บทที่ 22 - เดินทางสู่เมืองหลวง (9)
“ไม่เป็นไร ข้ามีเงินพอใช้ตลอดการเดินทาง”
แค่เงินทอนผมก็มีเท่ากับรายจ่าย 10 เดือนของดินแดนขนาดเล็กแล้ว
ลิสบอนดูละอายใจแต่เขาก็เหมือนจะสนใจว่าผมจะไปไหน
“เจ้าตั้งใจจะไปไหน?”
“ข้าจะตรงไปเมืองหลวง”
“จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นจะมากับพวกเราไหม?”
“พี่!” อลิซตะโกนคัดค้าน
แต่ลิสบอนยิ้มเหมือนไม่ได้ยินเสียงของน้องสาว
“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกเท่าไหร่ ถ้าได้ไปกับพวกเจ้าก็ยินดี แต่พวกเจ้าสะดวกหรือเปล่า?”
เมื่อผมถามอย่างเกรงใจตรงข้ามกับความตื่นเต้นในใจ อลิซสวนอย่างเย็นชาทันที “ไม่สะดวก”
แต่ที่อยู่ข้างเธอคือเจ้าโง่ขี้ใจอ่อน
“สะดวกสิ ไปกันหลายๆคนดีออก”
“พี่!”
ผมพูดให้อลิซที่กำลังโกรธใจเย็นลง
“ถ้าเรื่องเงิน ไม่ต้องห่วงว่าต้องแบ่งข้านะ ข้าพูดไปแล้วแต่ตอนนี้ข้ามีเงินพอ”
“ไม่ เจ้าแค่ไปให้...”
“ข้าช่วยออกเงินให้ด้วยก็ได้”
ผมพูดเสริมก่อนอลิซจะบอกให้ผมไปให้พ้น
“-เท่าไหร่?”
เมื่อเธอถามด้วยสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ลิสบอนเรียกเธอเสียงเบา
“อลิซ”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่รู้แผนการเดินทางของพวกเจ้า ดังนั้นจะให้บอกจำนวนเงินแน่นอนไปเลยคงยาก”
ผมยิ้มให้ลิสบอน
“ถ้าพวกเจ้าไม่ได้จะตรงไปเมืองหลวงเลยแต่จะแวะเที่ยวที่อื่น ข้าก็ต้องเดินทางไกลขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นเงินที่ข้าจะช่วยออกก็จะลดลงไปด้วย”
ก่อนฟังแผนการเดินทางของพวกเขา ผมเรียกสาวเสิร์ฟมาสั่งอาหาร
“ข้าเอาขนมปังข้าวสาลี 5 ก้อน ซุปเห็ดกับขาไก่อบ 1 ที่ ซุปมะเขือเทศเนยแข็งกับสเต็กกระเทียม 2 ที่”
ผมนึกได้ว่าสั่งอาหารให้ลิสบอนแบบเดียวกับที่น้องสาวของเขาสั่ง
“โอ๊ะ ข้าสั่งอาหารเหมือนของน้องสาวเจ้าให้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นเงินเจ้าจะไม่พอนะ...”
ลิสบอนดูกังวลพลางมองเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ที่ผมเอาออกมา
ช่างโง่แท้! เขาห่วงเรื่องเงินของผมทั้งๆที่แค่บอกขอบคุณและกินอาหารที่ผมสั่งให้ก็ได้
ผมหยิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ออกมาวางเพิ่มอีกสามเหรียญ
“ข้าบอกแล้วว่ามีเงินพอ เอาตามที่ข้าสั่งครับ”
“ค่ะ”
สาวเสิร์ฟจดรายการอาหารแล้วจากไปและลิสบอนมองมาอย่างขอโทษ
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เจ้าบอกว่าอยากเป็นอัศวินใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงแข็งแกร่งพอดู งั้นช่วยคุ้มครองข้าไปถึงเมืองหลวงด้วยแล้วกัน”
ผมพูดต่อ
“ถ้าถือว่าให้เงินที่ข้าช่วยออกเป็นการขอบคุณที่เจ้าช่วยคุ้มครองข้าไปถึงเมืองหลวงจะทำให้เจ้ารู้สึกดีกว่าเดิมไหม?”
“แต่ว่า...”
อาจเพราะรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะรับเงินไปเปล่าๆหรืออาจแค่เพราะหงุดหงิดกับพี่ชาย อลิซพูดขึ้น “พี่ พี่กำลังช่วยคุ้มครองคนอ่อนแอตามหลักการของอัศวิน คนๆนี้แค่แสดงความขอบคุณ เขาไม่ได้บอกตรงๆว่าจะจ่ายเงินให้เท่าไหร่นะ เขาแค่ช่วยออกเงินให้เพิ่มเติมจากเงินที่เขาต้องใช้ในส่วนของตัวเอง มันอาจเป็นแค่เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ไม่กี่เหรียญ” อลิซพยายามโน้มน้าวพี่ชายเต็มที่
เจ้าโง่นี่โยนเงินทิ้งไปเท่าไหร่นะถึงทำให้ลูกขุนนางอย่างเธอพูดแบบนี้? ผมสงสัยขึ้นมานิดๆแต่ตัดสินใจไม่ถามตอนนี้
ลิสบอนยังเงียบ อลิซส่งสายตาพิฆาตให้เขา
“ทำไม? พี่ไม่ยอมรับเงินเพราะคำขอบคุณจากคนอ่อนแอเป็นสิ่งไม่มีค่าเหรอ? นั่นคือหลักการอัศวินของพี่เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“งั้นอย่างไหน?”
“---”
ผมตัดสินใจช่วยอีกแรง
“หรือว่าเจ้ารู้สึกอึดอัดที่จะเดินทางร่วมกับข้า?”
“เปล่านะ ข้าแค่... ข้าไม่สบายใจถ้าจะเอาเงินจากเจ้า...”
ทนฟังไม่ไหวแล้ว ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ถ้าบอกให้อลิซยึดกระทั่งเหรียญเหล็กไปจากพี่ของเธอ ถ้าไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยคงเป็นบทเรียนกับลิซบอนได้บ้าง
“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม? ข้าให้เจ้ายืมเงิน พอเจ้าไปถึงเมืองหลวงแล้วก็หาเงินได้ใช่ไหม?”
เขาเป็นขุนนาง น่าจะมีบ้านอยู่ที่เมืองหลวงนะ?
ต่อให้ไม่มี พวกเขาสามารถบอกให้ครอบครัวส่งเงินมาให้ เรื่องเงินจึงไม่น่าจะมีปัญหา
“ถ้าเป็นการยืมเงิน ข้าสามารถให้เจ้ายืมเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นการเดินทางจะสะดวกสบายกว่า คิดว่ายังไง คุณอลิซ?”
อลิซยิ้มเหมือนไม่เคยเป็นศัตรูกับผมมาก่อน “ข้าเห็นด้วย ขอบคุณ พี่ก็เห็นด้วยเหมือนกันใช่ไหม?”
“อะ...อืม”
กว่าเจ้าโง่จะยอม อาหารก็ถูกนำมาวางเต็มโต๊ะแล้ว
“กินกันก่อนเถอะ”
กระเพาะของผมกำลังร้องขออาหาร
***
หลังกินเสร็จ พวกเราซื้ออาหารสำหรับกินไปสามวันแล้วตรงไปยังท่ารถม้านอกหมู่บ้าน
พวกเราเหมารถม้าหนึ่งคันและมุ่งหน้าไปยังท่ารถม้าของอีกหมู่บ้าน
ตามตารางการเดินทางของอลิซ เราต้องนั่งรถม้าจากที่นี่ เดินทางสองวันจึงถึงหมู่บ้านอีกแห่งแล้วขึ้นรถไฟตรงไปเมืองหลวง
ผมทึ่งที่โลกนี้มีรถไฟด้วย โลกนี้พัฒนาไปมากกว่าที่คิด
แต่จะว่าไป รถไฟไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไรในโลกที่เราบินได้ด้วยเวทมนตร์
พวกเราต้องอยู่เบื่อๆในรถม้าสองวัน ค่าโดยสารก็แพง 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อวัน พวกเราไม่เจอโจรดักปล้น และรถม้าคันนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งลักพาตัว พวกเราจึงมาถึงที่หมายอย่างไม่เจอเหตุการณ์ตื่นเต้นเลย
เหตุการณ์ตื่นเต้นอย่างเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางคืออลิซอาเจียนเพราะเมารถ สำหรับผมที่มีร่างกายแข็งแรงและลิสบอนที่ฝึกฝนตัวเองเพื่อเป็นอัศวิน การเมารถเป็นเรื่องที่ไกลตัว
ระหว่างช่วงเวลาน่าเบื่อนั้น ผมใช้มันไปอย่างคุ้มค่าโดยถามลิสบอนเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปของเมืองหลวง
เมื่อถึงหมู่บ้าน อลิซลงจากรถม้าทันทีแล้วสูดลมหายใจลึก ลิสบอนกับผมหัวเราะลั่น
“อย่าหัวเราะนะ!”
เห็นอลิซเช็ดน้ำลายพลางทำตาโตทำให้ผมนึกถึงแมวถูกมอมยา
เมื่อผมกับลิสบอนลงจากรถม้า ทหารเดินเข้ามาขอดูบัตรประชาชน
รอบๆพวกเรามีรถม้าหลายคันเหมือนท่ารถที่เราจากมา ยังมีอาคารเล็กๆที่ดูเหมือนสำนักงาน
สำหรับรถม้าแล้วการผ่านประตูหมู่บ้านปกติบ่อยๆเป็นเรื่องลำบาก ให้คนลงจากรถม้า,ตรวจบัตรประชาชนแล้วกลับขึ้นรถม้าก็เสียเวลา ด้วยเหตุนี้ รถม้าจึงถูกส่งมาแยกตรวจที่ลานนอกหมู่บ้าน
การตรวจก็เพียงแต่ดูว่าหน้าตรงกับบัตรประชาชนหรือเปล่า ลิสบอนผู้เป็นสารานุกรมของผม บอกว่าเพื่อป้องกันอาชญากรมีค่าหัวเข้าเมือง
เมื่อพวกเราเอาบัตรประชาชนออกมา ลิสบอนกับอลิซประหลาดใจเมื่อเห็นบัตรประชาชนของผมกันทั้งคู่ อลิซนั้นมองผมอย่างไม่อยากเชื่อว่าชายที่ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกจะเป็นขุนนางเหมือนเธอ
เจ้าโง่ที่เข้าใจว่าผมเป็นเด็กกำพร้าขอโทษที่เคยมองผมอย่างเวทนา ช่างเป็นเจ้าโง่นิสัยดีจริงๆ
เราพักผ่อนหนึ่งวันเพื่อคลายเครียดจากการนั่งรถม้าและขึ้นรถไฟในวันถัดมา ค่าโดยสารรถไฟแพงกว่ารถม้ามาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะอลิซจองตั๋วชั้นหนึ่งแบบที่ค่าโดยสารไปเมืองหลวงสามวันราคาตั๋วละสองเหรียญเงิน พวกเรามีสามคนจึงเป็นหกเหรียญเงินซึ่งแพงกว่าค่าโดยสารรถม้า 30 เท่า
“อลิซ จองที่ถูกกว่านี้หน่อยดีไหม?”
ลิสบอนพยายามหยุดอลิซไม่ให้จองตู้ชั้นหนึ่งโดยการยืมเหรียญเงินเพิ่มจากผมอีกหนึ่งเหรียญ ซึ่งผมส่งให้ไปสามเหรียญแล้ว นั่นเพราะสามเหรียญเงินพอแค่จองตู้ชั้นหนึ่งแบบไม่มีเตียง แต่อลิซถลึงตาใส่ลิสบอนเหมือนจะถามว่ายังกล้าพูดอีกเหรอ
“ตอนแรกเรามีเงินพอจ่ายเท่านี้ ถ้าพี่ไม่บริจาคเงินให้วัด”
“แต่เจ้าก็เห็นว่าเด็กที่นั่นไม่ได้กินอาหารเต็มอิ่ม”
“ทำไมถึงแอบบริจาคไม่บอกข้า ถ้าบอกข้าก่อน อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ใช้เงินค่าเดินทางไปหมด”
“ขอ...ขอโทษ”
ลิสบอนรู้สึกผิดจนไม่กล้าสบตาอลิซ
แม้ผมจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ฟังจากที่ได้ยิน ลิสบอนเป็นฝ่ายผิด ผมสงสัยว่าด้วยเงินที่มีสองคนนี้จะเดินทางไปเมืองหลวงอย่างไรถ้าไม่ได้พบกับผม
อลิซบอกให้ลิสบอนเงียบก่อนจะถอนหายใจพูดกับผม
“พอถึงเมืองหลวงข้าจะไปที่ธนาคารคืนเงินให้เจ้าทันที”
มีธนาคารในเมืองหลวงด้วย ซึ่งก็สมควรอยู่ ถ้ามีโรงกษาปณ์ผลิตเงินออกมา แน่นอนว่าต้องมีธนาคารสำหรับถ่ายเทและรวบรวมเงินในเศรษฐกิจ แต่ไม่เหมือนโลกในชาติก่อนของผมที่ธนาคารมีอยู่ทุกถนน ที่นี่การถ่ายเทเงินตราไม่คล่องเท่าส่วนใหญ่แล้วจะมีธนาคารหนึ่งแห่งต่อเมืองใหญ่หนึ่งเมือง
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ธนาคารมีระบบเครือข่ายของตัวเองโดยใช้เวทมนตร์ และเงินก็ถูกส่งไปยังธนาคารใกล้ๆผ่านหน่วยนักเวท ดังนั้นจึงเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องถูกโจรปล้นระหว่างส่งเงินไปให้ธนาคารอื่น
อีกอย่าง ธนาคารทำสัญญากับกลุ่มนักรบรับจ้างหรือกลุ่มนักผจญภัยและใช้พวกเขาเป็นสาขาของธนาคาร องค์กรเหล่านี้เชื่อถือได้เรื่องความปลอดภัยและได้ยินว่าพวกเขามีความน่าเชื่อถือถึงขั้นมีขุนนางขั้นสูงใช้
ฟังแล้วพวกเขาน่าจะมีประโยชน์กับการแลกเหรียญทองที่นอนอยู่ในกระเป๋ามิติของผม
ขึ้นรถไฟ พวกเราก็ประหลาดใจกับตู้นอนชั้นหนึ่งและการที่มันเดินทางเร็วกว่ารถม้าหลายเท่า และสะเทือนน้อยกว่ามาก
ผมประหลาดใจกับความเร็วที่ไม่แพ้กับรถไฟในชาติก่อนของผมรวมทั้งตู้นอนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คู่พี่น้องทำเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นรถไฟมาก่อน
คิดแล้วมันก็จริง ผมนึกถึงแผนที่ที่ซื้อมาจากนายหน้าขายข่าว ตอนนี้ทางรถไฟเพิ่งจะเชื่อมต่อเมืองหลวงกับอาณาเขตของขุนนางขั้นสูง ไวส์เคานท์ย่อมไม่ใช่ขุนนางระดับต่ำ แต่ไม่สูงพอให้จักรวรรดิสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกับอาณาเขตของพวกเขา
ผมยิ้มนิดๆขณะมองพี่น้องตื่นเต้นกับวิวที่เคลื่อนไหวรวดเร็วนอกหน้าต่าง พวกเราจบการเดินทางลงตรงการขึ้นรถไฟไปเมืองหลวงเช่นนี้
จิ้นอลิซกับพระเอกได้มั้ย >_<
ตอบลบงั้นเพื่อความยุติธรรม คนแปลลงเรือ ลิสบอนXเดน :3
ลบ