วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 4

บทที่ 4 – หนีออกจากบ้าน (4)


หลังวิ่งเต็มแรงมาถึงที่ตั้งแคมป์จุดที่สองบนแผนที่ ผมดึงนาฬิกาออกมา

12:03 น.

ป่านนี้เวทคงสลายไปแล้ว แปลว่าศพปีศาจและจดหมายที่ผมทิ้งไว้น่าจะถูกพบแล้ว

บนแผนที่ เห็นได้ว่าผมวิ่งเป็นระยะทางเกือบสองวันโดยดูจากจุดที่ตั้งแคมป์จุดที่สองของเส้นทาง 10 วัน เมื่อเทียบว่าผมวิ่งมาสี่ชั่วโมงแล้วก็หมายความว่าผมวิ่งด้วยความเร็ว 70-80 กม./ชม.

ความเร็วขนาดนี้ทำให้ผมสงสัยว่าตัวเองเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดกันแน่  นี่คือระยะทางที่กระทรวงต่างประเทศใช้เวลาเดินทางสองวันเชียวนะ แน่นอน พวกเขาจะเดินตามสบายแบกปีศาจหลายๆตัวไปด้วย สำหรับคนที่ชาติก่อนมีร่างกายปกติ ผมรู้สึกมีกำลังใจไม่น้อยที่สามารถเดินทางได้ไกลขนาดนี้ภายในช่วงเช้าวันเดียว

แผนที่แสดงระยะห่างถึงเมืองที่กระทรวงต่างประเทศมักจะแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยประมาณ 1,000 กิโลเมตรอย่างกาบิน นี่เป็นระยะทางที่คนบ้านผมใช้เวลาเพียง 2 วันหากวิ่งเต็มที่ แต่ตรงกลางมีหุบเขาขนาดใหญ่อยู่ ระยะทางจริงๆคือต้องอ้อมไปไกลมาก

จนตอนนี้ ผมใช้เส้นทางของกระทรวงต่างประเทศโดยดูจากแผนที่ที่ผมเอามาจากห้องทำงานของพวกเขาเพื่อทิ้งร่องรอยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ได้เวลาที่ผมจะเริ่มถูกไล่ตามแล้ว ผมต้องสร้างทางของตัวเองเข้าไปในป่าแทนที่จะใช้ทางที่กระทรวงสร้างขึ้น

บัดนี้ไป มันคือการแข่งกับเวลา

***

 เฮสเทียใคร่ครวญสถานการณ์ตอนนี้อย่างใจเย็น

‘เดนเบอร์กหนีออกจากบ้าน พ่อโมโหมากที่ถูกลูกที่ท่านรักที่สุดหักหลัง’

ในความเป็นจริงแล้ว เฮสเทียไม่ได้เศร้าหรือตกใจนัก ไม่ใช่เพราะเธอไม่รักน้องชาย ใครเล่าไม่รักครอบครัว? เธอรู้มาก่อนนานแล้วว่าความคาดหวังของดูมสโตนต่อเดนเบอร์ก และความคาดหวังในอนาคตของตัวเองของเดนเบอร์กนั้นขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เธอรู้สึกคือความผิดหวังมากกว่าเศร้าหรือตกใจ

เมื่อไหร่ที่ดูมสโตนลำบาก เฮสเทียจะช่วยเขาด้วยการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประจำหมู่บ้าน เขาเชื่อถือเธอสนิทใจและฟังคำแนะนำของเธอ หมู่บ้านจะไปทางไหนจึงขึ้นอยู่กับคำพูดของเธอ

สถานการณ์อย่างนี้สร้างความกดดันอย่างหนักให้แก่เฮสเทีย เธอเพิ่งอายุ 18 ปี แต่เพียงคำพูดธรรมดาของเธอก็สามารถส่งผลกระทบผู้คนที่อายุมากกว่าสองหรือสามเท่า เรื่องที่คำพูดเพียงคำเดียวของเธอสามารถทำร้ายคน กระทั่งทำให้พวกเขาเสียสละตัวเอง ทำให้เธอกลัว

ตามหนังสือเล่มหนึ่งในห้องสมุดหมู่บ้านเขียนไว้ ผู้นำต้องรู้สึกขอบคุณลูกน้องที่หลั่งเหงื่อเพื่อการใดการหนึ่ง

แล้วพวกเขาที่หลั่งเลือดล่ะ ข้าต้องรู้สึกอย่างไร? ขอบคุณ? กลัว? หรือด้านชา?

เฮสเทียไม่รู้และเป็นไปได้ว่าเธอจะไม่มีวันรู้ เธอหวังให้มันเป็นอย่างนั้น เธอเข้าใจความรู้สึกของเดนเบอร์กที่หนีออกจากบ้านเป็นอย่างดี แต่เธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างที่สุดเช่นกัน

แม้เฮสเทียจะนับถือบิดา แต่เธอรู้สึกว่าความคิดของเขาเรียบง่ายเกินไป ดูมสโตนทำทุกอย่างโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของเขา แต่น้องชายของเธอไม่ใช่ เขาไปไกลกว่าความฉลาด เขามีความหลักแหลมด้วย

เดนเบอร์กสามารถคิดถึงเรื่องที่เธอคิดไม่ถึง และพูดสิ่งที่เธอไม่กล้าเอ่ย หากเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน เธอจะหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในฐานะที่ปรึกษาและความกลัวว่าความพลั้งพลาดของเธอเพียงครั้งเดียวจะนำไปสู่การล่มสลายของหมู่บ้าน

‘ข้าขอโทษไว้ก่อนนะน้องข้า ข้าไม่อาจยอมให้เจ้าหนีออกจากบ้านได้ เพื่อหมู่บ้านและเพื่อตัวข้าเอง ยกโทษให้พี่ใจร้ายคนนี้ด้วย’

“จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนนำปฏิบัติการนี้” เฮสเทียประกาศต่อหน้าทหารแกร่งสิบห้ากองร้อย

กาเวนผู้นำกองกำลังไล่ล่าพยักหน้า และกัลลาฮาดเร่งให้เฮสเทียพูดต่อ

“เป็นไปได้มากว่าเดนเบอร์กเริ่มต้นเดินทางโดยใช้เส้นทางบนแผนที่”

กัลลาฮาดถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไม? เดินตามเส้นทางจะเร็วกว่าเพราะมันได้รับการถากถางไว้แล้ว แต่ถ้าเราเริ่มออกไล่ตามเขาก็เสร็จ เดนเบอร์กต้องคาดเอาไว้แน่ว่าจะต้องถูกไล่ตาม เขาน่าจะออกห่างจากเส้นทางตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ?”

“อย่างที่เจ้าพูด ข้าแน่ใจว่าเดนเบอร์กคาดว่าตัวเองต้องถูกไล่ตาม แต่การเดินทางตามเส้นทางบนแผนที่มีข้อดีมากกว่าออกนอกเส้นทางตั้งแต่แรก ข้อแรก มันทำให้หลบออกจากป่าได้เร็วขึ้น ข้อสอง สามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้”

“ยังไง?”

เฮสเทียชี้รอยเท้าบนพื้นและถาม “เจ้าบอกได้ไหมว่ารอยเท้านี้เป็นของใคร มีเมื่อไหร่?”

กัลลาฮาดกับกาเวนส่ายศีรษะ

“ก็เหมือนกับในป่า ถ้าเดินตามทางเราก็จะแยกไม่ออกว่ารอยเท้านั้นเป็นของเดนเบอร์กหรือคนจากกระทรวงต่างประเทศ ข้อสาม เป็นไปได้ว่าจำนวนคนไล่ตามเดนเบอร์กจะลดลงสักพัก”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

“แม้ข้าจะคาดว่าเดนเบอร์กใช้เส้นทางบนแผนที่ มันก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจออกนอกเส้นทางตั้งแต่แรก ตราบใดที่ความเป็นไปได้นั้นมีอยู่ เราไม่มีทางอื่นนอกจากดึงคนจำนวนหนึ่งไปหาว่าเขาเริ่มออกไปทางไหน”

กัลลาฮาดทำหน้าชัดเจนว่าเขาไม่เข้าใจ แต่กาเวนดูจะจับใจความได้บ้าง ด้วยประสบการณ์ตามรอยปีศาจของผู้นำกองรบ คำอธิบายนี้ดูจะง่ายกว่าสำหรับกาเวน

“พี่ มันอย่างนี้ ถ้าจะออกล่าในป่ารอบหมู่บ้านเจ้าต้องรู้ว่าเหยื่ออยู่ตรงไหน แต่ป่านี่มันใหญ่มาก”

“ใช่”

“เพราะอย่างนั้นเวลาออกล่า เราจะตามหาร่องรอยที่เหยื่อทิ้งไว้มากกว่าตามตัวเหยื่อเอง”

“เหรอ?”

“ใช่ คราวนี้เมื่อคิดว่าน้องเล็กของเราเป็นเหยื่อ เจ้าจะค้นทั้งป่าไม่ได้ เจ้าต้องหาร่องรอยของเขา ถูกไหม?”

กาเวนหันมาขอคำยืนยันจากเฮสเทีย เธอพยักหน้าทันที

“ถูกแล้ว และถ้าจะหาร่องรอยของเดนเบอร์ก หาจากรอบๆหมู่บ้านจะมีประสิทธิภาพกว่าเริ่มงมหาในป่า”

ในที่สุดกัลลาฮาดก็เข้าใจ

“กาเวน ถ้าจะหาร่องรอยรอบๆหมู่บ้านต้องใช้กี่คน?”

กาเวนคิดครู่หนึ่งและตอบ “ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อย ถ้าเอาจริง เราต้องใช้กองรบทั้งหมด”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

จำนวนขนาดนั้นเกินคาดสำหรับเธอ หมู่บ้านใหญ่ก็จริงแต่เธอคิดไม่ถึงว่าต้องใช้นักรบทั้งห้าร้อยนายในการค้นหา ตอนแรกเธอประมาณการว่าคงใช้นักรบประมาณห้าสิบนาย แต่ตอนนี้ดูท่าเธอต้องปรับการคาดเดาใหม่

“เดนเบอร์กเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์ ถ้าเขาพยายามซ่อนร่องรอยจะหาให้เจอก็ยาก ยิ่งกว่านั้นข้าสอนเขาบ่อยๆเรื่องวิธีซ่อนร่องรอยและการเคลื่อนไหวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้”

เฮสเทียกัดปากเบาๆ

“นักรบร้อยนาย มากกว่านั้นไม่ได้”

นักรบร้อยนายที่สามารถเคลื่อนไหวในป่าที่เต็มไปด้วยปีศาจเหมือนเป็นสวนหลังบ้านของตัวเองเป็นกำลังสำคัญ

“ได้”

จากนั้นเฮสเทียอธิบายสถานการณ์ซับซ้อนในหัวของเธอต่อ

“ข้อสี่ เขาสามารถถ่วงเวลาคนที่ไล่ตาม เจ้าบอกใช่ไหมว่าต้องใช้นักรบมากกว่าร้อยนายในการหาร่องรอยรอบหมู่บ้าน? แต่ถ้าคิดว่าเขาอาจเปลี่ยนเส้นทางกลางทางก็ต้องใช้เวลาตามรอยเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า”

“เดี๋ยว เจ้าคิดว่าเดนเบอร์กจะเปลี่ยนเส้นทางกลางทาง?”

“ใช่ มีโอกาส 100% ที่เดนเบอร์กจะเปลี่ยนเส้นทาง ช่วงที่เขาออกนอกเส้นทางน่าจะประมาณช่วงที่เราพบศพปีศาจในห้องของเขา เวลาเที่ยง ช้ากว่านั้นไม่เกินสิบนาที”

“ทำไมเจ้าเชื่ออย่างนั้น?”

กัลลาฮาดถาม เฮสเทียดึงจดหมายของเดนเบอร์กออกมา

“ตามที่เขียนในนี้ เดนเบอร์ต้องการบีบขอบเขตความเป็นไปได้ให้แคบลงเพื่ออ่านความเคลื่อนไหวของเรา”

“หมายความว่ายังไง? เดนเบอร์กจะทำอะไรถ้าอ่านความเคลื่อนไหวของเราได้?”

ไม่แปลกที่ไม่มีใครเข้าใจ ทั้งกัลลาฮาดและกาเวน เฮสเทียเองยังต้องอ่านจดหมายอีกครั้งและใคร่ครวญถึงความหมายของมัน

“กาเวน เจ้าคิดว่าเหยื่อจะรู้สึกถูกคุกคามมากที่สุดตอนไหน?”

“ฮืม ตอนมันเผชิญกับผู้ล่า? หรือตอนธนูปักคอมัน?”

“ไม่ใช่ ตอนมันรู้สึกถึงการคงอยู่ของผู้ล่า ตอนเผชิญกับผู้ล่า ความเครียดจะสูงกว่า และเมื่อธนูเจาะร่างมัน ความกลัวจะเหนือล้ำกว่า ตอนนี้เดนเบอร์กเป็นเหยื่อที่รู้สึกถึงการคงอยู่ของผู้ล่า ในฐานะเหยื่อ วิธีที่ฉลาดที่สุดคือทำให้ผู้ล่าเคลื่อนไหวตามที่เขาต้องการ”

“เจ้าหมายความว่าแผนของเจ้าทั้งหมดเป็นสิ่งที่เดนเบอร์กเตรียมการไว้แล้ว?”

“ใช่ เป็นไปได้มากว่าเดนเบอร์กจะคาดไว้แล้วว่าข้าจะวางแผนอย่างไรหลังจากอ่านจดหมายนี้”

“ถ้าอย่างนั้นเราไม่ทำตามแผนของเจ้าไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ไม่ เดนเบอร์กพยายามอ่านการเคลื่อนไหวของเราล่วงหน้า ขนาดยอมเผยร่องรอยตัวเอง เขายื่นเหยื่ออย่างดีให้ขนาดนี้เราไม่มีทางเลือกนอกจากคว้ามัน ถ้าเราไม่เอาและทำพลาด เราอาจไม่เจอเขาเลย”

ในใจเฮสเทียเต็มไปด้วยความนับถือ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเดนเบอร์กและมันทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด ในหมากรุก 9 ฝ่าย เขาคอยบังคับให้ศัตรูกระโดดเข้าสู่กับดักทั้งๆที่รู้ดีว่ามันเป็นกับดัก

“เดนเบอร์กคงหนีไปช่วงแปดหรือเก้าโมงเช้า”

“ทำไม?”

“เขากินมื้อเช้าตอนประมาณเจ็ดโมงสิบนาที ข้าจำได้เพราะข้าเป็นคนตั้งโต๊ะวันเกิดเอง และหลังเจ็ดโมงครึ่ง ทุกคนออกไปทำงาน ดังนั้นเขาต้องเอาพวกปีศาจเข้าไปในห้องหลังจากนั้น และเพราะกระทรวงต่างประเทศจะตรวจนับสิ่งของก่อนปิด ตราบใดที่เดนเบอร์กไม่ออกจากบ้านตอนกลางคืน มันต้องเป็นประมาณแปดโมงที่เขาขโมยแผนที่กับเงิน”

“มีเหตุผล ถ้าเจ้าออกจากบ้านตอนกลางคืน พ่อที่มีประสาทสัมผัสเหนือกว่าปีศาจต้องจับได้ ว่าแต่ตอนเช้าต้องมีคนมาทำงานที่กระทรวง เขาจะขโมยของได้ยังไงโดยไม่ถูกจับ?”

“ห้องเก็บของของกระทรวงแยกออกจากที่ทำงาน มันง่ายสำหรับเดนเบอร์ก”

“ก็แปลว่าเขาออกนอกเส้นทางหลังจากออกจากหมู่บ้านไปประมาณสามถึงสี่ชั่วโมง”

“น่าจะใช่ เพราะฉะนั้น เจ้าคิดว่าเขาออกนอกเส้นทางราวๆจุดไหน?”

เฮสเทียไม่แข็งแกร่งและไม่แน่ว่าจะสู้เด็ก 10 ขวบชนะ ด้วยเหตุนี้เธอจึงคาดคะเนพละกำลังของเดนเบอร์กได้ยาก

กัลลาฮาดและกาเวนใคร่ครวญ จากนั้นก็ให้คำตอบที่ต่างกัน

“ถ้าสามชั่วโมง คงประมาณที่ตั้งแคมป์แรก ถ้าสี่ชั่วโมง คงประมาณตรงนี้” กัลลาฮาดชี้ตรงระหว่างที่ตั้งแคมป์ที่หนึ่งกับสอง ค่อนมาทางที่ตั้งแคมป์ที่หนึ่ง

“ไม่ ถ้าเป็นเดนเบอร์กก็ไม่แปลกถ้าเขาจะถึงช่วงระหว่างแคมป์ที่หนึ่งกับสองในสามชั่วโมง ถ้าเป็นสี่ชั่วโมง เป็นไปได้ว่าเขาจะถึงที่ตั้งแคมป์ที่สอง” กาเวนปฏิเสธการคำนวณของกัลลาฮาดเด็ดขาด

ความเห็นของสองคนที่ต่างกันนับเป็นเรื่องใหญ่ ระยะห่างมันกว้างเกินกว่าจะรวมความคิดเห็นทั้งสองเข้าไปในแผน



สารบัญ                                 รอใส่บทที่ 5


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น