้าเป็นคนปกติคงไม่จบแค่อวัยวะฉีกขาด

เอ่อ ยัง โอเค อยู่ หรือเปล่า?

ไม่มีคำตอบ เหมือนถามคนตายเลย

“โฮะๆๆ แหม ลุงก็ อย่าแกล้งกันสิ”

ถึงจะมีหน้าต่างบังไว้ แต่ยูเรียหัวเราะและใช้เท้าสะกิดวิลเลียมให้รีบลุกขึ้น ผมไม่คิดว่าเขาแกล้งตายนะ การโจมตีของยูเรียเชี่ยวชาญขนาดถ้าเผ่ากาโดนเข้าไปโดยไม่ป้องกันก็ลุกขึ้นยากเหมือนกัน

ผมระวังไม่ยุ่งกับยูเรียจนถึงตอนนี้ และจะไม่ยุ่งกับเธอเช่นเดิมต่อไป

“อั่ก”

วิลเลียมลุกขึ้นพร้อมคราง เขาส่งถุงเงินให้ยูเรียด้วยสีหน้าซีดขาว

“ข้ามีงานต้องทำ ต้องไป...ก่อน...เอานี่ไปซื้ออาหาร”

การหายใจของเขาติดขัด เขาคงคิดว่าถ้ายังเล่นอยู่ต่ออาจตายได้ จึงหนีไปโดยทิ้งเงินไว้ให้

นี่มันการปราบมอนสเตอร์หาเงินแบบในเกมนี่?

พวกเราเข้าไปในภัตตาคารและกินมื้อเที่ยงด้วยเงินที่ยูเรียได้จากการปราบมอนสเตอร์

***

จากยอดปราสาทที่อยู่ชานเมือง ชายแก่ผมสีเทาใส่หน้ากากทอง กับชายร่างบึกบึนใส่หน้ากากสีน้ำตาลกำลังมองเมืองหลวงที่อยู่เบื้องล่าง

“มันดูเปล่าประโยชน์ใช่ไหม? สิงห์” ชายในหน้ากากสีน้ำตาลที่ถูกเรียกว่าพฤษภ ถอนหายใจขณะที่ความมืดค่อยๆเข้าครอบคลุมเมืองหลวง

ชายแก่ใส่หน้ากากทอง สิงห์ ยิ้มเฝื่อน “มันอาจดูเปล่าประโยชน์ ใช่ มันเปล่าประโยชน์” จากนั้นเขากระโดดไปบนกำแพงปราสาทชั้นนอก

“แต่เจ้าก็รู้ พฤษภ”สิงห์มองกลับไปที่พฤษภและหัวเราะด้วยความโลภ “ถ้าเจ้าสามารถได้ทั้งหมดนี่มาไว้กับมือมันจะเป็นอะไรไปเล่า?”

พฤษภปีนกำแพงปราสาทขึ้นมาเหมือนกันและพูด “เพื่อเอาทุกอย่างมาไว้ในมือ นั่นคือความโลภ สิงห์” เขานั่งหันไปทางเมืองหลวงและพูดต่อ “มันฟังเหมือนคำพูดของพิจิก”

สิงห์หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆๆ” จากนั้นเขาหยุดและทำหน้าเคร่งขรึม “เจ้าบ้าหรือ? กล้าดียังไงเอาผู้หญิงโลภมากนั่นมาเทียบกับข้า!”

พฤษภยิ้มไม่แยแสกับท่าทางเดือดพล่านของอีกฝ่าย “เพราะฉะนั้นจงทำตัวให้ดี สิงห์ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนตกไปสู่ความโลภที่เจ้าเกลียดชัง”

สิงห์ทำเสียงฮึ่ม “ไม่ตลกเลยนะ ทำตัวให้ดีเหรอ สำหรับเจ้าจักรวรรดิมันง่ายนักเหรอ?”

“ไม่ จักรวรรดิเข้มแข็ง ยิ่งกว่าประเทศอื่น”

“แล้วจะยังให้ทำตัวให้ดีเหรอ?” สิงห์ถาม

พฤษภพยักหน้า

“เจ้ามันโง่ เจ้าเป็นคนที่อยากให้จักรวรรดิถูกทำลายยิ่งกว่าใคร” สิงห์ร้อง

“ถ้ามันดูโง่ก็ช่วยไม่ได้ มันคือความเชื่อของข้า”

สิงห์ถอนหายใจ เขาดูโง่ แต่สิงห์ชอบความเรียบง่ายและอ่อนโลกของพฤษภ

“เจ้าคนโง่ ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่าขัดขวางงานข้า”

พูดเช่นนั้นแล้วสิงห์ก็กระโดดลงจากกำแพงปราสาท พฤษภมองตรงที่อีกฝ่ายหายไปในความมืดแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ

“ข้าจะทำถ้าหลักการของข้ายินยอม”

***

วันนี้เป็นวันแรกของการฝึกข้าราชการ

เมื่อมาถึง ผมตรงไปที่ลานว่างในศูนย์ฝึกตามกำหนดการ วิชาแรกในตารางเรียนของผมคือการใช้ดาบ

หนังสือคู่มือเขียนว่าศูนย์ฝึกจะเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการเรียนให้เอง จึงไม่จำเป็นต้องเอาดาบมา อาวุธที่อยู่ในกระเป๋ามิติของผมมีแต่ที่ทำจากโลหะหายากมากเช่นมิธริล โอริฮัลคัม อดามันเที่ยม ยิ่งกว่านั้นผมยังสลักเวทลงไปเพื่อฝึกเวทมนตร์ เอามาใช้ตอนเรียนจึงโอเว่อร์เกินไป ผมคิดจะซื้อของถูกๆในร้านอาวุธแถวนี้ ดีแล้วที่ไม่ต้องทำอย่างนั้น

เมื่อมาถึงลานว่าง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแฟลมที่ดูแก่มาก

หน้าอย่างนั้นคือคนอายุเท่ากัน... เหมือนเห็นนักแสดงอายุ 30 ใส่เครื่องแบบนักเรียนมาแสดงบทวัยรุ่นเลย



สารบัญ                                   บทที่ 54





เรื่องนี้เป็นการ์ตูนแล้ว อ่านตอน 0 กับตอน 1 ไป ไม่เหมือนที่จินตนาการไว้ พ่อพระเอกนี่ไม่ใช่เลย... ตอนประชุมผู้เฒ่าเมอร์ปาก็ไม่มีบทอ่า... QwQ ...แต่ถ้าไม่ได้อ่านนิยายมาก่อนก็คงไม่รู้สึกขัดๆ...

 

1 ความคิดเห็น: