วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 173

Chapter 173 – Air Strike (2)


วูจินมองภาพโฮโลแกรมของปราสาทบิบิแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ บิบิทำงานได้ดี เขาจึงไม่ต้องมาวุ่นวายมาก

การลงทุนเป็นเรื่องดี แต่ถ้าแต้มของเขาถูกใช้จนหมดคงแย่ ไม่มีแต้มเขาจะฟื้นฟูกำลังพลไม่ได้ และรักษาอาณาเขตมิติไว้ไม่ได้ ลอร์ดมิติหลายรายแล้วที่เสียอาณาเขตมิติไปเพราะการจัดการไม่ดี

“ทำแบบนี้ต่อไปนะ ไม่ว่ายังไงเธอต้องปกป้องอาณานิคมนี้ให้ได้”

แต่นี่เพื่อครอบครัวของเขา ยิ่งกว่านั้น เขาจะกลับมาที่โลกได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของอาณานิคมนี้

“เข้าใจแล้ว”

วูจินเตรียมจะลุกขึ้น แต่บิบิตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นหน้าต่างโฮโลแกรม

“อ๊ะ? เจ้านาย เกิดดันเจี้ยนเบรกล่ะ”

ทันทีที่พูดจบ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นจากคนสองคน

คนหนึ่งคือกัปตันของเรือบรรทุกเครื่องบิน ปาร์คกิลซู อีกคนคือโนซามผู้รับผิดชอบด้านออกแบบและบำรุงรักษา

“ยินดีที่ได้พบครับ พระราชา!”

“คำนับท่านจ้าว”

ทั้งสองมาอย่างกะทันหัน วูจินหันไปทางพวกเขา

“เราจะเห็นด้านล่างได้หรือเปล่า?”

“ได้ครับ!”

ปาร์คกิลซูใช้จอในหอบังคับการดึงภาพแผนที่ของพื้นที่ด้านล่างขึ้นมา เมื่อเขาซูมภาพเข้าไปก็จะเป็นภาพความละเอียดสูง

“สามที่เหรอ?”

จุงมินชานยังมีสีหน้ามืดมนเมื่อเดินกลับเข้ามา เขาพูดกับวูจินเสียงอ่อนล้า

“ไม่นานนี้เกิดดันเจี้ยนเบรกหลายครั้ง ไม่มีสัญญาณเตือนก่อนการเบรก แต่อย่างน้อยเกาหลียังดีกว่าที่อื่น”

“ที่อื่นล่ะ?”

“ในเกาหลีกำจัดศัตรูได้ภายในไม่เกินหนึ่งวัน แต่หลายประเทศถูกมอนสเตอร์ครอบครองสถานที่สำคัญหลายชั่วโมงก่อนจะโจมตี”

วูจินเลิกคิ้ว

“มีอาณานิคมอื่นเกิดขึ้นมาไหม?”

“ยัง แต่มีความพยายามจะสร้างเป็นพักๆ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ในจีน มีบางคนป้อนข้อมูลของอาณานิคม”

“ทำไม?”

“ผมแค่เดา แต่น่าจะเพราะพวกเขาอยากได้ชิ้นส่วนมิติ”

“ชิ”

วูจินเดาะลิ้น หลับตาลง

เขาคาดไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น คนพูดถึงสันติภาพและการปกป้องโลก แต่คนเคลื่อนไหวตามความโลภ สุดท้ายถึงจะรู้ว่าการเอาเปรียบกันเองเป็นเรื่องเสียเปล่า

เขาต้องการปกป้องโลกเพื่อครอบครัวของเขาจะได้ปลอดภัย เขาก็เคลื่อนไหวไปตามผลประโยชน์ส่วนตัวเช่นกัน...

เขารู้สึกว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว

“ฉันคงต้องจัดการเรื่องข้างล่างเอง”

“เจ้านายยุ่งออก ให้เราจัดการเถอะ!”

“เธอ?”

บิบิไม่ได้ลงสนามรบกับเขามานาน เลเวลเธอจึงยังต่ำ ถ้าไปสู้กับพวกมอนสเตอร์โดยไม่จำเป็นอาจบาดเจ็บได้...

“เราแค่โจมตีด้วยเมืองอาณานิคม”

“อ้อ...”

วูจินพยักหน้า นี่คือเมืองเคลื่อนที่ได้

เขาวางอาณานิคมบนเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อเวลาเจอการโจมตีที่รับไม่ไหวจะได้หนีไป คาดไม่ถึงว่าเรือจะเคลื่อนที่ไปบนฟ้าแทนมหาสมุทร

อาวุธและกำลังพลที่ตั้งบนเรือไม่แค่ใช้สู้ในทะเล ตอนนี้มันสามารถโจมตีลงมาจากท้องฟ้า

“ความคิดดีนี่”

“ให้เราจัดการไหมคะ?”

“ได้ ยกให้เป็นหน้าที่เธอ”

ดันเจี้ยนเบรกที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าจะเกิดขึ้นอีก วูจินจัดการทั้งหมดไม่ได้

เขาต้องทำสิ่งที่มีแต่เขาที่ทำได้

‘เครื่องประหารของทราช’

เขาต้องแก้ปริศนาข้อนี้

ถ้าเขาจะแก้ปัญหานี้ เขาต้องทำเซ็ทไอเทมของทราชอีกครั้ง มันจะบอกใบ้วิธีแก้ปัญหาให้เขา

ที่ที่เขาต้องอยู่คืออัลเฟน ไม่ใช่โลก

“บิบิ”

“ค่ะ เจ้านาย!”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามเสียอาณานิคมไป”

“วางใจเราได้เลย!”

วูจินลูบศีรษะบิบิอีกครั้ง จากนั้นลอดผ่านอุโมงค์ไปยังอัลเฟน

“ฮึๆ เริ่มเลยดีกว่า”

บิบิหัวเราะพลางมองหน้าจอที่แสดงเหตุการณ์เบื้องล่าง

***

ใกล้สถานีแดจุนมีร้านขายของขบเคี้ยวแห่งหนึ่ง

นักเรียนมัธยมปลาย 3 คนกำลังกินต๊อกโบกีใกล้สถานี พวกเขามองกลุ่มเราส์ที่อยู่ใกล้ๆอย่างนับถือ (ต๊อกโบกี - เกี้ยมอี๋?ผัดกับซอส)

“เฮ้อ ชีวิตฉันต้องเปลี่ยนไปแน่ถ้าพลังในตัวตื่นขึ้น”

“ฮะ ซื้อหวยยังถูกง่ายกว่าเลย”

“ไอ้บ้า ใครจะไปรู้ กุงซูที่อยู่ห้อง 4 กลายเป็นเราส์ไปแล้วนะ”

“ก็จริงนะ”

ถ้านักเรียนมีพลังกลายเป็นเราส์ มันคือเรื่องโชคดีขนาดถูกล็อตเตอรี่ยังเทียบไม่ติด

ไม่มีใครไม่มีความฝัน และไม่มีวัยรุ่นที่ไม่อยากเป็นฮีโร่

“แต่เราส์แรงค์ต่ำก็ไม่ต่างจากกรรมกรนะ”

“ไม่งั้นเขาจะเรียกโหลยโท่ยเหรอ?”

เราส์แรงค์ต่ำก็เหมือนดาราไม่มีชื่อเสียง

แต่ไม่มีใครไม่อยากได้โอกาสเป็นดารา ต่อให้ต้องทำงานหนักแทบตายก็ไม่เป็นไร

“อ๊ะ ถ้าเราได้เป็นเราส์ก็ไปสมัครงานที่อลันดาลได้ พวกเขาเลือกแต่คนไม่เก่ง”

“อืม นั่นอาจจะแค่แกล้งทำก็ได้นะ”

“จริงด้วย อลันดาลไม่ใช่แหล่งผลิตเราส์นะ เวลานิดเดียวก็กลายเป็นเราส์แรงค์สูงไปเลย ประหลาดแล้ว”

แต่ มีเหตุผลที่อธิบายสิ่งที่พวกเขาทำได้ชัดเจน ถ้าพวกเขาจ้างเราส์ที่มีแววล่ะ?

“ก็คงงั้น...”

มินแจฝันอยากเป็นเราส์

“เฮ้ นายเรียนเก่งออก ทำไมถึงอยากเป็นเราส์ล่ะ”

การศึกษาไม่ใช่สิ่งรับประกันความสำเร็จในชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ต้องมีสำหรับความก้าวหน้าในชีวิต

ในโลกที่วุ่นวายด้วยมอนสเตอร์ การศึกษายิ่งสำคัญขึ้น

“เฮ้อ ไปเรียนพิเศษกันเถอะ”

มินแจกับเพื่อนเขมือบของทอดจนหมด พวกเขากำลังจะออกจากร้านแต่ต้องชะงักตรงหน้าทางเข้า

ฮื่อ!

มอนสเตอร์ไม่ใช่สิ่งหายากอีกต่อไป

แต่ทว่า ถ้าคนที่เคยเห็นมอนสเตอร์แต่ในทีวีมาเจอเข้าจริงๆจะรู้สึกอย่างไร?

มอนสเตอร์ตัวมหึมาถือสิ่งที่เหมือนค้อนหรือท่อนเหล็ก มันกำลังจะฟาดอาวุธลงมา

“ว...วิ่ง!”

มินแจอ้าปากแข็งค้างของตน เสียงตะโกนของเขากระตุ้นให้เพื่อนๆขยับตัว

กึง กึง!

มอนสเตอร์ร่างใหญ่ดูน่าเกรงขามแต่มันเชื่องช้า มินแจกับเพื่อนวิ่งสุดชีวิตและสามารถทิ้งห่างจากมันได้

“แฮ่กๆ เกิดอะไรขึ้น?”

“ดันเจี้ยนแถวนี้คงระเบิด”

“ที่หลบภัยอยู่ตรงไหน?”

“ไม่รู้ ฉันทำมือถือตก”

ทั้งสามคนโชคดี เจอมอนสเตอร์ครั้งแรกพวกเขาเจอแค่ตัวเดียว ขณะพวกเขากำลังมองไปรอบๆอย่างตกใจ มอนสเตอร์ก็ปรากฏตัวมากขึ้น

ดันเจี้ยนเพิ่งระเบิด ไม่มีทางที่จะมีมอนสเตอร์แค่ตัวเดียว

มอนสเตอร์ 4 ตัว รูปร่างหน้าตาเหมือนตัวก่อนหน้าปรากฏตัว

มนุษย์ 3 คนกลัวจนหนีไม่ได้ พวกมอนสเตอร์ล้อมพวกเขา

“ช...เชี่ย”

“...”

เพื่อนของมินแจไม่มีแม้แต่แรงตอบ เพิ่งเกิดดันเจี้ยนเบรกไม่นาน พวกเขาหาที่หลบภัยไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาคือเหยื่อที่จะถูกมอนสเตอร์พวกนี้ล่า

“เราซวยแล้ว”

“มินแจ ทำไงดี?”

“ทำไงล่ะ? พวกเราก็แค่ตาย”

ตลกดี เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย มินแจรู้สึกสงบแทนที่จะกลัว สุดท้ายก็ตายอยู่ดี แล้วเขาจะกลัวทำไม?

เมื่อเลิกคิดเรื่องกลัว วูจินก็เห็นสถานการณ์รอบๆได้ดีขึ้น

‘กองทัพยังไม่มา แถวนี้มีแต่พวกเรา’

ดูเหมือนกองทหารยังไม่เคลื่อนไหว เขายังไม่ได้ยินเสียงปืนหรือการต่อสู้ใดๆ เขาได้ยินแต่เสียงกรีดร้องของคนและเสียงคำรามของมอนสเตอร์

ดูเหมือนดันเจี้ยนเพิ่งระเบิดไปไม่นาน

ตอนนี้มีมอนสเตอร์เพียงสี่ตัว แต่มันจะเพิ่มขึ้นอีกมาก โอกาสรอดชีวิตของพวกเขาไม่มี

“เราตาย”

“ม...มินแจ ทำไงดี?”

“ทำไมนายเอาแต่ถามคำถามเดิม?”

“ฮือ”

มินแจอยากได้เหลือเกิน

ถ้าเขามีพลัง เขาจะใช้พลังของเขาเพื่อสู้หรือหนี แต่เขาเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่กำลังจะไปเรียนพิเศษ

ถ้าเขาตายไป คนจะพูดถึงเขาอย่างไรนะ?

เขาโชคร้ายที่มาหยุดตรงสถานีแดจุนเพราะความหิว ดูท่าว่าต๊อกโบกีจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเสียชีวิต

“เวร”

ถ้าเขาเป็นเราส์ คงไม่ไร้พลังแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกบที่ถูกงูจ้อง

พวกมอนสเตอร์บีบวงล้อมเข้ามา มันกำลังจะฟาดอาวุธลง

พวกเขาจะตายแบบเละเทะ

“เวรเอ๊ย!”

เขาจับมือเพื่อนทั้งสองด้วยความกลัว ถ้าเป็นตอนปกติ เพื่อนคงตะโกนใส่

เปรี๊ยะ!

สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น

พลังบางอย่างกันอาวุธพวกนั้นไว้ แล้วอาวุธก็กระเด็นออกไป

“...!”

มินแจตาโตอย่างตกใจ

“มินแจ!”

“มันอะไรวะ? นายเห็นไหม?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

มินแจแทบไม่ได้ยินเสียงตกใจของเพื่อน เขารู้ว่านี่คืออะไร

‘ฉันกลายเป็นเราส์’

เขารู้สึกได้ จู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา วิธีใช้บาเรีย

มอนสเตอร์ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหวี่ยงอาวุธอีกครั้ง

มันคำรามเสียงดังเมื่อบาเรียกางออกอีกครั้ง

กึง!

ถ้ามีสิ่งกีดขวาง พวกมันแค่ต้องทำลายมันเสีย

กึง! กึง!

อาวุธฟาดใส่บาเรียอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บาเรียจะทนได้อีกไม่นานนัก

“อึก”

มินแจปวดศีรษะแทบตาย เขากัดฟัน ถ้าเขาทนการโจมตีไม่ได้ พวกเขาจะตายกันหมด

ในที่สุดเขาก็กลายเป็นเราส์ แต่ต้องมาตายอย่างเปล่าประโยชน์...

กี๊ซ!

มินแจครางอย่างหมดหวังเมื่อได้ยินเสียงจากท้องฟ้า

“ฉันต้องตายจริงๆเหรอ?”

ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทเมื่อฝูงนกสีดำโฉบลงมา

เขาเคยเห็นพวกมันในข่าว และยังเห็นในหนังสือขายดีอันดับหนึ่งชื่อสารานุกรมภาพสัตว์ประหลาด

ไวเวิร์น

มันเป็นที่ชื่นชอบ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นมอนสเตอร์นิสัยดี มันสามารถกัดศีรษะคนขาดในคำเดียว

เขาไม่มีทางป้องกันมันได้

เขาเห็นไวเวิร์นกว่า 100 ตัว”

“เฮ้อ”

บาเรียระเบิด

ร่างเขาสั่นเทาแสดงว่ามาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาใช้พลังต่อไม่ไหวแล้ว

มอนสเตอร์เข้ามาใกล้มินแจและเพื่อนๆแต่แล้วก็ถูกดึงขึ้นไปบนฟ้า

ไวเวิร์นกระชากมอนสเตอร์สี่ตัวขึ้นไป แล้วทิ้งมันลงมาจากที่สูง

ไม่ได้มีแต่ไวเวิร์น มีคนประหลาดกำลังขี่พวกมัน พวกเขากำลังใช้เวท

เวทส่งไปยังมอนสเตอร์ที่เริ่มมารวมกัน

“ก...เกิดอะไรขึ้น”

มินแจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหนี เขาถูกมอนสเตอร์ล้อม เขาตื่นและกลายเป็นเราส์ และตอนนี้ฝูงไวเวิร์นกำลังบินลงมาจากฟ้า...

จากนั้นก็มีฝูงมอนสเตอร์มารวมตัวกันเต็มถนน

ไวเวิร์นตัวหนึ่งบินลงมาใกล้มินแจกับเพื่อน มันคือผู้ขี่ไวเวิร์นจากเผ่าราทิค เขามีผิวสีน้ำเงินหูกางใหญ่

“นี่คือการช่วยเหลือ ขึ้นมา”

ต่างจากรูปร่างหน้าตาประหลาด นักขี่สามารถพูดภาษาเกาหลีได้ชัดเจนเพราะยาภาษา มินแจกับเพื่อนรีบขึ้นไปบนหลังไวเวิร์น

เคียะ!

ไวเวิร์นบินขึ้นไป และนักเรียนเกาะมันไว้แน่น

บนหลังไวเวิร์นแต่ละตัวมีนักขี่เผ่าราทิคหนึ่งหรือสองคน พวกเขาใช้เวทโจมตีอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

และมีกระสุนปืนใหญ่หลายอันที่ดูเหมือนจรวดยิงใส่ด้านล่าง

“...”

มินแจเหลือบมองลงไปข้างล่างแล้วกลืนน้ำลาย

‘นึกว่าฉันโชคร้ายแล้วนะ แต่ไม่ใช่’

เขาคิดว่าตัวเองโชคร้ายเมื่อไปเจอกับมอนสเตอร์

แต่เมืองที่กำลังถูกไฟลุกท่วมเบื้องล่างเปลี่ยนความคิดเขา

เขากับเพื่อนเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตไม่กี่คนของเมือง

ถนนทุกสายในเมืองมีมอนสเตอร์ท่วมท้น

***

ในถ้ำเยือกแข็ง

อิเอลโลเดินไปเดินมาด้วยความโกรธ ทำให้ถ้ำสั่นสะเทือนและน้ำแข็งแตก ลีซังโฮคุกเข่าตัวสั่น

“ที่นี่ไม่มีเทพ!”

“โปรดยกโทษให้ผมด้วย”

ลีซังโฮก้มศีรษะต่ำ ในใจสาปแช่ง บนโลกไม่มีเทพแล้วมันเป็นความผิดของเขาเหรอ?

“เจ้าต้องหาให้เจอ หาให้พบ!”

“ครับ”

มันเป็นไปไม่ได้ แต่ลีซังโฮไม่โง่พอจะพูดออกมา เขาตอบเสร็จแล้วก็จากไปทันทีเพื่อไปหาเทพที่ไม่มีอยู่ในโลก

“รหัส...รหัส...”

มือของอิเอลโลสั่น

เขากลับมายังที่นี่ แต่จะไม่มีรหัสได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ที่โลกจะไม่มีรหัส


           
สารบัญ                                บทที่ 174

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 172

Chapter 172 – Air Strike(1)


เมื่อวูจินมาถึงอาณาเขตมิติ มันดูเป็นปกติดี แต่เมื่อเขาออกจากปราสาท เมืองดูต่างไปมาก

บ้านกำลังถูกไฟเผา มีศพอยู่ทุกที่ มันเหมือนพวกเขาสู้กับพวกนักผจญภัย

มีศพที่ยังไม่ถูกเก็บ และมีทหารกำลังลาดตระเวน เมื่อมองดูบ้านเรือนที่ถูกทำลายก็บอกได้ว่าการต่อสู้เกิดขึ้นได้ไม่นาน

“คิบะ”

[ราชาของข้า]

ควันดำรวมตัวกันเป็นคิบะ เขาคุกเข่าลง

“มีนักผจญภัยฝีมือดีมาเหรอ?”

[มันเป็นกบฏ]

“กบฏ?”

[การลุกฮือเกิดในหมู่ประชากรของอาณาเขตเป็นบางครั้ง]

“หืม”

วูจินลูบคาง

ปัจจัยบางอย่างเป็นภัยคุกคามของอาณาเขตมิติ สงคราม,การท้าดวลและนักผจญภัยที่บุกมาทางดันเจี้ยน

นอกจากนั้นยังมีโอกาสเกิดกบฏในหมู่ประชากรที่อพยพเข้ามา แล้วยังมีโจรที่จงใจเข้ามาขโมย

ประชากรมิติกับลอร์ดมิติต่างกันแค่มีหรือไม่มีอาณาเขตในครอบครอง มีคนเร่ร่อนอยู่มากที่แข็งแกร่ง ถ้าวูจินเสียอาณาเขตมิติไป เขาก็จะเร่ร่อนไปเรื่อยเหมือนกัน

ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้เร่ร่อนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง กลุ่มแบบนี้จะย้ายไปเรื่อยๆและสร้างปัญหาตามที่ต่างๆ

แต่เหตุผลเดียวที่เกิดการกบฏคือ...

“พวกมันคิดว่าจะทำอะไรกับฉันก็ได้เหรอ?”

[ไม่มีทาง! ไม่มีใครบังอาจคิดว่าท่านจ้าวของเราอ่อนแอ]

คิบะตะโกน เขามองซากศพพลางพูดต่อ

[พวกมันถูกส่งมาอย่างจงใจ มันดูเหมือนเครื่องแบบทหารทหารรับจ้างที่รับงานจากลีอาห์]

วูจินถอนหายใจ

“ทำไมยัยนั่นจงใจหาเรื่องฉันเรื่อย?”

ลีอาห์แพ้เขาทั้งในสงครามมิติและการดวล คราวนี้เธอใช้อุบายมาทำลายอาณาเขตมิติของเขา

เธอเคยพูดว่าเขาไม่มีทางปกป้องโลกได้ คำพูดของเธอยังดังในหูเขา

ที่ลีอาห์คอยก่อกวนเขาอาจเพื่อยืนยันคำพูดของเธอ

ถ้าเขาไม่มีอัศวินมรณะเช่นคิบะ ถ้าไม่เพราะอสูรรับใช้ที่พึ่งพาของเขา การโจมตีไม่เลิกของเธออาจได้ผล

“ยับยั้งพวกมันยากมากเหรอ?”

[ไม่ยากนัก ข้าแทบไม่ต้องฟื้นฟูกำลังรบ]

วูจินเอียงคองง

“งั้นแต้มฉันไปไหนหมด?”

ถ้าวูจินไปนั่งบนบัลลังก์และเปิดหน้าต่างจัดการอาณาเขตก็จะได้เห็นรายละเอียดการจ่ายแต้ม

วูจินจะจากไปแต่คิบะพูดขึ้นก่อน

[ข้าอยากวิ่งไปในสนามรบกับท่านจ้าว]

“...”

วูจินมองคิบะ

เขารู้สึกได้ถึงความกระหายอยากจากอัศวินมรณะ อาณาเขตมิติอลันดาลถูกนักผจญภัยโจมตีน้อยครั้ง เกิดความไม่สงบในอาณาเขตบ้างแต่คิบะสามารถนับครั้งได้ด้วยมือข้างเดียว

คิบะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องอาณาเขตและหน้าที่ของเขาน่าเบื่อจนแทบหลั่งน้ำตา วูจินคิดว่าเขาละเลยคิบะนานเกินไปแล้ว

“ได้ ฉันจะให้คนอื่นเปลี่ยนหน้าที่กับนาย”

[ข้าจะกางพรมแห่งเลือดบนสนามรบของท่านจ้าว!]

“เดี๋ยวฉันจะหาคนมาแทน รออีกหน่อยแล้วกัน สงครามคราวหน้าฉันจะสู้ร่วมกับนาย”

[ข้าจะรอรับบัญชา!]

วูจินกลับไปที่บัลลังก์ในปราสาท

“ไหน”

ไม่นานวูจินก็รู้สาเหตุ

“บิบิ”

บิบิรับหน้าที่จัดการเมืองอาณานิคมบนโลก เธอตั้งชื่อมันว่า ‘ปราสาทของบิบิ’ และใช้แต้มจำนวนมากไปกับเมืองนี้

ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต้มจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ต่อไปวูจินจะสามารถเก็บบลัดสโตนผ่านทางอาณานิคม ดังนั้นแต้มที่ใช้ไปเทียบแล้วไม่มากมาย

ยิ่งกว่านั้นวูจินยังเพิ่งใช้แต้มไปสองเท่าของที่บิบิใช้ตอนสร้างอาณานิคมเขาเซารุส

“ไปดูว่ามันเป็นยังไงบ้างดีกว่า”

แต้มจำนวนมากถูกใช้ไปในทีเดียว เป็นไปได้ว่าบิบิต้องฟื้นฟูกองกำลังเพราะศัตรูโจมตี วูจินเป็นห่วงเล็กน้อย

เขาวางแผนจะกลับอัลเฟนทันทีแต่เกิดสงสัยขึ้นมาว่าอาณานิคมบนโลกเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว วูจินผ่านอุโมงค์ไปยังปราสาทของบิบิ

***

ธงรูปแมวหาวสะบัดไปกับลม เมื่อวูจินออกมาจากอุโมงค์เขาเอียงคออย่างสงสัย

“เปลี่ยนไปเยอะเลย”

ดาดฟ้าที่เคยโล่งกว้างตอนนี้มีสิ่งก่อสร้างบดบังสายตา เป็นเมืองก็ว่าได้

สิ่งก่อสร้างบางอย่างดูทันสมัย บางอย่างเหมือนที่อัลเฟน วูจินรู้สึกเหมือนกำลังเดินในเมืองที่ไม่รู้จัก

“บิบิ”

“เจ้านาย!”

ควันดำกลายเป็นบิบิตามคำเรียกของวูจิน

“ฮิๆ ทุกอย่างเป็นยังไงบ้างคะ?”

“อืม เป็นไปตามแผน”

“ฮิๆ”

วูจินเคยเห็นที่บิบิสร้างอลันดาลเลยพอเดาได้ว่าเมืองอาณานิคมจะเป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ให้สิทธิ์บิบิใช้แต้มเพื่อมาซื้อคาเฟ่หรือร้านขายของ

“การป้องกันของเราเป็นไง?”

ข้อสำคัญที่สุดที่วูจินสร้างที่นี่เป็นเมืองอาณานิคมก็เพื่อให้มันเป็นฐานบัญชาการเคลื่อนที่ได้

สิ่งสำคัญคือความสามารถในการป้องกันตัวของมันเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย เรื่องนี้ทำอย่างขอไปทีไม่ได้ และบิบิก็รู้ดี

“ผลาญแต้มไปเยอะเลยล่ะ”

“...”

ถ้าบิบิอวดก็แปลว่าเธอต้องทุ่มสุดตัวไปกับการป้องกัน

แน่นอน เรือบรรทุกเครื่องบินเล็กกว่าภูเขาเซารุสมาก

มันเล็กกว่าแต่บิบิใช้แต้มไปครึ่งหนึ่งของแต้มที่ใช้สร้างอาณานิคมเซารุส เพราะอย่างนี้วูจินจึงคาดหวังมาก

“เจ้านายตามเรามา เราจะพาไปดู”

บิบิดูเหมือนเด็กกำลังอวดของเล่น

วูจินตามเธอขึ้นไปยังหอบังคับการ ระหว่างทางเขาเจอจุงมินชาน

“ร...ราชา!”

“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ?”

วูจินถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นมินชานหน้าซีด

“ผม...ผมเมา...”

“หา เมาเรือเหรอ?”

วูจินรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนใต้เท้าจึงคิดว่าเรือกำลังเคลื่อนที่อยู่

“ถ้าเมาเรือก็ดีสิ... แต่ อุบ...”

มินชานปิดปากแล้วหายลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว วูจินยักไหล่แล้วถามบิบิ

“เรากำลังไปไหน?”

“พวกเราอยากจะย้ายบ้านทีเดียวเลย เลยตั้งใจจะไปโซล ตอนนี้กำลังผ่านเดจุน”

“อืม ถ้าย้ายทุกอย่างเสร็จทีเดียวก็ดี... เดจุน?”

“อื้ม ฮิๆ เราซ่อมที่มันพังไปให้บินได้ใหม่”

“...พัง?”

เรือนี่เก่าจริงแต่ไม่ได้เสีย... วูจินมาถึงชั้นบนสุดของหอบังคับการ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง

เคี้ย!

เสียงร้องของเหล่าไวเวิร์นดังผ่านเข้ามา เขาเห็นไวเวิร์นสิบสองตัวกำลังบินรอบเรือเหมือนกำลังคุ้มกัน

มีเผ่าพันธุ์อื่นกำลังขี่ไวเวิร์นเหล่านั้น

“เผ่าราทิคมีความสามารถด้านขี่สัตว์ พวกเราเลยให้พวกเขาเป็นองครักษ์ แล้วก็ทำหน้าที่ลาดตระเวนด้วย”

บิบิเริ่มอวดความสำเร็จของเธอ

“เราสร้างปืนใหญ่ด้วย มันยิงได้ทุกทิศทาง วิศวกรโนซามเอาเทคโนโลยีของโลกมาปรับใช้ อาวุธพวกนี้เลยยังไม่มีชื่อ เจ้านายตั้งชื่อให้มันไหม?”

“...”

บิบิพูดพลางเปิดภาพโฮโลแกรม เธอแสดงภาพแผนผังของเรือบรรทุกเครื่องบินที่ถูกดัดแปลงแล้ว

มีช่องเปิด 120 ช่องตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือ ทุกช่องมีปืนใหญ่

ปืนใหญ่พวกนี้ไม่ได้ติดข้างเรือ แต่สร้างไปกับกระดูกงูและตัวเรือ

มันเหมือนตัวเม่นหงายท้อง

“เราเก็บลานบินให้ไวเวิร์นด้วย พวกมันจะได้ออกบินได้ทันที”

วูจินมองผ่านหน้าต่างไปตามบิบิชี้ บนดาดฟ้ามีที่ว่างที่หนึ่ง และมีของเหมือนเนินเขาแปลกๆข้างมัน วูจินเห็นไวเวิร์นหมอบพักบนเนินนั้น มองผ่านๆเขานับได้มากกว่า 40 ตัว

“มีกี่ตัว?”

“ถ้ารวมไวเวิร์นที่กำลังบินลาดตระเวนด้วยก็ 107 ตัว”

บิบิมองวูจินตาเป็นประกายเหมือนจะถามว่า ‘เราทำได้ดีใช่ไหม?’

“...”

วูจินให้บิบิหาวิธีป้องกันฐานทัพดังนั้นการป้องกันระดับนี้สมกับที่เขาคาดหวัง แต่ว่า...

“แปลว่าเรากำลังบินอยู่เหรอ?”

“ใช่แล้ว”

วูจินสีหน้าไม่เปลี่ยน บิบิจึงพูดถึงสิ่งที่เธอกำลังทำอย่างลับๆ

“อืม เราว่าพวกเรามีอาวุธโจมตีไม่พอ พวกเราเลยกำลังพัฒนาอาวุธอยู่ แล้วก็มันอาจจะใช้แต้มเยอะไปหน่อยแต่พวกเรากำลังสร้างบาเรียที่จะทำงานเมื่อศัตรูโจมตี...”

“อ๊ะ ไม่ต้องพูดแล้ว”

วูจินแตะศีรษะบิบิ

มันอาจทุ่มทุนเกินไป แต่นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของครอบครัวเขา วูจินจึงยินดี

“เธอทำได้ดีมาก”

“ฮิๆ”

วูจินลูบหัวบิบิพลางมองไปข้างนอก เขามองผ่านไวเวิร์นและเห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านเมฆ

ไม่รู้ว่าทำไมบิบิถึงคิดเรื่องฐานทัพกลางอากาศขึ้นมาได้...

วูจินยิ้ม

“ฉันถูกใจมาก”

ถึงตอนคับขันก็บินหนีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? พวกเขาไม่ติดอยู่แต่ในทะเลอีกต่อไปแล้ว

บิบิหัวเราะเมื่อได้ยินคำชมจากวูจิน

***

อาณานิคมเซารุส

มอนสเตอร์ในแถบใกล้ๆถูกกำจัดเกือบหมด ผู้เหลือรอดมารวมกันช่วยกันสร้างอาณานิคม เมื่อคนเข้ามามากขึ้น ซุงกูกับเจมินก็มีงานทำน้อยลง

สองคนไม่จำเป็นต้องช่วยล่ามอนสเตอร์อ่อนแอ มันเป็นงานของหน่วยแฟนธ่อมที่ไม่มีประสบการณ์กับคนของอัลเฟน

ระหว่างการต่อสู้อันตราย พวกซุงกูอยากมีเวลาว่าง พอได้เวลาว่างแล้วพวกเขาก็เบื่อ

“อา ลูกพี่จะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”

“ไม่ทราบครับ ผมว่าพี่ซุงกูชินกับทั้งหมดนี่แล้วล่ะ”

“ไม่มีทาง”

ซุงกูลูบจมูก

เจมินพูดต่อ

“ผมเคยอ่านเจอว่า ถ้าจู่ๆทาสได้รับอิสระ เขาจะปรับตัวกับโลกภายนอกไม่ได้ และจะกลับไปเป็นทาสตามเดิม”

“ฉันเป็นทาสเหรอ?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่...”

“ไอ้หนุ่ม ถ้านายพูดแบบนั้นกับฉันได้แปลว่าเก่งแล้วนี่”

เจมินทำหน้าขอโทษ

“ผมไม่ได้จะให้พี่รู้สึกแย่”

“ฮ้า จะว่าไปก็อยากเจอคุณเจนิสจริงๆน่ะแหละ”

“...”

...เขาเป็นทาสในเรื่องนั้นจริงๆด้วย

เจมินจ้องหน้าด้านข้างของซุงกูอย่างพูดไม่ออก เขาถูกฝึกจนเกือบตายแต่ยังอยากเจอเจนิส...

พี่เป็นมาโซคิสต์เหรอ?

“อา ฉันอยากกินราเม็งกับคิมบับ”

“จริงด้วย”

เจมินเห็นด้วยกับคำพูดของซุงกู ไม่ใช่ว่าอาหารของอัลเฟนไม่ดี และพวกเขายังซื้ออาหารผ่านทางอาณานิคมได้ ซึ่งมันอร่อยดี

แต่ซุงกูกับเจมินเป็นคนเกาหลี บางครั้งพวกเขาก็อยากกินข้าว เมื่อนึกถึงก๋วยเตี๋ยวพวกเขาก็น้ำลายไหล มันเป็นอาหารที่พวกเขากินบ่อย

“เราไปโลกสักหน่อยไหม?”

“พี่วูจินจะสั่งสอนพี่เอานะ”

“...อดทนกันดีกว่า”

ถ้าคังวูจินกลับมาเมื่อไหร่ ซุงกูจะขออนุญาตให้ไปที่โลกได้บ่อยๆ เขาถูกสั่งให้จัดการมอนสเตอร์รอบๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเด็กที่ทำการบ้านเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่างเปล่า

ตอนนั้นเอง ลอร์ดเอลฟ์ ลาตาชามาหาทั้งสอง

“ผู้กล้าของโลกกำลังคุยกันเรื่องอะไร?”

ลาตาชาระแวงวูจิน แต่แสดงท่าทีกับซุงกูและเจมินดีกว่าบ้าง

“อ๊ะ ลาตาชา พวกเรากำลังพูดถึงราเม็ง”

“ราเม็ง?”

“ใช่ มันเป็นอาหารจำพวกเส้นและอร่อยมาก มันเป็นอาหารของโลก เราเลยหาจากที่นี่ไม่ได้”

“หืม ได้ยินว่าการประสานจากที่นี่กับโลกยังไม่เสร็จดี”

“ใช่”

“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะซื้อไอเทมจากโลกได้ถ้าการประสานเสร็จแล้ว”

“เอ๋? ถ้าการประสานเสร็จ เราจะเอาไอเทมจากโลกผ่านทางอุโมงค์ได้”

“น่าจะใช่นะ?”

ซุงกูเอียงคอเมื่อเจมินพูด

“ว้าว พี่จะเอาอะไรมาเหรอ?”

“ฉันอยากได้รถ”

“ผมอยากได้คอม”

ลาตาชาฟังพวกเขาแล้วถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ดูเหมือนว่าบนโลกจะมีของน่าสนใจหลายอย่างนะ”

“แน่นอน”

“ถึงตอนนั้น ข้าอยากลองชิมอาหารจากโลก”

“ผมจะเลี้ยงราเม็งคุณเอง”

“โอ้ ข้าจะรอ”

ซุงกูหัวเราะเจ้าเล่ห์พลางมองสีหน้าตื่นเต้นของลาตาชา

“มันมีราเม็งอร่อยมากชื่อก๋วยเตี๋ยวผัดไก่เผ็ด ผมจะให้คุณลอง”

“...”

เจมินฟังแล้วผงะ เขาเหลือบมองลาตาชาที่ยังมีสีหน้าตื่นเต้นไม่หาย

เจมินมองลาตาชาที่หัวเราะอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วมองซุงกูที่หัวเราะเสแสร้งต่างกันมาก

“ข้าอยากลองกินดู”

“โฮ่ๆ ผมจะให้คุณกินแน่ๆ”

ปีศาจ

พี่ซุงกูกลายเป็นปีศาจไปแล้ว

เจมินส่ายหน้า



สารบัญ                                       บทที่ 173

Hot Chicken Flavor Ramen / Buldak Bokkeum Myun มาม่าเกาหลี เห็นทำในยูทูปคือเทซอสพริกลงไปทั้งชามเลย...

ระหว่างหาเรื่องมาม่าในยูทูป เจอนี่ด้วย ตลกดี วิธีลดโลกร้อนที่ฮาที่สุดปี 2020

รีบแปลรีบอัพ พรุ่งนี้ย้ายบ้าน คงไม่มีเน็ตใช้ไปสักพักค่ะ >.< ซ่อมบ้านซื้อของเข้าบ้าน เงินเก็บหมดเกลี้ยง (มันก็ติดลบไปตั้งแต่ที่กู้ซื้อบ้านแล้ว) T.T

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 171

บทที่ 171 – เทพยากรณ์ (2)



“ที่สุดแล้วเจ้าจะพบคำตอบ แต่เจ้าจะสูญสิ้นหนทาง จริงคือลวง ชีวิตและความตายคือทางเลือกเช่นกัน”

ซุงกูหันหน้าไปเมื่อได้ยินเสียงหวาน เขาถามเมโลดี้

“นั่นคือคำพูดที่เทพีอาเรียบอกกับลูกพี่เหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วมันแย่ตรงไหนเหรอ?”

เมโลดี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามไร้เดียงสาของซุงกู เจมินก็ส่ายหน้า

“...มันฟังไม่ดี”

“งั้นเหรอ? หืม ลูกพี่พูดว่าไง?”

“เรื่องส่วนตัวขนาดนั้นผมก็...”

สายตาเจมินเปลี่ยนไปทางเมโลดี้ ซุงกูจึงมองไปทางเธอด้วย เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์และเป็นคนส่งคำทำนายให้วูจิน เธอคงได้ยินคำตอบของเขาเช่นกัน

“ผู้ไม่ตาย...”

เมโลดี้ลังเลก่อนจะทวนคำพูดของเขา

“เลิกพูดเรื่องบ้าๆที่ไม่ได้ตอบอะไรเลยได้แล้ว รวบรวมสหพันธ์ให้ดีก็พอ...”

“...”

‘แหงล่ะ ลูกพี่ต้องพูดแบบนั้น’

ซุงกูลูบคาง

“ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา”

“...”

เมโลดี้ขบริมฝีปาก คาดไม่ถึงว่านอกจากคังวูจินแล้วเธอจะเจอคนอื่นที่ถือเทพยากรณ์ของเทพีเป็นหมายเหตุธรรมดา

“พี่ นี่เป็นถ้อยคำจากเทพีแห่งการทำนายนะ ระวังไว้ก็ดี เราต้องเตรียมพร้อมถ้าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น”

เมโลดี้พยักหน้าไปกับคำพูดของเจมิน

อย่างน้อยก็มีคนรอบตัวผู้ไม่ตายที่คิดเหมือนคนปกติ

“เทพีเป็นคนพูด เราเลยต้องระวังตัวไว้เหรอ?”

“เราต้องศึกษาคำทำนาย ลดความเสียหายให้น้อยที่สุด...”

“เอ๋ ไม่รู้สิ มันยุ่งยากไป ฉันว่าฉันเชื่อลูกพี่มากกว่าเทพี”

“...”

ซุงกูโบกมือแล้วเดินไปทางอาณานิคมที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์

“ฉันก็นึกว่านายบอกว่าเทพยากรณ์มันสำคัญมาก”

ก็ใช่ไง...

“มันอาจพูดถึงความตายของพวกเรา พี่ไม่กังวลเหรอ?”

ซุงกูยักไหล่

“ถ้าฉันจะตาย ป่านนี้ฉันกลายเป็นถ่านไปแล้ว”

“พี่...”

เจมินพูดต่อไม่ออก เขามองเข้าไปในดวงตาของซุงกู แสงในนั้นมันบอกว่าซุงกูผ่านความตายมาแล้ว และเท่านั้นคือคำตอบที่ต้องการ

“วิธีรับมือกับเรื่องแบบนี้ที่ดีที่สุดคืออย่าไปคิดถึงมัน”

“ครับพี่”

นี่คือความต่างชั้นระหว่างพวกเขาในด้านเชื่อมั่นในคังวูจินเหรอ? โดเจมินพิจารณาตัวเองอย่างหนัก

‘พี่ซุงกูเชื่อเขามากกว่าคนอื่น’

“ถ้าเอาแต่คิดเรื่องนั้น ฉันก็มีแต่ปวดหัว”

“เอ๋?”

เหตุผลมันแปลกๆนะ

บนโลก ฮงซุงกูเป็นคนที่อยู่กับวูจินนานที่สุด ระหว่างที่เขายืนเคียงข้างวูจิน ดูเหมือนสิ่งที่เติบโตในตัวซุงกูจะไม่ใช่ความศรัทธาต่อวูจิน

หรือว่าจะถูกล้างสมองแล้ว?

อย่างน้อยที่สุด คำพูดของเขาทำให้สงสัยว่าอาจเป็นไปได้ แต่พวกเขาไม่มีเวลาว่างถกเรื่องนี้

“มันก็จะดีเอง คิดว่านะ”

เขาพยายามให้กำลังใจเธอเหรอ?

เมโลดี้พยักหน้าเงียบๆ เทพยากรณ์ของเทพีอาเรียไม่เคยผิด

ความหมายในคำทำนายที่เธอส่งต่อมันชัดเจน

ถ้าวูจินได้สมบัติที่เขาตามหามานาน เขาจะหลงทาง เขาอาจสูญเสียทางกลับบ้าน

‘มันเป็นสิ่งเลวร้าย’

สตรีศักดิ์สิทธิ์เมโลดี้เคยเจอมาแล้ว

เธอรวบรวมชิ้นส่วนมิติและกลายเป็นลอร์ดมิติเพื่อขอความช่วยเหลือ

เธอเสียแต้มทั้งหมดไปเมื่อถูกลอร์ดคนอื่นโจมตีและเสียดันเจี้ยน สุดท้ายเธอไม่รู้ว่าจะกลับอัลเฟนดาวบ้านเกิดได้อย่างไร

เธอทิ้งอาณาเขตมิติไปอย่างเฉียดฉิวก่อนมุ่งหน้ามาที่โลก

เธอได้กลับมาที่อัลเฟนอีกครั้งหลังจากผ่านไปนาน

เธอวิเคราะห์คำทำนายให้วูจิน

แน่นอน คำตอบของเขาไม่ได้สุภาพอย่างนั้น

“เธอจะให้ฉันทำห่าอะไร?”

ผู้ไม่ตายมีข้อสรุปของเขาเอง และเลือกทางของเขาเอง คำพูดของเมโลดี้ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เขาจะทำได้

‘แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะแค่ฟังแล้วผ่านไป’

ปัญหาคือพวกเขาเห็นเทพยากรณ์ไม่ต่างจากคำพูดของหมอดู แต่เทพยากรณ์ของอาเรียไม่ใช่ของที่จะละเลยได้ง่ายดาย คำทำนายของอาเรียไม่เคยผิด

‘ข้าอาจอวดดีเกินไปที่เป็นห่วงเขา’

เจ้าตัวไม่กังวลเรื่องนี้ การที่เมโลดี้เป็นห่วงเขาเป็นเรื่องตลก เธอประหลาดใจเมื่อพบว่าเธอถือสันติภาพของอัลเฟนเป็นสิ่งเดียวกับสวัสดิภาพของคังวูจิน

“ที่กำลังมาทางนี้คือลูกพี่หรือเปล่า?”

ทุกคนเงยหน้ามองฟ้าเมื่อได้ยินคำพูดของซุงกู ม้าปีศาจกำลังวิ่งมา พวกเขาเห็นซุงกูนั่งบนมัน มีลาตาชาติดมาด้วย

เมื่อใกล้ถึงที่หมาย ลาตาชากระโดดลงมาเอง วูจินลงจากหลังม้าแล้วมองสัญลักษณ์ของอาณานิคม

“ฉันมาได้เวลาพอดี”

เขาจะมีประตูสองบานบนอัลเฟน ดันเจี้ยนจะได้รับการปกป้องโดยกำลังรบของอาณาเขตมิติ และอาณานิคมจะมีสหพันธ์คอยป้องกัน

เขาไม่มีทางเสียทางกลับบ้านแน่

“เรื่องที่คุณไปทำ ทำสำเร็จไหมคะ?”

วูจินยักคิ้วกับคำถามของเมโลดี้

“ได้มาเรียบร้อย”

“อา...”

เป็นไปตามที่เธอคาด เขาไปขโมยไอเทมศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

วูจินหยิบถุงมือมาแกว่งเล่น เมโลดี้หลับตาลง ผู้กล้าคนอื่นก็ขมวดคิ้ว พระทัวริคผู้นับถือเทพสเกียอดใจไม่อยู่ เขาตะโกนใส่วูจิน

“พวกเราควรจะต้องรวบรวมสหพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมเจ้าถึงรวบรวมไอเทมศักดิ์สิทธิ์”

“ฉันต้องใช้มัน”

“...”

ผู้ไม่ตายก่อเหตุปล้นชิง แต่เขาพูดอย่างสง่างาม ทัวริคเจ็บจี๊ดขึ้นมา

“เจ้าหวังในสมบัติของเทพสเกียด้วยหรือไม่?”

“ฉันมีแล้ว”

“...”

“ถ้าไม่มีฉันถึงจะเอา”

ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนผู้ไม่ตายกำลังทวงของที่เขาให้ยืมไปคืน

“พอพูดถึงเรื่องนี้...”

คังวูจินมองเมโลดี้ ดวงตาเธอสั่นอย่างระแวง

“ทำไมฉันไม่เคยเห็นไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของอาเรียบนตัวเธอเลย?”

เขามีการปกป้องของทราชซึ่งเป็นส่วนหน้าอกของเกราะอยู่แล้ว แค่ต้องซ่อมมัน นอกจากนั้นเขายังได้ไอเทมวัตถุดิบสำหรับถุงมือและรองเท้า ที่เหลือคือหมวกกับเข็มขัด

เขาจำเป็นต้องได้สมบัติของอาเรีย เทพีแห่งการทำนาย และเฮเรส เทพแห่งเวลา เขาสงสัยว่าทำไมเมโลดี้ไม่ถือไอเทมศักดิ์สิทธิ์

เมโลดี้พูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หลังจากที่คุณเอาไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของท่านรุ่นก่อนไป...”

ไอเทมศักดิ์สิทธิ์มอบให้ข้ารับใช้ใกล้ชิดกับเทพที่สุด มันคือสัญลักษณ์ของอำนาจที่มอบให้คนที่เป็นตัวแทนของเทพ

ครั้งที่สตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนถูกขโมยไอเทมไป เมโลดี้เป็นผู้ช่วยนักบวช ตอนนี้เธอกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่ยังไม่สมบูรณ์...

“วิหารหลักอยู่ในเขตของศัตรู ฉันทำพิธีสืบทอดได้ไม่สมบูรณ์ค่ะ จึงยังไม่มีไอเทมศักดิ์สิทธิ์”

เธอไม่ได้สูญเสียไอเทมแสดงสถานะของตัวเอง เธอไม่มีมันมาตั้งแต่แรก

“อ้อ ฉันจะไปเอาเอง”

“...”

เขาจะไปยึดวิหารคืนแล้วเอาไอเทมจากเธอ

คังวูจินอารมณ์ดี เมโลดี้จะรู้สึกอย่างไรก็ไม่เป็นไร เขาต้องการไอเทมทำชุดเซ็ทของทราช เขากำลังรวบรวมไอเทมอย่างราบรื่น และตอนนี้ก็สร้างอาณานิคมเสร็จแล้ว

เมื่อได้ประตูมาแล้ว เขาจะตั้งใจกอบกู้อัลเฟนอย่างจริงจัง และสร้างเซ็ททราชให้เสร็จ

ปัญหาคือปริศนาเรื่องผู้ประหารของทราช แต่เขาจะได้รู้คำตอบอยู่ดี

“มาทำเรื่องที่ค้างไว้ให้เสร็จดีกว่า”

วูจินเปิดร้านค้ามิติ เมื่ออาณานิคมเสร็จสมบูรณ์ ภูเขาเซารุสใต้ต้นไม้โลกถือเป็นอาณาเขตของเขา

“อย่างแรก กำแพง...”

วูจินซื้อกำแพงปราสาทและวางล้อมรอบเขตแดน

กำแพงปราสาทโผล่ขึ้นจากพื้นเหมือนถูกเสกขึ้นมา ทุกคนมองอย่างไม่เชื่อสายตา

“สร้างถนน...”

แต้มลดลงอย่างรวดเร็ว แต่วูจินเก็บสะสมไว้มากอยู่แล้ว อีกอย่าง บลัดสโตนจะถูกเก็บเป็นภาษีและการขายไอเทมในร้าน นี่ถือเป็นการลงทุน

เขาต้องให้สหพันธ์มีฐานทัพที่มั่นคงเพื่อพวกเขาจะได้ปกป้องที่นี่ และเขาจะได้เก็บภาษีด้วย

การให้ความสำคัญกับความมั่นคงของอาณานิคมเป็นอย่างแรกถือว่ามีเหตุผล

เมื่อกำแพงปราสาทตั้งรอบอาณานิคมเสร็จ พื้นดินในหลายๆที่ถูกปรับให้เรียบ ที่ว่างนี้สามารถใช้เป็นลานฝึก จากนั้นลานจัตุรัสแห่งหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้วถนนก็เริ่มขยายออกไป

ต้นไม้หายไป ก้อนหินใหญ่ถูกย้ายออก บ้านเรือนถูกสร้างขึ้น สิ่งก่อสร้างหลายอย่างถูกสร้าง เมืองแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นภายในเวลาไม่นาน จากนั้นเมืองอีกหลายเมืองก็เกิดขึ้น หอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ตามที่ต่างๆในภูเขาที่ซึ่งกองกำลังจะไปประจำตรงนั้น วูจินยังสร้างรังไวเวิร์นขึ้น 4 รังเพื่อปกป้องน่านฟ้า

เขาใช้แต้มไปจำนวนมหาศาล แต่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของที่เก็บสะสม

“ฉันสร้างของจำเป็นครบหมดแล้วยัง?”

ตอนแรกที่วูจินตัดสินใจทำภูเขาเซารุสให้เป็นอาณานิคมของเขา ทุกคนห่วงเรื่องอาหารที่สุด แต่มันไม่ใช่ปัญหา พวกเขาจะซื้อทุกอย่างได้จากร้านต่างๆในอาณานิคมโดยใช้บลัดสโตน

เขาจะไม่ทำให้ที่นี่เป็นที่หลบภัย

วูจินไม่ได้วางแผนจะช่วยกองกำลังต่อต้านหลบหนี ที่นี่จะเป็นฐานสำหรับการตอบโต้ พวกเขาจะถูกศัตรูเห็นก็ไม่เป็นไร การต่อสู้จะไม่เกิดที่นี่ พวกเขาจะไปสู้กับศัตรูถึงที่ของพวกมัน

หลังจากปิดร้านค้ามิติ วูจินมองรอบตัว ทุกคนกำลังคุกเข่า

เจมินกับซุงกูก็มองวูจินอย่างอึ้งสนิทเช่นกัน

“ล...ลูกพี่”

ภายในเวลาสั้นเท่านี้ ภูเขาเซารุสเปลี่ยนไปอย่างมาก

“พระเจ้า...”

วูจินกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงงึมงำของเจมิน

พระเจ้าถ้ามีจริงคงเป็นผู้สร้างร้านค้ามิติขึ้นมา เขาแค่ใช้มัน

แต่ดูเหมือนชาวอัลเฟนจะไม่คิดแบบเขา

“พวกนายทำอะไร?”

วูจินอึ้งเมื่อเห็นคนคุกเข่าก้มศีรษะลง

เขาเข้ากับการทำลายล้างที่สุด แต่สาวกของเหล่าเทพแห่งการสร้างกำลังคารวะเขา

“เฮ้ ลุก”

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น วูจินพูดเสียงต่ำ

“ถ้าพวกนายไม่อยากถูกอัดก็ลุกขึ้น”

“ครับ”

เหล่าผู้กล้าลุกขึ้น ทัวริคที่เคยโกรธใส่วูจินถึงกับทำตัวไม่ถูก

“พวกนายทำฉันสยองนะ ทำไมอยู่ๆทำตัวเหนียมอายขึ้นมา?”

“ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะได้เห็นปาฏิหาริย์ของเทพ...”

วูจินเดาะลิ้น

“พวกนายจะไปรู้อะไรเรื่องปาฏิหาริย์”

ถ้านี่คือปาฏิหาริย์ ไม่แปลว่าลอร์ดมิติของทราห์เน็ตทุกคนคือเทพเหรอ? วูจินสามารถทำตัวเหมือนพระเจ้าได้ก็แต่ในอาณาเขตของเขา

“หืม?”

วูจินกำลังดูสถานะของเมืองอาณานิคมผ่านทางหน้าต่างข้อมูล จู่ๆแต้มก้อนใหญ่ของเขาก็หายไปเกือบครึ่ง

นอกจากวูจิน มีเพียงสองคนที่สามารถใช้แต้มได้

บิบิที่ดูแลอาณานิคมบนโลก และคิบะที่ปกป้องอาณาเขตมิติ

แต้มก้อนใหญ่ถูกใช้ไปกะทันหัน หมายความว่ากองกำลังของเขาถูกเติมใหม่

วิ้ง

อุโมงค์สองแห่งเปิดตรงหน้าต้นไม้โลก

หนึ่งพาไปสู่อาณาเขตมิติของเขา อีกหนึ่งพาไปสู่อาณานิคมบนโลก

ขณะวูจินกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ไหนดี คนๆหนึ่งก็ออกมาจากอุโมงค์

“อ๊ะ? พระราชา”

คนเรียงแถวออกมาจากอุโมงค์ เป็นเชฮีซอล บลังกาและหน่วยแฟนธ่อมนั่นเอง

“มีอะไรผิดปกติไหม? บนโลกเป็นไง?”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ เรามาที่นี่ทันทีที่อุโมงค์เปิด”

ถ้าอาณานิคมบนโลกปลอดภัย แสดงว่าแต้มถูกใช้ที่อาณาเขตมิติ?

“ดี พวกนายทักทายทุกคนที่นี่แล้วเตรียมตัวให้พร้อม”

“รับทราบ”

วูจินมองเมโลดี้

“ฉันจะไปเยี่ยมอาณาเขตมิติสักหน่อย เธอให้คนของฉันไปอยู่ที่ใกล้ๆ และฉันอยากให้เธอเป็นคนรวบรวมสหพันธ์”

“อา...”

เมื่อวูจินเข้าอุโมงค์ไป เมโลดี้ใจเต้นแรงขึ้นด้วยความกังวล

‘ขอให้ปลอดภัยกลับมา’

สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่าความเป็นห่วงนี้สำหรับอัลเฟนหรือคังวูจิน

สารบัญ                                                    บทที่ 172

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 170

บทที่ 170 – เทพยากรณ์ (1)


น้ำจากทะเลสาบพุ่งขึ้นฟ้า ลมหายใจจากมังกรวารีกลายเป็นกระแสน้ำวน และเปลี่ยนเป็นสิ่งมีคมเหมือนเข็ม

เมื่อมองเข็มแหลมนับพันลอยขึ้นมาจะให้คงสติไว้ได้คงยาก

ลาตาชาที่ห้อยกลางอากาศรู้สึกตาลายเมื่อเห็นการโจมตีพุ่งมาทางเธอ

ร่างเธอแข็งทื่อและตกใจจนลืมหายใจ รู้สึกเหมือนหยดน้ำมีพลังแหลมคมที่จะพุ่งทะลุเธอ

ไม่ใช่แค่รู้สึก มันกำลังจะเป็นอย่างนั้น

แปะๆ!

ลาตาชาผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นหยดน้ำสลายไปเหมือนชนเข้ากับบาเรียที่มองไม่เห็น

“เฮ้อ”

มันเหมือนเธอกำลังอยู่ใต้ชายคามองฝนตกหนัก น้ำลอยมาด้วยความเร็วสูงแต่กระจายไปเมื่อกระแทกกับบาเรีย แต่เมื่อคิดถึงแรงโจมตีของมันแล้วทำให้หัวเราะไม่ออก

“ไม่เท่าไหร่นี่”

ลาตาชาหันหน้าไปมองชายที่กำลังหิ้วคอเสื้อเธอ

ผู้ไม่ตาย

เธอไม่เคยพบหรือได้ยินว่าใครไร้เหตุผลเท่าเขา

เขากำลังบุกด้วยแรงล้วนๆเข้าไปในเมืองลิทานที่มีมังกรวารีปกป้อง... เรื่องที่แม้แต่ลอร์ดมิติของทราห์เน็ตยังไม่ทำ

“มันไม่จบแค่ลมหายใจมังกรนะ!”

แม้เกราะผีจะทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ให้มังกรวารีแห่งทะเลสาบลิทานเป็นสิ่งอันตราย

“อะไร? ไม่ใช่ว่าพวกมันบินได้สักหน่อย?”

“ได้สิ”

“...อะไรนะ?”

วูจินมองลาตาชาอย่างอึ้ง

“บินได้เหรอ?”

“พ...พวกเราต้องหาที่หลบ...”

ซ่า!

น้ำวนแยกจากกันเมื่อหัวมังกรโผล่ขึ้นมา

พวกมันมากับเสียงคำราม มันตัวยาวมากขนาดหางของมันยังอยู่ในน้ำทั้งๆที่มันเกือบถึงตัววูจินแล้ว

“โอ้!”

วูจินเบี่ยงตัวอย่างรวดเร็วหลบคมเขี้ยวของมังกรไปได้ พวกมันมีหนวดยาวพอกันกับตัว ทำให้นึกถึงปลาดุก มันใกล้เคียงกับมังกรในตำนานแถบเอเชียมากกว่ามังกรแถบตะวันตก

มันมี 17 ตัว อยู่บนฟ้าเหมือนกำลังว่ายน้ำ เมื่อพวกมันเริ่มโจมตีวูจินอย่างเอาจริง เขาจะไม่สามารถป้องกันได้นานนัก

‘วิญญาณฉันจะหมดก่อน’

วิญญาณในเกราะผีตั้งบาเรียขึ้นปกป้องวูจินโดยอัตโนมัติ การโจมตีไม่หยุดยั้งนี้ทำให้วิญญาณของเขาหมดไปอย่างรวดเร็ว

วูจินเมื่อมาถึงอัลเฟนก็ขยันเก็บรวบรวมวิญญาณ แต่เขากำลังจะสูญเสียมันไปอย่างน่าเสียดาย

นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินตกใจ

“เชี่ย!”

พวกเขาเปลี่ยนทางทันที หนีออกจากท้องฟ้าเหนือทะเลสาบลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว

มังกร 17 ตัวจ้องวูจินเขม็ง จากนั้นก็กลับไปอยู่ผืนน้ำ

คลื่นจากทะเลสาบกระฉอกใส่พื้นดินจนเปียก

“อะไรวะ?”

วูจินยืนขึ้น มองทะเลสาบที่กำลังกระเพื่อม

“แฮ่กๆ ข้าบอกเจ้าว่ายังไง?”

ลาตาชากลิ้งมากับวูจินด้วย เธอจึงตำหนิเขา

เขาไปอย่างอวดดีมาก แต่คว้าน้ำเหลวกลับมา

ลาตาชาจะพูดต่อแต่หุบปากเมื่อวูจินขมวดคิ้วแน่นขึ้น ทำให้เขาหงุดหงิดโดยไม่จำเป็นไม่ใช่เรื่องดีแน่

แต่มังกรวารีมีพลังระดับภัยธรรมชาติ มันรุนแรงจนลอร์ดมิติของทราห์เน็ตยังไม่มายุ่งกับที่นี่

แค่เพราะเขาเป็นผู้ไม่ตายไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ดีกว่า ลาตาชาตำหนิในใจพลางมองสีหน้าของผู้ไม่ตาย

“...?”

หัวเราะ? เขากำลังหัวเราะ?

“สนุกดี”

วูจินหัวเราะ จากนั้นก็หยิบอาวุธนักรบออกมา

เขาจะลองอีกเหรอ? เขาจะสู้กับมังกรวารีของทะเลสาบลิทาน?

“เจ้า... เจ้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว!”

“ไม่ลองไม่รู้”

ในอดีต เขาจับมังกรตัวแรกอย่างยากลำบาก แต่เมื่อเขาล่ามันมากขึ้นก็ง่ายขึ้น

สู้กับพวกมัน 17 ตัวคงลำบากหน่อย แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้

เขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนกัน

ควันดำมารวมตัวกันรอบวูจินกลายเป็นเหล่าอัศวินมรณะ

[พวกเรามาล่ามังกรหรือ?]

[ไม่ได้เห็นมังกรมานานแล้ว]

[ที่นี่ ข้าคิดว่าเป็นทะเลสาบลิทาน...]

อัศวินมรณะมาจากหลายเผ่าพันธุ์และมีนิสัยแตกต่างกันไป ความทรงจำของพวกมันต่างไป ดังนั้นจึงมีบางตนที่รู้เรื่องมังกรวารีแห่งทะเลสาบลิทาน

พวกมันจำอะไรได้ไม่สำคัญ ถ้าวูจินสั่ง พวกมันจะสู้อย่างไม่ลังเล

[ก๊ากฮ่าๆ ท่านจะหาเพื่อนให้รงรงหรือ?]

ลิชเจนิสถูกเรียกออกมา ถ้ามีลิชที่ไร้คู่ปรับในเรื่องเวทดีบัฟ การล่าพวกมังกรวารีก็เป็นไปได้

วิ้ง

ยิ่งกว่านั้น ถ้ามีโดลเซอยู่ด้วย พวกเขาก็ไร้เทียมทาน

ถ้ามีรงรงด้วยก็ดี แต่เขามีพลังเพียงพอกับการล่ามังกรแล้ว

วูจินกำลังจะเดินไปทางทะเลสาบอย่างมาดมั่น

“เอาใหม่อีก...”

วูจินกำลังจะพูดอย่างองอาจแต่แล้วก็ต้องกลืนคำพูดกลับไป

ซ่า

เรือลำหนึ่งล่องมาทางวูจินอย่างว่องไว

เด็กชายวัย 10 ขวบกำลังแจวเรือ เขาใส่ชุดหลวมโพรก วูจินเอียงคอด้วยความงงเมื่อรู้สึกว่าชุดนั้นดูคุ้นๆ

“อะไรกัน?”

เรือเทียบท่า เด็กชายพาดบันไดลงบนรั้วกั้น เมื่อลงจากเรือแล้วเขาก็เดินมาหาวูจิน

อัศวินมรณะยืนเรียงแถวรอบเขา แต่เด็กชายไม่กลัวแม้แต่น้อย เขามายืนตรงหน้าวูจินและทำการทักทาย

บนศีรษะของเขามีผ้าคลุมศีรษะที่คลุมไว้อย่างจะหล่นมิหล่นแหล่

“ท่านคือผู้ไม่ตายใช่ไหม?”

ดวงตาวูจินเป็นประกายเมื่อได้ยินเสียงใสของเด็กชาย

“นายคือหัวหน้านักบวชของลีเซีย?”

“ใช่”

“ฉันไม่ได้เรียกนาย ออกมาทำไม?”

“ข้าไม่ได้เชิญท่าน ท่านมาทำไม?”

“...”

วูจินไม่ตอบ เขาจ้องเด็กชายนิ่ง

“ถ้าการสละชีวิตของข้าสามารถปกป้องเกาะลิทานไว้ได้ มันคุ้มค่า”

“ทำไมถึงคิดว่าฉันมาที่นี่เพื่อฆ่านาย?”

“ท่านมาเพราะถุงมือของลีเซียไม่ใช่หรือ?”

เด็กชายยื่นถุงมือลีเซียให้วูจิน

มันเป็นไอเทมศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปลูกพืชจากเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ด มันเป็นสิ่งการันตีการเก็บเกี่ยว

นี่คือสมบัติของลีเซีย เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์

แน่นอน ฐานะของหัวหน้านักบวชจะหมดไปเมื่อเขาสูญเสียไอเทมศักดิ์สิทธิ์ มองในแง่หนึ่งมันเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

เขายื่นสมบัติเช่นนั้นให้อย่างสมัครใจ...

“...”

กล้าดี? หรือเป็นเด็กมีเหตุผล?

“ฉันจะใช้มันอย่างดี”

วูจินรับถุงมือไปอย่างไม่ลังเล

มันเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างการลงโทษของทราช ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ก็คือเครื่องหมายของหัวหน้านักบวชดีๆนี่เอง แต่เด็กชายไม่มีทีท่าเดือดร้อนที่เสียมันไป

“ข้าขอภาวนาให้เทพยากรณ์นั้นผ่านไป”

“คำพยากรณ์...”

วูจินหัวเราะแห้งๆ

“ลีเซียบอกว่าไง?”

เด็กชายหัวเราะเบาๆ

ผู้ไม่ตายคือคนที่เคยเจอกับเหล่าเทพมาแล้ว สำหรับนักบวชที่บูชาเทพเหล่านั้นเขาเป็นบุคคลที่ไม่อาจละเลย เด็กชายได้รับเทพยากรณ์เมื่อคืน

“ข้าถูกบอกให้ส่งสมบัติให้ท่าน ทำเช่นนั้นแล้วความหวังของข้าจะเป็นจริง...”

“...”

วูจินก้มมองถุงมือนิ่ง

เขารวบรวมไอเทมวัตถุดิบสามอย่างสำหรับสร้างการปกป้อง, การเดินทัพ และการลงโทษของทราช

เหลืออีกเพียงสองอย่าง

วูจินเก็บเหล่าอสูรรับใช้แล้วทิ้งทะเลสาบลิทานไว้เบื้องหลัง

***

อาณานิคมใหม่บนภูเขาเซารุส

คนรวมกันเป็นกลุ่มสองสามคนรอบต้นไม้โลก พวกเขากำลังสร้างบ้าน มีธงสองผืนตั้งตรงกลางทั้งหมด

“นั่นคือของที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงกันอยู่เหรอ?”

“ใช่แล้ว”

คนกำลังพูดถึงความหมายของธงที่อยู่ข้างธงสหพันธ์

มันคือลูกสิงโตกำลังคำราม ดูอีกทีมันเหมือนลูกเสือ

“ข้าเชื่อไม่ลงว่ามันคือสัญลักษณ์ของผู้ไม่ตาย มันหมายความว่ายังไง?”

“มันกำลังคำรามใส่โลกหรือเปล่า?”

“ข้าคิดว่ามันแค่หาว...”

เรื่องที่คนพูดถึงกันบ่อยตอนนี้คือสัญลักษณ์ของผู้ไม่ตาย ความหมายเบื้องหลังของมัน ภาพมันน่ารักเกินจะเอาไปเทียบกับผู้ไม่ตาย ความไม่สอดคล้องกันนี้ทำให้คนเกิดอยากรู้อยากเห็น

“ข้าแน่ใจว่ามันคือสิงโต”

“อะไรของเจ้า! เห็นชัดๆว่ามันคือเสือ”

นี่เป็นหัวข้อที่กำลังถูกถกเถึยงอย่างเร่าร้อน คนที่สงสัยที่สุดคือกษัตริย์อายุเยาว์ของอาณาจักรฮอนชูนามว่าคอนท์ซ

เขาได้ยินเรื่องผู้ไม่ตายผ่านประวัติศาสตร์เรื่องเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นตัวจริงและเป็นครั้งแรกที่เห็นกองทัพผีดิบสู้

ผู้ไม่ตายต่างจากในเรื่องที่บิดาเล่าให้เขาฟังมาก

ตัวตนของผู้ไม่ตายทำให้คอนท์ซเกิดความอยากรู้อยากเห็นและนับถือ

มีหอคอยสังเกตการณ์จำนวนหนึ่งสร้างขึ้นลวกๆจากท่อนไม้ ธงของอลันดาลและสหพันธ์แขวนจากหอเหล่านั้น

คอนท์ซปีนหอคอยหนึ่งและหัวเราะแจ่มใสเมื่อเห็นลูกบอลไฟลอยมาทางเขา

“ท่านซุงกูกลับมาแล้ว”

ผู้กล้าที่มากับผู้ไม่ตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย พวกเขาเป็นลอร์ดแวมไพร์และภูติไฟ

ช่างคู่ควรกับการเป็นสหายร่วมทางของผู้ไม่ตาย

ซุงกูดื่มเหล้าเก่ง เขาเต้นและทำให้ทุกคนอยากเต้นตาม และเขาเก่งเรื่องสร้างความบันเทิงในงานเลี้ยง คอนท์ซไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีภูติไฟที่ดื่มเหล่าเก่ง

“ท่านซุงกู”

คอนท์ซค่อนข้างสนิทกับเขาเพราะดื่มเหล้าร่วมกัน เขาลงจากหอคอยและโบกมือทักทายเร็วๆ ไฟบนท้องฟ้าเห็นคอนท์ซและลงมาตรงหน้าเขา

“คอนท์ซ”

“เหนื่อยหน่อยนะท่าน”

“ฮะๆ ผมต้องอบอุ่นร่างกายสักหน่อยก่อนจะกลับไปฝึก”

“สมแล้ว”

เขาแข็งแกร่งมาก แต่ยังคิดเรื่องฝึกต่อ...

“มีบางอย่างที่ข้าอยากจะถามท่านมาตลอด”

“เรื่องอะไร? ว่าแต่ว่าอาณานิคมสร้างมาหนึ่งวันแล้วนะ? ตอนนี้ควรจะเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“หืม? ข้าคิดว่าใกล้จะเสร็จแล้ว”

คอนท์ซมองดวงอาทิตย์และเห็นมันอยู่จุดเดิมของเมื่อวาน เขาพยักหน้า

“เดินไปคุยไปเถอะ”

“ได้”

“จะถามอะไรผมเหรอ?”

“คนสงสัยสัญลักษณ์อลันดาลมาก มันคือสิงโตหรือเสือ?”

“หา?”

ซุงกูเอียงคอมองธง เมื่อเห็นมันเขานึกถึงบิบิเป็นคนแรก...

“น่าจะเป็นแมว”

“อะไรนะ?”

“ไม่รู้จักแมวเหรอ?”

“ข้ารู้ แต่...”

“แมวชัวร์”

“...”

“น่าจะนะ?”

คอนซ์ทดูผิดหวังกับคำตอบ เขารู้สึกเหมือนความคาดหวังถูกทำลาย ซุงกูยักไหล่เมื่อเห็นคอนท์ซหน้ามุ่ย

ซุงกูเคยเห็นธงนั้นแขวนทั่วอลันดาล แต่เขาไม่เคยถามที่มาของมันจึงไม่รู้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือภาพนั้นทำให้เขาคิดถึงบิบิ

“ฮ่าๆ ผมแน่ใจว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์รู้นะ”

“ใช่แล้ว! ข้าต้องรีบไปหาท่านเมโลดี้”

ถึงยังไงผู้กล้าทุกคนของสหพันธ์ก็กำลังปีนเขาขึ้นมาเพื่อดูการก่อสร้างอาณานิคมอยู่ดี

พวกเขามีร่างกายแข็งแกร่งเหนือคนทั่วไปจึงสามารถปีนเขาขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น

“หือ?”

เจมินมาถึงก่อนซุงกู ซุงกูเดินไปหาเจมินที่กำลังทำหน้าเครียด

“เจมิน เป็นอะไรเหรอ?”

“พี่”

“อื้อ มีอะไร?”

“พี่ได้ยินเทพยากรณ์หรือเปล่า?”

“...?”

ซุงกูเอียงคองง เจมินแอบชี้ไปทางเมโลดี้ที่กำลังคุกเข่าตรงหน้าต้นไม้โลก

“ผมได้ยินว่าเทพีอาเรียมีเทพยากรณ์ก่อนพี่วูจินจะกลับอัลเฟน”

“แล้วทำไมเหรอ?”

เทพหรือเทพีก็มีตัวแทนคนทรงเจ้ากันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?

“เทพีอาเรียเป็นเทพีแห่งการทำนาย”

“หา?”

เขาพูดถึงคำทำนายเหรอ? ซุงกูหน้าเครียดไปด้วย

“ท่านบอกว่ายังไง?”

“คือว่า...”

เจมินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด



สารบัญ                                                      บทที่ 171


***
เราไม่รู้ในต้นฉบับภาษาเกาหลีใช้คำเทพยากรณ์ว่ายังไงนะคะ แต่ในแปลอังกฤษเนี่ยเขาใช้ oracle คำนี้มันหมายถึงเทพก็ได้ หมายถึงนักบวช/นักปราชญ์ก็ได้ หมายถึงคำทำนายก็ได้ หมายถึงวิหารก็ยังได้ lol
เพราะงั้นตอนแรกซุงกูเข้าใจว่าเจมินพูดถึงนักบวช (คนเล่นเกมพอได้ยินคำว่าออราเคิลก็จะนึกถึงนักบวชก่อนล่ะนะ) ตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นคำทำนาย