วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 47

บทที่ 47 – การสอบเข้า (11)


ผู้ชมกลับไปสนใจการสอบต่อเพราะท่าทางของยูเรีย เธอกับผู้เข้าสอบอีก 20 คนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน

“ยูเรีย เฟนเดรีย คทาช่วยในการบินของเจ้าอยู่ไหนล่ะ?” ผู้หญิงที่นั่งทางซ้ายของลานสอบร่วมกับกรรมการคนอื่นถามพลางขมวดคิ้ว คนอื่นต่างถือคทาหรือไม้กวาด แต่ยูเรียมามือเปล่า

ผู้หญิงกระตุกคิ้วและพูดต่อก่อนยูเรียจะตอบ “เราไม่ให้เวลาเจ้าหาอุปกรณ์ช่วยเหลือแล้วนะ สอบไปแบบนี้ได้ไหม?”

ยูเรียพยักหน้า “ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

“ดี ข้าจะถือว่าเจ้ามีความมั่นใจที่ไม่ใช้อุปกรณ์”

คำพูดของกรรมการฟังเหมือนเสียดสียูเรียที่ไม่เตรียมตัว ก็จริง การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักเวทจนพวกเขาถูกเรียกว่าผู้เตรียมพร้อม เพราะอย่างนั้น นักเวทที่ให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวอาจไม่เข้าข้างเธอ แต่ก็นะ กรรมการไม่มีทางไม่รู้ว่ายูเรียมาจากเผ่าผีเสื้อ ผมอาจฟังผิดไปเอง

“จะเริ่มการสอบแล้ว เริ่มใช้เวทบินได้”

เมื่อกรรมการออกคำสั่ง ผู้เข้าสอบก็เริ่มใช้พลังเวท ท่ามกลางสีหน้าเคร่งขรึม มีเพียงสีหน้าของยูเรียที่ผ่อนคลาย เธอปล่อยพลังเวทอย่างง่ายดายและบินขึ้นทันที เทียบกับผู้เข้าสอบคนอื่นที่ใช้คทาประคองตัวขึ้นช้าๆแล้วต่างกันฟ้ากับเหว

ยูเรียลอยสูงถึง 10 เมตรอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็เริ่มแสดงกายกรรม เธอวนเป็นเลข 8 เหมือนผึ้ง หยุดใช้เวทเพื่อให้หล่นลงแล้วก็ลอยขึ้นใหม่ เดี๋ยวเร่งความเร็วเดี๋ยวบินช้าลงจากลานสอบด้านหนึ่งไปอีกด้าน เธอใช้พลังเวทอย่างพอเหมาะจนเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ

แปะๆๆ!

ผมปรบมืออย่างจริงใจ กายกรรมที่ยูเรียแสดงผมก็ทำได้ ที่ผมนับถือคือการใช้พลังเวท เธอใช้มานาเท่าที่จำเป็น ไม่มากหรือน้อยเกินไป ผมที่โตมาในป่าโอลิมปัสที่พลังเวทปั่นป่วน การควบคุมแบบนั้นถึงจะทำได้แต่ก็ยังยากอยู่ดี

ผู้เข้าสอบคนอื่นต่างทึ่งกับการควบคุมพลังเวทของยูเรีย พวกเขาหยุดบินและเหม่อมองการบินของยูเรีย

“ทำอะไรกัน! สำหรับนักเวทแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสมาธิ! แต่พวกเจ้ากลับวอกแวกระหว่างใช้เวทมนตร์! ตัดคะแนนทุกคน!”

เมื่อกรรมการขมวดคิ้วและตำหนิ ผู้เข้าสอบคนอื่นก็เริ่มบินต่อด้วยสีหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘อุ๊บ’

กรรมการขมวดคิ้วและใส่ ‘-5’ ให้ทุกคนยกเว้นยูเรีย แต่เหมือนว่าตรงช่องของยูเรียมี ‘-10’ อยู่แล้ว ผมต้องดูผิดแน่ ผู้คุมสอบอยู่ไกลและผมไม่ได้ใช้เวทมนตร์ดู การบินที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ไม่มีทางถูกตัดคะแนนได้

หลังสอบการบินก็เริ่มสอบการยิงทันที ขณะผู้เข้าสอบคนอื่นกำลังรวบรวมพลังเวทหลังจากบิน มีแต่ยูเรียที่กำลังควบคุมและปั้นพลังเวท ทันใดนั้นเอง อักษรเวทมนตร์ที่หมายถึง “ห่อหุ้ม”,  “ยิง” และ “หมุน” ก็ปรากฏหน้ายูเรียเพื่อสร้างวงเวท

เธอเติม “สร้างซ้ำ” กับ “ทวนใหม่” เข้าไป จากนั้นตะโกนคาถา “ผลึกยิงต่อเนื่องราชินีน้ำแข็ง!”

ในเวลาเดียวกับที่ยูเรียตะโกน วงเวทหมุนอย่างรุนแรง และกระสุนเวทยิงใส่เป้าอย่างต่อเนื่องเหมือนปืนกล เปลี่ยนเป้าเป็นรังผึ้งในทันที

จากคาถาและวงเวท ของเดิมน่าจะเป็นเวทสายธาตุที่ยิงผลึกน้ำแข็ง แต่ดูเหมือนยูเรียจะเปลี่ยนน้ำแข็งเป็นกระสุนเวทไร้ธาตุเอาตรงนี้

เพราะเหตุนี้ความแรงจึงดูจะลดไปครึ่งหนึ่ง แต่ตัดขั้นตอนสร้างน้ำแข็งไปความเร็วในการสร้างเวทจึงน่าจะเร็วขึ้นเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าประโยชน์ของเวทเดิมถูกทิ้งไป เทียบกับคนอื่นถือว่าน่าประทับใจ แต่เทียบกับการบินตอนแรก การดัดแปลงเวทมนตร์กะทันหันถือว่าเละ

หลังสอบการยิง ผู้เข้าสอบแสดงเวทมนตร์ที่ถนัดทีละคน ผมสนใจว่ายูเรียจะใช้เวทธาตุที่เธอบอกว่าเป็นเวทหลักของเธอ หรือใช้การเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นเหตุผลให้เธอมาเมืองหลวง ไม่ว่าจะทางไหนก็เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่ได้ดูเวทมนตร์ของเผ่าผีเสื้อ

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่สนใจเวทมนตร์ของยูเรีย บรรดากรรมการที่นั่งอยู่ดูจะคาดหวังแม้จะทำเป็นเฉย หลังจากการแสดงที่ไม่มีอะไรมากผ่านไปทีละอย่าง ยูเรียหันหลังให้ทุกคนทั้งผู้เข้าชมและกรรมการ ยื่นแขนสองข้างไปทางลาน พลังเวทของเธอกระเพื่อม พลังเวทที่ปกติมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเปลี่ยนเป็นสีออกน้ำเงิน หมุนรอบแขนของเธอ

“หมาป่าน้ำแข็งวิ่งพากระแสลมเหนือ-”

ตอนสอบยิงเวท มันเป็นวงเวทใช้ตัวอักษรเวทมนตร์ แต่ตอนนี้มันเป็นเวทธาตุที่ใส่คุณสมบัติให้พลังเวทบริสุทธิ์ ยิ่งสีของพลังเวทรอบแขนยูเรียชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ อุณหภูมิรอบๆก็ยิ่งต่ำลง ลมเย็นพัดผ่านเหมือนเปิดเครื่องปรับอากาศตอนหน้าร้อน

“กองทัพอารักขาราชินีมุ่งหน้า-”

ยูเรียตั้งสมาธิไปที่พลังเวทรอบแขนเพื่อรอเวลาสร้างเวทมนตร์ เมื่อเธอคิดว่า ‘ตอนนี้ล่ะ’ เธอโบกมือที่รวมพลังเวทไว้และตะโกน “นี่คือดินแดนของราชินีน้ำแข็ง! จงมา! ปราสาทน้ำแข็ง!”

พลังเวทสีน้ำเงินจากแขนเริ่มหมุนคลุมลาน และในพริบตาเดียว ปราสาทน้ำแข็งขนาดเล็กก็ถูกสร้างขึ้นตรงกลางลาน แม้มันจะเล็กกว่าปราสาทของจริงแต่ก็กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของลานที่ใหญ่พอวางคฤหาสน์สองหรือสามหลัง มันให้ความรู้สึกใหญ่โตน่าเกรงขาม

“นี่มัน!”

กรรมการที่นั่งตรงกลางตกใจ ผู้ชม ผู้เข้าสอบ กระทั่งนักเวทที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบบางคนแค่คิดว่ามันเป็นเวทขึ้นรูปที่ใช้เวทมนตร์ธาตุ แต่กรรมการไม่มีแต่ชื่อ และตระหนักถึงธาตุแท้ของปราสาทน้ำแข็งนี้

“-ประกาศิตครองแดน”

กรรมการที่นั่งด้านซ้ายผู้ชอบขมวดคิ้วพูดต่อ กรรมการที่นั่งด้านขวาร้องอย่างเหลือเชื่อ

“นั่น!”

กรรมการทั้งสามมองปราสาทน้ำแข็งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ประกาศิตครองแดน – เวทมนตร์ที่ถือเป็นเวทขั้นสุดยอด เขตแดนที่นักเวทประกาศครอบครองเท่ากับเป็นของนักเวทคนนั้น นักเวทที่มีเขตแดนจะมีเพิ่มพลังให้เวทมนตร์ทุกอย่างและขัดขวางเวทมนตร์ของคนอื่น มีอำนาจสูงสุดก็ว่าได้

ผมมองปราสาทน้ำแข็งอย่างตั้งใจ ประกาศิตครองแดนไม่ใช่เวทมนตร์ที่เห็นได้บ่อย คนที่จะใช้ประกาศิตครองแดนได้ต้องเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของจอมเวทอยู่แล้วและเข้าถึงวิถีแห่งเวทมนตร์

แปลก!

เท่าที่ผมเห็น ยูเรียยังไม่เข้าถึงวิถีเวทมนตร์ ไม่อย่างนั้นเธอก็น่าจะรู้สึกถึงพลังเวทของผมที่ซ่อนไว้ ถึงจะเป็นไปได้ว่าเธอมีระดับสูงกว่าผมมากและปิดบังความสามารถไว้แต่ไม่น่าใช่

ผมมองปราสาทน้ำแข็งด้วยสายตาสงสัย ประกาศิตครองแดนเป็นเวทมนตร์ที่เข้าใจด้วยการมองอย่างเดียวไม่ได้

มาวิเคราะห์กัน... มองภายนอก ยูเรียยืนอยู่นอกเขตแดน เขตแดนคือพื้นที่ที่นักเวทประกาศครอบครอง เขตแดนที่ไม่มีนักเวทก็เหมือนดินแดนร้าง ปกติเวลาประกาศครอบครองเขตแดน ดินแดนจะขยายออกโดยมีนักเวทเป็นศูนย์กลาง ดูจากจุดที่ยูเรียยืนอยู่ หรือว่าเธอไม่อยากให้คนรอบข้างตกอยู่ในเขตแดนและได้รับบาดเจ็บ? เหลวไหล! เขตแดนทำอันตรายใครไม่ได้ถ้าเจ้าของไม่ต้องการ เขตแดนที่เจ้าของควบคุมไม่ได้ไม่ใช่เขตแดน

เดี๋ยว ควบคุมไม่ได้? เป็นไปได้นะ

ถ้าเป็นแค่การเลียนแบบประกาศิตครองแดน การสร้างให้ห่างตัวก็มีเหตุผลอยู่

ผมมองยูเรียแทนปราสาทน้ำแข็ง

จริงๆด้วย! ผมรู้สึกถึงปราสาทน้ำแข็งจากตัวเธออย่างจางๆ ถ้าเป็นเขตแดนของจริง ปราสาทน้ำแข็งกับยูเรียต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย

เมื่อเห็นจุดอ่อนแล้วผมก็เริ่มสังเกตเห็นข้อบกพร่องต่างๆในปราสาทน้ำแข็ง สรุปแล้วนี่ไม่ใช่ประกาศิตครองแดน ตั้งชื่อว่า ประกาศิตครองแดนแบบจำลองดีไหม?

ถ้าจะให้อธิบายคือ เจ้าของไม่มีอำนาจสูงสุดในเขตแดนแต่จะได้รับการสนับสนุน มันเป็นเวทมนตร์แบบใหม่ที่เลียนแบบประกาศิตครองแดน แม้จะยังอยู่ในขั้นที่ยากต่อการใช้งาน แต่เวทมนตร์นี้ถือว่าเยี่ยม

ถ้าเวทมนตร์นี้พัฒนาจนใช้ได้จริงๆ มันจะคุ้มค่ากว่าประกาศิตครองแดนมาก ถ้าเทียบเวทมนตร์กับเกมเตตริส ประกาศิตครองแดนเป็นเวทมนตร์ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ราคาเป็นแสน

ส่วนปราสาทน้ำแข็งของยูเรีย ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่เหมือนเกมเตตริสในแล็ปท็อปสเป็คต่ำ เล่นเกมเตตริสในคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมกับในแล็ปท็อปมันต่างกันตรงไหน?

ดังนั้นผมจึงอยากปรบมือให้ในเรื่องความคุ้มค่า ประกาศิตครองแดนพบเห็นไม่ง่ายไม่ใช่แค่เพราะคนที่ทำได้มีไม่มาก แต่คนที่ทำได้ปกติก็ไม่ทำด้วย เพราะพวกเขาแข็งแกร่งจนไม่ต้องใช้มันอยู่แล้ว

ไม่เหมือนผม กรรมการดูจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของยูเรียไม่ใช่ประกาศิตครองแดน ถึงผมจะเกือบถูกหลอก แต่เมื่อผิดสังเกตไปหนึ่งอย่างก็จะเห็นข้อแตกต่างชัดเจน น่าผิดหวัง

ยูเรียมองปราสาทน้ำแข็งที่สร้างขึ้นและทำหน้ามุ่ยนิดๆ ดูเหมือนจะรู้ว่าเวทมนตร์ของเธอล้มเหลว

ในความเห็นของผม ต่อให้เธอแค่ใช้เวทมนตร์ธาตุสร้างปราสาทน้ำแข็งใหญ่ขนาดนั้นก็ถือว่าผ่านแล้ว แต่ยูเรียดูไม่พอใจและลบปราสาททิ้ง เหลือแต่ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ แล้วการสอบเข้าของยูเรียก็จบลงดังนี้ 


สารบัญ                              บทที่ 47

   

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 46

บทที่ 46 – การสอบเข้า (10)

ศาสตราจารย์อ่านชื่อผู้เข้าสอบคร่าวๆอีกรอบ จากนั้นเปิดกลับไปหน้าแรก

“การสอบจะเริ่มจากผู้ถูกเรียกชื่อคนสุดท้ายก่อน ผู้ช่วยให้ส่งผู้เข้าสอบไปที่ลานสอบทีละลำดับตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า”

“รับทราบ”

ศาสตราจารย์ออกจากโรงยิมในเวลาเดียวกับที่ผู้ช่วยตอบ ผู้ช่วยที่เหลืออยู่เรียกผู้สอบ 20 คนมาเข้าแถวและออกไป

ยูเรียพบว่าเนื้อหาของการสอบถูกอธิบายไปแล้วก่อนเธอมา เธอคิดจะถามผู้ช่วยแต่เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผมบลอนด์ยาวหยักกำลังเดินไปที่นั่งด้านหลัง ยูเรียจึงเข้าไปคุยด้วย

“สวัสดี?”

เด็กสาวที่มีตาเหมือนแมว ระวังตัวขึ้นมาเมื่อเห็นยูเรียเดินมาหา

ขณะคิดว่าเด็กสาวที่เหมือนแมวทำขนพองน่ารักดี ยูเรียแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อยูเรีย”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวเอง เด็กสาวผมบลอนด์ลังเลแล้วบอกชื่อตัวเอง “ข้าชื่ออลิซ วอน คาร์เตอร์”

ยูเรียทวนชื่ออลิซและคิดว่าอลิซจะได้สอบเป็นคนเกือบสุดท้าย

“เดี๋ยวก่อน วอน คาร์เตอร์? เจ้ารู้จักคุณเดนกับคุณลิสบอนหรือเปล่า?”

อลิซระแวงยูเรียมากขึ้น เธอเกาะเก้าอี้และขยับห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อยพลางถาม “ทำไมเจ้ารู้ชื่อนั้น?”

อลิซเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้หนึ่งเดือน จะบอกว่าเธอไม่รู้จักใครในเมืองหลวงเลยนอกจากลิสบอนพี่ชายของเธอ คุณนายอาร์ซิลลาเจ้าของหอพักและเดนที่อยู่หอพักเดียวกัน แต่จู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามาหาและพูดถึงชื่อของพี่ชายและเพื่อน เธอจึงระวังตัวมาก

“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน ข้าแค่ได้รู้จักกับพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าถามเพราะเจ้ากับคุณลิสบอนมีนามสกุลเดียวกัน”

“พวกเขาคือพี่กับเพื่อนของข้า เจ้าบังเอิญเจอพวกเขาเหรอ?”

เมื่ออลิซมองยูเรียอย่างระแวง คนถูกมองพยักหน้าแรงๆ

“ใช่ คุณเดนกับข้าพบกันครั้งแรกเช้านี้ที่ห้องสมุด ข้ารู้จักกับคุณลิสบอนตอนเขาอยู่กับคุณเดนที่ลานสอบอัศวินขั้นต่ำ”

“กับเดนเหรอ?” ที่ๆยูเรียบอกตรงกับที่พวกเขาบอกจะไป คำพูดของเธอจึงน่าเชื่อถือ

แต่ว่า แค่นี้ทำให้เธอหายระแวงไม่ได้หรอก!

ยูเรียยินดีเล่าต่อเมื่ออลิซถามถึงเดน

“ใช่ ข้าบังเอิญเจอกับคุณเดนที่ห้องสมุด เขามีความรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุมากเลย”

“การแปรธาตุ?”

อลิซได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่สิ ถึงจะบอกว่าสนิทกับเดนแต่เธอไม่เคยรู้เรื่องของเขาก่อนมาเมืองหลวง รู้แค่เขาเคยอยู่ในหุบเขาห่างไกล แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องนี้ แต่ไว้ถามเดนทีหลังก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องที่เธอต้องจัดการก่อน

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ทำไมเจ้ามาคุยกับข้าล่ะ? ฟังแล้วไม่เหมือนเจ้ารู้ว่าข้ารู้จักเดน”

ยูเรียหัวเราะอายๆ “คือว่า ข้ามาสาย”

“ข้ารู้”

“เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่ได้ฟังคำอธิบายเรื่องการสอบ ข้าเลยมาถามเจ้า ฮิๆ”

อลิซอึ้งเมื่อยูเรียแลบลิ้นหัวเราะ เรื่องแบบนี้ควรถามพวกผู้ช่วยที่ยืนหน้าโรงยิมมากกว่าคนไม่รู้จัก

อลิซตอบ เพราะเห็นว่าไม่ใช่คำถามหนักหนาอะไร “การสอบแบ่งเป็นสามอย่าง การบิน ยิงเวท และเวทมนตร์ที่เจ้าถนัดเป็นพิเศษ คะแนนวัดจากความเร็วในการใช้เวท ประสิทธิภาพของเวทมนตร์ ความสูงของการบิน ในการยิงเวท พลังและระยะทางมีคะแนนเพิ่ม การบินมีคะแนน 40 คะแนน ยิงเวท 40 คะแนน และเวทมนตร์พิเศษ 20 คะแนน รวมเป็น 100 คะแนนเต็ม”

อลิซคิดในใจต่อแต่ไม่พูด “แต่ของเจ้ามี 90 คะแนน”

เธอไม่ใช่คนใจร้ายขนาดพูดเสียดสีคนเพิ่งรู้จัก

ยูเรียขอบคุณอลิซที่ใจดีอธิบายและเริ่มเล่าเรื่องการมาเมืองหลวงของเธอ อลิซอยากบอกยูเรียให้หยุดพูดและไปเสียที แต่ยูเรียพูดเรื่องตอนเจอเดนที่ห้องสมุดขึ้นมาพอดี เธอจึงฟังยูเรียเงียบๆ

*** 

เมื่อลิสบอนกับผมมาถึงจุดสอบโรงเรียนเวทมนตร์ อัลฟอนโซกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้แถวหน้า ปล่อยบรรยากาศว้าเหว่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมองยังไง สีตากับสีผมของคนเผ่านี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกระต่ายขาว ผมรู้สึกว่าถ้าเข้าไปคุยด้วยจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญจึงหาที่นั่งด้านหลัง แต่ลืมไปว่าคนที่มาด้วยกันเป็นพวกใจอ่อน

“อัลฟอนโซใช่ไหม? ข้านั่งด้วยได้หรือเปล่า?”

เจ้าหนูใจอ่อนตรงไปแถวหน้าและพูดกับอัลฟอนโซ

จู่ๆก็ถูกชวนคุย อัลฟอนโซสะดุ้ง ทิ้งบรรยากาศว้าเหว่ออกไปและพยักหน้า จากนั้นเขามองไปรอบๆและเห็นผมอยู่ไม่ไกล โบกมือใหญ่และยิ้มร่า

ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูดีใจที่เห็นผมมากกว่าลิสบอนที่เป็นคนเข้าไปชวนคุย แปลก ผมไม่ได้ทำอะไรให้เขาแท้ๆ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากไปนั่งแถวหน้า

เมื่อความเป็นกันเองของอัลฟอนโซกับความใจอ่อนของลิสบอนมารวมกัน ทั้งสองก็คุยกันเหมือนรู้จักกันมานาน แต่ไม่ผิดไปจากที่ผมคาด เขาก็เริ่มคุยกับผมด้วย

“ใช่ๆ! แบบนั้นแหละ ข้า-”

การสอบเริ่มขึ้นระหว่างผมเออออไปพอสมควร ผมมองไปรอบๆเพื่อหาวงเวทหรือเครื่องมือเวทมนตร์สำหรับป้องกันเวทมนตร์

อะไรกัน? ไม่มี? โรงเรียนเวทมนตร์มีความสามารถอำพรางถึงระดับที่ตาผมมองไม่เห็นหรือนี่ ชื่อโรงเรียนเวทมนตร์ไม่ได้มีไว้อวดเฉยๆสินะ

ผู้สอบราว 20 คนเดินออกจากอาคารที่เหมือนเป็นโรงยิมและทำความเคารพผู้ชมและนักเวทสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นกรรมการสอบ

เมื่อมีเสียงตะโกน “เริ่มได้” แต่ละคนก็ขี่ไม่กวาดหรือคทาและใช้เวทบิน บางคนบินสูงเกือบ 1 เมตร บางคนสูงกว่า 5 เมตร

พอถึงเวลาที่ผมคิดว่าจะมีเวทมนตร์ก่อกวนการบินส่งมาแล้ว ผู้สอบทั้งหมดก็ลงพื้นอย่างปลอดภัย

เดี๋ยว ล้อเล่นเหรอ? แค่นี้น่ะนะ? สูงสุดแค่ 5 เมตรเอง ไม่ได้บินเร็วด้วย แค่ลอยขึ้นช้าๆ จบแล้วเหรอ? ไหนล่ะเวทก่อกวน!

ตรงข้ามกับความรู้สึกของผม ผู้ชมปรบมือเหมือนได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์และรู้สึกตื่นเต้น

“ว้าว! คนบินได้!”

ผมไม่เข้าใจเมื่อเห็นลิสบอนประทับใจและปรบมืออย่างแรง

ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยเห็นเวทมนตร์สะดุดตาแบบนี้มาก่อน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะประทับใจเมื่อเห็นคนบินได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมืออย่างบอลลูนหรือเครื่องร่อน แต่เจ้าโง่ที่เป็นขุนนางและมีน้องสาวเป็นนักเวทก็ยังประทับใจ

อัลฟอนโซที่นั่งข้างเขา สะดุ้งไม่ใช่เพราะการแสดงเวทแต่เพราะเสียงปรบมือกะทันหันและปรบมือตามอย่างไม่แน่ใจ ดูจากสีหน้าเขา มันเป็นเวทมนตร์เรียบง่ายที่เขาก็ทำได้ ผมเลยไม่เข้าใจว่าจะปรบมือตามทำไม

ผมเห็นด้วยกับสีหน้าของอัลฟอนโซ แต่มีอย่างเดียวที่ผมทำได้

แปะ แปะ แปะ!

“ว้าว! ม-หัศ-จรรย์ จริงๆ~”

สีหน้าท่าทางของผมสมบูรณ์แบบ แต่เสียงมันเผยความรู้สึกจริงๆออกมา โชคดีว่ารอบข้างยังมีเสียงปรบมือดังเลยกลบเสียงของผมไปได้ เหมือนที่ความจริงแน่แท้ในด่าน 1 vs 17 ว่าอยู่ฝ่าย 17 คนย่อมดีกว่า การคล้อยตามคนหมู่มากก็สบายกว่าเช่นกัน บางครั้ง การใช้ความคิดของตัวประกอบแบบนี้ก็สะดวกดี 

ผู้จัดสอบมาที่ที่นั่งผู้ชมและขอให้เงียบ เมื่อรอบๆเงียบลง ผู้สอบก็เริ่มยิงเวทใส่เป้าที่ห่างไป 50 เมตร

ป๊อง ป๊อง ป๊อง

เสียงเหมือนในเกมอาร์เคดดังจากคทาของผู้สอบ กระสุนเวทลอยไปทางเป้า

แม่เจ้า ขนาดตอนฝึกทหารเมื่อชาติก่อน เป้าที่ใกล้ที่สุดคือ 100 เมตร... 50 เมตรนี่มันดูถูกผู้เข้าสอบเกินไปหรือเปล่า? แต่ผลปรากฏว่าทางโรงเรียนตั้งเป้าในระยะที่มีเหตุผลมาก ผู้สอบเกินครึ่งยิงไม่ถึงเป้าหมายได้อย่างไรกัน? ไม่แค่พลาดเป้า เกินครึ่งของพวกนั้นยิงไม่ถึง 50 เมตรด้วยซ้ำ

ในกลุ่มที่ยิงถึง 50 เมตร มีแค่ 6 คนที่ยิงถูกเป้า และมีคนเดียวที่ทำลายเป้าได้ ถึงอย่างนั้นก็แค่ทำให้เป้าบิ่นไป ถ้าผู้เฒ่าเมอร์ปามาเห็น คงโกรธและตวาดว่า “ถ้าทำได้แค่นี้ เจ้าไปตามกลิ่นก้นโอเกอร์ในป่าดีกว่า!” ที่จริง วันที่สามหลังจากการเรียนเวทมนตร์ตามคำแนะนำของผม พี่ชายคนรองของผมถูกว่าอย่างนี้ ใช่แล้ว ผู้เฒ่าเมอร์ปาเป็นคุณยายข้างบ้านผู้ปากจัด

การปรบมือของผมออกจะแพงไปสำหรับการแสดงที่แย่แบบนี้ แต่ผมเป็นคนที่ไม่อยากกลายเป็นที่สังเกตจึงตัดสินใจปรบมือแม้จะลังเลไปบ้าง พอคิดว่าผมเสียเวลามาดูการสอบน่าเบื่อแบบนี้แล้วรู้สึกช็อก

เทียบกันแล้ว การสอบของโรงเรียนขั้นต่ำให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี พูดตรงๆคือมันสนุกเพราะเหมือนดูการแสดงตลก

เวลาผ่านไป เวทเดิมๆ ผู้ชมค่อยๆจากไปและลิสบอนไปสอบโรงเรียนอัศวินระดับกลาง

“ขอโทษนะ ข้าควรอยู่ดู แต่เวลามันซ้อนกับการสอบของเอลี่”

“ช่วยไม่ได้หรอกเพราะอลิซสอบเกือบเป็นคนสุดท้าย ข้าจะดูยูเรียสอบก่อนแล้วไปดูเจ้า” ผมยิ้มให้เจ้าโง่ที่กำลังขอโทษอย่างจริงจัง

ที่จริงคือผมไม่อยากอยู่ดูการสอบน่าเบื่อนี่แล้ว

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ถ้าเจ้ากลับมาไม่ทันดูเอลี่สอบล่ะ?”

เจ้าโง่นี่เห็นแก่น้องสาวตัวเองก่อนเสมอ หลังจากลิสบอนไปไม่นาน ยูเรียก็เดินออกมาจากโรงยิม

“ยูเรียมาแล้ว”

อัลฟอนโซที่ดูเบื่อๆ กลับมายิ้มร่าและโบกมือให้ยูเรีย “ยูเรีย! เจ้าทำได้!”

ท่าทางของอัลฟอนโซดึงสายตาของผู้ชมที่เหลือกับผู้สอบมาทางนี้ ผมก้มหน้าและยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ผมต้องแก้นิสัยของเด็กคนนี้ทีหลัง ผมไม่ได้รู้สึกอายแต่อึดอัดที่ถูกสายตาจำนวนมากมองมากกว่า

เมื่อฝาแฝดเชียร์ ยูเรียก็ยิ้มสดใสเหมือนดอกทานตะวันและยกนิ้วโป้งให้พวกเรา

“แน่นอน!” 




สารบัญ                           บทที่ 47




วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

แปลเพลง - Millencolin - Nothing


ลิงค์ไปฟังยูทูปค่ะ 


There's a king upon the throne

He's the king there all alone

He seems troubled and real sad

Just when thought that he was glad

To be the ruler of the earth

Could it be, it wasn't worth

More than nothing?

มีราชาอยู่เหนือบัลลังก์

เขาอยู่อย่างนั้นอย่างเดียวดาย

เขาดูกลุ้มใจและเศร้าโศก

ทั้งที่คิดว่าจะดีใจ

ที่ได้เป็นผู้ครองโลก

หรือว่า มันไม่มีค่า

เกินกว่าความว่างเปล่า?

From the day that he was born

In his side there was a thorn

He just couldn't find the key

To be happy and be free

He felt forced to wear the crown

Slowly it will drag him down

Into nothing

จากวันที่เขาเกิดมา

ข้างตัวเขามีหนามหนา

เขาไม่อาจหามันได้เลย

กุญแจไขออกสู่ความสุขเสรี

เขาเหมือนถูกบังคับให้ต้องสวมมงกุฎ

อย่างช้าๆมันลากเขาลง

สู่ความว่างเปล่า

One more drink and you are learning how to fly

Everything just perfect once you reach the sky

Pop another pill, don't wanna leave your dream

Forget about the days of when you swam upstream

And don't you care too much 'bout you feel inside

It is probably nothing

อีกหนึ่งก๊งและนายเรียนรู้วิธีโบยบิน

ทุกอย่างช่างสวยงามดีเมื่อนายไปถึงฟ้าสูง

เปิดยาอีกเม็ด ไม่อยากออกจากความฝัน

ลืมคืนวันที่นายพากเพียรพยายาม

และอย่าสนใจนักถึงความรู้สึกในใจนาย

มันคงเป็นความว่างเปล่า

I never told you 'bout my dream

How I saw us as a team

We would free the universe

With a chorus and a verse

We were gonna make a change

But like how every dream is strange

It's also nothing

ฉันไม่เคยบอกเล่าความฝันให้นายฟัง

ว่าฉันมองเราเป็นทีม

เราจะปลดปล่อยจักรวาล

ด้วยเนื้อร้องและเสียงประสาน

เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลง

แต่เหมือนทุกความฝันที่แปลกเพี้ยน

มันก็ว่างเปล่าเช่นกัน

What was goin' through your mind

What kind of truth did you find

What did you see from the top

That would finally make you stop

Did it give peace to your soul

Like you reached your final goal

Or just nothing?

อะไรอยู่ในหัวนาย

ความจริงแบบไหนที่นายค้นพบ

นายเห็นอะไรจากจุดสูงสุด

ที่ทำให้ในที่สุดนายหยุด

มันได้ปลอบประโลมวิญญาณของนาย

เหมือนได้มาถึงจุดหมายสุดท้าย

หรือแค่ความว่างเปล่า?

One more drink and you are learning how to fly

Everything just perfect once you reach the sky

Pop another pill, don't wanna leave your dream

Forget about the days of when you swam upstream

And don't you care too much 'bout you feel inside

It is probably nothing

อีกหนึ่งก๊งและนายเรียนรู้วิธีโบยบิน

ทุกอย่างช่างสวยงามดีเมื่อนายไปถึงฟ้าสูง

เปิดยาอีกเม็ด ไม่อยากออกจากความฝัน

ลืมคืนวันที่นายพากเพียรพยายาม

และอย่าสนใจนักถึงความรู้สึกในใจนาย

มันคงเป็นความว่างเปล่า

On and on, on the road, never-ending

Keep a smile up, make sure you're pretending

It's been a long while since you ate the pain

ตลอดไป บนเส้นทาง ไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ้มต่อไป ให้แน่ใจว่านายเสแสร้งดี

นายไม่ได้กล้ำกลืนความเจ็บมาสักพักแล้ว

On and on, you're no fish in the water

But you're slowly on your way to the slaughter

Before you know, everything's too late

ตลอดไป นายไม่ใช่ปลาในสายธาร

แต่นายเคลื่อนสู่ที่ประหารอย่างช้าๆ

ก่อนจะรู้ตัว ทุกอย่างก็สายไป

One more drink and you are learning how to fly

Everything just perfect once you reach the sky

Pop another pill, don't wanna leave your dream

Forget about the days of when you swam upstream

อีกหนึ่งก๊งและนายเรียนรู้วิธีโบยบิน

ทุกอย่างช่างสวยงามดีเมื่อนายไปถึงฟ้าสูง

เปิดยาอีกเม็ด ไม่อยากออกจากความฝัน

ลืมคืนวันที่นายพากเพียรพยายาม

And as I hear your song play on the radio

A certain sadness in me always starts to grow

Will I ever understand the reason why

The melodies make me both wanna smile and cry

And all the things you make me feel inside

Are anything but nothing

และขณะฉันฟังเพลงของนายจากวิทยุ

ความเศร้าหนึ่งทุกครั้งจะขยายใหญ่

จะมีวันที่ฉันเข้าใจไหม

ทำไมทำนองทำให้ฉันอยากยิ้มและร้องไห้

และทุกสิ่งทุกอย่างที่นายทำให้ฉันรู้สึกข้างใน

มันเป็นอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่ความว่างเปล่า


ชีวิตข้าฯ - บทที่ 45

บทที่ 45 – การสอบเข้า (9)


แกมรีจับดาบมั่น อย่างน้อยเขาก็อยากให้เจ้าบ้านี่รู้ว่าความพยายามคืออะไร

ผู้ฝึกสอนเดินมาหาแกมรีพลางดูผู้เข้าสอบคนอื่นๆไปด้วยและถาม “เป็นยังไงบ้าง?”

“สบายดีครับ”

ข้อมือข้างซ้ายของเขาปวดตุบๆแต่อดรีนาลีนทำให้ทนไหว ผู้ฝึกสอนมองมือซ้ายแล้วมองใจสู้ในดวงตาของเขาและพูด

“ยังไงเจ้าเด็กนั่นก็ผ่านอยู่ดี”

มันเป็นการโจมตีครั้งเดียว แต่ผู้ฝึกสอนก็เห็นแล้วว่าระดับการใช้ดาบของอัลฟอนโซไม่สูงนัก อย่างดีก็ขั้นกลาง ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับคนตระกูลขุนนางโง่เขลาผู้มาสอบหลังจากเหวี่ยงดาบไปมาไม่กี่ครั้งซึ่งมีทุกปีก็ยังดีกว่ามาก แต่ถ้าเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ด้านดาบและมีครูคอยฝึกฝน เขาด้อยกว่าจริงๆ

ถึงอย่างนั้น สาเหตุที่เขาสอบผ่านไม่ใช่เพราะวิลเลียมลุงของเขา ตระกูลหรือเงินไม่จำเป็นต่อการคัดเลือกอัศวินที่จะมาปกป้องจักรวรรดิ อัลฟอนโซสอบผ่านเพราะความสามารถในการควบคุมพลังเวท

ขอแค่ยังมีความตั้งใจฝึกฝนก็สามารถให้ครูเฝ้าฝึกสอนขัดเกลาจนกว่าการใช้ดาบอยู่ในระดับปานกลางเป็นอย่างน้อยได้ แต่การใช้พลังเวทต้องการพรสวรรค์

“ข้ารู้ แต่”

แกมรีสูดลมหายใจลึก

“ในฐานะรุ่นพี่ ถ้าข้าแสดงแต่ท่าทางไม่น่าดูก็จะเสียหน้า”

ผู้ฝึกสอนถอนหายใจและหัวเราะ “ใช่ ถ้าเจ้าโดนดูถูกก็จบกัน”

ผู้ฝึกสอนตบไหล่แกมรีบอกให้พยายามเข้าและกลับไปยืนที่เดิม แกมรียกดาบด้วยมือขวา “ขอโทษที่ทำให้รอ เริ่มกันใหม่เถอะ มา” เขากัดฟันแล้วยิ้ม

ดวงตาสั่นไหวอย่างเมื่อครู่หายไปแล้ว เมื่อท่าทางของแกมรีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน อัลฟอนโซที่เป็นคู่ต่อสู้ก็กลืนน้ำลายแล้วเหวี่ยงดาบจากซ้ายไปขวา

แกมรีกะระยะห่างแล้วถอยไปสามก้าว แรงเหวี่ยงทรงพลังของอัลฟอนโซปาดผ่านอากาศด้วยเสียงเหมือนลมถูกฉีก

“เหลืออีกครั้ง”

ยืมแรงเหวี่ยงจากดาบ อัลฟอนโซหมุนตัวและเหวี่ยงดาบจากซ้ายไปขวาอีกครั้ง แกมรีถอยหลบอีกครั้ง เขาโชคดีที่เดาถูกเพราะเห็นแรงเหวี่ยงไม่ช้าลง ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางกันมันได้ด้วยข้อมือที่บวมแบบนี้

“ครบสามครั้งแล้ว” แกมรีพูดพลางแทงดาบใส่ด้านข้างของอัลฟอนโซซึ่งไม่ได้เตรียมตั้งรับหลังจากเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้าง

อัลฟอนโซตกใจและฝืนบิดร่างเพื่อกันดาบ การเปลี่ยนท่ากะทันหันทำให้เขาเสียสมดุล แกมรีเตะขาของเขา

“อ้า!”

เท่านั้นเอง แกมรีจ่อดาบใส่อัลฟอนโซที่ล้มลง

เมื่ออัลฟอนโซเห็นปลายดาบจ่อมาทางเขา น้ำตาเริ่มมารวมกันที่ดวงตา “แพ้แล้วครับ”

เมื่อได้ยินเสียงเศร้าๆ แกมรีก็เก็บดาบและส่งมือขวาให้อัลฟอนโซ อัลฟอนโซจับมือแล้วถามขณะกำลังลุกขึ้น “ข้าสอบไม่ผ่านเหรอ?”

มองอัลฟอนโซที่เกือบร้องไห้แล้ว แกมรีหัวเราะลั่น เห็นหน้าแบบนั้นแล้วยังระวังตัวต่อได้สิแปลก

“ฮือ...”

แกมรีถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ ผู้ฝึกสอนเป็นคนวัดผลไม่ใช่ข้า แต่ข้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสนะ”

เขาอาจไม่ระวังเอง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นรุ่นพี่ เช่นนั้นแล้วคนที่สามารถทำให้ข้อมือของคู่ต่อสู้ที่เป็นรุ่นพี่บาดเจ็บได้จะสอบตกได้อย่างไร? แต่ที่เขาตอบแบบกำกวมเพราะคนตัดสินไม่ใช่เขาแต่เป็นผู้ฝึกสอน หากเขาตอบไปตรงๆก็อาจถูกมองว่าไม่ให้เกียรติผู้ฝึกสอน

“ขอบคุณครับ!” อัลฟอนโซตอบ

แกมรีทิ้งอัลฟอนโซไว้ข้างหลังและออกหอฝึกไป มองมือซ้ายที่บวมแล้วถอนหายใจเงียบๆ อย่างแย่ที่สุดคงหัก จากนั้นเขารายงานสถานการณ์กับผู้ฝึกสอนแล้วตรงไปที่วิหาร เขาคิดว่าเดือนนี้พักผ่อนหน่อยดีกว่า

***

การต่อสู้ของอัลฟอนโซจบลง จากการสังเกตของผม เขามีแรงเยอะกว่าคู่ต่อสู้มากแต่ไม่มีความสามารถด้านการใช้ดาบเลย ถ้าให้เปรียบก็เหมือนกับฮาร์ดแวร์ดีแต่ซอฟท์แวร์แย่ หรือมีตัวเทพแต่ควบคุมห่วยมาก

คู่ต่อสู้ช็อกอย่างเห็นได้ชัดจากการโจมตีครั้งแรก ถ้าก้าวอีกก้าวเขาก็ชนะแล้ว แน่นอน ถ้าโดนฟันเข้าจริงอัศวินคนนั้นคงตาย

“เขาคงไม่สอบตกใช่ไหม?” ยูเรียถอนหายใจและมองอัลฟอนโซอย่างกังวล

“น่าจะผ่าน”

ยูเรียหันมาทางผม “จริงเหรอ?”

“อืม ความสามารถด้านดาบไม่ต่างกันนัก ดังนั้นแฝดของเจ้าน่าจะได้เปรียบเรื่องพลังกายที่โดดเด่นกว่าผู้สอบคนอื่น อีกอย่าง เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้ เจ้าไม่คิดเหรอว่าน่าจะได้คะแนนมาก?”

ผู้เข้าสอบ 20 คนไม่มีใครเก่งพอให้สนใจ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้อยู่แล้วหรือผู้เข้าสอบปีนี้แย่ แต่จนถึงตอนนี้คนที่เก่งที่สุดคือคนที่อยู่หอฝึกที่ 1 กับอัลฟอนโซ

“อัศวินคนนั้นบาดเจ็บเหรอ?”

ยูเรียเอียงคอเหมือนผมพูดเรื่องประหลาด ลิสบอนอธิบาย

“ใช่ ตอนแรกเขาใช้สองมือจับดาบ แต่หลังจากการปะทะครั้งแรก เขาจับดาบด้วยมือขวาข้างเดียว ข้าคิดว่าคงบาดเจ็บที่มือซ้าย”

แปะๆๆ อธิบายได้ดีมากครับครูลิสบอน! ไม่เหมือนผม เขาตอบด้วยการอธิบายอย่างละเอียด!

“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่เดนก็สังเกตเห็นเหมือนกันสินะ”

ผมยิ้ม แอบร้อนตัว

“ฮ่าๆ ข้าอาจดูเป็นคนแบบนี้ แต่ตอนเด็กก็เคยฝึกดาบนิดหน่อยตามคนในหมู่บ้าน”

“ว้าว ดาบกับเวทมนตร์? ยอดเลย!” ยูเรียปรบมืออย่างชื่นชม

“เอ๋? เวทมนตร์?”

แย่แล้ว! ลิสบอนไม่รู้ว่าผมใช้เวทได้ เวลาแบบนี้ยอมรับผิดไปตรงๆจะดีกว่า

“ใช่ ยายข้างบ้านข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ข้าแค่ได้เรียนบ้างตอนเข้าไปหาขนมกิน แต่ข้าว่าข้ามีความรู้นิดหน่อยนะ”

แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่ายายข้างบ้านมีชื่อเสียงว่าเป็นจอมเวทในตำนาน

“ความรู้นิดหน่อยอะไรกัน ข้านับถือความรู้ด้านการแปรธาตุของคุณเดน!”

ยูเรียส่ายหน้า โต้กลับ ทำไมคนเผ่าผีเสื้อพูดอย่างนี้ล่ะ คนอื่นได้เข้าใจว่าฉันเชี่ยวชาญเรื่องเวทกันพอดี!

ผมแกล้งทำเป็นเขิน “ฮ่าๆ ไม่ขนาดนั้นหรอก”

ขณะผมทำหน้าแดงโบกมือ ยูเรียจับมือผมเหมือนจะบอกว่า ‘เชื่อข้าสิ’ และพูด “ไม่นะ! คุณเดนมีความสามารถแน่นอน! พลังเวทอาจจะน้อยไปหน่อย... แต่การแปรธาตุไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังเวทอย่างเดียว! ข้าไม่อยากให้เจ้าทิ้งเวทมนตร์”

ประทานโทษ? ฉันไม่เคยทิ้งเวทมนตร์ ถ้าไม่มีเวทมนตร์แล้วจะใช้ที่ฉีดก้นได้ยังไง! ที่ฉีดก้นสำคัญต่อชีวิตมากนะ! 

“เข้าใจแล้ว เอ่อ มือน่ะ...”

ยูเรียปล่อยมือด้วยความเขิน “โอ๊ะ ขอโทษ”

ระหว่างยูเรียกำลังอาย อัลฟอนโซก็มาถึง

“ยูเรีย...!”

อัลฟอนโซโบกมือเข้ามาอย่างแข็งขัน และประหลาดใจเมื่อเห็นผมนั่งข้างฝาแฝดของเขา

“เดน?”

ผมฝืนยิ้มเมื่อเห็นอัลฟอนโซประหลาดใจเกินเหตุ

ไม่ต้องร้องขนาดนั้นก็ได้ ทุกคนรู้ว่าฉันชื่อเดน ช่วยมาเงียบๆหน่อยจะขอบใจมาก

ด้วยความดีใจ อัลฟอนโซวิ่งมาหาผม กางแขนเหมือนจะกอด ผมจับศีรษะเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและหยุดเขา

“มันร้อน อย่าเข้ามานัวเนีย”

“ฮือ”

อัลฟอนโซร้องและพยายามจะเข้ามากอดผม ทำไมพี่น้องคู่นี้ชอบแตะเนื้อต้องตัวกับคนไม่สนิทกันเท่าไหร่นักนะ

“พวกเจ้ารู้จักกันเหรอ?”

ยูเรียถาม อัลฟอนโซตื่นเต้นและตอบ “ใช่! คือว่ามันมี ผัวะ ผัวะ บึ้ม! น่ะ”

กับคำอธิบายที่ไม่ใช่ภาษาคน ยูเรียหันมาทางผม

“เขาหลงทาง ข้าเลยช่วยนำทางเพราะไปทางเดียวกันพอดี”

“ใช่ เราตกลงเป็นเพื่อนกัน!”

อะไรนะ?! 

ยูเรียพยักหน้า “เข้าใจล่ะ”

ว่าแต่ ผมบอกไปเหรอว่าจะเป็นเพื่อนเขา?

อัลฟอนโซกอดอกและพ่นลมทางจมูกอย่างภูมิใจ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าผมนับเขาเป็นเพื่อนไปแล้ว

ผมโยนถั่วที่เหลือเข้าปากแล้วดูนาฬิกา “ใกล้ถึงเวลาสอบของโรงเรียนเวทมนตร์แล้ว เจ้าแน่ใจเหรอว่ามีเวลาคุยเล่นตรงนี้?”

ยูเรียอึ้งแล้วมองนาฬิกาตัวใหญ่ที่แขวนตรงมุมหอฝึก “อ๊ะ ขอบคุณนะ รีบไปกันเถอะ!”

ไม่รู้ว่าผมกับลิสบอนก็จะไปที่นั่นด้วย ยูเรียคว้ามืออัลฟอนโซและตรงไปที่โรงเรียนเวทมนตร์ ผมมองตามหลังเธอและถามลิสบอน “พวกเราไปกันช้าๆไหม?”

“เอาสิ”

*** 

ผู้เข้าสอบมารวมกันในโรงยิมที่โรงเรียนเวทมนตร์ใช้เป็นห้องรอ ตรงหน้ากลุ่มผู้สอบ ศาสตราจารย์หญิงดูเข้มงวดคนหนึ่งกำลังทำการขานชื่อผู้เข้าสอบ

“เทอเนอร์ บราแฮม”

“มาครับ”

ศาสตราจารย์พลิกหน้ากระดาษ

ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว Y ถูกจดในรายชื่อ ศาสตราจารย์เรียกไปตามลำดับ

“ยูเรีย เฟนเดรีย”

ไม่มีคำตอบ ศาสตราจารย์ขมวดคิ้ว

“ยูเรีย เฟนเดรีย ถ้าไม่อยู่-”

ปัง!

ตอนนั้นเอง ประตูโรงยิมก็ถูกเปิดอย่างแรงและเสียงพูดปนกับเสียงหายใจหอบก็ดังขึ้น

“ยูเรีย เฟนเดรีย! มาค่ะ! อยู่นี่ค่ะ!”

มองยูเรียที่พักมือบนเข่าพยายามหายใจให้ทัน ศาสตราจารย์ขมวดคิ้ว

“เจ้ามาสายนะ”

“ขอโทษค่ะ!”

ยูเรียก้มหัวและขอโทษ ศาสตราจารย์ขมวดคิ้วและพูด “สำหรับนักเวท การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้นักเวทจึงมักถูกเรียกว่าผู้เตรียมพร้อม แต่การมาสายทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าเตรียมตัวไม่ดีพอ”

“ขอโทษค่ะ!”

ศาสตราจารย์หญิงขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อยูเรียขอโทษซ้ำ “เจ้ามีทัศนคติที่แย่ ข้าอยากตัดสินให้เจ้าตก แต่กฎไม่ให้ตัดสิทธิ์สอบเพราะมาสาย โชคดีนะ”

ศาสตราจารย์ขมวดคิ้วด้วยความเสียดายอย่างหนักและยูเรียถอนหายใจอย่างโล่งใจ แต่ศาสตราจารย์ยังพูดไม่จบ

“แต่ที่เหมาะสมมากคือคะแนนสามารถตัดได้ตามดุลยพินิจของศาสตราจารย์ คุณยูเรีย เฟนเดรีย ตัดคะแนน” พูดแล้วศาสตราจารย์ก็เขียน “-10” หน้าชื่อยูเรียอย่างไม่ลังเล

บรรดาผู้เข้าสอบหน้าซีด เพราะว่าถ้าศาสตราจารย์คนนี้เป็นผู้ตัดสินคงได้คะแนนยากมาก พร้อมกันนั้นก็รู้สึกเห็นใจยูเรีย แต่คนถูกเห็นใจเพียงโล่งใจที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์สอบและตรงไปยังที่นั่งด้านหลัง



สารบัญ                                         บทที่ 46

 

  



วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 44

บทที่ 44 – การสอบเข้า (8)


ผมถามราคาที่แผงขายของกินเล่นใกล้จุดสอบ “เท่าไหร่ครับ?”

“ข้าวโพดฝักละเบี้ย ถั่วถุงละ 3 เบี้ย เนื้อย่างชิ้นละ 4 เบี้ยจ้ะ” 

กลิ่นเนื้อย่างชิ้นใหญ่บนเตาหอมน่ากิน อาจเพราะตอนเที่ยงผมได้กินแต่คุกกี้ที่ยูเรียแบ่งให้ตอนอยู่ในห้องสมุด อาหารเลยน่ากินกว่าเดิม

“เอาถั่ว 3 ถุง เนื้อ 5 ชิ้นครับ”

“29 เบี้ยจ้า”

ผมจ่ายด้วยเหรียญเหล็กและเหล็กบริสุทธิ์แล้วเดินไปที่ลิสบอนนั่งอยู่

“โอ้! น่าอร่อย!” ลิสบอนจ้องของกินตาโต เขาเหมือนสุนัขตัวโตที่มีขนมวางอยู่ตรงหน้า ผมรู้ตั้งแต่ตอนเจ้าตะกละนี่พูดว่า “ร่างกายข้าจะเฉื่อยลง” และกินมื้อเช้าไปนิดเดียวแล้ว เป็นไปได้ว่ามื้อเที่ยงคงแทบไม่ได้กินอะไรเลย ผมให้ถั่วหนึ่งถุงกับเนื้อย่างสองชิ้น

“เดี๋ยวเจ้าก็จะสอบแล้ว อย่ากินเยอะนัก”

ทันทีที่ได้ของกิน ลิสบอนกัดเนื้อเข้าไปคำโตแล้วพยักหน้า

“ข้าไม่ได้พูดเล่น ระวังอย่ากินเยอะเกินแล้วไปสอบตกเพราะร่างกายอืดอาด เจ้าพยายามมากจนมีแผลถลอกปอกเปิกทั้งตัว ถ้าสอบตกจะอ้างว่าร่างกายไม่เต็มร้อยไม่ได้นะ อย่างแรกสุดเลย อัศวินที่ไหนดูแลร่างกายตัวเองไม่เป็น?”

ผมบ่น ลิสบอนโห่ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “โห่ เดนพูดเหมือนเอลี่เลย”

ระหว่างพูดเขาก็ยังไม่ปล่อยเนื้อย่างในมือ ผมหยิบถั่วหลายๆเม็ดแล้วโยนเข้าปาก ถั่วคำแรกในชีวิตนี้อร่อยใช้ได้

“เอ๊ะ คุณเดน?”

ผมได้ยินคนเรียกชื่อก็หันไปและเห็นยูเรียกำลังยืนถือร่มขาว

พวกเราเพิ่งจะแยกกันไม่ถึง 5 นาทีเลยนะ?

“ใคร?” ลิสบอนกระซิบถาม

“คุณยูเรีย เราพบกันที่ห้องสมุด”

จากนั้น ลิสบอนลุกจากที่นั่งและทักทาย

“สวัสดี ข้าลิสบอน วอน คาเตอร์”

“สวัสดีค่ะ ข้ายูเรีย เฟนเดรีย”

จะว่าไป พวกเราคุยกันในห้องสมุดตั้งมาก แต่ผมเพิ่งได้ยินนามสกุลของเธอเป็นครั้งแรก แต่ทำไมมันคุ้นนัก?

ลิสบอนทำตาโต “เฟนเดรีย งั้นคุณกับนายพลวิลเลียมก็?”

นายพลวิลเลียม? วิลเลียม เฟนเดรีย?

หรือว่าจะเป็น วิลเลียม วอน เดอ เนรอน เฟนเดรีย ของเผ่าผีเสื้อ?

“เขาเป็นลุงของข้า” ยูเรียยิ้มตอบ

โลกต้องแคบมากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นความบังเอิญขนาดเจอหลานของเพื่อนลุงบลัดดี้จะเกิดได้อย่างไร? ผมแทบเปลี่ยนสีหน้าปวดฟันเป็นรอยยิ้มไม่ทัน

“ถ้าอย่างนั้นคุณยูเรียก็เป็นคนของเผ่าผีเสื้อด้วยเหรอ?” ลิสบอนถามเรื่องที่มันแน่อยู่แล้ว

โง่หรือเปล่านี่? อ้อ ใช่ เขาโง่

ยูเรียพยักหน้า สีหน้าภาคภูมิใจ “ค่ะ ข้าบอกนามสกุลของข้าไปจนได้ หวังว่าคุณเดนจะไม่รู้สึกอึดอัดเพราะมัน” เธอยิ้มเขิน

ผมเอียงคอด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าลุงของยูเรียเป็นบุคคลตำแหน่งสูงในวัง อย่างนั้นไม่แค่บอกเฉพาะผม น่าจะบอกกับลิสบอนด้วย ยูเรียตอนอยู่ในห้องสมุดดูเข้ากับคนอื่นง่ายจนที่เธอบอกแค่ผมไม่น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นเคยกับลิสบอน

“คุณเดนรู้เรื่องเวทมนตร์ดี ข้าจึงแน่ใจว่าเจ้ารู้ทันที ปู่ของข้าเป็นหนึ่งในสี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ นักเวทธาตุของเผ่าผีเสื้อ”

อ้อ ไม่รู้ ผมเพิ่งรู้ว่ามีสี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่จากห้องสมุดนี่เอง ตอนอยู่หมู่บ้าน ผมสนใจแต่ความรู้ด้านเวทมนตร์ ไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญด้านนี้ มาคิดดูแล้ว ผู้เฒ่าเมอร์ปาเคยบอกว่าในเผ่าผีเสื้อมีตาแก่บ้าที่จะแช่แข็งและทำลายทุกอย่างเวลาโมโห คงไม่ใช่ปู่ของยูเรียใช่ไหม?

“ข้าตกใจนิดหน่อย แต่ยูเรียก็คือยูเรีย จอมเวทก็คือจอมเวท”

ที่จริงผมไม่ตกใจสักนิด แต่พยายามทำให้ดูเหมือนตกใจ ยูเรียฟังแล้วคว้ามือผมและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยตาเป็นประกาย

“ใช่แล้ว ปู่ก็คือปู่ ข้าคือตัวข้าเอง”

เอ่อ ขอโทษที มันอึดอัดนะ เราใกล้กันมากจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่าย เมื่อสบตา ยูเรียก็หน้าแดงแล้วถอยห่าง

“อ๊ะ ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เธอเกาแก้มที่เป็นสีแดงและแลบลิ้นนิดๆ และพูดด้วยท่าทางลนลาน

“เอ่อ คือว่า อ๊ะ! เจ้าอยู่ตรงนี้แปลว่ามีคนรู้จักมาสอบเหรอ?”

ผมส่ายหน้า “เปล่า ข้าแค่มาเที่ยว แต่การสอบของโรงเรียนเวทมนตร์ใกล้เริ่มแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าอยู่ที่นี่ไม่เป็นอะไรเหรอ?”

ยูเรียดูดีใจมากที่ผมถาม “ไม่เป็นไรถ้าข้าไปก่อนถึงการทดสอบของข้า ข้าไม่รู้ว่าการสอบเรียงเลขที่ตามตัวอักษรของชื่อผู้สอบจากตัวแรกก่อนหรือตัวสุดท้ายก่อน แต่ก็ต้องรออยู่ดี แค่อาจต้องรอนานกว่าเดิม”

ลำดับของผู้สอบเรียงตามตัวอักษรเหรอ? ผมไม่รู้เพราะไม่ได้สนใจ บางทีลิสบอนอาจได้ดูอลิซสอบก่อนถึงรอบของเขา

“อีกอย่าง ฝาแฝดของข้าเข้าสอบโรงเรียนอัศวิน ข้าจะดูอัลสอบก่อนแล้วค่อยไป”

ฝาแฝดดูเหมือนจะชื่ออัล งั้นชื่อเขาก็ค่อนไปทางท้ายสิ? (1)

ไม่สิ เธอบอกว่าจะดูฝาแฝดสอบก่อนค่อยไป ชื่อฝาแฝดต้องขึ้นต้นด้วยตัว A หรือ Z ถึงจะได้ ถ้าชื่อเล่นคือ อัล ชื่อจริงก็น่าจะขึ้นต้นด้วยตัว A เช่นอัลฟอนโซ

ผมหัวเราะในใจ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เด็กขี้แยที่ผมบังเอิญเจอระหว่างทางตอนเช้าจะเป็นฝาแฝดของยูเรียที่ผมเจอโดยบังเอิญในห้องสมุด ที่พวกเขามีเหมือนกันก็แค่ ร่ม ผมสีขาว ตาสีแดง...

หน้าก็เหมือน...กัน?

ไม่มีทาง ได้โปรดบอกทีว่าไม่ใช่!

“อ๊ะ นั่นน้องชายของข้าที่ถือร่มสีดำอยู่ ตรงโถงฝึกหมายเลข 5!”

ผมมองไปทางโถงฝึกหมายเลข 5 มีเด็กหนุ่มถือร่มสีดำ เดินตัวแข็งเข้าไปด้วยความเครียด

ทำไมคนเผ่าผีเสื้อถึงเข้าโรงเรียนอัศวินล่ะ พระเจ้า ผมเคยทำผิดต่อท่านเหรอ?

***

แกมรี่ วอน โอเวน นักเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นกลางปีสอง ถูกส่งมายังที่สอบของโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ โถงฝึกหมายเลข 5 เพื่อเป็นคู่ฝึกซ้อมของผู้เข้าสอบ เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งใจเมื่อเห็นอัลฟอนโซถือร่มดำเดินตรงมาที่เขา

ผู้ฝึกสอนเรียกเขาเข้าพบและบอกว่าในบรรดาผู้เข้าสอบ มีคนที่เป็นชาติพันธุ์นักสู้อยู่ด้วย แกมรี่หน้าซีดทันทีและอ้อนวอนผู้ฝึกสอนให้ปล่อยเขาไป แต่กลับได้เพียงคำปลอบใจและบอกว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี เขาเกือบจะตะโกนว่าที่พูดอย่างนี้ได้ก็เพราะไม่ใช่ชีวิตของตัวเองน่ะสิ แต่จากที่ผู้ฝึกสอนบอก เผ่าผีเสื้อไม่ได้โดดเด่นเรื่องดาบและวรยุทธ์ แต่ก็บอกให้เขาระวังตัวเพราะเผ่าผีเสื้อมีพลังเท่าอัศวินก่อนจะไล่เขาออกไป

แกมรี่มองเด็กผมขาวที่เดินโดยแขนกับขาแกว่งไปทางเดียวกันแล้วรู้สึกเสียดายที่ตัวเองนอนเครียดทั้งคืน ถ้าเขาตื่นเต้นขนาดนี้ คงแสดงพลังออกมาเต็มที่ไม่ได้

จากนั้น ผู้ฝึกสอนที่มีหน้าที่ตัดสินในโถงฝึกที่ 1 ถึง 5 ก็เป่านกหวีด

“ทำความเคารพคู่ซ้อม”

สองฝ่ายยืนเรียงแถวหันหน้าเข้าหากันและทำความเคารพตามเสียงตะโกนของผู้ฝึกสอน

“เจ้าจะสู้โดยกางนั่นด้วยเหรอ?”

แกมรี่ถาม อัลฟอนโซลนลานหุบร่มและโยนไปไว้ตรงมุมโถงฝึก

ผู้ฝึกสอนมองผู้สอบทั้งหมด

“เริ่มสู้ได้”

แกมรี่ชักดาบพร้อมกับเสียงตะโกนของผู้ฝึกสอน อัลฟอนโซตกใจแล้วรีบชักดาบของตัวเอง

แกมรี่ยิ้ม “ข้าให้เจ้าโจมตีก่อน 3 ครั้ง เข้ามาเลย”

ผู้ฝึกสอนที่จับตาดูโถงฝึกที่ 5 อย่างใกล้ชิดขมวดคิ้ว ออมมือในการฝึกซ้อมเป็นการดูถูกคู่ต่อสู้อย่างชัดเจน ปกติแล้วการซ้อมต่อสู้ทำระหว่างคนที่รู้จักกันดี ดังนั้นการออมมือจึงไม่ถือว่าพบเห็นได้ยากและไม่เกี่ยวกับนิสัย แต่ในการสอบเช่นนี้ซึ่งสู้กับคนไม่รู้จักมันดูไม่ดี

ผู้ฝึกสอนมองอัลฟอนโซอย่างกังวลใจเล็กน้อย อัลฟอนโซเป็นหลานของผู้สูงส่งผู้สั่งการหน่วยนักเวทหลวงและเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกองทัพจักรวรรดิ หากอัลฟอนโซรู้สึกไม่พอใจ เจ้าโง่ไม่รู้จักคิดนั่นอาจถูกไล่ออกตั้งแต่ก่อนเป็นอัศวินหรือต้องอยู่อย่างลำบาก อาจเพราะเขากำลังตื่นเต้นหรือไม่เคยซ้อมต่อสู้มาก่อน อัลฟอนโซดูเหมือนจะไม่เข้าใจมารยาทเรื่องนี้และดูเหมือนไม่โกรธ

“ได้!”

อัลฟอนโซกลับตอบอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยและพุ่งเข้าหาแกมรี่ ฟาดดาบจากบนลงล่าง แกมรี่ยกดาบขวางเพื่อกันการโจมตีอ่านง่ายอย่างสบายใจ

“โง่! หลบเร็ว!”

ผู้ฝึกสอนรีบตะโกนบอกแกมรี่ ด้วยความที่ถูกสอนมานาน เขาถอยไปครึ่งก้าวตามเสียงตะโกนของผู้ฝึกสอน การเปลี่ยนท่ากะทันหันทำให้แรงในมือที่ถือดาบลดลง

จากนั้น ดาบของอัลฟอนโซฟาดใส่ดาบของแกมรี่และลดต่อจนฟาดใส่ฟื้น

แคล้ง! ตูม!

เพราะดาบของอัลฟอนโซฟาดใส่ดาบของเขา ดาบของแกมรี่หัก แต่ที่แย่กว่านั้น แรงกระแทกตอนมือจับดาบไม่แน่นทำให้เส้นเอ็นที่มือของเขาปวดตุบๆ ยิ่งไปกว่านั้น รอยบนพื้นที่เกิดจากดาบของอัลฟอนโซฟาดใส่เหมือนรอยขุดด้วยพลั่วไม่ใช่รอยดาบฟัน คนที่สามารถทิ้งรอยแบบนั้นได้เท่าที่แกมรี่รู้จักก็มีแต่พวกอัจฉริยะที่สามารถใส่พลังเวทลงในดาบได้ก่อนเรียนจบและอยู่ในรายชื่อเตรียมเข้าหน่วยอัศวิน ถ้าผู้ฝึกสอนไม่ตะโกน ต่อให้เขากันได้ แรงฟาดก็จะตัดร่างและสังหารเขา

พลังจากดาบแฝงด้วยพลังเวทแน่นอน แกมรี่กลืนน้ำลายและมองอัลฟอนโซ คนถูกมองกระชากดาบขึ้นด้วยใบหน้าไร้เดียงสา สะบัดเศษดินออกจากดาบและตั้งท่าเตรียมพร้อม แกมรี่รู้สึกเหลือเชื่อที่สุดเมื่อเห็นการตั้งท่าอ่อนหัดที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ บางคนเหวี่ยงดาบเป็นพันๆครั้งและขัดเกลาท่าของตนแต่ก็ยังไม่อาจใส่พลังเวทลงในดาบได้ ไม่ต้องพูดถึงใช้พลังเวทเสริมร่างกายเลย การได้เห็นเขาใส่พลังเวทลงในดาบทั้งๆที่ท่าถือดาบยังดูไม่ได้ทำให้รู้สึกความพยายามที่ผ่านมามันช่างเสียเปล่า


สารบัญ                                                  บทที่ 45  

   

(1) เหมือนว่าเกาหลี เสียง AL อ่านขึ้นต้นด้วย R ค่ะ ถ้าอธิบายแบบไทยๆก็เหมือนคำว่า อัล บางคนสะกดว่า AL บางคนสะกดว่า UL ประมาณนี้ 

เดน - ทำไมคนเผ่าผีเสื้อถึงเข้าโรงเรียนอัศวินล่ะ พระเจ้า ผมเคยทำผิดต่อท่านเหรอ?

คนแปล - คนเผ่ากาที่จะเป็นข้าราชการก็กล้าพูดเนอะ 

บทที่แล้วเดนเพิ่งชวนบอนไปดูลำดับที่สอบของโรงเรียนเวทมนตร์เองนะ ไม่รู้เพราะไม่ได้สนใจอะไร... แล้วยูเรีย มั่นมากจนไม่ไปดูลำดับที่สอบก็เข้าใจได้ แต่สมมุติว่าลำดับสอบเรียงจากท้ายไปหน้าแล้วไม่มีคนสอบที่ชื่อขึ้นต้นด้วย Z ล่ะ...