วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 182


บทที่ 182 – มังกรกระดูก (2)

กลัว

ตัวตนที่เคยเป็นแต่ผู้ล่า รู้สึกถึงคำที่มีแต่เหยื่อของพวกมันเท่านั้นที่รู้จัก

เสียงคำรามขู่ขวัญกลายเป็นเหมือนเสียงคร่ำครวญ

มิโนทอร์หลายพันตัววิ่งไปมาอย่างสับสน

ต่อหน้าสิ่งอันน่าพิศวงจากห้วงอวกาศ พวกมันเป็นเพียงฝุ่นผง

ฝุ่นผงอันเล็กจ้อย...

มันเป็นเพียงอุกกาบาตลูกเดียว แต่เมื่อมันกระแทกกับพื้นโลก พลังงานและคลื่นกระแทกมหาศาลก็ถูกปล่อยออกมา มันเปลี่ยนทุกอย่างเป็นฝุ่นละออง

คลื่นที่ถูกปล่อยออกมากลืนกินกระทั่งมอนสเตอร์ที่กำลังหนีไปตัวห่างที่สุด

หลังการกระแทกของเวททำลายไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยซากศพ ที่เหลือมีเพียงรอยแยกกว้างใหญ่

ตัวการเบื้องหลังการโจมตีนี้รู้สึกถึงแรกกระแทกแม้ว่าจะอยู่ในบาเรีย

บาเรียของเจนิสเริ่มเลือนหายไปก่อนฝุ่นจะจางลง

อูนอนเตะแต่จุดเดียวของบาเรีย มันพังทลายลงทันที

“รีบทำไม”

อูนอนขมวดคิ้วกับคำพูดของวูจิน

“ดูเหมือนข้าจะเสียแต้มที่สำคัญไปเปล่าๆแล้ว”

นำกองทัพขนาดใหญ่มาล่าผู้ไม่ตายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เหรอ? บางทีอาจจะดีกว่าถ้าตั้งทีมเคลียร์ดันเจี้ยนของผู้ไม่ตายไปเรื่อยๆแบบเซลรัค

“แต้มของนาย...”

เขาแพ้ไม่ได้เสียแค่แต้มเมื่อกองทัพถูกกวาดล้าง มันยังมอบแหล่งพลังชีวิตใหม่ให้วูจิน

“นายไม่รู้สึกเหรอ?”

เขากางแขนออก

“อากาศร้อนระอุและเต็มไปด้วยฝุ่นผง

“...”

อูนอนถลึงตาใส่วูจิน

เขาอึ้งกับเรื่องที่กองทัพถูกกำจัดด้วยเวทบทเดียว แต่ผู้ไม่ตายก็แย่เหมือนกัน

ตอนนี้เขาแค่ต้องถ่วงเวลาผู้ไม่ตายไว้อีกหน่อย

มังกรฟาทูธกับเลียคงไปถึงอาณานิคมของผู้ไม่ตายในอีกไม่นาน

“ดูเหมือนเจ้าก็เสียทหารไปหมดเช่นกัน”

“เหรอ? ฉันแน่ใจว่าไม่ใช่นะ”

ผู้ไม่ตายกำลังยั่วให้เขาอิจฉาเหรอ?

เป็นกลอุบายที่ไม่เข้าท่าเลย

ฝุ่นลอยแบบผิดปกติ

กระดูกมอนสเตอร์นับพันที่กลายเป็นฝุ่นกำลังรวมตัวกัน

“...”

อูนอนขมวดคิ้ว

เขารู้ว่าอารมณ์ของผู้ไม่ตายไม่เปลี่ยนไปนัก ปฏิกิริยาของเขาจึงดูแปลกๆ

ชิราโอถลึงตาใส่วูจิน

“ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะยุ่งกับการสู้กับพวกเรา”

กองทัพของผู้ไม่ตายยังอยู่ในสภาพดี เขาแค่ต้องเรียกพวกมันกลับมาใหม่

แต่อูนอนและชิราโอเชื่อว่าพวกเขาสามารถถ่วงเวลาผู้ไม่ตายได้อีกหน่อย

“ฉันไม่ใช่คนที่สู้กับพวกนาย”

“...”

ก่อนราชินีฮาร์ปี้จะได้ตอบ เถ้ากระดูกก็เริ่มกลายเป็นตัวเป็นตน

กระดูกสันหลังที่ยาวตั้งแต่หัวถึงหางและซี่โครงเริ่มก่อตัวขึ้น แค่มองโครงสร้างกระดูกก็บอกได้ว่ามันเคยเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา

ปีกของมันมีแต่กระดูกและถูกเกลาคมจนสามารถเป็นอาวุธอย่างดี และตรงหัวขนาดใหญ่ของมันมีเบ้ากลวงสองเบ้า แสงสีแดงกระพริบและเริ่มลุกไหม้เป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ในเบ้านั้น

[โอ!]

มันคือตัวปัญหาตัวเอ้ของกองทัพผีดิบ รงรงส่งเสียงคำรามยาว

มันเหวี่ยงคอยาว หัวขนาดใหญ่หันมาทางวูจิน

[เจ้าเรียกข้ามา ปรารถนาอะไร?]

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย ถ้าบิบิอยู่คงถูไถแก้มกับรงรงอย่างตื่นเต้นมาก

“ฆ่าพวกมันแล้วตามฉันมา”

[โอ]

รงรงหันหัวกลับ สายตามันมองชิราโอและอูนอน

[ข้ารับฟังคำปรารถนาของเจ้าแล้ว]

“ไว้เดี๋ยวเจอกัน”

วูจินเรียกชิงชิงขึ้นขี่

ฮี้

ชิงชิงควบขึ้นท้องฟ้า เจนิสใช้เวทบินตามพวกเขา

[เจ้าถุงกระดูกนั่น ดูเหมือนจะยังความจำเสื่อมไม่หาย ก๊ากฮ่าๆ]

“ก็ดีแล้ว”

วูจินกระตุกยิ้ม รงรงเป็นมังกรตัวแรก มันอยู่มานานจนหนีไม่พ้นคำสาปของความขี้หลงขี้ลืม

วูจินไม่ได้เจอรงรงมานานแล้ว เขาแค่ดีใจที่ได้เจอกันอีก

เมื่อม้าปีศาจและลิชหนีไปจากสนามรบ ชิราโอพยายามจะบินตามพวกเขาไป

แกร๊ก!

[จะไปไหนหรือเจ้านกน้อย?]

“กรี๊ด ปล่อยข้านะ!

ชิราโอดิ้นแต่เธออยู่ในกำมือของรงรง มันยกเธอใส่ปาก

อูนอนเตะมันเต็มแรง แต่กระดูกมังกรแข็งเกินไป

กรุบ

รงรงกัดราชินีฮาร์ปี้หนึ่งคำ จากนั้นหันไปเหยียบสิ่งที่กำลังเตะเขาอยู่

แต่อูนอนฝึกฝนร่างกายจนถึงจุดสูงสุด การเคลื่อนไหวของเขาจึงดีเยี่ยม ไม่มีทางถูกรงรงจับได้ง่ายๆ

รงรงถอนหายใจอย่างโมโหแล้วห่อตัวลง ปีกกระดูกห่อตัวมัน มังกรขดตัวเหมือนกำลังหลับ อูนอนมองมังกรอย่างเหลือเชื่อ

“...อะไรของมัน...”

อูนอนเกลียดทุกอย่างของผู้ไม่ตาย เขาเกลียดอสูรของผู้ไม่ตาย

รงรงไม่มีทีท่าจะสู้ต่อ เขาจึงหันไปทางวูจินและลิชที่กำลังบินห่างไป

ฉึก!

“...”

มันเป็นแค่ครู่เดียว แต่อูนอนละสายตาจากรงรง กระดูกยาวที่เหมือนตะขอยื่นออกมาจากท้องของอูนอน

รงรงกัดอูนอนที่ติดอยู่ตรงเล็บ เขี้ยวคมของมันตัดร่างกับศีรษะของเขาออก

รงรงเลียปากเมื่ออูนอนกลายเป็นแสงสีเทาหายไป เขามองวูจินที่กำลังบินจากไปอีกครั้ง

[ความปรารถนาของเจ้าสำเร็จผลแล้ว]

ตึง ตึง

ไม่นานมันก็ออกวิ่งตามวูจิน มันดูเก้งก้างเมื่อวิ่งสี่เท้าแต่มันตัวใหญ่ภาพที่เห็นน่ากลัวมากกว่าตลก

[แย่จัง]

รงรงกระพือปีกกระดูก

ปีกของมันเสียความสามารถในการบิน มันจึงดูน่าสงสาร

***

ฟาทูธและเลีย

พวกมันเหมือนมังกรทองราชาคุยที่ปรากฏตัวบนโลก พวกมันเป็นลอร์ดมิติจากเผ่าพันธุ์มังกร

ในหมู่มังกร มีเพียงฟาทูธและเลียที่เป็นเกรทลอร์ด ที่ครอบครองรหัส พวกมันชื่นชอบการปกครองสิ่งมีชีวิตอื่น และมันชอบรับสินบนมากกว่าปล้นชิงมา พวกมันออกจากดันเจี้ยนของตัวเอง เป้าหมายคืออาณานิคมของวูจิน...

“ทราชคู่ควรกับการถูกกลัวถึงขั้นนี้เลยเหรอ?”

เกรทลอร์ดกำลังรวบรวมพลังกันโจมตี

เจนิสและวูจินเห็นยอดแหลมของภูเขาเซารุส และยังเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังบินเข้าใกล้ภูเขานั้น

พวกมันตัวใหญ่จนวูจินสามารถเห็นได้จากไกลๆ

[พวกมังกรไร้ประโยชน์อีกแล้วเรอะ?]

เจนิสดูเสียดายหน่อยๆ ร่างของลอร์ดมิติหลังตายจะหายไป ดังนั้นเจนิสจึงไม่ได้อะไรนักจากการฆ่าพวกมัน

มันไม่ใช่นักล่ามังกร แต่ศพมังกรเป็นวัตถุดิบอย่างดี

“จะมังกรหรือคนก็ช่างสิ”

พวกมันเป็นเกรทลอร์ดของทราห์เน็ต

เรื่องที่พวกมันต้องตายไม่เปลี่ยน

[ไม่ดีแล้ว]

เจนิสรู้สึกถึงแรงสั่นจากพลังเวทเตือนถึงอันตราย มังกรโก่งตัวเหมือนธนู ท้องของพวกมันพองขึ้น ดูเหมือนมันกำลังจะพ่นลมหายใจมังกรจากกลางอากาศ

พวกเขามาช้าไปแล้ว

“...ใช้บลิงค์พาพวกเราไปเหนือหัวพวกมันเลยสิ”

มันคือเวทเทเลพอร์ทระยะสั้น สามารถเคลื่อนที่ไปยังที่ๆสายตามองเห็นได้ ระยะทางขึ้นอยู่กับพลังเวทของผู้ใช้

วูจินมีนักเวทที่เก่งที่สุดอยู่ข้างกาย แต่เจนิสก็เป็นนักเวทที่แย่ที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน

[เป็นความคิดที่ดี]

วูจินกำลังนั่งบนหลังชิงชิง เจนิสวางมือบนไหล่วูจิน

“เร็ว!

[ยังไม่ถึงระยะ]

“...”

สีหน้าวูจินร้อนรน

ท้องบวมของพวกมังกรดูใหญ่มาก

“ถึงยัง?”

[อีกนิดนึง...]

มังกรตัวที่ช้ากว่าอีกตัวก้มหัวมันลง ไฟสีแดงสว่างจากปากของมันที่อ้ากว้าง

หัวของมันหันไปทางสัญลักษณ์ของอาณานิคม ลมหายใจมังกรยิงใส่ต้นไม้โลกเหมือนเลเซอร์ วูจินใจหายวูบ

ถ้าเขาเสียประตู เขาจะกลับโลกไม่ได้ เขาสามารถหาดันเจี้ยนอื่นได้แต่ต้องรอการประสาน...

“เร็วหน่อย!

เจนิสและวูจินหายตัวไปพร้อมกับเสียงตะโกนของวูจิน แต่ทว่า พวกเขาไปโผล่เหนือหัวมังกร

วูจินร่วงลงพลางดึงอาวุธนักรบออกมา เปลี่ยนมันเป็นค้อนและฟาดลงบนหัวมังกรแดง เลีย

“ป้องกันไว้!

วูจินสั่งอย่างลนลาน

เขาหวังว่าบาเรียของเจนิสจะปกป้องต้นไม้โลกได้...

[ไม่ทันแล้ว...]

เจนิสบลิงค์เป็นระยะทางกว้างจึงเสียพลังเวทไปมาก

เจนิสพยายามรวบรวมพลังเวท แต่ไม่แน่ใจว่าจะป้องกันการโจมตีของมังกรได้

ในอีกด้านหนึ่ง เลียไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เพราะมันกำลังปล่อยลมหายใจ วูจินฟาดค้อนด้วยความโกรธ หัวมันแบะออก

เลียคำรามพร้อมกับร่วงกระแทกพื้น

“...”

วูจินมองต้นไม้โลก ถ้าอาณานิคมของเขาถูกลมหายใจเข้าตรงๆมันจะไหม้ไฟ...

แต่มันไม่

[มันคือปาฏิหาริย์]

สหพันธ์ป้องกันมันไว้ได้

วูจินถอนหายใจอย่างโล่งใจ เขาดึงขวานที่ฝังในหัวเลียออก

“ล้มฟาทูธ”

[เรื่องนั้นไม่ยาก]

เจนิสเทพลังเวทที่รวบรวมมาใส่มังกรฟาทูธ

***

อุกกาบาตตกในที่ห่าง แต่แรงสะเทือนหลังตกรู้สึกได้ถึงเขาเซารุส กระทั่งมอนสเตอร์ที่โจมตีอาณานิคมไม่มีเหน็ดเหนื่อยยังชะงักไป

“นั่นเจนิส! ครูผมอยู่ที่นี่”

ครูเขาเป็นคนเดียวที่สามารถใช้การรั้งคาถาของเวทเรียกอุกกาบาตได้ ซุงกูตะโกนอย่างดีใจ กราแฮมตาโต

“ท่านบอกว่าครูของท่านตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“เขาตายแล้ว แต่ยังแข็งแรงมาก”

คำว่าตายระหว่างที่โลกกับอัลเฟนความหมายไม่เหมือนกันเหรอ? กราแฮมขมวดคิ้วขณะที่เจมินหัวเราะอยู่ข้างๆ

ความเครียดความกดดันที่พวกเขารู้สึกมันหายไปพร้อมกับการมาถึงของวูจิน มันเหมือนกับความรับผิดชอบที่กดดันพวกเขาถูกยกออก

“เจนิสเป็นลิช”

“ลิช?”

คิ้วกราแฮมกระตุก

ถ้าเขาพูดถึงลิชก็เข้าใจได้ถ้าบอกว่าครูของเขาตายแล้ว...

“ล...ลิช?”

กราแฮมสะดุ้ง

ลิชที่เดินทางกับผู้ไม่ตายมีเพียงตนเดียว

“ครู...ครูของท่านคือจ้าวแห่งโรคระบาด?”

เขาเป็นนักเวทที่เลวร้ายที่สุด เข้มแข็งที่สุดและดีที่สุด

ตัวตนของเขาเองคือหายนะ

“โอ้...”

ซุงกูยิ้มกว้างให้กราแฮมที่กำลังช็อก

“แฮะๆ ดูเหมือนที่นี่ครูจะดังพอดู”

เขามีชื่อเสียง ชื่อเสียงว่าชั่ว

“พอเขามาถึง ผมจะแนะนำเขาให้รู้จัก”

“...”

หนีดีไหมนะ?

ขณะที่กราแฮมกำลังห่วงไม่เข้าเรื่อง เจมินชี้ไปทางท้องฟ้า

“นั่นลูกพี่หรือเปล่า?”

“อืม ใช่”

ซุงกูพยักหน้าเมื่อเห็นวูจินขี่ชิงชิงวิ่งมาทางท้องฟ้า

ลิชกำลังใช้เวทบินตามหลังวูจินมา ซุงกูเคยเห็นเจนิสบินเขาจึงรู้ว่านั่นคือเจนิส

“เราแค่ต้องอดทนอีกหน่อย”

คังวูจินกลับมาแล้ว ในเมื่ออาณานิคมยังรอดอยู่ การฟื้นฟูปราสาทที่ถูกทำลายก็เป็นเรื่องเล็ก

แถมเขายังสามารถเติมกำลังทหารได้ มอนสเตอร์นอกกำแพงไม่ใช่ปัญหาอีก

รวมถึงมังกรสองตัวบนฟ้าด้วย

“เอ๋?”

“เอ๊ย?”

พวกเขามองท้องฟ้าอย่างไม่ตั้งใจแล้วต้องตกใจ

“ลมหายใจมังกร!

คนแรกที่ตั้งสติได้คือจอมเวทกราแฮม เขากางบาเรีย แต่มันพังไปอย่างง่ายดาย

ลมหายใจมังกรมุ่งหน้าไปทางต้นไม้โลก

“...”

ซุงกูวิ่ง

ถ้าพวกเขาเสียที่นี่ไปเท่ากับไม่อาจกลับโลกได้

ฉันจะทำได้ไหม?

เขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้ ไม่สิ มั่นใจอยู่นิดหน่อย

คงไหวแหละ

ฟู่วๆ

ร่างเขาติดไฟ ซุงกูไปยืนตรงหน้าต้นไม้โลก เมื่อลมหายใจมาตรงหน้า ซุงกูที่กำลังมีเปลวไฟลุกท่วมกางแขนออก



สารบัญ                                    บทที่ 183



1 ความคิดเห็น: