วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 46

บทที่ 46 – การสอบเข้า (10)

ศาสตราจารย์อ่านชื่อผู้เข้าสอบคร่าวๆอีกรอบ จากนั้นเปิดกลับไปหน้าแรก

“การสอบจะเริ่มจากผู้ถูกเรียกชื่อคนสุดท้ายก่อน ผู้ช่วยให้ส่งผู้เข้าสอบไปที่ลานสอบทีละลำดับตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า”

“รับทราบ”

ศาสตราจารย์ออกจากโรงยิมในเวลาเดียวกับที่ผู้ช่วยตอบ ผู้ช่วยที่เหลืออยู่เรียกผู้สอบ 20 คนมาเข้าแถวและออกไป

ยูเรียพบว่าเนื้อหาของการสอบถูกอธิบายไปแล้วก่อนเธอมา เธอคิดจะถามผู้ช่วยแต่เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง ผมบลอนด์ยาวหยักกำลังเดินไปที่นั่งด้านหลัง ยูเรียจึงเข้าไปคุยด้วย

“สวัสดี?”

เด็กสาวที่มีตาเหมือนแมว ระวังตัวขึ้นมาเมื่อเห็นยูเรียเดินมาหา

ขณะคิดว่าเด็กสาวที่เหมือนแมวทำขนพองน่ารักดี ยูเรียแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อยูเรีย”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัวเอง เด็กสาวผมบลอนด์ลังเลแล้วบอกชื่อตัวเอง “ข้าชื่ออลิซ วอน คาร์เตอร์”

ยูเรียทวนชื่ออลิซและคิดว่าอลิซจะได้สอบเป็นคนเกือบสุดท้าย

“เดี๋ยวก่อน วอน คาร์เตอร์? เจ้ารู้จักคุณเดนกับคุณลิสบอนหรือเปล่า?”

อลิซระแวงยูเรียมากขึ้น เธอเกาะเก้าอี้และขยับห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อยพลางถาม “ทำไมเจ้ารู้ชื่อนั้น?”

อลิซเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้หนึ่งเดือน จะบอกว่าเธอไม่รู้จักใครในเมืองหลวงเลยนอกจากลิสบอนพี่ชายของเธอ คุณนายอาร์ซิลลาเจ้าของหอพักและเดนที่อยู่หอพักเดียวกัน แต่จู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามาหาและพูดถึงชื่อของพี่ชายและเพื่อน เธอจึงระวังตัวมาก

“เดี๋ยว ใจเย็นก่อน ข้าแค่ได้รู้จักกับพวกเขาก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าถามเพราะเจ้ากับคุณลิสบอนมีนามสกุลเดียวกัน”

“พวกเขาคือพี่กับเพื่อนของข้า เจ้าบังเอิญเจอพวกเขาเหรอ?”

เมื่ออลิซมองยูเรียอย่างระแวง คนถูกมองพยักหน้าแรงๆ

“ใช่ คุณเดนกับข้าพบกันครั้งแรกเช้านี้ที่ห้องสมุด ข้ารู้จักกับคุณลิสบอนตอนเขาอยู่กับคุณเดนที่ลานสอบอัศวินขั้นต่ำ”

“กับเดนเหรอ?” ที่ๆยูเรียบอกตรงกับที่พวกเขาบอกจะไป คำพูดของเธอจึงน่าเชื่อถือ

แต่ว่า แค่นี้ทำให้เธอหายระแวงไม่ได้หรอก!

ยูเรียยินดีเล่าต่อเมื่ออลิซถามถึงเดน

“ใช่ ข้าบังเอิญเจอกับคุณเดนที่ห้องสมุด เขามีความรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุมากเลย”

“การแปรธาตุ?”

อลิซได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ไม่สิ ถึงจะบอกว่าสนิทกับเดนแต่เธอไม่เคยรู้เรื่องของเขาก่อนมาเมืองหลวง รู้แค่เขาเคยอยู่ในหุบเขาห่างไกล แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องนี้ แต่ไว้ถามเดนทีหลังก็ได้ ตอนนี้มีเรื่องที่เธอต้องจัดการก่อน

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ทำไมเจ้ามาคุยกับข้าล่ะ? ฟังแล้วไม่เหมือนเจ้ารู้ว่าข้ารู้จักเดน”

ยูเรียหัวเราะอายๆ “คือว่า ข้ามาสาย”

“ข้ารู้”

“เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่ได้ฟังคำอธิบายเรื่องการสอบ ข้าเลยมาถามเจ้า ฮิๆ”

อลิซอึ้งเมื่อยูเรียแลบลิ้นหัวเราะ เรื่องแบบนี้ควรถามพวกผู้ช่วยที่ยืนหน้าโรงยิมมากกว่าคนไม่รู้จัก

อลิซตอบ เพราะเห็นว่าไม่ใช่คำถามหนักหนาอะไร “การสอบแบ่งเป็นสามอย่าง การบิน ยิงเวท และเวทมนตร์ที่เจ้าถนัดเป็นพิเศษ คะแนนวัดจากความเร็วในการใช้เวท ประสิทธิภาพของเวทมนตร์ ความสูงของการบิน ในการยิงเวท พลังและระยะทางมีคะแนนเพิ่ม การบินมีคะแนน 40 คะแนน ยิงเวท 40 คะแนน และเวทมนตร์พิเศษ 20 คะแนน รวมเป็น 100 คะแนนเต็ม”

อลิซคิดในใจต่อแต่ไม่พูด “แต่ของเจ้ามี 90 คะแนน”

เธอไม่ใช่คนใจร้ายขนาดพูดเสียดสีคนเพิ่งรู้จัก

ยูเรียขอบคุณอลิซที่ใจดีอธิบายและเริ่มเล่าเรื่องการมาเมืองหลวงของเธอ อลิซอยากบอกยูเรียให้หยุดพูดและไปเสียที แต่ยูเรียพูดเรื่องตอนเจอเดนที่ห้องสมุดขึ้นมาพอดี เธอจึงฟังยูเรียเงียบๆ

*** 

เมื่อลิสบอนกับผมมาถึงจุดสอบโรงเรียนเวทมนตร์ อัลฟอนโซกำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้แถวหน้า ปล่อยบรรยากาศว้าเหว่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมองยังไง สีตากับสีผมของคนเผ่านี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกระต่ายขาว ผมรู้สึกว่าถ้าเข้าไปคุยด้วยจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญจึงหาที่นั่งด้านหลัง แต่ลืมไปว่าคนที่มาด้วยกันเป็นพวกใจอ่อน

“อัลฟอนโซใช่ไหม? ข้านั่งด้วยได้หรือเปล่า?”

เจ้าหนูใจอ่อนตรงไปแถวหน้าและพูดกับอัลฟอนโซ

จู่ๆก็ถูกชวนคุย อัลฟอนโซสะดุ้ง ทิ้งบรรยากาศว้าเหว่ออกไปและพยักหน้า จากนั้นเขามองไปรอบๆและเห็นผมอยู่ไม่ไกล โบกมือใหญ่และยิ้มร่า

ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูดีใจที่เห็นผมมากกว่าลิสบอนที่เป็นคนเข้าไปชวนคุย แปลก ผมไม่ได้ทำอะไรให้เขาแท้ๆ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากไปนั่งแถวหน้า

เมื่อความเป็นกันเองของอัลฟอนโซกับความใจอ่อนของลิสบอนมารวมกัน ทั้งสองก็คุยกันเหมือนรู้จักกันมานาน แต่ไม่ผิดไปจากที่ผมคาด เขาก็เริ่มคุยกับผมด้วย

“ใช่ๆ! แบบนั้นแหละ ข้า-”

การสอบเริ่มขึ้นระหว่างผมเออออไปพอสมควร ผมมองไปรอบๆเพื่อหาวงเวทหรือเครื่องมือเวทมนตร์สำหรับป้องกันเวทมนตร์

อะไรกัน? ไม่มี? โรงเรียนเวทมนตร์มีความสามารถอำพรางถึงระดับที่ตาผมมองไม่เห็นหรือนี่ ชื่อโรงเรียนเวทมนตร์ไม่ได้มีไว้อวดเฉยๆสินะ

ผู้สอบราว 20 คนเดินออกจากอาคารที่เหมือนเป็นโรงยิมและทำความเคารพผู้ชมและนักเวทสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นกรรมการสอบ

เมื่อมีเสียงตะโกน “เริ่มได้” แต่ละคนก็ขี่ไม่กวาดหรือคทาและใช้เวทบิน บางคนบินสูงเกือบ 1 เมตร บางคนสูงกว่า 5 เมตร

พอถึงเวลาที่ผมคิดว่าจะมีเวทมนตร์ก่อกวนการบินส่งมาแล้ว ผู้สอบทั้งหมดก็ลงพื้นอย่างปลอดภัย

เดี๋ยว ล้อเล่นเหรอ? แค่นี้น่ะนะ? สูงสุดแค่ 5 เมตรเอง ไม่ได้บินเร็วด้วย แค่ลอยขึ้นช้าๆ จบแล้วเหรอ? ไหนล่ะเวทก่อกวน!

ตรงข้ามกับความรู้สึกของผม ผู้ชมปรบมือเหมือนได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์และรู้สึกตื่นเต้น

“ว้าว! คนบินได้!”

ผมไม่เข้าใจเมื่อเห็นลิสบอนประทับใจและปรบมืออย่างแรง

ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยเห็นเวทมนตร์สะดุดตาแบบนี้มาก่อน จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะประทับใจเมื่อเห็นคนบินได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมืออย่างบอลลูนหรือเครื่องร่อน แต่เจ้าโง่ที่เป็นขุนนางและมีน้องสาวเป็นนักเวทก็ยังประทับใจ

อัลฟอนโซที่นั่งข้างเขา สะดุ้งไม่ใช่เพราะการแสดงเวทแต่เพราะเสียงปรบมือกะทันหันและปรบมือตามอย่างไม่แน่ใจ ดูจากสีหน้าเขา มันเป็นเวทมนตร์เรียบง่ายที่เขาก็ทำได้ ผมเลยไม่เข้าใจว่าจะปรบมือตามทำไม

ผมเห็นด้วยกับสีหน้าของอัลฟอนโซ แต่มีอย่างเดียวที่ผมทำได้

แปะ แปะ แปะ!

“ว้าว! ม-หัศ-จรรย์ จริงๆ~”

สีหน้าท่าทางของผมสมบูรณ์แบบ แต่เสียงมันเผยความรู้สึกจริงๆออกมา โชคดีว่ารอบข้างยังมีเสียงปรบมือดังเลยกลบเสียงของผมไปได้ เหมือนที่ความจริงแน่แท้ในด่าน 1 vs 17 ว่าอยู่ฝ่าย 17 คนย่อมดีกว่า การคล้อยตามคนหมู่มากก็สบายกว่าเช่นกัน บางครั้ง การใช้ความคิดของตัวประกอบแบบนี้ก็สะดวกดี 

ผู้จัดสอบมาที่ที่นั่งผู้ชมและขอให้เงียบ เมื่อรอบๆเงียบลง ผู้สอบก็เริ่มยิงเวทใส่เป้าที่ห่างไป 50 เมตร

ป๊อง ป๊อง ป๊อง

เสียงเหมือนในเกมอาร์เคดดังจากคทาของผู้สอบ กระสุนเวทลอยไปทางเป้า

แม่เจ้า ขนาดตอนฝึกทหารเมื่อชาติก่อน เป้าที่ใกล้ที่สุดคือ 100 เมตร... 50 เมตรนี่มันดูถูกผู้เข้าสอบเกินไปหรือเปล่า? แต่ผลปรากฏว่าทางโรงเรียนตั้งเป้าในระยะที่มีเหตุผลมาก ผู้สอบเกินครึ่งยิงไม่ถึงเป้าหมายได้อย่างไรกัน? ไม่แค่พลาดเป้า เกินครึ่งของพวกนั้นยิงไม่ถึง 50 เมตรด้วยซ้ำ

ในกลุ่มที่ยิงถึง 50 เมตร มีแค่ 6 คนที่ยิงถูกเป้า และมีคนเดียวที่ทำลายเป้าได้ ถึงอย่างนั้นก็แค่ทำให้เป้าบิ่นไป ถ้าผู้เฒ่าเมอร์ปามาเห็น คงโกรธและตวาดว่า “ถ้าทำได้แค่นี้ เจ้าไปตามกลิ่นก้นโอเกอร์ในป่าดีกว่า!” ที่จริง วันที่สามหลังจากการเรียนเวทมนตร์ตามคำแนะนำของผม พี่ชายคนรองของผมถูกว่าอย่างนี้ ใช่แล้ว ผู้เฒ่าเมอร์ปาเป็นคุณยายข้างบ้านผู้ปากจัด

การปรบมือของผมออกจะแพงไปสำหรับการแสดงที่แย่แบบนี้ แต่ผมเป็นคนที่ไม่อยากกลายเป็นที่สังเกตจึงตัดสินใจปรบมือแม้จะลังเลไปบ้าง พอคิดว่าผมเสียเวลามาดูการสอบน่าเบื่อแบบนี้แล้วรู้สึกช็อก

เทียบกันแล้ว การสอบของโรงเรียนขั้นต่ำให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี พูดตรงๆคือมันสนุกเพราะเหมือนดูการแสดงตลก

เวลาผ่านไป เวทเดิมๆ ผู้ชมค่อยๆจากไปและลิสบอนไปสอบโรงเรียนอัศวินระดับกลาง

“ขอโทษนะ ข้าควรอยู่ดู แต่เวลามันซ้อนกับการสอบของเอลี่”

“ช่วยไม่ได้หรอกเพราะอลิซสอบเกือบเป็นคนสุดท้าย ข้าจะดูยูเรียสอบก่อนแล้วไปดูเจ้า” ผมยิ้มให้เจ้าโง่ที่กำลังขอโทษอย่างจริงจัง

ที่จริงคือผมไม่อยากอยู่ดูการสอบน่าเบื่อนี่แล้ว

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ถ้าเจ้ากลับมาไม่ทันดูเอลี่สอบล่ะ?”

เจ้าโง่นี่เห็นแก่น้องสาวตัวเองก่อนเสมอ หลังจากลิสบอนไปไม่นาน ยูเรียก็เดินออกมาจากโรงยิม

“ยูเรียมาแล้ว”

อัลฟอนโซที่ดูเบื่อๆ กลับมายิ้มร่าและโบกมือให้ยูเรีย “ยูเรีย! เจ้าทำได้!”

ท่าทางของอัลฟอนโซดึงสายตาของผู้ชมที่เหลือกับผู้สอบมาทางนี้ ผมก้มหน้าและยกมือข้างหนึ่งปิดหน้า ผมต้องแก้นิสัยของเด็กคนนี้ทีหลัง ผมไม่ได้รู้สึกอายแต่อึดอัดที่ถูกสายตาจำนวนมากมองมากกว่า

เมื่อฝาแฝดเชียร์ ยูเรียก็ยิ้มสดใสเหมือนดอกทานตะวันและยกนิ้วโป้งให้พวกเรา

“แน่นอน!” 




สารบัญ                           บทที่ 47




1 ความคิดเห็น: